ข้อความจากต่างมิติ - "การออกแบบมนุษย์" ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากครายออน

สวดยอดมากกกกกกก

อ่านวนไป วนมาประมาณ 3 รอบ ถึงพอจะเข้าใจ

ขอบคุณอาชยุต ป้าเดรด พี่เม็ด และทุกท่านๆที่มาให้ความรู้, แชร์ความคิด, ความเห็น ในหลายๆด้าน ขอบคุณมากๆ จากหัวใจครับ

เหมือนมีคนมาเติมน้ำของผมให้เต็มแก้วเลยครับ เพราะบางอย่างสงสัยมานานแล้ว ไม่รู้จะถามใคร บางทีผมไปถามพระ ก็ได้คำตอบแบบที่ผมไม่เข้าใจ หาจากหลายๆที่แต่ก็ได้คำตอบแบบที่ไม่ตรงใจครับ

ได้จากที่นี่ตรงกับใจมากครับ


สุดท้ายลองมาทบทวน นั่งคิด ในแบบของตัวเองแล้ว การที่จะค้นพบ สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของตัวเองนั้น คงต้องใช้ใจตัวเอง ฝึกฝนเอง สัมผัสด้วยใจของตัวเอง

ถึงแม้จะถามผู้ที่รู้ที่เข้าใจ แต่ก็ได้คำตอบในระดับหนึ่ง จินตนาการตามได้ในระดับหนึ่ง

คงจะเหมือนตอนที่ ก่อนจะไปเที่ยวดอยในภาคเหนือ
ก่อนไปก็ถามคนที่ไปเที่ยวมาแล้ว ว่าเป็นอย่างไร อากาศเป็นอย่างไร สวยมั้ย

ใจตัวเองคิดไปอีกแบบ พอไปเจอจริง มันคนละเรื่องเลย

ในแบบนี้คงจะประมาณเดียวกันละมั้งครับ



สุดท้าย ขอถาม
how to ครับ how to

หนทางที่จะำไป ต้องทำอย่างไรครับ เพราะคิดว่าลำพังแค่อ่านทำความเข้าใจ มันคงจะไม่พอ

แล้วเราจะเลือกทางไหน ที่ถูกที่ตรงครับ เพราะทุกวันนี้มันมีหลากหลายแนวทางมากๆ


ยังไงก็ขอบคุณทุกๆคนมากนะครับ ที่มาเป็นเพื่อนคุยกัน


อยากฝากไว้หน่อยครับ ผมเองก็เข้ามาดูในพลังจิตเกือบทุกวัน
ข้อมูลในนี้ เยอะแยะมากมายครับ เลือกจำเลือกเอาแต่สิ่งที่ดีๆ ที่คิดว่าเป็นประโยชน์
บางครั้ง สิ่งที่คนอื่นเล่ามามันอาจจะไม่ตรงกับความจริง กับหลักฐานที่มันมีอยู่มากนัก

แต่บางครั้งในนั้นมันก็มีแนวคิดที่ดีๆ เป็นประโยชน์อยู่หลายอย่าง

ยังไงก็อย่าอคติกันมากครับ เปิดใจกว้างกันหน่อย ความคิด ความรู้สึกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็เลยแสดงออกไม่เหมือนกัน

เค้าคิดไม่เหมือนกับเรา ใช่ว่าเค้่าจะผิดครับ

เอาความคิดความเห็นของแต่ละคนมาแชร์มาคุย มาทำความเข้าใจกันดีกว่าครับ ผมว่ามันสนุกกว่าที่จะต้องมานั่งเถียงกันเยอะครับว่าใครถูกใครผิด


แตกต่างแต่ไม่แตกแยกนะคร๊าบบบ




ขอบคุณ พี่สุรามากนะครับ กดส่งไปแล้ว กลับมาอ่านเพิ่งจะเจอ

ขอบคุณครับ

 

ขอบคุณ คุณ sura ครับ รูปภาพเปรียบเทียบ อธิบายได้เห็นชัดเลยครับ
ผงเหล็กแต่ละส่วน ถ้ามารวมๆกันเป็นปึกแผ่นเดียวกัน ย่อมมีพลังงานสูงกว่า
และเหนี่ยวนำ ให้ผงเหล็กแต่ละส่วน มีพลังงานสูงขึ้นตามมาด้วย
ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความเชื่อ พลังงานในรูปแบบต่างๆ

ยกตัวอย่างเช่น
การนั่งสมาธิรวมหมู่ collective conscious
ที่แต่ละคน มีแนวคิด ความเชื่อ เหมือนๆกัน ปฎิบัติในแนวเดียวกัน
เมื่อมาปฎิบัติร่วมกัน พลังงานรวมที่เกิดขึ้น จะเหนี่ยวนำให้แต่ละคน เข้าสมาธิได้เร็วขึ้น นั่นหมายถึง จะเหนี่ยวนำให้แต่ละคน สัมผัสกับความเงียบสงบ สัมผัสกับจิตเดิมแท้ๆ ได้เร็ว และนานขึ้น

แต่การจะรักษาความเงียบสงบได้ตลอดเวลาหรือไม่ ก็อยู่ที่ความขยันในการขจัดขยะพลังงานในใจออกเรื่อยๆ และไม่ให้ที่มีอยู่แล้วรั่วไหลออกไปเรื่อยๆ

ละการเปรียบเทียบ ในความเห็นของผม

เห็นว่า ไม่ว่าเราจะคิด พูด ทำ สิ่งใดๆ ล้วนเกิดจากการเลือกเสรีตามแนวคิด ตามความเชื่อของตน ในแต่ละขณะของเรา

และเมื่อตัดสินใจเลือก เราต่างก็มีความรับผิดชอบต่อผลของการเลือกนั้นๆทุกขณะ แม้เราเลือกที่จะไม่เลือก ก็เท่ากับเราเลือกแล้วอยู่ดี

ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต เกิดจากการตัดสินใจเลือกเสรี ในแต่ละบุคคล ตามแนวคิด ความเชื่อ ของแต่ละคน

มันจึงเปรียบเทียบกันไม่ได้จริงๆว่า ใครตัดสินใจได้ดีกว่ากัน หรือเลวกว่ากัน

 

"ยกตัวอย่างเช่น
การนั่งสมาธิรวมหมู่ collective conscious
ที่แต่ละคน มีแนวคิด ความเชื่อ เหมือนๆกัน ปฎิบัติในแนวเดียวกัน
เมื่อมาปฎิบัติร่วมกัน พลังงานรวมที่เกิดขึ้น จะเหนี่ยวนำให้แต่ละคน เข้าสมาธิได้เร็วขึ้น นั่นหมายถึง จะเหนี่ยวนำให้แต่ละคน สัมผัสกับความเงียบสงบ สัมผัสกับจิตเดิมแท้ๆ ได้เร็ว และนานขึ้น

แต่การจะรักษาความเงียบสงบได้ตลอดเวลาหรือไม่ ก็อยู่ที่ความขยันในการขจัดขยะพลังงานในใจออกเรื่อยๆ และไม่ให้ที่มีอยู่แล้วรั่วไหลออกไปเรื่อยๆ"


ถ้าเป็นอย่างที่น้า cosmiccell บอก

ฉะนั้นก็แสดงว่า การไปถือศีล ทำสมาธิที่วัด กับคนที่ไปเยอะๆ เราสามารถเข้าสมาธิได้ดีขึ้นซิครับ

ใช่หรือเปล่า

 

น้าก็น้า หลานพรมวิเศษ

วัด ป่าเขาลำเนาไพร และสถานที่ ที่ vibration ดีๆ จะช่วยได้เยอะหลานเอ๊ย

เรียกว่า เราเลือกสิ่งแวดล้อมที่ดี

สิ่งแวดล้อมไม่ได้หมายถึงสถานที่อย่างเดียว แต่หมายถึง แนวความคิด ความเชื่อต่างๆด้วย

แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะอยู่สิ่งแวดล้อมไหน ก็ต้องมีสติ สมาธิ ให้ได้อยู่เรื่อยๆนะหลาน :d

 

ขอมาขยายตรง "ความขยันในการขจัดขยะพลังงาน" นิดนุงนะจ๊ะ...

อย่าคิดว่า...พลังงานขยะ จะมีแต่ผลเสียนะจ๊ะ คุณพี่ MagicCarpet
เพราะถ้าไม่มีมัน เราก็หมดโอกาสในการฝึกฝนและพัฒนานะตัวเธอวววว์...*-*

อีกวิธีหนึ่งที่เป็นไปได้และทำได้ก็คือ การ Transduce พลังงาน..

วิธีนี้เราไม่จำเป็นต้องขจัด ผลักดัน หรือทิ้ง พลังงานขยะออกไป
แต่เราจะใช้...พลังงานต้นกำเนิดเดิมแท้จากภายใน ซึ่งเป็นพลังงานเริ่มแรก บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ และทรงอำนาจสูงสุด
มา transduce พลังงานขยะเหล่านั้น ให้เป็นพลังงานในรูปแบบที่เราต้องการ

จริงๆแล้ว มันไม่เชิงเป็น "การใช้" นะ เพราะลักษณะวิธีที่ว่า...จะเกิดอย่างเป็นธรรมชาติด้วยตัวเองแบบออโตเมติก....เก๋มะล่า ตะเองงง *-*

หรือแม้แต่การรักษาพลังงานที่ต้องการไว้ได้ไม่ให้รั่วไหลออกไป ก็เหมือนกัน...

ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ "สติ" มันเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่สุดเลย ก็ว่าได้

เพราะถ้าเราเรื่อยๆเปื่อยๆให้ทุกอย่างที่ไหลเวียนเข้าออกตัวเราเป็นไปตามยถากรรม
ทุกอย่างจะอยู่ในภาวะที่คล้ายกับ "เป็นไปตามฟังก์ชั่นธรรมดา แบบไร้การควบคุม"

ดังนั้นถ้าเรามี "สติ" ยิ่งเต็มเปี่ยมเท่าไหร่ การควบคุมของเราจะสัมฤทธิ์ผลมากขึ้นเท่านั้น

วิธีนี้ อาจฟังดูแปลกสำหรับคุณพี่ก็ได้นะคะ...*-*

เคยมี คุณป้าแถวๆนี้แหล่ะ...แซวว่า หนูชอบทำตัวเป็นหม้อแปลงไฟฟ้า...แรงสูง(รึเปล่า 0.0)5555+

โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า...
เมื่อเราสามารถสัมผัสได้ถึงแหล่งพลังงานต้นกำเนิดในตัวเองได้อย่างแท้จริง เราจะรู้สึกประมาณว่า...
"การมีอำนาจจากแหล่งต้นกำเนิดที่แท้จริง จะไม่ทำให้จิตสำนึกของเรากลายเป็นสิ่งชั่วร้าย...
แต่จะเป็นจิตสำนึกที่ส่งผลกระทบ "อย่างเหมาะสมและพอดี" ต่อสรรพสิ่งที่เป็นไป"...

...(ส่วนท้ายนี้ที่กล้ามาแชร์ เพราะคิดว่าคุณพี่ MagicCarpet มี discernment system ที่เริดแล้วนะ...อิอิ)

 

ขอบคุณน้า cosmiccell และเแม่นาง LadyOfLight มากๆครับ

อ่านแล้วได้อะไรกับผมเยอะมากเลย

ขอบคุณจ้า

 

www.Jitchakraval.com เว็ปไซต์เผยเเพร่องค์ความรู้จากองค์จิตจักรวาล โดย อ.ปริญญา ตันสกุล

 

ขออนุญาตดันกระทู้นี้หน่อยนะครับ
เผื่อใครที่ยังไม่เคยอ่าน จะได้อ่านก่อน
ก่อนที่ผมจะโพสต์กระทู้ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันนี้ตามมา

...........................................

 

มันจะเป็นไปได้จริงๆหรือ ที่พระเจ้าจะรู้จักชื่อของพวกคุณทุกๆคน?

พระเจ้ามีอยู่จริง มีอยู่ภายในใจของคนทุกคน เพราะ อยู่ในส่วนที่ลึกมากในใจของคนทุกคน อยู่ในสูญญตา หรือความว่างในใจของคนทุกคน เพราะในใจ หรือสูญญตาภายในใจของมนุษย์ทุกตน จะมีมิติที่ทับซ้อน หลากหลายมิติ เป็นชั้นๆ จะไปมิติใดก่ ซึ่งจะมีแกนกลาง มีลักษณะเป็น Hole หรือ คล้ายๆ กับ แกนกลางสนามแม่เหล็ก ตรงแกนกลางสนามแม่เหล็กนี่ล่ะคือ สูญญตา Hole ที่มีลำดับชั้นของมิติอยู่ ลำดับชั้นมิติของ พระผู้สร้าง พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้า ฯลฯ หรือจะไป มิติ ของผู้ใด ที่ เริ่มต้น จาก สูญญตา ก่ ต้องมองที่ความว่าง จากใจ เท่านั้น

มันเป็นแต่เพียงเรื่องลี้ลับและนามธรรมเท่านั้น?

เพราะระดับของนามธรรม เป็นเรื่องที่มิติมนุษย์ ไม่สามารถ เข้าถึงได้ แต่เมื่อสามารถเข้าถึงได้ เขาจะไม่เรียกว่า นามธรรม เพราะว่า มีตัวตนจริง ๆ สิ่งที่มนุษย์เรียกเป็นนามธรรม จึงเป็นรูปธรรมของ มิติในระดับสูง
เช่น ธรรมขันธ์ สิ่งนี้เป็นนามธรรมสำหรับ มนุษย์ แต่ในระดับโน้น ในมิติสูญญตา จะเป็นรูปธรรม จะมีผู้รักษา
มีผู้ควบคุมดูแลอยู่ มีหัวหน้า มีบริวาร

ก่ เหมือนกับ นิพพาน มีจริงหรือไม่ นิพพาน คือ ดินแดนหรือขอบเขตของการเริ่มต้น ของสูญญตาภายในใจเท่านั้น เทพซีรีอุส ยังประเสริฐ ยิ่งกว่า เพราะสภาวะของเทพซีรีอุส ขณะที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ เป็นสภาวะที่อยู่ในระดับสูงกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปในโลกจักรวาลชมพูทวีป อยู่แล้ว บารมีของเทพซีรีอุส เกิดจากการเสียสละประโยชน์ส่วนตัว เพื่อมวลมนุษย์ ไม่ได้เกิดจากบำเพ็ญ เพื่อเอาตัวเองให้รอด .... ดังนั้น บารมีของ เทพซีรีอุส ยิ่งกว่า ศรีอริย ที่ทุกๆ คนกล่าวถึงเสียอีก .... สภาวะของเทพซีรีอุส จึงอยู่ภายในสูญญตาในระดับลึกยิ่งกว่า ศรีอริย ....(คุณสมบัติของใจ เรียกว่า สมบัติของมโนธาตุ ที่เจริญงอกงาม)

คุณสมบัติของมโนธาตุ จะเจริญดี เมื่อ เราผ่านการอบรมตนเอง ผ่านการบำเพ็ญตนเองให้เป็นประโยชน์กับ มวลมนุษย์หรือไม่ การสร้างคุณประโยชน์มวลมนุษย์คือ การเสียสละตนเอง ให้มนุษย์สามารถดำรงอยู่เป็นปกติสุข หรือ สร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับมนุษย์เจริญงอกงาม สืบต่อไป

เพราะอะไร มนุษย์ คือแกนกลางการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่ง

มนุษย์ ถูกสร้าง ถูกกำหนด ให้เป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนของทุกสิ่ง

มนุษย์ ถูกสร้าง จากสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ และถูกมองเห็น

โดยผู้สร้าง โดยพระเจ้า โดยพระผู้เป็นเจ้า โดยผู้ที่อยู่ในสูญญตา

ใครบ้างล่ะที่อยู่ใน สูญญตา ของจริง ก่ สามารถ ถูกมองเห็นได้หมด

เพราะมนุษย์มี ลำดับมิติต่างๆ อยู่ภายในใจ ภายใจมโนธาตุ

ปรารถนารู้ ปรารถนาได้กลับคืน ก่ มองไปที่ใจ ของตน

มองรู้ที่ใจ คือ เข้าหา สูญญตา

ปรารถนาให้ตนเองเข้าลึกถึงใจ

ก่ มองที่การสร้างสรรค์ประโยชน์

แก่มวลมนุษย์ คือ การเอื้อเฝือ เกื้อกุล ต่อกัน

หากกระทำเพื่อให้ร้ายกัน แก่งแย่งกัน...... พลังงานลบเหล่านี้

ไม่ได้เข้าถึง ความว่างแน่นอน และผู้ใดที่รู้สึกว่างๆ (แต่การกระทำไม่มีศีล)

จึงเป็นเรื่องหลอก

เพราะ ไม่มีคุณสมบัติ .....

เพราะ ไม่มีดวงจิต .... ให้รับรู้ความรู้สึก รอการไปอบายภูมิ

เพียงอย่างเดียว

 

มนุษยฺ์ไม่รู้จัก ใจ

มนุษยฺจึงสร้างสิ่งแทนค่า จากใจ เรียกว่า สติ

เพราะมนุษย์ มีกายหยาบ เป็นศูนย์กลาง

และหลงไหลภาวะของ กายหยาบ

ทุกสิ่งล้วนมาจากใจ ใจดำ ใจขาว ใจบริสุทธิ์

อยากจะกลับคืน ก่ มองที่ใจ เท่านั้น

สติ แค่อุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอนเท่านั้น

ไม่ใช่ประเด็น

เพราะเมื่อรู้ใจ ก่ จะรู้อะไรถูก อะไรผิด เองโดยธรรมชาติ

เพราะ ส่วนลึกของใจ ที่เป็นใหญ่จริง คือ ความถูกต้อง

สมบูรณ์ ภายในอยู่แล้ว

ดังนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงปัญญา ปัญญา ก่ มาจากใจ

ปัญญา ก่ มาจากการแนะนำ การส่งคลื่นพลังงาน

จากแกนกลางของ สูญญตา ให้รับรู้ ให้มีความรู้ (ญาณ)

หากคิดว่า เมื่อสร้างสติแล้วเกิดปัญญา

และ ก่คิดว่า รู้ชอบด้วยตนเอง ก่ เหมือนกับสร้าง

ตัวตน เป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้รู้

แต่หารู้ไม่ว่า ยังเป็นความรู้อันน้อยนิด หากเทียบกับ

ผู้ดำรงอยู่ในมิติแห่งสูญญตาในระดับลึก

และไม่ต้องมากล่าว ว่า เป็นเรื่องอจินไตย

เพราะ สิ่งเหล่านี้ สิ่งที่กล่าว ไม่ใช่ ไม่ได้เกิดจากการตรึกนึกคิด

เพราะ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนสามารถทำได้ รับรู้ได้

เพราะ เป็นสิ่งที่อยู่ในมนุษย์ทุกตน

เพียงรับรู้ สิ่งที่มีภายในตนที่แท้

นั่น คือ ใจ เท่านั้น.....คือใบเบิกทางไปสู่สูญญตา

หรือความว่างที่แท้ ได้

ทำอย่างไรให้รู้ใจ ก่ ต้องทำตนเอง ให้นอบน้อม อย่างที่สุดให้ได้ก่อน

ไม่รู้จักการนอบน้อม ก่ ไม่รู้ใจ

ทำไม

 

ความรู้่ที่มนุษย์มีอยู่ และมนุษย์สามารถรู้ได้

มีที่มาของมัน (ความรู้)

เพราะมีผู้รักษา มีผู้ดูแล

แต่จะถูกหรือไม่ถูก ขึ้นอยู่กับว่า

ได้ทำความว่างได้เพียงใด

.... แล้วมาหลงไหลได้ปลื้ม

ว่า ตัวตน มีความรู้อย่างวิเศษ

นี่ล่ะ ปริศนา นกย่าง

 

ขอบคุณเนื้อหาจากข้อความทั้งหมดนะคะ พลังงานที่หมุนเวียน ได้อยู่ในข้อความและเนื้อหานี้ทั้งหมด

และขออธิบายเพิ่มเติม จากการที่เรานั่งอ่าน นะคะ
ถ้าเบื้องบนถูกแทนที่ด้วยคำว่าพระบิดาและจักรวาล และเบื้องล่างถูกแทนที่ด้วยไกอา และมนุษยืคือผู้ที่สัมผัสถึง ไกอาและพระบิดาพร้อมๆๆกันในเวลาเดียวกัน
และหากมนุษย์ ได้ปลดปล่อยความอิสระ ในคราบของกายเนื้อและจิตวิญญาณออกไปแบบไร้ขอบเขตแล้ว อาณาจักรทั้งสองก็เชื่อมกัน จนเป็นหนึ่งเดียวกัน

และการค้นพบ สิ่งต่างๆๆก้อยู่ที่ภายในมนุษย์นั่นเองค่ะ และเมื่อมันเต็มจนล้นออกมา มันก็จะแสดงทั้งหมดที่ภายนอกแบบเดียวกับภายใน และทั้งหมดรวมเรียกว่า สุญญญุตา ค่ะ

ด้วยความรู้เพียงเท่าที่มีมาค่ะ

 

สุดยอดครับคุณชยุทธ์ ถ้าคิดดีๆนี่ โอ้ว จริงแท้เหลา