ขอถามเรื่องการปรามาสพระรัตนตรัย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 28 พฤศจิกายน 2012.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    จริงผมถามหลายแล้ว แต่มันก็ไม่หายเป็นมาเป็นปีหละ เบื่อหละ

    แต่จะมาเป็นตอนอยู่บ้าน หรืออยู๋คนเดียว ผมลองมาคิดดูนะครับ ว่า ถ้าผมไม่ปรามาส พระ ตอนนี้ผมคงได้ฌานสมาบัติ ทรงฌานได้ไปนานแล้ว แต่มาติดตรงนี้ ตอนนี้ ผมอยากได้เลิกปรามาส



    พระรัตนตรัย ดีแน่ ผมรู้ดี ฟังธรรมหลวงพ่อเทศน์บ่อย (คือฟังหลายครั้ง)

    แล้วพระพุทธศาสนา ช่วยโลกได้จริงๆ
    ผมเคยเครียดจนถ่ายอุจาระเป็นเลือดเลย(คือเลือดออกมาเลยไม่เคยเป็นมาก่อน) แล้วสมองผมเหมือนโดนไฟช๊อต(จากความเครียด) แล้วเหมือนมีคนมาบีบหัวผมเข้นเนื้อในสมอง อ่าครับ บอกไม่ถูก ทั้งที่ผมอายุ15 ผมรู้สึกเบื่อหน่ายมากครับ

    เบื่อมากครับ ขอขมาก็ลําคาญ (คือบางครั้งเป็นหลายครั้งๆวันๆขอขมาหลายรอบ ผมอะเบื่อมาก ถ้าขอขมา วันละ สามครั้ง ผมยังได้ แต่อาการที่ผมเป็นขอขมา เป็นหลายครั้งจริงๆครับ)

    อยากถามว่า

    ท่านทั้งหลายที่เคยโดน หายนานไหมครับแล้วยังไง เอาจริงๆนะครับ อย่าตอบยาว ขอสรุปสั้นๆครับ

    สรุปง่ายๆนะครับ ตอนที่ผมปฎิบัติมาแรกๆ เหมือนกิเลสจะลดลงไปมาก แต่ตอนนี้ กิเลสเพิ่มขึ้น กว่าก่อนจะมาปฎิบัติอีก ตัวศรัทธา ผมในพระพุทธศาสนา นี่มี แต่บางครั้ง บางครั้งแค้นตัวเอง ลําคาญด่าตัวเอง เสียงดังออกไปเลยครับ

    คือจะบอกไงดี แต่ก่อน ก่อนที่ผมจะมาปฎิบัติ (ตอนนั้นไม่รู้นิพพาน) เห็นพระสงฆ์ก็นับถือแล้ว เห็นจีวรก็ตื้นตันใจบอกไม่ถูก แบบว่าพระท่านน่าเลื่อมใสจริงๆ แล้วตอนมาฟังธรรมหลวงพ่อพระราชพหรมยาน ฟังแล้วคิดตาม เอ่อธรรมของพระพุทธเจ้า นี่ดีจริงๆ บําบัดทุกข์บํารุงสุข์ ให้กบชาวโลกได้จริง แล้วพระสงฆ์ ท่านก็สอนธรรม แบบฟรีๆ ไม่ได้แบบว่าโยม ถ้าจะฟังเอาทองมา เดี๋ยวจะช่วยแสดงธรรมให้

    แล้วมาคิดอีกที พระอรหันต์สมัยพระพุทธเจ้า ตอนที่สังคายนา ครั้งแรก มีพระอานนท์ พระมหากัสสปะ เป็นต้น ท่านเหล่านี้เป็นพระอรหันต์หมดกิเลส

    แล้วท่านก็รวบรวมพระธรรม (พระอานนท์ความจําท่านดีมาก จําธรรมได้หมดเลย พระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร พระอานนท์จําได้หมดเลย) มาสอนให้กับเรารุ่นหลังๆ

    ถ้าสมัยนี้ ก็หลวงตามหาบัว หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อวัดท่าขุน(หลวงพ่อเล็ก ท่านมีชีวิตอยู่นะครับ) ท่านเหล่านี้ ทรงฌานสมาบัติ และเป็นพระอริยเจ้าด้วยครับ(ที่บอกว่าทรงเพราะว่า พระท่านสร้างพระเครื่องเสกของ พุทธคุณอ่าครับ ต้องใช้กําลังฌานสมาบัติ) แล้ว ท่านก็มาโปรด พวกเราชาวพุทธ สร้างศรัทธา ( ยกตัวอย่างหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงนี่ใหญ่มาก) ได้มาจากศรัทธาชาวพุทธจริงๆ ท่านเทศน์จริงๆ แล้วร่างกายของหลวงพ่อท่าน ป่วยหนักมาก (ลองคิดดูคนอายุ60-70) ต้องมาดูแลลูกหลานที่รักเทศน์ให้อีก เหนื่อยขนาดไหน ผมละอายตัวเองจริงๆ ถ้าตายไปนรก เพราะไอ้ตัวปรามาสเนี่ย ผมโคตรเสียชาติเกิด

    ถ้าจะเอาสมัยพระพุทธกาล ก็พระสารีบุตร ยกตัวอย่างนะครับ พระสารีบุตรท่านนะครับ เป็นพระอรหันต์ ก่อนจะนิพพานนะครับ ไปปวดโยมแม่ของท่าน (เดินทางไกลแน่ แล้วพระสารีบุตรแก่มากด้วยตอนนั้น ร่างกายก็ป่วยหนักมาก) ไปโปรดแม่ ให้แม่สัมมาทิฐิ สุดท้ายก็สําเร็จครับ

    อีกตัวอย่างครับ (จําชื่อไม่ได้นะครับ) ตอนนี้ท่านเป็นพระโสดาบันแล้วนะครับ คือท่านเป็นลูกคนรวย ทําชั่วทุกอย่าง(ศีลห้าผิดหมด เวลาพระแสดงธรรมก็ไปกลบเสียงอีก) ไม่เคยยกมือไหว้พระสักครั้งในชีวิตเลย แล้วพ่อท่านงกมาก (ตอนนี้พ่อท่านก็พระอริยเจ้าเหมืิอนกัน) พอตอนลูกคนรวยใกล้ตาย นึกถึงพระพุทธเจ้าครับ ได้ยินมาว่า พระพุทธเจ้ามีเมตตา ช่วยรักษาได้ แล้วท่านตายแล้ว แล้วไปสวรรค์(รอดหวุดหวิดจริงๆ) เพราะคุณของพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าไปโปรดเป็นพระโสดาบัน ไม่ต้องไปนรก แล้วจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์แน่ใน ศาสนาของพระศรีอาริย (แต่ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ไปโปรดนะครับ ท่านคนนั้น ตกนรก หลายกัป มาเกิดเป็นคน หูนวก ตาบอด อย่างละ 500 ชาติ!) ผมลองมาคิด พระรัตนตรัย มีคุณจริงๆนะครับ

    ตัวอย่างสุดท้ายนะครับ พระพุทธเจ้าของเราเอง ตอนเป็นเจ้าชายหน้าตาหล่อมาก มีปราสาท มีสาวสวยมาก มีภรรยา มีลูก แต่ออกบวช โกนหัว (สมัยนั้นใครโกนหัว คือตัวกาลกิณี) เจ้าชายอยากจะทําตัวให้ต่ำสุดจริงๆ พอสุดท้ายก่อนตรัสรู้ ร่างกายเราจะเป็นยังไงก็ตาม เราจะตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิฐานให้ได้ (แล้วเจ้าชาย เอาจริงๆครับ สุดท้ายตรัสรู้ เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้กําจัดอวิชชาหมดไปจริงๆครับ) แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้นี่ ก็ไม่ทิ้งชาวโลกให้อยู่กับกิเลส แต่เมตตา สั่งสอนธรรม เอาของยากมาทําให้ง่าย (แต่สมัยนี้แปลก เอาของง่ายมาทําให้ยากแปลกดี)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 พฤศจิกายน 2012
  2. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    จัดให้สั้นๆ ตามคำขอนะครับ

    ให้ระวังเรื่องความ "พอใจหรือยินดี" กับ "ไม่พอใจหรือยินร้าย"

    เอาไปพิจารณาต่อนะครับ
     
  3. สหพัฒน์

    สหพัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +710
    ท่านโลโป เขียนได้ดีแล้วน่ะครับ ผมเสริมเพียงนิดหน่อย ผมเห็น จขกท.พิมพ์ผิดๆถูกๆ หลายคำเหมือนกัน ถ้าสติกำกับจิตยังไม่เข้มแข็งพอ อย่าเพิ่งพูดไปถึงฌานสมาบัติเลยครับ เพราะสติคือรากฐานของฌานสมาบัติขั้นสูง เอาล่ะสั้นๆแค่นี้แต่ดูท่าทางคงมีตอบหลายกระทู้อยู่.
    ขอให้ทุกท่านจงเจริญในธรรม...
     
  4. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ผมขอขมาพระรัตนตรัยทุกวันนะครับ
    ทั้งๆที่บางวัน ผมก็นึกไม่ออกว่า ผมปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่
    แต่ผมรู้สึกว่า ปุถุชนคนธรรมดา อารมณ์เผลอย่อมมีเป็นปกติ
    อาจจะทำโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้

    รำคาญมั้ย... ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งแรกที่ผมจะทำกรรมฐานเลยละครับ
    มันรู้สึกว่าต้องทำ

    ส่วนเรื่องฌานสมาบัติ ทำบ่อยๆ ก็จะดีเองครับ
     
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ballbeamboy2

    ฝึกสติเท่านั้น

    เป็นทางเดียวที่จะแก้ปัญหาทุกอย่าง ที่กำลังเจออยู่ได้
     
  6. thammakarn

    thammakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2011
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +376
    เห็นด้วยกับคุณโลโปอย่างยิ่งครับ
    ปรุงแต่งมาก เข้าไม่ถึงฌานหรอกครับ
    ปรุงแต่งมาก ต้องหัดละวางให้เป็น
    เน้นฝึกสติเยอะๆ ทำความรู้สึกตัวเยอะๆ ตามรู้ให้ทันความคิดฟุ้งซ่าน
    ไม่ต้องขอขมาพระรัตนตรัยทุกวัน ทำแค่อาทิตย์ละครั้งก็ได้
    ก่อนขอขมาพระ ก็ควรทบทวนให้แจ้งชัดว่าเราทำอะไรผิดลงไปหรือไม่
    ถ้าสติสตังดี ก็ควรจะรู้ได้ว่าตัวเองได้ทำ พูด หรือคิดอะไรที่ล่วงเกินไป
    เท่านี้แหละจบแล้ว
     
  7. พุืทธวจน000

    พุืทธวจน000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +1,051
    ...การได้ฌานหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการทำเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง เท่านั้น ถึงไม่หวังก็จะได้ ถึงหวังก็จะได้..แต่ถ้าทำในเหตุปัจจัยที่ไม่ถูกต้อง ถึงหวังหรือไม่หวัง ก็ไม่สำเร็จผล..
    ดูพระสูตรนี้ครับ..
    [๔๑๐] ดูกรภูมิชะ เปรียบเหมือนบุรุษต้องการน้ำมัน แสวงหาน้ำมัน จึงเที่ยวเสาะหา
    น้ำมัน
    เกลี่ยทรายลงในรางแล้วคั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ ถ้าแม้ทำความหวังแล้วเกลี่ยทรายลง
    ในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะได้ น้ำมัน ถ้าแม้ทำความไม่หวังแล้วเกลี่ยทราย
    ลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆเขาก็ไม่สามารถจะได้น้ำมัน ถ้าแม้ทำทั้งความหวังและความ
    ไม่หวังแล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะได้น้ำมัน ถ้าทำความหวัง
    ก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะ
    ได้น้ำมัน นั่นเพราะเหตุไร ดูกรภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะได้ น้ำมันโดยวิธีไม่แยบคาย ฉันใด

    ดูกรภูมิชะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่มีทิฐิผิด มีสังกัปปะผิด
    มีวาจาผิด มีกัมมันตะผิด มีอาชีวะผิด มีวายามะผิด มีสติผิด มีสมาธิผิด ถ้าแม้ทำความหวัง
    แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำความไม่หวังแล้วประพฤติ
    พรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติ
    พรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติ
    พรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล นั่นเพราะเหตุไร ดูกรภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะ
    บรรลุผลได้โดยอุบายไม่แยบคาย ฯ


    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๔
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
     
  8. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ใจคนนะ ไม่อาจจะหยุดความคิดดีชั่วได้
    แต่ถ้ามีสติ สติก็เป็นตัวระลึกดีชั่วได้ หยุดคิดไม่ได้ ก็ควรหยุดวาจา หรือการกระทำ

    มันไม่ใช่ว่าหยุดคำหยาบคำด่าใคร แม้นแต่การกระทำไม่เหมาะก็ไม่ควร
    บางคนพูดธรรมะเลอเลิศ แต่กลับติเตียนคนไม่ควรติเตียน สรรเสริญคนไม่ควรสรรเสริญ

    หรือเราไปนั่งขอขมาพระรัตนตรัย แต่ตำหนิคนดีข้างตัว(ดีไม่ดีเป็นพระอริยะด้วย) แบบนี้ขอขมาไป อาจไม่ได้ช่วยอะไร.. เพราะการขอขมามีเป้าหมายคือ ให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้า ไม่ถูกปิดมรรคปิดผล (นึกดูว่าการถูกปิดมรรคปิดผล ที่เกิดเพราะปรามาสพระอริยะเพราะไปดูแคลนว่าท่านทำไม่ถูกต้องหรือสอนไม่ถูกใจเรา หากเหตุผลเป็นอย่างนี้ การเข้าถึงความจริงหรือสิ่งที่ท่านพูดย่อมถูกปิดแน่ๆ..)

    สำรวจการกระทำของเราเองเสมอด้วยสติ มันไม่ใช่ง่ายหรอก ที่จะมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2012
  9. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คำว่า "ปรามาส" ตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฯ หมายถึง "การถูกเนื้อต้องตัว หรือ การลูบคลำ แต่ถ้าเป็นไปในทางภาษาไทย ก็หมายถึง การดูถูก ดูหมิ่น
    ทีนี้คุณต้องทำความเข้าใจไว้ก่อนว่า การ"ปรามาส" พระรัตนตรัย นั้น หากเกิดขึ้นจากใจคือจากความคิดความเข้าใจจากความรู้ จากเจตนา ที่คุณมีอยู่ แล้วมีพฤติกรรม หรือ การกระทำ ในด้านใดด้านหนึ่ง คือ กาย วาจา ใจ นั่นคือการ "ปรามาส"ที่สมบูรณ์ ผลบาป บังเกิด
    แต่ถ้า พฤติกรรม การกระทำ ไม่ได้มีเจตนา ที่จะ"ปรามาส" คือไม่ได้คิดจะดูถูกดูหมิ่น พระรัตนตรัย อันดีแล้ว ชอบแล้ว ผลบาปย่อมไม่บังเกิด
    เจตนา เป็นสิ่งสำคัญ การแนะนำตักเตือน ในสิ่งที่ประกอบกันเป็น รัตนตรัย นั้น เป็นสิ่งที่ผู้ศรัทธาหรือศาสนิกชนทุกท่าน ควรกระทำ แต่มิใช่กระทำเพื่อการทำลาย แต่เป็นการกระทำเพื่อให้ สิ่งเหล่านั้น ดีขึ้น อยู่ในกรอบของพระวินัย อยู่ในกรอบแห่งคำสอน อยุ่ในกรอบแห่งความเป็นจริง ย่อมเกิดผลบุญ
    เว้นแต่จะถูกพวกรุ้น้อยด้อยปัญญา ใส่ร้าย เพราะความไม่รู้ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งขอรับ
     
  10. Kit_J

    Kit_J เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +348
    "กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ ในระยะนี้ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ลูกมีอารมณ์อยากจะด่าพระบ้าง ด่าหลวงพ่อบ้าง ปรามาสพระพุทธเจ้าบ้าง ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรจึงจะหายครับ...?"



    เหตุที่จะเกิดได้เพราะการเจริญกรรมฐาน ถ้าการเจริญกรรมฐานดีขึ้นมาจะข้ามขั้นพอที่มารจะดึงไม่อยู่ อารมณ์นี้จะเกิด เป็นเรื่องของพระยามาราธิราช เขาเรียก กิเลสมาร น่ะ มันเกิดเข้ามาคร่อมใจห้ามได้ดี ถ้าดีกว่านี้จะไม่ตกอยู่ในอำนาจของเขา เรียกว่าจะไม่ลงนรก คิดจะทำจิตใจให้ฟั่นเผือไปโกรธนั่นโกรธนี่ เว้นนั่นเว้นนี่เสีย

    แต่ว่ามันจะเป็นชั่วคราว บางทีก็สัก 4-5 เดือน และต่อไปก็หาย ถ้าอารมณ์ดีขึ้นมาก็ขอขมาโทษพระรัตนตรัย ขอขมาโทษพระพุทธเจ้า ถ้ามันฟุ้งก็ฟุ้งไป ถ้าเลิกฟุ้งรู้สึกตัวขึ้นมาได้ก็ขอขมาโทษใหม่ อย่างนี้ไม่ช้าก็หายนะ ไม่เป็นไร

    แม้แต่ฉันในช่วงเจริญฌานโลกีย์ มันก็มีเหมือนกันก่อนจะขึ้นอันดับสูงนะ นี่มันก็มีอาการอย่างนี้เป็นของธรรมดาที่ท่านบอกว่ากิเลสมารเข้าครอบงำจิต เรายอมแพ้มันเราก็ตกต่ำแน่นอน มันอาจจะเผลอ ขอขมาแล้วเผลอก็ว่ากันไป มีสติใหม่ก็ตั้งใจขอขมาใหม่ ไม่ช้ามันก็เลิก

    อย่าง อาจารย์ฉัตร ลูกศิษย์หลวงพ่อปานหนักกว่านี้ ไม่ใช่อารมณ์ด่าใครหรอก นั่นป่วยแบบท่าน โคธิกะ เลย บวมทั้งตัว ๑ ปี ไม่ขยายตัว หลวงพ่อปานบอกว่าคุณฉัตรเอ้ย ! ลดกรรมฐานสัก ๑ วัดได้ไหม มันจะได้หาย อาการอย่างนี้ไม่ใช่อาการไข้ปกติ มันเป็นเรื่องกิเลสมารแกล้ง

    อาจารย์ฉัตรบอกว่าผมพยายามทำมาตั้งหลายปี ยอมแพ้กิเลสมารวันเดียวผมยอมไม่ได้ ผมยอมตายพร้อมกับธรรมะดีกว่า พอปฏิญาณแบบนั้นรุ่งขึ้นหาย มันสู้ไม่ได้มันเลยเลิก กลัวคนบ้า ไอ้นี่ก็เหมือนกัน อาการอย่างนีต้องสู้กันหลายวันหน่อย เพราะมันอารมณ์ทางจิตใจนะ นั่นมันครอบงำทางกายด้วย เปลื้องง่ายกว่า


    จากหนังสือ ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๑๕
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
     
  11. aroonoldman

    aroonoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +462
    มันเป็นเวทนาเจตสิกเป็นกันทุกคนเรื่องธรรมดาของโลกียบุคคล

    เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปเอาจิตน้อมไปในกุศลกรรมแพ้บ้างชนะบ้างช่างมัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2012
  12. พญาดาว

    พญาดาว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2007
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +60
    หยุดความคิด อย่าให้จิตส่งออก
     
  13. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    เจ้าของกระทู้ เอา น้ำปลา มะนาว น้ำตาล พริก ไหม ปรุงแต่ง ได้หลายรสชาติ มากเลย
     
  14. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอบคุณครับ ผมก็ไม่รู้จะทําไง ตอนแรกทีผมโดน คือ ผมก่อนจะนอนจะภาวนาพุทโธจะหลับไป (ตอนนั้นสบายใจอุ่นใจมากๆ) แต่อยู่ดีๆ(ไม่ได้คิดเอง) เกิดล้อเรียนชื่อพระ ผมเลยกลัวครับ ตอนนี้ต้องอานาปานุสติแล้วหลับไปเลย ไม่ต้องปรุงแต่งอะไร
     
  15. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    คิดไรปล่อยมันคิดไป คิดได้ก็คิดไปดูสิจะคิดไปถึงไหน แล้วก็ดูสิว่ามันจบไหมจะคิดไปถึงกี่ชม.

    ปัญหาตอนนี้ คือ มีกิเลสอยากหยุดคิด เท่านั้นหล่ะจ้า :boo:
     
  16. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    มาดูกันอีกสักตั้ง ถ้าไม่มี พายุเดชมายุแหย่ ให้ระส่ำย่ำแย่ แผ่นดินลุกเป็นไฟ
    ก็อาจจะเห็นร่องรอยในการ เห็นธรรมในธรรมขึ้นมาได้บ้าง

    *********

    มาเริ่มกันในเรื่องที่เล่ามาโพสแรก : สังเกตนะว่า มีศรัทธา ปรารภว่าศรัทธา
    แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับ มีเสียด่าตัวเองบ้าง ด่าผู้อื่นบ้าง อันนี้เกิดจากอะไร

    ก็เกิดจากความ สับปรับในการศรัทธา ปากอ้างว่าศรัทธา แต่ จริงๆ เอาไว้ยึด
    จับเพื่อที่จะได้หาเรื่องด่าส่วนอื่น ที่ดูเหมือนจะด้อยกว่า

    ตอนก่อนนู้น เคยบอกไปแล้วครั้งหนึ่งว่า ศุภนิมิตใด หากกระทำตั้งเป็นนิมิต
    อันดีงามแล้ว แต่ทว่า ทำให้จิตแล่นไปทางชั่ว!! พระพุทธองค์บอกให้ละ
    นิมิตนั้น

    ซึ่งหากเรา สังเกตการปรารภ พรรณคุณของ สงฆ์ก็ดี คุณของพระพุทธองค์ก็ดี
    เราปรารภแล้ว ก็เผลอ มองไปยังสิ่งที่ด้อยกว่า แล้วแอบด่า เหยียดหยามไป
    ในทีที่ยกย่องสรรเสริญคุณ ภาษาสมัยใหม่เรียก " มาตรา 112 "

    กล่าวคือ มาตรา 112 เนี่ยะ เขามีไว้ไม่ให้ คนเอามากล่าวในทางที่ไม่ดี และ
    กัน คนที่เอาไปกล่าวในเชิงสรรเสริญแต่แอบอ้างเพื่อทำลายคนอื่น เหล่านี้จึง
    จัดเป็นเรื่อง " ดึงฟ้าต่ำ " เอาท้องฟ้ามาเป็นสนามรบ ( หนุมาน กำสาร )

    ใจเรา สรรเสริญไป แต่ แอบเอาอีกส่วนไปเหยียบย่ำผู้อื่น ที่เราหมายๆเอาว่า
    เขาไม่มี คุณธรรมถึงบุคคลที่สรรเสริญ เขาไม่คู่ควรกับบุคคลที่สรรเสริญ

    ซึ่ง ผลของกรรมก็แน่นอน แบเบอร์ คือ เดี๋ยวจิตที่แอบแฝงมันก็แสดงตัว
    ออกมาด่าตัวเองบ้าง ออกมาด่าผู้มีคุณธรรมอื่นๆบ้าง

    วิธีแก้คือ อย่าถือศุภนิมิต เพื่อแอบอ้าง ยกตน ว่า ตาดี หัวดี

    ถ้าจะ สรรเสริญ ก็เพียงเพื่ออาศัยระลึก รสปิติ รสความเลื่อมใส เพื่อ
    ให้จิตมันปราโมทย์ เมื่อจิตปราโมทย์ พระพุทธองค์ก็ชี้ว่า จิตชนิด
    นี้เป็นจิตที่เป็นเหตุให้เกิดสมาธิ เกิดฌาณ เราเอามา เพ่งว่าจิต
    ปราโมทย์นั้นเป็นเหตุให้เกิดฌาณจิต จริงหรือไม่จริง เท่านั้น

    เราไม่ได้เอาการสรรเสริญคุณสงฆ์ ธรรม พระพุทธ เพื่อมายกตนว่า กูหัวดี
    กูสายตาดี กูไม่โง่

    มองออกไหม ระหว่างน้อมเพื่ออาศัยระลึกเพื่อเพ่งฌาณ กับน้อมมาแอบ
    อ้างเข้ามาตรา 112 วิบากต่างกัน ฟ้ากับเหว !!
     
  17. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ของจะได้ก็ได้ด้วยเหตุ นี่เรื่องนึง เหมือนกับว่าจะมี1ล้านดันเอาไปซื้อรถละบ่นว่ามีเงินไม่ถึงล้านซะที แต่ก็สะสมกันใหม่ได้นี่ครับ

    ปัญหาคือ ขอขมาไม่ได้รู้สึกมาจากใจ ขอๆไปเพราะเป็นสูตรแก้ปรามาส ขอเพราะเกรงว่าจะไม่ได้ หรืออยากได้ นี่เรื่องนึง

    แก้เกมส์ครับ
    จริตแบบนี้สวดชินบัณชรทุกวันสักปีครับ ลองเว้นจากความคิดดูหน่อย
     
  18. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ทีนี้ เรื่อง กรรมอันเลว ที่เคยกระทำ เมื่อกระทำไปแล้ว แน่นอนว่า ย่อม
    ต้องตกนรก เอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาแอบอ้างชูงวงตน ตาม
    มาตรา112 นี่ ยังไงก็ต้อง ลงนรกแน่นอน เศษกรรมคือ จิตที่แล่นไปปรามาส
    ผู้มีคุณน้อยใหญ่ เศษกรรมอาจรับก่อน หรือ รับทีหลังจากลงนรกไปแล้วก็ได้

    และ ผลกรรมนั้นต้องรับแน่ๆ กรรมรออยู่เบื้องหน้าแน่ๆ

    แต่...........เราคงเคยได้ยิน ลมปากสำนักพายุเดช เคยบอกใหคุณทราบ
    ว่า ให้หมั่นกล่าวคำขอขมาพระรัตนไตร 10จบบ้าง ตามอายุบ้าง หรือ 108จบ
    บ้าง เอาขนมปังปอนด์วางหน้าโบสถ์บ้าง

    อันนี้ เราต้องไม่ลืมว่า มันไม่ใช่ไปล้าง กรรมเวรที่เคยกระทำ หากเข้าใจ
    ผิดว่า ขอขมา100จบ 1000จบ แล้ว มันจะไป ล้างกรรมเวรไม่ให้ต้องลงนรก
    อันนี้ เข้าใจผิด มันไม่ได้ล้างกัน เพียงแต่ไปเพิ่ม ความน่าจะเป็นในการ
    ได้รับอนิสงค์ที่ดี

    มันเหมือน เราอยากถูกล๊อตเตอรี่ ก็เลยไปซื้อ สลากเพิ่ม เพื่อเพิ่มโอกาส
    ในการได้รับอานิสงค์ในทางที่ดี

    แต่ก็เหมือน เคสที่เราเล่านั้นแหละ รวย แต่ ไปขัดขวาง เหยียบย่ำทำลาย
    น้ำใจคนอื่นเขา หากผลบุญหมดเมื่อไหร่ รางวัลที่หนึ่งได้รับขึ้นมาก็จริงแต่
    หากมันหมดบุญเมื่อไหร่ ก็ นรกเรียกพี่ เลย

    ดังนั้น ต้องทำความเข้าใจให้แม่นๆ ว่า มันไม่ได้ล้างกัน มันแค่ สร้าง
    ความน่าจะเป็นในการ ข้องเกี่ยวอยู่กับ สังสารวัฏยาวนานขึ้น เป็นทวีคูณยกกำลังดี
    หากยังพิจารณา ทุกข์ ไม่ถูก

    โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง

    มันแค่ สร้างความน่าจะเป็นในการ ข้องเกี่ยวอยู่กับ สังสารวัฏยาวนานขึ้น เป็น
    ทวีคูณยกกำลังดีหากยังพิจารณา ทุกข์ ไม่ถูก

    ขอขมา ขอทำไม เขาก็ขอเพื่อให้มีโอกาสถูกหวยนั่นแหละ แต่ จะเอาแค่นั้นหรือ

    ตรงที่ ถามว่าจะเอาแค่นั้นหรือ ตรงนี้ ผู้ตอบจะต้อง มีปฏิภาณ ไหวพริบ ด้วย
    ตัวเอง ไม่สามารถจะให้ใครมาบอกกล่าวได้ เพราะ มันจะไม่ซึ้งใจเท่า ตนมี
    ปฏิภาณ ระลึกการ พิจารณาทุกขสัจจ นั้นๆ ได้

    หากพิจารณาทุกขขสัจจ ได้ แหม ก็นะ ได้ชื่อว่า เป็นผู้ทำนิพพานให้แจ้ง
    โดยการพิจารณา อริยสัจจ4 ตามคำสอนของศาสดา ขึ้นมาได้บ้าง

    เขาจึงสอน การขอขมาเพื่อเป็น อุบาย ในการ พิจารณา มีปฏิภาณไหวพริบขึ้นมา

    เขาไม่ได้สอน ให้จม หรือ งมโข่งอยู่กับ การขอขมา เพราะ วันหนึ่ง มันก็ต้อง
    หมดกำลัง จิตแล่นไปปรามาสอยู่ดี เมื่อ กรรมอันเลวมันส่งผล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2012
  19. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เจ้าของกระทู้รายนี้ คงยังไม่มีสติ พอจะพิจารณาทุกขสัจจได้ ครับ
     
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พี่พี่ ทั้งหลาย แนะนำดี มากแล้ว...ขอขยายความจากพี่พี่ข้างบน หน่อยนึง...คำว่ามัชฌิมปฎิปทา ทางสายกลางนั้น เขามองไปที่ ไม่เข้าหาส่วนสุดทั้งสอง นั้นคือ กามสุขัลกานุโยค และการประกอบความเพียรให้ตนลำบาก(อัตถกิลมถานุโยค)...อะไรที่ทำให้ ตน ทุกขืกายทุกข์ใจ นั้นเป็นอัตถกิลมถานุโยค.(เหมือน จขกท พยายามจะลงโทษตัวเองอย่างนี้นะสิ เขาบอกตั้งหลายครั้งแล้วว่า เจตนาเป็นกรรม (เจตนามันต้องชัดกว่านี้ จริงจริง) อันนี้เขาเรียกจิตฟุ้งซ่าน)..........ในส่วนของ อานาปานสติสมาธิ...หรือสติปัฎฐานสี่ นั้น ให้พิจารณาว่าไม่มีตัวตน เรา เขา ตั้งแต่ต้น เป็นเพียง เหตุปัจจัยให้เกิดแก่กัน เป็นปฎิจสมุปันธรรม............ถ้าพิจารณาเป็นจะเห็นได้ว่าความมีอุปาทานว่าเป็นตัวตนของเรา(ความดีของเรา..ความสุขของฉันต้องอยู่อย่างนั้นไม่มีวันจาง)นั้นแหละ ทำให้เป็นทุกขฺ์อย่างนี้ไง...แท้จริง สภาวะธรรม เกิดดับ ไปตั้งแต่รู้ลมหายใจ เข้าออกแล้ว................ส่วนในส่วนของ จิตตานุปัสนาของสติปัฎฐานสี่นั้น...จิตหดหู่ก็รู้ชัดว่าจิตหดหู่ พอไปร่าเริงกับเพื่อนอีก จิตมีราคะก็รู้ชัดว่าจิตมีราคะ มีโทสะก็รู้ว่ามีโทสะ มีความเพียรเผากิเลส นำยินดี ยินร้ายในโลกออกเสียได้...........เอาเป็นว่า...ให้รู้จักคำว่า สภาพธรรม(อะไรอะไรก็ใช้คำว่า สภาพธรรมทั้งนั้น )ที่มันเกิด มันไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เกิดจากเหตุปัจจัย...(ไม่เชื่อเอามือ จับ ไฟ ดูว่าทนได้ใหม?)นั่นแหละ สภาพธรรม...ซึ่งมันก็ไม่เที่ยง.....เอาความคิดที่เป็นอุปาทานว่า นี่ความดีของฉัน นี่ความเลวของฉัน นี่ความสุขของฉัน นี่ความทุกข์ของฉันต้องอยู่ถาวรตลอดไป....ออกไปก่อน...มาทำความรู้จัก กาย(ลม อานาปานสติ)...เวทนา(สุข ทุกข์ เฉย)...จิตในจิต(จิตสังขาร โทสะ ราคะ หดหู่ ตั้งมั่น..เป็นต้น)...ธรรมในธรรม....อันไม่ใช่ตัวบุคคลไม่ใช่ฉัน และ มันไม่เที่ยงเกิดดับไปตามเหตุปัจจัย...เพื่อ การภาวนาที่ ยิ่ง ยิ่ง ขึ้นไป เพื่อความพ้นทุกข์:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...