จิตตานุภาพ คำสอนท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 27 พฤศจิกายน 2012.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    จิตตานุภาพ

    ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส

    จิตตานุภาพ คืออานุภาพของจิต แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ

    • จิตตานุภาพบังคับตนเอง

    • จิตตานุภาพบังคับผู้อื่น

    • จิตตานุภาพบังคับเคราะห์กรรม

    จิตตานุภาพบังคับตนเอง


    “ ตนของตนย่อมเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง ”

    เหตุนี้จึงต้องหัดบังคับตนเอง
    ผู้อื่นถึงจะเป็นศัตรูก็ไม่เท่าตนเป็นศัตรูต่อตนของตนเอง
    ถ้ายังไม่สามารถบังคับตนของตนเองให้ดีได้แล้ว ก็อย่าหวังเลยว่าจะบังคับผู้อื่นให้ดีได้

    จิตตานุภาพบังคับตนเองมี ๗ ประการ

    • บังคับความหลับและความตื่น

    การหัดนอนให้หลับสนิทเป็นกำลังสำคัญยิ่งนัก เหตุที่ทำให้นอนไม่หลับมี ๒ ประการ คือ

    ๑.๑ ร่างกายไม่สบายพอ

    อาหารที่ย่อยยากก็เป็นเหตุให้ร่างกายไม่สบายพอ ควรนอนตะแคงข้างขวา
    ถ้านอนหงายก็ควรให้เอียงขวานิดหน่อย
    ถ้าต้องการพลิกก็ควรพลิกจากขวานิดหน่อย แล้วกลับตะแคงขวาตามเดิม
    นอนย่อมให้อวัยวะทุกส่วนพักผ่อน อย่าให้เกร็งตึงและไม่ควรตะแคงซ้าย

    ๑.๒ ความคิดฟุ้งซ่าน

    เวลานอนถ้าจิตฟุ้งซ่าน ควรคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่อย่างเดียว
    ครั้นแล้วก็เลิกละไม่คิดสิ่งนั้น และไม่คิดอะไรอื่นต่อไปอีก
    กระทำใจให้หมดจดเหมือนน้ำที่ใสสะอาด
    ควรบังคับตัวให้ตื่นตรงตามเวลาที่ต้องการ
    ก่อนนอนต้องคิดให้แน่แน่ว สั่งตนเองให้ตื่นเวลาเท่านั้น
    เมื่อถึงเวลาก็จะตื่นได้เองตามความประสงค์

    • ทำความคิดให้ปลอดโปร่ง ว่องไว ในเวลาตื่นขึ้น อย่าให้เซื่องซึม


    "ต้องเอาความคิดในเวลาตื่นเช้า ไปประสานติดต่อกับความคิด
    ที่เราทิ้งไว้เมื่อวันวานก่อนที่จะนอนหลับ ”

    ก่อนนอนควรจดบันทึกกิจการที่เราจะต้องทำในวันรุ่งขึ้นนั้นไว้ในกระดาษแผ่นหนึ่งเสมอ
    พอตื่นขึ้นมาก็หยิบดูเพื่อปลุกความคิดให้ตื่น

    • เปลี่ยนความคิดได้ตามต้องการ


    คือเมื่อต้องการคิดอย่างใดก็ให้คิดได้อย่างนั้น
    ทิ้งความคิดอื่น ๆ หมด และเมื่อไม่ต้องการคิดอีกต่อไป
    จะคิดเรื่องอื่นก็ให้เปลี่ยนได้ทันที และทิ้งเรื่องเก่าโดยไม่เอาเข้ามาพัวพัน
    คือทำใจให้เป็นสมาธิอยู่ที่กิจเฉพาะหน้า
    การเปลี่ยนความคิดเป็นเหตุให้ห้องสมองมีเวลาพักชั่วคราว
    ทำให้สมองมีกำลังแข็งแรงขึ้น

    • สงบใจได้แม้เมื่อตกอยู่ในอันตราย หรือประสบทุกข์


    อย่าให้เสียใจหมดสติสะดุ้ง ดิ้นรนจนสิ้นปัญญาแก้ไข
    เกิดความท้อถอยไม่ทำอะไรต่อไป
    ความสงบไม่ตื่นเต้นเป็นเหตุให้เกิดปัญญาประกอบกิจให้สำเร็จได้สมหวัง
    เราจะแก้ไขเหตุร้ายที่เกิดขึ้นแก่เราได้นั้นก็มีทางจะทำอยู่ ๒ ขั้น

    ๔.๑ ต้องสงบใจมิให้ตื่นเต้น

    ๔.๒ ต้องมีความมานะพยายาม

    วิธีสงบใจที่ดีที่สุด หายใจยาวและลึก

    • เปลี่ยนนิสัยความเคยชินของตัวจากร้ายเข้ามาหาดี

    การขืนใจตัวเองชั่วขณะหนึ่งอาจเป็นผลดีแก่ตัวเองตลอดชีวิต
    แต่การทำตามใจตัวขณะเดียวก็อาจเป็นผลถึงการทำลายชีวิตของเราได้เหมือนกัน

    • ตรวจตราตัวของตัวเป็นครั้งคราวโดยสม่ำเสมอ


    ให้ทราบว่ากำลังใจมั่นคงขึ้นหรือไม่
    ฝ่ายกุศลเจริญขึ้นหรือไม่ ฝ่ายอกุศลลดน้อยเบาบางหมดสิ้นไปหรือไม่
    ใจยังสะดุ้งดิ้นรนหวั่นไหวอยู่หรือไม่

    • ป้องกันรักษาตัวด้วยจิตตานุภาพ


    การสะดุ้งตกใจหรือเสียใจ ความกลัว เป็นเหตุให้เกิดโรคและโรคกำเริบ
    และเป็นเหตุให้คนดี ๆ ตายได้ คนไข้ถ้าใจดีหายเร็ว
    ความไม่กลัวตายรอดอันตรายได้มากกว่ากลัวตาย
    ความพยายามและอดทนเป็นเหตุให้สำเร็จสมประสงค์

    จิตตานุภาพบังคับผู้อื่น


    จิตตานุภาพอย่างอ่อน
    สามารถใช้สายตา น้ำเสียงและด้วยกระแสจิตประกอบคำพูด
    ซึ่งจะเป็นเครื่องจูงใจคนให้เชื่อฟัง
    ลักษณะไม่หวาดหวั่นครั่นคร้ามต่อใคร ๆ นั้น
    ไม่ใช่ชีวิตหัวดื้อบึกบึนซึ่งไม่นับว่าเป็นจิตตานุภาพ
    ต้องเป็นคนสุภาพสงบเสงี่ยม เคารพนบนอบต่อบุคคลที่ควรเคารพ

    แต่ทว่าหัวใจของคนชนิดนั้นไม่หวาดหวั่นเกรงกลัวใคร
    และสามารถแสดงให้เห็นว่าตัวเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่ในโลก
    และเป็นมนุษย์ที่รู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักทำ
    คนที่สามารถเป็นนายตนเอง ไม่ตกเป็นทาสของหัวใจคนอื่น
    และสามารถดึงดูดหัวใจคนเข้ามาเชื่อฟังเกรงกลัวนั้น
    ถ้าสังเกตให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่ามีลักษณะ ๔ ประการ

    • สายตาแข็ง มีอำนาจในตัว

    • เสียงชัดแจ่มใส

    • ท่าทางสงบเสงี่ยมและเป็นสง่า

    • รู้จักวิธีชักจูงหัวใจคนให้หันมาเข้าในคลองความคิดของตัว


    พยายามอ่านหนังสือหน้าหนึ่งโดยไม่กะพริบตาเลยทำให้สายตาแข็งได้
    อ่านหนังสืออย่างช้า ๆ ให้ชัดถ้อยคำทุก ๆ ตัว
    และให้ได้ระยะเสมอกันทำให้เสียงชัดแจ่มใส

    เวลาพูด พยายามพูดให้เป็นจังหวะอย่าให้ช้าบ้างเร็วบ้างและให้ชัดถ้อยคำเสมอ
    ไม่ให้อ้อมแอ้มหรือกลืนคำเสียครึ่งหนึ่ง เป็นการฝึกหัดให้เสียงชัดเจนแจ่มใส

    บุคคลที่มีสง่า คือคนที่บังคับร่างกายให้อยู่ในอำนาจหัวใจได้เสมอ
    มีท่าทางสงบเสงี่ยมเป็นสง่าไม่แสดงอาการโกรธ เกลียด
    กลัว รัก ขมขื่น ตกใจ สะดุ้ง เศร้าโศก ให้ปรากฏ
    ไม่ทำอิริยาบถเคลื่อนไหวอันใดโดยไม่จำเป็น
    และโดยบอกความกำกับของใจ

    มีหน้าตาแจ่มใส อิริยาบถสงบเสงี่ยมเป็นสง่าอยู่ทุกขณะ
    การเคลื่อนไหวทุกอย่างทำด้วยความหนักแน่นมั่นคง
    อย่าให้รวดเร็วจนเป็นการหลุกหลิก
    หรือผึ่งผายจนเป็นการเย่อหยิ่ง หรืออ่อนเปียกจนเป็นการเกียจคร้าน
    ในเวลายืนให้น้ำหนักตัวถ่วงอยู่ทั่วตัวเสมอ ไม่ให้ถ่วงแต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง
    รู้จักใช้วิธีชักจูงหัวใจคนให้หันเข้ามาในคลองความคิดของเรา

    • หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดมีสิ่งที่จะชักจูงให้เขาละทิ้งข้อแนะนำของเรา

    • จูงใจเขาให้หันเข้ามาในทางที่เราต้องการทุกที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2012
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    วิธีป้องกันตัวไม่ให้จิตตานุภาพของผู้อื่นบังคับเราได้

    ให้ทำมโนคติให้เห็นประหนึ่งว่า
    กระแสดวงจิตของเราแผ่ซ่านป้องกันอยู่รอบตัวเรา
    จิตตานุภาพของผู้อื่นไม่สามารถจะเข้าถึงตัวเราได้

    ให้ทำเวลาเข้านอนครั้งหนึ่ง
    และขณะที่อยู่ใกล้บุคคลที่เราระแวงว่าเขาจะใช้จิตตานุภาพบังคับเรา

    จิตตานุภาพบังคับเคราะห์กรรม


    เครื่องมือที่จะชักนำเอาเคราะห์ดีเข้ามา คือ
    ความพยายามเข้มแข็งไม่ท้อถอยหนักแน่นระมัดระวัง
    เชื่อแน่ในความพากเพียรบากบั่นของตัว
    มักจะเป็นคนเคราะห์ดีอยู่เสมอ และมีคุณสมบัติอย่างอื่นอีกคือ

    ความมุ่งหมายและอย่าให้นึกถึงเคราะห์ร้าย


    ตั้งความมุ่งหมายถึงผลอันใดในชีวิตไว้เท่านั้น
    เพื่อให้ก้าวหน้ามุ่งตรงไปจนบรรลุสมประสงค์

    ความมุ่งหมายจำต้องให้สูงไว้เสมอ เพื่อจะได้มีความพยายามอย่างสูงด้วย

    แต่การก้าวไปสู่ที่มุ่งหมายนั้น ต้องก้าวอย่างระมัดระวังไม่ก้าวให้ผิด

    “ ควรมีความปรารถนาให้สูงอยู่เสมอ แต่จะต้องระมัดระวังมิให้เดินพลาด ”

    การไม่ยอมแพ้เคราะห์ร้าย เป็นเหตุให้เคราะห์ร้ายพ่ายแพ้เองเมื่อประสบเคราะห์

    • จะต้องไม่ให้ใจเสีย เชื่อมั่นในความรู้ความสามารถของตัว รวบรวมกำลังให้พรั่งพร้อม

    • ตั้งความมุ่งหมายให้ดีและตกลงแน่ว่าจะมุ่งไปทางไหน

    • ใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้น กุมสติให้มั่น

    อย่างไรก็ดี จะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
    ทำการต่อสู้ดังกล่าวแล้วนั้นไม่ได้เป็นอันขาด

    การต่อสู้กับเคราะห์


    • จะต้องสงบใจ ไม่ตื่นเต้น ไว้ใจตัวและเชื่อแน่ว่า
    เรามีจิตตานุภาพเป็นเครื่องมือรวมกำลังสติปัญญาของเราให้พรั่งพร้อม
    เช่นเดียวกับนายเรือที่ไม่รู้จักเสียใจ รวบรวมกำลังเรือและกำลังคนให้บริบูรณ์

    • ต้องยึดที่หมายให้แน่น กล่าวคือระลึกถึงผลที่เราต้องการบรรลุนั้นให้แน่วแน่ยิ่งขึ้น
    เปรียบเสมือนนายเรือที่ตั้งเข็มทิศให้ตรง
    และให้รู้แน่ว่าจะต้องการให้เรือบ่ายเบี่ยงไปทางไหน

    • ใช้ความระมัดระวังให้มากยิ่งกว่าเมื่อก่อนจะเกิดเหตุร้ายอีกหลายเท่า
    และความวินิจฉัยที่ถูกต้อง ทำทางปฏิบัติของเราเหมือนอย่างหางเสือเรือ
    ที่จะช่วยให้เรือบ่ายเบี่ยงไปทางทิศที่ต้องการจะไป

    • ไม่สามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้ก็อย่าถอยหลัง ให้หยุดอยู่กับที่

    • ให้รู้สึกว่าเคราะห์นั้นทำให้เราดีขึ้น
    เป็นครูของเรา เป็นผู้เตือนเรา เป็นผู้ลวงใจเรา
    อย่าเห็นว่าเคราะห์กรรมเป็นของเลว ไม่น่าปรารถนา
    ควรคิดว่าเป็นของดีที่ทำให้เราเข้มแข็งมั่นคงขึ้น

    ให้รู้สึกเสมอว่าเราเกิดมาเรียนทั้งเคราะห์ร้ายและเคราะห์ดี
    เคราะห์เป็นบทเรียนของเรา ที่จะทำให้เราแจ้งโลกแล้วจะได้พ้นโลก
    ดังนี้ จะไม่รู้จักเคราะห์ร้ายเลยในชีวิต

    คัดลอกจาก กุหลาบสีชา ลานธรรมจักร
    ::
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2012
  3. udomdej

    udomdej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +177
    ขอนำภาพมาเสริมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...