เปิดบันทึกพลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์ (ท่านเจ้ากรมเสริม)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย คณะปิดทอง, 27 มีนาคม 2013.

  1. คณะปิดทอง

    คณะปิดทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +363
    [​IMG]

    [​IMG]

    เปิดบันทึกของ
    พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์
    (ท่านเจ้ากรมเสริม) ตอนที่ ๑

    ก่อนที่จะนำทุกท่านเข้าสู่สาระความรู้

    ในบันทึกธรรมของท่านเจ้ากรมเสริม

    ข้าพเจ้า เป็นเพียงคนเดินดินธรรมดาๆคนหนึ่ง

    ที่โชดดี ได้อ่านบันทึกของท่านเจ้ากรมเสริม

    ที่ทางครอบครัวของท่านได้นำมาเผยแพร่และมอบ

    เป็นธรรมทาน หลังจากที่ท่านเจ้ากรมเสริมท่านได้

    หลุดพ้นจากการเวียนว่าย ตาย เกิด ในโลกมนุษย์


    ในขณะที่ข้าพเจ้าได้เปิดบันทึกไปในแต่ละหน้า

    ข้าพเจ้าได้เห็นลายมือของท่านเจ้ากรมเสริม

    ที่ได้จดบันทึกเรื่องราวความรู้ของการปฏิบัติธรรม

    เรื่องราวของพุทธศาสนาได้อย่างมีอรรถรส

    และมีคุณค่า แล้วข้าพเจ้าก็ได้เกิดความคิดขึ้นมา

    ว่า บันทึกธรรมทั้งหลายที่ท่านเจ้ากรมเสริม

    ได้จดบันทึกด้วยลายมือของท่านเองนั้น ควรนำมา

    เผยแพร่ให้สาธารณะชนได้มีโอกาสได้ศึกษา

    เพื่อต่อยอดความคิด และจรรโลงพระพุทธศาสนา

    สืบต่อไป ให้เยาวชนไทยเป็นคนดีมีคุณธรรม


    ประวัติท่านเจ้ากรมเสริม

    พล.อ.ท.ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์

    เป็นบุตรใน ม.จ.สืบสุขสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์

    และ ม.จ.หญิง อุทัยพงศ์(เกษมศรี)

    ท่านเจ้ากรมเสริม
    เกิดเมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓

    ณ ที่ทำการป่าไม้ ตำบลบ่อฝ้าย อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา


    เมื่อครั้งยังเด็กท่านได้ย้ายตามท่านพ่อซึ่งทรงรับ

    ราชการในกรมป่าไม้ ไปยังจังหวัดต่างๆ


    จึงเข้าเรียนโรงเรียนหลายแห่ง ได้แก่ ร.ร.ผดุงนารี

    พิษณุโลก ถึง ป.๓

    ร.ร.ผดุงราษฎร์ พิษณุโลก ถึง ม.๒ จากนั้นจึงย้าย

    เข้ากรุงเทพฯ และเรียนต่อจนจบ

    ชั้นมัธยมศึกษาจาก ร.ร.สวนกุหลาบวิทยาลัย
    เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๙

    ต่อมาได้เข้าศึกษาในโรงเรียนเท็ฆนิคทหารบกจน

    สำเร็จการศึกษาเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๔๘๓

    ระหว่างรับราชการ ได้เข้ารับการฝึกอบรมที่ RCA Institute โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ

    หลักสูตรเสนาธิการที่ Maxwell สหรัฐอเมริกา

    วิทยาลัยการทัพบก และวิทยาลับป้องกันราช

    อาณาจักร

    ท่านเจ้ากรมเสริมเริ่มปฏิบัติราชการโดยบรรจุในกองพันทหารสื่อสารที่ ๒ จังหวัดปราจีนบุรี
    (ทหารบก)

    ในปี ๒๔๘๕ ต่อมาย้ายไปประจำยังจังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี และนครสวรรค์
    ตามลำดับ

    จนปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ได้ย้ายไปรับราชการ
    ณ กองทัพอากาศในแผนกสื่อสาร ได้เลื่อนยศ
    และตำแหน่งขึ้นเป็นลำดับ จนเป็นเจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศเมื่อพ.ศ. ๒๕๐๙

    และเจ้ากรมสื่อสารทหาร กระทรวงกลาโหม
    เมื่อพ.ศ.๒๕๑๙

    ก่อนเกษียณอายุ ได้ประจำกองบัญชาการทหารสูงสุดยศพลอากาศโท

    ระหว่างรับราชการได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นราชองครักษ์เวรตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๗-๒๕๒๐ และเป็นราชองครักษ์พิเศษตั้งแต่ ๒๕๒๐ เป็นต้นมา


    ทั้งนี้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
    และเหรียญตราดังนี้

    ๑. มหาวชิรมงกุฎ ได้รับพระราชทานเมื่อ ๕ ธันวาคม ๒๕๒๐

    ๒. ประถมาภรณ์ช้างเผือก ได้รับพระราชทานเมื่อ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๑

    ๓. ทุติยจุลจอมเกล้า ได้รับพระราชทานเมื่อ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๘

    ๔. เหรียญรัตนภรณ์ชั้นที่ ๓ ได้รับพระราชทานเมื่อ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๑

    ๕. เหรียญราชรุจิทอง ได้รับพระราชทานเมื่อ ๒๕๓๔

    ๖. เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ ๒ ได้รับพระราชทานเมื่อ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๑๔

    ๗. เหรียญชัยสมรภูมิเอเชียบูรพา ได้รับพระราชทานเมื่อ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๐๘

    ในวันนี้ข้าพเจ้า ขอจบการสื่อสารที่ถ่ายทอดจากตัวหนังสือผ่านไปยังสายตาของทุกท่านด้วยประวัติของท่านเจ้ากรมเสริมโดยย่อ

    และปิดท้ายด้วยคำนำในตอนหน้า
    จากบันทึกของท่านเจ้ากรมเสริม

    “คนไทยส่วนมากถือว่าตนนับถือพุทธศาสนา
    แต่ส่วนมากแล้วจะมีมติตรงกันอยู่อย่างเดียวคือ
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

    นอกเสียจากนี้แล้วมติจะแตกต่างกันไปเป็นหลายอย่าง แม้แต่พระภิกษุ ที่ชาวบ้านทั่วไปถือว่า
    เป็นผู้มีความรู้ที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา ก็สอนไม่เหมือนกัน และต่างก็อ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งนั้น”

    โปรดติดตามตอนต่อไป.....

    -------------------------------------------------------
    ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่ หลวงพ่อ และท่านเจ้ากรมเสริม

    ได้โปรดให้พรทุกท่านได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐโดยทั่วกัน ขออนุโมทนา

    สื่อสารจากบันทึก
    พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์

    โพสต์โดย อินทรีย์
    เครดิตข้อมูลนำมาจาก
    http://www.facebook.com/watprarachaprommayan
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 เมษายน 2013
  2. คณะปิดทอง

    คณะปิดทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +363
    [​IMG]


    ศูนย์ศิษย์พระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง สาขาป่าละอู
    ถูกใจแล้ว · 12 มีนาคม

    เปิดบันทึกของ
    พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์
    ตอนที่ ๒

    การศึกษาพระพุทธศาสนาของข้าพเจ้า
    (บทนำหน้าที่3-4)

    คนไทยส่วนมากถือว่าตนนับถือพุทธศาสนา
    แต่ส่วนมากแล้วจะมีมติตรงกันอยู่อย่างเดียว
    คือพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

    นอกเสียจากนี้แล้วมติจะแตกต่างกันไปเป็นหลายอย่าง แม้แต่พระภิกษุที่ชาวบ้านทั่วไป
    ถือว่าเป็นผู้มีความรู้ที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา
    ก็สอนไม่เหมือนกัน และต่างก็อ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งนั้น

    ตัวอย่างเช่น ฝ่ายหนึ่งกล่าวว่าเทวดา นรก สวรรค์มีจริง อีกฝ่ายหนึ่งกล่าวว่า ผู้ที่เชื่อว่ามีนรก สวรรค์ เทวดา เป็นผู้งมงาย ที่ว่านรก สวรรค์นั้น อยู่ในอกในใจของตนเอง คือยามใดมีทุกข์นั่นคือนรก ยามใดมีสุขนั่นคือสวรรค์

    ฝ่ายหนึ่งกล่าวว่าตายแล้วเกิดอีก อีกฝ่ายหนึ่งกล่าวว่าตายแล้วก็หมดกันแค่นั้น ฯลฯ

    ความจริงท่านเหล่านี้ก็ศึกษามาจากหลักฐานเดียวกันคือ พระไตรปิฎก

    ท่านย่อมอ่านข้อความเดียวกันมา แต่ที่กล่าวต่างกันก็เพราะว่าฝ่ายหนึ่งเชื่อตามที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก อีกฝ่ายหนึ่งไม่เชื่อ

    ฝ่ายที่ไม่เชื่ออ้างว่าพระไตรปิฎกมีการตกแต่งเพิ่มเติมเองในภายหลัง

    ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความเชื่อแตกต่างกันเป็นหลายแนว

    และเมื่อเชื่อเสียอย่างนั้นแล้ว ก็เป็นเรื่องของความเชื่อไป ไม่ใช่เรื่องของเหตุผล

    ในเมื่อพระภิกษุที่เรียนมาจากตำราเดียวกัน ยังนำมาสอนแตกต่างกันเช่นนี้

    ประจวบกับกรมการศาสนาได้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับแปลเป็นไทย


    ซึ่งเรียกว่าพระไตรปิฎกฉบับหลวงขึ้น จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ศึกษาดูว่าอะไร เป็นอย่างไรกันแน่

    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ศึกษาตามตำรานี้คือพระไตรปิฎก อันเป็นหลักฐานเดียวของพระพุทธศาสนาที่มีอยู่ เพื่อสรุปความเห็นต่อไป

    การที่จะมานึก หรือเชื่อเอาเองในสิ่งที่ค้านกับพระไตรปิฎก นั้นไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูก เพราะว่าผู้ที่จะรู้ได้เอง หรือตรัสรู้ก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น

    คนที่กล่าวว่าพระไตรปิฎกผิด ตัวเขาเป็นฝ่ายถูกนั้น เสี่ยงต่อการทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าท่านผู้นั้นยกตัวขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก

    ในฐานะที่แสดงตัวว่าเป็นผู้รู้ได้เอง
    ด้วยเหตุนี้ การศึกษาของข้าพเจ้าจึงอยู่ในขอบเขตของการดึงข้อความ ออกมาสรุปความเห็นจากพระไตรปิฎกฉบับหลวงเท่านั้น

    ขอเชิญท่านผู้เจริญพิจารณาเอาตามอัธยาศัยเถิด

    อนึ่งวิธีการศึกษาของข้าพเจ้านี้ ได้รับการอบรม
    ชี้แจง แนะนำจากอาจารย์ของข้าพเจ้าคือ
    พระมหาวีระ ถาวโร (นามปากกา “ฤาษีลิงดำ)
    เป็นส่วนใหญ่

    จึงทำให้สามารถใช้เหตุใช้ผลทำความเข้าใจได้ในส่วนใหญ่จึงขอกราบระลึกถึงพระคุณของท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์
    ๑๙ ธันวาคม ๒๕๒๕

    โพสต์โดย อินทรีย์
    เครดิตข้อมูลนำมาจาก
    http://www.facebook.com/watprarachaprommayan
     
  3. คณะปิดทอง

    คณะปิดทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +363
    [​IMG]


    ในตอนที่ ๓ ท่านเจ้ากรมได้บันทึกถึงเรื่องของลักษณะของพระไตรปิฎก

    ขอเชิญทุกท่านได้รับความรู้จากบันทึกท่านเจ้ากรมเสริมตามอัธยาศัย


    ภาค ๑ ว่าด้วยลักษณะของพระไตรปิฎก
    (ตอนที่ 1 หน้า 7-10)

    ในพระวินัยก็ดี พระสูตรก็ดี ผู้ที่ไม่ได้อ่านมักจะเข้าใจเหมาเอาว่าเต็มไปด้วยนิยายปรัมปรา

    มีแต่เรื่องประเภทชาดกที่มีสัตว์พูดได้อะไรทำนองนั้นทั้งหมด ข้อนี้เป็นความเข้าใจผิด

    ความจริงมีลักษณะเป็นจดหมายเหตุบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งว่า

    พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ไหน ตรัสว่าอะไร กับใคร
    มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น นี่เรียกว่าพระสูตร


    ส่วนพระวินัยนั้น รวบรวมกล่าวถึงเรื่องราวพระบัญญัติพระวินัยเป็นส่วนใหญ่

    (สำหรับพระอภิธรรม ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าเสด็จไปเทศน์โปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์

    ประกอบกับทรงตรัสว่าวิธีสอนว่าอันไหนเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่

    ให้สอบสวนดูกับพระสูตร และพระวินัยมิได้ระบุถึงพระอภิธรรมดังนั้นจึงไม่มีการศึกษาจากพระอภิธรรม)


    เนื่องจากพระไตรปิฎก เป็นหลักฐานอย่างเดียวของพระพุทธศาสนา

    ในเมื่อเกิดมีผู้กล่าวว่ามีการต่อเติม ทำให้เชื่อถือไม่ได้ ดังนั้นภาคนี้ จึงเป็นภาคการพิจารณา

    พระไตรปิฎกเสียก่อนว่าเชื่อถือได้หรือไม่ โดยจะกระทำเป็นข้อๆดังต่อไปนี้

    ๑.การสังคายนา

    ประวัติของพระไตรปิฎก และการสังคายนา ได้มีผู้รวบรวมไว้แล้ว หาอ่านได้

    เป็นการไม่มีประโยชน์ที่จะนำมากล่าวซ้ำอีก ความมุ่งหมายในการกล่าวถึงการทำสังคายนานี้
    ก็เพื่อจะชี้ว่า

    ๑.๑การบันทึกพระไตรปิฎกลงเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น ทำเมื่อสมัย พ.ศ.๔๐๐ เศษ

    จุดสำคัญที่จะกล่าวคือคนในสมัยนั้นยังเป็นคนดีเป็นส่วนมาก พูดอะไร ทำอะไร

    รับเป็นความจริงเสมอ ไม่นิยมพูดโกหกทั้งรู้ ไม่นิยมการหลอกลวงกับดังสมัยนี้

    ๑.๒การสังคายนาเป็นการนำสิ่งที่มีอยู่แล้วมาจัดเป็นหมวดหมู่เท่านั้น

    ไม่ใช่เป็นการประชุมกันแต่งเติม เข้าไปในเมื่อสิ่งนั้นๆไม่ได้เกิดขึ้น

    โดยเฉพาะการสังคายนาในระยะต้น ประวัติบอกว่ามีพระอรหันต์ 500 รูปบ้าง 700 รูปบ้าง

    ที่เรียกว่า แจง500 แจง700 จะสังคายนากันว่าอย่างไรจะต้องมีมติเห็นพ้องต้องกันก่อน

    จึงจะสรุปผลได้ หากมีการแต่งเติมเหตุการณ์ หรือมีการอ้างกล่าวลงไปใหม่ว่า

    พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้นอย่างนี้ โดยที่ท่านไม่ได้ตรัสไว้ นั่นคือการมุสาวาทโดยตรง

    ซึ่งอย่างไรเสียพระอรหันต์ 500 องค์ก็ไม่ทำ (องค์เดียวก็ไม่ทำอยู่แล้ว)

    ๑.๓ การทำสังคายนา นั้น ควรถามว่าใครเป็นผู้ทำ? ก็ต้องตอบว่าพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ทำ

    และโดยที่การทำสังคายนานี้มีพระสงฆ์จำนวนมากมาชุมนุมกัน จะต้องมีความยุ่งยากในเรื่องที่พัก

    เรื่องอาหาร และอุปกรณ์ต่างๆ ดังนั้นผู้อุปถัมภ์การสังคายนาแต่ละครั้ง

    จึงมักเป็นระดับพระเจ้าแผ่นดินเสมอ ผลของการทำสังคายนาซึ่งทำในที่ประชุมชน

    พระเจ้าแผ่นดินก็จะต้องทรงทราบด้วยเหตุนี้การกล่าวว่าพระไตรปิฎกมีการแต่งเติม

    จึงน่าจะเป็นการสันนิษฐานเอาโดยไม่ใช่ความคิดกันมากกว่า

    เพราะไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากจะแต่งเติมก็แต่งได้ตามใจชอบ


    ๒.หนังสือ
    มีผู้สันนิษฐานว่าในสมัยพุทธกาลคงจะไม่มีตัวหนังสือใช้จึงได้มีการท่องจำต่อๆกันมา

    ซึ่งในเรื่องนี้อย่างไรเสียก็ต้องมีการคลาดเคลื่อน

    ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการท่องจำคลาดเคลื่อนนั้น นับว่ามีเหตุผล

    แต่หากจะเกิดการบกพร่อง ควรจะบกพร่องในด้านที่ว่าพากันลืมไปเสีย จำได้ไม่หมด

    คือควรจะขาดตกบกพร่อง มีไม่ครบ มากกว่าจะเกินเข้ามา


    ๒.๑แต่อันที่จริงแล้วมีหลักฐานว่าในสมัยนั้นมีหนังสือใช้กันอยู่แล้ว ไม่ใช่ไม่มี

    - พระวินัย (เล่ม ๓ หน้า ๒๔๗) มีกำหนดว่า
    “เรียนหนังสือ๑ เรียนวิชาท่องจำ๑ เรียนวิชาป้องกันเพื่อประสงค์คุ้มครองตัว๑ ไม่ต้องอาบัติ


    -พระสูตร (เล่ม ๙ หน้า ๙๕) “สมัยนั้นแลอัมพัฏฐมานพ ศิษย์ของพราหมณ์โปกขรสาติ
    เป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ
    พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติทาสเป็นที่ ๕”


    -ในเล่ม ๒๓ หน้า ๑๗๓ “ภิกษุใดแลสอนบริษัทให้เรียน ให้อ่าน ไม่สะทกสะท้าน
    ไม่ให้เสียคำพูด ไม่ให้เสียคำสอน ชี้แจงให้เขาหมดสงสัย และเมื่อถูกซักถามก็ไม่โกรธ
    ภิกษุเช่นนี้นั้นแล ควนไปเป็นทูตได้ฯ”


    -ในพระธรรมบท (พระธัมมปทัฎฐกถาแปล) ภาค๗ หน้า๑๑๒ เรื่องพระโปฐิลเถระ ขอคัดมาดังนี้

    “พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตะวัน ทรงปรารภพระเถระนามว่าโปฐิละ

    ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “โยคา เว” เป็นต้น

    ดังได้สดับมา พระโปฐิละนั้นเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์

    บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป พระศาสดาทรงดำริว่า ภิกษุนี้ย่อมไม่มีแม้ความคิดว่า

    เราจักทำการสลัดออกจากทุกข์แก่ตน เราจักยังขอให้สังเวช”

    จำเดิมแต่นั้นมา พระองค์ย่อมตรัสกะพระเถระนั้น ในเวลาที่พระเถระมาสู่ที่บำรุงของพระองค์ว่า

    “มาเถิด คุณใบลานเปล่า, นั่งเถิด คุณใบลานเปล่า, ไปเถิด คุณใบลานเปล่า,

    แม้ในเวลาที่พระเถระลุกไป ก็ตรัสว่า คุณใบลานเปล่าไปแล้ว

    พระโปฐิละนั้นคิดว่า “เราย่อมทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถา

    บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ถึง ๑๘ คณะใหญ่ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น

    พระศาสดายังตรัสเรียกเราเนื่องๆว่า “คุณใบลานเปล่า”

    พระศาสดาตรัสเรียกเราอย่างนี้เพราะความไม่มีคุณวิเศษ มีฌานเป็นต้น เป็นแน่แท้”


    ทีคัดมานี้มุ่งที่ “ ใบลาน” เท่านั้น ตีความโดยอ้อม ย่อมจะสันนิษฐานได้ทีเดียวว่า

    สมัยนั้นได้มีการบันทึกพระไตรปิฎกลงใบลานไว้ด้วย

    พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงเปรียบเทียบว่ารู้พระไตรปิฎกที่บันทึกบนใบลานนั้นก็จริง

    แต่ไม่ได้ปฏิบัติตนให้พ้นทุกข์ จึงเท่ากับว่าไม่รู้อะไรเลย

    เท่ากับใบลานนั้นไม่ได้บันทึกอะไรไว้

    -------------------------------------------------------

    ในตอนนี้ ข้าพเจ้าผู้สื่อสารด้วยการพิมพ์บันทึกของท่านเจ้ากรมเสริมได้ข้อสรุปออกมาว่า

    ในสมัยก่อนนั้นมีการบันทึกอย่างแน่นอนไม่ได้มีเพียงแค่การท่องจำ

    จากหลักฐานการได้เกิดขึ้นในพระไตรปิฎกฉบับหลวง ที่ท่านเจ้ากรมเสริมได้คัดออกมา

    เช่นคำว่า หนังสือ คัมภีร์ ใบลาน อักษร


    วันนี้ขอพักแต่เพียงเท่านี้ ในตอนต่อไปในบันทึกท่านเจ้ากรม จะว่าด้วยเรื่องพระสูตร

    โปรดติดตามตอนต่อไป.....

    จากบันทึก
    พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์

    โพสต์โดย อินทรีย์
    เครดิตข้อมูลนำมาจาก
    http://www.facebook.com/watprarachaprommayan
     
  4. คณะปิดทอง

    คณะปิดทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +363
    เปิดบันทึกของ พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์ ตอนที่ ๔

    เปิดบันทึกของ
    พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์
    ตอนที่ ๔ ภาค ๑ ว่าด้วยลักษณะของพระไตรปิฎก
    (หน้า 10-13)

    ต่อเนื่องจากตอนที่ ๓ ถึง ลักษณะของพระไตรปิฎก
    ที่ท่านเจ้ากรมเสริมได้ตีความคำว่า “ใบลาน”
    สันนิษฐานได้ทีเดียวว่าสมัยนั้นได้มีการบันทึก
    พระไตรปิฎกลงใบลานไว้ด้วย

    ในตอนนี้ข้าพเจ้าจะสื่อสารบันทึกของท่านเจ้ากรมเสริม
    สู่สายตาทุกท่านต่อด้วยเรื่องของพระสูตร

    ๓.พระสูตร
    บางคนกล่าวว่าพระสูตรหรือพระไตรปิฎกเป็นสิ่งที่
    มาร้อยกรองขึ้นภายหลัง ย่อมเพี้ยนไปได้มาก
    ความเข้าใจข้อนี้ผิดไป

    เพราะพระสูตรได้มีอยู่แล้วตั้งแต่
    สมัยพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จสู่ปรินิพพาน

    -ในเล่ม ๕ หน้า ๓๐ เล่าถึงพระโสณะ ดังนี้
    “พระผู้มีพระภาคทรงตื่นจากพระบรรทมแล้วทรง
    อัชเฌสนา ท่านพระโสณะว่า ดูกรภิกษุ จงกล่าวธรรมตาม
    ถนัด ท่านพระโสณะกราบทูลสนองพระพุทธบัญชาว่า
    อย่างนั้นพระเจ้าข้า แล้วได้สวดพระสูตรทั้งหลายอันมีอยู่
    ในอัฎฐกวรรค จนหมดสิ้นโดยสรภัญญะ ครั้นจบสรภัญญะ
    ของท่านพระโสณะ

    พระผู้มีพระภาคทรงพระปราโมทย์
    โปรดประทานสาธุการว่า ดีจะ ดีจะ ภิกษุ
    สูตรทั้งหลายที่มีในอัฎฐกวรรคเธอเรียนมาดีแล้ว
    ทำไว้ในใจดีแล้ว ทรงจำได้แม่นยำดี

    เธอเป็นผู้ประกอบด้วยวาจาไพเราะเพราะพริ้ง
    ไม่มีโทษ ให้เข้าใจรู้ความได้แจ่มชัด
    เธอมีพรรษาเท่าไร ภิกษุ

    ท่านพระโสณะ กราบทูลว่า
    ข้าพระพุทธเจ้ามีพรรษาเดียว พระพุทธเจ้าข้า


    -เล่ม ๑๙ หน้า ๔๖๑ “ดูกรธรรมทินนะ เพราะฉะนั้นแหละ ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า พระสูตร เหล่าใดที่พระตถาคตตรัสไว้แล้ว อันลึกซึ้ง มีเนื้อความอันลึก
    เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยความว่าง
    เราจักเข้าถึงพระสูตรเหล่านั้น ตลอดกาล เป็นนิตย์อยู่”

    -เล่ม๑๐ หน้า ๑๒๑ “พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังต่อไปนี้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยพึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ข้อนี้ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่านี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น

    ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดีแล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัยลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่านี้มิใช่คำของผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุนี้จำมาผิดแล้ว”


    --- (ท่านเจ้ากรม
    โดยนัยนี้ การศึกษาพระพุทธศาสนาโดยถือตามที่มีในตำรา (พระวินัยและพระสูตร) จึงควรมีความถูกต้องมากกว่าที่จะเชื่อตามพวกที่กล่าวว่าพระไตรปิฎกมีความคลาดเคลื่อน) ---

    ๓.๑ความทรงจำ
    ในสมัยพุทธกาลปรากฏว่าเมื่อมีการเรียนพระธรรมแล้ว
    จะต้องมีการทรงจำไว้ให้คล่องปากขึ้นใจด้วย
    ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงกำชับเสมอ

    -เล่ม ๑๒ หน้า ๑๘๗ “พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระมหากัจจานะเป็นบัณฑิต
    เป็นผู้มีปัญญามาก
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้พวกเธอจะถามเนื้อความนี้กะเรา แม้เราก็พึงพยากรณ์เนื้อความเหมือนกับ
    ที่พระมหากัจจานะ พยากรณ์แล้วนั้น
    นี่แหละเป็นเนื้อความแห่งข้อนั้น
    เธอทั้งหลายจงจำทรงข้อนั้นไว้เถิด”


    -เล่ม๑๑ หน้า ๓๒๘ ท่านพระสารีบุตรแสดงธรรมแก่ภิกษุสงฆ์ประมาณ ๕๐๐ รูป

    “ผู้มีอายุทั้งหลาย แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้มีธรรม
    อันสดับแล้วมาก ทรงธรรมที่สดับแล้ว สั่งสมธรรมที่ได้สดับแล้ว ธรรมที่งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
    งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ
    พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง เห็นปานนั้น

    อันเธอได้สดับแล้วมาก ทรงไว้แล้ว คล่องปาก
    ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดีด้วยความเห็นนี้ก็เป็นธรรมกระทำที่พึ่ง”

    -เล่ม ๗ หน้า ๒๔๕ “ดูกร อุบาลี อนึ่งภิกษุผู้เป็นโจทก์ ปรารถนาจะโจษผู้อื่น พึงพิจารณาอย่างนี้ว่า
    เราเป็นพหูสูต ทรงสุตะ เป็นที่สั่งสมสุตะหรือหนอ
    ธรรมเหล่าใดนั้นไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ

    ทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิง ธรรมเห็นปานนั้นเป็นธรรมอันเราสดับมาก ทรงไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ
    แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา ธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่...”


    -เล่ม ๒๖ หน้า ๔๐๔ ได้เล่าถึงท่านพระอานนท์เถระไว้ว่า
    “พระอานนทเถระ ได้เรียนธรรม จากพระพุทธเจ้ามา ๘๑,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ได้เรียนมาจากสำนักภิกษุมีพระธรรมเสนาบดีเป็นต้น ๒,๐๐๐ ธรรมขันธ์ จึงรวมเป็นที่ คล่องปาก ขึ้นใจ ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์”

    --- (ท่านเจ้ากรม
    เมื่อพิจารณาดูแล้วที่กล่าวว่าพระไตรปิฎกท่องจำลืมๆกันมานั้น ไม่เชิงตรงกับความจริงนัก ความจริงนั้นเป็นหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ ที่จะต้องจำทรงพระธรรมไว้อย่างคล่องปากขึ้นใจอยู่แล้ว คิดดูง่ายๆสมัยนั้นเป็นสมัยของการเผยแพร่พระศาสนา ประชาชนที่ได้พบพระภิกษุสงฆ์ที่บวชอยู่กับพระพุทธเจ้า ย่อมจะสอบถามถึงพระธรรมต่างๆ

    หากไม่มีความคล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดแล้ว ก็ย่อมไม่เป็นที่เลื่อมใสแก่ประชาชน อนึ่งเป็นพระพุทธดำรัสให้จำทรงไว้ดังกล่าวแล้ว ดังนั้นการจำทรง คล่องปาก ขึ้นใจ
    จึงต้องเป็นการปฏิบัติธรรมดาของพระภิกษุสงฆ์
    ซึ่งคงจะได้สืบเนื่องการปฏิบัติมาจนถึงสมัยการบันทึกเป็นหลักฐาน ยั่งยืนในภายหลัง) ---

    ขอจบการสื่อสารในตอนที่ ๔ ไว้แต่เพียงเท่านี้
    ในตอนต่อไป ในบันทึกท่านเจ้ากรมเสริมจะกล่าวถึงเรื่อง พระสูตรเกิดขึ้นในลักษณะใด

    โปรดติดตามตอนต่อไป.....
    จากบันทึก พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์
    ภาพประกอบ : Pasith
    โพสต์โดย อินทรีย์
     
  5. คณะปิดทอง

    คณะปิดทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +363
    เปิดบันทึกของพลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์ ตอนที่ ๕

    [​IMG]

    เปิดบันทึกของ
    พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์
    ตอนที่ ๕

    ๓.๒ มีปัญหาที่น่าสงสัยอยู่ประการหนึ่ง

    คือ “พระสูตร” เกิดขึ้นในลักษณะไหน และทำ

    อย่างไรจึงจะให้พระสูตรนี้เล่าเรียน (ทรงจำไว้) ได้

    ถูกต้องเหมือนกันหมด ?

    คำตอบของปัญหาทั้งสอง อาจพิเคราะห์ได้จาก

    ข้อความบางตอนที่ปรากฏในพระไตรปิฎก

    -เล่ม ๘ หน้า ๑๔๗ “๘ วารนี้ พระธรรมสังคีติการจารย์ เขียนไว้สำหรับสวดเท่านั้น”

    -เล่ม๑๐ หน้า ๑๒๕ “คาถาเหล่านี้ พระสังคีติกาจารย์ ทั้งหลายกล่าวไว้เวลาทำสังคายนา”

    -เล่ม ๒๖ หน้า ๑๙๕ “เพื่อจะแสดงเนื้อความที่เปรตนั้นและโกสิยมหาอำมาตย์กล่าวแล้ว พระสังคีติกาจารย์ จึงกล่าวคาถาความว่า....”


    ทั้งนี้ทำให้ทราบว่าในสมัยพุทธกาลมี

    “พระสังคีติกาจารย์” หรือ “พระธรรมสังคีติกา

    จารย์” อยู่ และเนื่องจากสิ่งที่ท่านรจนา ปรากฏอยู่

    ในพระวินัยและพระสูตร จึงอนุมานได้ว่าต้องมีท่าน

    ผู้ทำหน้าที่รจนาเรื่องในพระวินัย และ พระสูตรขึ้น

    เป็นทำนองจดหมายเหตุของเหตุการณ์แต่ละครั้ง

    แต่ไม่พบในพระไตรปิฎกว่าท่านผู้ที่ทำหน้าที่นี้คือ

    องค์ไหนบ้าง


    ครั้นได้รจนาแล้วคงจะถวายพระพุทธเจ้าทรงตรวจดู

    เสียก่อน จะขอยกหลักฐานที่แสดงเช่นนี้จากพระ

    สูตรสั้นๆ สักพระสูตรหนึ่ง

    คือจากเล่ม๒๕ หน้า ๑๙๑
    ทัพพสูตรที่ ๒ [๑๖๗]
    ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหาร

    เชตะวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีใกล้

    พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัส

    เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระ

    ทัพพมัลลบุตรเหาะขึ้นไปสู่เวหา ก็นั่งขัดสมาธิ เข้า

    สมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์อยู่ในอากาศกลาง

    หาวออกแล้วปรินิพพาน เมื่อสรีระถูกไฟเผาไหม้

    อยู่ เถ้าไม่ปรากฏเลย เขม่าก็ไม่ปรากฏ เหมือนเถ้า

    แห่งเนยใสหรือน้ำมันถูกไฟเผาอยู่ ไม่ปรากฏเลย

    เขม่าก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้น ฯ

    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้

    แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

    คติของขีณาสพ ผู้หลุดพ้นแล้วโดยชอบ ข้ามเครื่อง

    ผูกคือกามและโอฆะได้แล้ว ถึงแล้วซึ่งความสุขอัน

    หาความหวั่นไหวมิได้ ไม่มีเพื่อจะบัญญัติ เหมือน

    คติแห่งไฟลุกโพลงอยู่ที่ภาชนะสัมฤทธิ์

    เป็นต้น อันนายช่างเหล็กตีด้วยค้อนเหล็ก ดับสนิท

    ย่อมรู้ไม่ได้ ฉะนั้นฯ


    ในทัพพสูตร ที่๑ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ คือ

    ท่านพระทัพพมัลลบุตรไปทูลลาพระพุทธเจ้าว่าถึง

    เวลานิพพานของตนแล้ว เมื่อทรงอนุโลมให้เป็นไป

    ตามประสงค์ ท่านจึงเหาะขึ้นสู่อากาศเข้าสมาบัติใช้

    เตโชธาตุเป็นอารมณ์ (คือคงอธิษฐานให้เกิดไฟ

    เผาร่าง) แล้วออกจากสมาบัติเข้าสู่ปรินิพพาน ต่อ

    จากนั้นจึงเกิดไฟเผาสรีระของท่านหมดไป


    ในทัพพสูตรที่ ๒ พระพุทธเจ้าทรงเล่าเรื่องนี้ให้

    ภิกษุอื่นฟังตามในวรรคที่ว่า “ทรงทราบเนื่อความนี้

    แล้ว” ได้แสดงชัดว่าเรื่องนี้จะต้องมีพระธรรมสังคีติ

    กาจารย์รจนาขึ้นเป็นพระสูตร เสร็จแล้วนำมาถวาย

    เพื่อทรงตรวจ ตรวจแล้วทราบเนื้อความที่เขียน

    แล้ว จึงทรงมีพระอุทาน (บางสูตรก็มีพระคาถา

    บางสูตรไม่ตรัส)


    หลังจากนั้นพระสูตรนี้ ก็คงจะคัดลอกกันต่อไปโดย

    ใช้ใบลาน เพื่อท่องจำไว้ให้เหมือนๆกัน เพื่อให้เป็น

    ไปตามพุทธประสงค์.


    เมื่อนำมาพิจารณาสรุปว่าในสมัยพุทธกาล

    มีอักษรใช้ มีการบันทึกบนใบลาน

    มีพระธรรมสังคีติกาจารย์ ผู้ทำหน้าที่รจนา

    ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นครั้งใด ก็มีการรจนา

    เป็นพระสูตร เป็นเหตุให้มีพระสูตรตั้งแต่สมัยยังไม่

    เสด็จสู่ปรินิพพาน ครั้นแล้วคงจะใช้ใบลานคัดลอก

    สืบทอดกันไปเพื่อศึกษาและท่องจำ เป็นมาตรฐาน

    เดียวกัน


    เมื่อได้มีการท่องจำจนคล่องปากขึ้นใจ เหมือนๆกัน

    ทุกคนแล้วความคลาดเคลื่อนตกหล่นก็ควรมีน้อย

    และเมื่อถึงสมัยจารึกรวมเล่มไว้เป็นทางการพระ

    อรหันต์ก็ยังมีอยู่ไม่น้อย ดังนั้น ควรเชื่อได้ว่าพระ

    ไตรปิฎกมีความถูกต้องอยู่เป็นส่วนมาก
    -----------------------------------

    ข้าพเจ้าขอจบการสื่อสารแต่เพียงเท่านี้และมีความ

    หวังว่าท่านที่ได้ผ่านมาพบบทความของท่านเจ้า

    กรมเสริมที่ข้าพเจ้าได้นำมาสื่อสารสู่สายตาทุกท่าน

    จะเกิดประโยชน์และได้มั่นใจในพระไตรปิฎกตาม

    ความที่ท่านเจ้ากรมเสริมได้พิเคราะห์ไว้มาตั้งแต่

    ตอนที่ ๑


    และในภาคที่ ๒ ในบันทึกนั้นท่านเจ้ากรมเสริมจะ

    กล่าวถึงหลักสูตรคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งทุก

    ท่านสามารถค้นคว้าศึกษาได้จากหนังสือของ

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (นามปากกา ฤๅษีลิงดำ)


    ข้าพเจ้าก็ขออนุญาตข้ามไปสื่อสารในภาคที่ ๓

    ว่าด้วยเรื่องต่างๆที่เป็นปัญหาสงสัยกัน, พระสอน

    ผิด, สวรรค์ นรก ตายแล้วเกิด,ฤทธิ์,ฯลฯ

    และจะจบที่ภาคที่ ๔ สังคมกับพุทธศาสนา

    จากบันทึก พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์
    โพสต์โดย อินทรีย์

    ได้ขออนุญาตทางเพจศูนย์ศิษย์พระราชพรหมยาน สาขาป่าละอูแล้ว
    ช่วยไปกด Like เป็นกำลังใจให้ทีมงานเขาจะขอบคุณมากครับ
    http://www.facebook.com/watprarachaprommayan
     
  6. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,029
    [​IMG]
     
  7. wattumongkhon

    wattumongkhon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2013
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +198
    :cool:รอติดตามอ่านครับ
     
  8. kunchan

    kunchan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2011
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +163
    ขออนุโมทนาสาธุบุญกับธรรมทานนี้เป็นอย่างสูงด้วยคนครับ.
     
  9. คณะปิดทอง

    คณะปิดทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +363
    เปิดบันทึกของ พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์ ตอนที่ ๖

    ภาค ๓ เรื่องต่างๆที่เป็นปัญหาสงสัยกัน
    โพสต์โดยอินทรีย์


    [​IMG]

    เรื่อง พระที่สอนผิด
    ดังได้กล่าวมาแล้วว่ามีนักศึกษาพระพุทธศาสนาจำพวกหนึ่งมีความเข้าใจว่า นั่งไตร่ตรองพระธรรม คือวิปัสสนาอย่างเดียว ไม่ทำสมถะเลย (ทั้งๆที่พระไตรปิฎกบอกว่าต้องทำควบคู่กันไป)

    บางสำนักก็ประณามพวกสมถะ(ฌานต่างๆ) ว่าเป็นทางอ้อม สู้ทำวิปัสสนาตรงๆไม่ได้

    เขาเหล่านี้เมื่อไม่ได้ปฐมฌาน ก็ไม่รู้จักความสุขในนิพพาน (ฌานยิ่งสูง ก็ยิ่งสุขประณีตมากขึ้นตามลำดับ)

    เมื่อไม่ได้ฌาน ๔ ก็ไม่สามารถน้อมจิตเข้าไปในวิชชาสาม จึงไม่เห็นนรก สวรรค์ เทวดา พรหม ไม่เห็นจริงว่าคนตายแล้วเกิดจริงๆ

    ดังนั้นถึงจะมุ่งหน้าตัดกิเลสจริงๆก็ตัดไม่หลุด ทั้งๆที่มีหลักแต่ว่าให้เห็นร่างกาย เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ส่วนมากไปกำหนดรูป-นามกันอยู่ ผลก็เลยปรากฏว่า รู้ว่าอ้อนี่รูป อ้อนี่นามตลอดเวลา คือรู้แต่อนิจจัง แต่ไม่ซึ้งในทุกขัง ในอนัตตา

    ทำให้ไม่เกิดเบื่อหน่ายคลายกำหนัด มิหน้ำซ้ำในขณะปฏิบัติยังอาจเกิดสงสัยขึ้นมาอีกแล้วว่า จริงหรือสวรรค์ นรก นี่น่ะจริงหรือตายแล้วเกิดนี่น่ะ จริงหรือนิพพานนี่น่ะ มีจริงๆหรือ

    เพราะฉะนั้นถึงจะถือว่าไปทางตรงแต่ก็เหมือนคนตาบอด ค่อยๆคลำไป ส่วนพวกทางอ้อม (ซึ่งความจริงเป็นวิธีมาตรฐานของพระพุทธเจ้า) อาจอ้อมตามความคิดของเขาก็จริงแต่ควบม้าเปิดหูเปิดตาไป เท่ากับตาเห็นมือคลำจริงๆกลับถึงพระนิพพานเร็วกว่า.

    ปรากฏว่าคนประเภทนี้บางคนบวชเป็นพระมีชื่อเสียงใหญ่โต ไม่ได้ปฏิบัติตามสายมรรค๘ แต่นั่งตรึกตรองไปตรึกตรองมาด้วยสติปัญญาของตนเอง

    เมื่อไม่สามารถเห็นสวรรค์นรกด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ และจุตูปปาตญาณ ก็เลยลงความเห็นว่าสวรรค์ นรก ไม่มี ถ้าใครว่ามีก็นับว่าเป็นคนโง่เขลา งมงาย กลายเป็นพระมิจฉาทิฐิเข้าไปเกือบเต็มตัว

    พระที่เป็นเถระชื่อเสียงโด่งดัง คนนับหน้าถือตามากมาย อาจเป็นพระมิจฉาทิฐิก็ได้ สอนแม้กระทั่งว่าคนแม้กำลังไถนาก็นิพพานได้ (โดยไม่ต้องเป็นพระอรหันต์) พระเช่นนี้ มีบ่งไว้ในพระไตรปิฎกเหมือนกัน

    -จากเล่ม ๒๒ หน้า ๑๑๓ (เถรสูตร)
    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เถระ ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อมิใช่สุข เพื่อความฉิบหายแก่ชนมาก เพื่อมิใช่เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

    ธรรม ๕ ประการเป็นไฉนคือ
    . ภิกษุผู้เถระเป็นรัตตัญญู บวชนาน ๑

    . เป็นผู้มีชื่อเสียง มียศ มีชนหมู่มาก เป็นบริวาร ปรากฏแก่พวกคฤหัสถ์และบรรพชิต ๑

    . เป็นผู้ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และปัจจัย เภสัชบริขาร ๑

    . เป็นพหูสูต ทรงไว้ซึ่งสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมาก ทรงจำไว้คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ
    ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ๑

    . เป็นมิจฉาทิฐิ มีความวิปริต เธอย่อมยังชนหมู่มากให้ห่างเหินจากสัทธรรม ชนหมู่มากย่อมยึดถือทิฏฐานคติของเธอว่า เธอเป็นภิกษุเถระ มีชื่อเสียง มียศ มีชนหมู่มากเป็นบริวาร ปรากฏแก่พวกคฤหัสถ์และบรรพชิตดังนี้บ้าง เธอเป็นภิกษุเถระ ได้จีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และปัจจัยเภสัชบริขารดังนี้บ้าง เธอเป็นภิกษุผู้เถระ ผู้เป็นพหูสูต ทรงไว้ซึ่งสุตะ สั่งสมสุตะ ดังนี้บ้าง ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้และ ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อสิ่งที่มิใช่ประโยชน์ เพื่อมิใช่สุข เพื่อความฉิบหายแก่ชนมาก เพื่อมิใช่เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย”

    แสดงว่าพระภิกษุที่มีชื่อเสียง บวชมานานเป็นเถระ ความรู้ดีเยี่ยมในทางธรรม แต่ก็ยังเป็นมิจฉาทิฐิได้ (แสดงไว้เมื่อ ๒๕๐๐กว่าปีมาแล้ว)

    -จากเล่ม ๑๔ หน้า ๑๕๘ (มหาจัตตารีสกสูตร)
    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้วไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ โลกหน้าให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในโลกไม่มี นี่มิจฉาทิฐิ”

    พระจำพวกนี้ตามตำรา ต้องว่าคัดค้านพระพุทธเจ้า หรือจะคิดว่าเป็นผู้หาว่าพระพุทธเจ้างมงายด้วยก็อาจจะได้ ย่อมตกนรก หรือไม่ก็เป็นประเภทรู้หนังสือมากจริง หากคว้าได้แต่กิ่งใบ หรือเสก็ดของพระศาสนาเท่านั้น ไม่ถึงเปลือก ถึงกระพี้ ถึงแก่นเลย.

    จากบันทึกหน้าที่ 67-68 ของ
    พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์

    ตอนต่อไป
    พุทธศาสนิกชนที่ไม่เห็นค่าของพระพุทธศาสนา

    เครดิตข้อมูลจาก
    http://www.facebook.com/watprarachaprommayan

    อ่านทั้งหมดที่
    http://www.facebook.com/media/set/?...073741826.209280415754867&type=1&l=c531225c97
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2013
  10. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260


    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูง

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com
    ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา
     
  11. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325
    พระที่เป็นเถระชื่อเสียงโด่งดัง คนนับหน้าถือตามากมาย อาจเป็นพระมิจฉาทิฐิก็ได้ สอนแม้กระทั่งว่าคนแม้กำลังไถนาก็นิพพานได้ (โดยไม่ต้องเป็นพระอรหันต์) พระเช่นนี้ มีบ่งไว้ในพระไตรปิฎกเหมือนกัน

    ใช่ท่านที่บอกว่าสอนสัตว์ให้นิพพานได้หรือเปล่าครับ อืมมมมมม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 เมษายน 2013
  12. ขวัญพิภพ

    ขวัญพิภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +93,514
    --------------คุณทอม55 ฉลาด
     
  13. พอชูเดช

    พอชูเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,276
    ค่าพลัง:
    +4,339
    -มหาโมทนากับ เจ้าของกระทู้ครับ
    -น่าจะนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
    สาธุ
     
  14. คณะปิดทอง

    คณะปิดทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +363
    เปิดบันทึกของ พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์ ตอนที่ ๗

    เปิดบันทึกของ
    พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์ ตอนที่ ๗
    ภาค ๓ เรื่องต่างๆที่เป็นปัญหาสงสัยกัน
    โพสต์โดยอินทรีย์

    [​IMG]


    เรื่อง พุทธศาสนิกชนที่ไม่เห็นค่าของพระพุทธศาสนา

    ความบกพร่องที่พระภิกษุก็ดีนักศึกษาชั้นปัญญาชนก็ดี
    ไม่ได้ศึกษาและไม่ได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน
    จึงทำให้เขาเหล่านั้นมีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาว่าเป็นเพียงศาสนาที่สอนคนให้ทำดีเช่นเดียวกับศาสนาอื่นๆ

    จึงเกิดองค์กรประเภทศาสนาสัมพันธ์อะไรขึ้น เป็นทำนองว่านับถือศาสนาอะไรก็ได้เหมือนกันทั้งนั้นแหละ นับว่าเป็นการเอาของมีค่าคือพระพุทธศาสนาไปย่ำยีอย่างน่าเสียดาย

    เปรียบดังการกล่าวว่า เพชรก็ดี ทับทิมก็ดี พลอยก็ดี
    นิลก็ดี บุศราคัมก็ดี ต่างก็เป็นของประดับเหมือนกันทั้งนั้น

    การกล่าวเช่นนี้ไม่ผิด แต่ไม่ถูก คนที่รู้ค่าของเพชร ของพลอย ของทับทิมฯลฯ เท่านั้นจึงจะรู้ค่าของแต่ละอย่างว่าต่างกัน มีแต่สัตว์เช่นลิงและไก่ จึงจะมองเห็นของเหล่านั้นมีค่าเท่ากัน

    อันใดก็ดี คุณค่าของพระพุทธศาสนามีมากอย่างเหลือเกิน แต่มองกันไม่เห็น ดังนั้นจึงขอนำมาชี้ไว้ ณ ที่นี้

    1.จุดหมายปลายทาง
    ศาสนาอื่นมุ่งให้คนทำตามคำสั่งพระเจ้า ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า แล้วแต่พระเจ้าตัดสิน (ดังนั้นจึงไม่แน่นอน แล้วแต่ใจพระเจ้า)

    ศาสนาพุทธให้คนทำจิตของตนเองให้หมดกิเลส
    เมื่อกิเลสหมดก็จะเข้าสู่นิพพานอันเป็นสุขและเป็นอมตะ ชั่วนิรันด์ (มีความแน่นอน มีความสุข มีความเป็นอมตะ อันเป็นยอดปรารถนาของมนุษย์)

    ตรงนี้ต้องระวัง อย่าหลงไปตามผู้ที่รับเอาไปแต่กิ่งใบหรือสะเก็ดของพระพุทธศาสนาที่กล่าวว่า นิพพานนั้น จิตว่างเมื่อใดก็นิพพานเมื่อนั้น หรือนิพพานก็คือการตายธรรมดานี่เอง

    สำหรับเรื่องของพระนิพพาน จะได้กล่าวรายละเอียดในภายหลัง ข้อสังเกต คือ จุดหมายไม่ได้อยู่ที่ให้คนทำดีเฉยๆ อันเป็นธรรมจริยาของคนที่ศิวิไลแล้วทั้งหลาย ซึ่งในแง่นี้ คนไม่มีศาสนาเลยก็ทำตัวดีเป็นส่วนมากอยู่แล้ว

    และหากจะกล่าวในทางกลับย่อมกล่าวได้ว่าหากท่านทำตัวดีไม่ต้องมีศาสนาเลยก็ได้ และองค์การศาสนาสัมพันธ์ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีเลยทีเดียว

    2.บ่อเกิดของศาสนา
    นักศึกษาขั้นมหาวิทยาลัยของไทย ส่วนมากจะมีตำราทางสังคมวิทยาที่อาจารย์สอนว่าศาสนาเกิดขึ้นเพราะความกลัว จึงยกย่องพระเจ้า หรือ ภูตผีปีศาจ นรก สวรรค์ขึ้นมา แล้วก็รับกันตามนี้

    แต่ความจริงปรากฏว่าทฤษฎีนี้ไม่กว้างขวางพอ จนถึงปัจจุบันนี้แม้แต่ปัญหาว่า “ศาสนาคืออะไร” ก็ยังไม่มีคำตอบที่ครอบคลุมได้ทั่วถึงเป็นที่พอใจเลย.

    การศึกษาในสมัยปัจจุบัน (ตามเอ็นไซโคลบิดเดียของแล๊กซตัน) กล่าวแยกไว้เป็น ๒ สมัย คือ สมัยสังคมยุคโบราณ ศาสนาจะมีองค์ประกอบจากความกลัว และความอยู่รอด

    ส่วนสมัยสังคมยุคปัจจุบันศาสนาเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งของสังคมแต่ขอให้ดูประวัติของพระพุทธศาสนาคือ

    -พระพุทธเจ้าเป็นลูกกษัตริย์ มีความมั่งคั่ง มีความสุข พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆก็ล้วนแต่มีตระกูลสูง(ไม่ใช่ประเภทกษัตริย์ ก็เป็นพราหมณ์) มีความร่ำรวย ถึงแม้พระศรีอริยเมตไตรยที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็กล่าวกันว่าทุกคนจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนกันหมด (ข้าพเจ้าเดาเอาเองว่าหากพระพุทธเจ้าทรงมีกำเนิดจากคนจน ก็ย่อมมีผู้ค้านว่าด้วยแรงดันแห่งความจนนั้นแหละ จึงทำให้มองทุกอย่างในแง่ทุกข์ไปหมด)

    -พระพุทธเจ้า ในขณะที่มีความสุข ได้เห็นคนชรา คนเจ็บ และคนตาย และทรงทราบว่าทุกคนเป็นดังนั้น จึงทรงต้องการช่วยมนุษย์ชาติให้พ้นทุกข์เหล่านั้นอย่างถาวร แล้วสละความสุขออกบวช จนกระทั่งตรัสรู้

    การกระทำดังนั้นแสดงว่าบ่อเกิดของพระพุทธศาสนาเกิดจากความเมตตาเป็นสำคัญ ไม่ใช่เกิดเพราะความกลัว ไม่ใช่เกิดเพราะต้องการอยู่รอด และไม่ใช่เกิดเพราะความต้องการของสังคม (อันที่จริงท่านกล่าวว่าศาสนาของท่านเป็นการทวนกระแส – คือกระแสของผู้คน – ด้วยซ้ำ)
    ความเมตตาดังกล่าวคือต้องการช่วยให้คนมีความสุขชั่วนิรันดร์ได้.

    3.ศาสนาพุทธคือความจริงของธรรมชาติ
    ศาสนาพุทธไม่ใช่ทฤษฎี ไม่ใช่ความเชื่อ ไม่ใช่ปรัชญา แต่เป็นความจริงที่ปรากฏเป็นอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาเผยแพร่ เมื่อเป็นความจริงของธรรมชาติ จึงเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ และไม่ขึ้นกับกาลเวลา

    ความจริงข้อนี้ ควรจะทราบกันอยู่แล้วทุกคน แต่เนื่องจากได้ปล่อยให้ผ่านหูไปเฉยๆ ก็เลยไม่เห็นความสำคัญ

    กล่าวคือในเมื่อศาสนาอื่นมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงมีหลายองค์ อันที่จริงพระไตรปิฎกกล่าวว่า พระพุทธเจ้ามีมาแล้วนับไม่ถ้วนองค์

    โดยเฉพาะกัปปนี้ ก็เป็นที่ทราบกันว่า มี สมเด็จพระพุทธเจ้ากุกุทสันโธ, โกนาคม, กัสสปและสมณโคดมอันเป็นองค์ปัจจุบัน องค์ที่จะตรัสรู้องค์ต่อไปคือพระศรีอาริยเมตไตรย

    สาเหตุที่เรียกว่าเป็นพระพุทธเจ้า ก็เพราะทุกองค์ตรัสรู้หลักธรรมชาติอย่างเดียวกันหมด คือ อริยสัจ ๔ นั่นเอง

    แม้พระพุทธเจ้าในอนาคตก็จะตรัสรู้อริยสัจ ๔ นี้แหละ
    จากเล่ม ๑๙ หน้า ๔๙๘
    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีตกาล ตรัสรู้แล้วตามความเป็นจริง

    ถึงพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งในอนาคตกาล จักตรัสรู้ตามความเป็นจริง

    ถึงพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบัน ตรัสรู้อยู่ตามความเป็นจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น ตรัสรู้อยู่ซึ่งอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง”

    การพิสูจน์พระธรรมได้นี้เป็นเครื่องยืนยันว่าพระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง

    อย่างไรก็ดี วิธีพิสูจน์จะต้องใช้การฝึกจิตให้เป็นฌานเสียก่อนแล้วน้อมเข้าไปเพื่อญาณ อันเป็นเครื่องตรัสรู้อย่างยอดเยี่ยม (ดังกล่าวแล้ว)

    จากเล่ม ๙ หน้า ๒๕๕
    “ดูกร กัสสป มรรคมีอยู่ ปฏิปทามีอยู่ บุคคลปฏิบัติตาม แล้วจักเห็นเองว่าพระสมณะโคดมกล่าวตามกาล กล่าวจริง กล่าวอรรถ กล่าวธรรม กล่าววินัย”

    เมื่อได้กล่าวมาถึงเรื่องนี้แล้ว ควรจะยกข้อที่ควรจำใส่ใจไว้อย่างหนึ่งว่า
    จากเล่ม ๒๕ หน้า ๒๙๙
    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตย่อมตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในราตรีใด
    และย่อมปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในราตรีใด นั้นทั้งหมดย่อมเป็นอย่างนั้นแล ไม่เป็นอย่างอื่น”

    สรุปความง่ายๆว่า พระดำรัสของพระพุทธเจ้าระหว่างตรัสรู้กับปรินิพพาน เป็นความจริงทั้งหมด ไม่เป็นอย่างอื่น

    ที่ตรัสว่า “ไม่เป็นอย่างอื่น” นั้นก็อย่าข้ามไปเสียเฉยๆโดยไม่ให้ความสำคัญอะไรเลยเพราะความสำคัญมีอยู่ว่า พระพุทธเจ้าจะตรัสคำใดแล้วเป็นคำนั้นอย่างเดียว จะมีความหมายกำกวมแปลเป็นอย่างอื่นได้นั้น ไม่ตรัส.

    ข้อนี้แหละที่มักจะละเลยกันไปเสียเป็นส่วนมาก เอาพระธรรมมาตีความกันเอาเอง แล้วอ้างว่าพระพุทธเจ้าตรัสบ้าง อ้างว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้นความจริง ท่านหมายความว่าอย่างนี้บ้าง ซึ่งเหลวไหล

    เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่าสวรรค์ท่านก็หมายความว่าสวรรค์จริงๆ ไม่ได้หมายความว่าความสุขอยู่ในอก

    เมื่อตรัสถึงนิพพาน ก็นิพพานจริงๆ ไม่ได้หมายถึงตายธรรมดา.

    ย้อนกลับไปถึงเรื่องพระไตรปิฎก (ซึ่งกล่าวหาว่ามีการเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ของผู้ตกแต่งเพิ่มเติมเอง) ก็จะเห็นได้ว่า จะมีผู้ใดหาญเพิ่มเติมเข้าไปได้ เพราะว่าเมื่อเพิ่มเติมเข้าไป ก็ย่อมพิสูจน์ได้ว่าไม่เป็นความจริง แล้วจะกลายเป็นเครื่องฆ่าตัวเองในภายหลัง

    ขอจบการสื่อสารในตอนที่ ๗ ไว้แต่เพียงเท่านี้
    ในตอนต่อไป ในบันทึกท่านเจ้ากรมเสริมจะกล่าวถึงเรื่อง การกล่าวอ้างของศาสนาอื่น

    จากบันทึกหน้าที่ ๖๙ – ๗๔ ของ
    พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์
    โพสต์โดย อินทรีย์
    ภาพโดย มหาสุ

    เครดิตข้อมูลจาก
    บันทึกธรรมของท่านเจ้ากรมเสริม | Facebook
     

แชร์หน้านี้

Loading...