สงสัยเรื่องหลับตาแล้วเห็นภาพ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย rungreaungnu, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. rungreaungnu

    rungreaungnu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +10
    ตอนผมนอนกลางวันผมหลับตา ระหว่างนอนไปเรื่อยผมก็รู้สึกตัว เเต่ไม่ได้ลืมตา เเต่ผมเห็นภาพหมอน ที่อยู่ข้างตัวผม ผมลองเอามือผ่านตาดูก็ไม่เห็นมือผม พอผมเอามือมาผ่านหน้าเท่านั้น ภาพก็หายไป กลายเป็นภาพมืดเหมือนคนหลับตาปกติ ผมอยากรู้มันเกิดอะไรขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 พฤษภาคม 2013
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    นิมิต ครับ

    ไม่ต้องไปสนใจ สงสัยอะไรหรอก ส้มหล่น
     
  3. rungreaungnu

    rungreaungnu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +10
    ขอบคุณครับ
     
  4. rungreaungnu

    rungreaungnu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +10
    อีกอย่าผมอยากจะฝึก ตาทิพย์ กับตาที่สามครับ (คำถามเเรก)
    ตาทิพย์กับตาที่สามต่างกันยังไง (คำถามที่สอง)
     
  5. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    เปลี่ยน ความอยาก เป็น ความตั้งใจดีกว่า...ความอยาก จะมีเบื้อหลัง ของความโลถมาก หาก ไม่ได้ดังใจจะท้อแท้ และ ทอดทิ้งง่ายๆ

    ให้เปลี่ยนความตั้งใจใหม่เป็น ความ ต้องการความรู้ และ ทำด้วย ใจรัก ทำด้วยบความ เพียร ไม่ท้อถอย ไม่เบื่อ ง่ายๆหาก ยังไม่เกิดผล ให้หา เหตุผล ว่าติดขัดตรงไหน ที่สำคัญต้องอด ทนทุกขั้นอนที่ฝึก หมั่นหา ความรู้เพิ่มเติมจากผู้รู้ ฝึกฝนมากๆด้วยความอด ทน และ มีวินัยในการ ฝึก ต้องตรงเวลา ต้อง ขยัน

    ส่วน กรรมฐาน ที่จะ ใช้ฝึก เลือกเอาเลย ใน สมถะกรรมฐาน 40 วิธี
    ชอบอันไหน ก็เอาอันนั้น
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ก็ต้องถาม จุดประสงค์ ของ จขกท ก่อนละครับ ว่า เพื่ออะไร เป้าหมายคืออะไร

    .
     
  7. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    หัด กรรมฐาน ใด ก้ ได้

    ขั้นแรก ให้จิต เกิด สมาธิก่อนเป็นลำดับๆไป จนสามารถเกิด นิมิต เป็น อุคคหนิมิต และสามารถ แปรไปเป็นปฎิภาค นิมิตได้..จนเกิด วสี(คือ ชำนาญเข้าออก ย่อได้ ขยายได้ ดัง ใจต้องการ)

    อยากให้กราบครูบาอาจารยื ขอให้ท่านเมตตา ตามคุ้มครอง เมื่อลงมือ ปฎิบัติ
    การ ฝึกฤทธิ์ เป้นเรื่อง ลี้ลับที่อันตรายได้หาก มีครูบาอาจารย์ครอบไว้ จะ สามารถผ่านไปได้ ลุล่วงดีงาม

    ขอให้ตั้งใจจริง ไม่มีอไะในโลก ที่จะเกินแรงปรารถนาของมนุษยืไปได้ หาก ตั้งใจจริง....
     
  8. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    ๑. บริกรรมนิมิต คือ นิมิตที่เราสร้างขึ้นมา เป็นมโนภาพ เช่น นึกถึงดวงแก้ว เราก็วาดมโนภาพเป็นดวงกลมๆ แม้จะเห็นลัวๆ ลางๆ เป็นเค้าโครงรูปร่างไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร แต่ถ้าเราประคองไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ ภาวนา “สัมมาอะระหัง” ไปด้วย นึกถึงบริกรรมนิมิตไปด้วย ไม่ช้าบริกรรมนิมิตนั้นก็จะชัดเจนขึ้น
    ๒. อุคคหนิมิต คือ นิมิตที่เราจำลองจากข้างนอกเข้าไปสู่ข้างในได้ ลักษณะดวงแก้วข้างนอกเป็นอย่างไร ลักษณะดวงแก้ว ในขั้นอุคคหนิมิตก็จะเป็นอย่างนั้น คือชัดเจน ๑๐๐ % เหมือนลืมตาเห็นเลย ในขั้นที่ชัดเจนเหมือน ลืมตาเห็นนี้เรียกว่าอุคคหนิมิต เมื่อใจหยุดนิ่งเป็นอัปปนาสมาธินิ่งแน่น ร่างกายเหมือนถูกตรึงติดไว้กับพื้น ไม่ขยับเขยื้อนเลย ใจไม่ซัดส่าย ไม่คิดไปในเรื่องราวต่างๆ ตรึกติดกับภาพนิมิตนั้น จะเป็นดวงแก้วก็ตาม องค์พระก็ตาม ตรึงติดแน่นเลย
    ๓. ปฏิภาคนิมิต ถ้าใจละเอียดอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป นิมิตนั้นจะนุ่มนวล พอถึงขั้นปฏิภาคนิมิต ดวงแก้วก็จะใส สว่าง มีแสงออก มีรัศมีออกมาสว่างเจิดจ้า นุ่มนวล ฟ่องเบา เหมือนฟองสบู่อย่างนั้น ถ้าหากเป็นองค์พระก็จะสุกใส ใสยิ่งกว่าเพชร สว่างจนกระทั่งดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน หรือยิ่งกว่านั้น พอถึงขั้นนี้นิมิตจะขยายใหญ่ขึ้น จะนึกให้เล็กลง ก็เล็กได้ นึกขยายก็ขยายได้ นี้เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต
     
  9. rungreaungnu

    rungreaungnu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +10
    ผมฝึกเพื่อ ผมจะไปดูนรก สวรรค์ ครับ ว่าเป็นยังงัย
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    มโนมยิทธิ




    คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน

    โดย พระราชพหรมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


    หน้า 4

    มโนมยิทธิ มโนมยิทธิแปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ ในที่นี้ท่านหมายเอาการถอดจิตออกจาก
    ร่าง แล้วท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ ความจริงมโนมยิทธินี้ ท่านจัดไว้ในส่วนอภิญญา แต่เพราะ
    ท่านที่ทรงวิชชาสาม ก็สามารถจะทำได้ จึงขอนำมากล่าวไว้ในวิชชาสาม
    เมื่อท่านทรงฌาน ๔ ได้ในกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ก็เป็นอันว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะทรง
    มโนมยิทธิได้ เช่นเดียวกับได้ทิพยจักษุญาณแล้ว ก็มีสิทธิ์ได้ญาณอีกเจ็ดอย่าง ได้ตามที่กล่าว
    มาแล้วในข้อว่าด้วยทิพยจักษุญาณท่านประสงค์จะท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ จะเป็นภพใด
    ก็ตาม นรก สวรรค์พรหม นิพพาน ดินแดนในมนุษยโลกทุกหนทุกแห่งดาวพระอังคาร พระจันทร์
    พระศุกร์ ไม่ว่าบ้านใครเมืองใคร เมืองฝรั่ง เมืองแขก เมืองเจ็ก เมืองญวน ท่านไปได้ทุกหน
    ทุกแห่ง โดยไม่ต้องเสียเวลารอคอยใคร ไม่ต้องยืมจมูกคนขับเคลื่อน หรือเจ้านายเหนือหัวคน
    ใดที่จะคอยกำหนดเวลาออกเวลาถึงให้ไม่ต้องเสียค่าพาหนะมากมายอะไร เพียงกินข้าวเสีย
    ให้อิ่มเพียงอิ่มเดียว ซื้อตั๋วด้วยธูปสามดอก เทียนหนึ่งเล่ม ดอกไม้สามดอก ถ้าหาได้ หากหา
    ไม่ได้ท่านก็ให้ไปฟรี ไม่ต้องเสียอะไร เพราะท่านเอาเฉพาะที่หาได้ ถ้าหาไม่ได้ ท่านอนุญาต
    ใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ จะเข้าบ้านสถานทำงาน ห้องนอนใครก็ตาม
    เข้าได้ตามความประสงค์ ไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของบ้าน สำรวจความลับได้ดีมากใครทำอะไร
    ซุกซ่อนอะไรไว้ที่ไหนมีเมียน้อยเมียเก็บไว้ที่ไหน ก็สำรวจได้หมดไม่มีทางปกปิด วิธีทำเพื่อไป
    ทำอย่างนี้
    ท่านให้เข้าฌาน ๔ ทำจิตให้โปร่งสว่างไสวดีแล้วกำหนดจิตว่า ขอร่างกายนี้จงเป็นโพรง
    ก็จะเห็นว่าร่างกายเป็นโพรงใหญ่ ต่อแต่นั้นกำหนดจิตว่า ขอร่างอีกร่างหนึ่งจงปรากฏขึ้นภาย
    ในกายนี้กายอีกกายหนึ่งก็จะปรากฏขึ้น ต่อไปก็ค่อยบังคับกายนั้น ให้เคลื่อนไปตามส่วนต่างๆ
    ของร่างกายแม้กระทั่งตับไตไส้ปอดลำไส้ทุกส่วน เส้นเลือดทุกเส้น ประสาททุกส่วน บังคับให้
    กายนั้นเดินไปตรวจให้ถ้วนทั้งร่างกายจะเห็นว่าแม้เส้นเลือดฝอยเส้นเล็กๆ ร่างนั้นก็เดินไปได้
    อย่างสบาย จะเห็นเส้นเลือดนั้นเป็นเสมือนถนนสายใหญ่ เดินได้สะดวก เห็นร่างกายนี้เป็นโพรง
    ใหญ่คล้ายเรือหรือถ้ำขนาดใหญ่เมื่อท่องเที่ยวในร่างกายจนชำนาญแล้วขณะท่องเที่ยวในร่าง-
    กาย อย่าหาความชำนาญอย่างเดียว ควรหาความรู้ไปด้วย รู้สภาพของอวัยวะ และรู้สภาพความ
    สกปรกโสมมในร่างกาย จดจำสภาพเมื่อปกติไว้ พอป่วยไข้ไม่สบายตรวจร่างกายภายในได้ว่า
    มีอะไรชำรุดหรือผิดปกติบ้าง เห็นแจ้งเห็นชัด เป็นแผลหรือชอกช้ำ รู้ชัดเจนไม่แพ้เอ็กซเรย์เลย
    มีประโยชน์ในทางตรวจร่างกายด้วยเมื่อชำนาญการตรวจแล้ว ก็กำหนดจิตว่าจะไปที่ใดกำหนด
    จิตว่าเราจะไปที่นั้น พุ่งกายออกไปก็จะถึงถิ่นที่ประสงค์ทันที ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวินาทีเมื่อถึงแล้ว
    จิตจะบอกเองว่าสถานที่นั้นเป็นเมืองอะไร ใครบ้างที่พบ ไม่ต้องมีคนบอก เพราะสภาพของจิตที่
    เป็นทิพย์ กิเลสไม่ได้หุ้มห่อไป จึงรู้อะไรได้ตามความเป็นจริงเสมอ โดยไม่ต้องอาศัยใครบอก
    มโนมยิทธินี้ ควรสนใจทำให้คล่อง เพียงกำหนดจิตคิดว่า เราจะไปละ เพียงเท่านี้ก็ไปได้
    ทันทีทำได้ทุกขณะ เวลาเดิน ยืน นอน นั่งในท่าปกติ ทำงาน กำลังพูด รับประทานอาหาร เวลา
    ที่ควรฝึกให้ชำนาญมากก็คือ เวลาป่วย ขณะที่ร่างกายมีทุกขเวทนามาก ตอนนั้นสำคัญมาก ยก
    จิตออกไปเสีย ปล่อยไว้แต่ร่างกายเวทนาจะได้ไม่รบกวน ที่ใดเป็นแดนใหม่ สวรรค์ หรือพรหม
    ไปอยู่ประจำที่นั้นยามปกติควรไปอยู่พักอารมณ์เป็นประจำ ยามป่วยไปอยู่เป็นปกติหมายความ
    ว่า บอกกับคนพยาบาลว่าเวลาเท่านั้นถึงเท่านั้น ฉันจะพักผ่อน อย่าให้ใครมากวน แล้วก็เข้า
    ฌาน ๔ ไปสถานที่อยู่ตามกำลังกุศลที่ทำไว้ ถ้าได้วิมุตติญาณทัสสนะก็ไปนิพพานเลย นิพพาน
    อยู่ที่ไหน ท่านที่ถึง วิมุตติญาณทัสสนะ เท่านั้นที่จะบอกได้ ท่านที่ยังไม่ถึงงงไปพลางก่อนขืน
    บอกไปท่านก็ไม่เชื่อไม่บอกดีกว่าเอาไว้รู้เองเมื่อท่านถึงผู้เขียนก็งงเหมือนกันท่านว่ามาอย่างนี้
    ก็เขียนตามท่านไปเมื่อได้แล้วถึงแล้วก็รู้เองผู้เขียนเองก็เหมือนกัน เขียนไปเขียนมาก็ชักอยาก
    รู้นักว่านิพพานอยู่ที่ไหน ประโยชน์ของมโนมยิทธิได้กล่าวมาโดยย่อ พอสมควรแล้ว มโนมยิทธิ
    ตามที่กล่าวมานี้เป็นแบบที่ใช้กันทั่วไป มีอีกแบบหนึ่ง เรียนมาจากท่านอาจารย์สุข บ้านคลอง
    แพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรีของท่านแปลกได้ผลเร็วเกินคาด แบบปกติที่กล่าว
    มาแล้วนั้นกว่าจะชำนาญในกสิณก็เหงือกบวมมีมากรายที่ไม่ได้ปล่อยล่องลอยไปเลยคือเลิกเลย
    มีมาก บางรายทำไม่สำเร็จเลยกลายเป็นศัตรูพระศาสนาไปไม่เชื่อผลปฏิบัติแถมค้านเอาเสียอีก
    ด้วย น่าสงสารท่านเหล่านั้นแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้ พอได้ของท่านอาจารย์สุขมา ก็รู้สึกว่า
    มโนมยิทธิเป็นของง่ายมาก หลายรายพอเริ่มฝึกก็ท่องเที่ยวได้เลย ไม่ข้ามวัน ที่ช้าหน่อยก็ไม่
    กี่วันแต่ที่ไม่ได้เลยก็มี เป็นเพราะอะไร ไม่ขอวิจารณ์ บอกไว้แต่เพียงว่า ถ้ารู้จักคุมอารมณ์แล้ว
    ไม่นานเลยไปได้และแจ่มใสดีกว่าวิธีปกติธรรมดา แบบของท่านมีดังนี้ใครอยากได้ก็ขอมอบ
    ให้เลยใกล้ตายแล้วไม่หวง


    หลักสูตร มโนมยิทธิ

    http://www.palungjit.org/smati/mano/index.htm
     
  11. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    ฮู ....

    เรา อะไม่รู้หรอก นะ แต่ ชอบมั่ว คิคิ

    ตาที่สาม ฟังเขาเล่าว่า อยู่แถวๆ กลางหน้าผากระหว่างคิ้ว มีหลายอภินิหารเช่น เป็น สูญจักษุ (ทำลายล้าง และเผาผลาญกิเลสต่างๆ เช่น พวกผี พวกเทวดา จะต้องหลบ เพราะมันจะเผากิเลสทุกตัว) บางทีให้เห็นอีกมิติได้ เวลาลืมตา แล้วแต่คน นะ ยังมีอีก... บางคน บอดสนิทก้อมี แม้จะเปิดแล้ว เพราะมันโบ๋

    จักษุทิพย์ จะอยู่ที่จิต ทำให้เห็นภาพนิมิต (ภาพเกิดในใจ) จักษุทิพย์จะแจ่มแจ้งเมื่อสำเร็จปฐมฌาน จะเห็นได้ด้วยการอธิษฐาน จักษุทิพย์ในระดับอภิญญาก้อแตกต่างกันไป
    (ความเป็นจริง ของจักษุทิพย์ขึ้นกับความบริสุทธิ์ของจิต ถ้าจิตไม่บริสุทธิ์ส่วนใหญ่จะเป็นนิมิตลวงเกือบทั้งสิ้น อาจมีจริงบ้างซึ่งยากที่จะทราบได้ ท่านจึงว่า ให้ ละ ซะ อย่างเดียว)
     
  12. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี ทำให้ได้รู้ว่า จิตสามารถที่จะแน่วแน่กะ สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ดี

    พอ มือผ่านตาแล้ว จิตเปลี่ยนความแน่วแน่ ภาพหมอนจึงหายไป

    ไม่มีอะไรมาก นะจ๊ะ เราก้อเคย มองย้อนอดีต แล้วรู้สึกตัวว่า กำลังอยู่ในสถานที่เช่นนั้น กลิ่นนั้น ร้อนหนาวตรงนั้น เหมือนหนังเรือง somewhere in time อย่างใดอย่างนั้นเลย แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมาหลายสิบปี แล้ว และไม่ได้เคยทำครั้งเดียว เคยทำหลายๆ ครั้ง ในหลายๆ สถานที่ มันก้อ สนุกดี แต่อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ขืนทำต่อ คงจะกลายเป็นหลงใหล และยึดติด กับความสนุกแบบนี้ไปเลย เลยพยายามที่จะไม่ทำแบบนั้นอีก เพราะเมื่อเชื่อในคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว การทำเช่นนั้น อาจเป็นช่องทางให้กิเลสไหลเข้ามาเอาง่ายๆ เหมือนกัน คิคิ)

    คุยกัน สนุกๆ นะจ๊ะ
     
  13. rungreaungnu

    rungreaungnu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +10
    ขอบคุณมากครับ
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ขอกล่าวเสริมเฉพาะตรงจุดนี้นะครับ..เป็นกิริยาของจิตที่เข้าสู่สภาวะความเป็น
    ทิพย์ชั่วคราวเราเรียกอารมย์นี้ว่า..อารมย์ระดับอุปจารสมาธิ.
    และไม่ควรสนใจอย่างที่ได้มีผู้แนะนำไปแล้ว..

    การที่มองไม่เห็นมือ.เป็นเพราะความเป็นทิพย์ยังมีไม่มากและยังไม่
    ชำนาญในการเข้าสู่อารมย์นี้แบบบังคับได้..แต่ถ้ามาสร้างสติทางธรรมด้วยการ
    เจริญสติชีวิตประจำวันไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ได้.จนเป็นอัตโนมัตได้.

    บวกกับการฝึกสมาธิตามจริตที่ตนเองชอบ.ตามที่ได้มีผู้แนะนำไปแล้วก่อนหน้านี้.เกือบทุกท่านอธิบายไว้ได้ดีแล้ว..
    จะทำให้มีกำลังในการบังคับจิตให้รักษาอารมย์ความเป็นทิพย์ได้นานขึ้น.

    ต่อไปหลับตาจะมองเห็นเหมือนลืมตาได้เป็นปกติ ไม่ว่ามือตัวเองหรือ
    สภาพแวดล้อมต่างๆรอบๆตัวเอง..
    ส่วนถ้าชอบแบบการมองเห็นคล้ายตาทิพย์.ให้สะสมกำลังสมาธิไปเรื่อยๆ
    ก่อนด้วยวิธีอะไรก็ได้..แล้วลองกำหนดจิตไปกึ่งกลางหน้าฝากดู.ถ้าทำแล้ว
    ไม่รู้สึกปวดและมีอาการเวียนศรีษะร่วมด้วย แสดงว่ากำลังสมาธิสะสะเพียงพอ.

    หากเป็นอยู่ให้มาสะสมกำลังสมาธิใหม่
    แล้วลองทำดูอีกจนกว่าจะไม่เป็น..วันใดวันหนึ่งจะสามารถมองเห็นเหตุการณ์
    หรือภพภูมิต่างๆผ่านตรงจุดนี้ได้ และจะรู้สึกคันๆประมาณ ๓ ถึง ๔ วันถ้าทำได้ครั้งแรก

    และสามารถกำหนดจิตไว้ตรงจุดนี้เพื่อเป็นการเจริญสติระหว่างวันได้ จะแค่รู้สึกตึงๆเฉยๆ. ประมาณนี้ครับ
    .;)

     
  15. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    จุด กลางหน้าผาก อันตราย พอ ควร น้า

    ถ้า วาสนา ไม่ถึงจริงๆ อาจ ถึง กะ เป็นโรคประสาทได้เลย น้า

    คนที่ จะฝึกตรงนี้ ส่วนใหญ่ เห็นต้อง มีพระผุ้ปรีชา หรือ ผู้รู้คุม เหมือนกัน

    เห็น มี ไป รักษา ก้อเยอะ เหมือนกัน อาการกลางหน้าผาก (เพราะ ผิดทาง อย่างจัง)
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เห็นด้วยครับและ คุณ ตั้งฉาก ก็เข้าใจถูกต้องในระดับหนึ่งครับ...
    และขอขอบคุณ.ที่อ้างอิงมาทำให้มองเห็นบางจุดที่เผลอข้ามไป...
    ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญที่ควรจะต้องเล่าให้ฟังด้วยครับ...


    พระผู้ปรีชาถ้าหมายถึงพระสงฆ์ท่านที่มีอภิญญาและยังมีชีวิตอยู่
    มาคุมตอนที่เรากำลังฝึกเป็นไปได้ยาก.เพราะท่านจะไม่สอนใครง่ายๆ..
    แต่จะเน้นไปที่การกำจัดกิเลสก่อน หลังจากทำได้เองท่านถึงแนะนำ


    ผู้รู้คุม.ถ้าหมายถึงฆารวาสนุ่งขาวหุ่มขาวปฏิบัติจนจิตมีอภิญญา..
    .มานั่งคุมตอนที่ฝึกคงเป็นไปได้ยาก.ยกเว้นคุมจิตแบบกลุ่ม
    สติปัฏฐานแบบอริยาบทเคลื่อนไหว.หรือวิชาพิเศษบางอย่าง
    ที่สามารถทำได้คือช่วยเปิดจุดนี้ให้เป็นจุดรับ
    รับกระแสพลังงานที่ส่งจากครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิ..


    ประเด็นคือ พระผู้ปรีชาหรือผู้รู้คุม..คงไม่พอ..ยังต้องมี ครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิ..สำคัญว่าคุณจะรู้ไหมว่าบางคนเค้ามีแต่
    ไม่พูด.สำคัญคุณรู้ไหมว่ามี.เคยเห็นไหม.เข้าถึงไหม.ระดับกิเลส
    ลดลงพอที่จะมีครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิที่เคยมีสัมพันธ์กันมา
    จากอดีตชาติมาสอนไหม.นอกจากการโชคดีที่มีพระอภิญญามาสอน
    สมาธิให้ตนเอง...


    และประโยคต่อไปนี้ตัวหนังสือสีดำหนา จะเขียนให้อ่านแต่ไม่ต้องตอบก็ได้นะครับ.
    เคยเห็นพรหม.เคยเห็นเทพระดับที่มีฤิทธิ์ หรือระดับสูงๆตอนที่ท่านแสดงฤิทธิ์ให้ดูซักครั้งไหม
    เคยเห็นพรหมหรือระดับมีฤิทธิ์ตอนท่านใช้ทิพย์จักขุในการมองซักครั้งไหม..
    รู้ไหมว่าทิพย์จักขุแบบนี้มันดีอย่างไร..สำหรับคนที่ได้คือ.มันจะเหมือนจอ
    โปรเจ็กเตอร์.พุ่งออกจากต่ำแหน่งนี้.แสดงภาพให้ดูเหมือนตอนกลางวัน
    โดยที่ไม่ต้องถอดจิตหรือยกกายทิยพ์ไปดูเอง..หรือมาใช้วิชาพิเศษบางอย่าง..
    และคิดว่าตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่เขียนไว้สูงกว่าระดับคิ้วนิดหน่อย
    ตรงกลางระหว่างคิ้วนั้นทำไมในระดับสูงๆถึงมีสัญลักษณ์นั้นหรือคิดว่าเขียนไว้เท่ห์ๆ
    เคยฝึกบางอย่างจนสามารถใช้ฤิทธิ์.ตอนอยู่ในโหมดภพภูมิได้ไหม..
    เคยรวบรวมพลังงานๆต่างๆ ที่เกิดจากกำลังจิตไหม เคยฝึกควบคุมให้
    บังคับได้ยัง..เคยไปยังส่วนภพภูมิอื่นๆในเวลาที่นานๆไหม..
    เคยรักษาภาพนิมิตรให้อยู่นานๆไหม เคยเชื่อมต่ออารมย์ที่จะหลุดจาก
    นิมิตรไหม..ที่กล่าวมาทั้งหมดออกจากจุดกลางหน้าฝากทั้งนั้น...

    จากประโยคที่ขอกล่าวเสริม จาก #Rep 14
    ''ส่วนถ้าชอบแบบการมองเห็นคล้ายตาทิพย์.ให้สะสมกำลังสมาธิไปเรื่อยๆ
    ก่อนด้วยวิธีอะไรก็ได้..แล้วลองกำหนดจิตไปกึ่งกลางหน้าฝากดู.ถ้าทำแล้ว
    ไม่รู้สึกปวดและมีอาการเวียนศรีษะร่วมด้วย แสดงว่ากำลังสมาธิสะสะเพียงพอ.
    หากเป็นอยู่ให้มาสะสมกำลังสมาธิใหม่''


    ประโยคนี้คือการป้องกันสภาวะกิริยากระทบต่างๆที่เกิดขึ้นกับร่างกาย.ลองอ่าน
    ซ้ำๆหลายๆรอบดู..แล้วคิดว่าตนมีความเข้าใจพอไหม...
    ที่ไปรักษาตัวเพราะไปฝืนกำลังสมาธิตัวเอง..หรือในกลุ่มบุคคลที่เข้าสมาธิระดับ
    ลึกๆแล้วไม่ค่อยลดระดับฌานลงมาตามลำดับ ทำให้มีผลกระทบกับส่วนประสาท.
    .ถามว่าเข้าถึงสมาธิระดับนี้บ้างยังและเข้าใจบ้างไหม...


    ที่ตนกล่าวว่า ผิดทางอย่างจัง..ตนเคยเห็นหรือเคยทำได้อย่างที่กล่าวมาหมด
    ในประโยคตัวหนังสือสีดำหนาแล้วหรือ..หรือแค่ได้ยินเล่าสืบต่อมา...
    ก่อนที่ตนจะมากล่าวคำแนะนำและบอกว่าผิดทางอย่างจัง

    ที่ตนกล่าวว่า ผิดทางอย่างจัง ถ้าความหมายคือ.ผิดตามหลักพุทธศาสนา.
    แล้วทำไมเทพมีฤิทธิ์ พรหม และระดับสูงกว่านี้ ถึงใช้ทิพย์จักขุ หรือใช้ฤิทธิ์
    ผ่านตำแหน่งนี้กัน.....


    ทางพุทธศาสนา.หากสอนธรรมสามารถยกตำราประกอบแหล่งอ้างอิง
    ตามตำราที่ทุกฝ่ายยอมรับมาเป็นหลักฐานอ้างอิงได้..
    .
    แต่ในเชิงปฏิบัติหาได้เป็นเช่นนั้นไม่...ถ้าในสิ่งที่ตนยังเข้าไม่ถึง
    เค้าให้วางความรู้ทางสมมุติที่ตนได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านและ ให้วางความเข้าใจของตนไว้ก่อน.
    .แล้วไปปฏิบัติ ให้รู้ ให้เห็น ให้เข้าถึงหรือพูดง่ายๆว่าทำให้ได้ก่อนตามตัวหนังสีดำทั้งหมดนั้น..

    ก่อนที่จะมาแย้ง ก่อนที่จะมากล่าวเตือน.แต่หากไม่ได้คุณแย้ง ไม่ได้คุณสะกิด.ก็คงทำให้ไม่เห็นมุมนี้..ต้องขอขอบคุณที่จุด
    ประเด็นแนวทางการปฏิบัติ..และขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ด้วยหากได้กล่าววาจาล่วงเกิน..แต่มิได้มีเจตนาในการยกตนข่ม
    เพียงแต่ชี้ให้เห็นจุด.ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติ หวังว่าจะ
    เข้าใจเจตนาที่สื่อ ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...