จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    อย่าคิดว่าทำไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก
    ชอบที่ไหน ไปที่นั่น
    รักใครก็ไปหาคนนั้น
    ชอบธรรมท่านใด ก็มัวแต่ไปชม ไปฟังอยู่อย่างนั้น
    มันก็จะไม่มีประโยชน์อันใดที่จักทำให้จิตเราเจริญขึ้นได้
    เปรียบเสมือนเราอันเป็นขวดที่บรรจุกิเลสลอยอยู่กลางทะเลกว้างใหญ่
    กระแสน้ำ กระแสโลกจะพัดพาไปที่ใดก็ย่อมได้เสมอนั้น
    มันก็มีแต่จะเหนื่อยและเสียเวลา

    บุคคลที่ประสพความสำเร็จได้ก็มีแต่คนที่เอาจริง
    ตั้งใจจริง ทำจริง ไม่ใช่เที่ยวเล่นไปวันๆ สนุกสนาน
    ไม่ใช่เอาแต่อวดว่าเราไปเข้าฟังธรรมอันนั้นมา อันนี้มา
    "ดีแต่ปาก แต่จิตต่ำทราม" ... เต็มไปด้วยกิเลสนั้นยังถือว่าใช้ไม่ได้

    มัวแต่ไปสนใจจริตคนอื่น จิตคนอื่น ธรรมะที่ผู้อื่นพูดนั้น
    มันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำให้เป็นนิสัย
    ถ้าจะเอาจริงก็ต้องตั้งใจต้ังแต่อยู่ในศีล ดูแต่ความเลวในจิตตน
    แล้วดูธรรมะที่เกิดขึ้นในจิตตนจะดีกว่า
    มันดีกว่าที่นั่งอ่าน นั่งฟังธรรมะไปวันๆ แต่จิตเราไม่เห็นธรรมจริงตามที่ได้รู้ ได้ฟังกันมา
     
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอบคุณค่ะ เมื่อรู้แล้วว่าจิตของแต่ล่ะจิตเป็นอย่างไร ขอให้ ดูบ้านของตัวเองด้วยว่าได้ดูบ้านของเราทุกซอกทุกมุมว่าเราเห็นบ้านของเราทั่วหรือยัง ขออนุโมทนาในการปฏิบัติของทุกๆท่านค่ะ
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    การละปล่อยวางของขันธ์ ๕

    ๑.ละกิเลสหยาบก่อน หรือ ละรูป๑ ก็คือ กายหยาบ(ร่างกาย)
    ๒.ละกิเลสละเอียด แต่ถ้าละครูละเอียดละโง่เลย หรือ ละนาม๔ ก็คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ๓.ละกายละเอียด ก็คือ ความรู้นึกคิด หรือ อารมณ์ต่างๆของจิต(เจตสิก)

    เวลาพวกเรา เห็นอะไร รู้อะไร หรือ รู้สึกอะไร ก็ให้วางเสีย(ทันที ถ้าเป็นไปได้)
    ถ้าไม่วาง เดี๋ยวก็จะรู้จัก คำว่า "หนัก" มันเป็นยังไง
    แต่ถ้าใครวางเดี๋ยวนี้ ก็จะว่างทันที ให้เหลือแต่ตัวรู้รู้(ปัญญาญาณ)อย่างเดียว

    ปล.เป็นจิตบุญแล้ว มิใช่ให้พวกเราไปละสามี/ภรรยา ละเว้นหน้าที่การงาน
    ละบ้านละช่อง ผู้เจริญทั้งหลาย อย่าหลงทางกันนะ เน้นแต่แก่น
    โดยเฉพาะจิตบุญ ฝ่ายฆราวาส
    จิตเกาะพระ ท่านให้ละกิเลสภายในจิต(ตนเอง)เท่านั้น มิใช่ให้ไปละกิเลสคนอื่น
    อันไหนหน้าที่ของกายหยาบ อันไหนหน้าที่ของกายละเอียด(จิต)
    แยกให้ชัดเจนกัน อย่านำมาปนกัน
    จิตบุญวางกำลังใจให้ถูก กำลังใจก็มีหลายระดับ
     
  4. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    คนนี้เหรอหนูยกให้พี่ภูเลี้ยงดูต่อไปจนกว่ากิเลสเธอจะตายคากระทู้
    หนูหวานไม่เป็น ใครหลงเข้ามาหาครูเพ็ญ
    โดนฟัดกิเลสตายคาจิตลูกเดียว
    ใครใจกล้าหน้าด้านเข้ามาเรียนกะครูเพ็ญ
    นับถือ นับถือ นับถือ
    ขอคารวะด้วยน้ำชาหนึ่งจอก
     
  5. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    เข้าใจหรือยังคุณเต่า ถ้าไม่เข้าใจถามพี่ภูหักภพได้อีกไม่อั้น
    ปัญญามีไว้พิจารณาไม่ใช่เอามาอวดฉลาด
    อวดรู้ อวดโง่ มีอยู่ในขันธ์ห้า
    สัญญาไม่ใช่ปัญญา
    อย่าเอามาปะปนกัน
    เข้าใจหรือยัง?

    การที่เธอนึกถึงพระพุทธประวัติ
    เธอนึกถึงใครเหรอ?
    เธอนึกถึงพระพุทธเจ้า
    หรือเธอนึกถึงสามีหรือญาติพี่น้องที่บ้าน
    เธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอ
    ว่าจิตเธอเลือกเกาะพระพุทธเจ้าพระสมณโคตม
    จิตเธอน้อมไปหาสมเด็จพ่อองค์ปัจจุบัน
    จิตเธออ่อนน้อมมาก
    แต่ขันธ์ห้าเธอมันเลวมาก
    เลวซะจนเอาปัญญาทางโลกไปขัดขวางการทำงานของจิต
    จิตจะเข้าไปหาพระ
    เธอก็เอาสัญญาไปรั้งเขาไว้

    ถูกต้องแล้วครูบอกให้เธอนึกถึงภาพพระบ่อย ๆ
    แต่เธอนึกภาพอื่นไม่ได้ใช่ไหม
    เธอนึกได้แต่ภาพพุทธประวัติหรือเรื่องราวของพระองค์ใช่ไหม
    การที่เธอนึกถึงพุทธประวัติ
    จิตเธอน้อมเข้าไปหาภาพในอดีต
    สมัยที่พระพุทธเจ้าเมตตาโปรดเวไนยสัตว์ใช่ไหม
    แล้วเธอยังจะสงสัยอะไร
    หรือเธอคิดว่าพระที่โปรดสัตว์อยู่นั้นเป็นใครที่เธอไม่รู้จักอย่างนั้นหรือ
    เธอจึงจะนึกถึงท่านไม่ได้

    ในเมื่อจิตของเธอนึกถึงพระพุทธเจ้าพระสมณโคตม
    แล้วเธอยังจะเอาความจำทางโลกไปยับยั้งจิตไม่ให้ึนึกถึงท่านอีกหรือ
    คำว่า "พระ" ครูไม่เคยบอกว่าเป็นพระพุทธรูปเพียงอย่างเดียว
    ตัวอย่างในกระทู้ก็มีให้เห็นหลายภาพ
    ทั้งพระพุทธรูป ภาพวาด ภาพพ่อแม่ครูบาอาจารย์
    จิตเกาะอย่างไหน จิตชอบอย่างไหนก็ให้ดูอย่างนั้น
    จิตเธอเกาะพุทธประวัติ
    เวลาเธอนึกถึงพุทธประวัติ
    เธอนึกแล้วเห็นภาพขึ้นมาในใจไหม
    ความรู้สึกที่จิตเธอเกาะอยู่กับภาพพุทธประวัติ
    มันดีหรือไม่ดีเล่า
    เธอน่าจะตอบจิตตนเองได้
    ถ้านึกถึงท่านแล้วรู้สึกดี เกิดปีติ สุข
    แล้วเธอยังจะลังเลสงสัยอะไรอีกหรือ

    ปีติ สุข มีอยู่องค์ฌานห้าใช่ไหม
    แล้วเธอทำสมาธิผิดพลาดหรือย่างไรเธอจึงไม่เข้าใจองค์ฌานห้า
    วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตา
    เข้าใจหรือยัง
    ถ้าไม่เข้าใจถามพี่ภูหักภพสิ้นสวาทขาดใจ
    ส่วนครูเพ็ญแวะมาแจกไม้กระแทกจิตติดอัตตา
    ขอตัวไปเดินเล่นก่อนนะ
    ส่งไม้ต่อให้พี่ภูละกัน
    แว้บบบบบบบบบบบบบบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2012
  6. klaichid

    klaichid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +807
    สาธุ สาธุ สาธุเจ้าค่ะ

    ไม้กระแทัก แจกให้ จิตตื่น
    ฟื้นขึ้นได้ หายกังขา
    ขอบพระคุณ. คุณพี่และครูบา
    ช่วยน้องยา หายขื่น. ชื่นในธรรม..
     
  7. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    อุ้ย คุณพี่พอใจชอบออกอ่าวด้วย ก็ลมมันเย็น นิ กลับมาถึงเลือดสาด อิอิ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เอ่อ ภู..หักภพเข้าใจทุกฝ่ายดีทุกอย่าง
    My point สำหรับตัวผมเองนะ(ไม่เกี่ยวกับใคร)
    ความรู้สึกผม หรือจิตผม ก็คือ ตัวผมเองนี่แหล่ะ
    ที่กล่าวมานี้นะ ทุกท่านก่อนจะดับจิตลง จะต้องละให้หมด ก่อนเข้านิพพาน
    ถ้าอย่างนั้น เข้านิพพานไม่ได้ เพระติดอารมณ์ตัวตนอยู่ลึกๆ
    จริงๆแล้ว นอกจากละกายเด็ดขาดแล้ว ยังละความรู้สึกและอารมณ์สุดท้ายตามไปด้วย
    ให้เหลือดวงจิตใสๆดวงเดียว
    จะเอาอะไรมาวัด ก็คือ เมื่อทำไปแล้วจิตของเรามันเบา มันว่างปานใด
    ความว่างนี่ยังติดกันอยู่มาก ก็คือ ว่างถาวรไม่เป็น
    ว่างที่นี้หมายถึง ว่างจากความเป็นมนุษย์ หรือ อารมณ์ที่พวกเรากำลังเป็นกันอยู่นี้
    นอกจากว่าง ก็ยังมีความบริสุทธิ์+ความเป็นกลาง
    ผมจะไม่เน้นตรงนี้มาก เพราะเมื่อผู้ปฎิบัติจะเข้าใจทันที
    แต่ถ้ายังเข้าไปไม่ถึงแล้ว พูดเท่าไหร่ก็จะไม่เข้าใจอยู่ดี
    แต่ถ้าเข้าใจแล้ว อารมณ์จะไม่กลับไปที่เดิมแน่นอน
    จิตนี่ฉลาดกว่าสติเยอะมาก จะตามทันก็ต่อเมื่อจิตเขาหยุดให้ดู
    เหมือนรถยังวิ่งอยู่ แล้วเราจะขึ้นรถได้ยังไง
    จิตก็เหมือนกัน จิตไม่นิ่ง ทั้งสติ+ปัญญาก็เข้าในจิตไม่ได้
    เมื่อทั้งสติและปัญญาไม่มีในจิตผู้ใด แล้วจิตจะไปแยกแยะได้ไหม๊ว่า
    อะไรคือดี(จริงๆ) อะไรคือชั่ว(จริงๆ) แต่ถ้าคนเราปกติแยกได้แบบอรหันต์
    ป่านนี้จะไม่มีคนทำผิด คนคุกก็ไม่มี คนตีกันหรือคนเบียดเบียนกันก็ไม่มี
    ถ้าคนเราเกิดมาแล้วจิตนิ่งทุกคน(สำรวมจิต) มีสติสัมปชัญญะครบทุกคนก็ดีสินะ
    ป่านนี้ก็เงียบกันทั้งโลก อยู่ใครอยู่มัน เพราะทุกคนดูจิต สนใจตนเองมากกว่าคนอื่น
    แล้วคนเราเกิดมาจะทุกข์ไหม๊ จะไปทำกรรมกันต่อเนื่องกันอีกไหม๊ (ไม่มี)

    นี่ไง ปกติจิต หรือธรรมชาติของคนเราไม่นิ่ง
    ที่คนกำลังปฎิบัติธรรมก็เพื่อมาทำให้จิตตนเองนิ่ง
    ไม่ใช่มาทำให้ผู้อื่นนิ่ง แต่ตนเองไม่นิ่ง อันนี้ก็ใช้ไม่ได้

    คนที่จิตไม่นิ่งยังไม่ต้องข้ามไปพูดเรื่องธรรมะ ยังไม่ต้องไปสอนเรื่องอื่น
    ให้พูดถึงหรือสอนแค่...
    จะทำอย่างไรให้จิตตนเองนิ่งได้
    การปฎิบัติธรรมจริง เขาเ้น้นกันตรงนี้
    เพราะตราบใดคนจิตยังไม่นิ่ง ก็ไม่มีวันที่จะเข้าใจคนอื่น อย่างอื่น สภาวธรรมอื่น
    เพราะแม้นกระทั่งตนเองก็ยังไม่เข้าตนเองเลย แล้วใครจะไปเข้าใจเรา
    มันไม่มีหรอก อย่าไปฝัน ว่าจะต้องมีใครสักคนนึงที่จะเข้าใจเรา
    ต่อให้คนที่รักเรา หรือ คนที่เรารักก็ตามที
    เพราะธรรมชาติจิตของคนเรานี้ ชอบอิสระ ไม่ชอบพันธนาการใดๆ
    ที่รักกัน เอาใจกันน่ะ นี่พูดแบบชาวโลกๆนะ
    อีกไม่นาน เมื่อทั้งสองฝ่าย มารู้ขี้พืชกัน หรือ ธาตุแท้หรือนิสัยจริงๆของคนนั้น
    เดี๋ยวก็ออกมาเอง ก็ต่อเมื่อ ได้มาอยู่ร่วมกัน
    จิตคนเรานี่ ขัดใจ ฝืนใจ เหมือนฝืนธรรมชาติ สรุปแล้วฝืนไม่ได้นานหรอก
    มันเกิดอาการอึดอัด รอวันแตก รอวันระเบิด
    บางคนชอบถามตนเองว่า ทำไม? ป่านนี้แล้วไม่มีคนมารัก มาขอสักที
    และรู้บ้างไหม๊ว่าตนเองนั้น น่าเบื่อที่สุด ไม่รู้ตัวหรอก
    เพราะวันนึงๆ ชอบเอาแต่ใจ เป็นลูกคุณหนู
    บางคนจะหาคนมาเพื่อเป็นคนขับรถ คนคอยรับใช้ ต้องคอยดูแลตนเอง
    ตกลงหาคู่เพื่อสนองกิเลสตนเองทั้งนั้นเลย
    นี่คือเรื่องของชาวโลกจบไป
    และไม่สงสัยเลยว่า ทำไม? ชาวโลกๆนั้น มันช่างยุ่งเยิง วุ่นวายกันนัก
    เพราะคนยุ่ง+คนยุ่ง= 2คนยุ่ง
    เข้าใจไหม๊
    ที่บอกว่าเข้าใจไหม๊ ทำไม๊คนอื่นไม่เข้าใจเรา ก็เพราะตัวเราเองก็ยังไม่เข้าใจตนเอง
    แล้วใครเขาจะไปเข้าใจคุณเล่า
    ยิ่งพูดก็ยิ่งง
    สรุปแล้ว ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นั้นถูกต้องที่สุดแล้ว
    ตรูเข้าใจตนเองก่อนดีกว่า อย่าไปรอให้คนอื่นมาเข้าใจตนเองก่อนเลย
    เพราะไม่มีคนเข้าใจหรอก ตราบใดถ้าเรายังไม่เข้าใจตนเอง

    เห็นมีแต่คนที่เข้าใจคนอื่นได้ ก็ต่อเมื่อ คนนั้นจะต้องเข้าใจตนเองเสียก่อน
    เช่น พระอรหันต์
    ตราบใดพวกเราจิตไม่นิ่ง ถือว่าจิตยังหยาบอยู่
    เมื่อจิตตนเองยังหยาบอยู่ ความคิดก็หยาบตาม
    สรุปแล้วคนส่วนใหญ่ที่จิตยังไม่นิ่ง จิตก็ยังคงหยาบ
    หรือ จิตยังเป็นมิจฉาทิฎฐิ(ความเห็นผิด)
    เมื่อคนเราคิดผิดอย่างเดียว ต่อไป ทั้งคำพูดคำจาและการกระทำก็จะออกมาผิดหมดเลย
    แต่ถ้าผู้ใดเข้าถึงจิต(กระแสจิตแห่งตน)ก็จะทราบได้ทันทีว่า อะไรคืออะไร
    เพราะจิตไม่นิ่งนั้นก็เปรียบเสมือน เด็กน้อยๆ
    ส่วนจิตที่นิ่งมากๆ เช่น จิตพระอรหันต์ เป็นจิตแบบผู้ใหญ่
    เพราะสติปัญญาย่อมต่างกันไปด้วย ก็ขึ้นอยู่ที่จิตละเอียดมากหรือน้อย

    ปล.ยิ่งพูดก็ยิ่งยาว ไม่ชอบพิมพ์(พิมUK ไม่เกี่ยวนะ)
    เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้ที่แข็งแรงกว่า ทั้งทางโลกหรือทางธรรม
    หรือผู้ที่มีจิตละเอียด ย่อมมีเมตตาแก่จิตผู้ไม่นิ่งด้วย
    เพราะจิตพระอรหันต์นั้น จะมีความเมตตาสูงนำหน้า และตบท้ายขบวนด้วย
    อุเบกขา
    ให้โอกาสพวกเขา โดยเฉพาะผู้ที่จิตยังไม่นิ่ง
    ถามว่าพวกเขาอยากจิตนิ่งเหมือนพวกเราไหม? (อยากนิ่งเป็นที่สุด)
    เพราะตราบใดถ้าจิตคนเรายังไม่นิ่งได้เนี๊ย เจ้าของจิตคนนั้น ก็จะต้องทนทุกข์อยู่นั้น หาทางออกจากทุกข์ไม่ได้ หรือชาตินี้ก็สุขไม่ได้
    เพราะความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ภายใน และจะต้องทำจิตให้นิ่งเสียก่อน
    จึงจะพบกับความสุขได้ ได้แก่ อานิสงส์หรือความสุขแรกๆ ก่อนที่จิตเกือบจะนิ่ง ก็คือ จิตจะเกิดปิติ แต่ถ้านิ่งมาก+นาน=ฌาน
    นี่ไงนักภาวนาส่วนใหญ่มักติดสุขจากฌานกันมาก
    เพื่อจะแกะออกกันมาได้ ยากมาก ใครพูดก็ไม่เชื่อ ไม่ทำตาม นอกจากครูบาอาจารย์หรือรอให้ปัญญาตนเองเกิดมากๆ จึงจะถึงบางอ้อ
    แต่มีจิตบุญถึงบ้างอ้าวหลายท่านเหมือนกัน
    บางอ้าว แปลว่า รู้คนเดียว พูดคนเดียว เข้าใจคนเดียว จะไปพูดคนที่ไม่ได้ปฎิบัติฏ้ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวเขาจะหาว่าเราบ้ารึป่าว?
    คือเรื่อง ปัจจัตตัง! คือผู้ที่จะเข้าตรงนี้ คือ ผู้ที่ปฎิบัติถึงแล้ว จิตจึงจะเข้าใจสภาวธรรมตรงนี้ได้

    และไม่สงสัยเลยว่า ผู้ปฎิบัติถึง ย่อมสนทนาธรรมกับ ผู้ปฎิบัติถึงด้วยกัน
    เพราะต่างก็เข้าถึงจิตพุทธ(ธรรมะตัวเดียวกัน) เวลาสนทนาธรรมกันก็จะไม่มีผู้จะไปขัดแย้งกัน จึงพูดกันยาวได้
    แต่ถ้าต่างฝ่าย ต่างปฎิบัติยังไม่ถึงทั้งสองฝ่าย สนทนาธรรมก็มักจะขัดแย้งกัน เพราะแะนั้นการสนทนาธรรมจึงหยุดไปโดยปริยาย
    จิตผู้เข้าถึงกระแสจิต กระแสธรรม ย่อมมักสนทนาธรรมกันไม่มีคำว่า เบื่อ
    ยิ่งผู้ใดจิตพัฒนาถึง จิตพุทธะได้ อันนี้พูดทั้งคืน หรือ ฟังทั้งคืนก็ไม่เบื่อ
    สำหรับจิตพุทธนี้ ไม่ต้องเอาคำปริยัติมาพูดคุยกัน
    ผู้ที่ชอบนำปริยัติมาคุยกันและท้ายสุดก็ทะเลาะกันจนได้
    คุณเคยเห็นพระอรหันต์ทะเลาะกันไหม๊?
    ผมเห็นแต่พระอรหันต์ปลอมทะเลาะกัน เพราะผมเชื่อว่า ถ้าจิตใครหลุดพ้นจริงๆ(จริงๆนะ) เจ้าของจิตผู้นั้น ไม่มีคำว่า เบียดเบียน ล่วงเกิน ขัดแย้ง คำว่าแพ้หรือชนะจะไม่รู้จัก คาบมนุษย์จะหายหมด หมูหมากาไก่หรือคนจะเท่านเทียมกันหมด ไม่ว่าตนเองหรือญาติหรือไม่ใช่ญาติท่านจะเมตตาเท่าเทียมกันหมด โดยมิได้แยก รู้อย่างเดียวว่า หลงมาเกิดกันหมด ไม่มีใครดีไปกว่ากัน ไม่มีใครชั่วไปกว่ากัน แต่ใครจะรู้สึกว่าตนเองชั่วก่อนเท่านั้นเอง

    ปล.วันนี้เทศน์ไปหนึ่งกัณฑ์ก่อนนะ
    แต่ถ้าใครไม่ชอบฟังก็ต้องขออภัยด้วย ข้ามไปนะ
    แต่ถ้าชอบก็ติดกัณธ์ด้วย อิอิ
    แต่ไม่ต้องติดด้วยเงินทองนะ แต่จะขอติดกัณฑ์เทศน์ ก็คือ ใจ
    ติดใจก็พอแล้ว ฮ่าๆ
    ธรรมะสบายๆ ธรรมะชาวบ้านๆ เพราะภู..หักภพเป็นคนธรรมด๊าธรรมดา

    สำหรับผู้ปฎิบัติใหม่ หรือ จิตยังไม่ค่อยนิ่ง เอาคาถาไปท่อง เช่น สตินะ..สติ ทำๆๆๆๆลูกเดียว
    อย่าไปสงสัยๆๆๆๆลูกเดียว สงสัยได้ แต่ต้องทำก่อน ไม่ใช่สงสัยนำหน้ามาเลย
    เพราะผู้ปฎิบัติอายุอานามมากแล้ว พวกคุณไม่ใช่เด็กอนุบาลนะ ถึงอนุบาลช่างปะไร

    สำหรับผู้ที่มีจิตละเอียดแล้ว ก็ต้องถาคาเหมือนกัน เช่น เมตตาธรรมโยมเอ๊ย นำหน้าๆ
    ให้คอยนึกว่า ตรงที่เธอเคยอยู่นั้น ข้าก็อยู่มาก่อนแล้วนะ กันลืมตัว
    อย่าเที่ยวหลงไปตำหนิเขานะ คนโง่มาก่อนกันทั้งนั้นแหล่ะ ก่อนที่จะฉลาดน่ะ
    ยกเว้นครูบาอาจารย์กับศิษย์ ที่ยังต้องการความรู้จากครู อันนี้ศิษย์ต้องทนทานหน้าด้านกันนะ
    ครูไม่ได้เห็นศิษย์เป็นกระโทนหรอกนะ ท่านด่าท่านรักนะ
    แต่ถ้าเราไม่ใช่ครูกับศิษย์กันนะ ถ้าขืนไปพูดแบบนั้น มีหวังครูจะโดนตบปากแน่ๆ
    กรุณาแยกให้ออกกันนะ
    ลองไปศึกษากันอยู่นะ ระหว่างหลวงปู่มั่นกับลูกศิษย์ของท่าน
    หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำก็เหมือนกัน ท่านจะเมตตาสูงมาก สำหรับศิษย์ตั้งใจปฎิบัติ
    ถ้าตรงข้าม หรือ ศิษย์ที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อันนี้จะโดนดีแน่ ดุครับ
    ครูตามโรงเรียน อาจารย์ตามมหา'ลัย ท่านดุเพื่อให้ศิษย์ได้ดี ได้เซอร์ได้วุฒิ
    แต่ครูบาอาจารย์สอนสั่งธรรม ท่านดุเพื่อให้พวกเราออกจากทุกข์เป็น หรือ ออกจากวัฎสงสารเป็น
    แล้วผู้เจริญหรือผู้มีปัญญา ย่อมจะแยกแยะได้เป็นอย่างดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 พฤศจิกายน 2012
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ต่อไปนี้ ภู..ทวิภพหรือหักภพ
    จะไม่ค่อยนำคำสั่งสอน หรือ คำบัญญัติ แม้นกระทั่งปริยัติ
    เพราะผมจะเน้นให้คุณเลือกเอาแต่แก่น จะพาพวกเราทานก๊วยเตี๋ยวแห้ง
    หรือจะมุ่งเน้นการปฎิบัติมากกว่า ปฎิเวธหรือปฎิยัติ
    เพราะสองตัวนี้ พูดมากไปก็ไม่มีความหมาย
    แต่ผมอยากให้คุณว่ายน้ำเอง ปีนต้นไม้เอง
    เพราะทั้งปฎิเวธ คุณจะรีบรู้ก่อนไปทำไม ว่าคนที่ปฎิบัติได้แล้วเขารู้สึกอย่างไร
    หรือเรื่องปริยัติ ก็เหมือนกัน เพราะพวกเราไปหาอ่านที่ไหนก็ได้ เพราะนั่นเป็นปัญญาของผู้อื่นทั้งนั้น
    พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้เชื่อด้วยปัญญาของตนเอง
    แต่ถามว่าปัญญาของตนเองนั้น มีหรือยัง?
    ปัญญาในที่นี้หมายถึง ปัญญาทางธรรม ที่ได้จาก จิตเป็นสมาธิ(ศีลสมาธิปัญญา)
    ตราบใดถ้าจิตยังไม่นิ่งกัน ก็ถือว่า ยังไม่มีปัญญานะ จงโปรดเข้าตามนี้ด้วย
    เมื่อพวกเรามีปัญญาแล้ว จิตก็จะเปลี่ยนจากมิจฉาทิฎฐิ มาเป็นสัมมาทิฎบฺทันที
    เมื่อเรามีปัญญาของตนเองแล้ว เราก็จะไม่เอาปัญญาของผู้มาใช้

    อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงผู้นำธรรมาทานมาสู่พวกเรานะครับ
    ผมหมายถึงตนเอง ผมจะพูดธรรมะทีีมันผุดออกมาจากจิตนี่แหล่ะ
    ขอเรียกธรรมะนี้ว่า ธรรมะสดๆ หรือน้ำตาลสดจากต้น
    อะไรสดๆ ไม่มีผู้ใดปฎิเสธหรอก ได้แก่ นมสด(นมบูด) ผลไม้สด(ผลไม้เน่า)
    สาวสดๆสาวชิงๆสาวเอ๊าๆ(สาวแก่แม่หม้ายแม่ร้าง) เป็นต้น

    นี่คือปฎิเวธ นี่คือผลสำเร็จหลังจากการปฎิบัติ
    แต่ปริยัตินั้น ขอให้ดูเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการปฎิบัติธรรมจะดีกว่า
    เช่น การปฎิบัติธรรมเบื้องต้น หรือ การฝึกดูจิต หรือ กรรมฐานเขาทำกันยังไง
    การทำสมาธิกันยังไง โดยเฉพาะเรื่องสติกับจิต ธรรมะสองตัวนี้ จะต้องรีบทำความเข้าใจให้มากๆ
    เพราะว่า ไม่มีครูไปตามสอนพวกเราในจิตหรอกนะ
    นอกจากปฎิบัติไปก่อน ออกจากสมาธิค่อยมาให้ครูสอบอารมณ์

    แต่การปฎิบัติจิตเกาะพระนี้ ซึ่งนับว่าพวกเรามีโอกาสดีมาก
    คือมันสะดวกสำหรับผู้ปฎิบัติในยุคปัจจุบันมาก
    เพราะเอาผู้ปฎิบัติสะดวก
    แต่ถ้าไปที่อื่น พวกเราก็ต้องรอให้ครูผู้สอนสะดวกก่อน
    ผิดกันนะ คิดให้ดีๆ
    เรียนในนี้แหล่ะดี เพราะใส่ชุดนอนก็ปฎิบัติได้
    เพราะที่นี่เน้นแก่น ก็คือ สติกับจิต อย่างอื่นไม่เกี่ยว

    ปล.ธรรมทั้งอย่าง(ปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธ) ต่างก็ขาดกันไม่ได้ สำคัญเท่าเทียมกันหมด
    แต่ผู้ปฎิบัติย่อมรู้ได้เองว่า อย่างไหนสำคัญกว่าสำหรับตนเองในเวลานี้

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 พฤศจิกายน 2012
  10. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    สาธุ ๆ ๆ กับธรรมะที่ท่านแสดง..สามารถมองเห็นเมตตาจิตอันเปี่ยมล้นของท่าน อ.ภูใหญ่ที่มีความเข้าใจต่อพวกเราชาวจิตเกาะพระ..ทุก ๆ คนค่ะ..

    เมตตาธรรมค้ำจุนโลก...พลังใหญ่จะคุ้มครองพลังเล็ก สังคมจะสงบสุข หากเรามีพรหมวิหารสี่ครบถ้วนทุกข้อ..ขออนุโมทนา..สาธุ ๆ ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 ธันวาคม 2012
  11. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]

    อดีตมันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว
    เจ้าจงมองดูที่ลมหายใจของตนสิว่า เมื่อสิบปีที่แล้ว,อดีตชาติที่แล้วเจ้าเคยหายใจอย่างไร จังหวะแบบไหนเจ้าจำได้หรือไม่?
    แล้วลมหายใจของอนาคตล่ะเจ้าจะรู้หรือไม่ว่าเป็นอย่างไร?
    ที่พูดไปนั้นเจ้าอาจจะนึกไม่ออก แต่ถ้าเจ้ากลับมาดูที่ลมหายใจปัจจุบัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นอย่างไร?

    เรื่องอดีต และอนาคตก็เหมือนกัน
    อดีตมันผ่านไปแล้ว
    อนาคตมันยังมาไม่ถึง
    แล้วเจ้าจะไปกังวล หรือยึดติด เสพติดเพื่อสุขใดกัน?
    สุขนั้นมันยั่งยืนเช่นนั้นฤๅ?

    เจ้ามีความสุขที่จมกับความรู้สึกในอดีต หรือฝันหวานกับอนาคตข้างหน้า โดยที่เจ้าไม่สนใจจิตปัจจุบันเช่นนั้นหรือ ลูกรัก?

    จงมองอดีต และอนาคต ด้วยปัจจุบัน
    เอาจิตเข้าสู่ความว่างให้ได้ อย่าไปยึดอะไรให้มาก ลูกรัก
    เมื่อยึดแล้วเจ้าจักทุกข์มาก รักมาก เกลียดมาก มันก็ทุกข์
    สุขมาก สบายมาก มันก็ทุกข์

    อย่ายึด อย่าติด จงปล่อยวาง แล้วเจ้าจะไม่หลง
    ขอให้เจ้าอยู่กับปัจจุบัน ด้วยสติ และศีลที่อยู่ในจิตเจ้า
    อยู่กับความว่าง
    "อยู่กับพ่อนะลูกรัก"
     
  12. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    จิตที่เห็นธรรมได้ คือ "จิตที่เห็นกฏไตรลักษณ์"
    ใครที่เข้าใจกฏไตรลักษณ์ได้ ผู้นั้นย่อมเข้าถึงความว่างในที่สุด
    เกิดเป็นคนเมื่อรู้จักแบก ก็ต้องรู้จักวาง
    เมื่อรู้ว่าหนัก ก็ต้องทำให้เบา
    หากเรารักจิตตนเอง รักนิพพาน รักพระพุทธเจ้า
    เราก็ต้องปล่อยวางเป็น ทำจิตให้ว่างเป็นเพื่อพระนิพพาน

    "กฏไตรลักษณ์" ต้องหมั่นพิจารณาบ่อยๆ
    เลือกเอานะ ระหว่าง "นิพพาน" กับ "รัก โลภ โกรธ หลง และการเกิด"
    เจ้าจะเลือกเอาสิ่งใด?
     
  13. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    อย่าได้เป็นห่วงกิเลสดิฉันเลยค่ะ ยังไงๆ ดิฉันก็มีปัญญาจัดการได้อยู่แล้ว..ใครจะมารู้ใจเรา เท่าตัวเราเอง..ขอโมทนากับครูที่กำลัง(พยายาม)ยกจิตกันทุกๆๆท่าน..สาธุ
     
  14. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    (k):cool: แหม ๆ ครูลินดา ก็ลมมันเย็นนนน ......
     
  15. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    นี่ตัวอย่างคำพูดของครูที่ดี..ครูลูกหว้า.."ดีแต่ปาก แต่จิตต่ำทราม.....
     
  16. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ชอบคุณพี่ภูมากนะคะ สำหรับคำสอนทุกๆอย่าง พี่ภูเป็นตัวอย่างของครูยกจิตที่แท้จริง จิตมีเมตตาไม่มีประมาณ ไม่เอียงกะเท่เร่ รู้สึกศรัทธาอย่างจริงใจ
    ปล..ขอตัวปลีกวิเวกนะคะ เบื่อธรรมะออนไลน์แล้วค่ะ
     
  17. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ขอฝากคำรักสั้นๆ..
    ..หาเวลาระหว่างวัน อยู่กับตัวเอง คุยกับตัวเอง ถามตัวเอง ตอบตัวเอง(อย่างซื่อสัตย์)ว่า คุณเป็นคนเช่นไร? คุณรู้สึกอย่างไร? คุณมาทำอะไรกัน? จิตของคุณดีจริงแท้ แน่หรือ? อารมณ์เป็นประธาน อารมณ์เป็นใหญ่ จัดการกับมันให้ได้ซ่ะก่อน อย่างอื่นเรื่องเล็กนิดเดียว..ขอให้สำเร็จกันทุกท่าน ทุกคนเทอญ..ขอโมทนา..
     
  18. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    *** ขอบคุณทุกๆ คนค่ะ พี่ภู ครูเพ็ญ ครูน้องเกษ ครูลูกพลัง ครูดาว พี่พอใจ และเพื่อนร่วมโต๊ะ (คุณ pegaojung) ***

    ป.ล. หลังจากที่ครูลูกพลังให้ไปดู กรรมบท 10 ก็เลยเข้าใจว่า ศีล 5 ไม่พอจริงๆ ค่ะ ยังมีประชด ส่อเสียด รึ มโนกรรม อยู่ค่ะ พยายามค่อยๆ ปรับค่ะ อาจจะต้องใช้เวลา เคยบ่นกับรูปหลวงพ่อ...ว่า พระอรหันต์ที่บ้านเนี่ย เหมือนดาบ 2 คม เลยคะ ทำดี ได้ 2 เด้ง แต่ถ้าทำไม่ดี ก็ บาปหนัก 2 เด้งเหมือนกัน ยากจริงๆ ลูกจะพยายามค่อยๆ ลด ค่อยๆ ละค่ะ
     
  19. ดำรงธรรมะ

    ดำรงธรรมะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2012
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +114
    ลองฝึกแบบนี้ดูสิครับ ให้มั่นท่อง คำว่า นะมะพะธะ โดยหายใจเข้าท่อง "นะมะ" หายใจออก"พะธะ"เพื่อทำให้จิตของเรามีความเป็นทิพย์เต็มกำลังเสียก่อน ไม่ว่าจะเดิน นั่ง นอน มั่นท่องบ่อย ๆ เมื่อจิตเป็นทิพย์เต็มแล้ว ให้จิตจับภาพพระหรือพุทธรูป ที่เราชอบ ผมว่าน่าจะจับภาพพระได้แล้วนะ ลองดูนะครับ ตามแบบอย่างการฝึกมโนฯ
     
  20. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    เอาใจช่วย น้องเต่าโบราณนะคะ หากน้องตั้งใจจริงและรักพระพุทธเจ้าขนาดนี้ ต้องทำสำเร็จแน่ค่ะ บอกจิตตนเองไว้เลยว่า สำเร็จแน่ สำเร็จแน่ ในชีวิตนี้คนเราทำอะไรยากๆมาแล้วมากมาย แค่เพื่อร่างกายที่จะผุพังในอนาคต แล้วนีจิตที่จะพาเราไปยังที่บรมสุข ตลอดไปใยจะไม่ตั้งใจทำเชียวหรือ แต่อย่าลืมนะคะทำด้วยใจเบาๆ สู้ๆค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...