เรื่องเหล้าเช้านี้..กาแฟอยู่ทางขวา.สู.รา..อยูทางซ้าย..คุยได้ทุกเรื่องไม่เสียตังค์...

เกิดความสงสัยเลยตามไปดูให้หายคาใจ เลยไปเห็นข้อความนี้มา

"และแถมอีกนิดนะห้องนี้เป็นห้องไว้แลกเปลี่ยนข้อมูล
วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลังครับ
ไม่ใช่ห้องถามตอบพระเครื่องครับโปรดเข้าใจซ๊ะใหม่"

โอ้ว์.........แสดงว่าเราเข้าใจเจตนาของห้องนี้ผิดหรือนี่ ทุกทีก็เห็นจั่วหัวว่า
ดีหรือไม่ เป็นอย่างไร เก๊หรือแท้ ฝากพิจารณา ช่วยดูที ฯลฯ
แต่ตะแกกลับบอกว่า "ไม่ใช่ห้องถามตอบพระเครื่อง"
หุ ๆ ๆ มีคนตีความให้แล้ว ประมาณว่าพวกเอ็งดูเฉย ๆ ห้ามตอบ 555

 

ผมก็เข้าไปดูเหมือนครับ ก็แปลกใจเหมือนกันทำไมเจ้าของกระทู้พิมพ์มาซะยาวเชียว ขออนุญาติพี่ๆๆนะครับผมน้องไหม่เพิ่งเข้ามากระทู้นี้ ปกติก็ตื่นตีสามครึ่ง นะครับขออนุญาติมาจิปน้ำชากาแฟตอนเช้าด้วยคนนะครับ ( แต่กระผมจะวังเวงหน่อยเพราะคนกำลังนอน)

 

อาจารย์ทั้งสอง เจอ...! เข้าอีกแล้ว
ปล่อยให้เขาปลีกวิเวก เข้าป่าไปเถอะครับ
ช่วงหลังๆ ทำไมคนพวกนี้เยอะจัง ไม่รู้

 

สวัสดีตอนเช้าครับ พี่ๆ ทุกท่าน
ขอให้บุญรักษาให้ทุกคนมีแต่ความสุขครับ

 

คนแก่เยอะ ห้องนี้ มีแต่คนขี้บ่น เหมือนตาไชปังจู้ บ่นได้ยาวเหยียดเป็นหน้าๆ ไป บีวา ฮูหยินโน่น รุ่นโบราณน่ะจ้ะ ชื่อที่ว่า น่ะ รสนิยมมันฟ้องน่ะตัว

เอาพระหลวงพ่อทวดมาดูต่อดีกว่า ...แหะๆ ตามไปดู

 

เห็นมีการคุยกันเรื่อง หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค จังหวัดนครสวรรค์
องค์นี้ผมศรัทธามาก เคยมีเหรียญรุ่นแรกผ่านมาเหมือนกัน
แต่สภาพไม่สวย แถมแพงด้วย ก็เลยขอผ่านครับ

หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค จังหวัดนครสวรรค์
เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2427 อำเภอมหาราช จังหวัดอยุธยา มรณภาพเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2518 สิริอายุ 90 ปี 71 พรรษา หลังจากมรณภาพแล้วศพไม่เน่าเปื่อย สิ่งที่ปรากฏเป็นอัศจรรย์ต่อพุทธศาสนิกชน คือ เส้นผม เล็บ หนวดเคราของหลวงพ่อ งอกยาวขึ้นหลังจากที่หลวงพ่อมรณภาพไปแล้วอีก
หลวงพ่อพรหมเริ่มศึกษาวิชาไสยศาสตร์และคาถาอาคมกับอาจารย์ที่เป็นฆราวาส ชื่ออาจารย์พ่วง ต่อมาเมื่ออุปสมบทแล้วจึงได้ศึกษาอสุภกรรมฐาน สมถะกรรมฐาน วิปัสสนา จากหลวงพ่อดำ ต่อมา อาจารย์พ่วง ได้พาไปฝากอาจารย์ปู่วอน จากนั้นหลวงพ่อพรหม ก็ไม่ได้ไปศึกษากับอาจารย์ท่านใดโดยตรงมีแต่ศึกษาแลกเปลี่ยนวิชากับอาจารย์รุ่นพี่และรุ่นเดียวกันในระหว่างธุดงค์ เช่น หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ เป็นต้น
หลวงพ่อพรหมเป็นพระที่ชอบเดินธุดงค์ โดยหลวงพ่อเคยเดินธุดงค์ไปประเทศพม่าถึงเมืองย่างกุ้ง และได้มีโอกาสที่มนัสการพระเจดีย์ชะเวดากอง และเดินธุดงค์ผ่านทางด่านเจดีย์สามองค์ ผ่านเทือกเขาน้อยใหญ่ และธุดงค์อยู่ในประเทศพม่าเป็นเวลานาน จึงเดินทางกลับประเทศไทยทางด่านแม่ละเมา จ.ตาก และเดินเรื่อยๆไปจนถึงเขาช่องแค ต.พรหมนิมิตร อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เกิดฝนตกหนัก หลวงพ่อได้หลบเข้าไปอยู่ในถ้ำซึ่งเป็นถ้ำเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลวงพ่อเห็นว่าเป็นที่วิเวกเหมาะแก่การบำเพ็ญธรรม ต่อมาชาวบ้านในแถวนั้นซึ่งมีความนับถือเลื่อมใสหลวงพ่อได้นิมนต์ให้หลวงพ่อลงมาจำพรรษาข้างล่าง คือวัดช่องแคในปัจจุบัน หลวงพ่อพรหมจึงเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดช่องแค หลวงพ่อพรหมได้เริ่มต้นสร้างวัดจากวัดที่รกร้างไม่มีเสนาสนะใดๆ มาเป็นวัดที่มีกุฏิ ศาลาการเปรียญ โรงครัว จากการขายสมบัติส่วนตัวและมรดกของหลวงพ่อเอง รวมทั้งชาวบ้านที่ศรัทธาบริจาคที่ดินเพิ่ม>>
หลวงพ่อพรหม ชอบระฆัง การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อจึงมีรูประฆังและกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหลวงพ่อพรหม ทั้งนี้ เนื่องจากหลวงพ่อประทับใจในระฆังใบใหญ่ที่หมุนรอบตนเองได้ ซึ่งพบเมื่อครั้งธุดงค์ไปประเทศพม่า หลวงพ่อเคยคิดสร้างระฆังใบใหญ่ จึงได้รวบรวมโลหะหลายชนิดเช่น ถาดทองเหลือง เครื่องเงิน ทัพพี ขันลงหิน รวมทั้งทองคำก้อนโบราณที่ชาวบ้านขุดพบ (ทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ สันนิษฐานว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระโบราณ) แต่เนื่องจากโลหะแต่ละชนิดมีจุดหลอมเหลวไม่เท่ากัน จึงไม่เป็นเนื้อเดียวกันนัก จึงไม่สามารถหล่อสำเร็จ จนต้องล้มเลิกและเก็บโลหะดังกล่าวไว้ในโรงโขน ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๖ คณะกรรมการวัดจึงขอนำไปทำวัตถุมงคล รุ่นเสาร์ห้า ปี ๒๕๑๖ อันเป็นที่มาของพระเนื้อทองระฆังอันลือลั่นและเป็นเอกลักษณ์ของท่าน

 

หลวงพ่อพรหมไม่เคยย้ายไปอยู่วัดใดเลยตลอดระยะเวลา 58 ปี โดยที่หลวงพ่อได้ลาออกจากเจ้าอาวาสเมื่อปี 2514 รวมเวลาที่เป็นเจ้าอาวาสวัดช่องแค 54 ปี เพื่อให้พระปลัดแบงค์ ธมมวโร เป็นเจ้าอาวาสสืบแทน

 

รูปเหมือนปั้มหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค นครสวรรค์ พิมพ์เข่ากว้าง หลังเตารีด เนื้อทองระฆัง พิธีเสาร์ห้า พ.ศ .๒๕๑๖(พระรุ่นนี้มีปริมาณการสร้างเพียง ๒,๐๐๐ องค์เท่านั้น)

การพิจารณาพระเนื้อทองระฆังนั้น ให้พิจารณาที่เนื้อพระก่อนเป็นสำคัญ โดยปกติ เนื่องจากพระมีส่วนผสมของโลหะหลายชนิด เมื่อส่องกล้องดูผิวจะไม่เรียบเนียน เนื่องจากโลหะไม่กินกันร้อยเปอร์เซ็นต์ทำให้ง่ายต่อการพิจารณา (หากเคยเห็นของแท้) จะแตกต่างจากพระเก๊ที่ทำจากทองเหลืองที่ผิวมันเรียบเนียนเหมือนแจกัน โดยปกติพระจะไม่เป็นสีเดียวกันทั้งองค์เพราะเป็นทองผสมโลหะต่างๆ จะมีเนื้อหลักสองประเภท คือ เนื้อแก่ระฆังเก่า (สีจะออกเหลืองเข้มอมน้ำตาล) และเนื้อแก่ทอง (สีจะออกเหลืองอ่อนกว่า มีน้ำทองกระจายบนผิวพระ)

เนื้อพระรุ่นนี้ค่อนข้างแข็งมาก ในกรรมวิธีการปั้ม จึงทำให้เกิดรอยรานบนผิวพระ (ให้ดูธรรมชาติของการราน) และมีพระจำนวนไม่น้อยที่ปีก รอบองค์หลวงพ่อมีรอยแตก องค์ที่แตกมากๆ ก็จะถูกตัดออก เป็นพิมพ์เข่ากว้างหลังเรียบแทน (ตัดชิดองค์หลวงพ่อ)

ตำหนิ – จะมีเนื้อเกินที่ตาข้างซ้าย, มีรอยพาดเล็กๆ กลางริมฝีปากบน, ยันต์บนสังฆาฏิ ปลายอักขระ “ตัวอุณาโลม” ตัวซ้ายมือสุดของหลวงพ่อ มีเส้นขนานคู่กันในแนวตั้ง และปลายหางอักขระ “ตัวภะ” ที่อยู่กลางตัวอุณาโลม มีเส้นเกินเป็นปากตะขาบ, คำว่า “หลวงพ่อพรหม” ในตัว “ว” จะมีขีดขวางในร่องเส้น และไม้เอกจะมีลักษณะกลม

ข้อสังเกต พระหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค คือ ก่อน พ.ศ. ๒๕๑๖ หลังวัตถุมงคลของท่านจะใช้ยันต์นวะหรคุณ ๙ มาโดยตลอด (อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ) เน้นคงกระพัน มหาอุด เป็นหลัก แต่หลังปีดังกล่าว ท่านเปลี่ยนมาใช้ ยันต์พุทธคุณนาม ๑๐ เติม อะ ลงไปอีกหนึ่งตัว (อะ สัง วิ สุ โล อะ ปุ สะ พุ ภะ) ซึ่งหลวงพ่อพูดว่า “ข้าลงให้หมดทุกอย่าง มหาอุด ยิงไม่ออก คงกระพัน ฟันไม่เข้า เมตตามหานิยม ซื้อง่ายขายคล่อง ลงไม่ได้อยู่อย่างเดียวคือ ........ กันคนอิจฉาริษยาไม่ได้ เพราะไม่มีคาถาห้ามปากคน”

 

ความเป็นมาของเนื้อทองระฆัง

ทองระฆังเป็นเนื้อโลหะหลายชนิดผสมกัน
มีขันลงหิน ถาด เข็ดขัดนาค เงิน ช้อนส้อม
และทองคำโบราณน้ำหนักหลายกิโลกรัม
(ทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ 50-60%)
ซึ่งเชื่อว่าเป็นส่วนประกอบของพระโบราณ
เป็นโลหะอาถรรพ์ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์
ความเข้มขลังอยู่เดิมในตัวเอง
จึงไม่ได้หลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียว
เดิมวัตถุประสงค์ของโลหะชนิดนี้ คือ
หลวงพ่อต้องการนำมาหล่อเป็นระฆังใบใหญ่
มีการปลุกเสกหลายครั้งก่อนจะนำไปหลอมรวมกัน
เพื่อหล่อ แต่ระฆังหล่อไม่สำเร็จ จึงเก็บเอาไว้
จนลูกศิษย์ขอนำมาทำวัตถุมงคล

 

รูปเหมือนปั้ม พิมพ์เข่ากว้าง หลังเตารีด เนื้อทองระฆัง



เนื้อพระรุ่นนี้ค่อนข้างแข็งมาก ในกรรมวิธีการปั้ม จึงทำให้เกิดรอยรานบนผิวพระ (ให้ดูธรรมชาติของการราน) และมีพระจำนวนไม่น้อยที่ปีก รอบองค์หลวงพ่อมีรอยแตก องค์ที่แตกมากๆ ก็จะถูกตัดออก เป็นพิมพ์เข่ากว้างหลังเรียบแทน (ตัดชิดองค์หลวงพ่อ)

ตำหนิ – จะมีเนื้อเกินที่ตาข้างซ้าย, มีรอยพาดเล็กๆ กลางริมฝีปากบน, ยันต์บนสังฆาฏิ ปลายอักขระ “ตัวอุณาโลม” ตัวซ้ายมือสุดของหลวงพ่อ มีเส้นขนานคู่กันในแนวตั้ง และปลายหางอักขระ “ตัวภะ” ที่อยู่กลางตัวอุณาโลม มีเส้นเกินเป็นปากตะขาบ, คำว่า “หลวงพ่อพรหม” ในตัว “ว” จะมีขีดขวางในร่องเส้น และไม้เอกจะมีลักษณะกลม

ปล. ตำหนิที่ให้ไว้ พระเก๊มีครบแล้วครับ
อยากให้ฝึกดูเนื้อทองระฆังและธรรมชาติจะดีกว่า

 

สมเด็จหลังเรียบ เนื้อทองระฆัง

 

ข้อสังเกตุความแตกต่างระหว่างสมเด็จทองระฆังหลังเรียบ
กับหลังยันต์สิบ

ข้อสังเกตุที่สำคัญประการหนึ่ง คือ แม้พระจะเป็นพระปั้มเหมือนกัน
ใช้เลื่อยตัดขอบเหมือนกัน แต่ด้านข้่างของพระสองรุ่นนี้จะต่างกัน
ด้านข้างหลังยันต์สิบจะมีการแต่งตะไบละเอียดเรียบร้อย
ในขณะที่หลังเรียบ ข้างจะปรากฏรอยฟันเลื่อยชัดเจน
หากข้างเป็นรอยตัวตัดเหมือนเหรียญ เก๊ทันทีเลยครับ




องค์ซ้ายเป็นพิมพ์หลังเรียบ
องค์ขวาเป็นพิมพ์หลังยันต์สิบ

 

สมเด็จทองระฆังหลังยันต์สิบ
หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค

 

อาถรรพ์และความศักดิ์สิทธิ์ของเนื้อทองระฆัง

อาถรรพ์เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเริ่มสร้่าง
เมื่อจัดทำบล็อกแม่พิมพ์เสร็จ
เริ่มพิมพ์พระเนื้อทองระฆัง
ปรากฏว่า บล็อกแม่พิมพ์แตก
เสียหายไปหลายตัว ไม่สามารถทำได้สำเร็จ
จนนายช่างต้องขึ้นไปกราบขออนุญาต
หลวงพ่อพรหมด้วยตนเอง
และหลวงพ่อทำพิธีครอบครูให้
พร้อมกับการเสกบล็อกแม่พิมพ์พระด้วย
ท่านให้พรว่า "งานนี้สำเร็จ ไม่มีปัญหา"
พอนายช่างกลับมาปั้มพระที่กรุงเทพ
พระทั้งหมดเสร็จทันเวลา ไม่มีปัญหาอุปสรรค
ช่างคนนั้น จึงศรัทธาในหลวงพ่อมาก
และบอกว่าเขาจะไม่รับทำของเก๊เป็นอันขาด
"ของแท้มีอาถรรพ์ขนาดนี้ ขืนทำเก๊มาหวังแย่แน่"

จะเห็นได้ว่าพระชุดเนื้อทองระฆัง
ทำไมจึงศักดิ์สิทธิ์และประสบการณ์สูง
เพราะองค์ประกอบหลายอย่างครับ
ทองคำโบราณ หลวงพ่อปลุกเสกเนื้อระฆัง
ปลุกเสกบล็อคแม่พิมพ์ นายช่างผ่านพิธีครอบครู
แล้วยังนำมาปลุกเสกในวันเสาร์ห้าอีก
เป็นพระชุดที่น่าจะหามาบูชาอย่างยิ่งครับ

 

ธรรมชาติของเนื้อทองระฆัง

พระของหลวงพ่อพรหมที่ดูง่ายที่สุดก็คือชุดเนื้อทองระฆัง
เคยเห็นพระเก๊มาไม่น้อยครับ ตำหนิครบทุกอย่าง
(เนื้อเกินใต้ฐาน รอยราน การตัดขอบด้วยเลื่อย)
แต่ไม่สามารถทำให้เนื้อเหมือนพระชุดนี้ได้

พระเนื้อทองระฆังทุกองค์ที่ถูกปั้ม
จะปรากฏรอยรานตื้นๆ ในลักษณะเหมือนๆกัน ทุกองค์
ตามพิมพ์ของพระประเภทนั้นๆ
บางองค์จะปรากฏรอยแตกจากการปั้ม
เพราะเนื้อทองระฆังแท้จะแข็งมาก โลหะไม่ค่อยเหนียว
เป็นเหตุให้มีพระสมเด็จเนื้อทองระฆังพิมพ์แปลกๆ
เช่นใบหอก ใบเสมา เนื่องจากพระที่ปั้มออกมาแล้ว
ปีกรอบๆ แตกมาก ก็นำมาตัดเป็นรูปแบบต่างๆ
เท่าที่จะสามารถทำได้ พิมพ์แปลกเหล่านั้น
จึงมีปริมาณน้อยและหายากมาก

เวลาลงกล้องส่องพระเนื้อทองระฆัง
เนื้อจะต้องไม่เรียบ ส่องแล้วจะเห็น
รอยพรุนบางเป็นบางจุด
บางคนบอกว่าเหมือนผิวส้ม
บางคนบอกว่าเนื้อเป็นเกล็ดกระดี่
เนื่องจากโลหะหลายชนิดที่มีจุดหลอมเหลวต่างกัน
ทำให้กระบวนการหลอมให้ขณะนั้น
ไม่สามารถหลอมโลหะทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียวกันร้อยเปอร์เซ็นต์ได

ถ้าเนื้อพระเรียบ เนียน และเงางามมากๆ
ต้องถอยให้ห่างครับ เพราะเป็นทองเหลือง
หรือโลหะผสมประเภทอื่นแน่นอน
ตี "เก๊". ได้ทันทีครับ

 

ความแตกต่างด้านพิมพ์ทรงระหว่างสมเด็จหลังยันต์สิบ/สมเด็จหลังเรียบ

แม้สมเด็จหลังเรียบและหลังยันต์สิบ
จะสร้างด้วยเนื้อทองระฆังเหมือนกัน
สร้างพร้อมกัน พิธีเดียวกัน
แต่ก็ใช้บล็อคแม่พิมพ์ด้านหน้าคนละตัว
องค์ซ้ายเป็นหลังเรียบ องค์ขวาเป็นหลังยันต์สิบ



ข้อสังเกตุง่ายๆ ในจุดต่างๆ ดังนี้
1. ฐานชั้นล่างสุดเป็นฐานเต็ม ในขณะที่ยันต์สิบเป็นฐานร่อง
2. ช่วงระหว่างพระศอกับลำตัวตัวไม่เป็นเส้นชัดเจน
ในขณะที่ยันต์สิบ พระศอเป็นเส้นตรงชัดเจน
3. ช่วงของพระเกศ ทั้งสมเด็จหลังเรียบและหลังยันต์สิบ
ปลายเกศจะเอียงไปทางซ้ายมือขององค์พระเหมือนกัน
ลักษณะของเกศสมเด็จหลังเรียบจะเรียวเล็ก
ในขณะที่หลังยันต์สิบ พระเกศจะเป็นป่องช่วงที่ติดกับพระเศียร
แล้วค่อยเรียวเล็กลง

 

ลองพิจารณายันต์สิบที่หลังสมเด็จทองระฆัง
เปรียบเทียบกับยันต์ต์เก้าด้านหลัง
เหรียญระฆัง สช. พ.ศ. 2513 ดูสิครับ
ยันต์แบบนี้คือแบบที่ใช้มาตลอด
จนถึงเหรียญแจกทาน พ.ศ. 2515 เลยนะครับ

 

เหรียญระฆัง สช สั้น องค์ที่ 2
หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค นครสวรรค์

 

เหรียญระฆัง สช ยาว
หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค

 

ไม่มีปัญหาครับพี่ท่าน ร่วมสนุกกันไปครับ ขอบพระคุณท่านพี่อีกหลายๆท่านร่วงหน้าครับสำหรับความรู้ใหม่ที่จะมอบให้มาอีกเรื่อยๆครับ ด้วยรักและเคารพครับท่าน.....