เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    DSC05907-1.jpg

    รูปซ้ายมือธัมมวิโมกข์ปีที่ 1 ฉบับรวมเล่ม 1-8 ขวามือธรรมวิโมกข์ปีที่ 2 ฉบับรวมเล่ม 9-18
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2019
  2. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    บทความสาระน่ารู้ : เรื่องราว มหาทุคตะ ( จนข้ามภพ รวยข้ามชาติ )

    เอามาให้อ่านครับ ตอนพระโพธิสัตว์ เกิดเป็นคนจนมากๆ ขอข้าวกิน แต่อาศัยมีมิตรดี ชวนให้ทานกับพระพุทธศาสนา เลยรวยทันทีเลย (สนุกมากครับ แล้วผมอ่านน้ำตาไหลเลย ปลื้มปิติ)
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    1.jpg
    2-1.jpg

    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UKXPcJoxNeCeq8Qj6VcrpZ9oLzzIAtWA-wKkNLhHfIF-.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2018
  4. ลืมบ่อย

    ลืมบ่อย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +88
    พี่วรรณครับรูปหลวงพ่อที่ยืนที่หัวเรือนี่หลวงพ่อกำลังทำอะไรอยู่ครับพี่
     
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    ไม่ทราบเลยครับ แต่คิดว่าหลวงพ่อน่าจะทำพิธีเกี่ยวกับการปล่อยเรือลงน้ำ อะไรประมาณนี้ครับ

    ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ
     
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    68822_49455505994110a.jpg



    ริเริ่มจัดงานธุดงค์


    ธุดงค์นี่อันที่จริงก็เป็นดำริของหลวงพ่อ ท่านเคยไปตรวจงานเหมือนกัน บอกว่าต่อไปสถานที่นี้เป็นที่ธุดงค์ พวกแกก็เปลี่ยนกันมาซี จะให้อยู่เป็นเดือนเลยด้วยซ้ำ ใครอยากจะอยู่ก็อยู่ไปเลย สักเดือนครึ่งเดือนก็เปลี่ยนกันไป เปลี่ยนกันทำงาน เปลี่ยนกันทำ

    อันที่จริงก็คงจะเป็นท่านคอยช่วยด้วย เพราะเราไม่เคยคิดเลยในใจ เพราะเราไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ พอตรวจงานพระสุรจิตนี่จะรู้ ไปตรวจงานท่านจะดำริ พระสุรจิตท่านควบคุมงานก่อสร้างอยู่ ไปกับหลวงพ่อก็เล่าให้ฟังว่า ตรงนี้ต่อไปจะเป็นสถานที่ธุดงค์นะ พวกแกก็เปลี่ยนกันมา

    พอท่านมรณภาพแล้วก็ เอ๋ จะคิดอะไรนะที่ทำให้คนที่มาวัดแล้วกลับไปได้บุญมากที่สุด เรื่องอะไรท่านก็ทำหมดแล้วใช่ไหม ก็มาเรื่องปฏิบัติธรรมนี่นะถึงจะตรง ต้องรักษาจิตใจของคน ถ้าจิตคนดี วัดก็ทรงตัวอยู่ได้ กิจกรรมอะไรถึงจะทำให้คนรวมตัวกัน เราก็คิดว่าคนจนไปวัดได้ ก็คิดได้เรื่องธุดงค์นี่แหละว่า หลวงพ่อท่านมีสัจจะบารมีดีมาก พูดคำไหนเป็นคำนั้น

    เรื่องธุดงค์นี่หลวงพ่อเคยมาสอนที่สายลม เรียกว่าธุดงค์ในวัด คือเมื่อหลวงพ่อมรณภาพแล้วนี่ ก็ไม่รู้ว่าจะทำงานอะไร เพื่อว่าให้คนที่ไปวัดได้ประโยชน์มากที่สุด ประโยชน์มากที่สุดก็คือการปฏิบัติธรรม

    การปฏิบัติธรรมบางครั้งเราอยู่บ้านเราก็ตามใจตัวเองมากไป จะตั้งใจนั่งสมาธิตอนเช้ามืด พอเช้ามืดตื่นไม่ไหว ขอเป็นพรุ่งนี้เถอะ บางคนก็สวดมนต์ อย่างวันนี้สวดอิติปิโสกัน ก็ยังมีฉบับย่ออีก ฉบับย่อก็คือ จะจำไว้ก็ได้นะ ยกมือไหว้แล้วบอก “วันนี้สวดเหมือนเมื่อวานนะ” กะทัดรัดดีไหม

    “หลวงพี่ระวังจะโดน หลวงพี่วันนี้หนูถวายเหมือนเมื่อวานนะคะ”

    ไม่ใช่เราทำ ชาวบ้านเขามาเล่าให้ฟัง ธุดงค์นี้แม้แต่พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเป็นของดี เทวดาก็ว่าเป็นของดี ธุดงค์เป็นข้อวัตรปฏิบัติ เป็นตบะ ทำความเพียรเพื่อเผากิเลส ทีนี้เราอยู่บ้านเราก็ตามใจตัวเอง ถ้าไปอยู่สถานที่ธุดงค์ต้องปฏิบัติตามข้อวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่ไม่ถึงกับเครียดนะ

    คือถือกรรมบถ 10 โดยเคร่งครัด ถ้าใครถือกรรมบถ 10 ไม่ได้ จะไม่ให้เข้าไปในเขตนั้น จะให้มาอยู่ข้างนอก ถ้าเขตธุดงค์จะไม่ให้คนไปเจี๊ยวจ๊าวในเขตนั้นเลย แม้แต่ญาติที่ไปเยี่ยมก็ห้ามเข้าไปในเขตนั้น คือจะให้คนไปตามให้คนที่อยู่ในนั้นออกมาข้างนอก พบกันข้างนอกก็ไม่มีอะไรมาก ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ให้ถือกรรมบถ 10 โดยเคร่งครัด

    สำหรับพระให้ถือธุดงควัตร คงไม่ถึง 13 ข้อหรอก เอาแค่ข้อที่เราปฏิบัติได้ จะให้ไปอยู่ริมกำแพงรั้วโน่น แถวนั้นผจญภัยหน่อย อาจจะมีญาติมาเยี่ยมกลางคืนบ้าง

    “ญาติประเภทไหนครับ”

    ประเภทไม่มีเท้า แถวนั้นกลางคืนมีงูเหลือมเหมือนกัน เพราะกำแพงวัดติดกับป่า คือป่าที่หลวงพ่อจะซื้อนั่นแหละ เป็นป่าไม้เก่า ไม่มีใครทำมาหากินเป็น 20-30 ปีมาแล้ว มีสัตว์พวกนี้อาศัยอยู่เหมือนกัน

    ทีนี้ก็มาตรงกับหลวงพ่อที่ว่า ท่านชี้ให้ดู บอกพระสุรจิตที่ไปตรวจงานกับท่าน ท่านชี้ให้ดู ต่อไปแถวนี้นะเป็นสถานที่ธุดงค์ทั้งนั้น ก็ตรงกับใจของเราคิด ก็คงจะทำติดต่อกันไปได้ จะไปคัดลอกหนังสือที่หลวงพ่อสอนมาแล้ว คัดลอกลงในหนังสือธัมมวิโมกข์เรื่อยๆ อานิสงส์การปฏิบัติธุดงค์เป็นอย่างไรบ้าง ข้อนี้มีอานิสงส์อย่างไร ระเบียบของวัดเป็นอย่างไร

    “แต่ที่ปัญหาเขาถาม เขาถามธุดงค์ของหลวงพี่นะครับ ไม่ใช่ธุดงค์ของชาวบ้านนะครับ”

    ยังไม่เคยเลย เพราะอยู่กับหลวงพ่อ ไม่ได้ออกไปไหนเลย ไปอยู่ครั้งเดียวตอนตรุษจีน ไปวัดโขงขาว ไปตอนนั้นก็โดนผีหลอก คือไม่ค่อยลาท่านไปไหนเลย เวลาเขาออกธุดงค์กัน หลวงพ่อท่านมีวิธีดัดพระ เวลางานมากท่านก็เบื่อใช่ไหม ไปธุดงค์ดีกว่า

    หลวงพ่อถือว่าไอ้พวกนี้ลาหนีงาน ท่านก็บอก แกไปได้นะ 5 เดือนห้ามเข้าวัดเด็ดขาด พอไปได้สัก 3 เดือน คงจะอดอยาก มาเดินเลาะอยู่ข้างวัด ได้ข่าวว่าอยู่วัดนั้น วัดนี้ เข้าวัดไม่ได้

    มีอยู่องค์หนึ่งบวชไล่ๆกัน ชื่อพระประดิษฐ์ เป็นนักศึกษาอยู่ธรรมศาสตร์ ยังไม่ทันจบ ลาออกเลย แกก็อยู่วัดบ้าง เดี๋ยวไปธุดงค์บ้าง พอลาครั้งที่สองท่านเอาเลย “ประดิษฐ์ แกไม่เป็นพระอรหันต์อย่ามาวัดนะ” ปิดประตูเลย

    ตอนนี้ได้ข่าวว่าอยู่ที่เกาะสีชังพวกกัน บวชหลังฉัน 3-4 พรรษา พี่โอแก่กว่าพรรษาหนึ่ง แต่พี่โอเขาไปเรื่อย เราไม่ค่อยไปไหน ไม่ใช่ดีอะไร อยากอยู่ช่วยหลวงพ่อ คือ หลวงพ่อใหม่ๆมีศัตรูมาก เกี่ยวกับเรื่องวัดเรื่องวา ขนาดจะฝังลูกนิมิตอยู่แล้ว ยังฝังไม่ได้เลย

    เจ้าอาวาสองค์เก่าน่าดู ขนาดจะขุดแท็งค์น้ำ เจ้าอาวาสเอาพวกมาขุดถังส้วมติดกับเราเจาะประปา เจ้าอาวาสใหญ่โตน่าดู เดี๋ยวนี้ก็ยังมีหลักฐานอยู่ ตรงแท็งค์น้ำข้างโรงฉัน ยังมีถังส้วมอยู่ ตอนนั้นน่าหวาดเสียว

    เจ้าอาวาสท่านคบพวกขี้เมาทั้งนั้น ตอนเย็นขุดถังส้วม หลวงพ่อก็เดินไป ฉันก็เดินตาม เดินไปทางต้นโพธิ์ข้างวิหารพระองค์ที่ 10 ปัจจุบันนี้ สักประเดี๋ยวหลวงพ่อเดินวกเข้าไปหาพวกมันเลย เราก็ตามท่านไป มันกำลังขุดส้วมอยู่

    หลวงพ่อถามทำอะไรกันน่ะ มึงหยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวมีเรื่องแน่ หลวงพ่อองค์เดียว พวกมันตั้ง 10 คน เงียบกริบ หลวงพ่อนี่มีอำนาจจริงๆ มันไม่กล้ากระดุกกระดิกเลย รุ่งขึ้นก็ไม่หยุด เจ้าอาวาสให้ท้าย เลยให้จ่าตระกูลไปแจ้งสาธารณสุข เขาก็ระงับไม่ให้ขุดทำส้วม

    เรื่องการสร้างวัดเรา หลวงพ่อสร้างมาด้วยความยากลำบาก หลวงพ่อทุกข์ยากมาก จะฝังลูกนิมิตยังฝังไม่ได้เลย

    “เรียกว่าอุปสรรคขั้นต้นเริ่มไปอยู่ก็มีแล้ว ใช่ไหมครับ”

    มีแล้ว กว่าหลวงพ่อจะปูพื้นฐานไม่ให้กินเหล้า ไม่ให้มีการพนันนี่ เพราะเจ้าอาวาสเขามีครบหมดแล้วนี่ หลวงพ่อกว่าจะเบรคพวกนี้ได้ก็นาน ตอนนี้เราก็สบายแล้ว ประเพณีเราไม่มี

    จะเล่าถึงพระออกธุดงค์ พอมันเซ็งพระก็จะออกสิ ออกไปธุดงค์ บางองค์ก็ออกไปทางหลวงปู่วงศ์ พอไปสัก 7 วัน เขียนจดหมายมาแล้ว อยู่ไม่ไหว กลับมาก็สึกกันรูดเลย ถ้ามันผ่านจุดนี้ไปได้ก็ดี มีอะไรก็เก็บไว้ในอก พอระเบิดตูม สลัดผ้าเหลืองไปเลย เหมือนความร้อนอยู่ในอก ปล่อยให้มันระบายเสียบ้าง ถ้ามันอั้นเต็มที่ ถึงเวลามันระเบิดเลย ส่วนเรานี่ปากเปราะ มีอะไรก็คุยให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็ว่าอย่างโน้นอย่างนี้ คุยกันไปก็ช่วยได้เยอะ

    “รุ่นธุดงค์ปลากระป๋องสึกกันหมดเลยหรือครับ”

    สึกหมด หลวงพ่อทักตอนกลับมา “เฮ้ย... (ออกชื่อ) ไปธุดงค์มาเหรอ เห็นอะไรกะเหรี่ยงมาวะ” หลวงพ่อพูดตรงกว่านี้ น่าเสียดายทุกองค์ต่างก็ตั้งใจมาบวชตลอดชีวิต

    “แล้วหลวงพี่อยู่อย่างไรครับ จนมาถึงบัดนี้”

    อยู่มานี่จะว่าเช้าชามเย็นชามก็พอใช้ได้นะ คือว่าตึงเกินไปก็ไม่ไหว หย่อนเกินไปก็ไม่ได้ดี จริงที่พระพุทธเจ้าว่า ต้องเดินสายกลางมัชฌิมาปฏิปทา

    (จากหนังสือ "ที่ระลึกงานกตัญญูกตเวทิตามงคล" หน้า 71-74)


    ธุดงค์ในวัด


    ธุดงค์ในวัดที่จะจัดให้มีขึ้นในเดือนธันวาคมปี 2536 นี้ จะแทรกสังคหวัตถุ 4 และกรรมบถ 10 ไปด้วย ถือว่าเข้าไปในเขตนี้แล้ว ต้องตั้งใจทำให้ดี ธุดงค์มีทั้งหมด 13 ข้อ แต่มีบางข้อที่เราเอามาใช้ได้ ข้อที่ 1 กินข้าวมื้อเดียว ข้อที่ 2 นั่งเป็นวัตร ข้อที่ 3 เขาจัดสถานที่ไหนก็ต้องอยู่ในสถานที่นั้น อานิสงส์คือผลที่จะได้กับเรา

    1. จัดสถานที่ให้อยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่ติดในความสะดวกสบาย มีความเป็นอยู่สันโดษ

    2. นั่งเป็นวัตร ทำให้เรามีสัจจบารมี มีอธิษฐานบารมี

    3. ข้อที่กินมื้อเดียวนี่ทำให้คนไม่มักมากในการกิน จะทำให้การบำเพ็ญภาวนาได้ดี

    อานิสงส์นี่ไม่ใช่หลวงพี่บอกเองนะ ในพระไตรปิฏกเขาจะบอกไว้เลย สมัยพุทธกาลเขาบอกไว้แล้ว

    “นั่งเป็นวัตรทำอย่างไรค่ะ”

    หลวงพ่อท่านสอนบอกว่าให้อธิษฐาน บอกว่านับตั้งแต่บัดนี้ถ้าเรานั่งลงไปจะไม่เอามือค้ำภายใน 10 นาทีนี้ หรือ 15 นาทีนี้ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ใช่อธิษฐานทั้งวันทั้งคืน เอาเวลาน้อย มันเป็นสัจจะ พอสมาทานธุดงค์ข้อนี้แล้ว เรายอมตาย 10 นาที ต่อไปนี้เรายอมตาย มันก็มีกำลังใจที่จะภาวนาซิ คือบังคับตัวเอง คือสัจจะของเราบังคับตัวเราเอง

    “ผู้หญิงจะให้อยู่ที่ไหนคะ”

    ผู้หญิงจะให้อยู่ที่ 25 ไร่ มีห้องพัก 200 กว่าห้อง ถ้ามีคนน้อยจะให้อยู่ห้องละคน คนมากจะให้อยู่ห้องละสอง มากไปจะให้อยู่ห้องละสาม

    “การแต่งตัวอย่างไรคะ”

    ก็แต่งตัวธรรมดา สุดแล้วแต่จะสะดวกอย่างไร เขาไปฝึกใจกันนี่ เน้นที่จิตใจกับการปฏิบัติ เข้าไปเขาจะมีปฐมนิเทศก่อน ข้อปฏิบัติทำอย่างไร ข้อบกพร่องเป็นอย่างไรที่เขาจะเชิญออกมาจากที่ปฏิบัติ คือจะทำให้สถานที่มันศักดิ์สิทธิ์

    “ญาติเยี่ยม ได้ไหมค่ะ”

    ถ้ามีญาติเยี่ยมจะให้คนไปตามมาพบคุยกันที่ 12 ไร่ ไปอยู่ด้วยกันร้อยพ่อพันแม่ ใครจะอึดหรือใครจะอัดกว่ากัน 3 วัน 7 วันนี้ใครจะตบะแตกก็รู้กันละ จะอยู่ 3 วันก็ได้ 7 วันก็ได้ ที่จัดทำธุดงค์ขึ้นนี้เพราะมันตรงกับที่หลวงพ่อสอนเรื่องธุดงค์ในวัด

    ท่านบอกว่าไม่จำเป็นจะต้องออกป่าใหญ่ แต่เน้นในการปฏิบัติ เราจะอดอึดอัดได้ขนาดไหน มันเป็นประโยชน์แก่เรา อยู่ที่บ้านตั้งใจจะนอนภาวนาสักหน่อย เจอหมอนนิ่มๆ พุท-โธ ไม่ทันไรไปเสียแล้ว มาฝึกอย่างนี้ดี

    “ตื่นเวลาเท่าไหร่ค่ะ”

    บางคนจะให้ตื่นตีสี่ แต่ตื่นตีห้าก็ได้ จะเปิดเสียงตามสาย ตอนเช้าก็ใส่บาตรกัน ทำวัตรเช้าพร้อมกัน กินข้าวแล้วก็พักผ่อนไป พักไปถึงเที่ยง จะปรึกษากันดูว่า จะฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังสัก 2 วันดีไหม

    จะลองดูเพราะไม่เคยฝึกเต็มกำลังมานานแล้ว หลังจากนั้นก็ฝึกแบบครึ่งกำลัง ไปฝึกที่ 12 ไร่ ที่กว้างเต้นกันได้ดี

    “คนที่ไม่อยู่ธุดงค์ฝึกได้ไหมค่ะ”

    ฝึกได้ หากว่าทำดีแล้วเราจะถือให้เป็นระบบของวัดไป นานๆ ปีหนึ่งเราตั้งใจไปฝึกสักครั้งหนึ่งให้เป็นเรื่องเป็นราว หลวงพ่อเคยพูดเหมือนกัน แต่พูดลอยๆไว้ ต่อไปเราก็คงจะทำเหมือนเขานี่ อย่างที่บวชชีพราหมณ์กันมากๆ เราก็นึก เอ... หลวงพ่อเมื่อไรจะทำสักที ก็ไม่ได้ทำ

    พอหลวงพ่อมรณภาพแล้วก็มาคิดว่า จะทำอย่างไรให้มันเป็นกิจกรรม กับคนที่เขามาปฏิบัติธรรมธุดงค์ หลวงพ่อก็สอนดี เทปก็มีอยู่ แต่เรายังไม่เคยจัดสักที

    เรื่องธุดงค์นี่แม้แต่เทวดาก็สรรเสริญ พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ เป็นตบะ ความเพียรอย่างหนึ่ง ที่จะเผากิเลสของตัวเอง แต่ไม่ใช่อยู่ธุดงค์แล้วจะวิเศษกว่าคนอื่นนะ อย่าไปถืออย่างนั้น ถือว่าเป็นการประพฤติความดีอย่างหนึ่งที่จะเร่งรัดตัวเอง

    ***และงานธุดงค์ก็กลายมาเป็นงานนิยมยอดฮิตประจำปีของวัดท่าซุง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 เป็นต้นมา***


    (จากหนังสือ "ที่ระลึกงานกตัญญูกตเวทิตามงคล" หน้า 74-76)

    25074839_10214408177821105_1617437424723651671_o.jpg

    (สนทนาที่สายลม เดือนธันวาคม 2537)

    เรื่อง การบวชพระถือธุดงค์

    ผู้ที่มาให้ใหม่ก็ดีนะ วันที่ 15 ธันวาคมนี่ จะบวชพระตอนนี้มาสมัครแล้ว 70 กว่าองค์ พระที่เราบวชนี่ต้องฝึกมโนมยิทธิได้ คือต้องมีศีล ต้องมีสมาธิอยู่ก่อนถึงจะรับบวชนะ

    "อ๋อ อย่างนี้ใครจะไปบวชนี่มีศีลสมาธิบวชได้เลย ไม่ต้องฝึกมโนฯหรือครับ"

    ต้องฝึกสิ คือต้องมีสมาธิถึงจะฝึกมโนฯได้ ใช่ไหม คือต้องฝึกมโนฯได้ สอง ต้องท่อง
    ขานนาคได้ถึงจะบวช คือที่แล้วๆมาบางครั้งประสบการณ์จากที่แล้วๆมานี่ บางอย่าง
    ผู้ปกครองบังคับให้ลูกไปบวชสร้างปัญหา คือว่าอึดอัดใจน่ะ ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา บางคนหนีเมียมาบวช หนีเมีย คือว่าบวชแล้วเมียไปตามเจอ ก็ต้องสึก

    "อ๋อ อย่างนี้ก็มีในประวัติศาสตร์หรือ"

    อย่างนี้มีมาแล้ว สอง พวกรับจ้างเขาบวช ฉันบนไว้ไม่มีเวลาจะบวช ให้คนนี้ไปบวชแทน ทีนี้ก็จะสร้างปัญหาคืออึดอัด จะทำอะไรก็วุ่นวายไปหมด แค่สามวันเจ็ดวันนี่
    ก็วุ่นวายแล้ว ทีนี้เราจึงคัดคนที่มีศรัทธาแท้ไปบวช คือต้องไปสมัครด้วยตัวเอง ต้องฝึกมโนมยิทธิได้ ต้องผ่านการเซ็นรับรองของครูที่เขาฝึกให้ และต้องฟังพระอบรมก่อน พระเจ้าหน้าที่เขาจะอบรมก่อนว่าบวชเป็นยังไงๆ

    บางคนโรคประสาท เป็นประสาทอยู่แล้วเราก็ไม่รู้ ตอนอยู่กับเราไม่เป็นนี่ พอบวช
    แล้วก็มีฤทธิ์ขึ้นมา เอ้อ...ปีนี้ไม่ไป ให้เมียไปสมัครแทน แน่...มีการหลบอย่างนี้เหมือนกันเราจำได้นี่ ก็เลยเออ...เอา ใครจะมีปัญหามาเราก็แก้ปัญหาตามกัน

    พอบวชแล้วก็จะให้สมาทานธุดงค์ วันแรกก็จะให้ฉันข้าวสองมื้ออยู่สักสองวัน วัน
    เสาร์ให้สมาทานธุดงค์ก็ให้ฉันมื้อเดียวเลยแล้วก็ไปอยู่ป่าโน่น ไปอยู่ป่าหลังวัด คณะ
    พระประแดงก็ไปถางไว้เสียอย่างดีเลย งูเงี้ยวก็คงจะหายไปไหนหมดแล้วละ เพราะว่าเตียนหมดแล้วนี่ เสียดายงู (หัวเราะ)

    ฝึกมโนฯเต็มกำลัง พวกที่มาใหม่ที่ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิ ก็ไม่จำเป็นนี่ เพราะว่าคนไม่เคยฝึกก็ฝึกได้ เพราะเต็มกำลังนี่มันไม่จำเป็นต้องเคยฝึกมาก่อน

    "บางคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่นี่จะไปฝึกได้หรือครับ"

    คนไม่รู้อิโหน่อีเหน่นี่อาจจะฝึกได้ดี คนรู้มากอาจจะไม่ค่อยได้ดีเท่าไร พอรู้มากพอ
    เต้นปั๊บก็สงสัยเอ๊ะจะเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้


    "อ๋อ ไอ้แบบโง่ๆ ไม่รู้อีโหน่อีเหน่นี่กลับได้ดี"

    คือไม่ค่อยสงสัยไงล่ะ ไอ้คนฉลาดนี่คอยจะสงสัย พอเต้นหรือคนอื่นเต้นมั่ง ตัวเราจะเต้นมั่ง ตัวเกร็งมั่ง ก็สงสัยจะเป็นนั่นจะเป็นนี่ เลยไม่ต้องไปไหนกันละ ไม่ต้องไปไหนกัน คือไอ้ฉลาดก็ไอ้ฟุ้งซ่านมากนี่แหละ ไม่ใช่อะไรหรอก คือฉลาดไม่สมควรเวลาฉลาดตอนนี้เวลาฝึกสมาธิให้เป็นสมาธิ คือจะไม่มีครูไปช่วยมาก เราให้ภาวนาแค่ นะมะ พะธะ ก็รู้แค่ นะมะ พะธะ นี่ก่อน

    ภาวนา นะมะ พะธะ นี่ ถ้าเกิดแสงไม่มาก็ไม่ต้องไปนึกตามหาแสงที่ไหน พอภาวนา นะมะ พะธะๆ ถ้าร่างกายมันจะเกร็งหรือมันจะภาวนาถี่ขึ้นมาก็ปล่อยมัน มันถี่ก็ปล่อยให้มันถี่ พอมันถี่ไอ้เราก็อุ๊ย...จะไปแล้วมั้งนี่ ไอ้นี่ก็ตกอีกแล้ว ถ้ามันจะภาวนาถี่ก็ปล่อยให้มันถี่ไป ตัวมันจะเกร็งยังไงก็ปล่อยให้มันเกร็งไป เรารู้องค์ภาวนาเฉยๆไปเรื่อยๆ ถ้าแสงพุ่งมาจากข้างบนก็ดี ข้างล่างก็ดี อ้อแสงมาก็ภาวนาตามไปเรื่อยๆ อย่าไปอยากวิ่งออกหน้าแสงไป รู้ว่าแสงมันไปแล้ว เราก็จับแสงไปเรื่อย ภาวนาไปเรื่อย ถ้าแสงจะพุ่งขึ้นสูงเราก็ดูตามไปเรื่อย พอมันไปถึงที่สุดแล้วจะไม่ไปแล้ว มันจะเห็นหมดแล้ว

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 166 มกราคม 2538 หน้า 83-84)


    ฝึกเต็มกำลัง (ต่อ)

    คืออยากให้ไปฝึกเต็มกำลัง เพราะว่าปีหนึ่งจะฝึกครั้งเดียว แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องเคยฝึกครึ่งกำลังมาก่อน ปีกลายเห็นคนไม่เคยฝึกได้กันเยอะนี่ ถ้าได้เต็มกำลังแล้ว

    ตอนนั้นหลวงพ่อท่านฝึก ท่านก็เล่าให้ฟัง ที่ท่านปัสสาวะไม่ออกนั่นเพราะว่าท่านบอกท่านจะทำบุญใหญ่ ฝึกเต็มกำลังน่ะถือว่าทำบุญใหญ่ พวกนี้ไปแล้วจะไม่กลับมา มารจึงมาริดรอนท่านให้ปัสสาวะไม่ออก 2 วัน ท่านบอกว่าเป็นมาตั้ง 2 วันแล้ว

    ท่านบอกว่าพวกได้เต็มกำลังนี่ส่วนมากไปแล้วจะไม่กลับ มันมีอานิสงส์สูง เพราะว่าไปเห็นมาแล้วนี่ แล้วไปเห็นไม่ใช่ฝึกครึ่งกำลังอย่างนี้ มันเห็นเหมือนดวงอาทิตย์ขึ้น 2 ดวง มันสว่างไสวอย่างนั้นไม่เหมือนไปเดือนหงายอย่างนี้ คือไปเหมือนดวงอาทิตย์ขึ้น 2 ดวง มีความแจ่มชัดมาก แล้วก็ใครไปก็เห็นกันนี่เห็นเหมือนขึ้นไป

    พวกที่ไปเต็มกำลังได้นี่จะไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิอีก เพราะเชื่อแล้วว่ามันมีจริงนี่ มันไปเห็นกับตัวเอง ใครจะพูดยังไงมันก็ลบล้างยาก

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 166 มกราคม 2538 หน้า 85)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2019
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    2.jpg

    เรื่องฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง



    ไอ้ขวัญปีนี้พอฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังเสร็จ ไอ้ขวัญก็ดีใจ เห็นมันร้อง น้ำตามันปริ่ม ตาแดงนี่ บอกเฮ้ย ไอ้ขวัญได้หรือเปล่า บอกอู้หูหลวงพี่ ฝึกมาตั้งสองปีแล้วนี่ อีตรงนี้เพิ่งได้เอง บอกเออๆ เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังนะ ให้คนวายเสียก่อน พอวายแล้วนี่ ไอ้ขวัญ ไอ้ป้อม แล้วพี่สาวไอ้ป้อมก็มา ยืนอยู่ข้างหลังไอ้ขวัญ ไอ้ป้อมก็ยืนอยู่ข้างหน้าก็เล่า ไอ้ขวัญก็เล่า แหม.. มองเพชรที่พระบาทพระพุทธเจ้า มองเพ่งๆๆ ก็สว่างเต็มไปหมดเลย อู้หู..สวย จริงๆ ก็เล่า แหม..หนูโง่มาตั้งนาน มันก็เล่าเรื่อย

    ไอ้ป้อม ไอ้ป้อมก็เล่า อู้หู ได้ มีความสุขมาก อะไรแต่อะไร ปีกลายก็เห็นดี ปีนี้ก็แจ่มไปหมด สว่างไสว ก็เล่า

    "มีพระอยู่องค์ใช่ไหมครับที่บอกว่า เคยเป็นเด็กอยู่กับพระ"

    เป็นเณรอยู่กับพระผู้ใหญ่ พอท่านนั่งนั่งไป พอเห็นแสงสว่างก็พุ่งขึ้นไป เอ๊ะ จะไปไหนวะ ไม่เห็นมีใครมานำเลย เวิ้งว้างไปหมด เอ๊ะ นรกเป็นยังไง ก็ไปนรกเลย พอไปเห็นบอกอ้าว ท่านพระครูไปอยู่ยังไง เจ้าคณะอำเภอ (หัวเราะ) มาอยู่ยังไงนี่ โอ้โหนี่นรกมันดำปื้อ มันใหญ่อะไรอย่างนี้ มายังไง ก็เล่าให้ฟังบอก มันเป็นยังงั้นๆ ถึงได้ตกนรกมา เดี๋ยวเจออีกองค์แล้ว รู้จักกัน ท่านก็เล่าบอก นรกมันมีจริง อะไรต่ออะไร คุย แกอยู่กับศาสนาคริสต์ ก็มีเรื่องมีราวกับคริสต์ แกก็ทนอยู่อย่างนั้นแหละ ก็บอกเออ นรกนี่มันมีจริง

    มีอีกคนมากับตาสำรวย บอกได้ เป็นคนอีสานชนบทนี่ไม่ค่อยกล้าพูด พอมาแกก็สั่นปั้บๆๆ แกก็ขึ้นไปเลย พุ่งตามแสงไปนี่นะ แกไม่เห็นใครเลย มันเห็นแต่ทุ่งกว้างเต็มไปหมดนี่ เอ๊ ไม่เห็นสวรรค์ ไม่เห็นวิมานอะไรสักหลังหนึ่งเลย ทีนี้แกก็บอก เอ๊ะนางฟ้านี่ นางฟ้าเป็นยังไงอยากจะเห็นนัก มาปรากฏกายเลย เราก็บอก นี่ดูนางฟ้าเลยนะ เทวดาผู้ชงผู้ชายไม่ดูเลยนะ (หัวเราะ)

    พอดูปั๊บ บอกพูดกับเขาสักคำหรือเปล่าล่ะ ถามเขาพาไปไหนไหม ไม่พูด คงจะกลัวๆ กันอยู่ คือมันสวยจับใจ มองเป็นยังไง ได้แต่มองตากันหรือไง บอกได้แต่มอง ไม่ยอมพูด แกไม่พูดนี่ แกเป็นคนยังไงไม่รู้คงกลัวๆอยู่ นี่คนใหม่เลยนะ มากับสำรวย ใหม่ถอดด้าม แต่ผู้ชายได้ดีหลายคน

    "แล้วพระสงฆ์ทีฝึกมโนเต็มกำลังมีพอได้ไหมครับ"

    ก็ได้หลายองค์แต่ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยยอมออกมา แต่คุยกับพวกจ่าปัญญาบอกว่าดีมาก

    สรุปแล้วนี่ ฟังดูแล้วนี่ มันอยู่ที่ตัวก่อนจะนั่งนี่ พิจารณาตัดความห่วงใยในร่างกายนี่สำคัญ ต้องเป็นพื้นเลย พื้นใหญ่เลย ร่างกาย ทรัพย์สมบัติ การงานที่คั่งค้างอยู่นี่ต้องตัด

    ถ้าเต็มกำลังใครได้แล้ว ไม่ใช่โฆษณานะ จะต้องไปคุยกับพวกที่ได้ มันจะอู้หู มันจะบอกจริงๆว่า ไม่มีละ พูดนี่จะเน้นเขี้ยวเลย มั่นใจ จะเล่าเท่าไรก็ไม่ลืม เพราะตอนนั้นสมาธิมันสูงนี่ มันมีความประทับใจอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยลืม เล่าเมื่อไร ที่ไหน มันก็ยังเล่าได้

    มีพวกคณะสมุทรปราการอีกสองคนได้ เด็กๆ อายุรุ่นๆสัก 20 ได้มั้ง มันเล่าให้ฟังบอก อีตอนที่อุทิศส่วนกุศล พระพุทธเจ้ามาชี้หน้าบอกว่า อย่านึกนะว่าได้มโนมยิทธิเต็มกำลังจะรอดนรกน่ะ อย่าหลงตัวไป บอกโอ้โฮนี่ของจริงนี่หว่านี่ ของจริง แต่จำไว้เลยนะนี่ มันเป็นฌานโลกีย์ มันเสื่อมได้ ไม่ใช่วิเศษจากใครหรอก ยังไม่พ้นนรกถ้าหลงไป

    (มีคนบอกว่า ฝึกตั้งนาน ดิ้นแล้วดิ้นอีก แต่ก็ไปไม่ได้สักที หลวงพี่นันต์เลยบอกว่า)

    มันไม่แน่นอน ดิ้นๆ บางทีก็ไปไม่ได้ บางทีก็ไปได้ ถ้าดิ้นปุ๊บ บางทีจิตมันไม่ไปไหน มันรู้แล้ว พอดิ้นแล้วอู้หูเหนื่อยจังเลย มันรู้ทุกอย่าง อย่าไปคุม ปล่อยกายให้มันไปเอง แต่กำลังของปิติมันมาก กำลังจิตคล้ายกับมันเข้มแข็งมาก เรียกว่ามันหยาบ แต่กำลังเข้มแข็งของจิตสูงมาก ที่มันเต้นปั้บๆๆน่ะ มันจะเป็นอะไรก็ช่าง พอมันสั่นขึ้นมาจิตเอาแล้ว เอ๊ะ...มันสั่นแล้วนี่หว่านี่ ลืมภาวนา นะมะ พะธะ วิตกวิจารตัวเองแล้ว ไม่ไปแล้ว

    ต้องเออมึงสั่นๆไป กูจะภาวนาไปเรื่อยๆ มึงจะตี มึงจะอะไรก็ช่างเถอะ กูจะภาวนาเรื่อยๆ ปล่อยมัน ปล่อยเลยกายนี่ แต่มันพูดง่าย แต่เวลาทำมันจะไม่ปล่อยให้น่ะสิ เอ๊ะ กูล้มไปหัวจะฟาด ไอ้นี่กระเบื้องเสียด้วยนี่ เดี๋ยวจะเป็นอัมพาตหรือเปล่าวะนี่ มันจะกังวลไปหมดอีตรงนี้

    (มีคนถามว่า เวลาฝึกโยกดีไหม หลวงพี่นันต์ตอบให้ทราบนี้)


    มันไม่รู้น่ะ แต่ว่ามันเสียเวลานี่ มันไม่สบายเท่าไร ไอ้โยกจริงๆนี่มันเมื่อย ต้องมีปิติ พลังอยู่ข้างในที่มันจะโยกนี่ มันจะเริ่มภาวนาถี่แล้ว นะมะ พะธะถี่ๆๆ คล้ายๆ มันจะมีพลังข้างใน ในจิตน่ะนะ แต่บางทีก็ไปไม่ได้นะ ไอ้ที่ล้มๆ น่ะ จิตมันกังวลกับกาย พอล้มแล้ว กูลุกมาเดี๋ยวเขาหาว่ากูไปไม่ได้ กูนอนดีกว่า เสียเวลามาแล้วนี่

    (จากคอลัมภ์ "คำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 168 มีนาคม 2538 หน้า 79-80)


    เรื่องฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง (ต่อ)


    คือจะคุยให้ฟังว่า เมื่อเวลาฝึกนี่พอเกิดมันภาวนาถี่ขึ้นก็อย่าไปตกใจ ปล่อยให้มันถี่ มันจะ นะมะ พะธะๆๆ มันจะรัวขึ้นอย่างนี้ก็ปล่อย ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ นะมะพะธะ รัวก็ให้รัวไป ถ้าร่างกายจะเกร็งก็ปล่อยให้เกร็งไป เราก็รู้ นะมะ พะธะ อย่างเดียว อย่าไปหวั่นไหวว่ามันจะเป็นอะไร มันไม่ตายหรอก

    พอมันเกร็งเข้าหน่อยเอ๊ะ...มันจะตายหรือเปล่า มันจะเป็นอะไรหรือเปล่า มาวิตกกังวล จิตมาจับ มันก็อยู่ที่กาย ไม่ดิ้นไม่หลุดละ อย่าไปกังวล ลองฝึกดู

    อ๋อ พอคนไม่เคยเกร็งทางร่างกายนี่ ภาวนาถี่นี่ก็เห็นผิดปรกติ ทีนี้ก็จะหวั่นไหวว่าเอ๊ะ...ลมหายใจจะขาดไปหรือเปล่า มันก็วิตกกังวลเรื่องกายเสีย ปล่อยมัน
    รู้องค์ภาวนาอย่างเดียว บอกมันตายก็ให้มันตายไปเสียที ต้องทำใจอย่างนั้นนะ

    ถ้ามีแสงมาก็อย่าไปตกใจว่า เอ๊ะ..แสงมาแล้วจะไป อย่าไปวิ่งนำแสงไป เราตามแสง เอ้อแสงมาก็มา เราก็ภาวนาตามเรื่อย อย่าไปวิ่งออกหน้า มันจะพุ่งไปไหนมันจะส่ายไปยังไง บางทีจะหมุนติ้ว บางทีจะพุ่งไปมั่ง เราก็จับแสงไปเรื่อยๆ พอถึงที่สุดแล้วมันจะไม่ไปไหน เดี๋ยวมันจะเห็นนะ จะเห็นว่าเอ๊ะ..นี่มันทองโน่นมันอะไร มันจะพุ่งจิตอย่างกับเหาะลอยไปอย่างนี้เลยนี่ มีแต่สุขซิทีนี้ สมาธิมันจะสูงแล้ว มันจะเต็มที่แล้ว มันจะเต็มฌาน 4 แล้ว จิตมันจะสุข ทีนี้เห็นอะไรมันก็เพลินแล้ว

    ปิติมีอยู่ 5 อย่าง เป็นอาการของปิติ ตัวเกร็งตัวโครงโยกไปโยกมา เป็นอาการของปิติเฉยๆ เริ่มดีแล้วๆ

    ตามตำราจับอานาปานี่ ถ้ามีแสงมาเขาเรียกโอภาส เป็นเสื้ยนหนามของสมาธิ พาให้เราตกใจลืมภาวนาเลย ถ้าเราตั้งใจอยู่จะจับแสงสว่างก็ให้แสงสว่าง ถ้าเราจับแสงสว่างให้อยู่ในกลางอกก็ให้รู้แสงสว่าง บางทีมันไม่ใช่แสงสว่าง เดี๋ยวสีเขียวสีแดงมาแล้ว นี่ถือว่าศัตรู เป็นศัตรู

    แต่มโนมยิทธิเต็มกำลังอยากให้ได้ ถามคนที่ได้แล้วจะคุยเป็นเสียงเดียวกันเลยนี่ มันจะมีความประทับจิตประทับใจมาก ไอ้พวกได้จะคุยไม่รู้จักจบนี่ มันเหมือนคนไปเที่ยวในที่เดียวกัน เหมือนคนไม่เคยไปเที่ยวใช่ไหม พอกลับมาคุยจ๋อกันหมดละ คุยไม่รู้จบ แล้วมีความสุขไม่รู้จบ ตอนนั้นนะ

    คือคนไม่เคยฝึกหลวงพ่อจะบอกว่า ให้ไปเก็บความสุขไว้ให้มากๆไว้ที่นิพพาน ให้ไปเก็บความสุขไว้มากๆ ให้ซับความสุขไว้ให้มากที่สุด จิตมันจะได้จำ ให้จิตมันชินก้บพระนิพพานนะ ให้จิตมันชิน

    (จากคอลัมภ์ "คำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 168 มีนาคม 2538 หน้า 80-81)

    14711_4950129073870_1036987229_n.jpg

    ประโยชน์ของมโนมยิทธิ

    มโนมยิทธิฝึกแล้วขอให้เอาไปใช้ในด้านวิปัสสนาญาณด้วย สมมุติว่าเราขึ้นไปแจ่มใส ขึ้นไปดูข้างบนแล้วนั่งอยู่ข้างหน้าพระพุทธเจ้าแล้ว ดูตัวเราก็ดี ดูพระพุทธเจ้า ดูพระองค์ผ่องใส ไม่มีเลือด ไม่มีเนื้อ มีความสว่าง ดูตัวเราซิสว่างไหม...มีความใสพอสมควร มีความสะอาด ดูให้เพลินแล้วก็มองมาข้างล่าง

    บางทีเอาตัว (อทิสสมานภาย) มาให้ใกล้ตัวล่างเลยก็ยิ่งดีใหญ่ คือเปรียบกันว่าตัวที่เราอาศัยอยู่ตัวข้างล่างเป็นตัวเราจริงไหม สกปรกไหม ดูแล้วมันเป็นสังโยชน์ทั้งนั้น ดูตัวบนสวยสะอาด ดูใจว่ามันเกาะตรงไหน ก็จะรู้สึกว่าไม่เกาะสมบัติสักชิ้น

    พอเห็นจริงด้วยปัญญา ก็จะเริ่มวาง มันจะค่อยๆวางทีละหน่อย หนักๆเข้าเราสะสมอยู่มากๆ จิตมันก็จะเห็นจริงว่าไม่มีอะไรจริงๆ ไม่เต้นแร้งเต้นกายึดอยู่ได้ ค่อยๆเคาะไปนะ เคาะไปทีละหน่อย ทีละหน่อย

    "หลวงพี่นี่ วางคงจะหมดแล้วใช่ไหมครับ"

    ยัง คือทำอย่างนี้บ่อยๆ มันก็จะเห็นจริงอย่างนี้เรื่อยๆไป เดี๋ยวก็เห็นจริงบ้าง เดี๋ยวก็เห็นไม่จริงบ้าง แต่เราวางจริงบ่อยๆ ถึงเวลาตายจริงจิตจะรวมตัวมาก ความจริงปรากฏขึ้น จิตก็จะไม่มีกระวนกระวาย จิตมันก็จะ เอ๊อ...
    สุขเหลือเกิน

    "ที่หลวงพี่เล่ามานี่เล่าจากประสุบการณ์ ใช่ไหมครับ"

    ก็ฝึกไปที่ละเล็กละน้อย ก็ยังไม่ได้อะไร ฝึกอย่างนี้แล้วก็อยากจะบอกคนอื่น ซึ่งมันก็ตรงกับสังโยชน์พอดี

    ถ้าเอามโนมยิทธิไปดูคนนั้นสวย คนนี้ไม่ดี คนนั้นวิมานเล็ก คนนี้วิมานใหญ่ เสียเวลา ดีไม่ดีตกนรกเปล่าๆ เอามาในเรื่องจะลดความโลภ ความโกรธ ความหลง จะมีประโยชน์ที่สุด จะตรงกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงสอน ตรงกับที่หลวงพ่อท่านเหน็ดเหนื่อยมามาก อยากให้เราเป็นพระอริยเจ้า อยากให้เราเป็นพระอรหันต์

    "ที่หลวงพี่พูดนี่มันมีน้ำหนักนะครับ ว่าอย่างนี้แหละ ฉันเดินมาแล้ว เป็นอย่างนี้"

    ก็ไม่มีอะไร คือเราฝึกให้มันหมดกิเลส ตรงไหนมีกิเลส เราติดตรงไหนล่ะ ติดตรงไหน ก็ดูตรงนั้น มันติดไปหมดทุกอย่างในโลก ไอ้ที่ติดเราก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง เราติดเพราะความโง่จริงๆ มันโง่มันถึงติด ถ้ามันไม่โง่มันก็ไม่ติด

    "แล้วตัวแก้โง่ จะเอาอะไรมาตัดคะ"

    ถ้าพูดแบบกำปั้นทุบดินก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละ คือปัญญาจะตัดได้ก็ต้องมีสมาธิดี สมาธิจะเกิดได้ก็ต้องมีศีลดี คือศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี มันเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ สมาธิเกิดแล้วปัญญานี่หมือนแสงสว่างฉายเข้ามานั่นแหละ ปัญญาเกิดแล้วไม่ต้องอธิบายมันเห็นจริง

    ไอ้ที่เขานึกว่า ถ้ามีความโกรธต้องเอาพรหมวิหาร 4 มาใช้ ถ้าสมาธิทรงตัวแล้วมันแก้เอง มันไม่เข้ามาถึงใจเราหรอก เราเห็นเสียแล้ว

    สมาธิยิ่งตั้งมั่นเท่าไหร่ปัญญาก็จะเฉียบคมขึ้นเท่านั้น คือเป็นไปตามกำลังเลย มันจะเฉียบของมันเองแหละ มันจะเฉียบและเด็ดขาดของมันเอง ไอ้ที่เขาว่าเห็นคนสวยจะต้องเอาอสุภะมา หรือจะต้องเอากายคตามา ไม่ต้องอย่างนั้นมันเข้าเลย มันเห็นจริงไปหมดเลย ไม่ต้องมาตั้งท่าอะไรเลย

    "เป็นคอมพิวเตอร์ไปในตัวเลยนะ'

    ใช่


    (จากคอลัมภ์ "คำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 155 มกราคม 2537 หน้า 93-94)




    https://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน.538477/page-575


    มโนมยิทธิแบบเต็มกำลัง

    เดี๋ยวคุยเรื่องการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังสักหน่อยนะ ไอ้การปฏิบัติมีการอยากด้วยกันทุกคนนั่นแหล่ะ ทีนี้ความอยากของใครจะระงับได้กว่ากันเท่านั้นเอง ถ้าไม่มีความอยากก็คงไม่มีใครไปปฏิบัติกัน

    เวลาฝึกอาจจะมีคนเต้นกันบ้าง และก่อนที่จะไปนั่งก็อาจจะได้ยินคนคุยกัน คนที่ไปได้ก็บอกว่ามีแสงสว่างมาจากข้างบนบ้าง เหมือนไฟฉายบ้าง บางคนก็บอกหมุนติ้วบ้าง อะไรบ้าง เขาพูดให้เราเข้าใจ ให้เราได้รู้บ้าง ทีนี้เวลาเรานั่งฝึกกัน ก็จะนั่งป็นเถว ทีนี้จะภาวนายังไม่ได้สมาธิคนอื่นเขาเต้นปั๊บๆ อยู่ข้างๆ ไอ้เราก็เอ๊ะ...ใครเต้นที่ไหนหว่า...บางทีได้ยินเสียงร้องวี๊ดๆขึ้นมา มันร้องที่ไหนหว่า... เลยไม่ต้องภาวนาแล้ว นานๆเข้าเปิดกระดาษที่ปิดหน้าแง้มมองคน เลยไม่ต้องได้กัน เดี๋ยวก็หมดเวลา

    ประการที่สอง เมื่อภาวนา นะ มะ พะธะ ไปสักระยะหนึ่ง เราก็เกิดมีปิติขึ้นมาก็เกิดสั่น ไอ้สั่นมันเป็นการสั่นครั้งแรกของเรา มันก็เกิดวิตกกังวล เอ๊ะ...มันจะสั่นไปถึงไหนวะ...นี่มันจะออกได้แล้วนี่หว่านี่ จิตมันกังวลเสียอย่างนี้ กังวลเรื่องกายเป็นเหตุเลยไม่ได้กัน

    เคล็ดลับตรงนี้มีความสำคัญมาก ตอนอทิสสมานกาย คืออย่าห่วงใยร่างกาย ปลงเสียก่อน คือปลงยอมตายเลย กายนี่นะ ถ้ามันไม่ปลงถึงตาย เวลาเต้นมันจะห่วง เอ๊ะ...สั่นแล้วมันจะตายหรือเปล่า กังวลตาย

    ฉะนั้นต้องปลงว่า จะไม่สนใจอะไรทุกอย่าง ยอมตายไปเลยเมื่อภาวนาก็ให้รู้คำภาวนาอย่างเดียว ใครจะเต้นอย่างไร ไม่สนใจ ขอให้รักษาคำภาวนาไว้ให้ดี ถ้าจะไปได้มันจะเห็นแสง แต่พอพูดอย่งนี้แล้วอย่าไปควานหาแสงนะ ฉันนี่เป็นมาแล้ว พอภาวนาปุ๊บ เอ๋...เขาว่าแสงจะมากูไม่เห็นมาสักทีหว่า...ควานหาแสงก็ไม่เห็น
    เพราะความอยากมันมีหนัก เขาเรียกว่าตัณหานำหน้า อยากก็ไม่ได้ ตัวนี้ต้องห้ามจิตอีก

    แต่พูดอย่างนี้พูดได้ แต่เป็นเวลาจริงๆห้ามใจยาก จิตอยากจะไปนี่ห้ามยาก ต้องปลงให้หมดใจว่าภาวนาอย่างเดียว นะ มะ พะธะๆๆ อย่าไปสนใจว่าจะมีแสงมาหรือไม่มาใครจะเต้นยังไงก็ช่าง รู้คำภาวนาอย่างเดียว

    "คราวนี้จะนั่งเก้าอี้หรือนั่งที่พื้นครับ"

    นั่งที่พื้น เอาเสื่อปู จะได้ไม่ต้องกังวลเวลาจะไปได้ต้องใจเฉยๆ ความอยากนี่ต้องหมดจากใจจริงๆ ถ้าไม่ออกจากใจเมื่อไรกิเลสมันรู้ โอ...มันรู้เหลือเกิน เราแอบอยากนิดๆ หน่อยๆ มันก็รู้ ต้องปลงให้หมด ถ้าจะไปได้แสงจะมา บางคนก็เป็นจุดขาว บางคนก็เป็นกรวยแบบพายุใต้ฝุ่นเลย ให้จับแสงสว่างไปเรื่อยๆ เอาจิตจับไว้ แสงจะหนีไปเรื่อยเราก็ติดตามแสงไป

    "ถ้าหมุนล่ะครับ"

    หมุนก็หมุนไป ก็เราไม่ห่วงเรื่องตายนี่ปล่อยให้มันตายไป มันจะหมุนยังไงก็ช่าง ดูแสงไปเรื่อย ภาวนาไปเรื่อย ถ้าถึงเขตมันแล้วเราจะหยุดเอง แล้วจะเห็นเอง ทีนี้จะไปไหนก็ได้ล่ะ จะเห็นชัดยิ่งกว่ากลางวัน จะเห็นอะไรก็เห็นได้ทุกอย่าง

    "ฝึกเมื่อไหร่ครับ"

    วันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 18-19 ธันวาคม มี 2 วันถ้าใครฝึกแล้วไปได้ ผู้นั้นจะไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป ล้างสมองได้เลย


    (จากคอลัมภ์ "คำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 155 มกราคม 2537 หน้า 90-91)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2019
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525


    (งานธุดงค์วัดท่าซุงปี 2562 หลวงพ่อชัยวัฒน์ อชิโต อบรมนาค 210 ท่าน นาทีที่ 4.20 ขึ้นไปหลวงพ่อเล่าถึงผ้ายันต์พิชัยสงครามเอาไว้ด้วยครับ)

    เรื่อง การบวชพราหมณ์ถือธุดงค์


    "เอ...ญาติโยมบางคนเขายังไม่เคยไปอยู่แบบอะไร บวชชีพราหณ์นี่ จะไปฝึกธุดงค์อะไรต่ออะไรนี่ จะต้องมีการเตรียมเนื้อเตรียมตัวอย่างไรประการใด แนะนำล่วงหน้าไว้จะได้พร้อมไปได้ไหมครับ ?"

    คือหนึ่ง การสมัครอะไรไม่ต้องเสียสตางค์ บางคนลือว่าสมัครบวชชีนี่เสียสองพัน แหม...ไปอ่านหน้าผิดหรือเปล่าไม่รู้ คือพระจะบวชนี่เสียสองพัน แต่ใครไม่มีเงินก็มีเจ้าภาพสำรองไว้แล้วนี่ บวชชีพราหมณ์ไม่เสียเงินเลยแต่ให้เตรียมเสื้อผ้าไปเอง ทางวัดไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าสบู่ไว้ให้ แต่ผ้าห่มมีประมาณพันกว่าผืนนี่ ถ้ามันเกินพันกว่าผืนก็ต้องหนาว ถ้าเมื่อเกิดหน้าหนาวขึ้นมา ใช่ไหม ถ้าเราจะมีผ้าห่มไปก็ถือว่าเผื่อไว้ ถ้ามันเกิดคนมากกว่านี้มันก็จะหนาว

    (หัวเราะ)

    คืออาหารทางวัดจะเลี้ยงมื้อหนึ่ง แต่วันเสาร์อาทิตย์เลี้ยงทั้งสามมื้อเลย เพราะว่าพวกไม่ได้รับศีล 8 ก็มีใช่ไหม ทีนี้มีคนมาถามว่าเกิดปักกลดแล้วนี่ เกิดฝนมันตก มดมันกัดนี่จะย้ายที่ได้ไหม ญาติโยมก็จะให้ไปอยู่ทางป่าไผ่นี่ ถ้าใครจะถือธุดงค์น่ะนะ ป่าไผ่หลังโรงอาหารแถวนั้นน่ะ คือขึงเชือกสะดึง พอจะกางกลดก็ต้องดูให้เรียบร้อยว่าทางมดทางอะไรจะมาทางไหน อย่าไปขวางทาง เดี๋ยวทางมดผ่านเข้า ก็ต้องดูให้เรียบร้อย ตั้งใจตรงนี้ก็นั่นแหละ เขามีคาถา คาถาสำหรับตวาดป่าหิมพานต์ เวลาขึงสายอัพโภกาศ พอเราขึงแล้วก็ว่าคาถาไปด้วยเพราะกันสัตว์ร้าย "ภะส้มสัม วิสะเทภะ"

    อีกบทหนึ่งคือวิรูปักเข กันมดกันปลวกกันตะข่งตะขาบแมงป่อง เห็นนาคอยู่คนหนึ่งนี่ผมจะบวชผมยังท่องบทนี้ไม่ได้เลยนี่ กลัวจัด กลัวจะเจอตะขาบเข้า (หัวเราะ)

    ไปห่วงอะไรกับวิรูปักเข ไอ้ขานนาคน่ะให้มันได้เสียก่อน มันจะเข้าโบสถ์แล้วไม่มีใครมาสอนกัน วิรูปักเขก็เอาไปกางในป่าสิ เอาหนังสือไปกางสวดด้วยความเคารพ เพราะมันเอาเรื่องเหมือนกันพวกกลัวงูกลัวแมงป่องตะขาบ

    "อ๋อ ใช้หนังสือกางสวดไว้ก่อนได้หรือครับ"

    สวดไว้ก่อน มันจำเป็นนี่ มันท่องยากนะพระเก่าๆยังท่องไม่ค่อยได้เลยนี่ หลวงพ่อบอกสมัยก่อนใครเขาสวดงานที่บ้าน ก็บอกสวดวิรูปักเข หิ เม เมตตัง เมตตัง เอราปะ
    เถหิ เม ฉัพยาปุตเตหิ เม เมตตัง เมตตัง ท่านบอกผีมาห้อยที่ยอดไผ่โยนไปโยนมาอย่างนี้ บอกโอ้โห สวดที่วัดนะสวดวิรูปักเข พวกผีก็เต้นไปด้วย (หัวเราะ) โยนไปโยนมา มันจังหวะไม่เหมือนช่วงอื่นเขานี่ ก็เต้นไปด้วยเข้าจังหวะ บทนี้กันสัตว์พิษร้าย เช่น แมงป่อง ตะขาบ งู ฯลฯ

    "อย่างนี้ญาติโยมจะเดินทางไปอยู่ตรงไหน ถ้าเกรงก็สวดได้เหมือนกันนะ"

    สวดได้ และสวดเมตตัญจะสัพพะโลอีกบทหนึ่ง

    "อันนี้มีประโยชน์อย่างไรครับ"

    หมายความว่าสมัยพุทธกาลพระปฏิบัติธุดงค์กัน ก็ไปปักกลดอยู่ใต้ตันไม้ ทีนี้รุกขเทวดาที่อยู่กับตันไม้ท่านก็ เอ๊ะเดี๋ยวพระคุณเจ้าเดี๋ยวก็ไปแล้ว เอ้ารออีกคืนหนึ่ง ก็ไม่มีอะไร พออยู่ไปอยู่มาพระเห็นสบายดีก็อยู่นานเลย อยู่ทั้งพรรษาเลย อธิษฐานทั้งพรรษาเทวดาอยู่ข้างบนก็เกรงใจนี่ ทำยังไงถึงจะให้พระคุณเจ้าหนีไปได้ล่ะ ตกกลางคืนก็มาทำร่างให้น่ากลัว พระก็สมาทานแล้วก็ต้องอยู่อย่างนั้นแหละ ก็มาหลอกเรื่อย เทวดาก็มาหลอกอยู่เรื่อย

    "ที่หลอกนี่หมายความว่าจะไล่หรือ"

    จะไล่พระไป พระเห็นสบายก็อยู่เสียเลย (หัวเราะ) ตกกลางคืนก็มาหลอกอยู่เรื่อย ทีนี้ก็กลับมาหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เป็นยังไงไปอยู่ป่าสบายดีหรือ พระที่มากราบพระพุทธเจ้าก็บอก ไม่สบายพระพุทธเจ้าข้า ผีหลอกทั้งพรรษาเลย ท่านก็บอกอ้าวเธอไม่ได้เอาอาวุธไปหรือ ไม่ได้พกอาวุธไป อาวุธคือไม่ได้พกมีดพกพร้าไปใช่ไหม พระเข้าใจอย่างนั้น

    พระพุทธเจ้าก็สอนบอกว่า บทเมตตัญจะ สัพพะโลฯ ที่เป็นมิตรกับเทวดาแผ่ความดีให้เทวดานี่ ว่าไม่รบกวนกัน ไม่เป็นโทษอะไรกันนี่ เธอไม่เอาไปหรือ ต่อแต่นั้นก็ต้องมาสวดบทแผ่เมตตาให้เทวดา เข้าสถานที่ใดที่มีเทวดา ท่านมีฤทธิ์มีเดชอะไร ท่านบอกสวดบทนี้นี่

    "อ๋อ บทเมตตัญฯ นี่ทำให้เทวดาเคารพรักใคร่นะ"

    คือธุดงค์ผู้หญิงนี่จะให้อยู่ทางป่าไผ่ อยู่ห้องก็ให้อยู่ได้ ห้องเราอยู่ 25 ไร่ ใครจะถืออยู่กลางแจ้งก็ให้อยู่ป่าไผ่

    "มีมุ้งมีกลดให้หรือเปล่าครับ"

    อาจจะมีมุ้งให้นี่ กลดหาเอาเอง แต่มีห้องน้ำห้องส้วมดีแถบนี้

    เวลาธุดงค์นี่มันเป็นบุญตั้งแต่เริ่มลืมตา บางทียังไม่ลืมตาเลยเขาเปิดเสียงธรรมะเข้ามาแล้ว มาปลุกให้ฟัง เดี๋ยวนี้มันเครื่องครบไปหมดแล้ว ตามห้องจะมีเสียงธรรมะออกมา ทางพระธุดงค์ในป่าปลุกตื่นหมด มีลำโพงไปหาหมดนี่ ลืมตาก็ฟังเทศน์แล้ว ยังไม่ทันภาวนาเลย ภาวนาตามด้วยก็ได้

    พอฟังเทศน์จบก็ไปล้างหน้า หรือนั่งสมาธิอะไรอย่างนี้ พอล้างหน้าเสร็จ แต่งตัวเสร็จเขามีใส่บาตรแล้ว ใครจะไปใส่บาตรก็ได้ เป็นทานบารมี พอใส่บาตรเสร็จก็ไปรวมกันทำวัตร ทำวัตรเสร็จก็ตักบาตรอีก เพราะจะกินข้าวใช่ไหม ตัวใครตัวมัน ก็เลี้ยงรวมกันอย่างนั้น อย่างกับบุฟเฟต์

    "ทันสมัยเปี๊ยบเลย"

    (จากคอลัมภ์ "คำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 166 มกราคม 2538 หน้า 86-87)


    (สนทนาที่สายลม สิงหาคม 2537)
    เรื่อง เตรียมตัวฝึกมโนมยิทธิ

    (มีคนถามว่าปี 2537 นี้จะฝึกเต็มกำลังกันอีกเมื่อไรครับ พระครูปลัดอนันต์ตอบให้ทราบดังต่อไปนี้)


    เดือนธันวาคม ใช่ กลางๆเดือนนะ เสาร์อาทิตย์กลางเดือน คอยเตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน เตรียมตัวก็ภาวนานี่แหละ เตรียมเงินไว้ 1 บาทค่าครู

    ถ้าใครจะไปฝึกวันเสาร์ ถ้าไปวันศุกร์เย็นเลยได้ก็ดี มันได้นอนตอนช่วงเช้า กินข้าวกินปลาแล้วก็นอนพักให้ใจสบาย แล้วพอฝึกก็ไปซ้อมภาวนา นะมะ พะธะ ไว้ด้วย

    ตั้งใจอย่าสนใจจริยาผู้อื่น เขาจะเต้นอย่างไรก็ช่าง เรารู้ภาวนาของเรา อย่าอยากนำ พอเต้นปุ๊บๆปั๊บๆ จิตอีกส่วนหนึ่งมันอยากนะ กูจะไปแล้วๆ มันก็ควานหา เห็นเขาว่าแสงมากูไม่เห็นมาสักทีก็ไม่รู้ เอ๊..ใช่หรือเปล่า

    มันอยากนำ ลืมภาวนาไปเลย จิตมันอยาก ถ้าแสงจะมาก็มาเอง ปล่อยให้มาเองพอมาปุ๊บจะจับแสงไปด้วย เราก็พุ่งตามแสงไปด้วย ภาวนาตามไปเรื่อย ถ้าถึงที่สุดแล้วมันจะหยุด หยุดแล้วจะเห็นสว่างไปหมด แล้วจะไปพระจุฬามณีก็เห็นพระจุฬามณี

    ห้ามอยาก อยากไม่ได้ แต่มันอดไม่ได้

    "ก็ ท่านพระครูก็มีวิทยายุทธมากมายก่ายกอง ก็น่าจะแนะนำวิธีที่จะไม่ให้อยาก จะแก้ยังไง จะแนะยังไง จะนำยังไง นิมนต์ไปรดสงคราห์ลูกหลานหน่อยเถอะ ไอ้ตัวอยากนี่ จะแก้ยังไงครับ"

    พระครูก็อยากเหมือนกันนะ (หัวเราะ) พระครูเต้น พระครูก็อยากเหมือนกัน คือเคยอยากมาแล้วไงเล่า ที่พูดนี่เคยเป็นมาแล้วทั้งนั้นแหละ เห็นไอ้นู่นมันเต้นปั้บๆไปแล้ว ไอ้นู่นมันจะไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ พอเราเต้นปั๊บๆๆ เอ๊..แสงกูไม่ห็นมาซักที ไปไหนว้า ก็ควานหาแสงอยู่นั่นน่ะ มันถึงไปไม่ได้

    ก่อนจะภาวนาเราก็ตั้งใจว่า เอ้อ ถ้าไปได้เราจะไปพระจุฬามณี แล้วจะทำใจไม่ให้อยาก เขาจะเต้น เขาจะร้อง อะไรก็ช่างเถอะมันเรื่องของเขา เขาไม่ได้ทำให้เราไปได้ เมื่อภาวนาก็จะรู้ นะมะ พะธะ เฉยๆเรื่อยๆ ถ้ามันรัวก็ปล่อยให้มันรัวเอง รัวแล้วเราก็ภาวนาของเราไปเรื่อยๆ

    (จากคอลัมภ์ "คำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 163 ตุลาคม 2537 หน้า 85-86)


    ผ้ายันต์พิชัยฯ.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2024
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525



    อานิสงส์ธุดงค์


    ทีนี้เวลาธุดงค์มันจะมีอานิสงส์อะไรบ้าง มันจะมีความดีอะไรบ้าง บางข้ออย่างจัดสถานที่ให้ตรงไหนก็ต้องอยู่ตรงนั้น อย่างนี้นี่มันก็กันอารมณ์ฟุ้งซ่านว่า ตรงนี้ฉันไม่ชอบ ตรงนั้นฉันไม่ชอบ ถ้าเรานึกว่าจะตายมันจะชอบที่ไหนอยู่หรือเปล่า มันก็หาเลือกที่ชอบไม่ได้ ใช่ไหม มีอานิสงส์ทุกข้อนี่ที่เราสมาทานน่ะนะ มีอานิสงส์ทุกข้อ

    "อ๋อ ตกลงว่าพระจะอยู่ธุดงค์นี่ต้องทางวัดจัดให้อยู่ใช่ไหม ไม่ใช่เราไปเลือกเองใช่ไหม"

    พระถ้าอยู่ป่านี่จะไม่จัดให้ อยู่ป่าไปเลยแต่ฆราวาสนี่เราจะจัดให้ ห้องหนึ่ง ห้องสอง ห้องสามอะไรอย่างนี้ อาจจะยุ่งเสียหน่อยว่าศีล 5 อยู่ศีล 5 ศีล 8 อยู่ศีล 8 ธุดงค์ก็อยู่ธุดงค์ ไม่ให้ปะปนกัน ก็ดูแลง่ายหนึ่ง

    สองศีล 5 กับศีล 8 อยู่รวมกันกินข้าวไม่พร้อมกัน ศีล 5 กิน 3 มื้อ ไปกินรวมกับศีล 8 ศีล 8 ก็ไมได้กิน อยากก็โมโห โมโหหิว คือให้มันแยกออกไปเสีย ศีล 8 บางทีพวกศีล 5 มันพกอาหารเข้าไปในห้องกินแจ้บๆๆอยู่นี่ ไอ้ศีล 8 ก็อยาก เลยต้องให้แยกห้องกัน

    "เรื่องอาหารการกินของญาติโยมก็ดีของพระก็ดี ทางวัดเลี้ยงหรืออย่างไรหรือครับ"

    ทางวัดเลี้ยงมื้อหนึ่ง คือเลี้ยงพร้อมพระนั่นแหละ พระฉันแล้วโยมก็กิน เข้าแถวตักอาหารทุกอย่างหมด

    "ศีล 5 ออกก่อนหรือเปล่าครับ"

    ต้องให้ถือธุดงค์ออกก่อน คือว่ามีปัญหาคือปีที่แล้ว พอพระตักเสร็จปุ๊บ ศีล 5 เข้าไป ศีล 5 มีเป้ด้วย ศีล 5 ชอบอะไรก็ใส่ถุงไว้ ไว้มื้อสองมื้อสาม ธุดงค์ไปบอกโอ้โฮ หมดเลย พวกธุดงค์มันกินมื้อเดียวนี่ก็ต้องให้ออกหน้า กินแล้วไม่ได้พก ใช่ไหม


    (จากคอลัมภ์ "คำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 166 มกราคม 2538 หน้า 84)


    เรื่องการจัดอยู่ธุดงค์

    ก็รุ่นธุดงค์รุ่นที่แล้วก็เสียท่าเขา กรรมบถ 10 นี่ กรรมบถ 10 นี่ตอนเย็นกินแจ็บๆๆ ไอ้ธุดงค์นี่นั่งกลืนน้ำลายเอื้อกๆๆ

    "อือ...เสียท่าเลย"

    ปล่อยศีล 5 ไปก่อน ศีล 5 ก็เอามาแล้วใส่ถุงไว้ ชอบอะไรใส่ถุงไว้ ไอ้ธุดงค์มาบอกหมดเลยไม่เหลือ ธุดงค์ไปทีหลังนี่ เคร่งไปทีหลัง โอ้โฮ...มันหมดเลยนี่ (หัวเราะ) คราวหน้าต้องให้ธุดงค์ออกหน้า ธุดงค์มื้อเดียวนี่ ศีล 5 ออกหน้ารึ เดี๋ยวไว้เพล เดี๋ยวไว้เย็น เผื่อถุงไว้เลย ก็หมดสิ กวาดหมดเลย

    "ชาวราศีตุนนี่"

    ธุดงค์บอกหมดเลย ไม่หลือเลย (หัวเราะ) ก็ต้องจัดคิวใหม่ ผิดพลาดก็เลยบอก

    ไอ้พวกหลงแม่อีกอย่าง ห้าม..ไปส่งแม่ที่เป็นคนแก่ คนแก่ก็เข้าห้องไปหมดแล้ว ใช่ไหม ทีนี้ห้องมันเหมือนๆกันนี่ ตานี่ไปหาแม่ เวลาเอาอะไรไปให้แม่ใช้ไหม ก็ไปเปิดห้องมองตามห้อง ไอ้ห้องมันอยู่รวมกันนี่มีสาวๆอยู่มั่ง เขานอนยังไงหรืออะไรก็ช่างเหอะ ไปมองสาวๆ ฉะนั้นไอ้พวกหลงแม่นี่ ห้าม เขาอยู่กันอิสระใช่ไหมผู้หญิงนี่อยู่กันอิสระ ไอ้ผู้ชายไปมองหาแม่

    "มีอย่างนี้ด้วยเหรอครับ"

    ไปตามห้องนี่ มันมีหน้าต่างรูๆอย่างนี้ใช่ไหม ไปมอง ฉะนั้นพวกหลงแม่ห้าม (หัวเราะ) ผู้หญิงเขามาเล่าให้ฟังนี่ว่ามีปัญหาอะไรบ้าง

    ศีล 5 กรรมบถ 10 ธุดงค์ ศีล 8 นี่ต้องแยกเป็นพวกๆ

    "แต่ธุดงค์นี่ไม่ต้องมีใครมาเล่าให้ฟัง รู้เองหมด (หัวเราะ)"

    ไม่ใช่ ธุดงค์นี่เขาก็มาบอก เขาว่าปีหน้าก็ต้องแก้ปัญหาอย่างนี้ ศีล 5 อยู่กลุ่มศีล 5 ศีล 8 อยู่ศีล 8 ธุดงค์อยู่กลุ่มธุดงค์ จะมีห้องเป็นแถวไปเลย

    ศีล 5 ไปอยู่กับธุดงค์ กินข้าวเย็นอยู่ในห้องก็แจ็บๆ ศีล 8 ก็เอี๊อกๆ บารมีเข้มขึ้นพรุ่งนี้เช้ากูจะชัดให้เต็มที่ (หัวเราะ)

    "จิตเลยเป็นอนุสสติเลย"

    บอกเออนี่เป็นปัญหาที่เราต้องแก้ไข ปีหน้าจะดีเพราะว่าเรามีเสียงตามสายที่นั่นครบ และก็มีลำโพงรอบ ธุดงค์ก็มี ที่หอไตรลำโพงใหญ่ก็มีอีก ประกาศให้ได้ยินทั่วกันเลย เปิดเสียงธรรมะ เปิดอะไรก่อนนอน ก่อนตื่นใหม่ๆ

    "แหม...ไอ้ธันวานี่หนาวจัดและพระก็มีผ้าคนละสามผืนนี่ ไม่มียึดหยุ่นเลยหรือครับ"

    ปีนี้เขาเรียกวัดอะไร วัดเศวตฉัตร ขายดี พระหนาวกันซะเข็ดแล้วใช่ไหม พระวัดท่าซุงพอได้เงินก็เข้าวัดเศวตฉัตร ไปซื้อกลดกัน กลดเขาทำกันหนาวได้ เขามีหน้าต่าง เป็นผ้าร่มนี่ พอหนาวปุ๊บก็รูดซิปปิด ก็ไม่หนาว เจ้าอาวาสปีที่แล้วสบาย (หัวเราะ)

    "ทำไมครับ"

    มีกลดไอ้ตัวนี้แหละ (หัวเราะ) มึงจะลมพัดลมหนาว ลมร้อน กูไม่สนใจ พระยงยุทธมาด้วย ท่านไม่มีใช่ไหม ไปนอนตรงด่านลมเลย ตัวตั้งเมตรกว่าๆ เหลือครึ่งเมตรได้มั้ง (หัวเราะ)

    "มันหนาวเหรอครับ"

    หนาวสิ ท่านหนักไปในทางจงกลม

    "เจ้าอาวาส แหม...ฉลาดนี่"

    เจ้าอาวาสเอาผ้าปูนอนไป ใช่ไหม ในกลดน่ะ ไอ้ปูนอนมันมีอะไร มันเป็นถุงนอนอีก หลวงพี่โอบอกเฮ้ย ! เอานี่ไปเหรอ บอกเอาไปไว้สำหรับปูนอน พอหนาวไปเราก็เสือกเข้าไป (หัวเราะ) แหมสบายเขาห้ามเอาผ้าห่มไป ใช่ไหมเล่า เราเอาถุงไปไม่เกี่ยวกับผ้าห่ม (หัวเราะ)

    "สมแล้วที่เป็นเจ้าอาวาส ยิ่งด้วยปัญญาบารมีนะ"

    (จากคอลัมภ์ "คำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 160 มิถุนายน 2537 หน้า 72-73)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2019
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    157 หน้า 95.jpg 157 หน้า 96.jpg 157 หน้า 97.jpg
    การฝึกมโนยิทธิเต็มกำลัง 2 ลีลา โดย ประไพ สุนทราณู

    ตอนที่ 1

    ข้าพเจ้าเป็นอีกคนหนึ่งได้รับการฝึก
    มโนมยิทธิเต็มกำลังที่วัดท่าซุง ข้าพเจ้าบวชชีพราหมณ์และถือธุดงค์ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2536 เป็นครั้งแรกจริงๆในชีวิตที่ได้บวช ได้ร่วมเดินเวียนรอบโบสถ์กับพระที่บวชใหม่และชีพราหมณ์ทั้งหมด ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะภาวนาว่าอะไร ก็เลยสวดอิติปีโสฯไปตลอด สวดไปเรื่อยๆ

    พอเวียนรอบโบสถ์ได้รอบหนึ่ง เวียนมารอบที่ 2 ก็ตั้งจิตอธิษฐาน คืออธิษฐานตั้งแต่ที่บ้านแล้ว พอไปถึงก็อธิษฐานต่อหน้าพระอีกครั้งหนึ่งว่า วิชาความรู้นี้ถ้าข้าพเจ้าได้รับการฝึกฝนมาก่อนในอดีตชาติ และได้สร้างบารมีทางนี้มาก็ขอให้ข้าพเจ้าฝึกได้
    แต่ถ้าในอนาคตกาลถ้าข้าพเจ้าจะใช้วิชาความรู้นี้ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขออย่าให้ข้าพเจ้าฝึกได้เลย ไม่ต้องการ พอใจแค่ครึ่งกำลัง

    วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ข้าพเจ้าเจอข้อสอบอย่างแรง จิตตกถึงขนาดที่ว่าถ้าจะเทียบก็ติดลบทีเดียว คืนนั้นคืนวันศุกร์ข้าพเจ้านอนไม่หลับพอเช้าวันเสาร์รับการฝึก ข้าพเจ้าก็หวนคิดไปถึงคำอธิษฐานที่หน้าโบสถ์ ข้าพเจ้าสงสัยว่าต่อไปในอนาคตข้าพเจ้าจะต้องเลวแน่ๆ พระท่านถึงดลใจให้เจอข้อสอบ ตอนนั้นจิตมันบอกไม่ถูก มันติดลบอย่างแรง.. รู้แต่
    เพียงว่าโลกนี้มันไม่น่าอยู่จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ใช่ของเราจริงๆ มันเป็นโลกธรรมที่กระทบได้ตลอด ใจตอนนั้นมันไม่ต้องการจะอยู่อีกแล้ว

    ก็คิดไปว่าต่อไปในอนาคตเราจะต้องเลว
    จัดแน่ๆ แต่ถ้าเราจะเลวขนาดนั้น เราขอตายตอนนี้ดีกว่า เราตายพร้อมศีล เราได้บวชเราได้ห่มผ้าขาวเป็นบุญใหญ่ๆทั้งนั้น อย่างน้อยๆเราก็ไปดาวดึงส์ แต่เราจะไม่ไป เราจะ
    ตรงไปพระนิพพานเลย คิดอย่างนี้ คือตอนนั้นมันไม่เอาจริงๆขันธ์ 5 ก็เลยบอกว่า คือตั้งจิตไว้เลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่มันไม่ใช่ของเราจริงๆ

    ขณะที่เปิดเทปบวงสรวง หลวงพ่อให้สมาทานศีล สมาทานกรรมฐานและเปิดเทปคำสอน ก่อนหน้านี้ก็มีเจ้าหน้าที่มาแจกกระดาษปิดหน้าเขียนคาถา นะโมพุทธายะ ก็เอาคาถาขึ้นมาปิดหน้าไว้ น้ำตามันมาจากไหนก็ไม่รู้ มันไหลออกมาเองโดยที่เรายั้งไม่อยู่ มันร้องไห้แล้วก็ได้เรียก รู้ตัวว่าเรียกท่านพ่อท่านแม่ว่า "ลูกไม่เอาแล้วขันธ์ 5 นี่มันทุกข์เหลือเกินเจ้าค่ะ" ก็บอกแบบนี้แล้วเริ่มภาวนาไป เห็นเทวดาที่ท่านสงเคราะห์ท่านมายืนอยู่ข้างหลัง ข้างบนหัวของข้าพเจ้า ก็เห็นพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ เป็นแก้วใส
    ลอยอยู่

    ก็เลยอธิษฐานจิตไปว่า ขอให้ผู้ที่เป็นพ่อ
    เป็นแม่ในกาลก่อนหรือผู้มีพระคุณนั้นล้อมเราไว้อย่าให้จิตเราแลบออกไป ลูกไม่เอาจริงๆขันธ์ 5 มันเลวเหลือเกิน ก็เห็นหลายๆองค์ยืนล้อมอยู่

    ภาวนาก็ภาวนาไปเรื่อยๆ นะมะพะธะๆ ภาวนาได้สักครู่หนึ่ง อาการทางร่างกายมันก็ร้อน ร้อนแบบร้อนรุมๆขึ้นมา พอมันร้อนลมหายใจมันก็แรงขึ้นๆ แต่แรงพอทนได้

    เหมือนเราเหนื่อย ไม่ใช่แรงแบบจะขาดใจไม่ใช่แบบนั้น แรงขึ้นเรื่อยๆ เสร็จแล้วมันก็ค่อยๆหาย เหมือนลักษณะเราวิ่งเหนื่อยแล้วค่อยๆหาย พออาการเหนื่อยมันหายลง คำภาวนาก็หายไปด้วย ลมหายใจก็หายไปด้วย มันก็เบา มันเบาเหลือเกิน แต่ช่วงที่มันเบานี่จิตเริ่มมีความสุข มีความสุขมากๆ แบบมันไม่มีอะไรเลยจริงๆ ตัวเรา ขันธ์ 5 เรามันไม่มี มันเบาเหลือเกิน

    พอมองดูก็มีความรู้สึกว่า เอ๊ะทำไมเรา
    ไม่เหมือนชาวบ้านเขา ก็เอาใหม่ตั้งต้นภาวนาใหม่ ภาวนา นะ มะ พะ ธะ ใหม่ พอภาวนาไปมันก็เบาไปอีก หายไปอีก ก็เอาใหมตั้งต้นใหม่ พอครั้งนี้เริ่มจะตั้งต้นใหม่จิตก็ไปนึกถึง หลวงพี่อาจินต์ ที่ท่านสอนฝึกซ้อมวันก่อนจะขึ้นมาได้ว่า ท่านพูดเชิงพูดเล่นว่าเป็นยังไงล่ะ เป็นยังไงบ้างลมหายใจมันหายไปแล้ว ตายแล้วมั้งๆ ก็เลยคิดว่า เอ..อันนี้มันฝึกเหมือนกันมั้ง แต่เราคงจะไม่ได้ออกไปแบบของชาวบ้านเขา เพราะว่าเราฝึกแบบนี้นี่ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าพเจ้ายอมรับเลยว่าฝึกครั้งนี้เป็นครั้งแรก ก็เลยตั้งต้นใหม่ ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อว่า "เอ็ง จะภาวนาไปถึงไหน" เท่านี้เองก็เลยคิดว่า เอ้อ ! ออกได้หรือไม่ได้ก็ไปดีกว่า เพราะว่ามันมีความสุขมากจริงๆ

    พอจิตมันเริ่มเคลื่อน บริเวณตรงตัวเรามันจะเป็นโพรงใสขยายออกไป กว้างขึ้นๆแล้วก็ใสขึ้นๆ จนมันเคลื่อนออกไปได้ เคลื่อนออกไปได้นี่ ร่างกายกับจิตนี่มันไม่สัมผัสกัน
    เลย มันไม่รู้เลยว่าเรามีกายที่นั่งตรงนั้น มันนิ่งจริงๆแล้วมันก็หายออกไป สว่างโล่งทั้งจักรวาลนี่สว่างมาก ก็กราบสมเด็จองค์ปฐมฯ

    ก่อนที่จะขึ้น จิตก็ตั้งไว้ว่าจะไปที่พระนิพพาน ไม่แวะที่ไหนเพราะว่าต้องการตาย ถ้าพบบ้านของเราเมื่อไหร่เราจะอยู่ที่นั่น ก็คิดไว้อย่างนี้ กราบท่านแล้วก็กราบทุกๆองค์ ท่านรออยู่ข้างบนหมด ทุกองค์ที่ขึ้นพระนิพพานได้ ท่านช่วยพวกเราหมด ภาพนี้ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนได้เห็นได้รู้จริงๆว่าผู้มีพระคุณ หรือว่าคนที่เคยเป็นพ่อเป็นแม่ในชาติก่อนๆท่านตั้งใจช่วยจริงๆ


    ท่านบอกว่าท่านรอเวลานี้มานานแล้วที่ลูกจะทำ
    ความดี ไปกราบสมเด็จองค์ปฐม ก็บอกกับท่านว่า "ลูกขอให้สอนธรรมะลูก" ท่านตรัสได้ไพเราะเพราะพริ้งมากท่านตรัสว่า "ดูแลกายแต่น้อย ให้สนใจจิตให้มาก" คำพูดสั้นๆแค่นี้เอง แต่ว่าถ้าเราได้ยินขณะนั้นแล้วปัญญาเราแล่นจริงๆ เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์มันจะขยายความไปได้เยอะเลยว่า กายนี้คืออะไร ดูแลยังไง อะไรยังไง จะขยายไปเรื่อยๆ จะรู้จะฉลาด การคล่องตัวจะคล่อง
    ตัวมาก จะขยับทางไหนจะรวดเร็วมาก เพียงแต่เราคิดนิดเดียว พระจะรู้จิตเราหมดแล้วท่านก็พูดตัดบท

    ข้าพเจ้าได้รับคำสอนจากทุกองค์จะขอเล่าแต่เพียงย่อๆ จิตนั้นก็ไม่ได้ติดอะไรคือทุกองค์จะสอนหมด ท่านปู่ท่านย่า ท่านแม่ท่านพ่อ ท่านย่าวิสาขาท่านก็เดินมาหา ทุกองค์จะรอรับหมด ท่านย่าวิสาขามาทักว่า "เป็นยังไงล่ะ ย่าไปหาทำไมไม่ใช้วิปัสสนาญาณ"
    เท่านั้นเราก็จะร้องไห้อีกแล้ว เพราะสมัยท่านเราก็เคยเกิด ข้าพเจ้าบอกไม่ถูก ข้าพเจ้าจะไม่ขอเล่า แล้วก็กราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่อยู่บนนั้น หันมามองข้างล่างไม่ทันจะคิดที่จะทำอะไรทั้งสิ้น เพราะตอนนั้นมันตกตะลึง มันบอกไม่ถูก มันมีความสุขจริงๆ ลืมไอ้ตัวข้างล่างไปเลย

    ก็หันมามองดูข้างล่างก็เห็นลำแสงของทุกคนที่ขึ้นมาได้นั้น
    ถ้าเห็นจากข้างล่าง เราจะเห็นเป็นลำแสงขาวๆ แต่ถ้ามองจากข้างบนก็จะเห็นว่าไอ้แสงนั้นคือตัวของเราที่ใส่ชฎาแล้วหลุดขึ้นมา แล้วก็ขึ้นปรู้ด บางคนก็วิ่งลงไปใหม่

    ข้าพเจ้ามัวแต่โง่เสียเวลาขึ้นๆลงๆ
    เวลาเลยมีน้อย แต่ความตั้งใจตอนแรกว่าถ้าพบบ้านเราจะไม่ยอมลงมา แต่เราก็โง่อีกตามเคย ท่านชวนพูดชวนคุยจนได้สัญญาณหมดเวลา ข้าพเจ้าจำเป็นต้องลงมาดิ่งลงไปเลย

    ข้าพเจ้าขอจบการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังของวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2536 ไว้แเค่นี้



    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 157 มีนาคม 2537 หน้า 95-97)

    การฝึกมโนยิทธิเต็มกำลัง 2 ลีลา โดย ประไพ สุนทราณู

    ตอนที่ 2


    ต่อไปจะเล่าถึงการฝึกวันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2536 วันอาทิตย์นี้ข้าพเจ้าขึ้นไปไม่เหมือนอย่างครั้งแรก ครั้งแรกที่ขึ้นไปนั้นท่านบอกว่าเป็นฌาน 4 ละเอียด
    แต่ว่าการขึ้นไปครั้งที่ 2 คือวันอาทิตย์นี้ไปแบบอภิญญา

    ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก เพียงแต่ว่าพอวันที่ 2 พอได้คาถา นะโมพุทธายะ ปิดหน้า
    ภาวนาไปได้สักประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง เห็นลำแสงพุ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ มาจากทุกทิศ มาจากทุกทิศจริงๆ ก็นึกในใจว่า เอ...ทำไมแสงมากอย่างนี้ ไม่รู้จะไปลำไหน ก็เลยเอาจิตพุ่งไปตรงกลางขึ้นไป ก็ไปอยู่ที่สมเด็จองค์ปัจจุบัน ไปวิมานท่าน ไปบนพระนิพพาน ไปถึงบนนั้นก็พบทุกพระองค์ครบเหมือนเดิมกราบทุกพระองค์ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ข้างบนหมดพรหมทุกองค์ แล้วก็หลวงปู่แหวน ทุกองค์ได้พบหมดจริงๆ

    กราบองค์ปัจจุบันท่านแล้ว ก็นึกได้ถึงเรื่องเมื่อวานว่า คือท่านสอนข้าพเจ้า แล้วก็ข้าพเจ้าได้พูดออกไปว่า "ในเมื่อพ่อ...(ขอประทานอภัยที่ใช้เรียกแทนหลวงพ่อว่าพ่อเพราะขณะอยู่บนนั้นข้าพเจ้าเรียกอย่างนี้จริงๆ) พ่อเคยบอกว่าการที่ขึ้นมาได้บนนี้เป็นบุญอันสูงสุดของในพุทธศาสนา ลูกก็ถือว่าลูกทำความดีแล้ว ลูกจะขออยู่บ้านของลูกเลยได้ไหมเจ้าคะ"

    ท่านก็ทรงพระเมตตาตรัสว่า "นั่น..เธอทำไมถึงได้โง่อย่างนี้ เธอหันไปดูซิว่าเธอเกิดมากี่ชาติ เธอเป็นทาสขันธ์ 5 มากี่ชาติแล้ว ทำไมชาตินี้เธอชนะแล้ว ทำไมเธอไม่ใช้มันให้คุ้มให้หมดอายุขัย"

    (ข้าพเจ้าขอวงเล็บไว้ในที่นี้นะว่า "ที่ชนะแล้ว" นี่ ท่านหมายถึงตอนที่ข้าพเจ้าได้ขึ้นมาข้างบน ไม่ได้หมายถึงว่าข้าพเจ้าลงไปข้างล่างนะ การขึ้นมาข้างบนได้นี้ก็ถือว่าตอนนั้นจิตว่างจากกิเลส ขอให้ทุกท่านอย่าเข้าใจว่าข้าพเจ้าคุยโอ้อวดแต่ประการใด เจตนาจริงๆไม่มี ต้องการจะบอกเพียงแต่ว่าท่านสอนท่านตรัสแบบนี้จริงๆ)

    แล้วก็นึกสงสัยในใจว่า เอ...ทำไมสมเด็จองค์ปฐมฯก็สอนให้เราตัดขันธ์ 5 แล้วทำไมองค์ปัจจุบันท่านจะให้เราอยู่ต่อ ในเมื่อเราก็ไม่ต้องการมัน เพียงแค่นึกแค่นี้ ท่านไม่ตรัสอะไร ท่านยิ้มๆแล้วท่านก็บอกว่าทุกองค์เขาเข้ามาสอนเอง พระโมคคัลลาน์ก็มา ก็กราบท่านเพราะว่ารักท่านมาก แล้วก็เคยอยากจะเห็นท่านมาก กราบแล้วขอพรท่าน ท่านก็ให้พร

    ก็หันไปเห็นพระสารีบุตร ท่านกวักมือเรียกเข้าไปหา "เข้ามาซิ" ก็คลานเข้าไปกราบท่าน ท่านก็บอกว่า "มาใกล้ๆ มาใกล้ๆ มาให้ชัดๆ" ก็เลยเข้าไปกราบท่าน เห็นหลวงพ่อยืนอยู่ข้างๆด้วย ท่านบอกว่า "เรามันลูกพ่อนะ" แต่ว่าท่านเตือน "เวลาอยู่ในหมู่คณะเนี่ยให้สำรวมพวกมันจะบาปใหญ่" ตอนนี้ปัญญามันแล่นนะ ท่านหมายถึงอะไรข้าพเจ้ารู้

    ข้าพเจ้าขอขยายความตรงนี้นิดหนึ่ง (ขอกราบประทานอภัยถ้าหากไปกระทบจิตผู้หนึ่งผู้ใด ข้าพจ้าไม่มีเจตนา) การที่พระสารีบุตรท่านสอนครั้งนี้ ท่านเตือนครั้งนี้ถือว่าเป็นพระคุณใหญ่ คือข้าพเจ้าจริงๆแล้วนั้นจริตของข้าพเจ้านี้เลวมาก ข้าพเจ้าเป็นคนที่ไม่สำรวม จะไม่สำรวมอะไรเลยเป็นคนที่หน้าเป็นอยู่ตลอด ซึ่งมันผิดกับท่านที่ปฏิบัติจะเอาดีทางนี้ ท่านปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่ข้าพเจ้านี้เลวจัด ไม่เคยสำรวมอะไรเลย

    ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ยึดที่ขันธ์ 5 ยึดที่จิต จิตข้าพเจ้าไม่ได้มุ่งทำร้ายใคร ปฏิบัติเพื่อเอาตัวของตัวเองพ้นนรก ท่านสอนนี้ท่านตั้งใจจะย้ำเตือนว่าอย่าทำอะไรที่มันทำให้คนอื่นมันจะบาปใหญ่

    ขอให้ทุกท่านอย่าสนใจกับขันธ์ 5 มากนัก อย่าดูคนที่การแต่งกาย อย่าดูคนที่ความรวย อย่าดูคนที่ความสวย อย่าดูคนที่ไม่สวย ให้ดูเขาที่จิต พวกเราลูกพ่อทุกคนได้รับการฝึกมาแล้ว อย่างน้อยๆมโนมยิทธิครึ่งกำลัง แจ่มใสบ้าง ไม่แจ่มใสบ้าง แต่ให้ดูกันที่จิต ให้วัดกันที่คุณงามความดี ลีลาของแต่ละคนไม่มีใครเปลี่ยนลีลาของตัวเองได้ นอกจากพระพุทธเจ้าองค์เดียว


    ตอนนั้นเราก็มีสติ เราก็คิดว่า เออ..เราเลวนะ เรายังปฏิบัติไม่ได้ ออกมาสำรวมก็คงจะสำรวมไม่ได้ ก็ขอกราบทุกๆท่านที่ท่านปฏิบัติได้ ปฏิบัติสำรวม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบได้ ข้าพเจ้ากราบขอขมา จิตจริงๆข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่หรือเจตนาที่จะล้อใครเล่น แต่เพียงแต่ว่านิสัยสันดานของข้าพเจ้านั้นมันเคยเป็นลิงมาก่อน คือเป็นคนหน้าเป็นขอให้ทุกท่านอย่าดูที่เสื้อผ้า อย่าดูที่กาย อย่าดูที่การกระทำ ให้ดูที่จิต ข้าพเจ้าฝากไว้แค่นี้ที่พระสารีบุตรท่านเตือน ท่านเมตตาเตือนมา

    พอหลังจากที่ท่านสอนแล้ว ท่านย่าก็มาสอนอีก (แต่ตอนนี้จะไม่ขอเล่า) มาเตือนอีกมาสอนอีก ใจก็ขยับจะไปกราบองค์ปัจจุบันและจะบอกว่าเบื่อจะขออยู่บ้านเราเลย พอเราคิดเท่านั้นเอง ท่านก็พูดขึ้นมาก่อน ท่านพูดขึ้นมาก่อนว่าให้หลวงพ่อพาข้าพเจ้าเที่ยว(อย่าใช้คำว่าเที่ยวเลยนะ ถ้าใช้คำว่าเที่ยวมันต้องเพลิดเพลินใช่ไหม แต่ไม่ใช่เลย ขอเรียกว่าการฝึกมากกว่า) ท่านพาไป 3 จุดใหญ่ๆ

    จุดแรกคือดาวดึงส์ หลวงพ่อฝึกเร็วมากรวดเร็วถึงขนาดที่ตั้งตัวไม่ได้ พอไปดาวดึงส์ก็ไปกราบท่านปู่ท่านย่าเป็นประธาน ทุกคนที่ดาวดึงส์ทุกองค์เป็นแก้วใสพรึบสว่างไปหมดไม่เห็นใครเป็นหน้าใคร สว่างพรึ่บไปหมด หลวงพ่อสั่งให้กราบผู้มีพระคุณ เราก็กราบ ขณะที่เรากราบ ท่านก็กราบด้วย เสร็จแล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรมาก กราบท่านย่าเสร็จท่านก็พาขึ้นไปพรหม

    ตรงพรหมนี้เอง ท่านก็พูดว่า "เอ้า..! แกอยากจะเห็นลูกแกไม่ใช่หรือ เอ้า...! ฉันให้เวลาแกคุยกับลูกแก" ข้าพเจ้าก็ได้พบลูกชายที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว คุยกับลูกชายสักครู่เดียวเท่านั้นเอง เขาเข้ามากราบที่เท้า แล้วเขาก็พูดเรื่องส่วนตัวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพูดกับเขาได้ครู่เดียว หลวงพ่อก็บอกว่า "ไปได้แล้ว"

    ท่านก็พาไปถึงพรหมชั้นที่ 16 ทุกอย่างสว่างไสวมาก สวยสดงดงามมาก แต่ว่าอารมณ์จิตที่พรหมนี้เทียบเท่าพระนิพพานไม่ได้เลยทุกอย่าง เบาก็จริง สว่างก็จริง แต่บนนิพพานนี้ไม่มีแม้กระทั่งลมหายใจ มันบอกไม่ถูกนะ มันไม่มีจริงๆ แต่ว่าบนพรหมนี้ยังรู้สึกมีลมหายใจเล็กน้อย การเคลื่อนไหวยังมีการ.. ไม่ทราบว่าจะอธิบายยังไงดีนะ ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงจริงๆ แต่ที่แน่ๆก็คือว่าถ้าขึ้นไปได้จะรู้ว่าอารมณ์จิตมันจะต่างกัน

    จากพรหมชั้นที่ 16 กราบท่านผู้เป็นใหญ่บนนั้นแล้ว ยังไม่ทันจะตั้งตัวเลย หลวงพ่อพาพุ่งลงมาหาท่านลุงพุฒิ พอเห็นท่านลุงปุ๊บ ข้าพเจ้าก็เกิดอาการลีลาของลิงเก่า วิ่งเข้าไปกอดเอวทันที แล้วก็กราบท่าน ข้าพเจ้าคุ้นกับท่านมานาน ก็ยังคิดอยู่ว่าเราคงตกนรกมาหลายแสนชาติ แต่ก็ได้รับคำตอบว่า "แกน่ะ ฉันเลี้ยงมาหลายชาติ ลุงดีใจที่แกขึ้นมา ที่แกมาได้นี่นะหรือหลานลุง ไม่เสียแรงที่ลุงเคยเลี้ยง" เสร็จแล้วท่านก็บอกว่าถ้ารักลุงก็ให้ขึ้นมาทุกวัน แล้วท่านก็ให้เห็นภาพอะไรเยอะแยะไปหมด ภาพนรกนี่มันชัด มันชัดมาก ชัดทำให้เราเห็นเลือดเกิดสดๆ ให้ดูแป๊บเดียว

    แล้วท่านก็ให้ดูรายชื่อคนที่อยู่ในบัญชีที่มันยังเป็นตัวแดงที่มันยังไม่พัน ท่านก็ให้ดู โอ...! ข้าพเจ้าตกใจ มากมายเหลือเกินชื่อในบัญชีแดงนี่มากเหลือเกิน ใจก็นึกค้าน ค้านท่านว่าทำบุญกันขนาดนี้แล้วทำไม ทำไมยังไม่พ้น ไม่พ้นนรกอีกหรือ นี่ข้าพเจ้าไม่ได้พูดออกมา แต่เพียงแต่นึกค้านในใจ

    ท่านลุงก็ตอบว่า "มันทำบุญ มันมีหลายระดับจิต มันทำบุญ แต่ว่ามันไม่ฝึก มันไม่มีธรรมะ มันไม่ได้ฝึกกรรมฐานกัน ใจมันก็ไม่ติดบุญ ในเมื่อไม่ติดบุญ ถ้ามันตายตอนนี้ มันก็ต้องมาที่นี่ เพราะมันมีทั้งบุญทั้งบาป แต่บอกพวกมันนะว่าลุงจะไม่คอยแล้ว พวกมันประมาทมาก มันถือว่าพ่อสร้างตาข่ายไว้หลายชั้น มันถึงได้ประมาทกันขนาดนี้"

    ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าไม่กล้าพูด ขัาพเจ้าไม่ขอพูด ท่านบอกให้ใช้คำพูดแบบนี้ ท่านสอนมาว่า "ให้บอกพวกมันว่า ถ้าพวกมันยังขืนประมาทอย่างนี้ ลุงจะไม่คอย ลุงจะไปแล้วนะ เพียงแต่พูดแค่นี้ คนที่มันฟังมันจะรับความรู้สึกได้เอง" ข้าพเจ้าก็รับปาก แล้วเสียงสัญญาณก็ดังขึ้นหมดเวลา

    ข้าพเจ้าก็กลับมา ลงมาตามเคย โง่อีกตามเคย จะขอพระท่านอยู่ข้างบน เสร็จแล้วเวลาก็หมดจนได้ ก็มารู้สึกตัวอีกทีหนึ่งก็คือข้างล่างนี่เอง การขึ้นไป 2 วันนี้ ความสุขจะต่างกันมาก วันแรกจะมีความสุขมาก มากถึงขนาดที่ว่าไม่เคยได้รับมาก่อน แต่วันที่ 2 จิตกับขันธ์ 5 นี้มีความรู้สึกยังต่อเนื่องกันอยู่ตลอด รู้สึกตลอดว่าเราทำอะไรแม้กระทั่งเกิดปีติ

    มีอยู่ตอนหนึ่งพระท่านตรัส องค์ปัจจุบันท่านตรัสเราเกิดปีติขึ้นมา จะมีขนลุกทางร่างกาย ไขสันหลังจะมีขนลุกขึ้นมา ท่านบอกให้ตัดปีติออกไปให้หมด แล้วเรา
    ก็จะร้องไห้ตอนแม่ศรีเข้ามากอดแล้วลูบหัวว่า "ไม่เสียแรงที่เป็นลูกแม่" ตอนนั้นมันอยากจะร้องไห้ออกมา ก็ถูกท่านดุว่า ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งร้องไห้ แต่ถ้าเราตัดไอ้ตัวนี้ออกไปข้างบนจะยิ่งมีความสุขใหญ่ อันนี้เองมั้งที่ท่านบอกไม่ให้เราห่วงร่างกาย ไม่ให้เราห่วงขันธ์ 5

    การที่ข้าพเจ้าได้เขียนมานี้ จะเป็นประโยชน์กับผู้คนมากก็ดีน้อยก็ดี ข้าพเจ้าเองนี้ไม่ได้คิดจะโอ้อวดตัวเอง ไม่เคยคิดที่จะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่เคยที่จะคิดว่าการปฏิบัตินี้จะปฏิบัติพื่อตัวเองให้พ้นนรก อย่างน้อยๆก็จะขอสอนลูก จะขอช่วยลูกช่วยสามีให้เขาเห็นทุกข์เหมือนเรา เราเห็นทุกข์ก็อยากให้เขาเห็นด้วย ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน

    สิ่งที่พูดมานี้หรือเขียนมานี้ ข้าพเจ้าไม่ใช่นักเขียน คำพูดและวาจาอาจจะกระท่อนกระแท่น ไม่ไพเราะรื่นหู ขอกราบอภัยทุกๆท่านด้วย แต่ส่วนไหนที่จะเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนา ต่อผู้คนที่จะพึงปฏิบัติ ก็ขอให้ส่วนนั้นเป็นความดียกให้กับเจ้าอาวาสก็คือหลวงพี่อนันต์ หลวงพี่ทุกองค์ที่อยู่ในวัดที่ท่านจัดงานนี้ขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่รู้จะสนองคุณท่านอย่างไร กำลังกายร่างกายของข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยแข็งแรง กำลังทรัพย์ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนชาวบ้าน ก็เลยคิดว่ากำลังใจคือกำลังจิตที่ฝึกนี้ จะขอเอาส่วนนี้สนองคุณท่านเป็นคุณงามความดีที่จะถวายท่าน และก็จะขอรับใช้พระศาสนาถ้ามีบุญวาสนาพอ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 157 มีนาคม 2537 หน้า 97-101)

    157 หน้า 98.jpg 157 หน้า 99.jpg 157 หน้า 100.jpg






     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2019
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    ประสบการณ์ฝึกมโนมยิทธิแบบเต็มกำลัง
    ของคุณวัฒนา ไชยเสนะ (คุณหมู)


    ตอนจิตจะออกจากร่างนะคะ ตอนนั้นหมูก็ไม่รู้ ต่อสู้เกือบตาย ตัวก็โก่ง อทิสสมานกายก็จะหลุด ลมหายใจจะขาด อึดอัดมากแรงมาก แต่ตัวเองโง่ แทนที่จะปล่อยให้หลุดป๊องไป ไม่ได้ปล่อย ฝืนเอาไว้ๆ 2 เที่ยว 3 เที่ยว จนกระทั่งเหมือนจะขาดใจ นึกว่าตายแน่ก็ตะโกนเรียกท่านแม่ "ท่านแม่ ช่วยลูกด้วย" เห็นท่านแม่ท่านโบกมือยืนอยู่ข้างๆบอก "ปล่อยไปเลยลูก"

    ได้ยินท่านแม่พูดอย่างนี้และโบกมือเช่นนี้ เอาใหม่เลย ตัดสินใจตายเป็นตายก็ออกไปได้ ออกไปได้แล้วก็โอโฮ้...มันตื่นเต้นตระการตา ไม่สามารถไปพิจารณาเล็กๆน้อยๆได้ มันตื่นเต้นกับบรรยากาศว่าไม่เคยเห็นสว่างขนาดนี้เลย เทียบกับดวงอาทิตย์ไม่รู้ว่ากี่ร้อยดวง ถ้าแสงของดวงอาทิตย์จะเป็นแสงออกเหลือง แต่อันนี้เป็นแสงของแก้วประกายพรึกบรรยายไม่ถูก

    "ขึ้นไปแล้วทำยังไงบ้างครับ"

    ก็ได้แต่มองโน่นมองนี่แล้วก็กราบองค์สมเด็จและก็กราบพระอรหันต์ สักพักก็ลงมา

    "เวลาจะเข้าร่าง เข้าปรู้ดไปเลยหรือว่าค่อยๆ เข้าครับ"

    ตอนกลับคงสมาธิเคลื่อน รู้สึกมีอาการปวดขึ้นมา แล้วก็เข้าเลย

    "แล้วจากนั้นขึ้นไปได้แคล่วคล่องว่องไวไหมครับ"

    ก็ไปได้

    "คือจริงๆ ก็ได้มโนมยิทธิครึ่งกำลังมาก่อนแล้ว พอมาฝึกเต็มกำลังก็สว่างไสวมากเลย"

    ใช่ค่ะ

    พระครูปลัดพูดเสริมว่า มโนมยิทธิเต็มกำลังถ้าได้แล้วจะประทับใจไม่ลืมเลย เพราะความแจ่มใสความสดใสบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือไม่ได้ 1 เปอร์เซ็นต์

    "ขึ้นไปแล้วเห็นวิมานลูกหลานหลวงพ่อด้านหลังเยอะไหมครับ'

    เยอะมากเลยค่ะ

    "มีของ ยกทรง หรือเปล่าครับ"

    หนูนึกแล้วต้องถามอย่างนี้

    พระครูปลัดอนั้นต์พูดล้อว่า "ของยกทรงเพิ่งตีแปขึ้นชื่อ" และพูดต่ออีกว่า มันมาตรงกันที่ว่า ให้ตัดร่างกายเสียก่อนยอมตายไปเลย คิดว่าเออ..มันก็ต้องตายแน่อยู่แล้วนี่ให้จิตมันยอมเสีย ตอนจะออกไม่ออก จิตวิตกกังวล โอย...จะตายเสียแล้วมั้งนี่ เลยไม่ต้องออกเลย ถ้าจิตเกาะกายนิดเดียวมันไม่ไปแล้ว ไม่หลุดให้หรอก

    การฝึกแบบเต็มกำลังนี่ได้ผล ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ฝึกแบบครึ่งกำลังต้องคอยถามรู้สึกสีอะไร แดงหรือเขียว การฝึกแบบเต็มกำลังไม่ต้องแล้ว มันชัดยิ่งกว่ากลางวัน ไม่ต้องไปถามสีแสงอะไรกันแล้ว แทบจะลูบคลำได้เลยอย่างกับลืมตาดูเลย

    "และถ้าฝึกได้นี่ยิ่งกว่าได้สมบัติทั้งปวงเลยนะ"

    ยิ่งกว่าสมบัติทั้งปวงจริงๆ

    "ฉะนั้นสมบัติทั้งปวงใครไม่อยากได้ก็อย่าลืม ยกทรง นะ"

    ได้... ให้ตายก่อน อย่าไปอยากได้สมบัติเขา

    เคล็ดลับของการฝึกแบบเต็มกำลังก็คือ ปลงร่างกายเสียก่อน ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อปลงไม่ทัน ต้องลงมาอีก จะไปได้เลย ไม่ได้ มาฝึกคราวนี้คิดว่าเราอาจทิ้งชีวิตที่ศาลาวัดก็ได้มันต้องตายแน่ จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ขอตายไปเลย พอถึงจังหวะนั้นมันจะได้ไม่ห่วง

    เวลาฝึกแบบครึ่งกำลังก็เหมือนกันครูฝึกจะสอนใช่ไหม...ว่าพิจารณาร่างกาย เป็นทุกข์ไหม ? ตอบว่า ทุกข์ ถามว่าทุกข์อย่างนี้ต้องการอีกหรือเปล่า ? เราก็บอก ไม่ต้องอีก ช่วงนี้แหละกำลังใจมันจะเริ่มตัด จิตมันจึงหลุดออกไปครึ่งกำลัง เขาจะสอนไม่ให้เราห่วงใยในร่างกาย ตรงนี้สำคัญ

    "บางวันขึ้นไปนิพพานแจ่มใส บางวันก็ไม่แจ่มใส เลยไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้มันดีหรือมันเลวลง"

    หลวงพ่อท่านเคยบอกให้ดูย้อนหลังว่าก่อนที่เราจะมาปฏิบัติธรรม ความโกรธมา 1 ไป 10 หรือเปล่า คือเขาด่ามา 1 คำ เราด่าไป 10 คำ เดี๋ยวนี้มา 1 ไป 1 แสดงว่าดีกว่าเก่าลดมา หลวงพ่อท่านเปรียบเทียบอย่างนี้นะให้ดูอารมณ์ของเรา อย่าไปดูความแจ่มใสของวิมานก็ดี ความแจ่มใสของสมาธิก็ดี เพราะถ้าเป็นฌานโลกีย์อยู่ วันนี้ใจขุ่นมัวขึ้นไปก็ขุ่นมัว อารมณ์ใจแจ่มใสก็ขึ้นไปแจ่มใส

    ให้ดูอารมณ์ที่ตัดเป็นสำคัญ อารมณ์ตัดก็คือทำอย่างนี้ไม่ถูกใจเรานี่ซัดไปแล้ว เดี๋ยวนี้มา 1 ไป 1 หรือมา 1 เราไม่ไป แสดงว่าเริ่มดีขึ้น หลวงพ่อท่านให้ดูย้อนหลังเปรียบเทียบ ดูสังโยชน์เป็นหลัก

    "เห็นจริยาของคนบางคนหรือพระบางองค์ที่ทำไม่ถูกที่ทำไม่ดี แหม...มันอดปากไม่ค่อยได้"

    หลวงพ่อท่านเคยบอกว่าอย่าไปสนใจจริยาหรือความชั่วของบุคคลอื่น เป็นอันดับแรกเลย อย่างฉันนี่ก่อนจะเข้าไปอยู่วัดท่าซุงได้ยินข่าวลือสารพัด ฉันไปวันแรกหลวงพ่อบอกเลย "เออ...เสียงหมู เสียงหมา เสียงกาเสียงไก่ ที่นี่มันเยอะนะ อย่าสนใจจริยาของบุคคลอื่น"

    คือไปสนใจจริยาของบุคคลอื่น ก็ทำให้อารมณ์ใจเราขุ่นมัว ให้สนใจจริยาความชั่วของตัวเราเองเสมอ เตือนตัวเราเองไว้เสมอ ไม่มีใครเตือนเราได้ นอกจากตัวเราเท่านั้น

    ให้ดูตัวเองอยู่เสมอ ถ้าดูความชั่วของตัวเราเองอยู่เสมอ มันก็จะเหลือแต่ความดี ถ้าดูแต่ความดี มันจะเหลือแต่ความชั่ว

    (จากคอลัมภ์ "คำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 155 มกราคม 2537 หน้า 91-93)

    IMG_20180310_091054.jpg

    ประสบการณ์การฝึกมโนยิทธิแบบเต็มกำลัง

    พระครูปลัดอนันต์ฯสัมภาษณ์ คุณกมลรัตน์


    "คืออยากจะถาม เพระว่าบางคนที่ไปไม่ได้น่ะ จะได้เป็นตัวอย่างแก่บางคนที่ไปไม่ได้ กำลังใจก่อนที่จะหลุดออกไป ตัวนี้นะสำคัญที่สุด นะมะ พะธะ ใครก็ภาวนาได้ ภาวนาผิดมั่งถูกมั่งก็ภาวนาได้ แต่การทำกำลังใจให้พอดีกับจิตที่จะถอดออกไปตัวนี้น่ะสำคัญ ตอนแรกต้องทำกำลังใจยังไงก่อน อยากจะรู้ตัวอย่างตรงนี้ ช่วยเล่าให้ฟังสักหน่อย"

    คือปีนี้นะคะเป็นปีที่ไปแบบไม่ได้ไปเที่ยวนะคะ เมื่อปีที่แล้วยังไปเที่ยว ไปเที่ยวในพระนิพพาน แต่ปีนี้พอไปแล้วมีความรู้สึกว่าเราไปแบบครึ่งกำลังคือเราภาวนา ก่อนที่เราภาวนาเราขอองค์สมเด็จและหลวงพ่อ เรียกว่าขอทั้งหมดว่าชีวิตร่างกายเรานี่ เราขอมอบให้ทั้งหมดแล้ว เราจะไม่เอาอีกแล้ว แล้วพอดีช่วงนี้กำลังไม่สบาย แต่พอเราได้แล้วหายหมดเลย (หัวเราะ)

    "ตอนนี้ขอขั้นจังหวะสักนิดหนึ่งนะ เมื่อก่อนเขาจะมาเขาป่วยมาก ต้องกินยาพาราฯ ไอ้พาราฯ ดันไปติดคอเสียอีก ฉะนั้นขอญาติโยมทุกคนขอให้จำเป็นตัวอย่างว่า การจะทำความดี การปฏิบัติมโนมยิทธิเต็มกำลังนี่ถือว่าทำความดีขั้นสูงสุด คือว่าผู้ที่ได้เต็มกำลังแล้วนี่จะไม่กลับไปเป็นมิจฉาทิฏฐิอีก หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยท่านมีชีวิตอยู่ คราวนั้นฝึกกันที่ 2 ไร่ ท่านป่วยมากกว่านี้อีกเป็นร้อยเท่า ปัสสาวะไม่ออก 2 วัน ท่านบอกว่าการปฏิบัติความดีแบบนี้ พวกนี้ไปไม่กลับ ฉะนั้นช่วงจังหวะก่อนจะทำนี่มารก็มาริดรอนความดี อย่างนี้ก็ถือว่ามารมาริดรอนความดึ แต่คนนี้ไม่ยอมมาร มารแพ้ เอาไว้ไม่อยู่ เอ้าเล่าต่อไป"

    ตอนทำพิธีนะคะ ท่านให้ภาวนาได้ ก็ภาวนา นะมะ พะธะ สักเดี๋ยวหนึ่งมีความรู้สึกว่าจะล้ม ปีที่แล้วจำได้ว่ามีครูฝึกมาบอกว่าให้ตัดร่างกายเสียก่อนนะ แล้วก็จะล้มไปเลยเราก็รอ ปรากฎว่าไม่มีใครมาบอกเสียที ก็เลยกลายเป็นครึ่งกำลังไป ก็เลยรวบรวมกำลังใจภาวนาใหม่ ภาวนาคราวนี้ล้มเองเลยค่ะ บอกไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว

    พอล้มแล้ว เอ๊ะยังไง เราไปได้หรือเปล่า ปรากฏว่ามีความรู้สึกว่าเราไปกราบสมเด็จก่อนเลย กราบไปร้องไห้ไป ร้องไห้ดีใจค่ะ แล้วก็ไปกราบหลวงพ่อ บอกหนูไม่อยู่แล้ว หนูขึ้นมาแล้วหนูไม่ไปแล้วหนูตัดแล้ว ขอไปอยู่เลย พอดี ป้าเชิญ เขาบอกว่าไปกราบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะค่ะ ก็ไปกราบท่าน พอไปกราบหลวงพ่อจะพาไปที่วิมานของเรา

    ปกติเวลาก่อนนอนนี่ คือสวดมนต์เรียบร้อยแล้วนี่ จะกราบสมเด็จองค์ปฐม กราบหลวงพ่อ กราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเลย ก็ขอให้คุ้มครองเรา เราก็ขึ้นไปข้างบน กราบสมเด็จองค์ปฐม หลวงพ่อ แล้วก็ไปวิมานของเรา แล้วก็นอนจนหลับไปเลย เป็นอย่างนี้ทุกคืนเลย พอวันนี้หลวงพ่อท่านบอกว่าให้ไปขอขมาหลวงปู่แหวน เอ๊ะเราไม่ได้มีอะไรนะ สงสัยอดีตชาติมั้ง ไปขอขมาท่าน แล้วก็พระสารีบุตร แล้วก็ไม่ได้ไปไหนอีก เหาะลิ่วเลย ไปดูวิมานของเพื่อนๆ โอ้โฮ สวยทั้งนั้นเลย รูปทรงแปลกๆ แว้บๆ ไปหมดเลย แล้วก็ไปดูวิมานของพี่ที่ที่ทำงาน สวยเป็นแก้วไปหมดแต่ยังไม่สวยเท่าของสมเด็จกับของหลวงพ่อนะคะ ปลื้มใจตัวเองมากเลย

    ป้าเชิญก็บอกว่าจะไปไหนต่อ ไปวิมานดีกว่า หนูไม่อยากจะไปไหนอีกแล้ว วิมานของเราสวย แต่ตอนอยู่ข้างล่างรู้สึกว่าเหมือนกระจกเลยค่ะ กระจกวิหารร้อยเมตร แต่พอขึ้นไปมันสวยกว่านั้นอีก ไม่มีฝุ่นเลยค่ะ

    หลวงพ่อบอกว่าให้รักษาศีลให้บริสุทธิ์ที่ขึ้นมาได้นี่ศีลบริสุทธิ์นะ เราต้องรักษาศีลให้ได้ แล้วนึกถึงความตาย ของที่ทำนี่ดีอยู่แล้วแต่ว่าอย่าประมาท อย่าประมาท ให้รักษาอารมณ์นี้ให้ได้ แล้วให้มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย เพราะว่าหนูยังมีความกลัวอยู่ กลัวไปนิพพานไม่ได้

    บางทีนี่นะคะหลวงพี่ พอขึ้นไปข้างบนนี่นะคะ พอข้างล่างเขาร้องวี้ดว้าย กายเราตัวนี้มันสะดุ้งขึ้นมา แต่ข้างบนเราไม่หวั่นไหว

    "เอาละ เป็นตัวอย่างนะ ฟังเสียงก็รู้ว่าปลาบปลื้มใจนะ อุตสาห์มาทำกันได้"


    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 171 มิถุนายน 2538 หน้า 92-93)


    ประสบการณ์การฝึกมโนยิทธิแบบเต็มกำลัง
    พระครูปลัดอนันต์สัมภาษณ์ คุณทองเมื้ยน แสนใหม่


    "คุณทองเมี้ยนนี่มาวัดนานแล้วหรือยัง"

    ดิฉันมาวัดนี้นานแล้วเจ้าค่ะ แต่ยังไม่เคยได้ฝึกมโนมยิทธิค่ะ

    "อ้าว อย่างนั้นเหรอ ยังไม่เคยฝึก ครึ่งกำลังก็ยังไม่เคยเหรอ"

    ครึ่งกำลังเคยฝึกเมื่อตอน 2-3 เดือนกับอาจารย์สมปองเจ้าค่ะ ก็รู้สึกว่าพอฝึกแล้วก็ได้เจ้าค่ะ แต่วันนี้รู้สึกว่าชัดเจนแจ่มใสกว่าที่ฝึกแล้ว แต่ดิฉันมาพูดวันนี้ก็เพราะว่าดิฉันได้สัญญากับหลวงพ่อไว้ บอกว่าลงมาจะต้องให้ธรรมะ ลูกอยากได้กุศลเรื่องธรรมะ คือดิฉันเวลาก่อนจะนอน ดิฉันก็ว่าบุญอะไรในโลกนี้ที่มากที่สุด ดิฉันจะทำบุญอันนั้น เพราะดิฉันก็ทำมามากแล้ว แต่ไม่ทราบว่าบุญอะไรที่มากที่สุด

    ทีนี้วันนี้ ก่อนที่ดิฉันจะขึ้นไป ดิฉันนมัสการพระพุทธเจ้า บอกว่า ข้าพเจ้าขอนมัสการเจ้าค่ะ และขอมอบกายถวายชีวิตของข้าพเจ้าเพื่อเป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธศาสนา ธรรมใดที่พระพุทธเจ้าท่านเห็นแล้ว ธรรมนั้นขอให้ดิฉันเห็นด้วยเถิดเจ้าค่ะ พอนมัสการเสร็จดิฉันก็หลับตา ภาวนา นะมะ พะธะ

    พอไม่กี่นาทีก็มีแสงเจ้าค่ะ มีแสงใหญ่มากเกินกว่าที่จะประมาณได้เจ้าค่ะ แสงสว่างหมดทั้ง 12 ไร่ แสงสว่างหมดเลย พอแสงสว่างแล้วดิฉันก็กำหนดว่า เห็นหนอ (หัวเราะ) เพราะดิฉันเคยกำหนดแบบนั้นเจ้าค่ะ พอกำหนดเห็นหนอแล้วแสงมันก็ค่อยๆเล็กลง

    ทีนี้เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ใหญ่กว่านี้อีกเจ้าค่ะ สวยมากเจ้าค่ะ ท่านก็มาอยู่ตรงหน้า ดิฉันก็นมัสการ พอกราบครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 พอครั้งที่ 3 เงยขึ้นมาเป็นหลวงปู่ปาน พระพุทธรูปนั้นเลือนไปเป็นหลวงปู่ปานเจ้าค่ะ ดิฉันก็ตกใจ ท่านก็ยิ้มนิดๆ เห็นท่านนั่งสมาธิ ท่านลุกขึ้นเดิน จิตดิฉันก็อยากจะตามท่านเลยเจ้าค่ะ ตามท่านไปเลย ท่านเดินเร็วมาก ตามท่านไป แป๊บหนึ่งไปถึงท้องพระโรงใหญ่มากสวยมาก

    ทีนี้ดิฉันก็แหงนดูใหญ่ พอแหงนดูพอหันไปเห็นหลวงปู่ปานขัดสมาธิ แล้วใหญ่มากสวยมาก ดิฉันก็กราบหลวงปู่ปานครั้งหนึ่ง อ้าปากจะถามว่า บ้านหลวงปู่เหรอ ท่านก็ยิ้ม ท่านก็บอกว่า ใช่แล้ว

    ทีนี้ดิฉันก็ว่า แล้วหลวงพ่อฤาษีลิงดำล่ะเจ้าคะ เห็นแต่หลวงปู่องค์เดียว ทีนี้ท่านเหลียวไปข้างขวา ดิฉันมีความรู้สึกว่าทางนี้จะต้องไปหาหลวงพ่อ เพราะเป็นทางกว้าง และเป็นแก้วผสมทองสวยมาก แต่รู้สึกว่าเหมือนตัวเบาลอยไป

    พอไปแป็บหนึ่ง เห็นแบบเทวดาเยอะแยะไปหมดนับไม่ถ้วน แต่หลวงพ่อฤๅษีนั่งสูงกว่าเทวดา ทีนี้ก็เป็นทางตรงเข้ามาหาหลวงพ่อเลย ดิฉันก็ตรงเข้ามาเรื่อยๆเลยเจ้าค่ะ เทวดาเขาก็นั่งแบบไม่รู้สึกว่าเราจะไปเลยเจ้าค่ะเขานั่งเฉยๆ ฉันก็เข้าไปเรื่อยๆ ดิฉันก็เข้าไปกราบหลวงพ่อ บอกนมัสการเจ้าค่ะ หลวงพ่อก็ว่า อ้อ มาแล้วเหรอลูก

    "แล้วแต่งตัวยังไงแต่งไปแบบนี้หรือเปล่า"

    ไม่ใช่เจ้าค่ะ ดิฉันเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง แบบเป็นหมอลิเกผู้ชายแบบนี้เจ้าค่ะ มีชฏาด้วยเจ้าค่ะ เป็นหงอนๆ

    "หงอนนี่ไม่ใช่ไก่นะ" (หัวเราะ)

    หงอนตรงแขนเจ้าค่ะ เขาเรียกอะไรนะ

    "เอ้อ อินทรธนู"

    พอไปกราบหลวงพ่อ ท่านก็บอกว่า มาหาหลวงพ่อก็ดีแล้วลูก บุญแล้ว แต่ต้องสัญญากับหลวงพ่อนะ ถามว่าสัญญาอะไรเหรอเจ้าคะหลวงพ่อ สัญญาว่าถ้าลงไปแล้วจะต้องไปเล่าให้เพื่อนฝูงฟัง ถ้าลูกไม่เล่าตามความเป็นจริงแล้วลูกจะมีอันตราย ดิฉันก็บอกว่าเจ้าค่ะ แล้วลูกนมัสการพระพุทธเจ้าหรือยัง ดิฉันก็บอกว่ายังเลยเจ้าค่ะ มานมัสการแต่หลวงปู่ปาน ท่านก็ทำมืออย่างนี้ไปทางข้างขวาของท่านอีกเจ้าค่ะ

    ดิฉันก็ไปอีก รู้สึกว่าแป๊บเดียวก็ถึง รู้สึกว่ามีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์เจ้าค่ะ ท่านยืนอยู่ ดิฉันก็ขอนมัสการกราบเท้าท่าน ท่านสูงใหญ่มากเจ้าค่ะ ท่านก็เฉยๆ ดิฉันก็น้ำตาไหลบอกไม่ถูก รู้สึกดีใจบอกไม่ถูกรู้สึกชื่นใจและดีใจ อะไรไม่เคยเท่ากับชีวิตที่เคยเจอแบบนี้เจ้าค่ะ

    พอดิฉันกราบ 3 ครั้ง ตอนนั้นท่านยืนใช่ไหมคะ ท่านก็นั่งห้อยพระบาทหมดทั้ง 5 พระองค์เลยเจ้าค่ะ ดิฉันกราบที่ตักท่าน ยิ่งดีใจมากใหญ่เลยเจ้าค่ะ

    "โยมปีติ ฉันก็ปีติด้วย"

    ทีนี้ ดิฉันร้องไห้แล้วก็ถามว่า ดิฉันไม่อยากลงไปได้ไหม ก็มีเหมือนเสียงหลวงพ่อบอกว่า ไม่ได้ลูก ยังไม่ถึงวาระ ท่านก็บอกให้หันกลับไปแลดูโลกมนุษย์เราชิลูก เป็นยังไง ดิฉันก็คิดว่าโลกมนุษย์นี่ ดิฉันไม่อยากมองกลับเจ้าค่ะ ถ้าดูโลกมนุษย์กับที่นั่น ดิฉันไม่อยากเห็นเลย เพราะมันน่าเวทนา น่าสังเวชอย่างมากเลยเจ้าค่ะ ดิฉันบอกว่า ไม่อยากกลับหลังไปดูเลยเจ้าค่ะ

    ทีนี้จิตบอกว่า ลองมองดู พอหันหลังลองมองดู เห็นมนุษย์ตัวน้อยๆกำลังทำอะไรกัน เห็นตัวนิดนึงเจ้าค่ะ เห็นเยอะแยะไปหมดเลย แต่ดิฉันมีความตั้งใจว่าถ้าอยู่ได้ ดิฉันไม่อยากลงมาเจ้าค่ะ

    "แล้วไม่ได้สั่งคนทางบ้านไว้มันจะยุ่งน่ะสิ คนทางบ้านโยมมีไหม"

    พ่อบ้านมาด้วยเจ้าค่ะ

    "อ้อ พ่อบ้านมาด้วย ไม่ได้บอกว่าฉันไปแล้วจะไม่กลับ ไม่ได้บอกเขาไว้" (หัวเราะ)

    กลับกลัวเสียอีกเจ้าค่ะ เพราะว่าให้สัญญาหลวงพ่อเอาไว้ เพราะว่าต้องขับรถกลับเอง ถึงมาเล่ารายละเอียดให้พี่น้องฟังทั้งหมดทุกๆท่านคะ

    เรื่องที่ดิฉันเล่ามานี้จริงๆเจ้าค่ะ มีจริงๆเพราะดิฉันเองก็ปฏิบัติมาเยอะแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นชัดแจ้งเหมือนที่นี่เจ้าค่ะ ขอให้พี่น้องทุกๆท่านตั้งใจทำแล้วจะเห็นเอง ผู้ปฏิบัติจะเห็นด้วยตนเองแน่นอนเจ้าค่ะ

    "เอ้อ สาธุ ชื่ออะไรนะโยม ชื่ออะไร"

    ชื่อ ทองเมี้ยน แสนใหม่ อยู่โคราชหลานย่าโมเจ้าค่ะ

    "อ้อ หลานย่าโมเอง คนดีหลานย่าโม คนเล่าก็ปีติ คนฟังก็ปีติ (หัวเราะ) ทุกคนน่ะเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าถึงที่นั่นแล้วทนไม่ไหวหรอก ก็ยังบอกกับเขาบอก เหมือนคนที่อยู่มาเป็นพันปี แล้วจากกันมาเป็นพันปี แล้วไปเจอกันอีกครั้งหนึ่ง ไอ้ความอบอุ่นตัวนี้มันจะเข้ามา ใครก็ทนไม่ได้ ความอบอุ่นของจิตมันมาก ความสุขของจิตมันทนไม่ได้"

    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 171 มิถุนายน 2538 หน้า 93-95)

    ประสบการณ์การฝึกมโนยิทธิแบบเต็มกำลัง
    สัมภาษณ์ คุณวศินี วริยพิมล

    "คนนี้นี่มาวัดเมื่อไม่นานมานี้เอง เอ้าเป็นยังไงบ้าง ฝึกปฏิบัติยังไงบ้าง"

    ตอนแรกที่เข้ามาที่นี่ก็ได้ข่าวว่าที่วัดมีการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง เสร็จแล้วก็คิดดูว่าเราจะฝึกได้หรือปล่า ทีนี้ตอนที่หลวงพี่บอกเมื่อคืนนี้ว่า ให้ไปฝึกที่ห้องให้ทำกำลังใจว่าตอนที่เราทำทำยังไง เพราะตอนที่อยู่ซอยสายลมเคยฝึกได้ แต่เมื่อคืนนี้ก็ไม่ได้ทำ พอมาทำวัตรเย็นเสร็จแล้วก็มานั่ง มีครูฝึกบอกว่าเวลาว่างๆ มานั่งทำอะไรอยู่ ทำไมไม่จับภาพพระพุทธรูป พอหนูได้จับพระพุทธรูปก็ทดลองจับว่าลมหายใจเราเป็นยังไง

    พอมาถึงตอนที่หลวงพื่อนันต์บอกว่า ให้วางเฉย แล้วอย่าไปสนใจกับผู้อื่น เวลามีเสียงอะไรก็อย่าไปสนใจ พอตอนที่ยกขันครูขึ้นมาก็อธิษฐานจิตว่า ถ้าบุญบารมีเก่าของข้าพเจ้ามี บุญกุศลที่ขัาพเจ้าได้ทำมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังได้ พอทำพิธีเสร็จแล้วก็สวมกระดาษพระนามพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ขึ้นมา ก็เริ่มปฏิบัติ ก็ท่อง นะมะ พะธะ ไปเรื่อยๆ ระหว่างการท่องก็นึกที่หลวงพี่บอกว่า ให้ตัดขันธ์ 5 ว่าร่างกายเราเป็นยังไงบ้างก็ทำตามหมดเลย

    พอต่อมา หลวงพี่บอกว่า พอเห็นแสงก็ให้นึกถึงว่าร่างกายเรานี้ไม่มีอะไรดี พอครั้งแรกที่ทำขึ้นมาก็เห็นแสง แต่ไม่เข้าใจว่าเป็นแสงอะไร พอได้ยินเสียงคนสั่น หรือเสียงร้องจิตก็จะแว้บไป ใจก็นึกว่า หลวงพี่อาจินต์บอกว่า เราอย่าไปสนใจผู้อื่น ก็ทำต่อ ทำต่อได้สักพักหนึ่งก็มีแสงจ้าออกมาที่หน้าเรา เราก็นึกว่าถ้าเราขึ้นไปแล้วเราจะไม่ลงมาอีก เท่านั้นแหละแสงก็พุ่งขึ้นไปสูง ก็ตามขึ้นไป พอตามขึ้นไปปุ๊บ พอขึ้นไปข้างบนก็มองไปที่ไกลๆ ก็มีความรู้สึกว่าทำไมตัวเองยืนอยู่คนเดียว มันอ้างว้างไปหมดเลย สักพักหนึ่งก็มีเทวดาองค์หนึ่งมา ก็บอกว่าท่านจะไปไหน ก็บอกกับท่านว่า อยากจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ชี้ทางไป ก่อนจะชี้ทางไปก็มองเห็นเป็นแก้วหมดเลย ก่อนที่จะขึ้นไปก็มองดูตัวเองว่า ตัวเองยังแต่งชุดขาวอยู่ พอขึ้นไปก็มีความรู้สึกว่าตนเองได้เปลี่ยนชุดหมดเลย ก็ขึ้นไปถึงองค์สมเด็จ ก็ได้กราบท่าน 3 ครั้ง


    "แต่งตัวเป็นยังไง เราเองน่ะ"

    หนูเองมีสวมอะไรที่หัว แล้วก็มีอะไรห้อยที่หน้าอก แล้วก็เหมือนไม่ได้เดินติดดิน ท่านก็ถามว่ามีความรู้สึกยังไงที่ขึ้นมา หนูบอกว่ามีความรู้สึกสบายใจ อุ่นใจ ท่านก็บอกว่าจำไว้นะ ให้นึกถึงอารมณ์นี้ไว้อยู่เสมอ ท่านบอกว่าทั้งหมดที่ปฏิบัติมานี่น่ะรู้ไหมอะไรที่สำคัญ หนูบอกว่า ไม่รู้เจ้าค่ะ หนูรู้แต่ว่าหนูได้รักษาศีล 5 หนูเพิ่งเริ่มปฏิบัติค่ะ ท่านก็บอกว่าดีแล้ว หนูก็กราบลาท่าน ท่านถามหนูว่า แล้วอยากจะไปไหน หนูบอกว่า หนูอยากจะไปพระจุฬามณีเจ้าค่ะ พอเท่านั้นเเหละก็ถึงพระจุฬามณี

    พอก่อนจะขึ้นพระจุฬามณีจะเป็นวิมานสวยมาก แล้วก็จะมีบันไดสองข้างเหมือนพญานาค แล้วพระพุทธเจ้านั่งอยู่ พอกราบท่านเสร็จแล้วท่านก็บอกว่า ยังขาดบกพร่อง
    อยู่ หนูบอกว่าหนูก็ปฏิบัติถูกแล้ว ท่านบอกศีล 5 อย่างเดียวไม่ได้ การตัดที่อะไร 4 นี่แหละค่ะหนูจำไม่ได้แล้ว ท่านก็บอกว่าให้หมั่นทำความดี แล้วหนูก็เลยบอกว่า ลูกขอพร ท่านบอกว่า พรอยู่ที่ศีล ถ้าเรารักษาศีลหมดเราก็ไม่เป็นทุกข์

    พอเสร็จแล้วหนูก็กราบลาท่าน ก็นึกอธิษฐานจิตว่า ลูกขอบารมีหลวงพ่อช่วยพาหนูไปกราบพระศรีอาริยเมตไตรย พอหนูไปถึงพระศรีอาริยเมตไตรย ท่านก็บอกว่าเป็นยังไงล่ะลูก หนูบอกว่าหนูมีความทุกข์มาก ทุกข์เรื่องอะไรล่ะลูก ทุกข์ว่าหนูไม่มีอะไรจะทำ ต่อไปนี้หนูคงต้องลำบากอีก แล้วท่านบอกว่าไม่ต้องทุกข์หรอก ท่านบอกให้หนูพนมมือหลับตา หนูก็หลับตา ท่านก็เอาพัดอันใหญ่ๆมาพัดให้หนู ท่านบอกว่าสิ่งอะไรที่ไม่ดีก็พัดออกไป พอหนูพัดไปเสร็จแล้วหนูก็หลับตา ท่านถามหนูอีกว่า มีความรู้สึกยังไง หนูก็บอกว่า มีความรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเกิดใหม่ ท่านก็บอกว่า ต่อไปนี้นะ ให้หลับตา ให้นึกแต่สิ่งที่ดีๆ ตอนที่หลับตาก็นึกว่า ถ้าข้าพเจ้ามีบุญกุศลที่ข้าพจ้าได้ทำในอดีตชาติจนถึงปัจจุบันนี้ ถ้าข้าพเจ้าได้ตัดขันธ์ 5 ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้ไปพระนิพพาน ท่านก็ยิ้ม แล้วท่านก็พัดกลับมาอีก แล้วท่านก็ต่อว่าหนูว่า จำไว้นะ พระศรีอาริยเมตไตรยที่ท่านบูชาอยู่น่ะ ท่านน่ะวางผิดที่แล้ว หนูนึกขึ้นได้ก็มองเห็นเป็นภาพขึ้นมา ท่านบอกว่าเอาท่านไปสูงกว่าพระพุทธเจ้า หนูก็นึกได้ว่าใช่ เพราะทุกวันเราบูชาอยู่

    พอจากนั้นไปหนูก็ไปไหว้ท่านปูท่านย่า ท่านปู่ท่านย่าก็บอกว่า การที่เราทำบุญนี่น่ะไม่ต้องอุทิศให้ท่านหรอก เพราะว่าหนูทำบุญทีไรหนูก็ขอให้ท่านปู่ท่านย่าโมทนาสาธุ ท่านก็บอกว่าท่านเต็มแล้ว ไม่ต้องอุทิศให้ท่าน ท่านก็หัวเราะ แล้วครั้งสุดท้ายก็ถามว่า แล้วลูกจะไปไหนอีก ก็บอกว่า ลูกอยากจะไปเจอคน 3 คนที่เมืองนรก หนูอยากจะรู้ว่าคน 3 คนนี้ไปอยู่ที่ไหน หลวงพ่อก็พาไป พอพาไปปุ๊บ หนูก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่ๆ หน้าตาน่ากลัวมากเลย หลวงพ่อก็บอกว่า ให้กราบท่านสิ หนูก็กราบ พอกราบเสร็จแล้วท่านก็บอกว่า นี่ไงคือลุงพุฒิ พอกราบเสร็จแล้วท่านก็บอกว่ามานี่เพื่ออะไร หนูบอกจุดประสงค์ว่าหนูอยากจะเจอคนที่ตายไปแล้ว 3 คนว่าเขาไปอยู่ที่ไหน

    ลุงพุฒิก็บอกว่า แล้วไม่อยากดูบัญชีเราบ้างเหรอ หนูก็บอกว่า ไม่รู้จะดูดีหรือไม่ดี ท่านก็ชี้ไปที่นิ้วท่าน ก็เป็นบัญชีทอง ท่านก็บอกว่า เห็นเป็นอันนี้อย่าดีใจนะ เราก็ยังมีบาปอยู่ แต่ตอนนี้ตามไม่ทัน ให้สะสมบุญไว้เยอะๆ แล้วพอต่อมาท่านก็บอกว่า นาย 3 คนที่อยากจะเจอนี่ชื่ออะไรบ้าง (ขอสงวนนาม) เป็นญาติกันค่ะ พอหนูพูดปุ๊บเขาก็มานั่งกัน 3 คน สองคนผัวเมียเขาก็บอกกับหนูว่า อ้าวเอ็งมายังไงล่ะ หนูบอกว่าขอบารมีหลวงพ่อให้พามาค่ะ เขาบอกอีกว่า เอ็งอย่ามาที่นี่เลย ที่นี่มันลำบาก หนูก็ถามเขาอีกว่า ที่นี่มันลำบากยังไง เขาบอกว่าเขาได้ทำบาปไว้ตั้งแต่ตอนที่เขายังอยู่ เขาทำไว้เยอะ แต่ข้าก็จะสบายแล้วแล้วก็สั่งมาถึงลูกสาวว่า เอ็งกลับไปบอกลูกสาวข้าว่า ให้ลูกสาวข้าทำบุญเยอะๆ

    แล้วหนูก็กลับไปถามพ่อเลี้ยงหนูว่า พ่อเป็นยังไงบ้าง พ่อก็บอกว่า พ่อยังไม่หมดอายุขัย แต่ต้องมาตายตอนที่เขาผ่าตัด หนูก็เลยบอกว่า แล้วตอนนี้พ่ออยู่ที่ไหนล่ะ บุญกุศลที่หนูได้ทำเป็นยังไงบ้าง ท่านก็บอกว่า ไม่ได้รับ ตอนนี้พ่ออยู่ที่ไหน พ่อบอกว่าอยู่ขุมที่ 16 หนูก็พูดแค่นี้เขาก็บอกว่า หมดเวลาแล้วเขาก็ไป

    ท่านลุงพุฒิก็บอกว่า ให้ลงไปดูว่าข้างล่างมีอะไรบ้าง พอลงไปดูหนูเห็นน้ำบ่อใหญ่ๆเดือดขึ้นมา มีความรู้สึกว่าถ้าใครตกลงไปก็คงจะไม่เหลือ แล้วก็หันไปดูอีกว่ามีคนตัวใหญ่กำลังเฆี่ยนคนอยู่ ตีคนใหญ่เลย หนูก็ทนดูไม่ได้ ก็เลยบอกหลวงพ่อ หลวงพ่อเจ้าคะหนูอยากจะกลับแล้วค่ะ หลวงพ่อบอก ดูพอแล้วเหรอ มีอีกเยอะนะ หนูบอกหนูทำใจไม่ได้คะ

    "เออ แหมนื่ ของจริงเลย เอ๊ะ ท่านเป็นผู้ใหญ่ยังลงนรกได้นะ พูดไปเดี๋ยวญาติเขาจะหาว่ายังงั้นนะ เพราะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นี่ เออ ท่านสั่งไหมว่าทำบุญยังไงถึงจะได้บ้าง ถามหลวงพ่อ ถามลุงพุฒิหรือเปล่า"

    หนูไม่ได้ถาม ความที่เห็นนรกแล้วตกใจก็ไม่ได้ถามอะไร เห็นนรกแล้วอยากกลับ พอตอนสุดท้ายจะกลับ หลวงพ่อก็ให้ลูกแก้วเป็นลูกเล็กๆ แล้วหลวงพ่อก็บอกว่าจะสงเคราะห์ให้ หลวงพ่อก็บอกให้อธิษฐานจิต พออธิษฐานจิตเสร็จแล้วหลวงพ่อก็บอกให้กลืนลูกแก้วนี้เข้าไป ก็มีความรู้สึกว่ากลืนเข้าไปจริงๆ

    "มีความมั่นใจใช่ไหมว่านรก สวรรค์ มีจริง มั่นใจใช่ไหม"

    มั่นใจค่ะ

    "นรกก็มีจริง สวรรค์ก็มีจริง นิพพานก็มีจริงใช่ไหม"

    มีจริงค่ะ

    "ถ้าใครเขาสอนว่านรก สวรรค์ ไม่มี ตายแล้วสูญนี่ไม่เชื่อใช่ไหม"

    ไม่เชื่อค่ะ แล้วก็จะบอกได้เต็มปากด้วยว่าอย่าประมาทในชีวิต เพราะว่าตัวเองได้ไปเห็นในครั้งนี้ครั้งแรกในชีวิต

    "เออดี สาธุๆ ชื่ออะไรนะ"

    ชื่อวศินีค่ะ

    "วศินี รู้จักแต่ชื่อเล่นชื่อเจี๊ยบ ขอบใจมากนะ"

    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 171 มิถุนายน 2538 หน้า 96-98)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2019
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UPrgnl3PX9IFXOMcVaKSKE4r8ifZbXwuQyVjOEcxbIHv.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UAwCzniGH3CzMTbyW4hkbWXg2PVnUAdoeo9lF2e94Ss3.jpg

    วันปลุกเสกพระคำข้าว (รุ่น 2)

    ผู้ถาม : กราบเท้ามนัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ปลุกเสกพระคำข้าวมหาลาภนั้น ลูกไม่มีโอกาสไปร่วมพิธี แต่ก็ฝากเงินทำบุญร่วมโมทนาด้วย แต่ที่จะกราบเรียนถามก็คือว่าอย่างนี้ ส่วนใหญ่ 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้เข้าไปร่วมพิธี ก็อยากเรียนถามหลวงพ่อว่าวันนั้นมีอะไรพิเศษที่พอจะเล่าให้ลูกหลานฟังได้ บ้างหรือไม่ เช่นหมาหอน ไฟดับ เป็นต้นเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : เขารู้แล้ว เขาถามหมาหอน ไฟดับที่ไม่รู้มีอยู่อย่าง ขาฉัน 1 ข้างขยับไม่ได้ คือว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน 1.มีฉัน 2.มียกทรง 3.ฉัน 4.ยกทรง (หัวเราะ) มียังนี้นะ ตามธรรมดาปลุกพระ ตามปกติที่ปลุกมาแล้วนะ ที่ผ่านมาก็มี พระโมคัลลาน์ พระสารีบุตร คุมฉัน คอยคุมอารมณ์ สูงไป เครียดไป ต่ำไป ให้พอดี

    แต่ว่าตั้งแต่ปลุกพระคำข้าวรุนก่อนก็ดี พระหางหมากก็ดี คำข้าวรุ่นนี้ก็ดี องค์ปัจจุบันคุมฉันเอง และวิธีคุมท่านไม่พูด ท่านใช้แสงออกจากกายท่านนะ แสงสว่างมาก พุ่งมาที่กายฉัน และสั่งห้ามขยับเขยื้นใจ ให้ทรงตัวนิ่งๆ ให้ใจนิ่งสัก 10 นาที แล้วก็อนุญาตดูได้

    พอดูได้ ก็เห็นสมเด็จองค์ปฐม นั่งขัดสมาธิองค์ใหญ่เบ่อเร่อเต็มวิหาร เหนือที่ปลุกเสกนะ และรอบๆนั้นก็พระพุทธเจ้าเต็มหมด แสงสว่างจ้า พระอรหันต์เต็ม

    ฉันไม่เห็นของที่ปลุกเสกเลย แสงหนามาก และแสงน่ะเปลี่ยน เป็นสีๆ อันดับแรก ท่านบอกคุณว่า อิติปิโส ไปครึ่งชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงนี่ห้ามขยับเขยื้อน จิตใจขยับไหนไม่ได้เลยนะ ตอนถึงครึ่งท่านบอกว่าช่วงนี้ทำรอบตัวทุกอย่าง ทำทุกอย่างนะ ต่อ ไปหลังจากครึ่งชั่วโมงแล้วก็เปลี่ยน เปลี่ยนไปแต่ละอย่าง อย่างลาภบ้าง ป้องกันบ้าง อะไรบ้างว่าไป

    ในตอนลาภนี่สีแปลก แทนที่จะเป็นสีใส เป็นสีทองขึ้นท่วมเลย และกระจายพรืดไปทั่วคนทุกคนที่นั่ง

    ผู้ถาม : กระจายเฉพาะเขตในหรือรอบนอก ด้วยรึเปล่าครับ

    หลวงพ่อ : ทั้งหมดน่ะ บริเวณวัดนะ แต่อีตอนไฟดับนั่น ตอนคาถาที่ข้าศึกไม่เห็นตัว พอถึงคาถาข้าศึกไม่เห็นตัว ไปดับปั๊บพอดีเลย ไอ้ ที่ไปดับเพราะอะไรรู้ไหม ท่อน้ำแตก ท่อน้ำเขาซื้อใหม่ๆน่ะ มันมีหลายเครื่องที่วัดนะ เขาต้องติดอีกเครื่องหนึ่งเลย อันนั้นท่อน้ำใหม่มาก เพิ่งซื้อใหม่ๆ เป็นเหตุน่าอัศจรรย์นะ
    ไม่งั้นไฟก็ไม่ดับ

    ผู้ถาม : ตรงคาถาว่าอะไรครับ

    หลวงพ่อ : ข้าศึกไม่เห็นตัว ถ้ามีความจำเป็นนึกถึงพระ ข้าศึกกวดมาจะไม่เห็นตัว

    ผู้ถาม : อย่างสมมุติว่าจะฝ่าไฟแดงนี่ เราก็..

    หลวงพ่อ : ถ้าฝ่าไฟแดงนะ เราก็ให้เราไม่เห็นตำรวจ (หัวเราะ) อ้าว ! หลับตาเสียซิ ไอ้นั่นนะข้าศึก ไฟแดงไม่ใช่ข้าศึก นั่นเขาตามกฎหมายตามระเบียบเขา

    นี่หมายความว่าถ้าหนีเขาใช่ไหม เขามามากสู้ไม่ได้ นึกถึงพระ นั่งอยู่แต่มองไม่เห็น เว้นไว้แต่ว่าหนีเมียหนีเที่ยวไม่แน่นอนนักนะ ไปพ้นได้แต่กลับมาถูกสากกระเบือ (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : ช่วยได้ตอนขาไป

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆ

    ผู้ถาม : เรื่องไฟดับน่าอัศจรรย์ ! แล้วเรื่องหมาหอนนั่นล่ะครับ ?

    หลวงพ่อ : หมาหอนนั่น เขามาประชุมกันพร้อม มันจวนเวลาที่ท่านจะสั่งการ พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว สมเด็จองค์ปฐม ท่านเรียก พระอินทร์ กับ สหัมบดีพรหม เข้ามาบอกว่า

    " พระของฉันและทุกอย่างที่ปลุกวันนี้ ไม่ใช่พระอย่างเดียวนะ แก้วก็มีเสร็จนะ ทุกอย่างถ้าอยู่กับใครก็ดี ให้สั่งให้เทวดาสักองค์หนึ่งตามอารักขาตลอดเวลา..."

    ผู้ถาม : เรียกว่าทุกชิ้นมีเทวดา..

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆ เว้นไว้แต่เวลาไม่บอกท่าน ระวังให้ดีนะ ! เทวดาน่ะต้องบอกนะ !

    ผู้ถาม : ถ้าไม่บอกก็...

    หลวงพ่อ : ก็อย่างกับ ยกทรง ฉันบอก ยกทรง ไปวัดท่าซุง ไอ้ฉันบอกที่ไหน ฉันนั่งเฉยๆ ฉันไม่สั่งทำงานทำอะไร เทวดาไม่ใช่คนนะ ตรงไปตรงมานะ

    ผู้ถาม : อย่างนี้ต้องชัดเจน ขอให้ช่วยตลอดทุกวันนะ

    หลวงพ่อ : ก็ดีใช้ได้ๆ ฉันเคยเจอะเทวดา เรื่องตรงไปตรงมา จะเล่าให้ฟังเอาไหม.. เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2503 จำให้ดีนะ ฉันไปที่วัดต้นโพธิ์ ที่จังหวัดชัยนาท มันมีกุฏิเล็กๆ อยู่ 2-3 หลัง และมีศาลาย่อมๆ โปร่งๆ อาศัยเขานอน

    พอนอนไปประมาณสัก 4 ทุ่ม ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เขาใช้ผ้าคาด 2 ข้างอย่างตะเบ็งมานนั่นน่ะ แล้วก็มีผู้ชายรัดคอดึงออกไป

    ฉันก็เลยบอกว่า " นี่มันผีผู้หญิงปล่อยมันเถอะ ! อาจจะขอส่วนบุญละมั๊ง "

    เขาก็เลยปล่อย พอตอนตี 2 มันเจ็บหน้าอก 2 ข้างนี่ เจ็บยันตื่น เจ็บถึงข้างหลังเลย ลืมตามาเห็นยายคนนั้นนะ มันเอามือจี้ 2 ข้าง ก็เลยดิ้นไปดิ้นมาก็เลยหลุด เห็นเทวดา 4 องค์อารักขาอยู่ใช่ไหม ชั้นจาตุมหาราช

    บอก " พี่ชาย ทำไมไม่ขับออกไป ? " แกก็เลยกระชากออกไป ไล่ตีไป

    ถามว่า " ทำไมปล่อยให้เข้ามา ? "

    ท่านเลยบอกว่า " เมื่อตอนหัวค่ำ มันเข้ามาแล้วผมจับมันออกไป ท่านบอกให้ปล่อยไง "

    มันล่อเราเสียเกือบตาย นั่งดูเฉย...(หัวเราะ) นี่ให้เข้าใจเรื่องเทวดา ตรงไปตรงมา ฉะนั้นขอให้ท่านอารักขาตลอดกาลก็แล้วกัน ถ้าทางที่ดีนะ

    ผู้ถาม : เรื่อง " พระมหาลาภคำข้าว " นี่เรื่องพุทธานุภาพปลุกเสกครั้งแรก ครั้งนี้ และครั้งต่อๆไปนี่ ก็เหมือนกันใช่ไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : เหมือนกัน.. อาจจะผิดกันนิดหน่อย



    ผู้ถาม : ตอนที่ปลุกเสกที่วิหารแก้ว 100 เมตร รู้สึกว่ามีหมาหอนด้วย


    หลวงพ่อ : นั่นหมามันหอน ถ้าคนหอนนี่ผิดปรกติ (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : คงจะเห็นอะไรต่ออะไร ?

    หลวงพ่อ : ใช่ ! เขาเห็น อีตอนนั้นใกล้จะเลิก ท่านเรียกประชุม

    ผู้ถาม : พระที่ปลุกเสกที่ผ่านมานั้นกับที่เพิ่งผ่านมานี่ความสมบูรณ์แบบเหมือนกันหรือเปล่าครับ ?

    หลวงพ่อ : เหมือนกัน แต่อานุภาพต่างกัน

    ผู้ถาม : ต่างกันยังไงครับ หลวงพ่อ ?

    หลวงพ่อ : ฉันให้ หมอชนะ เช็ค หมอชนะ นั่นเก่ง ทิพพจักขุญาณ ท่านเก่งมาก หมอเขานั่งลืมตา ไม่ได้ดูพระนะ ให้เขาเช็คด้วยอารมณ์เฉยๆ ให้ถามพระบอก

    รุ่นแรกดี มีลาภมาก อย่างอื่นดี

    รุ่นที่สองดี มีลาภมาก อย่างอื่นดีเข้มข้นกว่า

    รุ่นสามดี มีลาภมาก ปืนแตก

    จะเล่าอะไรให้ฟังไหม อย่าไปลองกันนะ ห้ามลอง พ.อ.(พิเศษ)สถาพร ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกพิษณุโลกมาเล่าให้ฟัง บอกลูกศิษย์แกมีรุ่นแรกไปองค์เดียวติดคอไป ไปถูกมีดเขาฟันหัวตรงนี้ ฟันเบาๆ ไม่แรงสลบเลย

    แกเลยถาม " มีอะไรบ้าง ? "

    แกบอก " มีที่คอไว้องค์เดียวครับ พระคำข้าว "

    นี่อย่าลองนะ ลองเจ๊ง ! เอาจริงๆ ไม่เป็นไร ลองไม่ได้ ถ้าจะใช้ปืนลองก็ไม่ยากเอาพระห้อยคอใช่ไหม ปากกระบอกปืนใส่ปาก รับรองยิงไม่ออกทุกองค์ ไม่กล้าง้าง (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : ทีนี้ พระหางหมาก ทุกๆ หน สองอย่างนี้คล้ายคลึงกันหรือว่า...

    หลวงพ่อ : คล้ายคลึงกัน แต่ถ้าเรื่องลาภ พระคำข้าว ลาภสูงกว่า อย่างอื่นเหมือนกัน

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ กันยายน 2543)

    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UPFglkGG_SVUIdhDt4oinFu-Oiuc7Dr88PxR2dBjFZgF.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UEoS3c7iDgjHyeLQKc4VSozy9jkftsqyan8Xqu5RE3TF.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UHL4Q0GPnlfK3dR_fhg_q8R0_0081x12Hbjycgy8VfJr.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UKcuzzW2a1pkyCtOHX7DtHBMKFbmbF9uEByujoEbJj6g.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8ULRWV3SSjH6ZphtiEQ3rvhb_uVEz5Xb0i4r9_U-cUOQd.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UONbH0M_UtvEXQDIRQe9fE4H_NVci7YJJYLXSPwGS7I_.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UKVMvOss1iNnlHmxr6GKMInJ4HIzh_AQzxX9k90tR-J0.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2018
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    DSC08558กกกกก.jpg F88E4159-581E-4975-A352-798CE8464BBE_zpskou3vswv.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2019
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    3-4.jpg 4-1.jpg 5-1.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2019
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    1-2.jpg
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    เรื่อง พระมหาลาภ (รุ่นพระคำข้าวและพระหางหมาก)

    "บรรดาวัตถุมงคลต่างๆ เท่าที่พบมาพระมหาลาภนี่เอาไปวันสองวันรู้ผลมากเลย"

    แต่อย่าลืมว่าทำยากเหลือเกินนะ ต้องเสกข้าวถึง 3 เดือนนี่ เลือกกับข้าวที่อร่อยจริงๆ ในวันนั้น

    "วันเดียวได้คำเดียวใช่ไหมครับ"

    มันไม่คำเดียว เดี๋ยวนี้ไม่คำแล้ว 5 ถ้วยแล้ว ท่านสั่งบอกไม่จำเป็นต้องเคี้ยว คือว่าให้ตักข้าวมา 5 ถ้วย ถ้วยแก้วนะ แล้วท่านชี้กับข้าว กับข้าวท่านชี้ของท่านเองนะ ไอ้นี่อร่อยๆๆๆ แล้วเสก เสกคาถายาวมาก กว่าฉันจะได้กินข้าวเพล พระเขาอิ่มแล้ว ต้องเสกเดี๊ยวนั้น อย่างนี้ 3 เดือน แล้วก็ไปทำผง แล้วก็มาเสกใหญ่อีกครั้งหนึ่งเข้าพุทธาภิเษก เขาถามว่า พระรุ่นที่ 1 กับรุ่นที่ 5 ที่ 10 อย่างไหนเก่งกว่ากัน

    "แล้วหลวงพ่อตอบว่าไงครับ"

    รุ่นที่ 500 เก่งกว่า (หัวเราะ) มันก็เท่ากันน่ะ คนเสกคนเดียวกัน ปัดโธ่เอ๋ย อย่างมีคนบางคนคุยบอกว่า โอ้ย..รุ่นแรกหลวงพ่ออมจากปากคายมาเลย เคี้ยวๆหน่อยคายมาเลยใช่ไหม ฉันเลยบอกพระ ถ้าใครเขาถามรุ่นหลังนะบอก อมตั้งแต่เช้ายันเย็น (หัวเราะ)

    วานซืนมาบอกถาคาให้ 4 ตัวเพิ่ม เขียนเหมือนสระอาแต่หนาๆ เขียน 4 ตัวให้อ่าน บอกอ่านไม่ออก ท่านเลยอ่านให้ฟัง บอกใช้เสกตอนเช้าตอนเย็นนี่หนักกว่าอีก รุ่น 2 นี่หนัก เพิ่มคาถาให้

    "คาถานี่จะสงวนลิขสิทธิ์ไหมครับ"

    อ่านไม่ได้ เฉพาะปลุกพระ เฉพาะเลย มาเพิ่มให้จากของเก่า

    "ที่ว่ากันรังสีกันแสงอะไร"

    เอ๊ะ...แปลก ปลุกพระนี่แสงไม่หมือนกัน ถ้าปลุกแก้วเหมือนกันทุกครั้งนะ มาปลุกพระคำข้าวแสงหนาทึบขาวแสงขึ้นหนามาก

    แต่พระหางหมากนี่แสงเหมือนกับดวงเทียน ไอ้ดวงเทียนกับไฟฟ้าใหญ่ๆ นะ แต่ละองค์สว่างมาก ไม่เหมือนกันอานุภาพต่างกัน และท่านก็บอกว่าพระหางหมากนี่หนักในทางป้องกันและสู้ ถ้าได้ตังค์มามากๆ ไม่มีทางป้องกันสู้เขาไม่ได้ก็เจ๊ง ก็ห้อย 2 องค์

    "และรุ่นที่จะปลุกเสก 29 ธันวานี้ (หมายถึง 29 ธันวาคม 2533 วันพุทธาภิเษก พระคำข้าวรุ่น 2 ครั้งแรก) องค์นี้มาทางไหน ทีนี้หาตังค์รักษาทางไหน"

    หาตังค์เหมือนกัน 3 เดือนทำได้ทีนะ หนักจริงๆ นั่งเสกเมื่อย

    "แหม วิตกตรงที่ว่าจะเสกกินเวลานี่ เที่ยงเสียแล้ว จอดป้ายเลย" (หัวเราะ)

    ตรงนี้เอง ต้องดูเวลา ต้องดูนาฬิกา เวลานี้เราจะลงฉันข้าว ถ้าอย่างงั้นไม่ได้เลยแน่ และปรากฏเสกจบทีไร พระเขายถา สัพพี ทุกที

    "ตอนเสกนี่หลวงพ่อตอนนั้นต้องเต็มอัตราเลยซิครับ"

    ไม่ได้ ต้องเต็ม คุมอยู่นี่ คุมเลยพลาดนิดไม่ได้ อารมณ์นี่พลาดนิดไม่ได้

    "มิน่าได้ผลเร็วเหลือเกินครับ"

    ผลเร็วเหลือเกินใช่ไหม เป็นอัศจรรย์นะ


    (จาก "สนทนาที่สายลม" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 116 เดือนตุลาคม 2533 หน้า 33-34)



    aป.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2020
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    4A661312-91AC-42E3-9B85-DAB51CBE1479_zps4zbi7pbw.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2019
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    ประสบการณ์ผู้ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง
    ระหว่างวันที่ 18-19 ธันวาคม 2536


    สัมภาษณ์โดย หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง


    คุณปู ศรีนวล จ.สุพรรณบุรี

    พระครูปลัดอนันต์ พทฺรญาโณ ผู้ถาม
    คุณปู ศรีนวล ผู้ตอบ (เล่าผลการฝึก)


    ถาม : ไม่ต้องกลัว พี่น้องกันทุกคนนี่ ลูกพ่อเดียวกันทุกคนน่ะ บ้านอยู่ที่ไหน สุพรรณหรือ วันที่ได้มโนมยิทธิเต็มกำลังนี่วันไหน วันเสาร์
    หรือวันอาทิตย์

    ตอบ : วันที่ วันอะไรล่ะ วันแรก

    ถาม : วันที่ภาวนา นะมะ พะธะ หรือเปล่า

    ตอบ : ที่ภาวนาก็ที่เขาบอกว่าให้นั่งบอกว่า นะมะ พะธะ เนี่ย เขาว่าเนี่ย ขอบารมีอยากจะเห็นหลวงพ่อ อยากจะเห็นหลวงพ่อด้วย แล้วก็อยากเห็น ก็ขอพระพุทธเจ้าช่วยลูกด้วย ฉันก็ว่าไม่เป็น ฉันก็ว่าไปยังงั้นแหละ พูดไปพูดมา มันก็สั่น มันก็ตึ้กๆๆ ฉันก็กลัว ใจมันยังไงก็ไม่รู้ ตึ้กๆๆ บอกไม่ถูก มันรัว ฉันก็ร้องไห้เลย

    ถาม : ร้องเพราะอะไร

    ตอบ : มันกลัวน่ะ มันกลัวมันจะขาดไปเลยน่ะ มันขาดเปี๊ยบไปงั้น ทีนี้มันก็ไงก็ไม่รู้ มันปุ๊บหายไปไงก็ไม่รู้ ไม่กลัวอีกแล้ว ไม่กลัวก็เห็นรูปพระพุทธเจ้าเนี่ย องค์อย่างนี้องค์ใหญ่อย่างนี้ ก็เลยไหว้เลย บอกช่วยลูกด้วยลูกกลัว ขอพรให้ลูกได้ไปเห็นหลวงพ่อทีเถอะ ว่ายังงั้น มาอีกองค์แล้ว ทีนี้ก็สูงซิ ฉันก็แหงนขึ้นไปสูงใหญ่ โอ๊ย..ไม่มองแล้ว ทีนี้ก็กราบเท้า ก็ขอให้เห็นพ่อทีเถอะ ลูกอยากเห็นพ่อเห็นหลวงพ่อ ทีนี้ก็มันก็แวับอีกแล้ว อะไรมันแว้บขาวพรึบไปเลย ก็ไม่รู้ไปยังไง แพ๊บไปเห็นหลวงพ่ออีกแล้ว

    ถาม : เห็นหลวงพ่ออีก

    ตอบ : ฉันก็เลยไหว้ ฉันก็ร้องไห้ หลวงพ่อลูกกลัวจะตายไป ว่างั้นน่ะ ลูกกลัวเหลือเกิน หลวงพ่อช่วยลูกด้วยซิ "อีคนนี้มันขี้แงจริงๆ" หลวงพ่อว่าฉันขี้แง

    ถาม : หลวงพ่อว่าหรือไง

    ตอบ : ใช่ แล้วก็เอาไม้นั้นน่ะเคาะหัวฉันทีหนึ่ง มันขี้แง ขี้ขลาดว่างั้น ฉันก็ว่าหลวงพ่อ ลูกอยากเห็นหลวงพ่อ "ก็เห็นแล้วก็ไหว้ซิ" หลวงพ่อบอก "ไม่ไหว้หลวงปู่ก่อนล่ะ"

    ถาม : หลวงปู่ปาน

    ตอบ : ใช่หลวงปู่ปาน บอกไม่ไหว้หลวงปู่ก่อนล่ะ ฉันก็เลยไหว้หลวงปู่ปานอีก ไหว้ๆ ฉันก็ว่า หลวงพ่อ ลูกอยากเห็นอะไรล่ะ หลวงพ่อต้องพาลูกไปน่ะ ลูกกลัว ว่างั้น ท่านก็เดิน เอ้า..ไปก็ไป หลวงปู่ปานก็เดินขึ้นหน้า หลวงพ่อก็ตามหลัง ฉันก็ตามตูดไปนั่นแหละ

    ถาม : ตามตูด (หัวเราะ)

    ตอบ : (หัวเราะ) ตามไปๆๆ ฉันก็บอกอยากเห็นพระมุนีน่ะ

    ถาม : พระจุฬามณี

    ตอบ : จ๊ะ เรียกไม่ถูก เอ้า...ไป ฉันก็ไป แว้บไปถึงอีกแล้ว ไปถึง ก็ไหว้ๆๆ ฉันก็ร้องไห้อีก ร้องไห้อีกแล้ว หลวงพ่อยืนรอ ฉันก็บอกหลวงพ่ออย่าไปไหนน่ะ อยู่รอลูกตรงนี้น่ะ

    ถาม : ชักดุแล้ว (หัวเราะ)

    ตอบ : ฉันขี้ขลาดน่ะ ว่ายังงี้ หลวงพ่อบอก "เออ ยืนรอก่อน" ฉันก็ไหว้ๆๆ แล้วก็องค์ขาวๆน่ะเป็นพลอย ขาวเลย สวยเหลือเกิน ที่นั่งอยู่น่ะสวยแว๊บหมดเลย สวย ฉันก็ร้องไห้อีก ขอสตังค์

    ถาม : ขอใคร ขอเงินหลวงพ่อ (หัวเราะ)

    ตอบ : ฉันก็ขอเงิน ขอเงินๆ ทีนี้บอกลูกตัวคนเดียวน่ะ ลูกลำบาก ลูกอยากมาหาหลวงพ่อได้ไหม มาง่ายๆ มีเงินเยอะๆ ว่างั้น ท่านก็หัวเราะ พูดไปพูดมา ไม่ให้ พูดไปพูดมา ให้กระเป๋า ให้กระเป๋าเป็นสี่เหลี่ยม อุ๊ย..ไม่เอาหรอกกระเป๋าไม่เห็นมีอะไรเลย ฉันว่ายังงั้นน่ะ
    กระเป๋าเป็นพลอยๆ ไม่มีอะไร ไม่เอาหรอก ท่านก็นิ่ง ท่านก็ว่า "เออ..อะไรให้กระเป๋าไม่เอา" ทำไปทำมา เอาก็เอาว่ะ

    ถาม : (หัวเราะ) ตัดสินใจเอาเลย

    ตอบ : เอาๆๆ กระเป๋าเปล่าๆก็ดี ฉันว่างั้นน่ะ เอามาก็เอามาแต่กระเป๋าเฉยๆ ไม่มีเงินเลยน่ะ ให้ส่ง ฉันว่างั้น

    ถาม : (หัวเราะ) แหม..ให้ส่งได้ สตังค์จะใส่สักหน่อยก็ไม่ได้

    ตอบ : ฉันก็ว่าให้ส่ง ฉันก็ว่าขอเงิน ท่านก็ "เอาน่ะเดี๋ยวมีเอง" ท่านว่างั้นแหละ ก็ไปๆๆแว้บไป ไปถึงมีแม่ เขาบอกว่าเป็นแม่ศรีนั่งอยู่ขาวๆน่ะ เป็นขาวๆ ขาวเป็นแก้วน่ะ นั่งยังงี้ ฉันก็ไหว้ ไหว้ก็เอ๊ะ..ทำไมเป็นสองคนขึ้น
    มาได้ก็ไม่รู้ ข้างหลังมีอีกองค์ เอ๊ะ..ไงเดี๋ยวคนเดียว ไงสองคน ฉันก็ไหว้ ฉันก็ขอสตังค์ ขอสตังค์อีกแล้ว ขอสตังค์ ไม่รู้เป็นยังไง (หัวเราะ) ขอสตังค์อีกแล้ว (หัวเราะ)

    ไม่รู้เป็นไงขออยู่นั่นแหละ ทีนี้ท่านบอกว่า เออ..เดี๋ยว
    ก่อนน่ะๆๆ ทีนี้ไปๆๆ ก็บอกว่า เออ..ให้พรก็ได้ไม่ต้องเอาสตังค์ลูก เอาไปทำไม ประเดี๋ยวก็มีเองนั่นแหละ เดี๋ยวชีวิตกับร่างกายก็เอาไปไม่ได้ตายไป ก็บอกก็ฉันมีหนี้มีสินน่ะ

    ถาม : (หัวเราะ) นี่ไม่รู้อะไร แม่ศรีนี่ ลูกเต้ามีหนี้มีสิน

    ตอบ : ฉันยังจนอยู่น่ะ ยังไม่มีเงินเยอะๆๆ ฉันก็ขอแม่ซิ ว่างั้นน่ะ แม่ก็บอกว่าให้วิชาเอาไหม ฮู้..ไม่อยากได้เลย แต่อยากจะได้เงิน

    ถาม : (หัวเราะ) วิชามันต้องท่องนี่ ลำบาก

    ตอบ : ฉันก็ว่า เออก็ว่างั้น ทีนี้ฉันก็ไป นึกในใจ เดี๊ยวต้องไปไหว้หลวงพ่อสักหน่อย ว่ามีแม่คนเดียว นี่น่ะมีมาสองคนแล้ว ไปอีกเเป๊บนึงเป็น 3 คน เป็น 3 สวยๆ งั้นเลย หลวงพ่อก็ยังอยู่ตรงนั้น หลวงพ่อยืนอยู่ ฉันก็ว่า หลวงพ่อบอกว่ามีองค์เดียว มีตั้ง 3 คน ฉันว่ายังงี้ ท่านแม่ก็บอกว่าจะให้คาถา ฉันก็ว่าให้คาถายังไงล่ะ โธ่..คาถาอันนี้ฉันเลยเห็นพ่อว่าเห็นเขาว่ากัน จะเป็นเรื่องเป็นราวหรือ ฉันว่างั้น เอาเถอะ เอาไปเถอะเดี๋ยวดีเอง ว่าลูกเดี๋ยวดีเอง เอาไปเถอะ แล้ววันหลังมันก็ตามไปเองแหละเงินทอง ไม่ต้องกลัว แล้วก็ฉันที่จริงฉันไม่อยากไป อยากอยู่กับแม่จังเลย สวยดีที่นี่ ฉันว่างั้นน่ะ ไปก็ลำบากเหลือเกิน


    ถาม : ตอนนั้นเราแต่งตัวยังไงรู้ไหม ตอนนั้น

    ตอบ : ฉันหรือ ฉันมันตัวเล็กๆ มันเหมือนไม่ใช่ตัวฉันหรอก มันก็ขาวสวยเหมือนเขาแหละ

    ถาม : แน่..สวยเหมือนกันน่ะ ไม่ใช่เล่น สวยเหมือนกัน ใช่ไหม

    ตอบ : จ้ะ ฉันก็ยืนฉันก็สวยมั่ง มันตัวเล็กแต่ว่าสวยมั่งเหมือนกันแฮะ ว่างั้น เหมือนกันแฮะ แม่ก็สวยมาก เราก็สวยหวิดเหมือนแม่แล้วน่ะ

    ทีนี้ก็ให้คาถา ลองว่าซิคาถาอะไร ฮึ..ไม่เอาดีไหมคาถาอันนี้ เอาไปเถอะ ไปใช้เวลาทำบุญหรือว่ามีงานอะไรก็ไปว่าเถอะ ว่าเรื่อยๆมันดีเอง ฉันก็บอกว่า ว่าอะไรล่ะ
    ก็ว่า

    พระพุทธัง พระพุทธเจ้าเปิดโลก
    พระธัมมัง พระพุทธเจ้าเปิดโลก
    พระสังฆัง พระพุทธเจ้าเปิดโลก
    เปิดโลกครอบจักรวาลด้วยนะโมพุทธายะ


    ว้า...ฉันร้องว่ายังงั้น ว้า...ฉันเคยได้ยินที่ไหนก็มึว่างั้น ฉันก็จะไม่เอา

    ถาม : ที่ไหนก็มียังงี้ใช่ไหม

    ตอบ : ที่ไหนก็ได้ยินเขาว่า ฮึนึกว่าจะเงินก็ยังดีมั่ง (หัวเราะ) ทีนี้ท่านก็ว่า เดี๋ยวมีเอง เอาไปเถอะ ไปใช้เถอะ ทีนี้ก็ไปบอกลา ไปแล้วก็ไปหลวงพ่อ ก็ไปๆๆ ฉันอยากจะดูไอ้นั่นอีกแล้ว อะไรเห็นเรียกปฐมๆๆ น่ะ หลวงพ่อบอกไปซิ ปฐมอะไรก็ไม่รู้

    ถาม : สมเด็จองค์ปฐม

    ตอบ: ใช่ๆๆ นั่นแหละๆ ไป สวยแหม..สวย เป็นพลอยแล้วก็มีรูปท่านสวยมากเลย หลวงพ่อบอก ไปไหว้ชิ ฉันก็ไปไหว้ๆๆ เสร็จออกมา หลวงพ่อบอก ไปเที่ยววิมานหลวงพ่อไหมล่ะ ไป ฉันบอกไปๆ ก็ไปปุ๊บไปอีกแล้ว อู๊ฮู....เยอะแยะจัง ทำไมไม่มีหลังเดียว มันหลายหลังจัง

    ถาม : หลายหลังใช้ไหม

    ตอบ : จ้ะ เยอะแยะไปหมด คนก็เยอะ มีเขาไม่แต่งตัวอย่างนี้หรอก แต่งไงก็ไม่รู้ใส่ชฎาบ้างไม่ใส่บ้าง แล้วก็มีพระมีชีแถบหนึ่ง ประเดี๋ยวพอไปถึงเล้ว ไปนั่ง หลวงพ่อบอก ยืนมา อยากตามแท้ ดูซิเป็นไง หลวงพ่อหนูอยากตาม ลองมองหน้าซิ หลวงพ่อทำท่าไงก็ไม่รู้ ตาโบ๋เลย โอ้ย..แหงนมอง กลัวไหมนี่ ทำไมก็นึกในใจ ไม่กลัวหรอกๆๆ แต่ไม่มองหน้าก้มที่ตีน ไม่กลัวหรอกๆๆ แต่ไม่มองหน้า หลวงพ่อทำหน้ายังงั้นน่ะ อะไรก็ไม่รู้น่ากลัวจริงๆ

    ทีนี้ท่านบอก กลัวไหมล่ะ อยากติดตามกลัวไหมบอกไม่กลัวหรอกๆ ตะโกนใหญ่ แต่กราบตีนไม่มองหน้า ประเดี๋ยวก็เป็นหน้าอย่างเดิมบอกอ้อ..ดีอย่างเก่าแล้ว ทีนี้ก็ทำเป็นชุดขาวๆอีกแล้ว แต่งสวยอีกแล้ว ไม่เป็นหลวงพ่อหรอกเป็นอะไรก็ไม่รู้ สวย แว๊บแวม ขาวๆ สวยแก้วเหมือนยี่เกยังงั้นแหละ เอ..หลวงพ่อนี่ทำได้หลายแบบจริง บอกยังงั้น

    หลวงพ่อบอก อีคนนี้มันต้องยังงั้นๆ มันโง่ๆๆอยู่ ท่านบอกกับหลวงปู่ปาน มันโง่ๆ ต้องทำยังงี้ให้มัน ทีนี้ก็หลวงพ่อ ที่หลวงพ่อเทศน์ หลังที่เคยเทศน์สอนอยู่ตรงไหนล่ะ พาฉันไปทีซิ อยากไป หลวงพ่อบอกไป แว๊บเดียวถึงอีกแล้ว หลวงพ่อเทศน์ อู้ฮู.ทั้งพระทั้งอะไรเยอะ นั่งฟังเทศน์หลวงพ่อ ที่นั่นน่ะ

    พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อว่าจะไปไหนอีกล่ะ ชวนไปก็ชวนให้หมด ท่านว่ายังงั้น หลวงพ่อฉันอยากเห็นนั่นน่ะ เขาว่าพระอินทร์ หลวงพ่อก็บอก ไม่กลัวหรือพระอินทร์น่ะ ฉันก็ว่าไปกับหลวงพ่อไม่กลัวหรอก หลวงพ่อให้ไปอีก ก็ไปๆๆ โอ้โห.สวยน่ะ

    ถาม : พระอินทร์สวยไหม ใส่รองเท้าหรือเปล่า

    ตอบ : สวย ใส่ เขาสวยแหละมันช่างงอนไปหมด สวย บอกไม่ถูกพูดยังไงล่ะ

    ถาม : พระอินทร์หนุ่มหรือแก่ล่ะ

    ตอบ : หนุ่มๆๆ จ้ะ แต่ผู้หญิงมีนั่งอีกคนข้างๆน่ะ สวย จะใช่ไงก็ไม่รู้ น่ากลัวจะเป็น
    แฟนเขาหรือไง ไงก็ไม่รู้ ฉันก็ไหว้หมดเลย ไหว้องค์ผู้ชายก่อน แล้วก็ไหว้ผู้หญิง ไหว้ๆๆ ดูๆๆ แล้วก็ขอพรพระอินทร์บอกว่า ไปบ้านน่ะ ไปทำบายศรีน่ะ เอา 16 ชั้น ว่างั้นน่ะ และฉันข้างๆ เอา 9 ก็ได้ ฉันบอกทำไมต้อง 16 นะ ท่านก็บอกมันไม่ 16 ชั้นฟ้าซิ แล้วก็เอาดอกบัวตรงกลางน่ะ แล้วก็เอาดอกดาวเรืองดอกอะไรก็ได้ เอาดอกไม้ 3 สีน่ะ

    พระอินทร์ท่านบอกว่ายังงั้นว่า แล้วเวลามีงานมีการน่ะ ให้ดูที่หลวงพ่อซิ ที่สัคเคน่ะ โอ้ย..ฉันว่าไม่เป็นหรอก ฉันว่ายังงั้นน่ะ ก็เอาหนังสือกางซิ ฉันก็ งั้นก็ได้จ้ะ แล้วก็จะดีขึ้นไหม ฉันไม่อยากไปอยากอยู่นี่ ท่านก็บอก ยังอยู่ไม่ได้น่ะ ให้กลับไปทำบารมีให้เยอะๆก่อน ไปทำบุญให้เยอะๆก่อน พูดไปพูดมาพอเสร็จแล้วก็ลากลับ

    หลวงพ่อบอก จะไปไหนอีกล่ะ ฉันอยากเห็นแม่จัง ไปก็ไป ลงมาอีกแล้วขึ้นแล้วก็ลง ลงแล้วก็ขึ้นอยู่งั้นเอง ทีนี้ลงมาหาแม่ก็เดินไป ฉันไม่รู้เดินไป เหมือนไม่เดินน่ะ มันเเว้บๆๆ ไปงั้น ทีนี้ไปถึงแล้วเร็วอีกแล้วเข้ามานี่

    ถาม : แม่ตายแล้วหรือยัง

    ตอบ : ตายแล้ว เนี่ยเข้าไป หลวงพ่อเข้าด้วยซิ รอตรงนี้ ท่านบอกยืนรอตรงนี้ ฉันก็เดินเข้าไป แม่ฉันน่ะก็แก่ เห็นแม่เป็นแม่แล้วล่ะ ประเดี๋ยวเป็นสาวอีกแล้ว ไงแก่เดี๋ยวเป็นสาวอีกแล้ว ก็บอกนี่ล่ะเขาล่ะ แม่ฉันก็ร้องไห้ แม่ก็สบาย บ้านแม่เขามี มีโต๊ะ มีพระพุทธไหว้

    สักประเดี๋ยว ถาดที่ฉันเด็กๆ ยังจำหน้าไม่ได้ ที่ฉันเอาข้าวไปวัดน่ะ มาตั้งฉึกๆๆๆ เอ๊ะ..ถาดเนี่ยเมื่อก่อนทำบุญ ถาดก็ใช่ ขันก็ใช่ เนี่ยมาอยู่นี่ ฉันว่ายังงี้น่ะ เอ๊ะ..ของทำไมมาอยู่นี่หมดล่ะ บอกว่ามาให้แม่เอ็งกินน่ะซิ ฉันก็ว่าเออดีแม่ได้ จำได้ เสร็จแล้วหลวงพ่อช่วยแม่ฉันทีได้ไหม เฮ้ย..ช่วยเองซิ ว่างั้น ฉันไม่ใช่บวชได้นี่ จะช่วยไงล่ะ ฉันว่างั้น

    ถาม : (หัวเราะ) ฉลาดดีนี่

    ตอบ : ฉันว่างั้น หลวงพ่อบอก เออ..ค่อยๆไปเถอะ เดี๋ยวได้เอง ว่างั้นน่ะ พอเสร็จแล้วก็ลากลับ หลวงพ่อบอก ไปไหนอีกล่ะ หลวงพ่อบอก มันขี้แงต้องถามแบบนี้ ท่านพูดกับหลวงพ่อปาน มันขี้แง ต้องถามยังงี้ มันขี้ขลาดก็ไปอีก ไปๆๆ ฉันอยากเห็นพ่ออีกแล้ว ท่านก็ว่า อะไรเดี๋ยวพ่อเดี๋ยวแม่ เอ้า...ไป ไปก็ปุ๊บไป

    ไปถึงพ่อ โอ้โฮ..หลวงพ่อไม่ยอมเข้าไป พ่อฉันโดนล่ามโซ่เส้นเท่าแขนสองข้างเลย ตายเดินไม่ได้เลย ฉันเห็นฉันจำได้ร้องโฮๆๆเลย ร้องไห้ใหญ่ พ่อ พ่อทำไงโดนเขาล่ามเล่า ว่างั้นน่ะ ทำไงดีช่วยไม่ได้แล้ว ก็มีนุ่งผ้าตาโสร่งเท่านั้นแหละ ทีนี้ก็บอกหลวงพ่อช่วยพ่อหนูด้วยซิ

    หลวงพ่อบอก กรรมใครกรรมมัน ว่างั้น กรรมใครกรรมมัน บอกกรรมใครกรรมมัน เส้นเบ่อเร่อเลยน่ะ หลวงพ่อเฉยๆไม่ช่วย บอก เออ..แล้วค่อยๆไปเถอะ ฉันก็ไม่รู้จะทำไง มีคน โฮ..น่ากลัวเหลือเกิน 4 คน มีคนเยอะ แต่ 4 คนนั่นน่ากลัว เป็นรูปยักษ์รูปอะไรก็ไม่รู้ โอ้ใหญ่ทำเขี้ยวทำงา มันน่ากลัว แต่ว่าข้างล่างเป็นคน แต่ข้างบนไม่ใช่ น่ากลัว หลวงพ่อกราบเขาซิ ขอซิ ฮึ..ตัดสินใจไม่มองหน้ามองขาดีกว่า ฉันก็ไปไหว้ขางั้นแหละทั้ง 4 คน ขอช่วยพ่อฉันด้วยเถอะ ช่วยที ช่วยพ่อไม่ต้องล่ามได้ไหม ฉันว่างั้นน่ะ

    ทั้ง 3-4 คนก็นิ่ง นิ่งซิ ช่วยทีซิ สงสารฉันเถอะ ฉันบวชไม่เป็นน่ะ ฉันว่างั้นน่ะ ช่วย
    ฉันทีเถอะ สงสารพ่อ เป็นพ่อฉันแล้ว ช่วยทีเถอะ เขาก็มองๆกัน ก็เออ..เฉยๆ เออ..จะช่วยไม่ช่วยก็ไม่บอก ก็เออ..งั้นแหละ หลวงพ่อช่วยทีซิ ฉันยืนเรียกหลวงพ่อ ท่านเฉยไม่มาช่วยหรอก

    ทีนี้ทำไง เห็นมีอีกแล้ว เขามีเป็นสมุด เป็นสองคน นั่งยังงี้โต๊ะเงี้ยโต๊ะนึง เขาเขียน
    อะไรน้อ ลองไปดูซิ ฉันไปกราบ บัญชีใช่ไหม บอกนี่บัญชี ฉันก็ดูๆๆ ชื่อฉันมีไหมน่ะ (หัวเราะ) ชื่อฉันมีไหม เขาบอกว่าดูๆ ชื่ออะไรล่ะ ชื่อปู ศรีนวลน่ะ ดูๆๆ เอ...ไม่มีน่ะ โอ๊ะโฮ..ดำๆๆแล้วนี่ล่ะ มีชื่อฉันไหมนี่ เขาก็ดูๆ ไม่มี ไอ้ที่ข้างฝาใหญ่ๆน่ะมีไหม ไอ้ที่ข้างฝามีอีกไหมล่ะ ยัง เอ..ยังไม่มีนะ

    แล้วนี่เขาคืออะไรล่ะ นี่แหละสอบสวน ตกนรกขึ้นสวรรค์อยู่ตรงนี้ งั้นช่วยพ่อฉันด้วยซิ ฉันว่างี้น่ะ เขาบอกว่า อือ..ช่วยยังไงล่ะ ก็พ่อฉันยังงี้ จะทำไงได้ล่ะ เดินไม่ได้ติดโซ่ยังงั้นล่ะ แล้วเขาก็พูดว่า เออ..ดูๆ ก็น่าสงสารดี มันร้องไห้จัง เออ..ช่วยสักหน่อยก็ได้ ว่ายังงี้นะ เอางี้น่ะ ถึงเวลาขึ้นก็ขึ้น ถึงเวลาลงก็ลง เขาว่างั้นน่ะ

    ทีนี้ก็หลวงพ่อช่วยทีซิ หลวงพ่อก็หัวเราะ งั้นแหละ ช่วยเองซิ ท่านว่างั้น กรรมใครกรรมมัน เอ..ทำไง ทำไงก็ไม่เห็นช่วยสักที ทีนี้ฉันบอกหลวงพ่อไม่รักลูกเลย ไม่ช่วยพ่อลูกด้วย หลวงพ่อบอกว่า ดูมันซิๆ ท่านบอกกับหลวงปู่ปาน ดูมันซิๆ มันว่าเรื่อยซิ

    ทีนี้ฉันก็นิ่งก็ไปๆๆ อีกพักหนึ่ง ไงก็ไม่รู้ ไปดูอะไร เดี๋ยวมาช่วยพ่อใหม่ หลวงพ่อพาไปรำทีซิ ที่เขารำกันน่ะ ที่เทวดานางฟ้าสวรรค์เขารำ ตรงนั้นน่ะพาฉันไปดูที ไปอีกแล้วไปดูรำเขาสวย รำสวยๆๆ กว้างขวางสวยๆๆ อยู่นี่ไหมล่ะ หลวงพ่อบอก อยู่นี่ไหมล่ะ เขารำได้สวย อยู่นี่เปล่า ฉันก็ว่า หลวงพ่ออยู่หรือเปล่าล่ะ เออ..ไปทำบารมีก่อนเดี๋ยวค่อยมาก็ได้ งั้นกลับเดี๋ยวแวะไปดูพ่อหน่อยซิ เผื่อเขาจะยกโทษให้หรือเปล่า ฉันว่างี้

    กลับอีกแล้ว อื๋อ..นี่ไงว่ะ มาแป๊บๆๆ ให้กลับอีกแล้ว ก็มาๆๆ พ่อเขาปล่อย นุ่งผ้าม่วงเขียวๆ ใส่เสื้อขาว โอ..ไม่มีโซ่แล้ว ดีแล้วซิ ว่างั้น พ่อดีแล้วน่ะ พ่อบอกช่วยด้วยซิ อีเล็กช่วยพ่อด้วยซิ อีเล็กช่วยพ่อด้วย แล้วฉันจะช่วยไงเล่า ทีนี้ก็บอกว่า หลวงพ่อทำไง เออ..แล้วก็ดีเอง ไปน่ะกลับไปก็ไปสังฆทานให้เยอะๆ ลูกน่ะ กลับไปสังฆทานให้พ่อให้เยอะๆ แล้วก็ลูกรวยน่ะ อย่าลืมวัดท่าซุงล่ะ หลวงพ่อท่านว่ายังงี้ อย่าลืมวัดท่าซุงน่ะ ลูกต้องมาวัดท่าซุงบ่อยๆน่ะ จ้ะ..แล้วฉันจะรวยไหมหลวงพ่อ เออ...ไปเถอะมันดีเอง ท่านว่างั้นน่ะ แล้วก็จะกลับหรือยังล่ะ หลวงพ่อว่า หลวงพ่อให้กลับก็กลับ หลวงพ่อไม่กลับฉันก็ไม่กลับ ฉันว่างั้นน่ะ กลับไปก่อนเถอะลูก ไปทำกุศลก่อน ไปทำบุญให้เยอะๆ ไปสังฆทานทำอะไรต่ออะไร ทีนี้ก็แว้บๆๆ แล้วก็กลับมา กลับเลยหมดซิทีนี้

    เมื่อวานนี้ไปใหม่อีกหน่อย นั่งๆๆอีกแหละ ภาวนางี้น่ะ นี้ก็แป๊บฉันก็ร้องไห้ หลวงพ่อบอกว่า อี้ขี้แยนี่น่าดู ฉันก็เลยบอกว่าทำไมล่ะ พ่อฉันนี่เขาจะเอาลงนรกอีกเปล่า ฉันว่างี้ ห่วงพ่อจังเลย เออ..เดี๋ยวก็ขึ้นมาเอง ทำกุศลให้ได้เดี๋ยวช่วยเอง เดี๋ยวก็ช่วยขึ้นมา แล้วตรงนั้นใครล่ะที่นั่ง ไม่รู้จักพระยายมหรือ ? พระยายมราชไม่รู้จักหรือ นายสมุห์บัญชีไม่รู้จักหรือ ก็ฉันไม่ตายจะรู้จักไงเล่า ฉันว่างั้น (หัวเราะ)

    หลวงพ่อบอกว่า อื้อฮือ...มันเถียงทุกอย่าง ก็ฉันไม่ตายไม่รู้ยังไง หลวงพ่อเพิ่งพามาแค่นี้ ฉันก็ว่า เออ..แล้วทีนี้ทำไงดีล่ะ จะไปไหนดีล่ะ ใช้ทั้งปีเลย ท่านว่างั้น หลวงพ่อว่าฉันน่ะ ใช้ต้องเอาไปด้วย ไปคนเดียวก็ไม่ได้ต้องไปด้วย

    ทีนี้ฉันก็ไม่ว่าอะไร ก็นิ่งก็ไปให้กลับอีก กลับไปกลับมา กลับไป ไม่รู้มาดูอะไร จำไม่ได้ น่ากลัวจะตายข้างล่าง ไม่อยากดูเลยหลวงพ่อ ดูข้างบนดีกว่า ฉันว่างั้นน่ะ เดี๋ยวเอาลง มันเป็นหลุมๆงี้ ลึกๆเป็นน้ำแล้วมันเดือดเป็นไฟวุ๊บๆๆขึ้นมา โยนผลุ๊แล้วขึ้นมาเป็นคนอีกแล้ว โยนก็ไม่ตายโยนกันมือสลอนๆๆ โยนไปเดี๋ยวมันขึ้นมาได้กลับเป็นคน น่าจะเน่าตายไม่ตาย ไม่เป็นไรมาเป็นคน เป็นกระดูกก็มี แล้วเป็นรูปก็มีเยอะแยะ

    ไม่ดูนี่หลวงพ่อไปเถอะ นี่แหละนรก หลวงพ่อว่านี่มันเมืองนรก โอ้โฮ...เจ้าประคุณ อย่าให้ลูกตกนรกน่ะ (หัวเราะ) กลัวจังเลย น้ำอะไรแดง โอ๊...ตัมเดือดพลั่กๆๆ ทีนี้หลวงพ่อก็ว่า ดูอะไรหมดแล้วจะกลับหรือยังล่ะ กลับเถอะๆๆ ไม่ดู ฉันว่างั้น ถ้างั้นฉันก็กลับจ๊ะ

    ถาม : ไม่ไปดูวิมานตัวเองเลยหรือ

    ตอบ : ทีนี้ก็มาอีกซิ มากลับมาก็มานั่งที่นี่ที่อีกวันมานั่ง ก็ไปแบบนี้ ไปๆๆ ก็ไปดู ทีนี้ลัดแล้วน่ะไม่เล่าแล้ว ก็ไหว้หมดแล้วๆ หลวงพ่อว่า ไปดูวิมานตัวเองมั่งชิ ก็ไป อ้อ..มีแล้วทีนี้ นั่งได้ไหม นั่ง เอ๊ะ...มันไม่เป็นฉันนี่ ตัวฉันอยู่นี่ไง โน้นไปนั่งนิดหนึ่ง แล้วก็มันก็สวยด้วย มันแต่งตัวสวย นอนก็ได้

    ถาม : ผู้หญิงหรือผู้ชาย ตอนนั้นน่ะ

    ตอบ : มันแต่งตัวเหมือนผู้ชายแน่ะ แต่งตัวเหมือนผู้ชายแต่ไงมันก็ฉันอยู่เนี่ย แต่โน้นก็ฉันอีกแหละ ทีนี้ก็ไปๆกระโดด เห็นน้ำก็เล่นน้ำไหม โอ้..มีดอกบัว ครั้งแรกก็เป็นดอกบัวขาวๆ แล้วก็เป็นสีดอกบัวจริงๆน่ะมี

    ถาม : น้ำใสไหม

    ตอบ: น้ำใส โดดลงไปแล้ว ว่ายไม่เป็น แล้วทำไมว่ายเป็นก็ไม่รู้นะ ว่ายเป็นโอ้..ไม่รู้ ว่ายน้ำได้โว้ย ไม่ตายโว้ย ฉันว่างี้ เอ๊ะ..นี่ก็ฉัน นั่นก็ฉัน ยังไงกันหว่า

    ถาม : ตอนโดดลงไปตัวนั้นโดดหรือตัวนี้โดด

    ตอบ: ตัวนั้นโดด ตัวเล็กๆที่สวยๆน่ะโดด โดดลงไปเอาดอกบัวมา ทีนี้เก็บดอกบัว เอ๊ะ..ดอกบัวไงพอเอามาแล้ว ไงเป็นขาวหมดก็ไม่รู้ เป็นแก้วขาวหมดเลย 9 ดอก ดีใจเลยเอามา มาถึงก็ หลวงพ่อ เอาดอกบัวมาฝากใส่ย่ามหลวงพ่อเลย 9 ดอก หลวงพ่อบอกให้พ่อใช่ไหม ไปไหนอีกล่ะ หลวงพ่อบอกเหาะไหมล่ะ เหาะไปดูทางโน้นไป ฉันเหาะไม่ได้นะ ว่างั้นน่ะ จับตีนหลวงพ่อบาปเปล่าก็ไม่รู้ ว่างี้

    หลวงพ่อฉันหิ้วย่ามเอง หลวงพ่อบอกพ่อหิ้วเอง ก็เอาๆ ขอหลวงพ่อก็ให้ เอ๊ะ..จะสะพายแขนก็กลัวหล่น ใส่คอเลยดีกว่า ใส่คอ ก็หลวงพ่อไปน่ะ หลวงพ่อก็ปู๊ดไป พ่อฉันทำไง จับขาเลย บาปก็บาปเถอะ เหาะจ๊อกแจ๊กตามหลวงพ่อ จะหล่น ไม่หล่นโว้ย พึ๊บลงมาอีก ได้อีกแล้ว ไม่หล่น บาปเปล่า เจ้าประคุณอย่าให้บาปน่ะ เขาว่าผู้หญิงห้ามจับก็จับเข้าไปแล้วนี่ (หัวเราะ) กลัวหล่น จับไปหลวงพ่อไปแล้วนี่ ก็ไป

    ทีนี้ก็เลยเถียง หลวงพ่อไม่ใช่ขาหลวงพ่อแล้วน่ะ ขาพ่อเป็นแก้วแล้วนี่ หลวงพ่อไม่ใช่ยังงี้น่ะ หลวงพ่อเป็นแก้วๆไปหมดทั้งตัว ก็จับไม่ถูกเนื้อไม่บาปหรอก ฉันว่างี้น่ะ หลวงพ่อบอกไม่บาปหรอก ทีนี้ก็กลับไปกลับมา หลวงพ่อบอก เออ...กลับบ้านได้แล้ว กลับสถานที่อยู่เถอะ ไปทำกุศลให้เยอะๆ จ๊ะฉันก็รับพรหลวงพ่อมา

    ขอตังค์อีกแล้ว ขอตังค์หลวงพ่อตะพึดไม่รู้เป็นเรื่องอะไร (หัวเราะ) หลวงพ่อบอก เอา
    สตังค์ที่ไหนล่ะ เอาตังค์ทำไม ก็ฉันไม่มีสตังค์ เอ้า..พ่อจะให้น่ะ รอนั่งอยู่นั้นแหละเมื่อไหร่ก็ไม่ให้สักที นั่งอยู่นั่นแหละ ไม่เห็นควักซะที (หัวเราะ) นั่งๆ หลวงพ่อเมื่อไหร่จะควักซะที ทำไปทำมา ไอ้ที่พ่อให้นี่รู้ไหมดียิ่งอะไร ฉันก็คอยฟังเต็มที่เลย ไอ้มโนมยิทธิที่นั่งๆนี่ พ่อให้นี่มันดีที่สุดแล้วลูกเอ้ย ให้วิชานี่ให้ลูกน่ะ ดี ดียิ่งกว่าสตังค์เสียอีก ฉันก็ว่า ดีน่ะดี แต่สตังค์ไม่มีใช้ (หัวเราะ)

    ถาม : แหม..ยอดจริงๆ มโนมยิทธิน่ะมันดี แต่สตังค์ไม่มี (หัวเราะ) รู้นะดีไม่ใช่ไม่รู้

    ตอบ : ทีนี้ก็ว่าสตังค์ไม่มีใช้ซิ หลวงพ่อจะให้ หลวงพ่อก็ควักชิ อะไรหว่า เป็นแหวนมีพลอยขาวๆด้วย แว็บๆๆเนี่ยเป็นอำนาจ ไม่เอาหรอกประเดี๋ยวพอลงไปไม่มีแหวน
    จริงๆ (หัวเราะ) ฉันบอกไม่เอาหรอก เดี๋ยวลงไปเขาถาม ไม่เห็นมีอะไร หลวงพ่อให้หลอกๆน่ะซิ ฉันว่างั้น

    หลวงพ่อก็ว่า ดูซิมันว่า หาว่าให้หลอกๆ ฉันก็ เอ๊ะ..เอาดีไม่เอาว่ะ นึกไปนึกมา เอ๊ะ..เอามือไหนใส่ดี หลวงพ่อบอกเอานิ้วชี้ หลวงพ่อถ้าลงไปใครไม่เห็นล่ะ ก็เขาไม่ว่าฉันโกหกตายห่-หรือ (หัวเราะ) ฉันว่างี้ (หัวเราะ)

    ถาม : (หัวเราะ) โอ๊ย..ของแท้เลย (หัวเราะ) เล่าต่อเออ..ดีๆๆ

    ตอบ : หลวงพ่อหัวเราะร่วนๆๆ หัวเราะก๊ากๆใหญ่น่ะเลย หัวเราะใหญ่ ก็ว่า ดูมันพูดซิ ฉันก็ว่า ก็ตอนนี้ให้แล้ว มันเดี๋ยวกลัวหล่นหาย มันเป็นของกายสิทธิ์หลวงพ่อจะหายได้ เดี๋ยวเขาหัวเราะตาย อวดเขาที่ไหนมีแต่นิ้วเปล่าๆ หลวงพ่อ อือ..เอาเถอะน่า เป็นของนิมิตเนี่ยมันดี พ่อให้ติดนิ้วดี เอาก็เอาว่ะ ฉันก็เอามือไหนดีหว่า สองมือ เอามือนี้ก็ได้ เออ..พ่อก็ใส่พรึ่บลงมา มองดูก็สวยเหอะพลอยขาวๆแวบๆ เอ้า..ชี้ไหนอำนาจวาสนาดีน่ะลูก ไอ้ตอนนี้ก็ดีแล้วพอลงไปข้างล่างชี้ไม่ได้ละตายเลย (หัวเราะ)

    ถาม : บอกข้างบนนี่ก็ชี้ดีหรอก ชี้ก็เห็น ลงข้างล่างชี้ไม่ได้ตายห่าเลย (หัวเราะ)

    ตอบ : หลวงพ่อก็บอกว่า อีลูกคนนี้มันย้ำจังเลย เถียงเก่งจริงๆ ฉันก็ว่า ก็ทีแรกหลวงพ่อว่าฉันเป็นอะไรกับหลวงพ่อล่ะ ถึงได้มายังงี๊ หลวงพ่อก็ว่า ก็เป็นลูกหลวงพ่อน่ะซิ ลูกอดีตน่ะซิ ฉันก็ว่าอดีตก็ให้ของจริงๆซิ ท่านก็ว่านี่ก็ของจริง เดี๋ยวดีเอง พ่อให้ดีเอง ทีหลังน่ะนึกว่าจริงน่ะลูกนะ นึกจริงก็จริงล่ะ เอาว่างั้นน่ะ แล้วหลวงพ่อก็ใส่ให้แล้ว ท่านว่าไง ท่านว่า

    พุทธัง ประสิทธิ์โชคลาภ
    พระธัมมัง ประสิทธิ์โชคลาภ
    พระสังฆัง ประสิทธิ์โชคลาภ

    พุทธังให้มีอำนาจ ธัมมังให้มีอำนาจ โอ๊ย..อำนาจไม่เอาหลวงพ่อ (หัวเราะ) เอาโชคลาภเถอะ ฉันว่างั้น อำนาจไม่เอาหรอก ไม่เห็นใครกลัวฉันเลย ฉันว่างั้น ฉันไม่ใช่ตำรวจนี่เขาจะได้กลัว

    ทีนี้หลวงพ่อบอกว่า เออ..ไอ้นี่มันของคาถา พูดแล้วมันเถียงจังน่ะ งั้นเอาก็เอา ฉันก็ว่า แล้วท่านก็บอกว่าลงอย่างอื่นลงอะไรก็ได้ลงไปเถอะ ชี้ไปเรื่อยๆเถอะ เอาๆ นิมิตเอา แล้วก็หลวงพ่อ ฉันมันขี้โรคขี้ภัยเป่าหัวให้ด้วยซิ ฉันว่างั้นน่ะ หลวงพ่อก้มเอาไม้นั้นน่ะเขียนๆๆที่หัว แล้วก็เป่าพ่วง หลวงพ่อกันอะไร (หัวเราะ)

    ถาม : ถามเสียด้วยน่ะ

    ตอบ : หลวงพ่อ กันอะไร หลวงพ่อ กันหมดทุกอย่างนั่นแหละ ให้มันดีไม่ให้มันบ้า (หัวเราะ) ท่านว่างั้น งั้นก็กลับได้แล้วซิน่ะ หลวงพ่อ เอ้า..กลับก็กลับกัน ท่านว่างั้นนะ ฉันก็เลยกลับมาเลยจ้ะ กลับมาข้างล่างก็ไม่เห็นมีแหวนอะไร (หัวเราะ)

    ถาม : นี่ดีมาก นี่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดนะเห็นชัดที่สุด นี่ไม่เคยสัมภาษณ์ใครอย่างนี้เลยนี่ เรียกว่าออกมาจากใจล้วนๆเลย ใจล้วนๆ ของจริงล้วนๆเลย เป็นตัวอย่างของคนต่อไป

    อันนี้นี่อาจจะไปลงหนังสือธัมมวิโมกข์ เพราะว่าอาจจะถอดเป็นหนังสือออกมา ตัวอย่างของคนอื่นที่ปฏิบัติธรรมนะ เป็นบุญใหญ่ของคนที่ไม่เกิดศรัทธา เป็นบุญใหญ่ เออ..ของที่อยู่ด้วยน่ะ

    ตอบ : อยู่ตลาดทุ่งคอก อำเภอสองพี่น้อง บ้านเลขที่ 62

    ถาม : นี่พูดแล้วอารมณ์ใจเหมือนลูกคนที่สนิทชิดเชื้อกันมากเลย อารมณ์ที่พูดเป็นการพูดอย่างนั้น ล้อเล่นอย่างนี้นี่ เรารู้ได้ว่าเป็นลูกที่ติดกระเป๋ากันมาเลย อย่างนี้เป็นลูกติดกระเป๋า นี่คนสุพรรณเหมือนกัน หลวงพ่อก็คนสุพรรณ พูดแล้วเหมือนสนิทกัน เคยมาวัดแล้วใช่ไหม

    ตอบ : มา แต่ไม่เคยทำยังงี้จ้ะ มาตอนมาบวชก็ทำ แต่ก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราวหรอก ทำก็เห็นมั่งแว้บๆ แวมๆ งั้นน่ะ มาปฏิบัติก็ พุทโธ เพิ่งจะมา นะมะ พะธะ นี่เเหละ

    ถาม: นี่เป็นไง ชื่นใจจริงๆเลย คุ้มแล้ว คุ้มแล้วที่จัดงานนี้ คุ้มมากเลย พระหายเหนื่อยเลย หายเหนื่อย คือดีใจน่ะ มีความดีใจมาก

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 156 กุมภาพันธ์ 2537 หน้า 91-95)







     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2019
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    12373268_10153818381459329_5753459544497161747_n.jpg
    "หลวงพ่อพระมหาลาภ" พระประธานที่ศาลา 12 ไร่ องค์นี้มีลาภมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2019
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    10382311_505125356281899_2609362464278607265_o.jpg

    ประสบการณ์ผู้ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง
    ระหว่างวันที่ 18-19 ธันวาคม 2536

    สัมภาษณ์โดย หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง

    คุณทิพยา วิลาวัลย์

    พระครูปลัดอนันต์ เป็นผู้สัมภาษณ์ (ถาม)

    คุณทิพยา วิลาวัลย์ (ตอบสัมภาษณ์)

    ถาม : ว่าไง ทิพยา ขึ้นไปครั้งแรกทำอารมณ์ใจอย่างไร

    ตอบ : ก่อนจะภาวนา ขณะที่ยกจานบูชาครูขึ้นแล้วกล่าวคำสมาทานพระกรรมฐานว่า
    ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอมอบกายถวายชีวิต ขอ
    มอบกาย วาจา ใจ ทั้งหมดบูชาแด่พระรัตนตรัย พร้อมตายถวายชีวิตบูชาพระพุทธศาสนา ถ้าจะ
    ตายเดี๊ยวนี้ก็ยินดี จิตไม่กลัว ไม่ห่วงใยอะไรทั้งสิ้น

    ขณะสมาทานอยู่นั้น ก็เห็นเทวดาและพรหม ยืนสองข้างทาง เป็นแถวระเบียบเรียบร้อย ยืนพนมมือ แต่งกายสีเหลืองแบบดอกบวบ ไม่ใช่เหลืองส้ม รัศมีสว่างออกจากเสื้อผ้าและผิวกาย ยิ่งแถวที่สูงขึ้นไปๆ ยิ่งมีรัศมีสว่างมาก ผิวกายเป็นแก้วใสระยิบระยับ ทางเบื้องหน้าเราเป็นสีขาวเรียบเสมอ สูงขึ้นไปมีแสงสว่างจ้าอยู่เบื้องหน้าลิบๆ จิตเราก็จะพุ่งไปที่แสงสว่างนั้นว่าเป็นที่ประทับขององค์สมเด็จฯองค์ปัจจุบัน จิตจะไป

    แต่ก็คิดว่าสมาทานยังไม่เสร็จเลย ภาวนาก็ยังไม่ภาวนา ใจนึกถึงพวกที่มาด้วยกันว่าไปกันหรือยัง จะไปไหนก็ไปกันถอะ ห้ามจิตไม่อยู่แล้ว ก็พุ่งไปกราบองค์สมเด็จฯท่าน แล้วก็ลากลับมาบอกว่าขอภาวนาและรับน้ำมนต์ก่อน

    ถาม : (หัวเราะ) อดโง่ไม่ได้เหมือนกันนะ

    ตอบ : กลับมาคืนอีกแล้วภาวนาไป ทีนี้ก็นั่งภาวนาไปก็มีความรู้สึกว่าทั้งพระทั้งฆราวาสเต็มไปหมด หัวติดกันเป็นแถวเลยมีมากเลย เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆงั้นแหละ และมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อคอยพรมน้ำมนต์อยู่ข้างทาง โยมก็เห็นสภาพอย่างนั้น พอสักพักมีพระมาพรมน้ำมนต์ให้เหมือนกัน ทีนี้ก็โยมก็ภาวนาอีก เอ๊ะ..ทำไมว่ามีแสงสว่าง ไม่เห็นมีแสงสักทีเลย จิตก็คิดอย่างนี้ ภาวนาไปๆมีแสงเหมือนจากข้างล่างขึ้นมาเป็นเหมือนวงแหวนนะ หมุนอย่างนี้เลย โยมก็ว่า เอ๊ะ..เอาไฟฉายมาส่องหรือไงนะ จิตก็คิดยังงี้ โยมก็สงสัยเอาไฟฉายมาส่องมั้ง ไม่ใช่แสงจริง โยมคิดยังงี้ ทีนี้ภาวนาไปแสงก็มากขึ้นๆ เอ๊ะ..ลืมตามาดูหน่อย อ้าว...ไม่เห็น ไม่มีไฟฉายไม่มีอะไรเลย

    ถาม : อดโง่ไม่ได้อีกแล้ว แหม.โง่รอบสองเลยทีนี้ (หัวเราะ)

    ตอบ : เอ๊ะ..สงสัยแสงมาจริง ทีนี้ก็เลยหลับตาภาวนาใหม่ แสงตอนนี้ที่เห็นแสงสีทองตอนนี้ มันเป็นวงแหวนหมุนเร็วขึ้นๆ โยมก็เลยพุ่งไปเลยตอนนี้ พุ่งไปเห็นหลวงปู่ปาน หลวงพ่อนำหน้าเลย ท่านเดินอย่างเร็วเลย ไปถึงจิตโยมว่าเป็นพระจุฬามณี ไปถึงหลวงปู่ก็ประทับนั่งท่านอยู่ด้านนี้ หลวงพ่อฤๅษีท่านนั่งประทับแท่นอยู่ด้านนี้ เป็นแท่นสวยงาม โยมเห็นลักษณะสีทองบนนั้นน่ะ แล้วมีพวกเพชรพลอยประดับด้วย และมีลวดลายวิจิตรสวยงามมากเลย ทีนี้โยมก็เห็นว่าเท้าใครอยู่ข้างหลังหลวงปู่หลวงพ่อ แต่โยมไม่ทันสังเกต

    ก็กราบหลวงปู่หลวงพ่อก่อน หลวงพ่อท่านก็บอกว่า กราบองค์สมเด็จชิลูก โยมถึงเงยหน้าดู อุ๊ย...องค์สมเด็จทำไมองค์สูงใหญ่แท้ ว่ายังงี้ แต่งตัวเป็นเหมือนเทวดา มีเครื่องประดับ มีอะไร แล้วท่านนั่งห้อยพระบาท โยมก็กราบกราบแล้วโยมก็จับขาองค์สมเด็จ สวยจัง โยมก็กราบแทบพระบาทท่าน จิตก็คิดอีกว่า เรายังไม่ได้รับคทาเลย (หัวเราะ)

    ถาม : เอ้า..นี่โง่รอบสาม (หัวเราะ) จะมาเล่นคทาอีกแล้ว เออ..รอบสามแล้ว โง่นี่ไม่ได้สอนเลยน่ะ เป็นเอง (หัวเราะ)

    ตอบ : นี่ให้เป็นตัวอย่างว่าที่ควรจะจำไว้ (หัวเราะ) โยมก็กราบลาท่านบอก ขอไปรับคทาก่อน (หัวเราะ) แล้วโยมก็ลงมาคืน ลงมาคืนก็ภาวนาใหม่ ไม่เห็นมีแสงซะที คทาก็ไม่มาซะที ก็ภาวนาไปๆ ก็จิตพอดีได้ยินเสียงคนอื่นดังอะไร ตัดสินใจไม่สนใจ ภาวนาไปๆๆเห็นจานพลูที่บูชา จานพลูลอยขึ้นๆๆ เอ๊ะ..เอาอีกแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีแสงเป็นจานพลูเฉยๆลอยขึ้นๆ โยมเอาลอยก็ลอยตามไปเลยตามไป ทีนี้พอถึงข้างบนก็มืด โยมก็อธิษฐานขอบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอประทานแสงสว่างให้ลูกด้วยเถิดพระเจ้าข้า

    เทียน 5 เล่มในถาดเจ้าค่ะ เป็นแสงขึ้นเลย ปักตรงเป็นแสงเลยแล้วสว่าง พอไปถึงที่แห่งหนึ่งเทียนก็ปักข้างหน้าเลย ปุ๊ปๆๆ 5 ที่ โยมก็ เอ๊ะ..เทียนมาปักอยู่ตรงนี้ทำไม ก็มองผ่านไป เห็นมีเท้าใครอยู่เหมือนกับมีใครนั่ง มองขึ้นไป เอ้า..องค์สมเด็จ จิตก็คิดว่านี่พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ โยมก็น้อมจิตกราบท่าน ขอประทานโอวาท ทีนี้ท่านก็ว่าแต่ที่โยมเห็นเป็นพระสงฆ์ค่ะ เป็นพระสงฆ์แต่ว่าสวยมากเลย จีวรนี้สวยมาก เท้าท่านก็สวยนิ้วท่านก็งอนสวยมาก เป็นแบบพระสงฆ์ค่ะแต่สวย และรัศมีสว่าง

    โยมก็กราบท่าน ท่านก็ว่า อิทธิบาท 4 ท่านว่าแต่ละองค์นะคะ อิทธิบาท 4 อริยสัจ 4 และก็บารมี 10 และองค์สุดท้ายท่านติดด้วยว่า นิพพาน โยมก็กราบท่านๆ ขอลาท่านอีกแหละ บอกว่าลงมารับคทาอีก (หัวเราะ)

    ถาม : เอ๊..ปราจีนบุรีทำไมมันโง่ยังงี้ว่ะ (หัวเราะ) แหม..

    ตอบ : (หัวเราะ) ก็หลวงพี่ไม่บอกว่า ไปเล้วก็แล้วเลยไม่ต้องคอยหรอก หลวงพี่ไม่บอก หลวงพี่บอกต้องมีพระพรมน้ำมนต์ ต้องมีไฟฉาย ต้องมีคฑาแตะหัว

    ถาม : เออๆๆ ต้องเป็นตัวอย่าง ครูก็โง่ด้วย (หัวเราะ) ไม่บอกให้หมด เลวจริงๆ เออ..

    ตอบ : ฟังเป็นตัวอย่าง ความโง่ โง่หลายหลายขั้นตอน ทีนี้โยมก็ภาวนาไปๆๆ ก็มีพระ ไม่รู้พระหรือเปล่า แต่ว่ามีไม้มาวางเบาๆตรงศีรษะ รู้สึกซู่ซ่าขึ้นมา แล้วเห็นร่างตัวเองเนี่ยเป็นเหมือนคนที่ตายแบบผุๆน่ะ ตายนานแล้ว แล้วก็มีสิ่งหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากศีรษะ แผ่นกระโหลกนี้แยกออก คล้ายกับศพที่ตายไปนานแล้วมันผุ มีสิ่งหนึ่งโผลขึ้นมา เป็นแสงประกายใสสีขาว โผล่ๆๆออกมา พอมาถึง เอ้า..นี่ พระพุทธเจ้านี่นา แท่นโผล่ออกยกเลย ถึงรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า โยมก็ตกใจ เอ๊ะ..พระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเราได้ไง ก็ผลุบเข้าไปคืน (หัวเราะ)

    ถาม : โง่รอบที่หก (หัวเราะ) โง่รอบที่หก เอาพระพุทธเจ้าเก็บเสียอีก

    ตอบ : ผลุบเข้าไปคืน ก็ว่า เอ๊ะ..ทำไม จิตก็อยากจะออกอยู่นั่นแหละ ก็ภาวนาไป เอ้า..ออกก็ออก พระพุทธเจ้าก็พระพุทธเจ้าซิ โยมก็เลยพุ่งแบบตั้งจิตพุ่งไปเลย ก็เห็นเป็นเเบบพระพุทธเจ้าทั้งองค์พร้อมด้วยฐานบัว ฐานเป็นดอกบัวท่านประทับนั่งแบบสมาธิ องค์เป็นเพชรหมดใสสีสว่างหมดเลย สีขาวทั้งองค์และก็ท่านก็ลอยพุ่งขึ้นอย่างเร็วเลย ทีนี้โยมก็....จิตก็ว่าตัวเองนั่นแหละ องค์นั้นน่ะก็อยู่ในนั้นเลย

    ถาม : จิตอยู่ในนั้นเลย

    ตอบ : จิตอยู่ในนั้นลยค่ะ พุ่งขึ้นไป ไปถึงบนวิมานอีกวิมานหนึ่ง วิมานนี้ใหญ่มากมีเสาใหญ่ๆ คนโอบไม่รอบ สว่างมากเลย

    ถาม : เสาสีอะไร

    ตอบ : สีขาวเป็นเพชรค่ะ ขาวหมดเลยทั้งหมด มีลวดลายวิจิตรมาก สวยงามมาก มียอดก็เยอะๆๆ ซ้อนๆกัน ไปวนๆอยู่รอบ 3 รอบ 3 รอบแล้วพอไปถึงด้านหน้าก็หยุด หยุดแล้วก็ดอกบัวก็อยู่ตรงนั้นค่ะ แล้วก็โยมลุกขึ้นเป็นแบบเหมือนปางนิพพานยังงั้น เดินเข้าไปกราบองค์สมเด็จ องค์ท่านใหญ่มากเลยสีขาวใสสว่างหมด

    ถาม : รู้ไหมองค์นั้นมีพระนามว่าอะไร

    ตอบ : จิตไม่รับสัมผัส แต่จิตว่าองค์นี้ใหญ่มาก สงสัยจะสมเด็จองค์ปฐม ทีนี้ก็ไปกราบๆท่านบอกว่ามาแล้วหรือ โง่เหลือเกินนะ ท่านว่า (หัวเราะ) หลวงพ่อก็อยู่นั่นด้วย หลวงพ่อท่านก็มานั่งคอยอยู่

    ถาม : หลวงพ่อคงก้มหน้า ลูกศิษย์กนี่โง่จริงๆ (หัวเราะ)

    ตอบ : หลวงพ่อก็นั่งคอยอยู่ตั้งนานแล้ว จิตว่ายังงั้น หลวงพ่อท่านก็ว่า มาแล้วหรือ โง่เหลือเกิน กราบองค์สมเด็จซะ ว่ายังงี้ โยมก็ไปกราบท่าน ท่านบอกว่า ลูกน่ะ ต้องศึกษาพระไตรปิฎกให้มากนะ ได้ช่วยพระศาสนาทำงานทุกอย่างเหมือนที่หลวงพ่อเอ็งทำ บอก อุ๋ย..ลูกจะไปนิพพานแล้วค่ะ ลูกไม่เอาแล้วไม่อยู่ ลูกจะไปนิพพาน ท่านบอก จะไปก็ได้แต่ต้องช่วยศาสนาก่อน แล้วท่านก็บอกว่า รู้ไหม เอ็งกับพระอาจินต์น่ะเป็นพี่น้องกัน ปรารถนาที่จะมาช่วยเหลือหลวงพ่อช่วยพระศาสนา แล้วเอ็งมัวแต่เล่นยังงี้ เดี๋ยวก็แก่ตายเสียเปล่าไม่ได้อะไร ช่วยงานก็ไม่ได้ช่วย ท่านก็ว่ายังงี้ แล้วโยมก็ว่า กลัวจะทำไม่ได้ ท่านบอก ได้ชิ ถ้าเอ็งตั้งใจ โยมก็บอกลูกจะไปนิพพานเจ้าค่ะ ลูกไม่เอาแล้ว ท่านบอก นิพพานได้แน่ แต่เอ็งต้องช่วยศาสนาก่อน โยมก็นั่งฟังท่าน ท่านก็บอกว่าให้ฝึกกำลังใจให้เข้มแข็ง แล้วหลวงพ่อน่ะท่านเอาฝ่ามือทำงี้ ซัดโยมน่ะ

    ถาม : ตบหรือไง

    ตอบ : ไม่ตบค่ะ เหมือนกับจะผลักยังงั้นแหละ ซัดโยมน่ะ โยมก็กระเด็นไปโดนเสาโน้นเสานี้ๆ โดนกระแทก โยมว่าเอ๊ะ..เราเจ็บหรือเปล่า ก็ไม่เจ็บ จับดูหัวแตกหัวโนหรือเปล่า ก็ไม่เป็นไร เสาก็ไม่หัก โยมก็ว่า เอ๊ะ..ก็ดีน้อ

    ถาม : ท่านเอาพิษโง่ออกไงเล่า (หัวเราะ)

    ตอบ : (หัวเราะ) ท่านว่า เอ็งต้องฝึกพลังให้จิตให้เข้มแข็ง แล้วก็ฝึกตามพระไตรปิฎกให้มาก ท่านก็ว่ายังงี้ โยมก็นั่งฟังนั่งๆ หลวงพี่อาจินต์ก็มาฉุดข้อมือไป ไปๆๆ เร็วๆ ไปกราบพระพุทธเจ้า หลวงพี่อาจินต์ก็แต่งตัวเหมือนเทวดา เหมือนกับโยมนั่นแหละ แต่งเหมือนกันเลย ท่านก็จูงมือโยมไปกราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ โยมก็น้อมจิตกราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ แล้วก็กราบท่านพ่อท่านแม่ทั้งหมด หลวงปู่ หลวงพ่อ ก็พอสักพักก็หมดเวลาจริงๆ หมดเวลาก็เลยกลับ

    ถาม : ทีนี้คงไม่โง่แล้ว ปีหน้าครูก็ฉลาดขึ้นกว่านี้ เออ..ดีนี่เป็นตัวอย่าง

    ตอบ : เพราะว่าตอนเย็นก่อนที่จะฝึกเต็มกำลัง ตอนเย็นโยมนั่งสมาธิแบบสุกขวิปัสสโกอยู่ โยมก็พยายามนั่ง เต็มกำลังนี่ไม่มีครูเข้ามาแนะนำแน่ เราต้องพยายามทำจิตสงบให้ได้ฌาน 4 เพราะปกติโยมอยู่บ้านไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่ คิดว่าสมาธิตัวเองไม่ค่อยดี ก็พยายามภาวนา ภาวนาอย่างเดียวไม่ให้ไปไหน ให้จิตทรงฌาน 4 ให้ได้ ภาวนาไปๆๆ ตอนขั้นสุดท้ายนี่โยมเห็นตัวเองนี่ว่าหลวงปู่ หลวงพ่อ ทุกคนที่ฝึกในที่นี้ทั้งหมด เดินกันแบบ เดินสมาธิเข้าหาหลวงพ่อ แต่โยมไม่เดิน โยมนั่งไปเฉยๆ นั่งไปหาแบบไม่รู้ไปยังไง อยู่ๆก็ถึงอยู่ตรงหน้าหลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงปู่อยู่ข้างขวา หลวงพ่ออยู่ข้างซ้าย

    พอไปถึงหลวงปู่ก็ซัดเอาแบบมือผลักยังงี้เลย ผลักอีกด้านหนึ่ง หลวงพ่อก็อีกด้านประกบกันนี่ ร่างโยมนี้แตกออกเลย ผิวงี้เหมือนกับเปลือกไม้กระเด็นออกไป แล้วก็ตัวเองก็เป็นแก้ว เป็นแก้วเหมือนแก้วกินน้ำ แก้วธรรมดาที่เห็นๆ แล้วโยมก็เห็นตัวเองเป็นผู้หญิงอย่างนี้ นั่งเบบนี้นั่งวางมือแบบนี้ เป็นเหมือนรูปปั้นงั้นแหละ โยมนั่งอยู่อย่างนี้ หลวงปู่ท่านก็จับหันมายังงี้ ท่านทำรุนแรง ท่านไม่ทำค่อยๆหรอก

    ถาม : เรียกว่าอยู่ตีนอยู่มือหน่อย

    ตอบ : (หัวเราะ) จับหันมาอย่างแรงเลย แล้วหลวงปู่ท่านก็เอาเกศพระพุทธรูป มาปักตรงข้างบน แล้วหลวงพ่อท่านก็มาตะปบตรงหน้าอกอย่างนี้ว่าให้เหมือน ทำตะปบอย่างนี้ จิตโยมว่าหลวงพ่อทำให้เราเป็นผู้ชาย ว่ายังงั้นแล้วก็หมุนๆๆ พอดูตัวเองอีกที เอ้า..เป็นรูปพระ เป็นพระธรรมดา เป็นพระแก้วธรรมดาไม่สว่างไม่ใสอะไร

    ท่านก็ผลักไปโน่นผลักไปนี่ ก็กระดอนกระเด็นชนโน่นชนนี่ แล้วก็จิตโยมก็คิดว่า ถ้าเป็นแก้วธรรมดาก็ต้องแตกแล้วนะว่ายังงี้ นอกจากเพชรเท่านั้นที่ไม่แตก แล้วแก้วโดนอะไรๆก็ต้องมีเหลี่ยมกระเทาะๆบ้าง โยมคิดไปเอง โยมคิดว่านอกจากเป็นเพชรเท่านั้นที่โดนอะไรแล้วไม่แตกไม่หัก จิตโยมก็คิดอย่างนี้

    ถาม : ไม่หวั่นไหว จิตเป็นเพชรที่พระนิพพาน

    ตอบ : พอโยมคิดอย่างนั้น หลวงปู่ หลวงพ่อท่านทำฝ่ามือแล้วแสงออกจากฝ่ามือท่านมาใส่โยมชะสว่างไปหมดเลย เป็นเพชรเลยทั้งตัวเลย ทีนี้ท่านก็ผลักโยมออกไปเลย โยมก็หันไปทั้งถอยหลังอย่างนั้นแหละ ถอยหลังไปเลย ทีนี้โยมก็ดูคนอื่นว่าหลวงพ่อทำ ท่านทำท่านยิ้มไหม โยมก็จ้องดูหน้าหลวงปู

    ถาม : จับผิดว่างั้นเถอะ ทำเรานี่ทำยังงี้ ทำคนอื่นยิ้มหรือเปล่า

    ตอบ : โยมก็ดูหลวงปู่ ดูหลวงพ่อ เอ๊ะ..หลวงพ่อท่านทำหน้าทรงสมาธิ ทำหน้าแบบตั้งใจมาก ทำหน้าทรงสมาธิทั้งหลวงปู่หลวงพ่อเลย ท่านทำแบบโป๊ะๆๆ คนอื่นเหมือนกัน แต่โยมว่าไม่รู้ว่าเป็นแก้วหรือไม่เป็นแก้ว โยมไม่รู้ มัวแต่ดูหน้าหลวงปู่กับหลวงพ่อ

    แล้วต่อไปก็เห็นท่านซัดเหมือนท่านซัดลูกบอลยังงี้แหละ บางคนก็ไปทั้งยืนเลย ใสเป็นเพชรไป บางคนก็ไปเป็นแบบกลมๆน่ะ บางคนก็กระเด็นไปไกล บางคนก็กระเด็นกลางๆ บางคนก็กระเด็นตกใกล้ๆ

    แต่ว่ารุ่นแรกๆจะเป็นแสงเหมือนเพชรที่ท่านผลักไป แต่รุ่นหลังๆนี่จะเป็นทรงเครื่องเหมือนเทวดานี่ค่ะ แต่เป็นแก้วออกสีเหลืองอ่อนๆนิดๆ ไม่แก้วใสแต่เป็นสีเหลืองอ่อนๆหน่อยรุ่นหลังๆ

    ถาม : ที่ผลักไปคล้ายๆว่าเราขึ้นไปพบท่านนี่ ชาร์ตแบตเตอรี่นี่ ไปเจอพ่อแม่ก็ดีใจใช่ไหม เหมือนคนชัดมา พอท่านเปล่งฉัพพรรณรังสีมาชัดงี้ก็ชื่นใจ ตัวก็เป็นเพชรหมด ไม่เชื่อไปเจอหลวงพ่อเถอะ เราไปเจอหลวงพ่อใจก็ชื่นใช่ไหม ชื่นก็กำลังใจก็รวม

    ตอบ : โยมฝึกน่ะ ที่ขึ้นไปหาสมเด็จพระพุทธกัสสปน่ะ โยมไปกราบท่านพระพักตร์องค์นี้เลย องค์นี้พระพุทธกัสสป แล้วว่าท่านเป็นพ่อด้วย โยมนอนตักท่านกอดท่านตั้งนาน ท่านใจดีมาก สมเด็จองค์ปฐมน่ะ โยมนั่งสมาธิในห้องโยมก็เห็นแค่ปาก ปากท่านอิ่มๆสวยโยมยังคิดเลย พระองค์นี้ใครน้าก็ไม่เห็นหน้า เห็นแค่ตรงปาก โยมมาฝึกถึงว่าองค์ปฐมพระโอษฐ์ท่านอิ่มอูมและพระพักตร์ท่านสวยมากอิ่มสวย ก็ว่าองค์ปฐมนั่นเอง

    ตอนนั่งสมาธิในห้องเห็นแค่ปากท่าน ทีนี้พอกลางคืนหลังจากทำวัตรเย็นนั่งกรรมฐานเสร็จ โยมไปก็นอน ตอนเช้าโยมจะตื่นราวๆตี 3 โยมก็เจริญพระกรรมฐานคืนหลังจากที่ฝึกเต็มกำลังค่ะ คืนวานองค์สมเด็จโตท่านมา ท่านมาเทศน์โปรด ท่านบอกว่าเป็นนักบวชต้องสำรวมกาย วาจา ใจ ให้ระวัง เพราะมีโอกาสพลาดพลั้งกว่าชาวบ้านธรรมดา ท่านว่ายังงี้ ระวังเถอะมาปฏิบัติธรรม ไม่สนใจข้อวัตรปฏิบัติเอาแต่กินแล้วนอนๆ ตายไปจะเป็นหมู ท่านว่ายังงี้

    ถาม : โยมซิ โยมคอยจะเลี้ยงอยู่เรื่อยเลย

    ตอบ : แล้วท่านก็บอกว่าคอยแต่ว่าคนโน้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ติคนโน้น ติคนนี้ ทำเสียงดังกวนเขา เดี๋ยวจะไปเป็นหมา ท่านว่ายังงี้ แล้วก็กินข้าวเขาไม่รู้จักคุณคนที่เอาข้าวมาให้กิน เขาเหน็ดเหนื่อยกว่ามาจะได้ข้าวมากิน กินไม่สำรวม กินไม่ระวังเนี่ยจะต้องไปเป็นหมาเฝ้าสมบัติให้เขา เพราะว่าไม่รู้จักคุณค่าสมบัติที่เขามาทำบุญให้ แล้วท่านบอกว่าพูดคุยกันจ๊อกแจ๊กๆจอแจกวนสมาธิคนอื่นน่ะ ไปเป็นนกน่ะ ปากอยู่ไม่สุข ท่านก็ว่ายังงี้น่ะเจ้าค่ะ

    แล้วพอเมื่อเช้านี้ก็โยมเจริญพระกรรมฐาน สมเด็จเจ้าคุณนรฯ ท่านก็มาเทศน์โปรดท่านพูดถึงเรื่องขันธ์ 5 เรื่องร่างกาย พอหลวงพี่อาจินต์นำวันนี้ คล้ายเลยเหมือนที่ให้เกี่ยวกับตัดร่างกาย ร่างกายอย่างโน้นอย่างนี้อะไรๆ โยมก็จดไว้เหมือนกัน ลืมบ้างจำได้บ้าง โยมถึงว่าที่ไปกราบองค์สมเด็จที่ท่านประทานพระไตรปิฎกด้วย เป็นเล่มใหญ่และสีทอง โยมยังว่า เอ๊ะ..เกี่ยวอะไรกับโยม โยมปฏิบัติแบบหลวงพ่อนี่ก็สบายๆอยู่แล้ว เกี่ยวอะไร

    ถาม : พระไตรปิฏกคือ ขันธ์ 5 เรานี่แหละ รู้ขันธ์ 5 รู้ตามความเป็นจริง พระไตรปิฏกอยู่ในนี้แหละ อยู่ในร่างกายเรานี่แหละ พระไตรปิฎกน่ะ ที่พระโบราณสมัยเห็นไหมล่ะปฏิสัมภิทาญาณไม่ได้เรียนหนังสือสักตัว ไม่ได้เรียนรู้หนังสือสักตัว คือรู้ขันธ์ 5 ทุกอย่าง รู้ในขันธ์ 5 คือพระไตรปิฎก ความหมายจริงๆ

    ตอบ : โยมก็ลืมไป ตอนท่านเทศน์น่ะ ท่านแกะห่อเหมือนห่อหมกเนี่ยให้โยมดู

    ถาม : ใครเทศน์

    ตอบ : หลวงปู่โตค่ะ โยมดูนึกว่าห่อหมก ที่ไหนได้กลายเป็นอุจจาระเฉยเลย ท่านบอกว่าเอ้า กินเข้าซิๆๆ โยมว่าจะกินได้ยังไง กินไม่ได้ ท่านบอกกินได้ ทำไมจะกินไม่ได้ เอ็งพิจารณาดูซิอุจจาระมีอะไรบ้าง ท่านก็ว่ายังงี้ โยมพิจารณาดูก็ว่ามันมีอาหารที่เราล่ะน้อ มีเนื้อ มีเศษผักอะไรต่ออะไร แล้วก็มีเชื้อโรค มีพยาธิด้วย

    โยมก็ดูในนั้นว่าเป็นอย่างนี้มันสกปรก ของเราก็กินไปแล้วมันก็เป็นยังงี้ ที่แท้มันก็สกปรกเหมือนกัน แล้วโยมก็คิดว่าหนอนน่ะ หนอนมันกินของเน่าของสกปรก เราก็ว่ามันสกปรกที่แท้เรากับหนอนก็เหมือนกัน โยมก็คิดอย่างนี้ แล้วพอโยมคิดอย่างนี้ ท่านก็บอกดีแล้ว ถูกแล้ว เวลากินอาหารก็พิจารณาอย่างนี้น่ะ ท่านก็ว่ายังงี้

    แล้วท่านก็ถามมีมีดอีโต้เล่มหนึ่งแล้วก็มีพวกเพชรนิลจินดาอยู่อีกกองหนึ่ง ท่านก็ถามว่าสองกองนี้เอ็งว่าอันไหนมีค่ามากที่สุด โยมก็ดูไปดูมา มันคิดเองน่ะ ถ้าเป็นตอนนี้โยมเอาทองน่ะ (หัวเราะ)

    ถาม : ตอนนั้นเอาอะไร

    ตอบ : โยมก็บอกว่ามีดอีโต้ดีกว่าเจ้าค่ะ ท่านก็ถามว่ามันดียังไง โยมก็บอก มีดนี่ใช้ได้สารพัดเลย สามารถถากถางจากไม้ธรรมดาให้เป็นสิ่งโน้นให้เป็นสิ่งนี้ได้ ใช้ประโยชน์ใช้สอยได้ ตัดผ้าก็ได้ ทำอะไรก็ได้สารพัด โยมก็ว่ายังงี้ ทำอะไรได้เป็นประโยชน์ทั้งหมดแหละ เพชรนิลจินดาได้แค่ประดับเอง ตายไปก็ไม่เห็นเอาไปได้ แล้วก็มันแค่ไว้โชว์ไว้อวดเขาเท่านั้นเอง ไม่เห็นมีประโยชน์ตรงไหนเลย สู้มีดอีโต้เล่มเดียวไม่ได้ โยมก็ว่ายังงี้ ท่านก็บอก เออ..ถูกแล้ว ให้ทำจิตยังงี้เสมอๆ พิจารณาเสมอๆ ไม่ว่าอะไรพยายามอย่าติดในสมบัติในวัตถุทั้งหลาย ท่านว่าอย่างนี้

    ถาม : เออ..ดีมากๆๆ สาธุ สาธุ สาธุ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 156 กุมภาพันธ์ 2537 หน้า 80-86)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2019

แชร์หน้านี้

Loading...