วิเคราะห์ความคิดทางการเมืองในพระพุทธศาสนา

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย Chakkrapong, 29 มีนาคม 2013.

  1. Chakkrapong

    Chakkrapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +213
    วิเคราะห์พุทธทำนายสิบหกข้อ​

    พุทธทำนายสิบหกข้อนี้ทรงทำนายจากพระสุบินของพระเจ้าปเสนทิโกศล เนื้อหาของพุทธทำนายกล่าวถึงเหตุเภทภัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (อนาคตของตอนนั้น ก็คือยุคของพวกเราทุกวันนี้นี่แหละ) ซึ่งในที่นี้ผม “ย่อความ” มาจากหนังสือพุทธทำนายเล่มหนึ่ง ซึ่งพุทธทำนายเรื่องนี้มาจากพระสูตรใดนั้นไม่ทราบแน่ชัด แต่ที่แน่ๆ เหตุอาเพศตามพุทธทำนายได้เกิดขึ้นกับโลกทุกวันนี้แล้ว

    1.โคจะชนกันแต่ก็ไม่ได้ชน
    “ในอนาคตเมื่อโลกหมุนไปถึงจุดเสื่อม ในรัชกาลของพระราชาผู้กำพร้า ผุ้มิได้ครองราชย์โดยธรรม และในกาลของหมู่มนุษย์ผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อกุศลธรรมลดน้อยถอยลง อกุศลธรรมหนาแน่นขึ้น ในกาลที่โลกเสื่อม ฝนจักแล้ง และตีนเมฆจักขาด ข้าวกล้าจักแห้ง ทุพภิกขภัยจักเกิด เมฆตั้งขึ้น พอพวกผู้หญิงรีบเก็บข้าวเปลือกที่ผึ่งแดดไว้เข้าร่มเพราะกลัวเปียก เมื่อพวกผู้ชายต่างพากันไปเพื่อจะก่อคันกั้นน้ำ ฟ้าก็ตั้งเค้าฝนจะตก แล้วก็ไม่ตกเลย ลอยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกันแล้วไม่ชน”
    พุทธทำนายนี้ ในปัจจุบันเกิดขึ้นแล้วจริงๆครับ ในทุกวันนี้ เมื่อลัทธิทุนนิยม - บริโภคนิยมครอบงำความคิดชาวโลก ให้มีความทะยานอยาก ละโมบ กล้าที่จะเบียดบังเพื่อนมนุษย์เพื่อสนองตัณหาตนเอง เมื่อประชาชนเลว ก็เลือกแต่ผู้ปกครองเลวๆมาปกครองบ้านเมือง
    (พระราชาทุศีลในพุทธทำนาย น่าจะหมายถึง พวกนักการเมืองสมัยใหม่ เช่น ปธน.(เป็นตำแหน่งเทียบเท่าพระราชา) นายก ฯลฯ มากกว่าจะแปลว่าพระมหากษัตริย์ เพราะทุกวันนี้พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจที่จะกำหนดความเป็นไปใดๆของประเทศได้อีกต่อไปแล้ว ทรงดำรงตำแหน่งในทางสัญลักษณ์เท่านั้น ส่วนอำนาจการในการกำหนดความเป็นไปของประเทศจริงๆอยู่กับนักการเมืองแบบสมัยใหม่ บางประเทศไม่มีพระมหากษัตริย์ด้วยซ้ำไป เช่น อเมริกา ที่ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ และระบอบกษัตริย์เลย (ที่มีคำทำนายมั่วๆว่า ต่อไปกษัตริย์ทั่วโลกจะปฏิวัติฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ขึ้นมาใหม่ทั่วโลก จึงเป็นเรื่องเหลวไหลตั้งแต่ข้อมูลที่ใช้ประกอบคำทำนายเลยทีเดียว ก็เห็นๆกันอยู่ ว่าอเมริกามันไม่เคยมีสถาบันกษัตริย์ แล้วมันจะเอาสถาบันกษัตริย์ของมันที่ไหนมาฟื้นระบอบกษัตริย์ของมันขึ้นมา ก็มันไม่เคยมีทั้งสถาบันทั้งระบอบกษัตริย์ แล้วมันจะฟื้นขึ้นมาได้ยังไง มั่วจริงๆ อีกอย่าง ลองฟื้นดูดิ ประชาชนเขาไม่ยอมหรอก ฟื้นขึ้นมาอีกก็โดนล้มไปอีกเท่านั้น พวกทำนายมั่วนี่มันทำคนไขว้เขวจริงๆ)
    พระมหากษัตริย์ในทุกวันนี้ต่อให้เป็นคนทุศีลแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำความวุ่นวายใดๆให้กับประเทศได้มากนัก เพราะไม่ได้มีอำนาจกำหนดความเป็นไปใดๆของประเทศอีกแล้ว อำนาจดังกล่าวทุกวันนี้เป็นของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
    ดังนั้นพระราชาทุศีลในพุทธทำนายจึงน่าจะหมายถึง พวกนักการเมืองแบบสมัยใหม่ (เป็นบางคนไม่ใช่ทุกคน) ที่ใช้อธรรมปกครองบ้านเมือง จนบ้านเมืองวุ่นวาย)
    เมื่อผู้ปกครองทุศีลได้ปกครองประเทศต่างๆ ก็ยิ่งผลักดันประชาชนให้เข้าหาอธรรม (ซึ่งก็คือลัทธิบริโภคนิยม ความละโมภ โสเภณี ยาเสพติด เหล้า) มากยิ่งขึ้นไปอีก
    หนำซ้ำ ลัทธิทุนนิยม ยังเปิดโอกาสให้นายทุนเข้ามาครอบงำนักการเมืองได้อีก นักการเมืองจะทำอะไรที่ขัดใจพวกนายทุนไม่ได้เลย นโยบายต่างๆต้องเอื้อประโยชน์ให้มันหมด มิอาจทำเพื่อประชาชนทั่วไปได้อย่างแท้จริง มันอยากได้ไม้ก็ต้องปล่อยให้มันตัดไม้ทำลายป่าได้ตามใจชอบ มันอยากได้ที่ดิน ก็ต้องปล่อยให้มันไปไล่ที่ชาวบ้านได้ตามใจชอบอีก ไม่สามารถดำเนินการใดๆกับมันได้เลย เพราะถ้าไปขัดใจมัน มันจะไม่ให้เงิน ซึ่งก็จะทำให้ตัวนักการเมือง ไม่มีทุนในการหาเสียงเลือกตั้งคราวหน้าอีกต่อไป ชาวบ้านไร้ที่ทำกิน ก็ต้องไปบุกรุกพื้นที่ป่า การที่ป่าถูกบุกรุกทั้งจากนายทุนและชาวบ้านส่งผลให้ทุกวันนี้ ภัยธรรมชาติจึงเกิดขึ้นมากมาย
    ลัทธินี้ไม่ได้ครอบงำแค่เมืองไทยเท่านั้น แต่ครอบงำกันหมดทั้งโลก ทุกวันนี้กระแสบริโภคนิยมมันตีไปหมด ขนาดประเทศคอมมิวนิตส์ยังต้องโดนมันเข้าไปครอบงำเลย ก็แปลว่าทุกวันนี้ การเมืองของเกือบทุกประเทศในโลก มีลักษณะข้างต้นหมด คือ นายทุนนักธุรกิจครอบงำสังคม นักการเมืองกลัวเกรง สิทธิเสรีภาพประชาชนถูกนักการเมืองละเลย เพราะนักการเมืองถูกนักธุรกิจบังคับ ให้ละเลย แล้วมาสนใจแต่ผลประโยชน์แอบแฝงของตัวมันเองอย่างเดียว
    เอาง่ายๆ อเมริกากับญี่ปุ่นที่เขาบอกว่ามันเจริญนักหนานี่ เนื้อแท้มันไม่ต่างอะไรกับไทยหรอก นักการเมืองประเทศมันก็กลัวนายทุน โดนนายทุนเอาเงินฟาดหัวเหมือนกัน ฟังนายทุนมากกว่าฟังประชาชนเหมือนกัน แต่ที่ประเทศมันไม่มีความขัดแย้งมากเท่าไทยและเจริญกว่าไทย ก็เพราะว่ามันสูบเอาความสงบสุข ความเจริญ จากประเทศที่ถูกครอบงำอย่างไทยกลับไปบรรเทาปัญหาของประเทศมันนั่นเอง
    การรณรงค์ลดโลกร้อน รณรงค์ไปเถอะครับ ตะโกนให้ตายคุณก็หยุดการทำลายธรรมชาติไม่ได้หรอก ตราบใดที่ลัทธิทุนนิยมยังอยู่ ธรรมชาติก็จะถูกทำลายเพื่อนำมาแปลงเป็นผลประโยชน์ต่อไป
    ดูเหมือนว่า การทำให้ธรรมะเข้าสู่หัวใจของคนไทยเท่านั้นจะไม่พอที่จะหยุดภัยธรรมชาติเสียแล้ว เพราะเหตุที่ว่า ต่อให้ไทยเป็นสังคมธรรม ที่มีความเมตตาต่อธรรมชาติได้ แต่ประเทศอื่นยังคงถูกครอบงำด้วยลัทธิอธรรมทุนนิยม และลงมือทำลายธรรมชาติต่อไป สุดท้ายประเทศไทยที่เป็นสังคมธรรมก็ไม่มีทางหนีพ้นจากภัยธรรมชาติได้อยู่ดี ต้องพลอยโดนลูกหลง หรืออาจจะโดนเต็มๆแทนที่ประเทศเขาก็ได้ ดังนั้นหากอยากจะหยุดภัยธรรมชาติ ก็มีแต่จะต้องให้ศีลธรรมได้ปกครองโลกทั้งโลกเท่านั้น

    2.ต้นไม้เล็กผลิดอกออกผลได้
    “ในกาลที่โลกเสื่อม เวลามนุษย์มีอายุน้อย สัตว์ทั้งหลายในอนาคตจักมีราคะกล้า กุมารีมีวัยยังไม่สมบูรณ์จักสมสู่กับบุรุษอื่น เป็นหญิงมีระดู มีครรภ์ พากันจำเริญด้วยบุตรและธิดา เปรียบเหมือนต้นไม้เล็กๆมีดอกมีผล”
    พุทธทำนายนี้ก็จริง ทุกวันนี้ลัทธิทุนนิยม นอกจากจะผลักคนเข้าหาอธรรม สนับสนุนให้คนในประเทศเบียดเบียนกันเองแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ ประเทศทุนนิยมมหาอำนาจสามารถเข้าครอบงำทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม (เผลอๆอาจเป็นการเข้าครอบงำทางการเมืองด้วย) ประเทศมหาอำนาจทุนนิยม อย่างญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น สามารถใช้เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของตนเข้าครอบงำ ระบบเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของชาติทุนนิยมที่ล้าหลังกว่าอย่างไทยได้ โดยที่ชาติที่ถูกครอบงำยากที่จะขัดขืน เอกราชทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมแทบจะถูกริดรอน จะผลิตรถ ยาง หรือแม้แต่แท่นพิมพ์สายพานการผลิตเองก็ไม่ได้ นายทุนต่างชาติมันก็บอกว่าผิดลิขสิทธิ์มัน หากอยากสร้าง ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้มันก่อน ทั้งๆที่เราผลิตด้วย ความคิด น้ำแรง เงิน เหล็ก ของเราเอง แต่ก็ต้องคอยส่งบรรณาการให้มันเรื่อยๆ
    แต่ถ้ามันจะผลิตรถ ง่ายเลย แค่มาตั้งฐานการผลิตในไทย เอาเหล็กของประเทศไทยมาผลิตเป็นรถมัน โดยเอาเงินฟาดหัวเจ้าหน้าที่รัฐให้ยอมเอาเหล็กให้มันง่ายๆ พอผลิตก็เป็นรถในนามของประเทศมัน เอามาขายให้คนไทย คนไทยต้องซื้อรถต่างชาติที่ทำจากเหล็กของประเทศตัวเอง เงินที่ได้จากการขาย นายทุนบริษัทรถต่างชาติส่งกลับไปบำเรอญาติพี่น้องมันที่บ้านเมืองมันหมด
    คนงานที่มันใช้งาน ก็คนไทยทั้งนั้นแหละ มันข้ออ้างว่ามันมาสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนไทยขึ้นมาบังหน้า แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันมาขูดรีดคนไทยหรอก ค่าแรงก็โดนมันโกง แรงงานไทยถูกหลอกให้ทำงานให้มันเพื่อแลกกับค่าแรงต่ำๆ ทำงานทั้งวันได้ค่าแรงมา สามชั่วโมง ส่วนค่าแรงอีกยี่สิบเอ็ดชั่วโมง ก็โดนพวกนายทุนต่างชาติมันฮุบเอา ส่งกลับประเทศมัน จะประท้วงก็ไม่ได้ เดี๋ยวโดนมันไล่ออก งานยิ่งหายากอยู่ด้วย จะกลับต่างจังหวัดก็ไม่ได้ ที่นาโดนยึดหมดแล้ว กลับไปก็มีแต่จะพินาศกันหมด ทั้งตัวเอง ทั้งพ่อแม่ลูกเมียที่รออยู่ที่บ้าน
    ประเทศไทยเลยต้องเสียทั้งเหล็ก เสียทั้งเงิน เสียทั้งกำลังคน เสียทั้งศักดิ์ศรี เพราะความลุแก่อำนาจของพวกชาติมหาอำนาจทุนนิยมโดยแท้
    หนึ่งในบรรดากิจการเบียดเบียนคนไทยของนายทุนต่างชาติ มีอยู่กิจการหนึ่งที่เบียดเบียนคนไทยได้อย่างลึกซึ้ง นั่นก็คือกิจการสื่อลามกอนาจาร นายทุนต่างชาติเจ้าของกิจการเหล่านี้ ใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เป็นของประเทศไทยผลิตสื่อของมันขึ้นมา กระดาษก็กระดาษเรา หมึกก็หมีกเรา บางเจ้าเข้ามาผลิตและขายเองในเมืองไทย บางเจ้าก็ให้คนไทยซื้อลิขสิทธิ์มันเข้ามาตีพิมพ์ (เงินไทยไหลออกนอกอีก แปลว่าสำนักพิมพ์ไทยที่ซื้อลิขสิทธิ์มัน เป็นคนขายชาตินั่นเอง ผมกล้าพูดเลยว่าขายชาติ จะขายสื่อทั้งที เขียนเองซะก็ได้ ไม่เห็นต้องไปซื้อลิขสิทธิ์สื่อต่างชาติเข้ามาให้เงินไหลออกนอกเลยนี่ หรือจะเป็นเพราะสำนักพิมพ์หรือบรรษัทภาพยนต์ สื่อบันเทิงเหล่านี้ เห็นแก่เงินมากกว่าประเทศชาติ มันคงจะคิดเนอะ ว่าผลงานที่คนไทยวาดคงจะขายไม่ดีเท่าสื่อต่างประเทศ มันเลยเอาแต่ซื้อแต่สื่อบันเทิงนอกเข้ามาแปลขาย ยอมให้เงินของประเทศไหลออกนอก ดีกว่าการที่ตนไม่มีเงินใช้)
    สื่อต่างชาติเหล่านี้มักจะเป็นสื่อลามก หรือมีเนื้อหาทำลายสังคม ทำให้คนไทยที่เสพย์มัน ต้องหลงใหล เสียคนไปกับมัน โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นไทยที่พอเสพย์มันเข้าไป ก็อยากลองของจริงมั่ง ไปมีเซ็กส์ในวัยเรียน พอท้องขึ้นมาก็ไปทำแท้ง ประเทศไทยนี่ติดอันดับท็อปของโลกในเรื่องนี้เลยนะ (อายไหม) เรียกว่าสื่อพวกนี้นอกจากจะทำลายเศรษฐกิจแล้ว ยังทำลายวัฒนธรรมได้อย่างลึกซึ้งอีกด้วย
    ทางแก้ คือเราต้องสร้างขบวนการล้มล้างลัทธิทุนนิยม ขับไล่นายทุนต่างชาติออกไป สร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นธรรมกว่านี้ ด้วยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า กิจการที่เป็นภัยต่อสังคมจะต้องถูกสั่งห้าม แต่ห้ามอย่างเดียวไม่ได้ รัฐบาลต้องหากิจการที่เป็นผลดีต่อสังคมมาให้ทำแทนด้วย
    นอกจากนี้เราควรจะมีมาตรการป้องกันปัญหาเซ็กส์และท้องในวัยเรียน อาจจะเป็นการออกกฏหมายจำคุกให้แก่เด็กที่ชิงสุกก่อนห่ามทั้งหลาย แต่นี่คือการแก้ที่ปลายเหตุ ส่วนการแก้ที่ต้นเหตุก็คือการกวาดล้างกิจการสื่อลามกนั่นเอง

    3.แม่โคดื่มนมลูกโค
    “ในอนาคต ในเวลาที่มนุษย์ทั้งหลาย พากันละทิ้งเชษฐาปจายิกกรรม นั่นคือละทิ้งความเป็นผู้ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ในอนาคตฝูงสัตว์จักมิได้ตั้งไว้ซึ่งความยำเกรงในมารดาบิดา หรือในแม่ยายพ่อตา ต่างแสวงหาทรัพย์สินด้วยตนเองทั้งนั้น เมื่อปราถนาจะให้ของกินของใช้แก่คนแก่ๆ ก็ให้ ไม่ปราถนาจะให้ก็ไม่ให้ คนแก่ๆพากันหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนเองก็ไม่ได้ ต้องง้อพวกเด็กๆเลี้ยงชีพ เป็นเหมือนแม่โคดื่มนมลูกโค”
    ระบบทุนนิยม มองมนุษย์ว่าเป็นเครื่อมือการผลิตของระบบอย่างหนึ่ง มนุษย์คนไหนที่ใช้งานใช้การไม่ได้ ก็เฉดหัวทิ้งเหมือนสิ่งของที่ไร้ค่า คนแก่ เด็ก คนพิการ คือสิ่งที่ระบบนี้เฉดหัวทิ้ง เพราะไม่มีประโยชน์ในฐานะเครื่องมือในการผลิตผลประโยชน์ให้พวกนายทุน ระบบก็ปฏิเสธที่จะให้งานทำแก่บุคคลเหล่านี้ เพราะให้ไปก็ผลิตไม่ได้คุณภาพ จะจัดตำแหน่งไว้ให้เฉพาะกับคนหนุ่มสาวที่ใช้งานได้เท่านั้น ทำให้คนแก่ เด็ก คนพิการ ต้องคอยง้อคนหนุ่มสาวเพื่อยังชีพ
    บาปกรรมนี้ ทุนนิยมต้องชดใช้!!!

    4.ฝูงชนไม่เทียมโคใหญ่ๆ ที่เคยพาแอกไป กลับไปใช้งานโครุ่นๆ ที่กำลังฝึกเข้าในแอก โครุ่นๆเหล่านั้นพาแอกไปไม่ได้ ก็พากันสลัดอกยืนเฉยเสีย เกวียนทั้งหลายก็ไปไม่ได้
    “ในรัชสมัยของพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมในอนาคต พระราชาผู้มีบุญน้อยมิได้ดำรงในธรรม จักไม่พระราชทานยศแก่มหาอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตฉลาดในประเพณี สามารถที่จะยังสรรพกิจให้ลุล่วงไปได้ จักไม่ทรงแต่งตั้งอำมาตย์ผู้ใหญ่ ผู้เป็นบัณฑิต ฉลาดในโวหารไว้ในที่วินิจฉัยคดีในโรงศาล แต่พระราชทานยศแก่คนหนุ่มๆ ตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้วนั้น แต่งตั้งบุคคลเช่นนั้นไว้ในตำแหน่งผู้วินิจฉัยอรรถคดี คนหนุ่มพวกนั้น ไม่รู้ทั่วถึงราชกิจ และการอันควรไม่ควร ไม่อาจดำรงยศนั้นไว้ได้ ทั้งไม่อาจจัดทำราชกิจให้ลุล่วงไปได้ จักพากันทอดทิ้งธุระการงานเสีย ฝ่ายอำมาตย์ที่เป็นบัณฑิตเป็นผู้ใหญ่ เมื่อไม่ได้ยศ ถึงจะสามารถที่จะให้กิจทั้งหลายลุล่วงไป ก็จักพากันกล่าวว่า พวกเราต้องการอะไรด้วยเรื่องเหล่านี้ พวกเรากลายเป็นคนนอกไปแล้ว พวกเด็กหนุ่ทเขาเป็นพวกอยู่วงใน เขาคงรู้ดี แล้วไม่รักษาการงานที่เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเสื่อมเท่านั้นจักมีแก่พระราชาเหล่านั้น ด้วยประการทั้งปวง เป็นเสมือนเวลาที่คนจับโครุ่นๆกำลังฝึก ยังไม่สามารถจะพาแอกไปได้ เทียมไว้ในแอก และเป็นเวลาที่ไม่จับเอาโคใหญ่ๆ ผู้เคยพาแอกไปได้ มาเทียมแอกฉะนั้น”
    นักการเมืองผู้ทุศีล ซึ่งถูกนายทุนครอบงำ จะไม่แต่งตั้งข้าราชการที่ดีมีคุณธรรม มีประสบการณ์ชำนาญงาน ไว้ในตำแหน่งสำคัญๆ แต่จะให้ตำแหน่งนั้นกับข้าราชการที่มีประสบการณ์น้อยแทน เพราะพวกนี้ถึงจะทำงานไม่เก่ง แต่ประจบนายทุนเก่ง นายทุนก็เลยเอาเงินมาฟาดหัวรัฐบาลให้แต่งตั้งคนพวกนี้ไว้ในตำแหน่งสำคัญๆ มีเงินเดือนสุขสบาย ส่วนข้าราชการที่ทำงานเก่งมีประสบการณ์จริงๆ แต่เลียใครไม่เป็น ก็มิอาจเป็นใหญ่ได้ ส่วนคนที่ได้เป็นใหญ่ ทำงานไม่เก่ง แต่เลียเก่งอย่างเดียว
    เมื่อได้คนทำงานไม่เก่งมานั่งในตำแหน่งสำคัญๆ ชาวบ้านก็เดือดร้อน ไม่ยอมเลือกนักการเมืองที่แต่งตั้งข้าราชการฝีมือห่วยๆเข้ามาทำงานในตำแหน่งสำคัญ มาเป็นรัฐบาลอีกต่อไป

    5.ม้าตัวหนึ่งมีปากสองข้าง ฝูงชนให้หญ้าที่ปากทั้งสอง มันเคี้ยวกินด้วยปากทั้งสองข้าง
    “ในรัชกาลของพระราชาผู้ไม่ดำรงในธรรม ในอนาคต ด้วยว่าในกาลภายหน้า พวกพระราชาโง่เขลา ไม่ดำรงธรรม จักทรงแต่งตั้งมนุษย์โลเล ไม่ประกอบด้วยธรรม ไว้ในตำแหน่งวินิจฉัยคดี คนเหล่านั้นเป็นพาล ไม่เอื้อเฟื้อในบาปบุญ พากันนั่งในโรงศาล เมื่อให้คำตัดสิน ก็จักรับสินบนจากมือของคู่คดีทั้งสองฝ่ายมากิน เป็นเหมือนม้ากินหญ้าด้วยปากทั้งสองฉะนั้น”
    ผู้พิพากษาในยุคนี้ต่างจากสมัยก่อน ผู้พิพากษาสมัยก่อนนี่ สวัสดิการน้อยมาก เพื่อที่จะคัดคนที่เสียสละซื่อสัตย์จริงๆมาเป็น แต่ยุคนี้มันยุคทุนนิยม ค่านิยมใหม่คือ “ผู้พิพากษาต้องสวัสดิการหรูๆ ไม่งั้นรับใต้โต๊ะ” ทำให้มีแต่พวกละโมภในลาภยศเข้ามาเป็นกันมาก พวกนี้แค่เงินเดือนผู้พิพากษา (ตั้ง) หลักแสนมันไม่พอใจหรอก พอคู่ความให้ใต้โต๊ะ พวกนี้รับทันที แล้วก็ตัดสินลำเอียง โดยเฉพาะหากคนยัดใต้โต๊ะเป็นนายทุน รอดตลอดครับ เพราะมีเงินไปยัดปากผู้พิพากษาเสมอ (ระบบทุนนิยมนี่ ออกแบบมาเพื่อให้คนปฏิบัติกับคนอย่างทุเรศจริงๆ)
    ถ้าผมเป็นรัฐบาล ผมจะหักเงินเดือน หักสวัสดิการ ผู้ที่ทำงานด้านตุลาการทั้งแถบทันที เอาให้แร้นแค้นกว่าข้าราชการชั้นผู้น้อยไปเลย (ยกเว้นตำรวจที่ต้องทำงานเสี่ยงตาย) เพื่อคัดคนมีอุดมการเท่านั้นที่จะมานั่งในตำแหน่งชี้ชะตาชาวบ้านได้แบบนี้

    6.มหาชนขัดถูถาดทองราคาแพง แล้วพากันนำไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง ด้วยคำว่า เชิญท่านเยี่ยวใส่ในถาดทองนี้เถิด หมาจิ้งจอกแก่นั้นก็ถ่ายปัสสาวะใส่ในถาดทองนั้น
    “ในอนาคต ด้วยว่าในกาลภายหน้า พวกพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมจะทรงรังเกียจกุลบุตรผู้สมบูรณ์ด้วยชาติเสีย แล้วไม่พระราชทานยศให้ จักพระราชทานให้แก่คนที่ไม่มีสกุลเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สกุลใหญ่ๆจักพากันตกยาก สกุลเลวๆจักพากันเป็นใหญ่ ก็เมื่อพวกมีสกุลเหล่านั้น ไม่อาจเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ จักคิดว่าเราต้องอาศัยพวกเหล่านี้เลี้ยงชีวิตสืบไป แล้วก็พากันยกธิดาให้แก่ผู้ไม่มีสกุล การอยู่ร่วมกับคนพวกไม่มีสกุลของกุลธิดาเหล่านั้น ก็จักเป็นเช่นเดียวกับถาดทองรองเยี่ยวหมาจิ้งจอก”
    อย่าลืมว่าศาสนาพุทธเราถือว่า สูงต่ำไม่ได้อยู่ที่ชาติกำเนิดว่ารวยหรือจน แต่อยู่ที่การกระทำว่าดีหรือเลว ดังนั้น คนสกุลต่ำในคำทำนายจึงน่าจะหมายถึง คนเลวที่มาจากสกุลที่เลว (บุตรหลานของนายทุนผู้ชอบเบียดเบียนชาวบ้านนั่นเอง) ไม่น่าจะหมายถึง คนจนนะ เพราะจากที่ผมลองสังเกตดู ผมก็ไม่พบว่าคนที่ถูกรังแกเป็นคนรวย มีแต่คนจนเท่านั้นแหละที่โดนเขารังแก
    นักการเมืองที่โดนนายทุนครอบงำทั้งหลาย จะโดนนายทุนบีบบังคับให้รับบุตรหลานของตนเข้าทำงานเป็นข้าราชการเท่านั้น ด้วยการเอาเงินฟาดหัว หรือใช้อิทธิพลข่มขู่ ส่วนบุตรหลานคนจนที่มีคุณธรรมกันทั้งพ่อแม่และลูก เมื่อไม่เอาเงินไปฟาดหัวเขา เขาก็ไม่รับเข้าทำงาน คนดีตกงานกันเป็นแถว ต้องไปขอพึ่งพาพวกตระกูลนายทุน บางครอบครัวสิ้นหนทาง ต้องบังคับลูกสาวให้ยอมขายตัว หรือเป็นเมียน้อยพวกเสี่ยๆ ลูกสาวก็เป็นคนดี กลัวพ่อแม่จะอดอยาก ก็เลยต้องยอมเป็นเมียของพวกนายทุนเลวๆ

    7.บุรุษผู้หนึ่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั่ง กัดกินเชือกนั้น เขาไม่ได้รู้เลยทีเดียว
    “ในอนาคต ด้วยว่าในกาลภายหน้า หมู่สตรีจักพากันเหลาะแหละโลเลในบุรุษ ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว ชอบเที่ยวเตร่ตามถนนหนทาง เห็นแก่อามิส เป็นหญิงทุศีล มีความประพฤติชั่วช้า พวกนางจักกลุ้มรุมกันแย่งเอาทรัพย์ที่สามีทำงาน มีกสิกรรม และโครักขกรรมเป็นต้น สั่งสมไว้ด้วยยาก ลำบาก ลำเค็ญ เอาไปซื้อสุราดื่มกับชายชู้ โดยส่วนบนของบ้านที่มิดชิดบ้าง โดยที่ซึ่งลับตาบ้าง แม้ข้าวเปลือกที่เตรียมไว้สำหรับหว่านในวันรุ่งขึ้น ก็เอาไปซ้อมจัดทำเป็นข้าวต้ม ข้าวสวย และของเคี้ยวเป็นต้น มากินกัน เป็นเหมือนนางหมาจิ้งจอกโซ ที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่นแล้ว หย่อนลงไว้ใกล้ๆเท้าฉะนั้น”
    ในยุคนี้ก็มีเยอะครับ ผู้หญิงที่หลอกผู้ชายเป็นสวะเกาะกินสามี แล้วเอาทรัพย์ของสามีไปหาชายชู้ และขณะเดียวกัน ผู้ชายที่เกาะภรรยากินเป็นแมงดา เอาทรัพย์ภรรยาไปให้เมียน้อย ก็มีอีกเหมือนกัน
    --------------------------------------------------------------
    นอกจากภรรยานอกใจสามีแล้ว เหตุอาเพศอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับผู้หญิงในโลกทุกวันนี้ก็คือ ปัญหาการขายตัว นั่นเอง
    ความล้มเหลวของระบบทุนนิยม ทำให้คนตกงาน และยังผลิตสื่อลามกออกมาทำให้คนมีราคะมากขึ้น ผลที่ตามมาก็คือ อาชีพโสเภณีก็ระบาดในสังคมแบบนี้ ผู้หญิงที่ไม่มีงานทำ ก็ต้องยอมเสียตัวทำงานนี้เพื่อแลกกับที่จะได้เงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัว บางคนมีงานทำอยู่แล้ว แต่เพราะอยากทำเฉยๆ ก็เลยมาทำซะ
    พวกประเทศคอมมิวนิตส์ มันด่าประเทศทุนนิยมว่า มีแต่โสเภณี ซึ่งก็จริงอย่างที่มันว่า
    นี่คือเรื่องจริง ที่ผมไม่เล่าไม่ได้
    ความเสื่อมโรมของ กทม. ยามราตรี
    อันนี้เป็นประสบการณ์จริงจากการที่ผมเคยไปตะลอนในย่า นเสื่อมโทรมของกรุงเทพในยามราตรีครับ ยืนยันว่าจริงล้วนๆไม่โกหกครับ ที่ต้องออกมาแฉเนี่ยเพราะทนไม่ได้จริงๆกับความเสื่อม โทรมของสังคมไทย โดยจะขอเล่าแบบเป็นช็อตๆเป็นตอนๆไปโดยเอาตัวผมเป็นบุ คคลที่ 1 มีการสอดแทรกมุมมองส่วนตัวลงไปเป็นระยะๆครับ
    เหตุการณ์ก่อนไปเที่ยว
    เรื่องมันมีอยู่ว่า มีเพื่อนผมคนหนึ่งชื่อว่า เหลิม มันมาเล่าให้ผมฟังว่าเมื่อคืนก่อนตอนมันกำลังนั่งรอร ถเมล์อยู่ที่วงเวียน 22 ได้มีผู้หญิงขายบริการมาตามตื้อให้ซื้อบริการด้วย แต่มันไม่ซื้อ
    เมื่อผมได้ฟังอย่างนั้น ตอนแรกก็ไม่เชื่อ หาว่ามันโกหก ก็ตรงนั้นมันกลางเมืองหลวงนะเฟ้ย ตำรวจแถวนั้นก็ออกเยอะแยะ ไอ้เหลิมมันก็เลยท้าว่า "ถ้ามึงไม่เชื่อ งั้นเดี๋ยวกูพามึงไปดูเอามั๊ย ถ้าไม่เจอยอมให้กระทืบเลย" ในเมื่อมันท้าอย่างนี้ผมก็ต้องตอบตกลง คืนนั้นผมกับมันนั่งรถเมล์ไปลงที่เยาวราชก่อน แล้วค่อยเดินเท้าไปถึง วงเวียน 22
    เส้นทางเยาวราช - วงเวียน 22 จะไปแถวนั้นต้องขอขมาเด็กแว้นท์
    ระหว่างที่เดินๆอยู่บนถนนที่จะมุ่งหน้าจากเยาวราชไปส ู่วงเวียน 22 นั้น ไอ้เหลิมมันก็พูดกับผมว่า แถวนี้เด็กแว้นท์มันเยอะ และมันมีคติอยู่ว่าถ้ามันเจอวัยรุ่นแปลกหน้าเข้ามาใน ถิ่นมัน มันจะพากันจอดรถแล้วลงมากระทืบเล่นๆแบบไม่มีเหตุผลเพ ื่อความสะใจ ถ้าเกิดว่าเจอฝูงมอไซต์บิดกระหึ่มมาหา ให้รีบวิ่งเข้าไปในเซเว่นที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยด่วน ธรรมดาแล้วพวกนี้มันจะไม่ตามเข้าไปในเซเว่นเพราะมีกล ้องวีดีโอบันทึกภาพอยู่ เมื่อได้ฟังแล้วก็เล่นเอาผมขนลุกเลย เอาแล้ว นี่ตูมาเสี่ยงตายแล้วเหรอฟะเนี่ย แต่ใจหนึ่งก็นึกแค้นพวกตำรวจแถวนั้น ว่าทำไมไม่ยอมมาปราบปรามเด็กแว้นท์พวกนี้เลย จะบอกว่าไม่รู้เนี่ยก็คงไม่ใช่แล้ว เพราะรถตำรวจแถวนั้นก็วิ่งกันขวักไขว่ นี่ก็แปลว่าตำรวจแถวนั้นคงจะรับส่วยจากเด็กพวกนี้อยู่ ล่ะสิ อย่างนี้ถ้าให้ตำรวจมันเลือกระหว่างเด็กแว้นท์พ่อรวย กับชาวบ้านจนๆอย่างพวกผม ตำรวจเขาคงจะเลือกข้อแรก อย่างงี้ถ้าเกิดผมโดนเด็กแว้นท์กระทืบตายแบบไร้เหตุผ ลขึ้นมา ก็มีความเป็นไปได้สูงเลยสิที่คดีมันจะเงียบไป
    ในเมื่อเราพึ่งตำรวจไม่ได้ ก็ต้องพึ่งเซเว่นล่ะ ระหว่างทางนั้นพวกเราแวะเซเว่นข้างทางเป็นว่าเล่น
    วงเวียน 22 ดินแดนแห่งผู้หญิงขายบริการ
    เมื่อเราไปถึงวงเวียน 22 ในช่วงเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ผมก็พยายามมองซ้ายมองขวา แต่ก้ไม่ปรากฏว่ามีผู้หญิงขายบริการอย่างว่า ก็เลยนึกในใจว่างานนี้ต้องได้กระทืบไอ้เหลิมมันสมใจแ น่ๆไม่รอดหรอก ไอ้เหลิมเองก็ยอมรับว่ามันพลาดไปแล้ว เมื่อมาถึงตรงนี้พวกเราเลยตัดสินใจที่จะกลับ มาเสียเที่ยวแท้ๆนี่ตูจะอดหลับอดนอนมาทำแป๊ะไรว่าเนี ่ย
    เราเดินจากวงเวียน 22 เพื่อที่จะไปขึ้นรถเมล์อยู่สถานีหัวลำโพงเพื่อจะกลับ บ้าน แต่ระหว่างทางนั้น เราก็ได้เจอกับสิ่งที่เราเพียรหาจนได้
    เมื่อพวกผมเดินเข้าไปในซอยที่เชื่อมระหว่างวงเวียน 22 กับสถานีหัวลำโพง ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า 2 ข้างทางมีผู้หญิงขายบริการยืนเรียงรายเต็ม 2 ฝั่งถนนไปหมด รถตำรวจขับผ่านแถวนั้นแทบจะตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลงมาจับสักนิด เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว พวกผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะตลอดแนวถนนสายนั้นมีแต่พวกผม 2 คนเท่านั้นที่เป็นผู้ชาย ก็เลยต้องรีบเดินหวังจะออกจากถนนอุบาทว์นี้ให้เร็วที ่สุด
    แต่ก็ไม่ทันแล้ว เพราะระหว่างทางเราบังเอิญไปเดินตัดหน้าผู้หญิงขายบร ิการคนหนึ่งเข้า ผู้หญิงขายบริการคนนั้นจึงตะโกนไล่หลังเรามาว่า "นาย ไม่เที่ยวเหรอ นี่ขายคืนละ 200 เองนะ มีห้องให้ด้วย ติดแอร์เลย" เล่นเอาพวกผมสะดุ้งเฮือก แล้วหันไปตอบด้วยเสียงสั่นๆว่า ไม่หรอกครับพี่ วันนี้พวกผมไม่มีตังค์สักบาทเลย แล้วก็รีบเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างไม่เหลียวหลัง
    แต่ให้ตายสิ เดินตั้งนานแล้วก็ยังออกจากถนนบ้าๆนี่ไม่ได้สักที ก็เลยยอมรับว่าเราหลงทางแล้ว สิ่งที่เราต้องทำก็คือต้องมองหาใครสักคนแถวนั้นที่ดู ท่าทางเป็นคนดีเพื่อถามทาง แล้วก้ได้เจอกับคุณป้าคนหนึ่ง อายุประมาณ 60 ได้แล้ว ดูท่าทางแกแต่งตัวก็ดี คงไม่ใช่ผู้หยิงขายตัวหรอก ก็เลยเดินเข้าไปถามทาง แต่ปรากฎว่ายังไม่ทันได้ถามเลยครับ ก็โดนป้าแกยิงประโยคที่ไม่อยากได้ยินที่สุดในคืนนี้ม า นั่นก็คือ "หนู เที่ยวไหม" เล่นเอาพวกผมแทบหงายหลัง ต้องรีบเดินออกมาจากตรงนั้น
    จากนั้นพวกผมก็เดินหาสถานีหัวลำโพงด้วยความสามารถของ ตนเอง ไม่คิดจะไปถามทางจากใครแถวนั้นอีกแล้ว(เข้าไปใกล้มัน อีกเดี่ยวมันก็จะตื้อให้ซื้ออีกน่ะสิ) จนในที่สุดพวกผมก็ไปถึงหัวลำโพงได้จากการเดินมั่วๆขอ งตัวเองแหละ
    สิ่งที่ผมคิดได้จากการเดินฝ่าดงโสเภณีที่นี่ก็คือ
    1.เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ตำรวจ นักการเมือง ผู้ว่ากรุงเทพ นายกรัฐมนตรี ปล่อยให้ธุรกิจใต้ดินเช่นนี้ดำเนินการไปได้อย่างไร จะมาอ้างว่าไม่รู้นั้นคงไม่ใช่แล้ว รถตำรวจผ่านแถวนั้นบ่อยออก ผมเห็นมากับตาว่ามันขับผ่านกระหรี่ไปเฉยๆไม่ยอมจับ แล้วอย่างนี้ประชาชนจะไปพึ่งใครได้มิทราบ
    2.ผู้หญิงขายบริการที่ผมได้เห็นนี้ ส่วนใหญ่แต่งตัวสวยๆ มีเครื่องประดับแพงๆทั้งนั้น บางคนแต่งตัวดีแบบสาวออฟฟิศรวยๆเลย แค่เงินเดือนหลักหมื่นก็น่าจะพอเลี้ยงตนได้แล้วนี่ ไม่เห้นต้องทำแบบนี้เลย คงจะมาขายบริการเพราะความกระหายของตัวเองไม่ใช่เพื่อ เงินกระมัง
    และบางคน เป็นคนแก่ที่ควรจะทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวช นซะด้วยซ้ำไป แต่กลับมาทำอะไรที่บัดสีอย่างนี้
    แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะตัดสินใจทำด้วยความประสงค์ของต นเอง เพราะบางคนน่ะโดนพ่อแม่บังคับให้ทำแบบนี้เพื่อที่พ่อ แม่จะได้เงิน(อันนี้จริง โดยเฉพาะตามต่างจังหวัดที่พ่อแม่ที่ยอมขายลูกก็มีตั้ งมากมาย) สังคมไทยนั้นมีความเชื่อแบบฝังหัวว่าลูกต้องกตัญญูต่ อพ่อแม่ในทุกกรณี ลูกที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่จะถูกสังคมแอนตี้อย่างมาก ถึงแม้ว่าบางครั้งพ่อแม่จะเป็นฝ่ายผิดแท้ๆแต่สังคมก็ ยังเลือกที่จะเข้าข้างแต่พ่อแม่ไม่ยอมฟังเสียงคนเป็น ลูกเลย บางคนก็ถูกแม่เล้าหลอกมา เป็นไปได้หรือไม่ที่คนที่น่าสงสารเหล่านี้จะได้รับกา รช่วยเหลือให้ได้รับอิสรภาพอีกครั้ง
    3.การที่ธุรกิจแบบนี้จะอยู่ได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีคนซื้อเป็นประจำ ถ้าเกิดว่าในคืนหนึ่งไม่มีคนมาซื้อเลยสักคนนั้น ธุรกิจแบบนี้ต้องเจ๊งกลางคันในคืนนั้นแน่นอน ซึ่งเท่าที่ผมรู้มา ธุรกิจแบบนี้ก็ดำเนินมาหลายปีแล้ว นั่นก็แปลว่าในทุกๆคืนต้องมีคนซื้อล่ะ ธุรกิจนี้จึงเฟื่องฟู
    ตรงนี้จึงต้องเรียกร้องให้คนซื้อที่ซื้อเพราะความใคร ่ของตัวเองได้โปรดยุติพฤติกรรมดังกล่าวเสียเพื่อมนุษ ยธรรม คิดบ้างสิว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้คนมากมายต้องเดือดร ้อน และคนที่ซื้อเพราะสงสารผู้หญิงเหล่านั้นน่ะ ขอบอกเลยว่าลองเปลี่ยนไปเป็นการให้ที่ยั่งยืนดีกว่าน ะครับ ถ้าคุณไม่ให้เงินเขา เขาก็จะไปหางานที่ดีกว่านี้ทำเองแหละ เลิกสร้างบุญจอมปลอมในธุรกิจบาปเถอะนะครับ
    หัวลำโพง ถิ่นจิ๊กโก๋
    เมื่อมาถึงหัวลำโพง ก็เจอกับปัญหาใหม่เข้ามาแทนที่ปัญหาเดิมชนิดที่ว่าไม ่ปล่อยให้พวกผมได้พักหายใจเลยทีเดียว
    พอเข้ามาใกล้บริเวณทางเข้าสถานีหัวลำโพง ก็พบว่าในตัวสถานีมีพวกจิ๊กโก๋ยืนเกาะกลุ่มกันเต็มไป หมด ไอ้เหลิมมันก็บอกผมว่า อย่าไปมองหน้าพวกนี้ และพยายามเดินแบบติ๋มๆเข้าไว้ ไม่งั้นจะโดนมันรุมอัดแบบไร้เหตุผล พวกนี้มันเอาเงินป้อนตำรวจไว้แล้ว ถ้าตำรวจเห็นมันกำลังรุมตีเราก็คงจะไม่ช่วยหรอก
    แต่สุดท้าย พวกผมก็หารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
    สุขุมวิท เมืองขึ้นของต่างชาติ
    หลายวันต่อมา ไอ้เหลิมมันก็ชวนผมอีก คราวนี้ไปสุขุมวิท
    ระหว่างทาง เกิดฝนตก แต่พอไปถึง เหลือแค่ฝนรินๆ
    พอพวกผมไปถึงที่นั่น ทั้งๆที่เป็นย่านใจกลางเมือง ติดถนนใหญ่ มีสะพานลอย แต่กลับมีกระหรี่เยอะกว่าแถวๆ วงเวียน 22 อีก กระหรี่แถวนี้จะแต่งตัวหรูๆกันทั้งนั้น ยืนเกาะกลุ่มคุยกันอยู่ตามข้างถนน บ่สะออนสายฝนพรำ เหตุผลที่กระหรี่ที่นี่มีเสื้อผ้าหรูๆกว่าที่วงเวียน 22 ใส่นั้น อาจจะเป็นเพราะว่ากระหรี่แถวนี้จะขายให้เฉพาะกับฝรั่งเท่านั้น จะไม่ขายให้คนไทย เพราะเท่าที่สังเกตุดู ผู้ชายที่มาหากระหรี่พวกนั้น มีแต่ฝรั่งล้วนๆ
    ตำรวจแถวนั้นก็เช่นเดิม ขับรถผ่านเฉยๆ ไม่จับ ไหนล่ะกฏหมาย? ไหนล่ะความยุติธรรม?
    นอกจากนี้ น้าที่ขายไส้กรอก (มั้ง จำไม่ค่อยได้) อยู่แถวนั้น ยังบอกกับพวกผมด้วยว่า ร้านอาหารแถวนั้นไม่เปิดให้คนไทยเข้าไป จะอนุญาตให้เฉพาะฝรั่งเท่านั้นเข้าไปทานอาหารได้
    ผมเลยได้รู้ความจริงว่า ที่ตัวเองถูกปลูกฝังจากครูเสมอมา ว่าเมืองไทยเป็นเอกราช ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของผู้ใด มันเหลวไหลทั้งเพ ก็เห็นๆกันอยู่ ว่าที่สุขุมวิท (และอาจจะมีที่อื่นๆอีก ที่น่าสงสัยก็เช่น พัทยา ภูเก็ต) คนไทยต้องตกเป็นทาสอย่างน่าอนาถ สตรีชาวสยามต้องถูกพวกฝรั่งมันย่ำยี ร้านอาหารหรูหราเปิดให้แต่ฝรั่งเข้าไป ส่วนคนไทยต้องมาเดินอยู่ข้างถนน ผู้ชายไทยเป็นพลเมืองระดับสองของสุขุมวิท ส่วนผู้หญิงไทยเป็นแค่นางบำเรอของพวกฝรั่ง ในดินแดนกึ่งอาณานิคมสุขุมวิท กฏหมายไทยใช้ไม่ได้กับสุขุมวิท เราเสียเอกราช ณ ดินแดนนั้นไปหมดแล้ว ทั้งเอกราชทางกฏหมาย ศาล เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมือง การทหาร ฯลฯ (ใจหนึ่งก็อดเสียดายไม่ได้ ว่าพวกเสื้อแดงมันน่าจะมาเผาสุขุมวิทแฮะ ไม่น่าไปเผาสีลมเลย ไม่ได้ชอบเสื้อแดง แต่อยากให้มันมาเผาสุขุมวิท ไอ้พวกร้านอาหารที่เปิดให้แต่ฝรั่งเข้า ไม่เปิดให้คนไทยเข้าน่ะ ผมล่ะอยากให้มันโดนเผาจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่คิดแบบนั้นแล้ว)
    ชีวิตคนไทยมันมีค่าสักแค่ไหนกัน ไปต่างประเทศก็โดนเขาดูถูก อยู่ประเทศตัวเองก็ยังต้องเป็นทาสเขา
    ผมได้เห็นความตกต่ำของคนไทยในประเทศตัวเองแท้ๆแบบนี้ ก็โกรธเหมือนไฟสุมอยู่ในอก ในใจคิดหาวิธีแก้แค้นร้อยแปดพันเก้า ไอ้เหลิมมันคงจะเห็นท่าทางผม ก็เลยถือโอกาสราดน้ำมันใส่ โดยพูดว่า “รู้งี้กูเกิดเป็นฝรั่งดีกว่า ไม่เป็นหรอกคนไทยนี่ ต้องเกิดเป็นฝรั่งมันถึงเป็นนาย คนไทยนี่เกิดมาแล้วเป็นทาส” ผมก็ยิ่งโกรธจนแทบบ้า และนึกถึงเรื่องๆหนึ่งที่ผมเคยประสบมา นั่นก็คือ เรื่องที่ญาติของผมที่ต่างจังหวัดคนหนึ่ง (ผมเป็นคนอีสานทั้งทางพ่อและทางแม่) สอนลูกสาวว่า “โตขึ้นมีผัวฝรั่งให้แม่สักคนนะ” ผมเลยเล่าเรื่องนี้ให้มันฟัง มันเลยบอกว่า “อื้อหือ เดี๋ยวนี้ค่านิยมเปลี่ยนไปแล้วเนอะ แต่ก่อนพ่อแม่มีแต่สอนลูกว่า โตขึ้นต้องเป็นเจ้าคนนายคนนะ ทำไมเดี๋ยวนี้มันสอนให้ลูกเป็นกระหรี่ ยอมเป็นนางบำเรอพวกฝรั่งวะ”
    การได้เห็นความเสื่อมโทรมของสังคมไทยในตอนนั้น นอกจากจะทำให้ผมต้องการจะแก้แค้นทุกคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้ด้วยวิธีการที่โหดร้ายทารุณที่สุดแล้ว (ตอนนั้นผมคิดว่า อยากจะฆ่าทุกคนที่ทำให้ประเทศต้องเป็นแบบนี้) ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมนึกโกรธแค้นพระรัตนตรัยเป็นครั้งแรกอีกด้วย ทั้งๆที่ผ่านมาผมเคารพพระรัตนตรัยมาโดยตลอด ก็มาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของความเหลวแหลกของสังคมไทยเช่นนี้ ทำให้ผมหลงก่อกรรมหนักกับพระรัตนตรัยไป จนกระทั่งได้มาเจอเจน ญาณทิพย์ ผมถึงได้เปลี่ยนความคิดกลับมานับถือพระรัตนตรัยอีกครั้ง
    ------------------------------------------------------
    นอกจากสุขุมวิทแล้ว พวกผมยังได้ไปพบเห็นโสเภณี ณ ที่อื่นๆอีก เช่น ถนนระหว่างแฮปปี้แลนด์ถึงแยกนวลจันทร์ ร้านอาหารในซอยมหาดไทย สนามหลวง (นอกจากเจอโสเภณีแล้ว ที่นี่พวกผมยังเจอพระนั่งจับกลุ่มเล่นไพ่กันกลางสนามหลวงเลย แต่เป็นตอนค่ำ ก็ไม่รู้ว่าตำรวจไม่เห็น หรือเห็นแต่ไม่จับ มันถึงได้กล้าทำขนาดนั้น นี่ไม่กลัวทั้งกฏหมาย ไม่กลัวทั้งนรกเลย) ฯลฯ
    --------------------------------------------------------
    ท่านรู้หรือไม่ว่า เรื่องโสเภณีนี่ ประเทศไทยขึ้นชื่ออยู่อันดับต้นๆของโลกเลยนะ
    เมืองไทยนี่กระหรี่เยอะมากๆ จนชาวต่างประเทศเขามองว่า เซ็กส์เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยไปเลย หลักฐานก็ ลองไปดูสื่อต่างชาติที่ทำสะท้อนสังคมไทยดูสิ
    - หนังเรื่องผีเสือร้อนรัก ของฝรั่งเขา ทำสะท้อนสภาพสังคมไทยที่ผู้หญิงไทยขายตัวเยอะ กลายเป็นนางบำเรอของฝรั่งไปตั้งแยะ
    - หนังเรื่องแฮงค์โอเวอร์ภาคสอง กระหรี่ไทยก็โผล่ได้อีก
    - เกมจีทีเอ ภาคสี่ โสเภณีในเกมเป็นคนไทย
    - ถ้าผู้หญิงไทยกับผู้หญิงฟิลิปปินส์เข้าเซเชลล์ ผู้หญิงไทยจะโดนถามว่า “มาขายตัวเหรอ” ส่วนผู้หญิงฟิลิปปินส์เขาไม่ถามแบบนี้
    “ไอ้พวกฝรั่ง เวลาคนไทยเข้าประเทศมันแมร่งด้อยค่า แต่พอมันเข้าประเทศเรา แมร่งทำตัวเป็นเจ้านายเรา คนไทยก็ยกยอปอปั้นมัน” -- เพื่อนผมคนที่พาไปดูกระหรี่กล่าว
    นี่ยังไม่นับเรื่องคนไทยท้องในวัยเรียนและไปทำแท้งกันมากมายติดท็อปของโลกอีก
    หากไม่เชื่อก็เชิญไปตรวจสอบได้เลย แล้วจะรู้ ว่าจักรพงศ์พูดความจริง
    ท่านรู้หรือไม่ว่า การขายตัวเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย
    กิจการที่นำรายได้เข้าประเทศไทยมากที่สุดในปีหนึ่งๆ ไม่ใช่การส่งออกข้าวครับ แต่เป็น “อุตสาหกรรมบริการ” อย่างการท่องเที่ยวเป็นต้น คนนิยมเขานิยมมาเที่ยวเมืองไทยครับ แต่เขาไม่ได้มาเที่ยวเพราะเมืองไทยสวยงามหรอก เขามาเที่ยวเมืองไทยก็เพราะ “เมืองไทยกระหรี่เยอะ คุณภาพเยี่ยมที่สุดในโลก” นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มันมาเที่ยวเมืองไทยก็เพื่อมาตีกระหรี่กันทั้งนั้นแหละ เรียกว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว (ตีกระหรี่) เป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศไทยครับ ถ้าขาดไปนี่ ประเทศไทยจะยากจนลงกว่านี้เยอะเลย เว้นแต่จะหากิจการที่ดีกว่านี้มาเป็นแหล่งรายได้หลักเข้าประเทศแทนได้
    สังเกตได้เลย ว่าพื้นที่ตรงไหนที่มีฝรั่งไปเที่ยวเยอะๆ ตรงนั้นขายตัวแยะเสมอ ลองสังเกตผู้หญิงไทยแถวนั้นจะแต่งตัวแบบยั่วยวนผิดปกติ เช่น แถวๆพัทยา สุขุมวิท ฯลฯ พื้นที่พวกนี้เป็นแหล่งทำเงินที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยเชียวนะ เงินรายได้ที่ประเทศไทยเอามาสร้างความเจริญต่างๆให้ตนได้ส่วนใหญ่มาจากเรื่องพวกนี้แหละ เงินเอามาสร้างถนน สร้างสะพาน เอามาจากการที่สตรีเหล่านี้ยอมเสียสละร่างกายปรนเปรอ เป็นนางทาสนางบำเรอของชาวต่างชาติ จนเงินพวกฝรั่งบ้ากามไหลเข้าประเทศปีหนึ่งมหาศาล หากขาดการเสียสละ (หรือความอยาก) ของพวกเธอ ประเทศไทยจะล้าหลังกว่านี้หลายเท่าเลย พวกเธอคือวีรสตรีผู้ปกป้องชาติไทยด้วยทางหนึ่ง
    ไม่แน่ว่าเงินในกระเป๋าของคุณทุกวันนี้ อาจจะมีบางส่วนมาจาก การขายบริการของสตรีเหล่านี้ก็ได้
    สังคมเมืองไทย ใครฟังเขาคงไม่เชื่อ (ขายสิ้นหมดแล้วเอื้องเหนือ,อีสาน,กลาง,ใต้,ตะวันออก ให้กับชาย (ชาวฝรั่ง) ที่อู้บ่จาง) ไม่อยากจะลองคาดคะเนดูเลย ว่านับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สังคมไทยเอาผู้หญิงไทยไปขายเป็นนางบำเรอของพวกฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน ฯลฯ เพื่อแลกกับเงินมาพัฒนาประเทศ มามากเท่าไรแล้ว ลองถามตัวเองดูสิว่ามันคุ้มแล้วรึ ที่เอาชีวิตมนุษย์มากมายไปแลกกับความเจริญ ทั้งๆที่ทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ในการนำเอาเงินต่างชาติเข้าประเทศ ก็มีอยู่
    ใครตอบว่าคุ้ม ก็ไปฆ่าตัวตายเสียเถิด โลกนี้ไม่มีที่ว่างให้คนอย่างคุณอีกแล้ว
    ถ้าคุณตอบว่าคุ้ม ก็คงจะเป็นเพราะว่าผู้หญิงที่ต้องทนทุกข์ ไม่ใช่ญาติคุณล่ะสิ ถ้าสมมติว่าเขาเป็นลูกสาวคุณ คุณจะรู้สึกยังไง? คนเรามันก็เป็นเสียอย่างนี้แหละ
    ถึงแม้ว่า กิจการขายตัวจะสำคัญกับประเทศไทยมากสักเพียงใดก็ตาม แต่ผมก็ไม่มีทางยอมรับมันได้หรอก ผมสัญญากับตัวเองว่า จะต้องหยุดเรื่องพวกนี้ให้ได้ ด้วยการเปลี่ยนแหล่งรายได้ของประเทศเสียใหม่แทนการเอาสตรีของเราไปแลกกับรายได้ของชาติ (หรือถ้าจะให้ดี ประกาศตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจโลกไปเลย เท่านี้ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องรายได้เข้าประเทศแล้ว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2013
  2. Chakkrapong

    Chakkrapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +213
    8.ตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมลูกใหญ่ใบหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ประตูวัง ล้อมด้วยตุ่มเป็นอันมาก วรรณะทั้งสี่เอาหม้อตักน้ำมาจากทิศทั้งสี่และทิศน้อยทั้งหลาย เอามาใส่ลงตุ่มที่เต็มแล้วนั้น น้ำก็เต็มแล้วเต็มอีก จนไหลล้นไป แม้คนเหล่านั้นก็ยังเทน้ำลงในตุ่มนั้นอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่มีผู้ที่จะเหลียวแลดูตุ่มที่ว่างๆเลย
    “ในอนาคต ด้วยว่าในกาลภายหน้า โลกจักเสื่อม แว่นแคว้นจักหมดความหมาย พระราชาทั้งหลายจักตกยาก เป็นกำพร้า องค์ใดเป็นใหญ่องค์นั้นจักมีพระราชทรัพย์เพียงแสนกษาปณ์ในท้องพระคลัง พระราชาเหล่านั้นตกยากถึงอย่างนี้จักเกณฑ์ให้ชาวชนบททุกคนทำการเพาะปลูกให้แก่ตน พวกมนุษย์ถูกเบียดเบียนจำต้องละทิ้งการงานของตน และต่างพากันเพาะปลูกปุพพันพืช แลอปันพืช ให้แก่พระราชาทั้งหลายเหล่านั้น ต้องช่วยกันเฝ้า ช่วยกันเก็บเกี่ยว ช่วยกันนวด ช่วยกันขน ช่วยกันเคี่ยวน้ำอ้อย เป็นต้น และช่วยกันทำสวนดอกไม้ สวนผลไม้ พากันขนปุพพันพืช เป็นต้น ที่เสร็จแล้ว ในที่นั้นๆมาบรรจุไว้ในยุ้งฉางของพระราชาเหล่านั้น แม้ผู้ที่จะมองดูยุ้งฉางเปล่าๆในเรือนทั้งหลายของตน จักไม่มีเลย จักเป็นเช่นกับการเติมน้ำใส่ตุ่มที่เต็มแล้ว ไม่เหลียวแลตุ่มเปล่าๆบ้างเลยนั่นแล”
    เมื่อคนถอยห่างจากศีลธรรม เลือกผู้แทนก็จะเลือกแต่ประเภทที่ เอาเงินมาฟาดหัวให้เลือก ส่วนคนดีมีคุณธรรมไม่ยอมเลือก เพราะไม่ยอมเองเงินมาฟาดหัว พอคนทุศีลได้ปกครองบ้านเมือง ก็ไม่ใช้ธรรมะปกครอง จนประชาชนทุกข์ยากลำบาก ตกงาน ยากจน เลยจ่ายภาษีให้รัฐบาลทุศีลได้น้อย ทำให้รัฐบาลทุศีลยากจนตามชาวบ้าน แต่นักการเมืองเลวมันต่างจากคนเลวทั่วไปตรงที่ มันมีทางออกสำหรับให้ตัวเองไม่อดตายได้เสมอ ในเมื่อไม่มีภาษีไม่ได้ เงินเดือนมันเลยน้อย มันก็เลยโกงกินประชาชนแทน นี่แหละถึงบอกว่าพวกมันเอาตัวรอดได้เสมอ ยังไงก็ไม่อดตาย
    ประชาชนทั้งหลายที่เลือกนักการเมืองทุศีลเข้ามา จนตัวเองยากจน ทำให้จ่ายภาษีให้นักการเมืองได้น้อย ไม่พอให้มันกิน ก็เลยโดนมันโกง มันยิ่งโกงเท่าไร ประชาชนก็ยิ่งจนหนักเข้าไปใหญ่ อยากเลือกมันเข้ามาเองนี่ สงสารคนที่ไม่ได้เลือกจริงๆ

    9.สระหนึ่งลึกมาก น้ำที่อยู่กลางสระที่ลึกนั้นกลับขุ่นมัว ส่วนน้ำที่ตื้นที่สัตว์พากันย่ำเหยียบกลับใสสะอาด
    “ในอนาคต ด้วยว่าในกาลภายหน้าพระราชาทั้งหลายจักไม่ตั้งอยู่ในธรรม ลุอคติ ด้วยอำนาจความพอใจเป็นต้น เสวยราชสมบัติ จักไม่ประทานการวินิจฉัยอรรถคดีโดยธรรม มีพระหฤทัยมุ่งแต่สินบน โลเลในทรัพย์ ขึ้นชื่อว่าคุณธรรมคือความอดทน ความเมตตา และความเอ็นดูของพระราชาแหล่านั้น จักไม่มีในหมู่ชาวแว่นแคว้น จักเป็นผู้กักขฬะ หยาบคาย คอยแต่เบียดเบียนหมู่มนุษย์ เหมือนหีบอ้อยด้วยหีบยนต์ จักกำหนดให้ส่วยต่างๆ บังเกิดขึ้น เก็บเอาทรัพย์ พวกมนุษย์ถูกรีดส่วยอากรหนักเข้า ไม่สามารถจะให้อะไรๆได้ พากันทิ้งคามนิคมเป็นต้นเสีย อพยพไปสู่ปลายแดน ตั้งหลักฐาน ณ ที่นั้น ชนบทศูนย์กลางจักว่างเปล่า ชนบทชายแดนจักเป็นปึกแผ่นแน่นหนา เหมือนน้ำกลางสระขุ่น น้ำที่ฝั่งรอบๆใส”
    เจ้าหน้าที่รัฐ (ทั้งนักการเมืองและข้าราชการ) ในระบบทุนนิยมนั้น ต่างตกอยู่ภายใต้ของนายทุนนักธุรกิจ จะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เห็นแก่ประชาชน แต่ส่วนใหญ่เป็นลิ่วล้อนายทุน เห็นเงินใต้โต๊ะที่นายทุนมอบให้สำคัญกว่าความเดือดร้อนของประชาชนกลุ่มอื่นๆ ถ้านายทุนเดือดร้อน ช่วยทันที (ต่อให้ต้องเบียดเบียนประชาชนกลุ่มอื่นๆก็ตาม) แต่ถ้าประชาชนกลุ่มอื่นๆเดือดร้อน ผลัดไปก่อน (และถ้ามันขัดต่อผลประโยชน์ของนายทุน ถือว่ามีอันตกไปทันที)
    การที่นายทุนบริจาดเงินสนับสนุนนักการเมืองนั้น โดยปกติมีเป้าหมายที่จะให้ตนสามารถเข้าไปครอบงำนักการเมืองผู้นั้นได้ เพื่อที่ตนจะได้สามารถใช้งานนักการเมืองผู้นั้นให้แสวงหาผลประโยชน์ ฉ้อราษฎร์บังหลวง โดยเอาผลประโยชน์ที่ได้มาแบ่งกับตน
    เพราะโดยปกติ นักการเมืองมักจะไม่มีเงินพอที่จะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่างๆได้ด้วยตนเอง จำเป็นที่จะต้องเรี่ยไรจากประชาชน เดิมทีแล้วระบอบประชาธิปไตยออกแบบข้อด้อยของนักการเมืองตรงนี้ เพื่อให้นักการเมืองต้องขอเงินจากประชาชนอยู่เสมอ และการที่ประชาชนบริจาคเงินให้นักการเมืองผู้นั้นอยู่เสมอ ก็จะทำให้ตนสามารถใช้อำนาจทางการเงินของตนกดดันบีบคั้นให้นักการเมืองทำในสิ่งที่ตนต้องการได้ ระบอบออกแบบข้อด้อยของนักการเมืองตรงนี้ เพื่อให้นักการเมืองไม่ลืมประชาชน ต้องง้อประชาชนอยู่เสมอ จะได้ไม่กล้าทำให้ประชาชนเดือดร้อน
    แต่จุดอ่อนก็โผล่อีกจนได้ เพราะการที่ประชาชนมีทรัพย์ไม่เท่าเทียมกัน ประชาชนบางคนไม่มีเงินบริจาคให้นักการเมืองเพื่อครอบงำนักการเมืองได้ด้วยซ้ำ พวกนายทุนคนรวยมีโอกาสใช้อิทธิพลทางการเงินของตนเข้าครอบงำรัฐบาลได้มากกว่าคนกลุ่มอื่น เช่น ชาวนาสามสิบคนรวมกันเป็นสหกรณ์ชาวนา บริจาคเงินให้พรรคการเมืองหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถบริจาคได้มากเท่ากับนายทุนคนเดียวบริจาคให้ เรียกว่าพรรคไม่จำเป็นต้องรับเงินจากสหกรณ์ชาวนาเลย ลำพังเงินบริจาคจากนายทุนก็มากพอที่จะทำกิจกรรมทางการเมืองต่างๆอยู่แล้ว เช่น หาเสียง หาหัวคะแนน ตั้งเวทีปราศรัย ฯลฯ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่พรรคต้องไปฟังเสียงสหกรณ์ชาวนาเลย ฟังแต่นายทุนก็รอดแล้ว
    จุดอ่อนตรงนี้ ทำให้คนจนมีโอกาสเข้าครอบงำนักการเมืองได้ไม่มากเท่าคนรวย การที่สังคมจะเป็นประชาธิปไตยจริงๆได้ รัฐบาลต้องอยู่ภายใต้การครอบงำของประชาชนทุกกลุ่มไม่ว่ารวยหรือจนสิถึงจะถูก
    นอกจากการเข้าครอบงำนักการเมืองแล้ว ในบางครั้งนายทุนก็สามารถใช้อิทธิพลทางการเงินของตนบีบคั้นให้นักการเมือง ยอมรับคนของตนเข้าไปทำงานในตำแหน่งๆสำคัญๆของรัฐบาล หรือวงราชการ แล้วคอยใช้คนของตนนั้นฉ้อราษฎร์บังหลวงเพื่อเอาผลประโยชน์ที่ได้มามอบให้ตนเสมอ หรือในบางครั้งตัวนายทุนนั่นแหละก็ลงเล่นการเมืองเสียเองเลย และลงมือฉ้อราษฎร์เองเสียเลย
    ประชาชนที่ไม่ได้อำนาจมากเท่าพวกนายทุน ถูกโกงหนักๆก็ทนไม่ไหว หนีเมืองไปอยู่ป่าดีกว่า นี่คือกรณีประเทศทุนนิยมอื่นๆ ยกเว้นประเทศ ประเทศไทยนี่มีแต่ชาวชนบทจะไหลเข้ากรุง
    ชาวชนบทไทยโดนนายทุนไล่ยึดที่ทำกิน ก็เลยต้องเข้ามาเป็นกรรมกรในเมืองหลวง กรุงเทพเลยแออัด ส่วนต่างจังหวัดประชากรเบาบาง

    10.ข้าวสุกไม่ทั่วหม้อ ข้าวหนึ่งแฉะ ข้าวหนึ่งดิบ ข้าวหนึ่งสุกดี
    “ในอนาคต ด้วยว่าในกาลภายหน้า พระราชาทั้งหลายจักไม่ดำรงในธรรม เมื่อพระราชาเหล่านั้นไม่ดำรงในธรรมแล้ว ข้าราชการก็ดี พราหมณ์และคฤหบดีก็ดี ชาวนิคมชาวชนบทก็ดี รวมถึงมนุษย์ทั้งหมด นับแต่สมณะและพราหมณ์ จักพากันไม่ตั้งอยู่ในธรรม แม้เทวดาทั้งหลายก็จักไม่ทรงธรรม ในรัชกาลแห่งอธัมมิกราชทั้งหลาย ลมทั้งหลายจักพัดไม่สม่ำเสมอ พัดแรงจัด ทำให้วิมานในอากาศของเทวดาสั่นสะเทือน เมื่อวิมานเหล่านั้นถูกลมพัดสั่นสะเทือน ฝูงเทวดาก็พากันโกรธ แล้วจักไม่ให้ฝนตก ถึงจะตกก็จะไม่ตกกระหน่ำทั่วแว่นแคว้น มิฉะนั้น จักไม่ตกให้เป็นอุปการะแก่การใด การหว่านในที่ทั้งปวงจักไม่ตกกระหน่ำทั่วถึง แม้ในชนบท แม้ในบ้าน แม้ในตระพังแห่งหนึ่ง แม้ในสระลูกหนึ่ง เหมือนกันกับในแคว้นฉะนั้น เมื่อตกตอนเหนือของตระพัง ก็จักไม่ตกในตอนใต้ จักไม่ตกในตอนเหนือ ข้าวกล้าในตอนหนึ่งจักเสียเพราะฝนชุก เมื่อฝนไม่ตกในส่วนหนึ่ง ข้าวกล้าจักเหี่ยวแห้ง เมื่อฝนตกดีในส่วนหนึ่ง ข้าวกล้าจักสมบูรณ์ ข้าวกล้าที่หว่านแล้วในขอบขัณฑสีมาของพระราชาพระองค์เดียวกัน จักเป็น ๓ สถาน ด้วยประการฉะนี้ เหมือนข้าวสุกในหม้อเดียวมีผลเป็น ๓ อย่างฉะนั้น”
    ลัทธิทุนนิยม เอื้อต่อการที่คนทุศีลจะขึ้นมาปกครองบ้านเมือง เมื่อนักการเมืองเลว ก็จะไม่ดูแลให้ข้าราชการ ประชาชน สมณพราหมณ์ ฯลฯ ทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในธรรม (สังเกตว่า ในพุทธทำนายนั้น ถ้าพระราชาไม่ดี แม้แต่เทวดาก็ยังไม่ทรงธรรมเลย)
    รัฐบาลอธรรม จะไม่ผลักดันให้ประชาชนเข้าหาธรรมะ เพราะเห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่สนใจแต่ความทะยานอยาก (เป็นผลมาจากการที่ลัทธิบริโภคนิยมครอบงำสังคม) มีแต่จะส่งเสริมให้ประชาชนมีความทะยานอยากมากขึ้นไปอีก
    ป่าไม้ ทรัพยากรธรรมชาติ ถูกเก็บเกี่ยวขึ้นมาอย่างเกินพอดีเพื่อสนองความทะยานอยาก หรือเปล่ยนเป็นกำไร ทำให้เกิดภัยธรรมชาติตามมา เทวดาก็ลงโทษ การเพาะปลูกก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร

    11.คนทั้งหลายเอาแก่นจันทร์ราคาแพง ขายแลกกับเปรียงเน่า
    “ในอนาคต ในเมื่อศาสนาของตถาคตเสื่อมโทรมนั่นแล ด้วยว่าในกาลภายหน้า พวกภิกษุอลัชชีเห็นแก่ปัจจัยจักมีมาก พวกเหล่านั้นจักพากันแสดงธรรมเทศนาที่ตถาคตกล่าวติเตียนความละโมบโลภมากในปัจจัยไว้แก่ชนเหล่าอื่น เพราะเหตุแห่งปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้น จักไม่สามารถแสดงให้พ้นจากปัจจัยทั้งหลาย แล้วตั้งอยู่ในฝ่ายธรรมนำสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ มุ่งตรงสู่พระนิพพาน ชนทั้งหลายก็จะฟังความสมบูรณ์แห่งบทและพยัญชนะและสำเนียงอันไพเราะอย่างเดียวเท่านั้น แล้วจักถวายเอง และยังชนเหล่าอื่นให้ถวายซึ่งปัจจัยทั้งหลาย มีจีวรเป็นต้น อันมีค่ามาก ภิกษุทั้งหลายอีกบางพวก จักพากันนั่งในที่ต่างๆมีท้องถนน สี่แยก และประตูวังเป็นต้น แล้วแสดงธรรมแลกรูปิยะ มีเหรียญกษาปณ์ ครึ่งกษาปณ์ เหรียญบาท เหรียญมาสก เป็นต้น โดยประการฉะนี้ ก็เป็นเอาธรรมที่ตถาคตแสดงไว้ มีมูลค่าควรแก่พระนิพพาน ไปแสดงแลกปัจจัย ๔ และรูปิยะ มีเหรียญกษาปณ์และเหรียญครึ่งกษาปณ์เป็นต้น จักเป็นเหมือนฝูงคนเอาแก่นจันทร์มีราคาตั้งแสน ไปขายแลกเปรียงเน่าฉะนั้น”
    ข้อนี้ไม่ต้องวิเคราะห์อะไรกันมาก เพราะเห็นๆกันอยู่ (พวกอลัชชีที่ผมไปเห็นที่สนามหลวงก็เป็นหนึ่งในนั้น)

    12.กระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้
    “ในอนาคต เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดเสื่อม ในรัชกาลของพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ด้วยว่าในครั้งนั้นพระราชาทั้งหลาย จักไม่พระราชทานยศแก่กุลบุตรผู้สมบูรณ์ด้วยชาติ จักพระราชทานแก่ผู้ไม่มีสกุลเท่านั้น พวกนั้นจักเป็นใหญ่ อีกฝ่ายหนึ่งจักยากจน ถ้อยคำของพวกไม่มีสกุล ดุจกระโหลกน้ำเต้า ดูประหนึ่งหยั่งรากลงแน่นในที่เฉพาะพระพักตร์พระราชาก็ดี ที่ประตูวังก็ดี ที่ประชุมอำมาตย์ก็ดี ที่โรงศาลก็ดี จักเป็นคำไม่โยกโคลง มีหลักฐานแน่นหนาดี แม้ในสังฆสันนิบาตเล่า ในกิจกรรมที่สงฆ์พึงทำและคณะพึงทำก็ดี ทั้งในสถานที่ดำเนินอธิกรณ์เกี่ยวกับบาตร จีวร และบริเวณเป็นต้นก็ดี ถ้อยคำของคนชั่วทุศีลเท่านั้น จักเป็นคำนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้ มิใช่ถ้อยคำของภิกษุผู้ลัชชี เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จักเป็นเหมือนกาลเป็นที่จมลงแห่งกระโหลกน้ำเต้า”
    นักการเมืองในระบบทุนนิยม อยู่ภายใต้การครอบงำของพวกนายทุน จะมอบตำแหน่งใหญ่ๆให้นายทุนหรือคนของนายทุนเท่านั้น ไม่ยอมมอบให้แก่คนดีมีฝีมือ ที่ไม่เอาเงินมายัดให้ คนชั่วเลยเป็นใหญ่ในบ้านเมือง คนดีกลับยากจน คำพูดของคนดีที่ยากจน ตะโกนให้ตายรัฐบาลทุศีลก็ไม่ฟัง ส่วนคำพูดของคนเลวแต่ร่ำรวย กลับเป็นที่เชื่อถือกันหมด ทั้งในหมู่นักการเมืองและข้าราชการ ส่วนในสังฆสันนิบาต ถ้อยคำของคนชั่วก็เป็นที่เชื่อถือเช่นกัน

    13.ศิลาแท่งใหญ่ลอยน้ำได้
    “ในกาลภายภาคหน้า ด้วยว่าในครั้งนั้น พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมทั้งหลาย จักพระราชทานยศแก่คนไม่มีสกุล พวกนั้นจักเป็นใหญ่ พวกมีสกุลจักตกยาก ใครๆจักไม่ทำความเคารพในพวกมีสกุลนั้น จักกระทำความเคารพในพวกที่เป็นใหญ่ฝ่ายเดียว ถ้อยคำของกุบุตรผู้ฉลาดในการวินิจฉัย ผู้หนักแน่น เช่นกับศิลาทึบ จักไม่หยั่งลงดำรงมั่นในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระราชา รือในที่ประชุมอำมาตย์ หรือในโรงศาล เมื่อพวกนั้นกำลังกล่าว พวกนอกนี้จักคอยเยาะเย้ยว่า พวกนี้พูดทำไม แม้ในที่ประชุมภิกษุ พวกภิกษุก็จักไม่เห็นภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ผู้ควรทำความเคารพว่าเป็นสำคัญ ในฐานะต่างๆดังกล่าวมาแล้ว ทั้งถ้อยคำของภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักเหล่านั้น ก็จักไม่หนักแน่นมั่นคง จักเป็นเหมือนเวลาเป็นที่เลื่อนลอยแห่งศิลาทั้งหลายฉะนั้น”
    นักการเมืองในระบบทุนนิยม อยู่ภายใต้การครอบงำของพวกนายทุน จะมอบตำแหน่งใหญ่ๆให้นายทุนหรือคนของนายทุนเท่านั้น ไม่ยอมมอบให้แก่คนดีมีฝีมือ ที่ไม่เอาเงินมายัดให้ คนชั่วเลยเป็นใหญ่ในบ้านเมือง คนดีกลับตกยาก มีแต่คนดูถูก ส่วนคนชั่วที่เป็นใหญ่กลับมีหน้ามีตาในสังคม คนดีแต่ยากจน พูดความจริงแค่ไหนก็ไม่มีใครในหมู่นักการเมืองและข้าราชการฟัง เผลอๆไปประท้วง ก็จะโดนคนอื่นๆเย้ยว่า พูดทำไม เป็นคนจนก็เจียมกะลาหัวไปซะ เห็นสังคมไม่เป็นธรรมก็ยอมรับเถอะ เขาเป็นแบบนี้กันทั้งบ้านทั้งเมือง อย่ามาทำตัวเป็นคนดีหน่อยเลย
    แม้ในที่ประชุมของพระภิกษุ ถ้อยคำของพระภิกษุผู้มีศีล ก็ไม่เป็นที่เชื่อถือในหมู่พระภิกษุเช่นกัน

    14.ฝูงเขียดไล่กัดกินงูเห่า
    “ในอนาคต ในเมื่อโลกเสื่อมโทรมดุจกัน ด้วยว่าในครั้งนั้นพวกมนุษย์จะมีราคะจริตแรงกล้าชาติชั่ว ปล่อยตัวปล่อยใจตามอำนาจของกิเลสจักต้องเป็นไปในอำนาจแห่งภรรยาเด็กๆของตน ผู้คนมีทาสและกรรมกรเป็นต้นก็ดี สัตว์พาหนะมีโคกระบือเป็นต้นก็ดี เงินทองก็ดี บรรดามีในเรือนทุกอย่าง จักต้องอยู่ในครอบครองของพวกนางทั้งนั้น เมื่อพวกสามีถามถึงเงินทองโน้นๆว่าอยู่ที่ไหน หรือถามถึงจำนวนสิ่งของว่ามีที่ไหนก็ดี พวกนางจักพากันตอบว่า มันจะอยู่ที่ไหนๆก็ช่างเถิด กงการอะไรที่ท่านจะตรวจตราเล่า ท่านเกิดอยากรู้สิ่งที่มีอยู่ และไม่มีอยู่ในเรือนของเราละหรือ แล้วจักด่าด้วยประการต่างๆทิ่มตำเอาด้วยหอกคือปาก กดไว้ในอำนาจดังทาสและคนรับใช้ ดำรงความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ของตนไว้สืบไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จักเป็นเหมือนเวลาที่ฝูงเขียดขนาดดอกมะซาง พากันขยอกกินฝูงงูเห่า ซึ่งมีพิษแล่นเร็วฉะนั้น”
    อย่างที่บอกไป ว่าสมัยนี้ กระหรี่เยอะ คนที่เที่ยวตีกระหรี่ก็เยอะ พวกคนรวยบางคนเลี้ยงเด็กไว้เป็นบ้านเล็ก คอยประคบประหงมด้วยความลุ่มหลง พอนานๆเข้าตัวเองก็กลายเป็นเบี้ยล่างเด็กไปเลย คนใช้ รถเก๋ง เงิน ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเรือน ให้เด็กหมด กลัวเด็กจะตีจาก บางคนให้เด็กจนตัวเองหมดตัว เด็กกลายเป็นเจ้าของบ้านแทน
    พอเสี่ยถามเด็กว่า เงินที่เสี่ยเพิ่งให้หนูไปน่ะ อยู่ไหนเหรอ เด็กก็ตอบว่า อยู่ไหนก็ช่าง เสี่ยจะสนใจทำไม ไม่ใช่เงินของเสี่ยซะหน่อย เป็นเงินของหนูมาตั้งแต่แรกแล้ว ก็บ้านนี้เป็นของหนูนี่ สุดท้ายคุณเสี่ยก็กลายเป็นทาสเด็กไป
    แอ๊ด คาราบาว โวยว่า “เลี้ยงไก่เอาไว้เปลือง เลี้ยงเด็กมีแต่เรื่องไม่รถเก๋งก็คอนโด”

    15.ฝูงพญาหงส์ทองพากันแวดล้อมกา ผู้ประกอบด้วยอสัทธรรมสิบประการ เที่ยวหากินตามบ้าน
    “ในอนาคต ในรัชกาลของพระราชาผู้ทุรพลนั่นแหละ ด้วยว่าในภายหน้าพระราชาทั้งหลาย จักไม่ฉลาดในศิลปะ มีหัสดีศิลปะ เป็นต้น ไม่แกล้วกล้าในการยุทธ ท้าวเธอจักไม่พระราชทานความเป็นใหญ่ ให้แก่พวกกุลบุตรที่มีชาติเสมอกัน ผู้รังเกียจความวิบัติแห่งราชสมบัติของพระองค์อยู่ จักพระราชทานแก่พวกพนักงานเครื่องสรงและพวกกัลบกเป็นต้น ซึ่งอยู่ใกล้บาทมูลของพระองค์ พวกกุลบุตรผู้สมบูรณ์ด้วยชาติและโคตร เมื่อไม่ได้ที่พึ่งในราชสกุล ก็ไม่สามารถเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ จักพากันปรนนิบัติบำรุงฝูงชนที่ไม่มีสกุล มีชาติและโคตรทราม ผู้ดำรงอิสริยยศ จักเป็นเหมือนฝูงพญาหงส์ทองแวดล้อมเป็นบริวารกาฉะนั้น”
    นักการเมืองที่ทุศีล ไม่ฉลาดในการปกครอง จะเชื่อคำสอพลอของคนใกล้ชิด ให้ยศแก่พวกนี้ จะไม่ให้ยศแก่คนดีที่กล้ารายงานผลของนโยบายต่างๆ ตามความเป็นจริง เพราะห่วงว่าถ้าเจ้านายไม่ยอมปรับปรุงนโยบายให้ดีขึ้น ก็อาจจะไม่ได้รับเลือกในสมัยหน้า ข้าราชการซื่อสัตย์ต้องขออาศัยพึ่งพาข้าราชการสอพลอ

    16.ฝูงแกะพากันไล่กวดกินฝูงเสือเหลือง เสืออื่นๆคือเสือดาว เสือโคร่ง สะดุ้งกลัวฝูงแกะ พากันวิ่งหนี หลบเข้าพุ่มไม้และป่ารก
    “ในรัชกาลแห่งพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ในอนาคตเหมือนกัน ด้วยว่าในครั้งนั้นพวกไม่มีสกุลจักเป็นราชวัลลภ และจักได้เป็นใหญ่เป็นโตมีหน้ามีตา พวกคนมีสกุลจักอับเฉาตกยาก ราชวัลลภเหล่านั้นพากันยังพระราชาให้ทรงเชื่อถือถ้อยคำของตน มีกำลังในสถานที่ราชการ มีโรงศาล เป็นต้น ก็พากันรุกเอาที่ดินไร่นาเรือกสวนเป็นต้น อันตกทอดสืบมาของพวกมีสกุลทั้งหลายว่า ที่เหล่านี้เป็นของพวกเรา แล้วพากันมาฟ้องร้องยังโรงศาลเป็นต้น พวกราชวัลลภก็พากันบอกให้เฆี่ยนตีด้วยหวายเป็นต้น จับคอไสออกไป พร้อมกับข่มขู่คุกคามว่า พ่อเจ้าไม่รู้ประมาณตน มาหาเรื่องกับพวกเรา เดี๋ยวจักไปทูลพระราชา ให้ลงพระราชอาญาต่างๆ มีตัดตีน ตัดมือ เป็นต้น พวกผู้มีสกุลกลัวเกรงพวกราชวัลลภ ต่างก็ยินยอมให้ที่ทางที่เป็นของตน ว่าที่ทางเหล่านี้ ถ้าเป็นของท่าน ก็เชิญครอบครองเถิด แล้วพากันกลับบ้านเรือนของตนนอนหวาดผวาไปตามๆกัน แม้ภิกษุผู้ชั่วช้าทั้งหลายเล่า ก็จักพากันเบียดเบียนภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักตามชอบใจ พวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักเหล่านั้น ไม่ได้ที่พำนัก ก็พากันเข้าป่า แอบแฝงอยู่ในที่รกๆ ข้อที่กุลบุตรผู้มีชาติสกุลทั้งหลาย เข้าไปประทุษร้ายอย่างนี้ จักเป็นเหมือนกาลที่พวกเสือดาว และเสือโคร่งทั้งหลาย พากันหลบหนีเพราะกลัวฝูงแกะฉะนั้น”
    ในยุคของรัฐบาลทุศีล คนเลว (นายทุนเลวๆ) จะเป็นใหญ่ คนดีจะตกยาก พวกนายทุนเลวจะพากันเข้าครอบงำนักการเมือง บีบบังคับให้ยอมแต่งตั้ง คนของตน ให้เข้าไปนั่งในตำแหน่งทางราชการ
    เมื่อรัฐบาลและข้าราชการตกเป็นลิ่วล้อของตนหมดแล้ว พวกนายทุนก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครอีก สามารถเบียดเบียนชาวบ้านเพื่อกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวได้อย่างเต็มที่ มันเลยกล้าไปไล่ไปโกงที่ชาวบ้านเขา อ้างว่าที่ดินนี้เป็นของมัน ทั้งที่เป็นของชาวบ้าน ชาวบ้านเขาใช้ทำกินมาแต่ครั้งบรรพบุรุษแล้ว
    ชาวบ้านคนไหนไม่ยอม นายทุนก็ไปแจ้ง (สั่ง) ให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ตนเอาเงินฟาดหัวเรียบร้อยมาไล่ชาวบ้านออกไปให้ พร้อมขู่ชาวบ้านว่า พวกแกไม่รู้สภาพตัวเอง เป็นแค่คนจน กล้ามาหาเรื่องกับพวกเรา เดี๋ยๆ ไปฟ้องนายกเลยนี่
    ชาวบ้านพากันกลัวนายทุน ต่างยอมเสียที่นา
    ภิกษุชั่วก็เบียดเบียนพระภิกษุดีๆ พระภิกษุดีๆพากันเข้าป่า
    ---------------------------------------------------
    ผมเคยไปนั่งคุยกับเพื่อน (ก๊วนเดียวกับคนที่พาไปดูกระหรี่นั่นแหละ) อยู่หน้าร้านแมคโดนัลด์ สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ มีเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเสนอ ไปนั่งคุยกันในแม็คดีกว่า เพื่อนอีกคนเลยบอกว่า อย่าเลย เกรงใจเขาหน่อย เข้าไปคุยกันเฉยๆไม่ได้ซื้อของเขา แบบนี้มันเกินไปนะ ผมฟังแล้วของขึ้นเลย ตะโกนบอกว่า ไอ้เหี้ยนี้มันนายทุนต่างชาติ มันเข้ามาสูบเอาเงินจากกระเป๋าคนไทย ต่อหน้ามันเอาการสร้างรายได้ให้คนไทยบังหน้า แต่เนื้อแท้มันเข้ามาปล้นเรา ไอ้เพื่อนคนที่มันบอกให้เกรงใจเขา ก็พูดว่า เออ เกรงใจเขาหน่อย หัวอกเขาน่ะคิดถึงหน่อย ผมก็เลยเถียงมันว่า แล้วมันเคยเห็นใจมึงบ้างไหมล่ะ
    เผอิญตะโกนดังไปหน่อย พนักงานแม็คข้างในหันมามองแบบจะเอาเรื่อง (ขนาดมีกระจกกั้น พวกเขายังได้ยินเลย) เพื่อนผมอีกคนมันเลยแซวผมว่า แน่จริงเดินเข้าไปในร้าน แล้วตะโกนดังๆเลย ตะโกนบอกมันไปเลยว่ามึงปิดไปเลยนะ
    ------------------------------------------
    ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า “ความโกลาหลทางเศรษฐกิจของสังคมทุนนิยมในปัจจุบัน , ในความคิดของผม, คือต้นตอที่แท้จริงของความชั่วร้าย” นอกจากนี้ยังเคยพูดไว้อีกว่า "ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้น เมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนา ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา" สองคำพูดนี้ คนพูดอาจจะไม่ได้คิดว่าจะให้เกี่ยวพันกัน แต่ผมก็อยากจะทำให้สองคำพูดนี้เกี่ยวพันกัน
    ผมไม่ยอมเด็ดขาด ที่จะต้องมาทนเห็นลัทธิทุนนิยมครอบงำโลก และประเทศไทยต้องเสียเอกราชทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมต่อไป ผมจะต้องหาทางทำลายลัทธิทุนนิยม และทำให้พระพุทธศาสนาได้ปกครองโลกแทน และจะต้องกู้เอกราชทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมให้ประเทศ สร้างชาติไทยให้ยิ่งใหญ่ให้ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามผมทั้งนั้น
    การเคลื่อนไหวของผม ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่า ต้องไม่มีใครตาย และไม่มีการฆ่าใครทั้งนั้น เราต้องได้สังคมแห่งศีลธรรม มาด้วยศีลธรรม ไม่ใช่ด้วยอธรรม



    เกร็ดอื่นๆ​

    - การปกครองคณะสงฆ์นั้น หากเทียบกับทางโลก จะดูคล้ายกับระบอบรัฐสภาหรือสามัคคีธรรมมากกว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เช่น หลังพุทธปรินิพพานก็มีการถือเอาพระธรรมวินัยเป็นประมุขสูงสุดของศาสนาไม่ใช่ตัวบุคคล แม้ว่าในบางประเทศพระสงฆ์จะมีสมเด็จพระสังฆราช แต่ก็ยังอยู่ภายใต้พระธรรมวินัย ถือว่าพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ที่สุดในสถาบันสงฆ์ และให้พระสงฆ์มีสิทธิเสมอกันภายใต้พระธรรมวินัยแม้จะมาจากต่างวรรณะต่างชาติกำเนิดกัน แต่เมื่อมาบวชแล้วต้องเสมอภาคกัน มีการประชุมสังฆกรรม มีการถือเสียงข้างมากเป็นเกณท์ แต่ต้องไม่ขัดกับพระธรรมวินัย เป็นต้น ลักษณะเหล่านี้ หากเทียบกับการปกครองของทางโลก จะดูคล้ายกับระบอบสภามากกว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
    - พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสเรื่องสิทธิเสรีภาพทางการเมืองไว้ แต่จากพระธรรมคำสอน และพระพุทธจริยวัตรของพระองค์นั้น เป็นการให้สิทธิเสรีภาพแก่ปวงชนอย่างมาก เช่น ไม่ทรงบังคับให้ใครเชื่อถือศรัทธาในพระสัทธรรมของพระองค์ แต่ทรงชี้ทางที่ถูกต้องให้เท่านั้น ใครจะทำตามหรือไม่คนนั้นย่อมมีสิทธิเลือก
    อย่างไรก็ตาม เพื่อการสร้างสังคมธรรม ผมเห็นด้วยกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้คนที่เป็นไปในทางอธรรม เช่น เสรีภาพที่จะเสพอบายมุข ผมเห็นว่าควรจะมีการออกกฏหมายห้ามไปเลย
    เรียกว่าคนไทยหลายคนมองข้ามพระธรรม ไปยกยอปอปั้นแนวคิดเสรีนิยมของฝรั่งเขา ทั้งๆที่พระธรรมดีกว่าแนวคิดของเขาแท้ๆ
    - จากหนังสือประวัติของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเคยเล่าถึงระบอบการปกครองของเมืองผี ซึ่งผมย่อความได้ว่า “มีหัวหน้าปกครองดูแลเหมือนกัน ผีที่มีอุปนิสัยใฝ่บุญกุศลก็มีแยะ พวกผีธรรมดาและผีจำพวกอันธพาลเคารพนับถือมาก เพราะผู้มีอุปนิสัยวาสนาเป็นผู้มีฤทธาศักดานุภาพมาก ผีทั้งหลายเคารพเกรงกลัวมากตามหลักธรรมชาติ มิใช่การประจบประแจง ที่บาปมีอำนาจน้อยกว่าบุญนั้นเราไปพบเห็นในเมืองผีเป็นพยานอีกประเด็นหนึ่ง คือผีมีวาสนาแต่เสวยกรรมตามวาระเช่นมาเกิดเป็นภูตผี แต่นิสัยใจคอในทางบุญนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยและมีอำนาจมากด้วย เพียรผู้เดียวเท่านั้นก็สามารถปกครองผีได้เป็นจำนวนมากมาย เพราะเมืองผีไม่มีการถือพ้องเหมือนเมืองมนุษย์เรา แต่ถืออำนาจตามหลักธรรมแม้จะฝืนถืออย่างมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะกรรมไม่อำนวยไปตาม ต้องขึ้นอยู่กับกรรมดีชั่วเท่านั้น เป็นหลักตายตัว อำนาจที่ใช้อยู่ในเมืองมนุษย์จึงนำมาใช้ในปรโลกไม่ได้”
    การถือพ้องนี้น่าจะหมายถึงการเลือกตั้ง จากคำสอนของหลวงปู่มั่นนี้ แสดงให้เห็นว่าอำนาจนั้นเป็นสิ่งที่นำติดตัวไปหลังจากตายไม่ได้เลย ถ้าตายแล้วเอาไปได้แต่บุญแต่กรรมเท่านั้น
    - จากหนังสือประวัติของหลวงปู่มั่น มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจสภาพการปกครองในหมู่สัตว์ได้ ดังนี้
    หลวงปู่มั่นรู้จักภาษาสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในป่า ทั้งลิงบ้าง นกบ้าง มันคุยกัน ท่านจะได้ยินเพียงแต่มีเสียงจี้ดๆ แจ้ดๆ หรือ กรี๊ดๆ แกร๊ดๆ แต่ว่ามันก็ใช้ภาษาของมัน หลวงปู่มั่นเล่าให้คณะศิษย์ฟังภายหลังว่า (ย่อความมา) “พวกนกจะรู้ภาษากันก็หาไม่ พวกมันก็ได้ตักเตือนกันอยู่ แต่มีบางตัวบางพวกก็ไม่เชื่อฟัง มันรู้เรื่องของมนุษย์ได้ดีว่า มนุษย์บางคนมีจิตใจโหดร้าย มาขโมยเอาลูกเขาไปทั้งๆ ที่เขาก็หวงแสนหวง แต่พวกนกหนูทั้งหลาย บางครั้งไปหากิน ลักขโมยมนุษย์ตามไร่ตามสวนนั้น หาใช่ว่าพวกมันจะไม่รู้ก็หาไม่ พวกเขาก็ได้ตักเตือนกันอยู่ แต่พวกมันก็ไม่ยอมเชื่อฟัง แต่บางทีพวกนักล่าลิง ได้ยิงลิงแล้วเอามาลอกหนังกินเสียนั้น พวกลิงมันก็เห็นว่ามนุษย์นี้น่ากลัวยิ่งนัก แต่พวกที่ไม่เคยเห็นว่ามนุษย์ฆ่าพวกมันๆ จะไม่กลัว แต่ว่าพวกมันเห็นว่าเป็นตัวอะไรแปลกน่ากลัว นี้เป็นภาษาสัตว์ ซึ่งผู้ใดได้รู้และเข้าใจภาษาของมันแล้ว ก็จะทำให้ได้รู้อะไรแปลกๆขึ้นมาก”
    ในบริเวณนั้นมีลิงอยู่ฝูงหนึ่งที่ไต่ยั้วเยี้ยอยู่ตามข้างๆถ้ำ บางครั้งพวกมันจะหายไป เพราะไปเที่ยวหากินตามที่ไกล ครั้นพอเวลาเย็นมันก็จะกลับมาอยู่ข้างถ้ำต่างก็สนทนากันทุกวัน บ้างก็ทะเลาะกัน บางทีก็สัพยอกหยอกกันตามภาษาของมัน หลวงปู่มันได้เล่าให้ลูกศิษย์ทราบภายหลังว่า
    “น่าขำ บางตัวมันจะว่า “มึงได้อะไรมาไม่แบ่งกู กูได้มาก็ยังแบ่งให้มึง” บางทีไปเจอลูกผลไม้อะไรที่อร่อยในลูกเดียวกัน.มันก็ต้องยื้อแย่งกันจนต้องกัดกัน ตัวหน้าหรือจ่าฝูงต้องมาห้าม บางทีเขาชอบพอกันระหว่างตัวเมียกับตัวผู้ มันก็ว่าฉันชอบเธอ อะไรทำนองนั้น แต่ที่ดีที่สุดนั้นคือเขาจะมีการยำเกรงหัวหน้ากันมาก เชื่อกันจริงๆ พอหัวหน้าให้สัญญาณมันจะต้องเงียบ ให้สัญญาณหากินกันได้ ก็รีบไปหากิน ให้สัญญาณกลับก็จะกลับกันทันที”
    สถานที่แห่งนี้มีอยู่สี่ห้าตัวซึ่งเป็นลิงชั้นหัวหน้า พากันมานั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่งชำเลืองคอยดูหลวงปู่มั่นอยู่ตลอดเวลา แต่หลวงปู่มั่นก็มิได้เอาใจใส่ พวกลิงได้สนทนากันว่า ฤาษีนี้ดีมากไม่เหมือนฤาษีองค์ก่อนๆ ฤาษีองค์ก่อนๆนั้น บางทีก็ขว้างปาเรา เหมือนกับจะกินเรา และทำผิดทำเนียมของฤาษี ไม่ทำความเพียรเหมือนฤาษีองค์นี้นั่นเองถึงได้ต้องตายกันไปจนหมด เราเข้าใจว่าฤาษีองค์นี้คงไม่ตายแน่เพราะฤาษีองค์นี้ร่างกายท่านผ่องใสมาก
    หลวงปู่มั่นได้ยินพวกลิงพูดกันถึงท่านที่คิดว่าเป็นฤาษีโดยตลอดรู้และเข้าใจภาษาสัตว์ หลวงปู่มั่นนึกในใจ
    “พวกสัตว์เดียรัจฉานแท้ๆ มันก็ยังรู้อะไรๆ ดีเหมือนกัน ไม่ใช่จะมาเพียงแต่ส่งเสียงร้องกันเจี๊ยกๆ จ๊ากๆ แต่มันก็มีความหมายเป็นอย่างยิ่ง ดูแต่เราฟังภาษาแขกภาษาจีน ภาษาฝรั่งเถอะ ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะไม่รู้เรื่องอะไร คือไม่ผิดอะไรกับที่เราฟังอึ่งอ่างมันร้อง พวกนกหนูปูปีกมันส่งเสียงร้อง และเราก็จะไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกัน แต่ถ้าใครได้เรียนตามภาษานั้นๆ ก็จะรู้ได้ทันทีว่า เขาพูดอะไรกัน”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2013
  3. Chakkrapong

    Chakkrapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +213
    หากอยากให้ประชาชนทำในสิ่งที่ตนอยากให้ทำ ผู้ปกครองควรทำเช่นไร​

    หากผู้ปกครองต้องการให้ประชาชนประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอย่างที่ตนต้องการ ก็จะต้องรู้จักการทำให้ประชาชนเขาเห็นว่า การปกครองของคุณนั้นมอบผลประโยชน์ให้เขาได้ คุณต้องพิสูจน์ตัวเองกับประชาชนเสียก่อนว่า คุณสามารถสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างความสุขสบายให้เขาได้ คุณต้องทำแบบนี้ก่อน ประชาชนเขาถึงจะยอมทำตามที่คุณขอร้อง (ย้ำว่าขอร้องนะ)
    คนส่วนใหญ่นั้นมองว่าคุณธรรมกินไม่ได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงต้องนำผลประโยชน์ไปแลกกับการที่ประชาชนจะประพฤติตามคุณธรรม การที่คุณไปบอกให้เขาดำรงตนอยู่ในศีลธรรมข้างเดียว โดยที่คุณไม่อาจมอบผลประโยชน์อันใดให้เขาได้เลยนั้น ก็จะทำให้เขาไม่ทนทานที่จะทำตามที่คุณบอกอีกต่อไป
    เช่น ผู้ปกครองบอกให้ประชาชนไม่ลักขโมย แต่ตัวเองกลับไม่ยอมสร้างงานสร้างรายได้ แก้ปัญหาเศรษฐกิจให้เขา แล้วใครเขาจะไปทำตามที่ผู้ปกครองเช่นนี้บอกกัน ถึงมีก็เป็นส่วนน้อย เฉพาะผู้ที่หนักแน่นในคุณธรรมเท่านั้นที่จะยอมอดตายดีกว่าไปปล้นเขา ซึ่งก็มีเป็นส่วนน้อยจริงๆ คนส่วนใหญ่ของสังคมเขาทนไม่ไหวหรอก แบบนี้ก็สร้างสังคมที่สงบสุขไม่ได้
    (เห็นแบบนี้อย่านึกว่าผมนิยมชมชอบนโยบายประชานิยม ขายชาติแลกคะแนนเสียงนะ ผมเกลียดนโยบายประเภทนี้และไม่สนับสนุนให้ทำ การมอบผลประโยชน์ให้กับประชาชนเพื่อส่งเสริมให้เขาประพฤติธรรมนี้ ควรจะเป็นนโยบายประเภทที่ก่อให้เกิดการพัฒนาได้อย่างยั่งยืนครับ เช่น การสร้างงาน สร้างอาชีพ เป็นต้น)



    การปกครองที่ยิ่งใหญ่​

    การปกครองที่ยิ่งใหญ่คืออะไร? ตอบได้สองแนวทาง คือ

    การปกครองที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางและมีคนมาก
    การปกครองที่เรากำลังกล่าวถึงนี้ หมายถึงการปกครองระดับประเทศ ซึ่งถือเป็นการปกครองที่กินพื้นที่กว้างขวาง เช่น ประเทศไทยมีพื้นที่ ๒๒๓ ไร่ ก็พื้นที่กว้างขวางขนาดนี้เป็นของแน่นอนที่ต้องมีทรัพย์สมบัติบนแผ่นดิน ที่ผู้ปกครองต้องดูแลรักษา เช่น ต้องดูแลรักษาคนบนแผ่นดิน ต้องจัดการให้ทุกคนได้รับแผ่นดินสำหรับอยู่ และทำกินอย่างยุติธรรม ต้องดูแลและแจกจ่ายแร่ธาตุพร้อมป่าไม้ให้ประชาชนอย่างยุติธรรม ต้องดูแลและแจกจ่ายทรัพยากรในน้ำทั่วประเทศให้ประชาชนอย่างยุติธรรม ต้องมีภาระรักษาพื้นแผ่นดินที่มีอยู่แล้วนี้ให้คงอยู่ มิให้ประเทศอื่นมาแย่งเอาไป ภาระตามที่กล่าวมานี้มีอยู่ทั่วอาณาบริเวณประเทศไทย ที่ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบ

    การปกครองที่จะดำเนินให้เป็นไปตามจุดหมายนั้นยากอย่างยิ่ง
    การปกครองไม่ว่าระดับไหน ล้วนมีจุดหมายอยู่ที่การบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชน เมื่อต้องปกครองผู้คนทั้งประเทศเช่นนี้ การที่จะทำให้ผู้คนทุกคนปราศจากความทุกข์ มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขอย่างทั่วหน้านั้น คงเป็นไปได้ยากเหลือเกิน เพราะเหตุคือ ดูแลไม่ทั่วถึง ก็เพราะมีคนที่ต้องดูแลมากมาย ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ปกครองมองไม่เห็นคนที่ถูกรังแก อาจจะแก้ไขได้โดยการที่คนที่ถูกรังแกนั้นต้องพยายามแสดงตัวให้ผู้ปกครองเห็นและเข้ามาดูแลให้ได้ อีกปัญหาหนึ่งคือ ทั่วถึงแต่ไม่ดูแล เพราะว่ามีความลำเอียงในการปกครอง ผู้ปกครองบางคนอาจมองเห็นอยู่ว่าประชาชนของตนถูกรังแก แต่ก็ไม่ช่วยเหลืออะไร เพราะคนที่รังแกนั้นเป็นคนสนิทของตน ถ้าได้ผู้ปกครองแบบนี้ ประชาชนก็ซวยสุดๆ
    ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่าผู้ปกครองใดสามารถปกครองแผ่นดินที่กว้างขวางขนาดนี้และที่ยากเหลือเกินขนาดนี้ ให้ประสบความสำเร็จได้ คือ ให้ประชาชนมีความร่มเย็นเป็นสุขได้ นี่จึงจะเรียกว่า การปกครองที่ยิ่งใหญ่



    ปัญหาที่ทำให้การปกครองไม่บรรลุจุดหมาย (๑)​

    มีอยู่สองประการ คือ ปัญหาที่ระบบ และปัญหาที่ตัวบุคคล

    ปัญหาที่ระบบ
    ปัญหาที่ระบบก็คือ การที่ระบอบการปกครอง หรือตัวบทกฏหมายที่ใช้ในการปกครองมีปัญหา ฉุดรั้งความสามารถของบุคคลผู้ปกครอง ถึงแม้ว่าตัวบุคลากรจะเป็นผู้มีความสามารถก็ตาม แต่ถ้าระบบมีปัญหา การปกครองก็มีปัญหาตามมา
    นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีระบอบการปกครองใดเลยที่สร้างความผาสุขแก่ผู้คนได้อย่างแท้จริง ทุกระบอบล้วนแล้วแต่ดีอย่างเสียอย่างเสมอ เช่น
    - ระบอบกษัตริย์ หรือระบอบที่มีผู้ปกครองคนเดียว คนอื่นคัดค้านและถอดถอนมิได้ มีข้อดีอยู่ที่ผู้ปครองคนเดียวมีอำนาจตัดสินใจเรื่องต่างๆอย่างเด็ดขาด ทำให้แก้ปัญหาต่างๆได้เร็ว หากว่าผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวนั้นเป็นคนดี ก็จะผลักดันบ้านเมืองให้เป็นธรรมได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีใครคัดค้านคำสั่งใดๆของผู้ปกครองได้ แต่ข้อเสียก็คือ ระบอบแบบนี้ขาดกลไกในการเลือกสรรผู้ปกครองที่ดี เพราะใช้การสืบสายเลือดในการคัดเลือกผู้ปกครอง ซึ่งวิธีการดังกล่าวนั้นเราไม่อาจแน่ใจได้เลยว่ากษัตริย์ที่จะขึ้นมาครองบัลลังก์องค์ต่อไปจะดีหรือเก่งเหมือนองค์นี้หรือไม่ และถ้าหากว่าได้ทรราชย์มาขึ้นครองเมือง จบเลย บ้านเมืองจบเห่ทันที เพราะไม่มีใครถอดถอนหรือคัดค้านผู้ปกครองทรราชย์นั้นได้เลย สรุปว่าระบอบแบบนี้ขึ้นอยู่กับตัวผู้ปกครองว่าเป็นคนดีหรือเลว ถ้าดี บ้านเมืองจะเจริญกว่าระบอบประชาธิปไตย ถ้าชั่ว บ้านเมืองจะย่ำแย่สุดๆ สุดจะหาคำใดๆมาเปรียบได้ (เฉกเช่นตอนเสียกรุงครั้งที่สอง)
    - ระบอบรัฐสภา หรือระบอบที่มีผู้ปกครองหลายคนร่วมกันปกครอง ต่างคนต่างถูกคัดค้าน ควบคุม ตรวจสอบโดยกันและกัน ข้อดีคือ มีวิธีการคัดเลือกผู้ปกครองที่ดีมีคุณธรรมด้วยวิธีการเลือกตั้ง ซึ่งจัดว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการสืบสายเลือด นอกจากนี้ผู้ปกครองในระบอบนี้ ประชาชนยังสามารถตรวจสอบ ควบคุม ให้ดำเนินนโยบายที่อยู่ในทำนองคลองธรรม หรือทำเพื่อประชาชน ไม่กอบโกยผลประโยชน์เข้าตนหรือพรรคพวกได้
    แต่ระบอบนี้จุดอ่อนที่สำคัญคงจะอยู่ที่ ระบอบนี้อาจจะ “เปิดโอกาส” ให้คนที่ไม่มีคุณธรรม หรือไม่มีความรู้ความสามารถในการปกครองอย่างแท้จริงเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง
    ปราชญ์กรีกผู้หนึ่งได้เคยวิจารณ์ระบอบแบบนี้ไว้ว่า สังคมที่จะเดินไปได้เป็นอย่างดีนั้น ต้องเป็นสังคมที่มีการแบ่งงานกันทำตามความถนัดอย่างแท้จริง เช่น คนไหนถนัดเล่นดนตรี ก็ให้ไปเล่นดนตรี ห้ามไปก่อสร้าง คนไหนถนัดก่อสร้าง ก็ต้องไปทำงานประเภทก่อสร้าง ไม่ใช่มาเล่นการเมือง การเมืองก็เช่นกัน ควรจะจำกัดไว้ให้กับเฉพาะผู้ที่ถนัดด้านนี้โดยเฉพาะเท่านั้น สังคมหรือหน่วยงานองค์กรที่มีการจัดสรรตำแหน่งหน้าที่ให้กับสมาชิกตามความสามารถที่ถนัดของเขาอย่างแท้จริงนี้ จะทำให้สังคมส่วนรวมได้รับประโยชน์จากการที่ต่างคนต่างทำงานที่ตนถนัดที่สุดนั้นได้เป็นอย่างมาก
    แต่ระบอบประชาธิปไตยนั้น กลับเปิดกว้างเกินไป คือไปเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองได้ ทั้งๆที่การเมืองควรจะถูกจำกัดไว้ให้เฉพาะกับผู้ที่เชี่ยวชาญการเมือง และมีคุณธรรมจริงๆเท่านั้น ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวนั้นน้อยคนจริงๆที่จะมี เหมือนกับอาชีพอื่นๆที่ถูกจำกัดไว้ให้เฉพาะกับผู้ที่เชี่ยวชาญสาขานั้นๆจริงๆ การเปิดให้ทุกคนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับการเมืองเช่นนี้ เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้คนไม่เชี่ยวชาญการเมืองจริงๆ หรือคนไม่มีคุณธรรม ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง ร่วมกับคนเชี่ยวชาญหรือคนมีคุณธรรม อันจะทำให้การปกครองเกิดปัญหาตามมาคือ นโยบายใดๆที่นักการเมืองผู้เชี่ยวชาญหรือมีคุณธรรมเสนอ มักจะถูกคัดค้านหรือยับยั้งโดยนักการเมืองที่ไม่เชี่ยวชาญหรือไร้คุณธรรม (ซึ่งคนชั่วก็มักจะมีจำนวนมากกว่าคนดีเสมอ ในประวัติศาสตร์การปกครองของระบอบนี้ ผลก็คือญัตติใดๆของนักการเมืองดีที่ขัดกับผลประโยชน์ของ “พวก” นักการเมืองเลว มักจะประกาศใช้ไม่ได้)
    เริ่มแรกเลย ผู้ปกครองของระบอบนี้ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ในประวัติศาสตร์การปกครองของระบอบนี้ ในหมู่ประชาชน ก็มักจะมีจำนวนคนเลวมากกว่าคนดีอยู่แล้ว หรือไม่ก็มีคนไม่รู้เรื่องการปกครองบ้านเมืองอย่างแท้จริงมากกว่าคนเชี่ยวชาญ ผลก็คือ ประชาชนส่วนที่แย่ ที่มีจำนวนมากกว่าส่วนที่ดีนั้น กลายเป็นเสียงข้างมาก นักการเมืองประเภทที่ประชาชนส่วนแย่ที่เป็นเสียงข้างมากจะเลือก ก็คงจะหนีไม่พ้นพวกนักการเมืองเลวๆ ที่เอาเงินมาจ้างให้ไปเลือกตน นักการเมืองดีๆมีโอกาสเกิดยาก เพราะคนที่เห็นด้วยมีน้อย สุดท้ายจึงมีแต่นักการเมืองเลวๆไปนั่งอยู่ในสภา ตามมาด้วยการทุจริตบานเบอะ นักการเมืองหรือประชาชนส่วนดีที่เป็นแค่เสียงข้างน้อยก็ทำอะไรมันแทบไม่ได้ เพราะขาดการสนับสนุนจากเสียงส่วนใหญ่ หรือมีกำลังอำนาจน้อยกว่า

    ปัญหาที่ตัวผู้ปกครอง
    ในบางครั้ง ถ้าระบบดีอยู่แล้ว แต่ตัวผู้ปกครองไม่ได้เรื่อง บ้านเมืองก็แย่เหมือนกัน (พุทธศาสนาเน้นตรงนี้มาก ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องระบอบเลย)
    ผู้ปกครองแย่ๆ แบ่งประเภทได้ดังนี้ (พวกนี้เป็นอย่างนี้ ก็เพราะขาดคุณธรรมของผู้ปกครอง)
    - พวกเอาแต่เสพสุข ไม่สนใจกิจการบ้านเมือง ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ ดีชั่วอย่างไรตนไม่กำกับดูแล เช่น เล่าเสี้ยนฮ่องเต้ ที่ทำจ๊กก๊กล่มสลาย ผู้นำแบบนี้ขาดคุณธรรมด้านความเป็นผู้เสียสละ คือไม่ยอมเสียสละความสุขความสำราญของตน เพื่อไปดูแลความทุกข์ความสุขของคนอื่น
    - พวกที่ขึ้นมามีอำนาจเพื่อกอบโกยผลประโยชน์เข้าตนหรือญาติพวกพ้อง ไม่ดูแลประชาชนกลุ่มอื่นๆ หรือถ้าจะดูแล ก็จะดูแลเฉพาะกรณีที่ผลประโยชน์ของกลุ่มอื่นไม่ขัดแย้งกับกลุ่มของตน แต่ถ้าผลประโยชน์ส่วนรวมขัดแย้งกับกลุ่มของตนเมื่อไร พวกนี้จะทิ้งส่วนรวมไป แล้วช่วยเหลือเฉพาะพวกตน ผู้นำประเภทนี้ขาดคุณธรรมด้านความซื่อตรง คือ ปากพูดอย่างหนึ่ง แต่ใจคิดไปอย่างหนึ่ง บางครั้งอาจจะแสดงให้คนอื่นเห็นว่า ตนเป็นคนซื่อสัตย์ รังเกียจคนทุจริต แต่ที่ทำเช่นนั้น ก็เพื่อปกปิดความทุจริตของตนเอง
    - พวกประเภทเผด็จการ ปกครองตามใจตนเอง ไม่ฟังเสียงใคร ใครเสนออะไรตนไม่ฟัง เบื้องหลังมักจะเป็นคนเอาแต่ใจตนเอง ใครขัดคอไม่ได้ ใจแคบ ไม่ชอบให้ใครมาวิจารณ์(เพราะกลัวเสียเชิง) ใครวิจารณ์แม้จะเป็นไปด้วยความหวังดีตนก็จะโกรธ เมื่อโกรธแล้วก็จะหาช่องทางกลั่นแกล้งคนๆนั้น เพื่อต่อไปจะได้ไม่มีใครกล้าขัดคอเขาอีก พอไร้คนติ อัตราความหลงตัวเองก็ยิ่งพุ่งกระฉูด จนบางครั้งอาจนำไปสู่ความเชื่อว่าตนคือคนที่เก่งที่สุดในโลกไม่มีใครเทียมได้ ซึ่งอาจจะต่อยอดด้วยการไปรบยึดบ้านเมืองคนอื่นต่อไป
    - พวกใฝ่แต่การแสวงหาอำนาจ เที่ยวรุกรานบ้านเมืองอื่น เมื่อประเทศมีแต่สงคราม ความสงบสุขของประชาชนก็เกิดไม่ได้ เช่น ฮิตเลอร์ที่ยกทัพยึดทวีปยุโรป ทำให้เยอรมันโดนถล่ม ประชาชนตาย ทรัพย์สมบัติพินาศ ก็เพราะความโหดร้ายของผู้ปกครองเพียงคนเดียว คือ ฮิตเลอร์นั่นเอง ผู้นำแบบนี้ขาดคุณธรรมด้านความเมตตา
    - พวกคนโลเลไม่หนักแน่น เอนเอียงไปตามกระแสลมปากของคนสอพลอ ไม่ยอมฟังคนดี ผู้นำประเภทนี้มักจะทำลายคนดีของบ้านเมือง เพราะหลงเชื่อคนสอพลอที่พูดเฉพาะเรื่องที่ตนอยากฟัง ไม่เหมือนพวกคนดีที่พูดเรื่องที่ตนควรจะฟังแม้จะไม่เสนาะหูก็ตาม เมื่อผู้ปกครองทำลายคนดี คนดีทั้งหลายย่อมท้อแท้ คิดว่าทำดีไปก็เท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร ในเมื่อผู้ปกครองเชื่อแต่คนเลว เมื่อไม่มีคนดีในแวดวงของการเมืองเสียแล้ว สักวันความวิบัติจักเกิดแก่บ้านเมือง ผู้นำแบบนี้ขาดคุณธรรมด้านความหนักแน่น
    - ผู้ปกครองประเภทไร้ศีล เช่น พูดโกหก เมาสุรานารี ชอบสาวใดก็ใช้อำนาจข่มขู่บังคับให้มาเป็นนางบำเรอ ไม่คำนึงว่าลูกใครเมียใคร ผู้นำแบบนี้ ประชาชนอาจจะเกรงกลัวในอำนาจ แต่ความศรัทธานั้นไม่มีอยู่ในใจประชาชน ย่อมเป็นผลเสียต่อการปกครอง
    กรณีข้างบนคือผู้นำขาดคุณธรรม แต่หลังจากนี้จะเป็นกรณีที่ผู้นำขาดความรู้ความเชี่ยวชาญในการปกครองบ้านเมือง
    ผู้นำบางคนมีความจริงใจในการปกครองบ้านเมือง แต่ไม่เชี่ยวชาญการปกครอง ว่าจะทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหาของประชาชนได้ โดยปกติแล้วบ้านเมืองหนึ่งๆมีปัญหาต่างๆมากมาย เป็นต้นว่า คนบางกลุ่มยากจนอดมื้อกินมื้อ ทุกข์ของคนเหล่านี้คือความหิวและความอับอายที่ตนไม่มีจะกิน บางครั้งหัวหน้าครอบครัวก็ฆ่าตัวตายหนีความรับผิดชอบไป ปัญหาเหล่านี้ หากผู้ปกครองทราบแล้วยังเฉย ไม่เอาธุระ ก็จะทำให้บ้านเมืองมากไปด้วยคนยากจน ตามมาด้วยปัญหาต่างๆ เช่น โจรผู้ร้าย คนไร้ที่ทำกินจนต้องมาขายตัวในเมืองหลวง เป็นต้น
    คนบางกลุ่ม จนๆอยู่แล้ว ยังถูกโจรปล้น ถูกรังแกจากข้าราชการ หรือจากคนรวย เป็นต้นว่า เมื่อจะไปขอความช่วยเหลือจากราชการก็ยังต้องเสียเงิน หรือเมื่อไปกู้จากคนรวย โดนเขาโกงสัญญา จากตอนแรกกู้พันบาท แต่ต้องใช้หนี้ตั้งหมื่นบาท พอจะหันไปพึ่งตำรวจ ตำรวจก็โดนคนรวยเอาเงินฟาดหัวเรียบร้อย ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการที่ผู้ปกครองแก้ปัญหาไม่ได้ทั้งสิ้น คนจนมาก โจรก็มาก คนเดือดร้อนเพราะโจรก็มาก ข้าราชการชั่วเห็นแก่เงินก็เพิ่ม ตำรวจเป็นโจรปล้นเงินชาวบ้านเสียเอง คนรวยก็มีอำนาจมาก คนที่ถูกรังแกจากข้าราชการชั่วและนายทุนสารเลวก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อความชั่วร้ายต่างๆมีแต่เพิ่มอย่างนี้ ความสงบสุขของประชาชนจะมีได้หรือ...
    ประชาชนกลุ่มที่ไม่มีที่ทำกิน เพราะโดนนายทุนโกงไป ก็ต้องไปเช่าที่เขา เจ้าของที่ดินบางคนก็ทำใจดีอนุญาตให้คนไร้ที่มาทำกิน เข้าไปทำกินในที่ตนได้ คนไร้ที่ก็อุตส่าห์หักร้างถางพงทำที่ดินเขาให้โล่งเตียนพอจะเพาะปลูก แต่ทำกินอยู่นั้นไม่ถึงสองปีก็โดนเจ้าของไล่ที่ บอกว่าเขาจะต้องใช้ทำกิจของเขา คนไร้ที่แม้จะรู้ว่าตนถูกหลอกให้ถางป่าให้ แต่ก็ไม่กล้าพูด
    ปัญหาแบบนี้ผู้ปกครองต้องแก้ด้วยการปฏิรูปที่ดิน ยึดเอาที่ของพวกที่มีที่ “เกินกิน” มาแจกจ่ายให้คนที่ยังไม่มี ห้ามขาย ถ้าขาย คนจนเขาจะไม่มีเงินซื้อ ทำให้เป็นคนไร้ที่เหมือนเดิม บางคนก็จะสนองนโยบายอันห่วยแตกนั้นด้วยการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ตามมาปราบเขาอีก นี่ถ้าพวกบุกรุกเป็นคนมีเงินนะ มันไม่กล้าปราบกันหรอก คิดดูแล้วก็น่าสงสารคนจน ไม่มีจะกินอยู่แล้ว ยังโดนเขาข่มเหง ส่วนคนรวยอยู่แล้ว ก็มีแต่คนส่งเสริม แม้จะทำผิด ทางการก็ไม่กล้าทำอะไร
    ผู้หญิงบางคนถูกหลอกไปขาย หรือถูกพ่อแม่บังคับขายไป เพราะความยากจนเป็นต้นเหตุ เป็นโสเภณีอยู่ในซ่อง หลายคนต้องฟืนใจทำแบบนี้ เพราะถ้าไม่ยอมรับแขก ก็จะโดนคนคุมซ่องลงโทษ บางคนหนีออกมาได้ ไปแจ้งตำรวจ ที่ไหนได้ตำรวจกลับส่งตัวกลับไปให้เจ้าของซ่องเหมือนเดิมอีก หญิงเหล่านั้นก็จะคิดว่า “โลกนี้มันไม่ยุติธรรมเลย ครอบครัวยากจนเพราะผู้ปกครองไม่สนใจแก้ปัญหาความยากจน เราเลยถูกพ่อแม่บังคับขายมาอยู่ในซ่องนี้ เราต้องยอมทำเพื่อส่งเงินไปให้ทางบ้าน พ่อก็แก่ แม่ไม่สบาย น้องก็ต้องเรียน ทำไมสังคมต้องเอาแต่คอยประนามเรา แต่ไม่สนใจจะแก้ไขปัญหาความยากจนอันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ ทำไมสังคมถึงไม่สนใจจะมาปราบพวกนายทุนที่ทำนาบนหลังคน ที่อยู่เบื้องหลังกิจการพวกนี้ สังคมนี้จะหาความยุติธรรมได้จากที่ใดอีก” นี่ก็เป็นอีกปัญหาที่ผู้ปกครอง “ไม่ยอมแก้”
    เคยมี ส.ส. อัปรีย์ผู้หนึ่งเสนอความเห็นว่า การที่จะแก้ปัญหาผู้หญิงถูกหลอกลวง และแก้ปัญหาเรื่องโรคระบาดที่เกิดจากการร่วมเพศได้ ต้องจดทะเบียนหญิงโสเภณีให้ถูกต้อง เพื่อที่ทางการจะได้ตรวจสอบได้ แต่ทางตำรวจคัดค้าน เพราะ หากรัฐบาลออกกฏหมายจดทะเบียนหญิงโสเภณีอย่างถูกต้อง นั่นคือนับจากนี้การเปิดซ่องถือว่าไม่มีความผิด แล้วอย่างนี้จะมีเจ้าของซ่องที่ไหนเขาส่งส่วยให้ตำรวจล่ะ ก็ในเมื่อหลังจากนี้ ต่อให้ไม่จ่ายส่วยให้ตำรวจ ตำรวจก็จับไม่ได้อยู่ดี เท่าที่ทราบ ส่วยโสเภณีนี่เดือนละหลายล้านบาทเลยนะ
    มันเลวด้วยกันหมดทั้งส.ส. ทั้งตำรวจนั่นแหละ ส.ส.ที่มันเสนอกฏหมายนี้ ลึกๆแล้วมันก็คงจะชอบเที่ยว ก็เลยอยากให้การเที่ยวเป็นเรื่องที่ทำอย่างเปิดเผยได้ แถมเด็กก็ยังปลอดเชื้ออีก ส่วนตำรวจก็กลัวจะไม่ได้ส่วย ไม่ได้คิดเลยว่าเงินที่ตนได้มานี้เป็นเงินร้อน ได้มาจากความทุกข์ของผู้อื่น
    คนบางกลุ่ม ทำผิดกฏหมายเพราะความจำเป็น ถูกป้ายสี เมื่อถูกจำคุกแล้วก็เข็ดหลาบ ตั้งใจว่าหลังจากนี้จะเป็นคนดี แต่พอออกจากคุกมาแล้ว “สังคมกลับไม่ให้โอกาส” ที่ทำงานต่างๆกลับออกระเบียบว่าห้ามคนที่เคยติดคุกเข้าทำงาน เมื่อไม่ได้งาน สุดท้ายก็ต้องปล้นเขาอีก เข้าคุกอีก



    ปัญหาที่ทำให้การปกครองไม่บรรลุจุดหมาย (๒)​

    ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาหลายศตวรรษ ได้บอกให้เราทราบว่า มนุษย์เราได้พยายามสร้างระบอบการปกครอง เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของมนุษย์เรา จะยังไม่สัมฤทธิผล แต่ก็ยังพยายามตลอดมา เมื่อระบอบกษัตริย์ ไม่สามารถสร้างความสงบร่มเย็นให้ประชาชนได้มากพอ ก็สร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาแทน ทีนี้ ก็มีอีกบางคนมองว่า ระบอบประชาธิปไตย ไม่สามารถสร้างความสงบสุขให้ประชาชนได้ ก็เลยพยายามสร้างระบอบคอมมิวนิตส์ขึ้นมาแทน
    ทุกวันนี้ ระบอบทั้งสามยังอยู่บนโลกเราครบ ระบอบกษัตริย์ยังอยู่ในประเทศอาหรับบางประเทศ ระบอบคอมมิวนิตส์เหลืออยู่สี่ประเทศ (อยู่ใกล้ไทยเสียสามประเทศ คือ ลาว เวียดนาม จีน อีกประเทศหนึ่งคือคิวบาอยู่ทะเลแคริบเบียน) นอกนั้นเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ถึงระบอบจะต่างกัน แต่ทุกประเทศในโลกก็ (ถูกบังคับให้) มีระบบเศรษฐกิจเดียวกัน คือทุนนิยมเหมือนๆกันหมด
    ถามว่าทุกประเทศที่ปกครองในระบอบดังกล่าวนั้น มีระบอบไหนบ้างที่มีผลดีกว่าระบอบอื่น กล่าวคือ ประเทศปราศจากโจรผู้ร้าย ประชาชนไม่ถูกเอาเปรียบ คนยากจนไม่มี 100 %
    คงจะตอบได้ว่าไม่มี ทุกระบอบมีโจรมากบ้างน้อยบ้าง ทุกระบอบประชาชนยังคงถูกเอาเปรียบ ทุกระบอบ ทุกประเทศ ก็ยังมีคนยากจน หากจะมียกเว้นบ้างก็คงมีเพียงประเทศเดียวที่บ้านเมืองสงบสุข โจรผู้ร้ายน้อยมาก คือ สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งปกครองแบบประชาธิปไตย
    หลักธรรมะในการปกครองของพระพุทธองค์นั้น เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดกาล ทุกระบอบการปกครอง ไม่ว่าราชาธิปไตย ประชาธิปไตย หรือคอมมิวนิตส์ ก็สามารถนำหลักธรรมของพระองค์ไปใช้ในการปกครองได้ หากใช้แล้วบ้านเมืองก็สงบสุขโดยทั่วไป
    เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ เราก็สามารถพูดได้ว่า การจะสร้างความร่มเย็นให้ประชาชนนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ระบอบการปกครอง หากอยู่ที่การใช้ธรรมะปกครองมากกว่า ถึงระบอบที่ชาวโลกยอมรับว่าดี แต่ถ้าผู้ปกครองไม่ใช้ธรรมะปกครอง ความสงบสุขก็เกิดไม่ได้ ทำนองเดียวกัน ระบอบที่ชาวโลกไม่นิยม แต่ผู้ปกครองใช้ธรรมะปกครอง ความสงบก็เกิดแก่ประชาชนได้
    อย่างไรเสีย การจะกล่าวว่าระบอบการปกครองไม่จำเป็นเสียทีเดียว ก็คงจะไม่ได้ เพราะระบอบแต่ละระบอบ มีส่วนดีและส่วนเสีย มีส่วนก่อให้เกิดความเป็นธรรม และไม่เป็นธรรมได้เหมือนกัน พูดง่ายๆก็คือ บางระบอบมีส่วนช่วยเสริมการใช้ธรรมะปกครองได้ง่าย บางระบอบมีส่วนส่งเสริมให้เกิดอธรรมได้ง่าย ดังนั้น การจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องระบอบการปกครองเลยนั้นจึงเป็นไปไม่ได้อยู่ดี เราควรรู้จักการแก้ไขระบอบการปกครองแต่ละระบอบ ให้เอื้อต่อการใช้ธรรมะปกครอง
    การปกครองที่ก่อให้เกิดความเป็นธรรมได้ง่าย ก็คือ ระบอบที่บีบให้ผู้ปกครองจำเป็นต้องใช้ธรรมะเข้ามาปกครองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะถ้าขืนไม่ใช้ ตัวเองก็จะต้องถูกถอดถอนโดยกฏหมาย

    การแก้ไขระบอบการปกครองให้เกื้อกูลแก่การใช้ธรรมะ
    ในที่นี้ขอยกเอาระบอบประชาธิปไตยมาพิจารณา เพราะประเทศไทยใช้ระบอบนี้อยู่ เราจะมาพิจารณากันว่า ส่วนไหนของระบบนี้ควรปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อให้เป็นระบบที่สามารถบีบคั้นผู้ปกครองให้ใช้ธรรมะปกครองบ้านเมืองได้
    ระบอบประชาธิปไตยนั้นมีกลไกที่บีบคั้นให้ผู้ปกครองใช้ธรรมะปกครองมากกว่าระบอบอื่นๆ กล่าวคือ ผู้ปกครองในระบอบนี้ ประชาชนมีสิทธิ์เลือก มีสิทธิ์เรียกร้องให้รัฐบาลใช้ธรรมะปกครองได้ หากไม่ทำตามก็ถอดถอน หากผู้ปกครองไม่ใช้ธรรมะปกครอง ประชาชนก็สามารถถอดถอน หรือไม่เลือกอีกในสมัยหน้าก็ได้ นอกจากประชาชนแล้ว ยังมีองค์กรอิสระอื่นๆอีกที่คอยบีบคั้นรัฐบาลให้ใช้ธรรมะปกครอง เช่น รัฐสภา ป.ป.ช. สื่อมวลชน นี่คือ กลไกที่สามารถใช้บีบคั้นให้ผู้ปกครองใช้ธรรมะปกครองบ้านเมืองได้
    นี่คือข้อได้เปรียบของระบอบนี้ที่มีต่อระบอบราชาธิปไตยและระบอบคอมมิวนิตส์ ที่ผู้ปกครองขึ้นมามีอำนาจ อยู่ในอำนาจ โดยไม่ต้องง้อประชาชนเลย ประชาชนจึงไม่อาจควบคุมให้ใช้ธรรมะปกครองได้ การจะใช้ธรรมะปกครองหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวผู้ปกครองเอง
    อย่างไรก็ตาม กลไกเหล่านี้ ในบางครั้ง แทนที่จะบีบให้รัฐบาลใช้ธรรมะปกครอง แต่กลับขัดขวางเสียเอง เช่น ประชาชนอาจเรียกร้องกดดันให้รัฐบาลออกนโยบายที่ไม่เป็นธรรม หากไม่ทำตามจะล่ารายชื่อถอดถอน รัฐสภาในบางครั้งอาจจะบีบคั้นให้รัฐบาลที่เป็นธรรม ออกนโยบายที่ไม่เป็นธรรมได้ ผิดกับระบอบเผด็จการ ที่ถ้าหากว่าผู้ปกครองเป็นธรรมแล้ว ก็จะไม่มีใครขัดขวางการใช้ธรรมะปกครองของผู้ปกครองที่เป็นธรรมนั้นได้เลย
    นี่แหละคือจุดอ่อนของระบอบนี้ที่เราควรแก้ไข คือเราต้องหาทางปรับปรุงกลไกในการบีบบังคับผู้ปกครอง ให้กลายเป็นกลไกที่สามารถบีบบคั้นผู้ปกครองให้ใช้ธรรมะปกครองอย่างมีประสิทธิภาพได้
    ผมเห็นด้วยกับการยกลเกระบบผู้แทนราษฎร และให้ก่อตั้งสภาประชาชนขึ้นมาแทน ให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลได้ด้วยตนเองเลย คล้ายๆกับระบอบประชาธิปไตยแบบโดยตรงของนครรัฐกรีกโบราณ แนวทางอื่นๆที่อยากจะเสนอก็เช่น
    - ปรับปรุงกิจกรรมหาเสียงของนักการเมือง ให้รัฐบาลเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้ผู้สมัครตกอยู่ใต้อำนาจของนายทุนที่ออกตังค์ให้ และวิธีนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้คนจนที่ไม่มีเงินจะหาเสียง ได้มีโอกาสลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนักการเมืองอย่างเท่าเทียมกับคนรวยได้อีกด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องออกเงินหาเสียงเองอีกต่อไป รัฐจ่ายให้
    - หามาตรการจัดการกับพวกซื้อเสียงอย่างจริงจัง เช่น ตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตไปเลย ซื้อเสียงก็ไปเกิดใหม่อย่างเดียว ถึงจะลงเล่นการเมืองได้

    การใช้ธรรมะของผู้ปกครองบ้านเมือง
    หลักธรรมทางการปกครองของพระพุทธเจ้าที่กล่าวมานั้น แม้จะมุ่งไปที่ตัวผู้นำประเทศ เช่น พระราชา นักการเมือง แต่ดูเหมือนว่าข้าราชการประจำก็น่าจะปฏิบัติได้ เพราะต่อให้ผู้นำที่กำหนดนโยบายถือธรรมเป็นอำนาจ แต่ข้าราชการที่นำนโยบายไปปฏิบัติถืออำนาจเป็นธรรม บ้านเมืองจะสงบสุขได้อย่างไร
    นักปกครองในทุกระดับ ทั้งนักการเมืองและข้าราชการ ต้องสอบสวนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า
    “ในฐานะที่เราเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง เราได้บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ ญาติพี่น้อง มิตรอำมาตย์ เหล่าทหาร ประชาชนทั้งหมด สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เนื้อและนก (ทรัพยากรธรรมชาติ) แล้วหรือยัง? ถ้าทำแล้ว ก็จงภูมิใจเถิดว่า เราได้ทำหน้าที่ของผู้ปกครองบ้านเมืองแล้ว”
    พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในเตสกุณชาดก สรุปได้ว่า
    “ข้าแต่มหาราชา ขอพระองค์จงประพฤติธรรม ในพระราชมารดาและพระราชบิดา ครั้นพระองค์ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในพระราชโอรสและพระมเหสี ครั้นพระองค์ประพฤตืธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในมิตรและอำมาตย์ ครั้นพระองค์ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในพาหนะและพลนิกาย ครั้นพระองค์ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในชาวบ้านและชาวนิคม ครั้นพระองค์ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในสมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย ครั้นพระองค์ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในเนื้อและนก ครั้นพระองค์ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ ขอพระองค์จงประพฤติธรรม เพราะธรรมที่บุคคลประพฤติแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้ ครั้นพระองค์ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ ข้าแต่มหาราชา ขอพระองค์จงประพฤติธรรม เพราะว่าพระอินทร์ พร้อมทวยเทพ ถึงทิพยสถานได้ด้วยธรรมอันตนประพฤติดีแล้ว ข้าแต่บรมกษัตริย์ ขอพระองค์อย่าประมาทในธรรมเลย ข้อนี้แลเป็นการพร่ำสอนพระองค์ ขอพระองค์จงสมาคมกับผู้มีปัญญา จงมีคุณอันงาม ทรงทราบข้อความนั้นด้วยพระองค์แล้ว จงทรงปฏิบัติให้ครบถ้วนเถิด”
    สรุป ระบอบการปกครองต่างๆ ถ้าปราศจากธรรมเสียแล้ว ความสงบร่มเย็นก็เกิดไม่ได้ ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่เอื้ออำนายให้ผู้ปกครองใช้ธรรมะได้มากกว่าระบอบอื่นๆ เพื่อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น รัฐบาลควรจะสร้างระบอบที่กลั่นกรองเอาคนดีเข้ามาเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง เมื่อได้ระบบที่กลั่นกรองเอาคนดีมาเป็นผู้ปกครองแล้ว ต้องทำให้ข้าราชการทุกคนนำหลักธรรมในการปกครองมาปฏิบัติด้วย บ้านเมืองจึงจะสงบร่มเย็นสมความปราถนา



    เพราะเหตุใดถึงต้องมีการเมืองมาช่วยศาสนา​

    พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีค่ายิ่งนัก ช่วยให้คนหนีอบายภูมิได้หากประพฤติตาม ช่วยให้คนหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารได้ด้วยซ้ำหากประพฤติตามให้ถึงที่สุด
    แต่แล้วกลับมีมนุษย์บางคนเห็นพระสัทธรรมเป็นสิ่งไร้ค่า ไม่ปฏิบัติตามบ้าง ไม่รู้บ้าง จ้องจะทำลายบ้าง ซึ่งศาสนานั้นมิได้มีอิทธิพลอันใดที่จะไปผลักดันให้ผู้คนประพฤติตามธรรมของตนได้ เพราะศาสนานั้นขาดกลไกแห่งการบังคับ เช่น ตำรวจ ศาล ฯลฯ โดยทั่วไปศาสนาเป็นเสมือนทางเลือก ที่คนจะประพฤติตามหรือไม่ก็ได้
    ดังนั้น จึงต้องเป็นหน้าที่ของการเมือง ที่จะต้องช่วยผลักดันผู้คนที่ยังไม่เห็นแสงสว่างให้หันมาเข้าหาแสงสว่าง เพื่อให้มวลมนุษย์ที่น่าสงสารที่ไม่เห็นแสงสว่าง หรือเห็นแสงสว่างเป็นความมืด ให้กลับตัวกลับใจประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมของศาสนา เพื่อประโยชน์สุขแก่ตนเองและสังคม และจะได้ไม่มีอบายเป็นที่ไป ทั้งนี้ เพราะการเมืองเป็นองค์กรที่มีทรัพยากรทั้งทางบุคคลและทางวัตถุอยู่ภายใต้การควบคุมมากที่สุดในสังคม และควบคุมกลไกแห่งการบังคับของสังคมอยู่นั่นเอง



    สภาพความสนใจของผู้คนที่มีต่อหลักธรรมทางการปกครองในปัจจุบัน​

    ในสมัยก่อน พระเจ้าแผ่นดินแทบทุกพระองค์คงได้ศึกษาหลักธรรมทางการปกครองมาแทบทุกพระองค์ เพราะปรากฏว่ามีการนำหลักธรรมของพระเจ้าแผ่นดินที่พระพุทธเจ้าประทานไว้มาปฏิบัติ เช่น ทศพิศราชธรรม จักกวัตติวัตร ราชสังคหวัตถุ แปลว่าพระเจ้าแผ่นดินเหล่านั้นรู้หลักธรรมของผู้ปกครองเป็นอย่างดี
    ในปัจจุบันนี้ ในวงพระมหากษัตริย์ก็ยังคงมีการศึกษาและใช้หลักธรรมในการปกครองอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ในหมู่ประชาชนหรือนักการเมืองทั่วไป ความรู้เหล่านี้กลับถูกละเลย อาจจะมีการศึกษาบ้าง แต่ก็ไม่มีการปฏิบัติ หรือการกดดันเพื่อให้เกิดการปฏิบัติอย่างจริงจังแต่อย่างใด
    ยุคนี้เรียกว่ายุคหลัง ๒๔๗๕ เป็นยุคที่พระมหากษัตริย์ไม่ได้มีอำนาจบริหารประเทศ หรือกำหนดความเป็นไปใดๆของประเทศได้โดยตรงอีกต่อไป จะมีพระราชอิสริยยศในฐานะสัญลักษณ์ของประเทศเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์กำหนดนโยบายบริหารประเทศได้อีกต่อไป ส่วนอำนาจในการบริหารประเทศตกอยู่กับนักการเมืองที่ประชาชนเลือกขึ้นมา ดังนั้นการที่พระมหากษัตริย์ใช้ธรรมทางการปกครองฝ่ายเดียว จึงไม่พอ ถ้าจะให้ดี นักการเมือง หรือประชาชนทั่วไป ก็ควรจะใช้หลักธรรมทางการปกครองด้วย ประเทศจึงจะกลายเป็นสังคมที่เป็นธรรมได้ เพราะระบอบนี้เป็นระบอบที่ประชาชนและนักการเมืองมีอิทธิพลกำหนดความเป็นไปของประเทศมากกว่าพระมหากษัตริย์นั่นเอง (ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะพูดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนะ ผมแค่พูดตามสภาพการณ์จริงๆของระบอบนี้ก็เท่านั้นเอง)



    การที่จะได้มาซึ่งการเมืองที่ดีนั้นควรทำอย่างไร​

    วิธีที่จะได้มาซึ่งการเมืองที่ดีสำหรับระบอบกษัตริย์นั้น ก็แค่หมั่นปลูกฝังธรรมะแก่องค์รัชทายาทผู้ซึ่งจะขึ้นมาเป็นประมุขในภายหน้าเท่านั้น ไม่มีอะไรมากสำหรับระบอบนี้
    ถ้าเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่ผู้ปกครองต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ระบอบนี้ประชาชนต้องดีก่อน ถึงจะได้ผู้ปกครองดี เพราะคนดีจะเลือกคนดี ส่วนคนชั่วจะเลือกคนชั่ว ดังนั้น ถ้ามีคนดีเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศได้ การจะได้มาซึ่งผู้ปกครองที่ดีนั้นก็ไร้ปัญหา
    ถ้าประชาชน อย่างน้อยๆก็เสียงข้างมาก เป็นคนเลว ก็จะเลือกแต่ผู้ปกครองเลวๆ ที่เอาเงินมาฟาดหัว ในสังคมแบบนี้ พูดได้เต็มปากเลยว่านักการเมืองที่ดีมีคุณธรรม ไม่มีทางเป็นใหญ่ได้เลย เพราะเสียงข้างมากไม่เลือก
    การปลูกฝังธรรมะให้กับประชาชนจึงเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อประชาชน (อย่างน้อยๆก็คนส่วนใหญ่ของประเทศ) เป็นธรรม ก็จะเลือกผู้ปกครองที่เป็นธรรมขึ้นมาปกครองประเทศ ส่วนนักการเมืองอัปรีย์นั้นไม่มีทางเป็นใหญ่ได้เลยในสังคมแบบนี้ เพราะเสียงข้างมากไม่เลือก
    อย่างไรก็ดี การจะปลูกฝังธรรมะแก่ประชาชนได้นั้น ก็จำเป็นต้องหาทางให้ผู้ปกครองทรงธรรมขึ้นสู่อำนาจให้ได้เสียก่อนอยู่ดี ทั้งนี้เพราะประชาชนโดยทั่วไป (คนส่วนใหญ่) นั้นเข้าถึงธรรมะเองไม่ได้ จำเป็นที่ต้องมีผู้ปกครองที่ทรงธรรมผลักดันให้พวกเขาเข้าถึงธรรมะ จะมีบ้างที่เข้ามาศึกษาธรรมะเองโดยไม่ต้องมีใครผลัก ซึ่งก็เป็นส่วนน้อย
    แต่ยุทธวิธีโดยละเอียดนั้นผมคิดไม่ออก หนึ่งล่ะจะไปปลูกฝังเขายังไง ผมน่ะตัวคนเดียวครับ ทั้งเงินทุน และกำลังคนไม่มีเลย เรื่องจะลงมือเคลื่อนไหวอะไรนี่ผมทำไม่ได้เลยครับ
    ถ้าท่านมีวิธี ตลอดจนมีกำลังทุนกำลังทรัพย์มากเพียงพอ แล้วอยากจะเคลื่อนไหวเพื่อสร้างการเมืองที่ดี ผมก็ขออนุโมทนาด้วยครับ



    เราจะหาธรรมิกราชได้จากที่ไหน​

    ข้อนี้ผมต้องขอเรียนตามตรงว่าผมยังไม่เห็นวี่แววผู้ใดในประเทศนี้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นธรรมิกราชได้ ในวงการเมืองทุกวันนี้มีแต่อธรรมิกราชกันถ้วนหน้า คนดีมีคุณธรรมนั้นหาไม่
    ถ้าหากว่าท่านหาบุคคลดังกล่าวเจอแล้ว ก็ขอความกรุณาบอกผมด้วย ผมจะได้อุทิศตัวติดตามช่วยเหลือคนผู้นั้นสร้างบุญกุศลต่อไป (ใครมีญาณก็ลองนั่งดูหน่อยสิ ว่าเกิดหรือยัง โตหรือยัง แต่ถ้ายังเด็กอยู่นี่ดีเลย ยังเป็นไม้อ่อนดัดง่ายอยู่ ผมจะได้ไปดัดไปสอนไปให้คำแนะนำ ให้ผู้นั้นกลายเป็นธรรมิกราชในอนาคตได้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2013
  4. Chakkrapong

    Chakkrapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +213
    ระบอบประชาธิปไตยกับการเมืองที่ดี​

    พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสบอกเอาไว้ว่ารหว่างระบอบเผด็จการกับระบอบสภา ระบอบไหนดีกว่ากัน แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่าระบอบสภาดีกว่าครับ
    ในด้านการปกครองอย่างเป็นธรรมนั้น ระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรมหรือคณราชา ที่หลายๆชาติของโลกใช้อยู่ในเวลานี้ได้เปรียบระบอบเอกราชาธิปไตยอยู่ เนื่องจากระบอบคณราชานั้น ผู้ปกครองมีอำนาจน้อยและสามารถตรวจสอบความสุจริต (โดยองค์กรอิสระที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล และโดยประชาชน) ได้นั่นเอง
    ระบอบเอกราชาหรือระบอบเผด็จการนั้น ผู้ปกครองมาจากการสืบสันตติวงศ์ ผู้ที่จะได้ครองเมืองก็คือผู้ที่เกิดเป็นลูกพระราชาองค์ก่อน หรือขึ้นมามีอำนาจได้จากการยึดอำนาจ ไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรมแต่อย่างใด พอขึ้นครองเมืองแล้ว ก็มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กฎหมายบ้านเมืองเอาผิดผู้ปกครองในระบอบนี้ไม่ได้ เพราะระบอบนี้ผู้ปกครองอยู่เหนือกฎหมายบ้านเมือง ต่อให้ปกครองกดขี่เพียงใด ก็ไม่มีใครดำเนินการใดๆกับผู้ปกครองได้ พูดง่ายๆก็คือระบอบเผด็จการนั้นเปิดช่องให้ผู้ปกครองสามารถใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ไม่เกรงใจใคร ไม่ว่าผู้ปกครองจะใช้อำนาจไปในทางที่ถูกหรือไม่ประชาชนก็ไม่สามารถควบคุมได้
    ถ้าได้ผู้ปกครองดีจะเจริญกว่าระบอบคณราชา เพราะธรรมิกราชเพียงผู้เดียวนั้นจะสามารถใช้อำนาจปกครองโดยธรรมได้อย่างเบ็ดเสร็จ ไม่มีใครต่อต้านได้นั่นเอง แต่ถ้าได้อธรรมิกราชมาครองเมือง จบเห่ครับ ทรราชย์นั้นจะทำการปกครองบ้านเมืองอย่างกดขี่โดยที่ไม่มีใครสามารถถอดถอนมันได้นั่นเอง
    ไม่ว่าอย่างไร ผมไม่เห็นด้วยกับคนบางกลุ่มที่ต้องการฟื้นฟูระบอบราชาธิปไตยกลับมา นั่นเป็นการนำพาประเทศให้ลงเหวง่ายกว่าเดิมนั่นเอง ระบอบนี้มีปัญหาที่ควรพิจารณาอยู่สองแง่ แง่แรกคือการได้ขึ้นมามีอำนาจปกครองบ้านเมืองของผู้ปกครองในระบอบนี้ไม่ใช่การขึ้นมาเพราะเป็นคนมีคุณธรรม แต่ขึ้นมาได้เพียงเพราะเกิดในตระกูลสูง หรือมีอำนาจเท่านั้น สองคือ หากว่าผู้ปกครองเป็นทรราชย์ก็จะไม่มีใครดำเนินการใดๆกับผู้ปกครองทุศีลนั้นได้เลย ระบอบแบบนี้ผมไม่เห็นด้วย
    ส่วนระบอบคณราชานั้น ผู้ปกครองมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งการจะได้รับเลือกนั้นจำเป็นต้องมีคุณธรรมเสียก่อน หากไม่ดีจริงก็ไม่ได้รับเลือก และพอขึ้นมามีอำนาจแล้ว ผู้ปกครองในระบอบนี้ก็จะถูกตรวจสอบจากองค์กรต่างๆอยู่ตลอดเวลาไม่ให้ใช้อำนาจในทางทุจริต เช่น การตรวจสอบหรือคัดค้านนโยบายของรัฐบาลโดยสภา โดยองค์กรอิสระ หรือโดยศาล โดยสื่อมวลชน และโดยประชาชน ถ้าหากว่าปกครองอย่างทุจริตผู้ปกครองก็จะถูกถอดถอนและมีการเลือกตั้งผู้ปกครองที่ดีกว่าเข้ามาแทนนั่นเอง
    นอกจากนี้ ระบอบนี้ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนชี้แจงความต้องการของตนให้ผู้ปกครองรับฟังได้ และยังสามารถควบคุมผู้ปกครองให้ทำตามข้อเรียกร้องนั้นได้อีก เช่น ขู่ว่าถ้าไม่ทำให้คราวหน้าจะไม่เลือก และจะไปชวนคนอื่นให้ไม่เลือกด้วย หรือจะล่ารายชื่อถอดถอนซะเลย เป็นต้น

    ระบอบแบบนี้ถึงจะมีข้อดีข้อเสียดังนี้
    - ถ้าได้ผู้ปกครองที่ทรงธรรมมา ก็จะใช้อำนาจปกครองบ้านเมืองโดยธรรมได้ไม่เต็มที่ เพราะจะถูกตรวจสอบและคัดค้านจากองค์กรต่างๆ และประชาชนอยู่เป็นประจำ แต่ถ้าผู้ปกครองเป็นคนทุศีล ก็จะต้องถูกถอด หรือโดนควบคุมจนกดขี่ประชาชนไม่ได้มาก
    - เป็นระบอบที่ล่าช้าแต่สุจริตกว่า และชัวร์กว่า นโยบายหนึ่งๆกว่าจะประกาศใช้ได้ต้องไหลผ่านการตรวจสอบหลายขั้นเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นนโยบายที่สุจริต ไม่เหมือนระบอบเผด็จการที่ผู้ปกครองชี้ปุ๊บได้ปั๊บ
    - เป็นระบอบที่วุ่นวาย แต่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดีกว่า ระบอบนี้อาจจะมีการก่อม็อบ การยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิบัติตาม ซึ่งอาจจะดูวุ่นวาย แต่นั่นก็แปลว่าประชาชนสามารถควบคุมผู้ปกครองให้ทำในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตนได้ ไม่เหมือนระบอบเผด็จการที่เงียบกริบ เพราะประชาชนนั้นต่อให้ไม่พอใจผู้ปกครองแค่ไหนก็ทำอะไรผู้ปกครองไม่ได้
    โดยตัวระบอบแล้ว ผมคิดว่าระบอบแบบนี้ดีกว่าระบอบเผด็จการ เพราะถึงแม้จะได้ผู้ปกครองทุศีล แต่ก็จะไม่ทุศีลถึงขนาดฆ่าคนตามอำเภอใจได้เพราะถูกควบคุมอยู่นั่นเอง ถ้าเป็นระบอบเผด็จการแล้วได้ผู้ปกครองบัดซบมานี่ บ้านเมืองจบเห่เลย ดูอย่างรัชกาลพระเจ้าเอกทัศน์นั่นไง ผู้ปกครองทุศีล ลุ่มหลงสุรานารี แต่คนดีก็เยอะออก เช่น พระยาวชิรปราการ(พระเจ้าตากสิน) ชาวบ้านบางระจัน แต่แล้วกลับไม่สามารถถอดถอน คัดค้าน หรือดำเนินการใดๆกับผู้ปกครองทุศีลนั้นได้เลย เพราะผู้ปกครองทุศีลนั้นมีอำนาจล้นฟ้า ในตอนนั้นผู้ปกครองกับชาติแทบจะเป็นความหมายเดียวกันเลย ทรยศผู้ปกครองก็คือทรยศชาติ ดังนั้นต่อให้ผู้ปกครองทุศีลแค่ไหนใครก็หือไม่ได้เลย สุดท้ายผู้ปกครองทุศีลนั้นก็ทำชาติล่มจมในที่สุด ถ้าตอนนั้นคนดีทั้งหลายคิดกันได้ว่า เราน่าจะกำจัดผู้ปกครองทุศีลนี้เพื่อรักษาส่วนรวมเอาไว้ กรุงคงไม่แตกหรอก กรุงน่ะไม่ได้แตกเพราะประชาชนแตกความสามัคคีหรอก จริงอยู่ที่คนยุคนั้นแตกสามัคคีกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาหลัก ปัญหาหลักคือผู้ปกครองทุศีลและประชาชนไม่สามารถตรวจสอบหรือดำเนินการใดๆกับอธรรมิกราชนั้นได้ สมัยนั้นน่ะผู้ปกครองมีอำนาจล้นฟ้า ถ้าจะรวบรวมคนให้เป็นหนึ่งเดียวกันก็ย่อมจะทำได้อยู่แล้ว แต่กลับไม่ทำเพราะเป็นคนทุศีลนั่นเอง (เหตุที่กรุงแตกนั้นมาจากข้อบกพร่องของตัวผู้ปกครองเองด้วยส่วนหนึ่ง และมาจากข้อบกพร่องของระบอบการปกครอง ที่เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองใช้อำนาจได้อย่างเกินพอดีด้วยส่วนหนึ่ง เรียกได้ว่าถ้าตอนนั้นระบอบการปกครองเปิดโอกาสให้ประชาชนควบคุมผู้ปกครองได้บ้าง กรุงอาจจะไม่แตกก็ได้)
    ประเทศไทยนั้นพึ่งจะหันมาใช้ระบอบนี้เมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ไม่เคยได้ผลเลย ส่วนสาเหตุจะเป็นไรนั้นจะยกไปพูดในกระทู้อื่น ในที่นี้จะขอพูดเรื่องระบอบประชาธิปไตยกับการปกครองโดยธรรม
    การจะได้ผู้ปกครองที่เป็นธรรมิกราชของระบอบนี้ ก็คือประชาชนจะต้องมองคนให้เป็น และเลือกให้ถูก นี่แหละหลักการ แต่ในทางปฏิบัตินั้น เรื่องมันมีมากกว่านั้น เช่น ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งหมดล้วนเป็นคนเลว อันนี้เป็นผลโดยตรงจากการที่คนดีเบื่อการเมืองนั่นเอง คราวนี้ประชาชนจะเลือกใครล่ะ เลือกใครก็ผิดหมดนี่ ?
    ส่วนเรื่องการควบคุมผู้ปกครองให้ปกครองโดยธรรมนั้น เนื่องจากว่าระบอบนี้เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าไปกดดันผู้ปกครองให้ทำในสิ่งที่ตนต้องการได้ ตามหลักการแล้วผู้ปกครองจะสามารถกำหนดนโยบายด้วยตนเองได้เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะนโยบายส่วนใหญ่นั้นประชาชนเป็นผู้เสนอขึ้นมา(แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ปกครองสามารถกำหนดนโยบายด้วยตนเองเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะประชาชนไม่สนใจเสนอนโยบายให้รัฐบาลพิจารณานั่นเอง นี่ถือว่าผิดหลักการ ตามหลักแล้ว ระบอบประชาธิปไตยก็คือระบอบที่ประชาชนได้ปกครองตนเอง ผู้แทนที่เลือกขึ้นมานั้นโดยหลักแล้วเป็นแค่คนประสานข้อเรียกร้อง ไม่ใช่คนกำหนดนโยบาย คนกำหนดนโยบายคือประชาชนต่างหาก) ซึ่งถ้าหากว่าประชาชนต้องการการปกครองโดยธรรม ก็ต้องหมั่นเสนอนโยบายหรือข้อเรียกร้องให้ผู้ปกครองทำการปกครองโดยธรรม ซึ่งถ้าผู้ปกครองไม่ทำตาม ประชาชนก็สามาถขู่ได้ว่าคราวหน้าจะไม่เลือกบ้าง หรือจะเข้าชื่อถอดถอนบ้าง เพื่อให้ผู้ปกครองยอมปกครองโดยธรรมในที่สุด เรียกได้ว่าระบอบนี้ ต่อให้ผู้ปกครองทุศีลแค่ไหน แต่ถ้าประชาชนไม่ยอมซะอย่าง หมั่นข่มขู่ซะอย่าง สุดท้ายมันก็จะยอมปกครองโดยธรรมด้วยความจำเป็น แต่ถ้าประชาชนเลือกผู้ปกครองทรงธรรม เรื่องยิ่งง่ายเข้าไปอีก

    หลักการในการสร้างสังคมธรรมสำหรับระบอบนี้
    ๑.ประชาชนต้องเป็นคนดีเสียก่อน อย่างน้อยๆ เสียงข้างมากต้องเป็นคนดี ถ้าประชาชนไม่ดี เลือกผู้แทนก็จะเลือกแต่คนไม่ดี
    ๒.ประชาชนต้องรู้จักการมองคนให้เป็น เลือกเฉพาะคนดีๆ ให้เป็นผู้ปกครอง อย่าไปเลือกหรือสนับสนุนคนถ่อย แต่ถ้ามองซ้ายมองขวา ก็ไม่มีคนดีให้เลือกเลยสักคน ประชาชนควรอุทิศตัวเองเป็นนักการเมืองที่ดีให้คนอื่นๆเลือกขึ้นไปเป็นผู้ปกครองเสียเอง หรืออาจจะเป็นการ “สร้าง” ประชาชนคนอื่นๆ คนใดคนหนึ่งหรือหลายคน ให้กลายเป็นนักการเมืองที่ดี และตนก็เลือกเขาคนนั้นให้ได้เป็นผู้ปกครอง
    ๓.เมื่อสนับสนุนคนดีให้มีอำนาจเป็นผู้ปกครองประเทศได้แล้ว ยังไม่จบแค่นั้นนะครับ ประชาชน (ทั้งหลาย) ต้องรู้จักการ “ควบคุม - ตรวจสอบ” ให้ผู้ปกครองใช้ธรรมะปกครองบ้านเมือง ผลักดันผู้คนเข้าหาธรรม สร้างความผาสุกแก่ประชาชนให้ได้ นั่นคือ ประชาชนจะต้องคอยสอดส่อง ห้ามปราม ผู้ปกครองที่อาจจะใช้อำนาจไปในทางทุจริต ถ้าพบเห็นใครทุจริตก็ต้องดำเนินการ อาจจะเป็นการเข้าชื่อถอดถอน ขู่ว่าถ้ายังปกครองไม่เป็นธรรมต่อไปคราวหน้าจะไม่เลือกแล้วนะ หรือฟ้องร้องไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ เป็นต้น
    ผมเห็นด้วยกับการออกกฏหมายควบคุมพฤติกรรมของผู้ปกครองให้เขาใช้ธรรมะปกครองบ้านเมืองอย่างไม่มีทางเลือก เช่น ออกกฏหมายว่า ถ้านายกรัฐมนตรีทำผิดศีลห้า ต้องถูกถอดถอน ถ้ารัฐบาลไม่ยอมเข้าไปปรึกษาสมณพราหมณ์ ต้องถูกถอดถอน ข้าราชการที่ดื่มสุรา ต้องถูกปลด เป็นต้น แต่กฏหมายก็ยังกดดันผู้ปกครองหรือข้าราชการให้ใช้ธรรมะปกครองไม่ได้มากเท่ากับมวลมหาประชาชน
    เช่นเดียวกัน ในระบอบการปกครองแบบนี้มีองค์กรอิสระมากมายที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ที่มีหน้าที่ควบคุมตรวจสอบการปกครองของรัฐบาล เช่น รัฐสภา ศาล กกต. ปปช. ปปง. ฯลฯ แต่องค์กรเหล่านี้ก็ยังกดดันผู้ปกครองหรือข้าราชการให้ใช้ธรรมะปกครองไม่ได้มากเท่ากับมวลมหาประชาชนอยู่ดี
    ต่อให้กฏหมายดีแค่ไหน หรือองค์กรอิสระเข้มแข็งสักเพียงใด แต่ถ้าประชาชนเอื่อยเฉื่อย ไม่ยอมช่วยกันรักษากฏของบ้านเมือง (ซึ่งจัดเป็นหลักอปริหานิยธรรมข้อหนึ่ง) ไม่ยอมช่วยกันจัดการกับนักการเมือง-ข้าราชการโกง ไม่ยอมช่วยกันปกป้องความศักดิ์สิทธิ์ของกฏหมาย การปกครองก็ไม่ได้ผลอยู่ดี



    เหตุที่ผมไม่เห็นด้วย กับการผลักดันพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาประจำชาติ​

    ผมไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องดังกล่าว เพราะผมมองว่าอาจจะทำให้ศาสนาอื่นๆในประเทศ รู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือกำลังถูกเอาเปรียบ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อเป้าหมายหลักของผม ซึ่งก็คือการเผยแผ่พระสัทธรรมไปทั่วโลก ให้เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดให้ได้นั่นเอง หากคนนอกศาสนาในต่างประเทศ เห็นการที่ศาสนาอื่นๆถูกศาสนาพุทธเอาเปรียบในประเทศไทยแล้ว เขาก็คงจะเกิดอคติกับพระสัทธรรม และไม่ยอมเปิดใจยอมรับ
    แต่ไหนแต่ไรมาพระพุทธองค์ไม่เคยบังคับให้ใครเชื่อในพระสัทธรรมของพระองค์ และไม่ได้ทรงต้องการทำลายความเชื่อของลัทธิอื่น เราชาวพุทธควรเจริญรอยตามครับ
    นโยบายทางศาสนาที่ผมอยากจะแนะนำ ก็คือ เราน่าจะปรับปรุงให้ทุกศาสนาในประเทศของเราได้รับโอกาสต่างๆ เช่น โอกาสที่จะเผยแพร่ โอกาสที่จะได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาล ฯลฯ โดยเท่าเทียมกันกว่านี้ ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าศาสนาพุทธได้รับสิทธิต่างๆเหล่านี้มากกว่าศาสนาอื่นๆในสังคมไทย ลองเปิดทีวีดูก็ได้ จะเห็นได้ว่าศาสนาพุทธมีโอกาสเผยแผ่หลักธรรมของตนได้มากกว่าศาสนาอื่น ดังนั้น รัฐบาลจึงควรปรับปรุงให้ทุกศาสนาในประเทศ มีสิทธิเท่าเทียมกับศาสนาพุทธด้วย
    นโยบายข้างต้น มีประโยชน์สองอย่าง คือ หนึ่ง สามารถทำให้ศาสนาอื่นๆไม่ลุกขึ้นมาต่อต้านศาสนาพุทธ ที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ สอง คือ จะทำให้คนนอกศาสนาทั้งในและนอกประเทศ ชื่นชมในน้ำใจของชาวพุทธ ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการเผยแผ่พระสัทธรรมไปทั่วโลกครับ
    ตรงกันข้าม ถ้าเรายังเพิ่มความห่างทางโอกาสระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาอื่นมากไปกว่านี้อีก ก็จะทำให้คนนอกศาสนามองศาสนาพุทธว่า ไม่ให้ความเป็นธรรมกับศาสนาอื่น ทำให้ยากต่อการเผยแผ่พระสัทธรรมให้เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกได้
    ยุคนี้เป็นยุคที่จิตใจของมนุษย์ส่วนใหญ่เสื่อมโทรม ถ้าเราไม่นำธรรมะไปให้เขา คนส่วนใหญ่ของโลกก็ต้องลงนรก นี่จึงเป็นภารกิจของชาวพุทธแล้วที่จะต้องนำธรรมะไปให้คนนอกศาสนาทั้งหลายให้ได้
    ถามว่า ทำไมทีประเทศอื่นๆ ยังยกให้ศาสนาอื่นเป็นศาสนาประจำชาติได้เลย คำตอบก็คือนั่นเป็นตัวอย่างที่เราไม่ควรไปเลียนแบบครับ คิดอะไรก็ต้องคิดให้กว้างๆ ถ้าเราเลียนแบบประเทศเหล่านั้น ก็จะส่งผลเสียต่อศาสนาพุทธได้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
    ต่อให้เรามอบโอกาสต่างๆให้ศาสนาอื่นเท่าเทียมกับศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธก็ยังไม่เสื่อมอยู่ดี ถ้ารัฐบาลและชาวพุทธสามารถรักษา เงื่อนไขที่ทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ให้ครบทุกข้อได้



    เมืองไทยเรามีการบูชายัญหรือไม่​

    อันนี้คงจะต้องยอมรับกันแล้วล่ะครับว่า “มี”
    ถึงแม้ว่าเมืองไทยเราจะเรียกตัวว่าเมืองพุทธก็ตาม แต่กลับมีการบูชายัญอยู่ โดยเฉพาะในช่วงอยุทยา - ต้นกรุงเทพ ที่คติพราหมณ์มีอิทธิพลต่อสังคมไทย ก็ปรากฏว่ามีการฆ่าคนในลักษณะการบูชายัญเกิดขึ้น(ทั้งๆที่พระพุทธศาสนาแอนตี้พิธีกรรมดังกล่าว) เช่น การฆ่าคนเพื่อสร้างเสาหลักเมือง หรือการฆ่าบ่าวไพร่ให้กลายเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เป็นต้น พิธีกรรมเหล่านี้นับว่าเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติศาสตร์เรา ซึ่งมันไม่ควรจะมี
    ในปัจจุบันนี้ การฆ่าคนเพื่อบูชายัญได้หมดไปจากสังคมไทย และเกือบทุกส่วนของโลกแล้ว แต่การฆ่าสัตว์เพื่อบูชายัญหรือบูชาสื่งศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนว่าจะยังมีอยู่ ทั้งในไทยและในประเทศอื่นๆ เช่น อิสราเอลที่ฆ่าแกะดำสังเวยความเชื่อ ฯลฯ ซึ่งยังไม่มีกฏหมายฉบับใดห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์เพื่อทำพิธีกรรมดังกล่าวเลย (ทั้งๆที่ควรจะมี)



    เกี่ยวกับนโยบายห้ามฆ่าสัตว์​

    ถึงแม้ว่าการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ฆ่าเองจะไม่ผิดศีลก็ตาม แต่การฆ่าสัตว์ และการค้าเนื้อสัตว์ หนังสัตว์ ถือว่าผิดศีลทั้งหมด แม้จะเป็นการฆ่าเพื่อทำบุญก็ตาม ดังนั้น ผมจึงคิดว่าเราควรจะมีการสั่งห้ามไม่ให้มีการฆ่าสัตว์ไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่ว่าจะเพื่อการค้า เพื่อการบริโภค หรือเพื่อความสะใจก็ตาม
    เมื่อนโยบายนี้ถูกประกาศใช้ โรงฆ่าสัตว์ทั่วประเทศจะโดนปิด สัตว์ทุกตัวในโรงฆ่าจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ แต่นั่นก็จะทำให้คนที่ประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ไว้ฆ่า หรือทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ตกงานกัน ซึ่งรัฐบาลก็ควรหางานใหม่ให้เขาทำก่อนหน้านี้ด้วย เช่น ให้เปลี่ยนจากเลี้ยงสัตว์ไว้ฆ่า ไปเป็นปลูกพืชไว้ขาย เป็นต้น
    ในเมื่อมีการสั่งห้ามการ ฆ่าสัตว์ ค้าเนื้อสัตว์ หนังสัตว์แล้ว ก็แปลว่า นับจากนี้ตามท้องตลาดจะไม่มีเนื้อสัตว์ขายอีก ดังนั้น จึงควรมีนโยบายประกอบกันด้วย คือควรสนับสนุนให้ชาวพุทธทั้งประเทศกินเจกันเพียวๆทุกมื้อด้วยนั่นเอง
    อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ก็มีอุปสรรคที่ใหญ่หลวงอย่างหนึ่งขวางไว้อยู่ ซึ่งถ้ารัฐบาลยังทลายมันไม่ได้ ก็นำนโยบายนี้ไปใช้ไม่ได้ ก็คือ ธรรมชาติของมนุษย์นั้นต้องการโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ถ้าขาดไปจะขาดสารอาหาร โดยที่ไม่มีโปรตีนจากแหล่งได้สามารถชดเชยเนื้อสัตว์ได้เลย
    ปัญหาข้างต้นผมไม่เชี่ยวชาญเสียด้วยสิ เพราะไม่ได้เรียนทางนี้มาโดยตรง (ผมเรียนการเมือง ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์) แต่ก็ยังอยากจะเสนอทางแก้มั่วๆไว้ ซึ่งบางทีอาจจะได้ผล
    ทางแก้ปัญหาข้างต้นของผมก็คือ เราน่าจะมีโครงการวิจัย เพื่อพัฒนาอาหารเจให้มีสาหารจนสามารถใช้ทดแทนเนื้อสัตว์ได้นั่นเอง โดยรัฐบาลต้องทำการสนับสนุนโครงการวิจัยดังกล่าวอย่างเต็มที่ จนนักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างอาหารเจที่ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้ ทั้งในด้านของสารอาหาร รสชาติ และหน้าตา
    ข้างต้นเป็นวิธีการที่ผมคิดขึ้นมาเองแบบมั่วๆ ไม่ได้อิงตำราใดๆเลย ดังนั้นถ้ามันไม่ได้ผลก็ขออภัยนะ ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่ามันจะได้ผล หรือเกิดผลเสียใดๆตามมาหรือเปล่า
    ถ้ารัฐบาลยังแก้ปัญหาอันใหญ่หลวงข้างต้นไม่ได้ ก็ยังไม่ควรที่จะนำเอานโยบายห้ามฆ่า ห้ามขาย ห้ามกินเนื้อสัตว์ ห้ามใช้อุปกรณ์ที่ทำจากการฆ่าสัตว์ เหล่านี้ ไปประกาศใช้เด็ดขาด ควรอนุญาตให้มีกิจกรรมเช่นนั้นเกิดขึ้นต่อไป จนกว่าจะแก้ปัญหาข้างต้นสำเร็จ หากรัฐบาลประกาศใช้ไปโดยที่ยังแก้ปัญหาข้างต้นไม่ได้ ผลเสียจะเกิดขึ้น เช่น ถ้าบังคับให้ประชาชนกินเจเพียวๆกันทุกมื้อ โดยที่ยังไม่สามารถคิดค้นอาหารเจที่มีสารอาหารที่ใช้แทนเนื้อสัตว์โดยสมบูรณ์ออกมาได้ ผลก็คือประชาชน โดยเฉพาะเด็ก จะขาดสารอาหารกัน หรือถ้ายังคิดค้นอาหารเจที่มีหน้าตาและรสชาติถูกปากคนไม่ชอบกินผักออกมาได้ แล้วไปประกาศใช้นโยบายดังกล่าว ประชาชนก็จะเบื่ออาหารกันน่ะสิ
    อย่างไรก็ตาม นโยบายห้ามฆ่าและห้ามขาย ห้ามกินเนื้อสัตว์นี้ รัฐบาลควรใช้กับชาวพุทธเท่านั้น จะให้ใช้กับศาสนาอื่นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ใช่ศีลของเขา
     
  5. Chakkrapong

    Chakkrapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +213
    อ้างอิง​

    สุชีพ ปุญญานุภาพ , พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน . มหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์. พิมพ์ครั้งที่ 16 พ.ศ. 2539
    แสง จันทร์งามและอุทัย บุญเย็น , พระไตรปิฎกสำหรับผู้บวชใหม่และชาวพุทธทั่วไป.สำนักพิมพ์ศยาม ในเครือบริษัทสำนักพิมพ์สยามปริทัศน์ จำกัด.พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2555
    รศ.ดร.วัชรี ทรงประทุม , ความคิดทางการเมืองในพุทธศาสนา (PS396) . สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2550
    รศ.ทวี ผลสมภพ , ปัญหาปรัชญาในการเมืองของโลกตะวันออก (PY423). สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2550
    ภันธกานต์ กิ้มทอง , อมตะพระอรหันต์แห่งยุค....หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ฉบับ คนได้อ่าน ตายไม่เสียดาย . สำนักพิมพ์ธัญญพัทธ์
    (เว็บไซต์) สัมมาทิฏฐิ
    (เว็บไซต์) สูตรว่าด้วยการโต้ตอบอัมพัฏฐมาณพ พระสุตตันตปิฎก พระไตรปิกฎฉบับประชาชน
    (เว็บไซต์) สัปปุริสทาน - วิกิพีเดีย
    (เว็บไซต์) http://th.wikipedia.org/wiki/สัตบุรุษ
    (เว็บไซต์) http://th.wikipedia.org/wiki/สัปปุริสธรรม
    (เว็บไซต์)
    http://palungjit.org/threads/ความหมายของพระยาธรรมิกราช.356067/
    (เว็บไซต์)
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=dhamma-dd&month=05-11-2009&group=8&gblog=7
    (เว็บไซต์)
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=dhamma-dd&month=11-2009&date=09&group=8&gblog=8
    (เว็บไซต์)
    http://www.jaisabuy.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538606438&Ntype=1
    (เว็บไซต์)
    http://www.golivewire.com/forums/peer-yeiepbb-support-a.html
    (เว็บไซต์)
    http://palungjit.org/threads/กำนันจัน-พระยาศรีสิทธิสงคราม-หลวงพ่อฤาษีลิงดำ.208798/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2013
  6. Chakkrapong

    Chakkrapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +213
    จบแล้วครับ ท่านใดเห็นแย้งเช่นไรก็เสนอมาได้เลยนะครับ
     
  7. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325
    อย่าโกรธน่ะ ให้ดูที่เจตนา เราเจตนาดี ลูกหลานหลวงพ่อเหมือนกัน

    อ่านไม่สนุก ไม่น่าติดตาม ไม่เหมือนหลวงพ่อฤาษี อ่านเล่นๆ ยังขำ ยังฮา ได้ธรรมะ ได้ความรู้ นี่อ่านแล้วไม่ประทับใจครับ ไม่เป็นไรน่ะ ยังเด็กอยู่ พัฒนาได้ ต่อไปจะดีกว่านี้
     
  8. wat48

    wat48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +448
    มีคนถามขงจื้อว่า อะไร คือ "การทำให้อาณาจักรคงความเป็นอาณาจักรอย่างมั่นคง"

    ขงจื้อ : มีอยู่ 3 ประการคือ
    1. การทหารมั่นคง
    2. เศรษฐิกิจมั่งคั่ง
    3. ประชาราษฎ์ภักดี

    ผู้ถาม : ถ้าตัดออกได้จะตัดอะไร?
    ขงจื้อ : ให้ตัดการทหารมั่นคง

    ผู้ถาม : ถ้าตัดอีกจะตัดอะไร?
    ขงจื้อ : ให้ต้ดเศรษฐกิจมั่งคั่ง

    ผู้ถาม : ให้ตัดอีกใด้หรือไม่?
    ขงจื้อ : ไม่ได้แล้ว
     
  9. Chakkrapong

    Chakkrapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +213
    คือว่าผมไม่ใช่ลูกศิษย์ของวัดหลวงพ่อฤาษีลิงดำหรอกครับ ผมเห็นงานเขียนของหลวงพ่อมีประโยชน์ดี ก็เลยนำมาลง
     

แชร์หน้านี้

Loading...