นี่คือเรื่องจริง "ชีวิตหลังความตาย"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย piyaa, 14 มกราคม 2013.

  1. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ท่านผู้อ่านจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร สำหรับดิฉันเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกที่ไม่เคยประสบมาก่อน จึงเขียนเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง
    ดิฉันรู้จักคุณวารุณีมาสิบกว่าปีแล้ว อายุแก่กว่าสิบกว่าปีด้วยเหมือนกัน เมื่อก่อนดิฉันรับราชการ ปัจจุบันนี้เกษียณราชการสองปีแล้ว หลังจากเกษียณแล้วก็ได้ใช้เวลาว่างไปทำบุญตามวัดต่างๆ เป็นประจำ บางครั้งก็จะไปกับคุณวารุณีพร้อมกลุ่มเพื่อน ดิฉันก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณวารุณี ว่าเธอมีความสามารถพิเศษบางอย่าง ที่สามารถสัมผัสกับวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วได้ แต่ดิฉันไม่เคยเห็นหรืออยู่ในเหตุการณ์ที่เขาพูดกันเลย เวลาพวกเราอยู่ด้วยกันก็ไม่เคยเห็นเธอแสดงความสามารถพิเศษที่ว่าเลย เธอจะคุยกับดิฉันแบบปกติธรรมดาเหมือนคนทั่วไปเขาคุยกัน ดิฉันได้เห็นและสัมผัสกับคุณวารุณี ในเรื่องเกี่ยวกับการสื่อสัมผัสวิญญาณฝากข่าวด้วยตนเอง เมื่อไม่นานมานี้เอง
    เรื่องแรกก็เกี่ยวกับคุณแม่ของดิฉันที่เสียชีวิตไปนานแล้วหลายปี คุณวารุณีก็ไม่เคยรู้เห็นหรือรู้จักคุณแม่ของดิฉันมาก่อน คุณแม่ของดิฉันชื่อขำ ดิฉันเองเป็นคนรักและเคารพคุณแม่มาก จะคอยดูแลเป็นห่วงเป็นใยท่านมาก และท่านก็อยู่กับดิฉันมาตลอดจนกระทั่งท่านเสียชีวิตจากไป ดิฉันก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านไม่ได้ขาดเรื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ คิดว่าท่านคงมีความสุขจากผลบุญที่ดิฉันและพี่น้องอุทิศไปให้ ดิฉันรู้ดีว่าคุณแม่เป็นห่วงดิฉันมาก
    วันหนึ่งดิฉันไปเยี่ยมเพื่อนที่บ้าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านคุณวารุณีนัก เราคุยกันไม่นานก็ชวนกันเดินไปเยี่ยมคุณวารุณีที่บ้านของเธอ พอเห็นดิฉันมาเยี่ยมก็ดีใจ เมื่อเข้าไปในบ้านเรียบร้อยแล้ว คุณวารุณีได้ร้องทักดิฉันว่า
    “พี่..พอพี่เดินเข้ามาที่บ้าน ก็มองเห็นวิญญาณดวงหนึ่งเป็นผู้หญิงแก่ๆ ขอให้ช่วยสื่อกับพี่ให้เขาด้วย”
    ดิฉันแปลกใจว่าคุณวารุณีเห็นใครกัน และเขาต้องการสื่อกับดิฉันทำไม จากนั้นคุณวารุณีหลับตาทำสมาธิไปอีกครั้ง พอลืมตาขึ้นได้พูดกับดิฉันว่า

    ศรีแข จันทพัฒน์
    ผู้เล่าให้ฟัง


    จาก หนังสือมิติซ้อนมิติเล่ม1
    ได้รับอนุญาตจากเพจ http://www.facebook.com/varunee.sawasdeepak
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  2. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    “พี่คอยนึกตามนะว่า วิญญาณดวงนี้เป็นแม่หรือญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว มีลักษณะแบบนี้บ้างไหม”
    จากนั้นก็บอกรูปร่างลักษณะของวิญญาณผู้หญิงที่มองเห็นกับดิฉัน ซึ่งตรงกับลักษณะของคุณแม่ดิฉันทุกอย่าง จึงรับว่าวิญญาณที่ปรากฏให้เห็นนั้นคือคุณแม่นั่นเอง คุณวารุณีจึงดูต่อไปและบอกว่า
    “คุณแม่หิวน้ำ ไม่มีน้ำกิน”
    คุณวารุณีบอกให้ดิฉันนั่งสมาธิและอุทิศน้ำที่ดิฉันเคยทำบุญไปแล้วให้คุณแม่ เพื่อที่ท่านจะได้มีน้ำกิน ดิฉันรู้สึกสงสารคุณแม่มากจึงได้ตั้งใจนั่งสมาธิอุทิศบุญกุศลที่เคยทำมาให้คุณแม่ แต่ความที่ไม่เข้าใจว่าน้ำที่ให้อุทิศ กลายเป็นน้ำฝนตกลงมาเปียกคุณแม่หมด คุณวารุณีเห็นดังนั้นจึงถามดิฉันว่า
    “พี่เคยทำบุญด้วยกระเบื้องมุงหลังคาที่ไหนบ้าง ให้นึกเร็วๆ แล้วอุทิศบุญอันนี้ให้คุณแม่ของพี่”
    ดิฉันก็ตั้งใจทำจิตนึกถึงบุญที่เคยซื้อกระเบื้องมุงหลังคาศาลา ขอให้เป็นที่กำบังแดดฝนให้คุณแม่ และก็สำเร็จเมื่อคุณวารุณีบอกว่า
    “คุณแม่มีศาลาและหลังคาคลุม ไม่เปียกฝนแล้ว”
    ให้ดิฉันนึกถึงบุญที่ทำด้วยน้ำ ให้คุณแม่ใหม่อีกครั้งและครั้งนี้เธอได้บอกด้วยความยินดีว่า
    “คุณแม่พี่ได้ดื่มน้ำแล้ว”
    วิญญาณของคุณแม่ได้ฝากให้บอกดิฉันว่า
    “ขอให้ทำบุญใส่บาตรให้ท่านด้วย โดยบอกชื่ออาหารที่ท่านเคยชอบทานเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ มีแกงขี้เหล็ก แกงเขียวหวานเนื้อ ข้าวเม่าทอด”
    ดิฉันก็ได้ใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้ท่านในเวลาต่อมา
    เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อสำหรับดิฉันที่ได้ประสบมา โดยมีคุณวารุณีเป็นสื่อผ่านให้ และต้องขอขอบคุณ คุณวารุณีไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยที่ช่วยให้ดิฉันได้ทำบุญให้คุณแม่ตามที่ท่านต้องการ
    ต่อมาดิฉันได้ไปทำบุญทอดกฐินที่วัดร้องตอง จังหวัดน่าน กับเพื่อนๆ กลุ่มเดียวกับคุณวารุณี ดิฉันไปกับพี่สาว ในวันนั้นดิฉันนั่งติดกับคุณวารุณี เราคุยกันไปเรื่อยตามประสา ขณะที่รถวิ่งถึงจังหวัดอุตรดิตถ์ ระหว่างทางดิฉันเห็นคุณวารุณีมีอาการเปลี่ยนไป นิ่งเงียบไปเฉยๆ ไม่พูดไม่คุย ดิฉันก็เลยเลิกชวนคุยปล่อยให้นั่งสมาธิไป พักใหญ่ก็ลืมตาพูดเบาๆ ว่า


    ศรีแข จันทพัฒน์
    ผู้เล่าให้ฟัง
    จาก หนังสือมิติซ้อนมิติเล่ม1
    ได้รับอนุญาตจากเพจ http://www.facebook.com/varunee.sawasdeepak
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  3. Twana

    Twana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +725
    ชอบอ่าน แต่ไม่ใช้ เฟซบุ๊ค เอามาเล่าอีกนะคะ
     
  4. ครรชิต วิมลจันทร์

    ครรชิต วิมลจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +2,865
    หยุดทำไมครับ เล่าต่อนะครับ
     
  5. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    “เห็นคุณแม่พี่ (คุณวารุณีจำได้ทันทีเพราะเคยเห็นเมื่อครั้งก่อน ตอนที่มาขอให้ทำบุญเกี่ยวกับน้ำและดิฉันอุทิศให้ไปแล้ว) ครั้งนี้คุณแม่พี่มีผิวพรรณผุดผ่อง สว่างมีราศีสวยงามแบบผู้มีบุญต่างจากครั้งก่อน คุณแม่พี่รู้ว่า พี่กับพี่สาวจะไปทอดกฐิน จึงได้สื่อผ่านขอให้ช่วยบอกพี่ว่า การทอดกฐินเป็นกุศลใหญ่ การทำบุญในครั้งนี้ให้พี่อุทิศบุญกุศลไปให้พี่ที่ตายหรือแท้งไป เพราะว่าเขายังไม่ได้ไปผุดไปเกิด คุณแม่พี่สงสารเขามาก ไม่มีใครทำบุญอุทิศให้เขาเลย ถ้าหากเขาได้กุศลจากการทอดกฐินและเขาอนุโมทนาได้ เขาจะได้เปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิใหม่”
    ครั้งนี้ดิฉันยอมรับว่ายังแคลงใจในตัวคุณวารุณีมาก เพราะดิฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้จากคุณแม่หรือพี่สาวคนโตเล่าให้ฟังมาก่อนเลย ได้บอกกับคุณวารุณีว่าดิฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้ และเชื่อว่าไม่เคยมีพี่ที่ตายตั้งแต่เล็ก คุณวารุณีก็ไม่พูดอะไรเมื่อดิฉันปฏิเสธ จึงนั่งหลับตาต่อไปอีกครู่ใหญ่จากนั้นก็ออกจากสมาธิ เราไปถึงวัดร้องตองตอนค่ำและมีกำหนดทอดกฐินตอนเช้า เราต่างแยกย้ายกันหาที่นอนซึ่งทางวัดได้จัดเตรียมเพื่อให้พักผ่อนกัน ดิฉันเหนื่อยจากการเดินทางจึงรีบอาบน้ำก่อน
    พี่สาวของดิฉันได้เดินไปที่ห้องที่คุณวารุณีพักกับเพื่อนอีกห้องหนึ่ง คุณวารุณีจึงได้ถามพี่สาวดิฉันว่า
    “คุณแม่พี่เคยแท้งหรือมีลูกตายเมื่อตอนเล็กๆ บ้างไหม”
    คุณวารุณีได้เล่าเรื่องที่คุณแม่ฝากให้บอกดิฉันกับพี่สาว พอพี่สาวได้ฟังก็แปลกใจและยอมรับว่าคุณแม่เคยมีลูก แต่ได้ตายไปตั้งแต่ยังเด็กจริง เพราะคุณแม่เป็นคนเล่าให้พี่สาวฟังเอง พี่สาวก็ลืมไปแล้วด้วยพึ่งจะมานึกได้ก็ต่อเมื่อคุณวารุณีบอกว่า คุณแม่ขอให้ช่วยลูกคนนี้ให้ได้บุญในครั้งนี้ด้วย ดิฉันเกือบจะไม่ได้ทำตามที่คุณแม่ขอร้องเสียแล้ว หากว่าคุณแม่ไม่ดลจิตดลใจให้พี่สาวเดินไปที่ห้องคุณวารุณี วันนั้นดิฉันคงไม่มีโอกาสอุทิศบุญกุศลให้กับพี่อีกคน ซึ่งดิฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย
    ท่านผู้อ่านนึกดูซิคะว่า ความรักของแม่นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด แม้จะเหลือแค่ดวงวิญญาณ แต่ความรักความห่วงใยบุตรไม่เคยหมดไปจากจิตใจเลย อย่างคุณแม่ของดิฉันเป็นตัวอย่าง
    เรื่องสุดท้ายที่ดิฉันจะเล่าต่อไปนี้ ก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับคุณพ่อของดิฉัน คุณพ่อของดิฉันได้ถึงแก่กรรมลง บุตรธิดาก็ได้จัดพิธีสวดพระอภิธรรมและฌาปนกิจศพเรียบร้อยไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำบุญครบเจ็ดวันตามประเพณีไทย บุตรธิดาจึงตกลงกันว่า ขอฝากอัฐิไว้ที่วัดก่อน ทำบุญครบเจ็ดวันแล้วจะนำเถ้ากระดูกไปลอยที่แม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้เกิดความร่มเย็นตามความเชื่อถือต่อไป
    พอถึงกำหนดครบเจ็ดวันที่ลูกและญาติจะทำบุญให้คุณพ่อ ดิฉันและพี่น้องก็เตรียมตัวไปทำบุญที่วัดที่ฝากอัฐิไว้ พอไปถึงวัดและแจ้งความประสงค์ขอรับอัฐิคุณพ่อเพื่อนำมาทำบุญ แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้น ปรากฏว่าห่อผ้าขาวที่ห่ออัฐิที่ฝากไว้หายไป ถามใครๆ ก็ไม่มีใครทราบ จึงสัณนิษฐานกันว่าเจ้าหน้าที่ของวัดคงจะเก็บอัฐิไปไว้ในเจดีย์ภายในวัดองค์ใดองค์หนึ่งเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับตอนนั้นน้องสาวของดิฉันได้ฝันไปว่า ลงเรือมารับพ่อ (วัดติดคลอง) แต่คุณพ่อไม่ยอมไป พวกเราจึงคิดกันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงเป็นเพราะคุณพ่ออยากอยู่วัดมากกว่าอยู่แม่น้ำเจ้าพระยา ดังนั้นพวกเราจึงได้ทำบุญทำพิธีต่อไปจนแล้วเสร็จ และทุกปีเมื่อถึงวันครบรอบ ตรงกับวันที่เจ็ดเดือนกรกฎาคม พวกลูกๆ ก็จะมาร่วมกันทำบุญถวายสังฆทานอุทิศให้คุณพ่อเป็นประจำ
    เวลาล่วงเลยผ่านมาประมาณเกือบยี่สิบปี ในเดือน ตุลาคม 2544 ดิฉันได้ไปร่วมงานทำบุญทอดกฐินสามัคคีที่จังหวัดระยอง ไปกับเพื่อนร่วมทีมเก่าและเพื่อนๆ อีกหลายคน และได้พักที่กุฎิของเพื่อนคนหนึ่งที่ปลูกไว้เพื่อใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมเวลาไปวัด คุณวารุณีได้เรียกดิฉันมาคุยและบอกว่า

    ศรีแข จันทพัฒน์
    ผู้เล่าให้ฟัง
    จาก หนังสือมิติซ้อนมิติเล่ม1
    ได้รับอนุญาตจากเพจ http://www.facebook.com/varunee.sawasdeepak
     
  6. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    “มีวิญญาณดวงหนึ่งมาปรากฏให้เห็นเป็นผู้ชาย ต้องการจะสื่อผ่านฝากบอกกับพี่”
    คุณวารุณีได้บอกลักษณะของวิญญาณผู้ชายคนนั้นให้ดิฉันฟัง และบอกว่าเป็นคุณพ่อของดิฉัน คุณวารุณีต้องการความแน่ใจว่าเป็นวิญญาณของคุณพ่อดิฉันจริง จึงให้วิญญาณบอกมาว่า มีอะไรที่จะบ่งบอกยืนยันได้ว่า เป็นคุณพ่อของดิฉันจริงนอกเหนือจากรูปร่างหน้าตา
    วิญญาณของคุณพ่อตอบกลับว่า
    “เป็นข้าราชการใส่ชุดสีกากี”
    คุณวารุณีก็ถามดิฉันว่าจริงหรือเปล่า ดิฉันตอบว่าจริง คุณพ่อของดิฉันทำงานที่ไปรษณีย์ คุณวารุณีก็ถามวิญญาณทางจิตว่ามีอะไรที่จะยืนยันได้อีก
    วิญญาณของคุณพ่อบอกว่า
    “มีเหรียญเงินรูปเสด็จพ่อ ร. ๕ เหรียญใหญ่ ที่มีไว้สำหรับติดหน้าอก”
    ซึ่งก็ตรงอีกเพราะดิฉันเองก็เคยเห็นเหรียญอันนั้นและจำได้ดี
    ข้อสุดท้าย คุณพ่อของดิฉันได้พยายามพิสูจน์ตัวเอง เพื่อให้ดิฉันเชื่อว่าเป็นคุณพ่อของดิฉันจริงไม่ใช่วิญญาณแอบอ้าง ท่านได้สื่อผ่านคุณวารุณีว่า
    “ก่อนที่จะมาแต่งงานกับคุณแม่ของดิฉัน ท่านเคยมีภรรยาและบุตรมาก่อน”
    ข้อนี้คุณวารุณียิ่งไม่มีวันรู้เรื่องของดิฉันและครอบครัวแน่นอน
    พิสูจน์จนแน่ใจแล้วว่าวิญญาณที่ปรากฏให้เห็นคือคุณพ่อดิฉันจริงๆ คุณวารุณีจึงถามคุณพ่อดิฉันว่าต้องการให้ช่วยอะไร เมื่อทราบแล้วได้บอกกับดิฉันว่า วิญญาณขอให้ช่วยเหลือเพราะอยู่ในที่มืดมาก ได้รับความลำบากไม่สามารถออกมาได้ ดิฉันจึงถามคุณวารุณีว่าจะช่วยคุณพ่อได้อย่างไร คุณวารุณีตอบว่าตอนนี้ไม่รู้ นอกจากแผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลแล้ว ดิฉันต้องไปหาวิธีทางศาสนาเอาเอง
    ดิฉันคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ คิดหาหนทางจะช่วยคุณพ่อยังไงดี หวังจะให้คุณวารุณีบอก เธอก็เป็นตามแบบของเธอว่าสิ่งใดที่ไม่รู้ไม่เห็น เธอจะไม่พูด เรื่องของคุณพ่อดิฉันเธอก็ไม่รู่ว่าจะต้องทำบุญแบบไหนวิญญาณถึงจะได้รับ เธอจึงไม่ได้แนะนำแต่อย่างใด ดิฉันสงสารคุณพ่อมากแต่ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี
    วันหนึ่งดิฉันได้ไปถวายอาหารเพลพระที่วัดพระพิเรนทร์ อยู่วรจักร์ จึงได้เล่าเรื่องของคุณพ่อที่ประสบมา โดยสื่อผ่านทางคุณวารุณีให้พระท่านฟัง และขอความเห็นพร้อมกับขอคำแนะนำว่า จะทำบุญอะไรอย่างไรให้คุณพ่อดี ถึงจะได้ประโยชน์ถูกต้องให้คุณพ่อได้รับแบบเต็มๆ
    พระที่ให้คำปรึกษาท่านชื่อ พระคำนวณ ท่านได้ให้คำแนะนำว่าให้ถวายหีบพระธรรม พร้อมหนังสือพระธรรม ที่ใช้ในการสวดพระอภิธรรมศพ ให้ถวายให้ครบชุด เช่น หีบพระธรรม หนังสือพระธรรม กระถางธูป เชิงเทียน แจกันดอกไม้ พร้อมทั้งของตั้งรอง ดิฉันได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับพี่สาวและพี่น้องทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนพร้อมกันเต็มใจที่จะทำบุญให้คุณพ่อร่วมกัน เราได้จัดซื้อชุดสำหรับสวดพระอภิธรรมทั้งหมด รวมถึงตาลปัตร อาสนะ นำไปถวายที่วัดลาดปลาดุก ทุกคนได้ตั้งใจอุทิศกุศลผลบุญในครั้งนี้ให้กับคุณพ่อของเรา คือ นายสด จันทพัฒน์
    หลังจากทำบุญตามที่พระคำนวณแนะนำอุทิศให้คุณพ่อแล้ว ดิฉันได้พบกับคุณวารุณีอีก เธอก็เฉยๆ ไม่พูดว่าอะไรเรื่องคุณพ่อเลย ดิฉันก็รอว่าเมื่อไหร่เธอจะสัมผัสเห็น แล้วบอกกับดิฉันเสียที ดิฉันพึ่งจะมารู้ความจริงจากเพื่อนๆ ที่ใกล้ชิดเธอว่า เธอเป็นคนไม่ค่อยจดจำอะไรหรือเรื่องของใครเลย เธอเห็นเรื่องอะไรของคนอื่นพอพูดคุยกันแล้วหรือจบเรื่อง เธอก็จะลืมเรื่องที่พูดคุยกันกับใครๆ ในเวลาอันรวดเร็ว ทุกเรื่องทุกอย่างเจ้าของเรื่องต้องจดจำเอาเอง และเมื่อเหตุการณ์มาถึง เราคือคนที่จะต้องเป็นฝ่ายทบทวนความทรงจำของเธอให้นึกถึงเรื่องต่างๆ ที่เคยสัมผัสว่าเรื่องมีอะไรบ้าง เธอถึงจะจำได้บ้างแต่ไม่มากนัก
    พอดิฉันรู้ว่าที่ไม่พูดเพราะเธอไม่จดจำและลืมไปหมดแล้วนั่นเอง ดิฉันอดทนความอยากรู้ไม่ได้ จึงได้เป็นฝ่ายเอ่ยถามคุณวารุณีว่า ช่วยดูหรือติดต่อคุณพ่อให้หน่อยได้ไหมว่าเป็นอย่างไงบ้างตอนนี้ เธอก็ไม่ว่าอะไรหลับตาทำสมาธิชั่วอึดใจ แบบไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไร จากนั้นก็ลืมตาและบอกกับดิฉันว่า วิญญาณดวงนั้นพ้นจากความทุกข์ในความมืด ลอยขึ้นไปและมีแสงสว่างนวลรอบๆ ตัว ดวงหน้ายิ้มแย้ม แสดงว่าเปลี่ยนภพภูมิดีขึ้นกว่าเก่าแล้ว
    เรื่องของดิฉันที่ได้ประสบมา ทำให้ดิฉันได้รู้ว่าคนเรานั้นเมื่อตายไปวิญญาณยังคงต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต่างกับโลกของมนุษย์ การตายไปไม่ได้สาปสูญไปแบบที่ดิฉันเคยเข้าใจ แต่ตรงกันข้าม ความตายคือการปิดโอกาสให้ผู้คนมีโอกาสเลือกทำในสิ่งที่ตนเองต้องเลือก ซึ่งมีแค่สองสิ่งเท่านั้น คือ เลือกทำดีหรือทำชั่ว อย่างที่คุณวารุณีได้บอกกับดิฉันว่า กระแสบุญหรือกระแสบาปเป็นผู้นำทางดวงจิต เมื่อละสังขารจากกายมนุษย์ แล้ว ไม่มีอำนาจใดๆ ยับยั้งกระแสบุญกระแสบาปทั้งสองนี้ได้ นอกจากผู้บำเพ็ญจิตเข้าสู่พระนิพพาน ดิฉันคิดว่าช่วงสุดท้ายของชีวิต บุญเท่านั้นที่ดิฉันเลือกที่จะสะสมเอาไว้เพื่อเป็นกระแสนำทางให้กับชีวิตหลังความตาย
    สำหรับเรื่องของคุณพ่อ ดิฉันต้องขอขอบคุณ คุณวารุณี เป็นอย่างสูงอีกครั้ง ที่ได้ช่วยเป็นสื่อติดต่อวิญญาณคุณพ่อ ทำให้ดิฉันได้ทำบุญในสิ่งที่ถูกต้องและอุทิศบุญกุศลจนคุณพ่อได้รับ กราบนมัสการ ท่านพระคำนวณ พระสงฆ์ที่ดิฉันนับถือมาก ที่ได้ชี้แนะให้ดิฉันและพี่น้องช่วยวิญญาณคุณพ่อในครั้งนี้และทุกคนก็อิ่มบุญไปด้วยกัน สิ่งที่ประสบมาและเล่าสู่กันฟัง ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่เกิดกับดิฉันและพี่น้อง ดิฉันยอมรับว่าเชื่อเต็มหัวใจ แต่ก็ไม่อาจให้ท่านผู้อ่านหรือใครต้องเชื่อตาม เพียงแต่เป็นการเล่าสู่กันฟังแค่นั้น และเป็นการเตือนว่าอย่าประมาท ความทุกข์ทรมานหลังความตาย ไม่เคยปราณีใคร.



    ศรีแข จันทพัฒน์
    ผู้เล่าให้ฟัง
    จาก หนังสือมิติซ้อนมิติเล่ม1
    ได้รับอนุญาตจากเพจ http://www.facebook.com/varunee.sawasdeepak
     
  7. lowprofile

    lowprofile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,391
    ค่าพลัง:
    +6,023
    เร่งทำกุศลกันมากๆๆนะครับ
    เวลาและโอกาสจะหมดไม่ใดไม่ทราบได้
    ผมอ่านแล้วยากที่จะเชื่อ แต่ก้อคงเป็น ปัจตัง คือรุ้ได้เฉพาะตน
    แต่ที่เชื่อคือ ทำดี ไว้ แม้ชาติหน้าไม่มีจริง ก้อไม่เสียชาติเกิดเป็นมนุษย์?ครับ
     
  8. samaice

    samaice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +1,018
    ทำไมดิฉันรู้สึกว่าตัวเองขี้เกียจจังค่ะ แก้ไขอย่างไรดี
     
  9. kitkun

    kitkun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +579
    หลวงปู่ดู่ท่านสอนไว้ว่า ขยันก็นั่ง..ขี้เกียจก็นั่ง
    ปฎิบัติฯจนติดเป็นนิสัย เพราะเมื่อถึงเวลาจิตจะบอกเราเองว่า..ได้เวลานั่งแล้วทำเสีย จนต่อมาคุณจะรู้ด้วยตัวเองว่า..ไม่อยากหยุด(นั่ง,ปฎบัติฯ)แม้แต่วันเดียว เพราะ..เสียดายเวลาๆเหลือน้อยลงทุกที
    หลวงปู่ดู่ยังกล่าว(สอน)อีกว่า บุญเป็นของพึ่งได้ บุญที่เกิดจากการนั่ง(ขี้เกียจบ้าง,ขยันบ้าง)นี่แหล่ะยามตกทุกข์ได้ยาก..หนักเป็นเบา..เบาเป็นไม่มี..หากแก้ไม่ได้ด้วยตัวเองบุญก็จะนำพาเราให้ได้พบคนที่มีบารมีที่จะช่วยเราได้..ที่สุดจะเกิดปัญญาค่ะ ทำไปเถอะ อนุโมทนาค่ะ
     
  10. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ลักษมี จันทรตรา ...ขอถามคุณวารุนีหน่อยค่ะคนเราสามารถมีอะไรทางจิตได้หรือค่ะช่วยตอบหน่อยค่ะ
    คำตอบเหล่านี้อาจารย์ไม่ตอบคำถามทางเฟสแล้วแต่เปิ้ลเอาคำถามเหล่านี้ไปถามอาจารย์ท่านตอบมาเปิ้ลมา เลยจำมาเล่าให้ฟัง อาจจะไม่ละเอียดละออลึกซึ้งเท่าที่อาจารย์พูดก็ขออภัยด้วย
    ....เปิ้ลอ่านแล้วไปถามท่านว่าคนเราทำอะไรทางจิตได้หรือ
    ....ท่านตอบว่าแค่กสิณสิบก็แสดงฤทธิ์เช่นทำให้ไฟลุก ทั้งน้ำ ทั้งลม พระอริยะบางท่านเหาะเหินเดินอากาศยังทำได้ ด้วยอำนาจจิตดวงเดียว ในความเป็นจริง จิตของคนเรานั้นไม่มีรูปร่าง มีแต่สังขารที่เรียกว่ารูป สีสรรก็ไม่มี สิ่งที่ทำให้มีคืออุปทานปรุงแต่งให้มีให้เป็น จิตทำอะไรก็ได้ถ้าฝึกจิตได้ดีแล้ว สามารถทำสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุด ในสามโลกได้คือ ตัดอาสวะตัดภพชาติเกิดได้จึงไปนิพพานได้ และนิพพานก็ไม่สามารถไปด้วยวิธีอื่นได้ จะไปได้ก็ที่จิตดวงเดียว ส่วนทางโลกบางเรื่องแค่คิดอะไรกิเลสก็ปรุงจิตแล้ว ไม่ว่าดีหรือชั่วถ้าเรามีสติ ทันเราก็หยุดมันทันก่อนคำพูดที่เกิดที่จิต จะหลุดออกจากปากก็จะจบแค่ที่จิตไม่ผ่านปากออกมา คำพูดก็ไม่มีขึ้นมา แต่ถ้าหยุดไม่ได้มันผ่านออกปากแล้วมันก็จะไปจนกว่าจะหมดเรื่อง หรือเหนื่อยมันจึงจะหยุดเอง ต่อจากนั้นก็จะส่งเรื่องต่อไปให้สังขาร สังขารจะลงมือทำต่อไป ดีหรือชั่ว ทุกอย่างก็เกิดจากจิตก่อนทั้งนั้น และทุกอย่างเริ่มจากกิเลสปรุงจิตที่วางเปล่า สัญญาอุปทานก่อตัวเรื่องราวจึงเกิดจากจิตดวงเดียวเช่นกัน แล้วคุณละว่าจิตสามารถทำและมีอะไรทางจิตได้ไหม แม้ในขณะหลับจิตที่ฝึกจนรู้ตื่นตลอดเวลา แม้ยามหลับ จิตก็ยังตื่นไม่ได้หลับไปตามสังขาร เมื่อจิตยังฝึกตื่นตลอดเวลาไม่ได้มันก็ไปด้วยกันกับความฝันแบบตามเรื่องตามราวที่เกิดกับจิตในขณะที่ฝันไป มีทั้งรัก ทั้งบู๊ ล้างผลาญครบทุกรส แต่ถ้าจิตฝึกตื่นแล้วจิตจะแยกออกจากสังขาร เวลามันจะฝันก็เป็นเรื่องของสังขาร เป็นไปแบบไม่มีสติตามเรื่องตามราวของมัน ส่วนสติที่ฝึกตื่นอยูตลอดก็จะเป็นเป็นฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ และเฝ้าดูความฝันของสังขารที่กำลังทำอะไรแบบโง่ๆและตลกๆ เมื่อใดที่ผู้ฝึกจิตจนตื่นอยู่ตลอดก็จะเข้าใจคำตอบได้ไม่ยาก แต่ผู้ที่ยังก็ยังมีคำถามว่า ทำไมๆๆ ไม่ใช่ๆๆ ไม่จริงๆๆ ผู้ตอบนิ่งเสียตำลึงทอง คำถามสองคำแต่ความหมายเชิงอธิบาย มันไม่ง่าย อาจารย์ทำให้ง่ายได้แค่นี้เข้าใจหรือเปล่าไม่รู้ แต่เชื่อเรื่องปัญญาของแต่ละคนไม่เท่ากันแล้วเชื่อว่ามีผู้ใฝ่ธรรมอีกมากที่เข้าใจคำตอบนี้ คำถามนี้เมื่อเปิ้ลนำมาถามเพราะเขาเองก็อยากรู้ ทั้งๆที่หยุดตอบทางเฟสแล้วก็ยังมีคำถามมา จะไม่ตอบก็เป็นเรื่องของธรรมด้วยจึงต้องตอบเปิ้ลกับเจ้าของคำถาม แล้วสั่งไว้ว่า อย่ารับคำถามผ่านเฟสมาถามอีกมันจบแล้ว เราพอแล้ว
    อธิบายสติฝึกแล้วตื่นตลอด สังขารที่ไม่มีสติเวลาหลับความฝันก็จะไปกับสังขารความฝัน ส่วนสติที่ถูกฝึกให้รู้ตื่นตลอดก็จะเฝ้าดูสังขารความฝัน แล้ววิพากษ์วิจารณ์ความฝันที่ไม่มีสติคือ สมมุติว่าสังขารในความฝันๆ ตัวเจ้าของความฝัน กำลังเดินไปที่ต้นไม้ ตัวสติที่รู้ตื่นก็มองเห็นสังขารเดินไปที่ต้นไม้ก็จะสงสัยว่าเดินไปทำไม พอเดินไปถึงต้นไม้ ตัวสังขารที่ไม่มีสติมันจึงคิดไม่เป็นมันก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ตัวสติที่ตื่นก็สงสัยว่ามันปีนต้นไม้ทำไม พอปีนถึงกิ่งก็คลานไปหาปลายกิ่งแบบไม่ได้มีสติคิดว่าปลายยอดไม้กิ่งมันอ่อนแล้วจะหักทำให้ตกลงไปตายได้ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะสังขารที่ไม่มีสติระลึกรู้เหมือนปกติยามตื่น ส่วนสติที่ฝึกให้รู้ตื่นแม้ยามหลับ ก็จะนึกคิดพิจารณาเมื่อมองเห็นสังขารไม่มีสติยามฝันไปว่าขึ้นต้นไม้ว่า ปีนไปทำไมที่ปลายยอดเดี๋ยวตกลงมาตายหรอก นี่แหละที่เขาเรียกว่ากายหลับ แต่สติกับจิตไม่หลับที่เขาเรียกทางธรรมว่าสติตื่นจิตตื่น หรือหลับในตื่น เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เคยอ่านเจอ เรื่องหนึ่งมานานจนจำไม่ได้แล้วว่าใช่หลวงปูแหวนหรือเปล่า มีคนถามท่านว่า หลวงปู่ครับพระอรหันต์ยังฝันอยู่อีกไหมครับ หลวงปู่ตอบว่า สังขารมันก็ฝันไปตามเรื่องตามราวของมัน ก็สงสัยว่ามันเป็นยังไงนะ เมื่อฝึกสติรู้ตื่นตลอดเวลาได้จึงเข้าใจคำตอบของหลวงปู่ว่า อ๋อมันเป็นอย่างนี้นี้เอง...แล้วคุณละตื่นในขณะสังขารหลับกันบ้างแล้วหรือยัง.

    จากเพจ http://www.facebook.com/varunee.sawasdeepak
     

แชร์หน้านี้

Loading...