จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    อารยวัฒิ ๕

    (ความเจริญอย่างประเสริฐ. หลักความเจริญของอารยชน)

    ...๑ ศรัทธา - ความเชื่อ ความมั่นใจในพระรัตนตรัย

    -มั่นใจหลักแห่งความจริง...ความดีงาม อันมีเหตุผล

    ...๒ ศีล-ความประพฤติดี มีวินัย เลี้ยงชีพสุจริต

    ...๓ - สุตะ -การเล่าเรียน สดับฟัง ศึกษาหาความรู้

    ...๔ -จาคะ -การเผื่อแผ่เสียสละ มีน้ำใจช่วยเหลือ สละสิ่งไม่ดีในตนออกไป

    ...๕ -ปัญญา -ความรอบรู้ รู้คิด รู้พิจารณา เข้าใจเหตุผล

    -รู้จักโลกและชีวิตตามความเป็นจริง...

    ...คัดจากหนังสือยกระดับชีวิตด้วยธรรมะ...
     
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สภาวะของจิตผู้ที่จะหลุดพ้นจากกิเลส และ ตัณหาอุปทานขันธ์ทั้ง5นั้นต้องเป็นผู้เห็นโทษของการเกิดก่อน และเป็นคนที่มีจิตใจที่เสียสละแบ่งปัน คือ มี การให้ทาน รักษาศีล และ ภาวนา เพราะการภาวนา นั้นแหละคือ การที่ฆ่ากิเลสของเราๆท่านๆ เพราะได้ทําความเห็นให้แจ้ง คือ รู้เห็นความเป็นจริงของสังขารที่เกิดมา เพราะถ้าไม่ทําความเห็นให้แจ้งนั้นก็ยากที่จะหลุดพ้น เพราะจิตเป็นผู้หลุดพ้น เพราะความไม่แจ้งนั้นก็คือ เรายังมีอวิชาที่ซ้อนเล้นอยู่ในจิตใจของเรา เพราะความคิดปรุงที่มีอยู่ในจิตส่วนมาก ก็เป็นความคิดปรุงที่เป็นฝ่ายตํ่ามากกว่าความคิดปรุงที่ฝ่ายกุศล เพราะจะเป็นไปตามกิเลสที่คอยพลักดันอยู่ในจิตอย่างลึกลับ ยากที่เราๆท่านๆจะรับรู้ได้ เพราะจิตยังไม่ทําความเห็นให้แจ้งนั้นเอง ผู้ปฏิบัติจะทําความเห็นให้แจ้งก็ต้องใช้สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ที่ทุ่มเททั้งกายและจิตใจให้เข้าถึงซึ่ง"สัจธรรม" ก็มีธรรมะที่เป็นเหมือนนํ้าดับความร้อน หรือความกระหายคลายเหนื่อย ที่เราต้องมีไว้ดื่มกิน เพราะการทําความดีนั้นก็ไม่ใช่จะทําได้ง่ายๆเพราะผู้ไม่มีจิตใจใฝ่ธรรมก็ไม่สามารถจะทําความดับทุกข์ไปได้ จึงต้องมีความเห็นที่เป็นสัมมาทิฏฐิก่อนนั้นแหละ ทุกๆอย่างจึงจะเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น...สาธุค่ะ
     
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    เราดี...ดีกว่า...ดวงดี...

    เราดี ดีกว่าดวงดี เพราะดีนั้นมีที่เรา...ดีกว่าที่ดวง

    -ทำดีนั่นแหละเราหน่วง เอาดีทั้งปวง มาทำให้ดวง มันดี

    -ดวงชั่วไม่ได้เลยนี่ ถ้าเราขยันมีความดีทำไว้ เป็นคุณ

    -อยู่ดี ตายดี เพราะบุญ...ทำไว้เจือจุนตลอดชีวิตติดมา

    -ดวงมีอยู่ที่อัตรา ก็เพราะเหตุว่า เราทำดีเป็น เห็นไหม ?

    -เหตุนั้น เราท่านใดใคร ทำดีได้เสมอไป ดวงดีจะมีสมบูรณ์...

    "ท่านพุทธทาสภิกขุ"

     
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]
    ทีมา fb

    เหตุการณ์ตึกถล่มที่บังกลาเทศเมื่อเร็วๆนี้ ที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า เพราะความเกิดมาก็คือ เราได้ถูกประทับตราไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะตายเมื่อไหร่?เท่านั้น ท่านทั้งหลายจงอย่าได้เป็นผู้ประมาทเลย จงตั้งใจทําแต่ความดี ละลดตัวทิฏฐิมานะ ตัวตนของเราๆท่านๆเสียเถอะ ท่านทั้งหลายจะได้เป็นสุขทั้งในภพนี้และภพหน้า และเป็นสุขที่ไม่มีอะไรจะมาเจื่อป่น เพราะสุขแบบการปล่อยวางนั้นเอง...สาธุค่ะ

     
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ธรรมะเป็นกระจกเงาที่เรายกขึ้นมาส่องตัวเราได้ พิจารณาตัวเราได้ เพื่อแก้ไขเพื่อ

    ปรับปรุงตัวเราได้ ถ้าเรามีธรรมะเอามาส่องจะรู้จะเห็นสภาพความเป็นความจริง คนที่ไม่

    เคยดูกระจกก็ไม่รู้ว่าตัวสกปรกแต่ไปดูเข้าก็ตกใจ เหมือนกับคนที่ไม่เคยฟังธรรมก็ไม่รู้ว่า

    ตัวมีสภาพอย่างไร ชีวิตจิตใจเป็นอย่างไรเป็นอยู่เป็นอย่างไรไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่ว่าพอมาฟัง

    ธรรมะเกิดความรู้สึกตัวก็เปลี่ยนชีวิตจิตใจ ตัวอย่างมีมากมายในครั้งพุทธกาล ในปัจจุบันนี้

    ก็มีเหมือนกันที่เปลี่ยนชีวิตจิตใจไป...

    ...วันก่อนนี้ไปเทศน์ที่วัดพระศรีมหาธาตุแล้วก็มีคน ๆหนึ่งมารับไป มารับพาไป พอ

    ขึ้นนั่งรถ แกก็บอกว่า...ผมนี่เป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มาโดยไม่ได้พบท่านอาจารย์ แต่ได้

    อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้อ่านมากอะไร อ่านเพียงวรรคเดียวเท่านั้น ไม่ได้มาก

    อะไร...วรรคเดียวที่อ่านนั้นคืออ่านว่า "คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้แค้น หนังสือ

    เขียนว่าอย่างนั้น...

    ...แกมีอารมณ์แค้นอยู่ในใจแล้วเป็นทุกข์อยู่ด้วยเรื่องความแค้นเพราะว่า คุณพ่อ

    คุณแม่ถูกอันธพาลเบียดเบียนทำให้เกิดความเสียหายย่อยยับก็ว่าได้ แกรู้สึกตัวก็โกรธอยู่

    ในใจแค้นอยู่ในใจ นึกแต่ว่าจะต้องเล่นงานไอ้พวกนี้สักวันหนึ่ง แล้วก็ไปทำความคุ้นเคยกับ

    พวกทหารเพื่อจะขอซื้อลูกระเบิดมือไว้จะเอาไปขว้างพวกนั้นให้มันตายหมดทั้งบ้านไป

    เลย แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ...เป็นบุญนักหนาที่ได้มาพบหนังสือเข้า แล้วไม่ได้เปิดอ่านทั้ง

    เล่ม อ่านแต่หลังปกเท่านั้นเอง พออ่านเข้าาก็รู้สึกว่า อ้อ...ไอ้เรานี่มันเป็นคนจัญไร ไม่ใช่

    คนดี คนดีชอบแก้ไขปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น แต่คนจัญไรมันคิแต่เรื่องจะแก้แค้นจะทำลาย

    คนอื่น นึกขึ้นได้...นี่เขาเรียกว่ามีบุญมีวาสนามีอุปนิสัยทางธรรมะอยู่บ้าง ก็เลยเปลี่ยน

    ความคิด ไม่คิดแก้แค้นใครต่อไป แล้วก็ตั้งหน้าศึกษาเล่าเรียน มีความรู้ มีความสามารถได้

    ทำงานก่อสร้างมีกิจการเจริญก้าวหน้า นั่งรถราคาแพงพอสมควร นี่ก็เพราะว่าได้หันหน้าเข้า

    หาธรรมะ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวเหลวไหลในเวลากลางคืน รักษาเนื้อรักษาตัว

    ทำงานนนเป็นไปด้วยดี นี่ก็เพราะว่าได้พบกระจกแผ่นเล็ก ๆ ไม่ใหญ่ไม่โตอะไร พบกระ

    จกเพียงข้อความเล็กน้อย แต่ได้นำเอาข้อความนั้นมาพิจารณา...คนบางคนอาจจะพบแต่

    ไม่ได้คิด คืออ่านแล้วไม่คิด ไม่คิดมันก็ไม่ได้ อ่านแล้วต้องเอาไปคิด คิดแล้วเอามามองที่

    ตัว เรียกว่า "โอปนยิโก" คือน้อมเข้ามาที่ตัว น้อมเข้ามาศึกษาตัวเองพิจารณาตัวเองว่า

    เรานี้มีความเป็นอยู่อย่างไร ถูกต้องตามหลักการในทางพระศาสนาหรือไม่ เราเอากระจก

    ธรรมของพระพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องพิจารณา...เกี่ยวกับคำว่าคนดีชอบแก้ไข คนจัญไร

    ชอบแก้แค้น ที่หนังสือเขียนไว้.คัดจากหนังสือยกระดับชีวิตด้วยธรรมะ ท่านพุทธทาสภิกขุ
     
  6. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขออนุญาตนำส่วนหนึ่งของการบ้านลูกศิษย์ มาลงในกระทู้เพื่อให้ทุกท่านได้โมทนาบุญกันถ้วนหน้าค่ะ...ท่านนี้เดินมรรคมาพอสมควร จิตแก่เต็มทีแล้วค่ะ..ท่านนี้ก็คงจะอีกไม่นานเกินรอ..ก็คงจะได้ร่วมโมทนาบุญใหญ่กันกับเธอแน่นอน...สาธุๆๆ..:cool:

    สวัสดีคะคุณครูเกษ คุณครูลูกพลัง และคุณครูปุ้ย
    วันนี้ตูนขอตอบ บททดสอบเทียบอารมณ์ต่อนะคะ

    เทียบกับสังโยชน์ 10 ประการ (3 ข้อแรก)
    1. สักกายทิฏฐิ(มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา)
    ซึ่งในหัวข้อนี้ คุณครูเกษก่อนหน้านี้ถ้าตูนไม่ได้ฝึกจิตเกาะพระตูนคงจะตอบว่าร่างกายนี้เป็นของเรานะคะ แต่ณ ปัจจุบันนี้ตั้งแต่เริ่มฝึกจิตเกาะพระ หรือฟังธรรมะต่างๆ หรือ อ่านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และที่เห็นๆได้ชัดเจนมากขึ้นนั้น หลังจากที่ปฏิบัติเห็นได้ด้วยจิตของตนเองนั้น กายที่เราเห็นอยู่นั้นมันไม่ได้เป็นของเราแต่อย่างใดเลย เพราะวันใดวันหนึ่งนั้นกายนี้ก็จะดับขันธ์ของมันเองตามระยะที่สมควรของขันธ์นั้น ต่อให้เราบำรุงรักษาให้ดีอย่างไรก็แล้วแต่ มันก็จะดับไปเองตามหลักของกฏพระไตรลักษณ์(หรือที่เราคนทั่วๆ ไปเรียกว่าตามกฏของธรรมชาติ) ซึ่งเราไม่สามารถฝืนมันได้เลย

    2. วิจิกิจฉา(มีความสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) ส่วนในข้อนี่นั้นตูนขอตอบตรงๆว่า ตูนนั้นไม่มีความสงสัยอะไรทั้งสิ้นในคุณของพระรัตนตรัย เพราะตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้ทางบ้านของตูนนั้นนับถือคุณของพระรัตนตรัยมาโดยตลอด และยิ่งปัจจุบันตั้งแต่ได้เริ่มมาฝึกจิตเกาะพระ นั้นตูนให้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเลยว่า เวลาใดๆที่เราอยู่กับตัวเราและใช้ความเงียบนั้น แล้วระลึกถึงรูปพระที่เราเกาะอยู่นั้น ตัวตูนและจิตของตูนนั้นมีความรู้สึกที่อบอุ่นได้อย่างประหลาดโดยที่ไม่ต้องอาศัย วัตถุอื่นๆเข้ามาช่วยเลย และยิ่งอดีตที่ผ่านมาของตูนนั้นมีแต่ความทุกข์ๆๆๆ นั้นตูนพึ่งได้พบสัจจะธรรมเดียวนี้เองว่า เมื่อใดมีทุกข์เมื่อนั้นเห็นธรรม และยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ตูนเริ่มสวดมนต์ไห้วพระ และนั่งสมาธินั้นตูนพึ่งทราบได้ว่าการที่เราอยู่ตัวคนเดียวนั้นก็ทำให้เรามีความสุขได้ และความสุขนี้ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหนเลยแค่อยู่กับตัวเรา ฟังเสียงลมหายใจเข้าออกและนึกถึงรูปพระไปด้วยแค่นั้นก็สุขเกินพอแล้ว และเป็นความสุขที่เราไม่สามารถประเมินค่าได้เลยนะคะคุณครูเกษ

    3. สีลัพพตปรามาส(ลูบคลำศีล ไม่ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์) ในข้อนี้ตูนขอตอบแบบมั่นใจเลยนะคะว่า ทุกๆวันนี้ตูนมีจิตที่แน่วแน่คะว่าจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ตลอดเวลาทุกย่างเก้าของชีวิตตูน และก็คงจะทำเช่นนี้ตลอดไป เพราะทุกๆ วันนี้ตูนพบแสงสว่างของชีวิตแล้ว ว่าเส้นทางเดินนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตตูน เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตตูนขอคงรักษา ตัว กาย วาจา และความจิต ในอยู่กับศีลตลอดไปนะคะ
    คุณครูเกษคะตูนขอจบการบ้านแค่นี้ก่อนนะคะ คุณครูเกษ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤษภาคม 2013
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับคุณตูนUK ครูเกษและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านด้วยครับ
    เอ่อน่ะ นำผลของผู้ปฎิบัติธรรมในแนวจิตเกาะพระมาลงเป็นธรรมาทานให้กับนักปฎิบัติท่านอื่นบ้าง
    ว่าผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระนั้น มีความเปลี่ยนแปลงจิตอย่างไร หรือมีความเจริญก้าวหน้าในธรรมอย่างไรบ้าง
    ครูก็แค่แนะให้ผู้ปฎิบัติเดินมรรคถูกต้องอย่างไร ผู้ปฎิบัติเท่านั้นที่จะต้องเป็นฝ่ายเดินเองหรือปฎิบัติเอง
    ทำแทนกันไม่ได้ บรรลุมรรคผลแทนกันก็ไม่ได้

     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เหนือโลก
    คำว่า "เหนือโลก" หมายความเหนือขันธ์๕ ที่เมื่อก่อนคิดว่าเป็นเรา เป็นของเรา
    ถามต่อไปว่าอะไรที่อยู่เหนือโลกหรือขันธ์๕ นั่นก็คือ..จิต
    แต่ถ้าเมื่อไหร่นักภาวนาสามารถแยกจิตออกมาจากขันธ์๕ เมื่อนั้นก็รู้จักคำว่า เหนือโลก

    คำว่า "เหนือโลก" มิใช่เหนือผู้อื่นหรือสิ่งอื่นใด ที่แท้ก็เหนือขันธ์๕
    คำว่า "เหนือขันธ์๕" นอกจากจะเอาจิตออกมาจากรูป๑ คือกายหยาบหรือร่างกาย
    และออกจากนาม๔ คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยเฉพาะธรรมารมณ์
    หรืออารมณ์ที่เกิดทางใจ เช่น ความคิดนึก ความรู้สึก อารมณ์ต่างๆ
    เป็นอารมณ์ละเอียดยิ่งนั่นก็คือเจตสิก๕๒ ได้แก่ เวทนาเจตสิก๑ สัญญาเจกสิก๑ สังขารขันธ์๕๐
    และจิต๘๙/๑๒๑ดวง ทุกดวง/ประเภทเป็นของวิญญาณขันธ์

    นักภาวนาส่วนใหญ่มักจะตามอารมณ์จิตไม่ค่อยจะทัน อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ตามมาภายหลัง
    แต่ถ้านักภาวนาดับหรือมีปัญญรู้เท่ากันก็จะมองเห็นธรรมแค่ว่า ที่แท้มันก็แค่เกิดดับ
    ที่กล่าวมานี้นักภาวนารู้จักเป็นอย่างด แต่เหตุไฉนหน๋อ ยังเป็นทุกข์ทางใจหรือปล่อยวางยังไม่สนิท
    จะขอบอกตามตรงว่านักภาวนาเจริญสติปัญญาไม่ต่อเนื่อง ที่พวกเรามักจะเรียกว่า ติดๆดับๆนั่นเอง
    แต่ถ้าเจริญสติปัญญาอย่างต่อเนื่องแล้ว เราจะมีสติรู้ทัน มีปัญญารู้เท่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตของตน
    สำหรับผู้ที่ยังมีทุกข์อยู่/ปล่อยวางได้ไม่ค่อยสนิทใจก็เพราะว่า เจริญสติปัญญาไม่เพียงพอนั่นเอง
    ตรงนี้ผู้ที่จะละหรืออยู่เหนืออารมณ์จิตของตนได้จริง แค่ปัญญาธรรมดาไม่มีทางแน่ ต้องปัญญามาก
    หรือปัญญาญาณ/วิปัสสนาญาณ๙ จึงจะเห็นได้ชัดเจนโดยมิต้องเสียเวลาวิปัสสนา/พิจารณาธรรม
    เพราะญาณได้เกิดกับจิตของนักภาวนาท่านนั้นแล้ว แต่ถ้าตราบใดยังมีขันธ์๕ เพื่อความไม่ประมาท
    นักภาวนาทั้งหลายจะต้องเจริญสติภาวนาไปจนกว่าจะดับขันธ์

    การปฎิบัติธรรมหรือบรรลุมรรคผลนั้นเราจะต้องนำจิตมาเดินอริยมรรคหรือศีลสมาธิปัญญาเท่านั้น
    มิใช่เอาสมองมาเรียนแทนจิต/ท่องจำมาจากตำรา นั่นเป็นปัญญาอย่างมากก็แค่สัญญาในทางธรรม
    ปัญญาในทางธรรมเกิดจากจิตนิ่งเป็นสมาธิหรือภาวนามยปัญญาคือปัญญาที่เกิดจากการภาวนา

    การปฎิบัติธรรม มิใช่ให้เราไปเปรียบเทียบกับบุคคลอื่น ว่า๋..ดีกว่า มีภูมิธรรมภูมิปัญญาสูงกว่า
    แต่ให้เปรียบเทียบว่า..ก่อนและหลังการปฎิบัติธรรมของเราเป็นอย่างไร กิเลส ตัณหาและอุปาทาน
    หรือความทุกข์ของเรามันเบาบางลงไปไหม มีความเจริญก้าวหน้าในศีลในธรรมบ้างไหม

    สรุปแล้ว คำว่า "เหนือโลก" คือเหนือขันธ์๕ ตนเอง มิใช่ปฎิบัติเพื่อเหนือผู้อื่นหรือสิ่งอื่นใดๆเลย

    เพราะฉะนั้น โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติใหม่ๆ อย่าได้หลงดูจิตคนอื่น หรืออย่าไปสนใจในกริยาของผู้อื่น
    อย่าพยายามไปแก้ไขคนอื่น เพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่พอจะแก้ไขได้ก็คือ จิตของเรา
    จิตของเราก็ยังแก้ไม่ตก คือยังแก้ไม่ค่อยจะได้ แล้วจะไปคิดแก้คนอื่นเขา
    (รวมทั้งตัวข้าพเจ้าด้วย..อิอิ) แนะนำกันเฉยๆ มิได้มาเพื่อสอนสั่งผู้ใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤษภาคม 2013
  9. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    เอ้า..ขอแถมอีกสักฉบับ..ส่วนท่านนี้ฝึกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว..ตอนนี้ท่านก็เริ่มจะเกาะพระติดแล้วจร้า...ได้สมถะแล้ว ต่อไปก็กำลังจะเข้าโหมดวิปัสสนาเหมือนกันค๊า..

    ขอเชิญทุกท่านได้โปรดโมทนาบุญกับท่านกันตามสบายเถิด..สาธุๆๆ:cool::cool:


    การบ้านเมื่อวานครับ ตื่นเช้าพอรู้สึกตัวเหมือนจะจับภาพพระได้แว๊บเดียวแล้วก็เริ่มคิดแต่ดึงสติกลับมาได้ไวครับ ช่วงเช้าทำงานจับภาพพระได้เรื่อยๆ นานบ้างสั้นบ้าง จะเป็นตอนทำงานที่ภาพพระจะขาดๆ หายๆ แต่ถ้าหยุดพักมือจะจับภาพพระได้ต่อเนื่องครับ ช่วงบ่ายมีอาการเจ็บที่หน้าอกผมเลยทำงานไปสลับมองภาพพระไปด้วยอาการดังกล่าวก็หาย แต่ถ้าหยุดพักมือหรือเดินไปพักจะไม่เป็นอะไรครับ ช่วงเย็นมีอาการรู้สึกว่าจะคิดมันก็ไม่คิดนึกถึงพระก็นึกไม่ออกแต่เป็นแค่แป็บเดียว กลับมาห้องพักมาดูทีวีแล้วก็ทำงานส่วนตัวต่อก็จับภาพพระได้เป็นช่วงๆ ก่อนนอนก็จับภาพพระจนหลับครับ ศีล5เป็นปกติดีครับอารมณ์จิตสบายดี อาการทางกายมันเหมือนมีอะไรไต่ยุบยิบเป็นช่วงๆ และมีอาการหูอื้อกับได้ยินเสียงแมลงร้องครับ

    ส่วนวันนี้ตื่นนอนเริ่มคิดแต่ดึงสติกลับมาไวครับ ช่วงเช้าวันนี้เหมือนสติจะหลุดครับจับภาพพระไม่ค่อยได้มันเหมือนเฉยๆ อารมณ์จิตมันหนักหน่อยเหมือนจิตมันฟุ้งครับ ตอนพักเที่ยงก็นอนทำสมาธิจับภาพพระไปเรื่อยๆช่วงบ่ายค่อยกับมาจับภาพพระได้เป็นปกติ จับได้สักพักสติหลุดพอจับภาพพระใหม่เห็นภาพพระลอยอยู่นิ่งๆ แต่เหมือนบรรยากาศรอบพระมันผ่านไปเร็วมากหรือเหมือนอะไรผ่านไปผ่านมาตลอด เหมือนเวลานั่งรถแล้วภาพวิวข้างทางมันผ่านไปเร็วๆ ครับ ผมก็ลองประคองสติดูให้ภาพอยู่นิ่งๆ แต่เกิดอาการอึดอัดผมก็เลยปล่อยแค่ดูเฉยๆ ไปจนเลิกงาน ช่วงเย็นภาพพระก็กลับมาเห็นนิ่งเป็นปกติครับ ตอนพิมพ์การบ้านส่ง จับภาพพระไม่ค่อยได้ แต่มีอาการทางกายมันเหมือนอะไรไต่ยุบยิบทั้งหน้า หูอื้อๆ ได้ยินเสียงแมลงตลอด อารมณ์จิตเบาสบายดี แต่มันเฉยๆ ยังไงก็ไม่รู้ครับ

    เกียรติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤษภาคม 2013
  10. เกียรติ_K

    เกียรติ_K เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +139
    ลูกศิษย์ขอกราบครูทุกท่านทีได้พาศิษย์คนนี้เดินมาในทางที่ถูกต้องแม้จะเป็น เพียงก้าวเล็กๆก้าวแรกครับ (ช่วงแรกๆมีท้อเหมือนกันครับแต่มันไม่อยากถอย)
    และผมขออนุโมทนาสาธุบูญกับคูณตูนและผู้มีจิตบุญทุกท่านครับ
     
  11. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]


    หากท่านใดสนใจและยืนยันที่จะจองที่นั่งไว้แล้ว
    หากเกินจำนวน ๙ ที่ ทางคณะฯ ยินดีจัดรถตู้พิเศษเพิ่ม
    ไม่มีค่ารถ หรือค่าใช้จ่ายใดๆ ครับ
    (เว้นค่าอาหารนะครับ สามารถทานกันได้ตามสะดวก ใกล้วัดมีร้านอาหารให้ท่านเลือกทานตามอัธยาศัย)
    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม PM มาหาผมได้นะครับ

    :: ด้วยจิตคารวะ ::
    นิวเวป
    จิตบุญ ๑๔
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2013
  12. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    เป็นกำลังใจให้ค่ะ คุณเกียรติ... ก้าวแรก...นี่แหละสำคัญ ถูกทาง และ ถูกต้อง...ขอเพียงสร้างกำลังใจให้เข็มแข็ง เพื่อจะเดินต่อไป ไม่หยุด...ต่อเนื่อง ..ยึดหลักอิทธิบาท 4 เอาไว้ค่ะ ... เป้าหมายที่ตั้งไว้..จะไม่เกินมือเรา:cool:
     
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    " หากิเลสไม่เจอ"

    ทำไมจึงหากิเลสไม่เห็น ก็เพราะไม่รับรองว่าจิตเป็นตน ตนเป็นจิตยกอุทาหรณ์

    ถ้าเหล็กไม่มี สนิมก็ไม่มี แต่เหล็กดีไม่มีสนิม ไปหาสนิมก็ไม่เจอ เมื่อเรา ไม่ยึดถือใจแล้ว

    จะไปหากิเลส มันก็ไม่เจออีกด้วยเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า "พระมหาสติ พระมหา

    ปัญญารวมพล เหนือความหลงไปแล้ว" ความหลง ก็ตั้งอยู่ไม่ได้...

    ...และไม่สำคัญตัวว่าอยู่ในที่ใดๆ ด้วยตัวไม่มี กิเลสก็ไม่มีที่อาศัย ไม่ว่าธรรมฝ่าย

    เกิด ฝ่ายดับ แม้พระนิพพาน เป็นธรรมฝ่ายไม่เกิด ไม่ดับ พระนิพพานก็ไม่ยืนยันว่าเป็น

    ของใครด้วย ถ้าอย่างนั้นก็สูญนะซิ..? สูญก็ไม่ยืนยันว่า เป็นของสูญด้วย.

    พระธรรมคำสอนของหลวงปู่หล้า เขมปตุโต กราบปู่ด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ.
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความสุข การปรองดอง
    สมานฉันท์จะเกิดได้อย่างไร

    ถ้าตราบใดพวกเราออกจากอารมณ์ต่างๆของตนเองยังไม่ได้
    หรือออกจากคราบมนุษย์ของตนยังไม่ได้
    ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเราก็จะต่างคนต่างคิด ต่างทำตามใจของตนเอง
    หรือต่างอารมณ์คือยึดในอารมณ์ของตนเป็นใหญ่
    ไม่ว่าจะเป็นสังคมใด ใหญ่หรือเล็ก ตั้งแต่สังคมระดับครอบครัวยันประเทศชาติย่อมมีปัญหาแน่

    แท้ที่จริงแล้วปัญหามิได้เกิดจากผู้อื่น สิ่งอื่นหรือโลก แต่เกิดจากปัญหาภายในของมนุษย์
    ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าปัญหาส่วนตัวจนถึงปัญหาระดับชาติ ก็ล้วนมาจากภายในแทบทั้งสิ้น
    ไม่ว่าจะแก้ไขปัญหาใดก็ตาม ต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุนั่นก็คือ จิตหรือวิญญาณของมนุษย์

    ทุกวันนี้ ถ้าสังคมใด ประเทศใด มัวแต่แก้ปัญหาปลายเหตุ ก็ไม่มีวันจะจบสิ้นได้
    เหตุผลของมนุษยมีร้อยแปดพันประการ เพราะฉะนั้นถ้าคนเรายังหาจิตตนไม่พบย่อมหาความสุขมิได้
    อย่าลืม! ต้นเหตุปัญหาทุกสิ่งของสรรพสิ่งทั้งปวงนั่นก็คือ"ตัณหา"หรือความต้องการของมนุษย์
    ที่กำลังสนองกิเลสในหมู่เหล่ามวลมนุษย์ทั้งหลาย พอสนองคำว่า"กิเลส"ได้แล้ว
    กระบวนหรือขั้นตอนต่อไป ก็คือ การเข้าไปยึดถือเอามาเป็นของตน เรียกว่า"อุปาทาน"

    ผู้ใด สังคมใด เริ่มจากเฉพาะพากันรักษาศีลก่อน ส่วนทำภาวนาค่อยว่ากันทีหลัง
    ถ้าคนเรารักษาศีลของตนได้แล้วย่อมไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่นอย่างแน่นอน
    คือทำจิตให้เหมือนเทวดาก่อน คือมีหิริ-โอตตัปปะ

    เพราะฉะนั้น ให้พวกเราช่วยกันคิดด้วยปัญญา ว่ามันจะเกิดขึ้นได้ไหม
    มันจะเกิดความผ่าสุข ปรองดองหรือสมานฉันท์กันได้อย่างไร ถ้าเราหรือสังคมเราไร้ศีล ไร้ธรรม
    โดยเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน นั่นก็คือรักษาศีลของเราให้ได้ก่อน ส่วนภาวนาค่อยไปว่ากันภายหลัง

    แต่ถ้าเราเองยังไร้ศีล คือไม่ยอมรักษาศีลของตน ในที่สุดตัวเรานี่แหล่ะ จะเป็นทุกข์เสียเอง
    ไม่ต้องไปดูทุกข์ของคนอื่นหรอก อย่างน้อยถ้าเรามีศีล ทุกข์เบื้องต้นย่อมไม่ปรากฎกับเราแน่
    ยิ่งถ้าเราทำภาวนาได้หรือปฎิบัติได้มรรคผลโดยเฉพาะจิตผู้ที่เข้าถึงอารมณ์นิพพานก็ยิ่งดีใหญ่
    นั่นหมายถึงจิตหลุดพ้น จิตเหนือโลกคือเหนือขันธ์ ๕ ของตน มิใช่เหนือผู้อื่น สิ่งอื่น
    เมื่อจิตผู้ใดหลุดพ้นถาวรย่อมยอมรับกฎแห่งกรรม คือต้องยอมรับกฎธรรมดาหรือกฎแห่งธรรมชาติ
    ต่อไปเราจะไม่เห็นทุกข์ของตน แต่จะไปเห็นทุกข์ของผู้อื่นแทน เห็นคนอื่นร้องไห้เสียอกเสียใจ
    เราก็เฉย+รู้เพราะอุบาขาด้วยปัญญา มิใช่หนีปัญหา ขอให้จิตเราปล่อยวางขันธ๕เพียงอย่างเดียว
    ต่อไปถึงเราจะเห็น/ได้ยิน/รับรู้มาจากอายตนะ/ทวารทั้ง๖ ทั้งทุกข์หรือสุขย่อมไม่มีผลต่อจิตใจ

    ตราบใดจิตคนเรายังไม่ยอมปล่อยวางจากขันธ์ ๕ ย่อมตกอยู่ในโลกธรรม ๘
    เมื่อจิตยังยึดมั่นถือมั่น มีอารมณ์ร่วมในโลกธรรม ๘ ท้ายที่สุดเราเองนี่แหล่ะจะเป็นฝ่ายทุกข์เอง

    คำว่า "ไม่มีผลต่อจิตใจ" เพราะจิตเขามองเห็นความเป็นไป เป็นมาของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงหมด
    จิตปล่อยวางหมดถึงจะเข้าอารมณ์สุญญตาคืออนัตตา คือความว่างถึงได้ชื่อว่าหลุดพ้นจริง
    คำว่าทุกข์ก็ไม่มี คำว่าสุขหรือบุญกุศลก็ยังละทิ้งคือไม่สนใจ คือรู้แล้วก็ปล่อยวางเสียให้หมดสิ้นไป

    นักภาวนาท่องกันจนชินหูนั่นก็คือ รู้วางๆๆ รู้ธรรมดีทุกอย่าง แต่วางทุกอย่างไม่ได้หรือวางได้บางอย่าง
    ...อย่าเอาแต่พูด ...อย่าเอาแต่ท่องจำกัน
    เพราะจิตเป็นผู้ทำหน้าที่ละ-ปล่อย-วางกับสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง มิใช่เรา สมองเราหรือสติเรา

    สรุปแล้ว จิตจะมีปัญญา(ทางธรรม) จิตจะปล่อยวาง เราจะออกจากทุกข์หรือวัฎฎะของตนเองได้
    ซึ่งมีอยู่ทางเดียว นั่นก็คือธรรมปฎิบัติ หรือปฎิบัติธรรม คือทำความจริง(ของตน)ให้แจ้งแทงตลอด
    ค้นหาความจริงที่ตนยังสงสัย หรือค้นหาคำตอบตนเองด้วยปัญญา ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว
    ตราบใดเรายังหาจิตไม่พบเท่ากับหาตัวปัญญาไม่พบ จิตย่อมมีความลังเลหรือสงสัยเป็นธรรมดา
    เปรียบเสมือนผู้ที่กำลังเดินหลงทางหรือตาบอดคลำทางนั่นเอง
    โดยเฉพาะนักภาวนาที่กำลังคลำหาประตูพระนิพพานไม่เจอ ได้โปรดแวะเวียนมาทักทายกันก่อน
    มาดื่มน้ำเย็นๆก่อน มาเสวนาธรรม/สนทนาธรรมกันก่อน แล้วข้อยจะบอกประตู/ทางออกให้เด้อ!
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ขอให้สัมผัสอารมณ์พระพุทธเจ้า/จิตพุทธะ(รู้ตื่นและเบิกบาน)
    ขอให้เข้าให้ถึงพลังแห่งพระพุทธคุณ โดยทั่วหน้ากันด้วยเทอญ..สาธุๆๆ

    ความรู้เพิ่มเติม
    "หิริ" หมายถึง ความละอายต่อบาป
    เป็นความรู้สึกรังเกียจไม่อยากทำบาป เพราะบาปจะนำความทุกข์/ทำให้จิตใจเราเศร้าหมอง
    "โอตตัปปะ" หมายถึง ความเกรงกลัวต่อบาป
    เป็นความรู้สึกกลัวไม่อยากทำบาป เพราะบาปจะนำความทุกข์/ทำให้จิตใจเราเศร้าหมอง
    "ปรองดอง" หมายถึง เอาใจเขามาใส่ใจเรา ประนีประนอม
    ตกลงกันด้วยไมตรีจิต มีความจริงใจมีความบริสุทธิ์ใจต่อกัน มีความเข้าใจกันและกัน
    "สมานฉันท์" หมายถึง ความพอใจร่วมกัน ยินดีในการเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน​


    ผิดพลาดประการใด ได้โปรดอภัย/อโหสิกรรมให้แก่กันด้วย เพราะมีแต่ความปรารถนาดีต่อทุกท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 พฤษภาคม 2013
  15. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    เวลากระชั้นชิดไปนิดนึงนะคะ ครูปรเมศ น้องลูกหว้า..

    พี่ ๆ น้อง ๆ ชาวจิตบุญ ใครสามารถไปร่วมบุญใหญ่ครั้งนี้ก็เรียนเชิญนะคะ.
    ...วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี..


    จะได้มีโอกาสพบหน้าค่าตาพี่ ๆ น้อง ๆ ทางเมืองไทย กันไปด้วยในตัว..

    แหม ๆ ถ้ามีเวลาจะโทรเรียนเชิญจิตบุญทุก ๆ ท่านเลย..


    พี่พอใจไปเองกับลูก ๆ อีก 2 คนค่ะ ครูปรเมศ..
     
  16. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    ขอเชิญร่วมทำบุญถวายสังฆทานจิตบุญ ณ วัดท่าซุง

    เรียนเชิญ พี่ ๆ น้อง ๆ จิตบุญทุก ๆ ท่านนะคะ ร่วมบุญใหญ่ครั้งนี้นะคะ

    คุณภูทยานฌาน <benblueblood@hotmail.com>; "kantinan1979@hotmail.co.uk" <kantinan1979@hotmail.co.uk>; Espada Panda <espandazero@gmail.com>; Noi Wiyo <phornrath2009@hotmail.com>; "kittyandpailin@hotmail.com" <kittyandpailin@hotmail.com>; อัญญะมณี <anyamanee_pp@yahoo.co.th>; ครูเพ็ญ <natthapatpun@gmail.com>; ปูเป้ ซัง <tiparpa18@windowslive.com>; love bird <nokmam@hotmail.com>; "jprabs@hotmail.com" <jprabs@hotmail.com>; "demons_jo888@hotmail.com" <demons_jo888@hotmail.com>; บุษย พอเพียง <reason-u@hotmail.com>; กัปตันพงศ์ <captveerapong@yahoo.com>; Prapas Satapongsat <prapas_satapongsat@hotmail.com>; "thera20032@hotmail.com" <thera20032@hotmail.com>; middle house <middlehouse2005@hotmail.com>; Aiifar Papawadee <aiifar_thesun@hotmail.com>; Suthida Nakabhat <merl88@hotmail.com>; Nakarin Chauchomsuk <emotionlife7@gmail.com>; "nrt_hunt@hotmail.com" <nrt_hunt@hotmail.com>; กนกกาญจน์ การุณกิจประสง การุณกิจประสงค์ <pheungnoy2@hotmail.co.th>; Duangbhorn Pam <duangporn.ke@gmail.com>; Linda Sjjt <deemakj@yahoo.com>; Earn Weepasuth <weepasuth@gmail.com>; Nutthanan Kruasaijai <nuttha1306@gmail.com>; "rinenchris@hotmail.com" <rinenchris@hotmail.com>; Tanny Kai <mail4tanny@yahoo.com>; Sarah Kk <kk_sarah@yahoo.com>; Steve Jet <witit88@gmail.com>; "iamgrower@gmail.com" <iamgrower@gmail.com>; อุไรรัตน์ วิจารณกรณ์ <urairat.nl@gmail.com>; Suwipha Satraphai <nidwipha@hotmail.co.th>; Watta Chan <watt011009@live.com>; Kridsana Si <kridsana_si@hotmail.com>; "kridsana.si@ap.sony.com" <kridsana.si@ap.sony.com>; หน่อง วัฒนา <wphandech@gmail.com>; "ploy.abc.1@gmail.com" <ploy.abc.1@gmail.com>; "preecha.niy@egat.co.th" <preecha.niy@egat.co.th>; Kornkamon Manusuk <pomme_5555@hotmail.com>; Pannaluck Wongsao <pannaluck_oph@hotmail.com>; Jaofon Pengprapa <jaofon_jung@hotmail.com>; 타나토음 <tom_tana@yahoo.com>; "aeislander@hotmail.com" <aeislander@hotmail.com>; Kongkiat Mangkonsaksit <k_kongkiatm@hotmail.com>; Paula Dao Anatta <pinks.oblue@gmail.com>; "suphon.jan@gmail.com" <suphon.jan@gmail.com>; Bua Busakorn <busakorn88@gmail.com>; Pporjai Apichai <ppojaia@gmail.com>; Tj Pc Js <titpichai_j@hotmail.com>; "titpichai@piraabstarch.co.th" <titpichai@piraabstarch.co.th>; Thanvarin Chanitsiri <thanvarin_chanitsiri@hotmail.com>; "jumgerman@yahoo.com" <jumgerman@yahoo.com>; Nat Natcha <bom_acmg@hotmail.com>; Methaya Meth <methaya9@gmail.com>; Pattranit Chance <pattranit.chance@sky.com>; "wanapa.daw@gmail.com" <wanapa.daw@gmail.com>; "chinaphatea@gmail.com" <chinaphatea@gmail.com>; "navinda@hotmail.com" <navinda@hotmail.com>; Ubonrat Griffiths <thailandbon@hotmail.com>; ManeeTree Untra <ratree09@hotmail.com>; Apichai Ritthigun <apichai553@gmail.com>; Nong Nuang <jajahappy07@hotmail.com>; "gigs45@hotmail.com" <gigs45@hotmail.com>; "kanittha10270@gmail.com" <kanittha10270@gmail.com>; Kittanya Pamonpol <p.kittanya@hotmail.com>; "ppamonpol@gmail.com" <ppamonpol@gmail.com>; "p.kasemsit@hotmail.co.th" <p.kasemsit@hotmail.co.th>; "noomchakkrit@hotmail.com" <noomchakkrit@hotmail.com>; "amornrat.uk@hotmail.com" <amornrat.uk@hotmail.com>; "nphapongyun@gmail.com" <nphapongyun@gmail.com>; "nphapongyun@yahoo.ca" <nphapongyun@yahoo.ca>


    น้องเกษ พลังจิต <maneekes@yahoo.com>; จิตบุญ 14 นิวเวพ <new_wave_1959@windowslive.com>; fu ujja <fuji_fuji@hotmail.com>; จิตบุญ 8 ลูกหว้า <loukwaah@hotmail.com>; จิตบุญ 59 สุภาทร <supatorn.pirakitti@gmail.com>; dutchanee panthatan <dutchaneerover@hotmail.co.uk>; "jaideejang_55@hotmail.com" <jaideejang_55@hotmail.com>
    Cc: พี่ภู จิตเกาะพระ <benblueblood@hotmail.com>; จิตบุญ kantinan1979 <kantinan1979@hotmail.co.uk>; จิตบุญ 42 หนุ่ม <espandazero@gmail.com>; phornrath wiyo <phornrath2009@hotmail.com>; จิตเกาะพระ ปุ๋ม <kittyandpailin@hotmail.com>; จิตบุญ 4 น้องหนู <anyamanee_pp@yahoo.co.th>; จิตบุญ 7 ปูเป้ <tiparpa18@windowslive.com>; จิตบุญ 10 นก ญ <nokmam@hotmail.com>; จิตบุญ 13 นกชาย <jprabs@hotmail.com>; จิตบุญ 15 น้องโจ <demons_jo888@hotmail.com>; จิตบุญ 16 แสงจันทร <reason-u@hotmail.com>; จิตบุญ 18 กัปตัน ศรุติพงศ์ <captveerapong@yahoo.com>; "prapas_satapongsat@hotmail.com" <prapas_satapongsat@hotmail.com>; จิตเกาะพระ thera20032 <thera20032@hotmail.com>; จิตบุญ 22 แอ๋ว <middlehouse2005@hotmail.com>; จิตบุญ 23 น้องฟ้า <aiifar_thesun@hotmail.com>; จิตบุญ 24 เมิล <merl88@hotmail.com>; จิตบุญ 28 น้องนัท <emotionlife7@gmail.com>; จิตบุญ 29 น้องนอร์ท <nrt_hunt@hotmail.com>; จิตบุญ 30 ผึ้ง <pheungnoy2@hotmail.co.th>; จิตบุญ 31 หมอดวงพรร <duangporn.ke@gmail.com>; จิตบุญ 32 ลินดา <deemakj@yahoo.com>; จิตบุญ 35 เอิ้น <weepasuth@gmail.com>; จิตบุญ 36 สมศรี <nuttha1306@gmail.com>; จิตเกาะพระ rinenchris <rinenchris@hotmail.com>; จิตบุญ 38 แทนนี่ <mail4tanny@yahoo.com>; จิตบุญ 39 กานต์ <kk_sarah@yahoo.com>; จิตบุญ 40 เกรียง <witit88@gmail.com>; จิตบุญ iamgrower <iamgrower@gmail.com>; จิตบุญ 43 พี่ปลื้ม <urairat.nl@gmail.com>; จิตบุญ 46 พี่ไก่ <nidwipha@hotmail.co.th>; จิตบุญ 49 Wattachan <watt011009@live.com>; จิตบุญ 50 ป้อมชาย <kridsana_si@hotmail.com>; จิตบุญ ป้อมชาย <kridsana.si@ap.sony.com>; จิตบุญ wphandech <wphandech@gmail.com>; จิตบุญ 53 หนึ่ง <ploy.abc.1@gmail.com>; จิตบุญ 54 ปรีชา <preecha.niy@egat.co.th>; จิตบุญ 55 ป้อมหญิง <pomme_5555@hotmail.com>; จิตบุญ 56 แป้ง <pannaluck_oph@hotmail.com>; จิตบุญ 57 น้องฝน <jaofon_jung@hotmail.com>; จิตบุญ 58 ต๋อม <tom_tana@yahoo.com>; จิตบุญ aeislander <aeislander@hotmail.com>; จิตบุญ ก้องเกียรติ <k_kongkiatm@hotmail.com>; จิตเกาะพระ ดาว <pinks.oblue@gmail.com>; จิตเกาะพระ suphon.jan <suphon.jan@gmail.com>; จิตเกาะพระ(ครูปลื้ม) บัวบุษกร <busakorn88@gmail.com>; "จิตเกาะพระ (ครูเมิล)) พอใจ <ppojaia@gmail.com>" <ppojaia@gmail.com>; จิตบุญ titpichai_j <titpichai_j@hotmail.com>; จิตบุญ titpichai_j <titpichai@piraabstarch.co.th>; Thanvarin Chanitsiri <thanvarin_chanitsiri@hotmail.com>; จิตเกาะพระ (ครูสุภาทร) จุ๋ม <jumgerman@yahoo.com>; Methaya Meth <methaya9@gmail.com>; น้องแพท Pattranit Chance <pattranit.chance@sky.com>; น้องดาว Wanapa Pugsley <wanapa.daw@gmail.com>; "chinaphatea@gmail.com" <chinaphatea@gmail.com>; Navinda Jannet <navinda@hotmail.com>; Ubonrat Griffiths <thailandbon@hotmail.com>; ManeeTree Untra <ratree09@hotmail.com>; Apichai Ritthigun <apichai553@gmail.com>; Nong Nuang <jajahappy07@hotmail.com>; คุณพิม <gigs45@hotmail.com>; "kanittha10270@gmail.com" <kanittha10270@gmail.com>; Kittanya Pamonpol <p.kittanya@hotmail.com>; "ppamonpol@gmail.com" <ppamonpol@gmail.com>; "p.kasemsit@hotmail.co.th" <p.kasemsit@hotmail.co.th>; "noomchakkrit@hotmail.com" <noomchakkrit@hotmail.com>; "amornrat.uk@hotmail.com" <amornrat.uk@hotmail.com>; "nphapongyun@gmail.com" <nphapongyun@gmail.com>; "nphapongyun@yahoo.ca" <nphapongyun@yahoo.ca>
    Sent: Saturday, May 11, 2013 5:29:18 PM
    Subject: RE: ขอเชิญร่วมทำบุญถวายสังฆทานจิตบุญ ณ วัดท่าซุง

    เรียนเชิญ ..เผื่อช่วงนี้..พี่ ๆ น้อง ๆ อาจจะไม่ได้เปิดเมล์นะคะ..น้องบัวบุษกร น้องไก่ น้องป้อม น้องเมธยา น้องหนุ่ม น้องจุ๋ม ..น้องเอิ้นและอีก ฯลฯ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 พฤษภาคม 2013
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    นอกเหตุ เหนือผล
    โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท


    คำสอนของพระบางอย่างเราฟังดูแล้ว ไม่ค่อยจะเข้าใจเลย บางทีคิดว่า มันน่าจะ เป็นไปอย่างนั้นไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ ความเป็นจริงนั้นคำพูดของพระมีเหตุผลทุกอย่าง

    ครั้งแรกที่อาตมาไม่นั่งหลับตา แล้วก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ไม่เห็นว่าจะเกิดประโยชน์อะไร จากการหลับตาไปหมด นอกจากนั้นก็ไปเดินจงกรม เดินไปจากต้นไม้ต้นนี้ไปต้นนั้น เดินไปเดินมาก็ขี้เกียจ เดินทำไม ? กลับไปกลับมาไม่เกิดประโยชน์อะไร อย่างนี้มันก็คิดไป

    แต่ความจริงการเดินจงกรมนี้ มีประโยชน์มาก การนั่งสมาธินี้ก็มีประโยชน์มาก แต่จริตของคนเราบางคนแรงไปในการเดินจงกรม บางคนแรงในการนั่ง จริตของท่าน เป็นปนเปกันอยู่ แต่เราจะทิ้งกันไม่ได้ จะนั่งสมาธิอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะเดินจงกรมอย่างเดียวก็ไม่ได้

    พระกรรมฐานท่านสอนว่า อิริยาบถสี่ การยืนการเดิน การนั่ง การนอน คนเราอาศัยอิริยาบถอย่างนี้อยู่ แล้วแต่ว่ามันจะแรงการยืน การเดิน การนั่ง หรือการนอน แต่มันจะเร็วหรือช้า มันก็ค่อยๆ เข้าไปในตัวของมัน

    อย่างวันหนึ่งเราเดินกี่ชั่วโมง นั่งกี่ชั่วโมง นอนกี่ชั่วโมง แต่เท่าไรก็ช่างมันเถอะ จับจุดมันเข้าก็เป็นการยืนการเดิน การนั่ง การนอนเสมอ การยืนเดินนั่งนอนนี้ให้เสมอกัน ท่านบอกไว้ในธรรมะ การปฏิบัติให้ปฏิบัติสม่ำเสมอกัน ให้อิริยาบถเสมอกัน อิริยาบถคืออะไร ? คือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน ให้มันเสมอกัน เอ ! คิดไม่ออก ให้มันเสมอนี้มันก็คงจะว่านอน ๒ ชั่วโมง ก็ยืน ๒ ชั่วโมง นั่งก็ ๒ ชั่วโมง คงจะเป็นอย่างนั้นกระมัง

    อาตมาก็มาลองทำดูเหมือนกัน โอ๊ะ ! มันไปไม่ไหว ไปไม่ไหวแน่นอนเลย จะยืนก็ให้ ๒ ชั่วโมงหรือนั่งก็ให้ ๒ ชั่วโมง เดินก็ ๒ ชั่วโมง นอนก็ ๒ชั่วโมง เรียกว่าอิริยาบถเสมอกัน อย่างนี้เราฟังผิด ฟังตามแบบนี้ มันผิด อิริยาบถเสมอกัน ท่านพูดถึงจิตของเรา ความรู้สึกของเราเท่านั้น ไม่ใช่ท่านพูดทั่วไป คือทำจิตของเราให้มันเกิดปัญญาแล้ว ให้มันมีปัญญา ให้มันสว่าง

    ความรู้สึก หรือปัญญาของเรานั้น แม้เราจะอยู่ในอิริยาบถ ยืน เดิน นั่งนอน ก็รู้อยู่เสมอ เข้าใจอยู่เสมอในอารมณ์ต่างๆ แม้ฉันจะยืนอยู่ก็ช่าง จะนั่งหรือเดินก็ช่าง ฉันจะรู้อารมณ์อยู่เสมอไป ว่าอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นมันจะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เท่านั้นแหละ

    คำพูดอย่างนี้ก็เป็นไป ความรู้สึกความรู้อย่างนั้นก็เป็นไป จิตใจก็น้อมเข้าไปอย่างนั้น เมื่อถูกอารมณ์เมื่อไรก็เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตลอดเวลาอยู่อย่างนั้น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน มันมีความเห็นอยู่อย่างนั้น แม้ว่ามันจะรัก หรือจะเกลียดมันก็ยังไม่ทิ้งปฏิปทาของมัน รู้ของมันอยู่

    ถ้าหากว่ามาเพ่งถึงจิตให้เป็นปฏิปทา ให้สม่ำเสมอกัน ความสม่ำเสมอกัน คือมันปล่อยวางเสมอกัน เมื่อหากว่ามันได้อารมณ์ที่ดีตามสมมติของเขา มันก็ยังไม่ลืมตัวของมัน เมื่อมันรู้อารมณ์ที่ชั่ว มันก็ยังไม่ลืมตัวของมันมันไม่หลงในความชั่ว มันไม่หลงในความดี สมมติทั้งหลายเหล่านี้ มันจะตรงไปของมันอยู่เรื่อยๆ อิริยาบถนี้เอาเสมอได้ ถ้ามันยังไม่เสมอจัดให้มันเสมอได้

    ถ้าพูดถึงภายในไม่พูดถึงภายนอก พูดถึงเรื่องจิตใจ พูดถึงความรู้สึก ถ้าหากว่าอิริยาบถจิตใจสม่ำเสมอกัน จะถูกสรรเสริญมันก็อยู่แค่นั้น จะถูกนินทามันก็อยู่แค่นั้น มันไม่วิ่งขึ้น มันไม่วิ่งลง มันอยู่อย่างนี้ ก็เพราะอะไร ? มันรู้อันตราย รู้อุปสรรค ในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เห็นโทษในการสรรเสริญ เห็นโทษในการนินทาเสมอกันแล้ว เรียกว่ามันเสมอกันแล้วนั้น อย่างนี้ความรู้สึกอย่างนี้เรียกว่าทางใน มองดูด้านใน ไม่มองดูด้านนอก

    อารมณ์ทั้งหลายนั้นนะ ถ้าหากว่าเราได้อารมณ์ที่ดี จิตของเรามันก็ดีด้วย ได้อารมณ์ที่ไม่ดีจิตของเราก็ไม่ดีไม่ชอบ มันจะเป็นอยู่อย่างนี้ นี้เรียกว่าอิริยาบถมันไม่สม่ำเสมอกันแล้ว มันสม่ำเสมอแต่ว่ามันรู้อารมณ์ ว่ามันยึดดีก็รู้ ยึดชั่วก็รู้ แค่นี้ก็นับว่าดีแล้ว อิริยาบถนี้มันสม่ำเสมอแต่มันยังวางไม่ได้ แต่ว่ามันรู้สม่ำเสมอ ยึดความดีก็รู้จัก ยึดความชั่วก็รู้จัก ความยึดเช่นนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่หนทาง ก็รู้อยู่ เข้าใจอย่างนี้ แต่ว่ามันทำยังไม่ได้เต็มที่ ยังไม่ได้ปล่อยวางจริง แต่มันรู้ว่า ถ้าจะปล่อยวางตรงนี้มันจะสงบ

    ปล่อยวางจากสิ่งทั้งปวง

    แล้วเมื่อเราพยายามทำไปๆ เห็นโทษในอารมณ์ที่ว่า มันชอบใจหรือว่ามันไม่ชอบใจ หรือเห็นโทษในสรรเสริญ เห็นโทษในการนินทา สม่ำเสมอกันอยู่ นั้นแหละ ไม่มีอะไรแปลกกัน นินทาก็สม่ำเสมอกันสรรเสริญมันก็สม่ำเสมอกัน

    เมื่อพูดถึงจิตคนเราในโลกนี้ ถ้านินทาละก็ไม่ได้บีบหัวใจเรา ถ้าถูกสรรเสริญมันแช่มชื่นสบาย มันเป็นอย่างนี้ตามธรรมชาติของมัน เมื่อมันรู้ตามความเป็นจริงเสียแล้วว่า อารมณ์ที่เขานินทานั้นมันก็มีโทษ อารมณ์ที่เขาสรรเสริญนั้นมันก็มีโทษ ติดในสรรเสริญมันก็มีโทษ ติดในการนินทามันก็มีโทษ มันเป็นโทษทั้งหมดทั้งนั้น ถ้าเราไปหมายมั่นมันอย่างนั้น

    เมื่อความรู้อย่างนี้เกิดขึ้นมา เราก็จะรู้สึกอารมณ์ ถ้าไปหมายมั่นมันก็เป็นทุกข์จริงๆ มันทุกข์ให้เห็น ถ้าไปยึดดียึดชั่วมันก็เป็นทุกข์ขึ้นมา แล้วก็มาเห็นโทษนั้นว่า ความยึดทั้งหลายนั้นมันเป็นเหตุให้เราเป็นทุกข์ เพราะชั่วก็ตะครุบ ดีก็ตะครุบ ทำไมจึงเห็นโทษมัน ? เพราะเราเคยยึดมั่นมันมา เคยตะครุบมันมาอย่างนี้ จึงเห็นโทษ มันไม่มีสุข ทีนี้ก็หาทางปล่อยมัน จะปล่อยมันไปตรงไหนหนอ ?

    ในทางพุทธศาสนาท่านว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่น แต่เราฟังไม่จบไม่ตลอด ที่ว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นนั้น คือว่าท่านให้ยึดอยู่แต่อย่าให้มั่น เช่นอย่างนี้ อย่างไฟฉายนี่น่ะ นี่คืออะไร ไปยึดมันมาแล้วก็ดู พอรู้ว่าเป็นไฟฉายแล้วก็วางมัน อย่าไปมั่นยึดแบบนี้ ถ้าหากว่าเราไปยึด เราจะทำได้ไหม ? จะเดินจงกรมก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้ต้องยึดเสียก่อน

    ครั้งแรกจะว่ามันเป็นตัณหาก็ได้ แต่ว่าต่อไปมันจะเป็นบารมี อย่างเช่นท่านชาคโร จะมาวัดป่าพง ก็ต้องอยากมาก่อน ถ้าไม่รู้สึกว่าอยากมาก็ไม่ได้มา โยมทั้งหลายก็เหมือนกัน ก็มีความอยากนั่นแหละจึงได้มานี้ จึงมาด้วยความอยาก เมื่อมีความอยากขึ้นมา ท่านก็ว่าอย่ายึดมั่นคือมาแล้วก็กลับ อย่างที่สงสัยว่านี่อะไร แล้วก็ยึดขึ้นมา เออ มันเป็นไฟฉายนะ นี่น่ะแล้วก็วางมัน นี้เรียกว่ายึดแต่ไม่ให้มั่น ปล่อยวาง รู้แล้วปล่อยวาง พูดง่ายๆ ก็ว่ารู้แล้วปล่อยวาง จับมาดูรู้แล้วปล่อยวาง

    อันนี้เขาสมมติว่ามันดี อันนี้เขาสมมติว่ามันไม่ดี รู้แล้วก็ปล่อยทั้งดี ทั้งชั่ว แต่ว่าการปล่อยนี้ ไม่ได้ทำด้วยความโง่ ไม่ได้ยึดด้วยความโง่ ให้ยึดด้วยปัญญา อย่างนี้อันนี้ อิริยาบถนี้ เสมอได้ ต้องเสมอได้อย่างนี้ คือจิตมันเป็น ทำจิตให้รู้ ทำจิตให้เกิดปัญญา เมื่อจิตมีปัญญาแล้ว อะไรมันจะเหนือไปกว่านั้นอีกเล่า ถ้าหากจะยึดมา มันก็ยึดไม่มีโทษ ยึดขึ้นมาแต่ไม่มั่น ยึดดูแล้วรู้แล้วก็วาง

    อารมณ์เกิดมาทางหู อันนี้เรารู้โลกเขาว่ามันดีแล้ว มันก็วาง โลกเขาว่ามันไม่ดี มันก็วาง มันรู้ดีรู้ชั่ว คนที่ไม่รู้ดี รู้ชั่ว ไปยึดทั้งดีทั้งชั่ว แล้วเป็นทุกข์ทั้งนั้น คนรู้ดีรู้ชั่ว ไม่ได้ยึดในความดี ไม่ได้ยึดในความชั่ว คนที่ยึดในความดีความชั่ว นั่นคือคนไม่รู้ดีรู้ชั่ว และคำที่ว่า เราทำอะไร ตลอดที่ว่าเราอยู่ไปนี้ เราอยู่เพื่อประโยชน์อะไร เราทำงานอันนี้ เราทำเพื่อต้องการอะไร แต่โลกเขาว่าทำงานอันนี้เพราะต้องการอันนั้น เขาว่าเป็นคนมีเหตุผล แต่พระท่านสอนยิ่งไปกว่านั้นอีก ท่านว่าทำงานอันนี้ ทำไป แต่ไม่ต้องการอะไร ทำไมไม่ต้องการอะไร ? โลกเขาต้องทำงานอันนี้เพื่อต้องการอันนั้น ทำงานอันนั้นเพื่อต้องการอันนี้ นี่เป็นเหตุผลอย่างชาวโลกเขา

    พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่า ทำงานเพื่อทำงาน ไม่ต้องการอะไร ถ้าคนเราทำงานเพื่อต้องการอะไร ก็เป็นทุกข์ ลองดูก็ได้ พอนั่งปั๊บก็ต้องการความสงบ ก็นั่งอยู่นั่นแหละ กัดฟันเป็นทุกข์แล้ว นั่นลองคิดดูซิ มันละเอียดกว่ากันอย่างนี้ คือทำแล้วปล่อยวางๆ อย่างเช่นพราหมณ์เขาบูชายันต์ เขาต้องการสิ่งที่เขาปรารถนานั้นอยู่ การกระทำเช่นนั้นของพราหมณ์นั้นก็ยังไม่พ้นทุกข์ เพราะเขามีความปรารถนาจึงทำ ทำแล้วก็ทุกข์ เพราะทำด้วยความปรารถนา

    ครั้งแรกเราทำก็ปรารถนาให้มันเป็นอย่างนั้น ทำไปๆ ทำจนกว่าที่เรียกว่าไม่ปรารถนาอะไรแล้ว ทำเพื่อปล่อยวาง มันอยู่ลึกซึ้งอย่างนี้ คนเราปฏิบัติธรรมเพื่อต้องการอะไร ? เพื่อต้องการพระนิพพานนั่นแหละ จะไม่ได้พระนิพพาน ความต้องการอันนี้เพื่อให้มีความสงบ มันก็เป็นธรรมดา แต่ว่าไม่ถูกเหมือนกัน จะทำอะไรก็ไม่ต้องคิดว่า จะต้องการอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้นแล้ว มันจะเป็นอย่างไร ก็ไม่เป็นอะไร ถ้าเป็นอะไร มันก็ทุกข์เท่านั้นแหละ
    ทำจิตให้ว่าง

    การทำงานไม่ให้เป็นอะไรนั้นเรียกว่า ทำจิตให้ว่าง แต่การกระทำมีอยู่ ความว่างนี้พูดให้คนฟังไม่รู้เรื่อง แต่คนทำไปจะรู้จักความว่างนี้ว่ามันประโยชน์ ไม่ใช่ว่ามันว่างในสิ่งที่มันไม่มี มันว่างในสิ่งที่มันมีอยู่ เช่นไฟฉายนี้นะ มันไม่ว่าง แต่เราเห็นไฟฉายนี้มันว่าง ว่างก็เพราะมีไฟฉายนี้ ไฟฉายนี้เป็นเหตุให้มีว่าง ไม่ใช่ว่างขณะนั้นมองดูไม่มีอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น คนฟังความว่าง ก็ไม่ค่อยออกเหมือนกัน ไม่ค่อยจะรู้จักอย่างนั้น ต้องเข้าใจความว่างในของที่มีอยู่ ไม่ใช่ความว่างในของที่ไม่มี

    ลองอย่างนี้ซิ นี่ถ้าหากว่าใครยังมีความปรารถนาอยู่อย่างพราหมณ์ที่บูชายันต์ ที่พราหมณ์บูชายันต์ ก็เพราะเขาต้องการอะไรอันใดอันหนึ่งอยู่ เหมือนกันกับที่โยมมาถึงที่กราบพระ หลวงพ่อผมขอรดน้ำมนต์ ทำไม ? รดทำไม ? ต้องการกินดีอยู่ดี ไม่เจ็บไม่ไข้นั่นแหละ มันไม่พ้นทุกข์แล้ว ถ้ามันต้องการอย่างนั้น ทำอันนี้เพื่อต้องการอันนั้น ทำอันนั้นเพื่อต้องการอันนี้

    นอกเหตุเหนือผล

    ในทางพุทธศาสนาให้ทำเพื่อไม่ต้องการอะไร ถ้ามีเพื่ออะไรมันไม่หมด ทางโลกทำอะไรเรียกว่ามันมีเหตุผล พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่าให้ “นอกเหตุเหนือผล” ไม่ว่าจะทำอะไร ปัญญาของท่านให้ นอกเหตุเหนือผล ให้นอกเกิดเหนือตาย นอกสุขเหนือทุกข์ ลองคิดตามไปซิ ลองพิจารณาไปตาม คนเราเคยอยู่ในบ้าน พอหนีจากบ้านไปไม่มีที่อยู่ ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเรามันเคยอยู่ในภพ อยู่ในความยึดมั่นถือมั่นเป็นภพ ถ้าไม่มีความยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็เรียกว่าไม่รู้ว่าจะทำอะไร

    เหมือนอย่างคนส่วนมากไม่อยากไปพระนิพพานเพราะกลัว เพราะเห็นไม่มีอะไร ดูหลังคากับพื้นนี่ ที่สุดข้างบนคือหลังคา ที่สุดข้างล่างคือพื้น อันนั้นมันเป็นภพข้างบน อันนี้เป็นภพข้างล่าง ระยะที่ภพทั้งสองนี้มันต่อกัน มันว่างๆ คนไม่รู้จัก เหมือนที่ว่างระหว่างหลังคากับพื้น เห็นมันว่างๆ ก็ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน ต้องไปอยู่บนหลังคา หรือไม่งั้นก็ที่พื้นข้างล่าง

    ที่ๆ ไม่มีอยู่นั่นแหละมันว่าง เหมือนกับที่ไม่มีภพนั่นแหละ ก็เรียกว่ามันว่าง ตัดเยื่อใยออกเสียมันก็ว่าง พอบอกว่าพระนิพพานคือความว่าง ถอยหลังเลยไม่ไป กลัว กลัวจะไม่ได้เห็นลูก กลัวจะไม่ได้เห็นหลาน กลัวจะไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น อย่างที่เวลาพระท่านให้พรญาติโยมว่า อายุ วรรณโณ สุขขัง พลัง โยมก็ดีใจสาธุ เพราะชอบ มันจะได้อายุหลายๆ วรรณะผ่องใส มีความสุขมากๆ มีพลังหลายๆ คนชอบใจ ถ้าจะพูดว่าไม่มีอะไรแล้ว เลิกเลย ไม่ต้องเอาแล้ว

    คนมันติดอยู่ในภพอย่างนั้น บอกไปตรงนั้น ไม่ไป ไม่มีที่อยู่แล้ว อายุ วรรณโณ สุขขัง พลัง เออดีแล้ว อายุให้ยืนยาว วรรณโณให้มีวรรณะ ผิวพรรรณสวยงาม ให้มีความสุขมากๆ ให้มีอายุยืนๆ คนอายุยืนๆ มีผิวพรรณดีมีไหม เคยมีไหม ? คนอายุหลายๆ มีพลังมากๆ มีไหม ? คนอายุมากๆ มีความสุขมากๆ มีไหม ? พอให้พรว่า อายุ วรรณโณ สุขขัง พลัง ดีใจ สาธุกันทั้งนั้นทั้งศาลาเลย นี่แหละมันติดอยู่ในภพนี้ เหมือนอย่างพราหมณ์บูชายันต์ ที่ทำพิธีบูชายันต์ เพราะต้องการสิ่งที่เขาปรารถนา

    การที่เรามาปฏิบัตินี้ไม่ต้องบูชายันต์ คือไม่ต้องการอะไร ถ้าต้องการอะไรมันก็ยังมีอะไรอยู่ ถ้าไม่ต้องการอะไรมันก็สงบ จบเรื่องของมัน แต่พูดให้ฟังอย่างนี้ ก็คงไม่ค่อยสบายใจอีกแล้ว เพราะอยากจะเกิดกันอีกทั้งนั้น

    ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ควรเข้าไปใกล้พระให้มาก ดูการปฏิบัติของท่าน การเข้าไปใกล้พระ ก็คือใกล้พระพุทธเจ้า คือใกล้ธรรมะของท่านนั้นแหละ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อานนท์ ให้ท่านทำให้มาก ให้ท่านเจริญให้มาก ใครเห็นเรา คนนั้นเห็นธรรม ใครเห็นธรรมคนนั้นเห็นเรา”

    พระพุทธเจ้าอยู่ตรงไหนล่ะ เราก็นึกว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด แล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จไปแล้ว แต่พระพุทธเจ้าคือธรรมะ คือสัจจธรรม บางคนชอบพูดว่า ถ้าเราเกิดทันพระพุทธเจ้า เราก็จะได้ไปพระนิพพานเหมือนกัน นี่แหละความโง่มันหลุดออกมาอย่างนั้น พระพุทธเจ้ายังมีอยู่ทุกวันนี้ ใครว่าพระพุทธเจ้านิพพาน พระพุทธเจ้าคือสัจจธรรม สัจจธรรมมันจะจริงอยู่อย่างนั้น ใครจะเกิดมา ก็มีอยู่อย่างนั้น ใครจะตายไปก็มีอยู่อย่างนั้น สัจจธรรมนี้ไม่มีวันสูญไปจากโลก เป็นอย่างนั้น มีอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้น พระพุทธเจ้าจะเกิดมาก็มี ไม่เกิดมาก็มี ใครจะรู้ก็มี ใครจะไม่รู้ก็มี อันนั้นมันมีอยู่อย่างนั้น

    ฉะนั้นจึงว่าให้ใกล้พระพุทธเจ้า เราน้อมเข้ามาน้อมเข้ามา ให้เราเข้าถึงธรรมะ เมื่อได้ถึงธรรมะ เราก็ถึงพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นธรรมะเราก็เห็นพระพุทธเจ้า แล้วความสงสัยทั้งหลายก็จะหมดสิ้น เหมือนอย่างครูชู เกิดมาครั้งแรกไม่เป็นครูหรอก เป็นนายชู ต่อมา มาเรียนวิชาของครู สอบได้ ไปบรรจุเป็นครูก็เรียกว่าเป็นครูชู แม้ครูชูจะตายไปแล้ว วิชาของครูนี้ก็ยังมีอยู่ไม่หายไปไหน ใครจะไปเรียนวิชาครู ไปสอบได้ก็ได้เป็นครูอยู่ วิชาครูนั้นยังอยู่เป็นสัจจธรรม ยังมีในโลกเหมือนสัจจธรรมที่ทำให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงยังมีอยู่อย่างนั้น ดังนั้นใครปฏิบัติไปก็จะเห็นธรรมะ เห็นธรรมะก็จะเห็นพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้คนไม่เห็นทั้งนั้นแหละ มองพระพุทธเจ้าไปตรงไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้จักแล้วยังพูดว่า ถ้าฉันเกิดพร้อมพระพุทธเจ้า ฉันก็คงจะได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน และคงจะได้ตรัสรู้เหมือนกัน พูดออกมาด้วยความโง่ นี่ขอให้เข้าใจอันนี้ให้ดี

    จิตเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และการปฏิบัติของเราก็เช่นเดียวกัน อย่าไปเข้าใจว่าออกพรรษาแล้วก็สึก อย่าคิดอย่างนั้น ความคิดชั่ววูบเดียวอาจทำให้ฆ่าคนได้ ในทำนองเดียวกัน ความดีวูบเดียวในขณะจิตเดียวเท่านั้นไปได้เหมือนกัน ให้เข้าใจอย่างนี้ อย่าไปเข้าใจว่าฉันบวชมานานแล้ว จิตจะภาวนาอย่างไรก็ได้ อย่า อย่าคิดอย่างนั้น ความชั่ววูบเดียวเท่านั้น ให้ทำกรรมหนักได้โดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกัน สาวกทุกๆ องค์ของท่านที่ได้ปฏิบัติมานานแล้ว เมื่อมันจวบจะถึงที่ มันก็ขณะจิตเดียวเท่านั้น

    ฉะนั้นอย่าไปประมาทของเล็กๆ น้อยๆ จงเพียรพยายามให้หนัก อย่างนั้นถึงได้ว่าให้ไปอยู่กับพระ ให้เข้าใกล้พระ แล้วให้พิจารณาถึงจะรู้จักพระ ให้เข้าใจดีๆ เอาละ คืนนี้มันจะดึกแล้วกระมัง บางคนก็ง่วงนอนแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่เทศน์ให้คนง่วงนอนฟังหรอก ท่านเทศน์ให้คนลืมตาลืมใจฟัง

    อยู่กับงูเห่า

    ขอให้คำขวัญแก่โยมทั้งหลาย และลูกศิษย์ใหม่ที่เดินทางจากลอนดอน มาพักอยู่ที่ วัดหนองป่าพง ขอให้ทำความเข้าใจในธรรมะที่ได้ศึกษาแล้ว ที่วัดหนองป่าพงนี้ โดยย่อก็คือ ให้ปฏิบัติให้พ้นทุกข์ในวัฏฏสงสาร ขอให้โยมจำไว้ในใจว่า อารมณ์ทั้งหลายนั้น จะเป็นอารมณ์ที่พอใจก็ตาม หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจก็ตามอารมณ์ทั้งสองอย่างนี้ มันเหมือนงูเห่า งูเห่ามันมีพิษมาก ถ้ามันฉกคนแล้วก็ทำให้ถึงแก่ความตายได้ อารมณ์นี้ก็เหมือนกับงูเห่าที่มีพิษร้ายนั้น อารมณ์ที่พอใจก็มีพิษมาก อารมณ์ที่ไม่พอใจก็มีพิษมาก มันทำให้จิตใจของเราไม่เป็นเสรี ทำให้จิตใจไขว้เขว จากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

    วันนี้จึงขอให้โอวาทย่อๆ แก่โยม ขอให้เป็นผู้มีสติอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนก็ให้นอนด้วยสติ นั่งด้วยสติ เดินด้วยสติ ยืนด้วยสติ จะพูดก็พูดด้วยสติ จะทำอะไรๆ ก็ให้มีสติอยู่ด้วยทั้งนั้น

    เมื่อมีสติแล้ว สัมปชัญญะความรู้ตัวมันก็จะเกิดขึ้นมา สติกับสัมปชัญญะเป็นของคู่กัน เมื่อทั้งสองอย่างนี้เกิดขึ้นพร้อมกันแล้ว ก็จะนำปัญญาให้เกิดตามทีนี้เมื่อมีทั้ง สติ สัมปชัญญะ ปัญญา แล้ว ก็จะเป็นผู้ที่ตื่นอยู่ ทั้งกลางวันและกลางคืน

    ธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนนั้น ไม่ใช่ธรรมะที่เพื่อฟังเฉยๆหรือรู้เฉยๆ แต่เป็นธรรมะ ที่ต้องปฏิบัติ ต้องทำให้เกิดขึ้น ต้องทำให้มีขึ้นในใจของเราให้ได้ จะไปที่ไหนก็ให้มีธรรมะ จะพูดก็ให้มีธรรมะ จะเดินก็ให้มีธรรมะ จะนอนก็ให้มีธรรมะ จะทำอะไรๆ ก็ให้มีธรรมะทั้งนั้น

    คำว่า “มีธรรมะ” นี้ก็คือ จะทำอะไรก็ตาม จะพูดอะไรก็ตาม ให้ทำด้วยปัญญา ให้พูดด้วยปัญญา ให้นึกคิดด้วยปัญญา ผู้ใดมีสติ สัมปชัญญะ ควบกับปัญญา อยู่ตลอดเวลาแล้ว ผู้นั้นย่อมอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าทุกเมื่อ

    ดังนั้น แม้เมื่อโยมจากวัดหนองป่าพงนี้ไปแล้ว ก็จงเป็นผู้ปฏิบัติ ให้ธรรมะทั้งหลาย มารวมอยู่ที่ใจ มองลงไปที่ใจ ให้เห็นสติ ให้เห็นสัมปชัญญะ ให้มีปัญญา เมื่อมีทั้งสามอย่างนี้แล้ว มันจะมีการปล่อยวาง รู้จักเกิดแล้วมันก็ดับ ดับแล้วมันก็เกิด เกิดแล้วมันก็ดับ

    ที่เรียกว่า “เกิดๆ ดับๆ” นี้คืออะไร คืออารมณ์ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป ดับแล้ว มันก็เกิดขึ้นมา ในทางธรรมะเรียกว่าการเกิดดับ มันก็มีเท่านี้ ทุกข์มันเกิดขึ้นแล้ว ทุกข์มันก็ดับไป ทุกข์ดับไปแล้ว ทุกข์ก็เกิดขึ้นมา นอกเหนือจากนี้ไป ก็ไม่มีอะไรมีแต่ทุกข์เกิด แล้วทุกข์ก็ดับไป มีเท่านี้

    เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตของเราก็จะเห็นแต่การเกิด-ดับอยู่เสมอ เมื่อเห็นการเกิด-ดับอยู่เสมอ ทุกวันทุกเวลา ตลอดทั้งกลางวัน ตลอดทั้งกลางคืน ตลอดทั้งการยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเห็นได้ว่า มันไม่มีอะไรจริงๆ มีแต่เกิด-ดับอยู่เท่านี้เอง แล้วทุกอย่างมันก็จบอยู่ตรงนี้

    (เชิญอ่านต่อข้างล่างค่ะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2013
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ( อ่านต่อค่ะ)
    เมื่อเห็นอารมณ์เกิด-ดับอย่างนี้อยู่เสมอไปแล้ว จิตใจก็จะเกิดความเบื่อหน่าย เพราะเมื่อคิดไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากมาย มันมีแต่การเกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ดับ มันมีอยู่เท่านี้ ฉะนั้นเมื่อคิดแล้วก็ไม่รู้จะไปเอาอะไรกับมัน พอคิดได้เช่นนี้ จิตก็จะปล่อยวาง ปล่อยวางอยู่กับธรรมชาติ มันเกิดเราก็รู้ มันดับเราก็รู้มันสุขเราก็รู้ มันทุกข์เราก็รู้ รู้แล้วไม่ใช่ว่าเราจะไปเป็นเจ้าของสุขนะ หรือเมื่อทุกข์ขึ้นมา เราก็ไม่เป็นเจ้าของทุกข์เหมือนกัน เมื่อไม่เป็นเจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์ มันก็มีแต่การเกิด-ดับอยู่เท่านั้น ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติของมันอย่างนั้นแหละ เพราะมันไม่มีอะไร

    อารมณ์ทั้งหลายที่ว่ามานี้ เหมือนกันกับงูเห่าที่มีพิษร้าย ถ้าไม่มีอะไรมาขวาง มันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติของมัน แม้พิษของมันจะมีอยู่ มันก็ไม่แสดงออก ไม่ได้ทำอันตรายเรา เพราะเราไม่ได้เข้าไปใกล้มัน งูเห่าก็เป็นไปตามเรื่องของงูเห่า มันก็อยู่อย่างนั้น

    ดังนี้ ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้ว ก็จะปล่อยหมด สิ่งที่ดีก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ไม่ชอบก็ปล่อยมันไป เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่าตัวที่มีพิษร้ายนั้น ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไป มันก็เลื้อยไปทั้งพิษที่มีอยู่ในตัวมันนั่นเอง

    ฉะนั้น คนที่ฉลาดแล้ว เมื่อปล่อยอารมณ์ก็ปล่อยอย่างนั้น ดีก็ปล่อยมันไป แต่ปล่อยอย่างรู้เท่าทัน ชั่วก็ปล่อยมันไป ปล่อยไปตามเรื่องของมันอย่างนั้นแหละ อย่าไปจับ อย่าไปต้องมัน เพราะเราไม่ต้องการอะไร ชั่วก็ไม่ต้องการ ดีก็ไม่ต้องการ หนักก็ไม่ต้องการ เบาก็ไม่ต้องการ สุขก็ไม่ต้องการ ทุกข์ก็ไม่ต้องการ มันก็หมดเท่านั้นเอง ทีนี้ความสงบก็ตั้งอยู่เท่านั้นแหละ

    เมื่อความสงบตั้งอยู่แล้ว เราก็ดูความสงบนั้นแหละ เพราะมันไม่มีอะไรแล้ว เมื่อความสงบเกิดขึ้นความวุ่นวายก็ดับ พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสว่า นิพพานคือความดับ ดับที่ตรงไหน ? ก็เหมือนไฟเรานั่นแหละ มันลุกตรงไหน มันร้อนตรงไหน ? มันก็ดับที่ตรงนั้น มันร้อนที่ไหนก็ให้มันเย็นตรงนั้น ก็เหมือนกับนิพพานก็อยู่กับวัฏฏสงสาร วัฏฏสงสารก็อยู่กับนิพพาน เหมือนกันกับความร้อนกับความเย็น มันก็อยู่ที่เดียวกันนั่นเอง ความร้อนก็อยู่ที่มันเย็น ความเย็นก็อยู่ที่มันร้อน เมื่อมันร้อนขึ้น มันก็หมดเย็น เมื่อมันหมดเย็น มันก็ร้อน

    วัฏฏสงสารกับนิพพานนี้ก็เหมือนกัน ท่านให้ดับวัฏฏสงสารคือความวุ่น การดับความวุ่นวายก็คือการดับความร้อน ไฟทางนอกก็คือไฟธรรมดา มันร้อน เมื่อมันดับแล้ว มันก็เย็น แต่ความร้อนภายในคือ ราคะ โทสะโมหะ ก็เป็นไฟเหมือนกัน ลองคิดดูเมื่อราคะ ความกำหนัดเกิดขึ้น มันร้อนไหม ? โทสะเกิดขึ้นมันก็ร้อน โมหะเกิดขึ้นมันก็ร้อน มันร้อน ความร้อนนี่แหละที่ท่านเรียกว่าไฟ เมื่อไฟมันเกิดขึ้น มันก็ร้อน เมื่อมันดับ มันก็เย็นความดับนี่แหละคือนิพพาน

    นิพพานคือสภาวะที่เข้าไปดับซึ่งความร้อน ท่านเรียกว่าสงบ คือดับซึ่งวัฏฏสงสาร วัฏฏสงสารคือความเวียนว่าย ตายเกิดอยู่อย่างนั้น เมื่อถึงนิพพานแล้ว ก็คือการเข้าไปดับซึ่งความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง อันนั้น เรียกว่าการดับราคะ ดับโทสะ ดับโมหะ ก็ดับที่ใจของเรานั่นแหละ คือใจถึงความสงบ

    ในความสงบนั้น สุขก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่มี แต่มนุษย์เรานั่นแหละจะอดสุขไม่ได้ เพราะเห็นว่าความสุขเป็นยอดของชีวิตแล้ว แม้พระนิพพานก็ยังมาว่าเป็นความสุขอยู่ เพราะความคุ้นเคย ตามเป็นจริงแล้ว เลิกสิ่งทั้ง ๒ อย่างนี้ก็เป็นความสงบ เมื่อโยมกลับบ้าน แล้วขอให้เปิดเทปธรรมะนี้ฟังอีก จะได้มีสติ เมื่อโยมมาอยู่วัดหนองป่าพงใหม่ๆ โยมร้องไห้ เมื่ออาตมาเห็นน้ำตาของโยม อาตมาก็ดีใจ ทำไมจึงดีใจ ? ที่ดีใจก็เพราะว่า นี่แหละ โยมจะได้ศึกษาธรรมะที่แท้จริงละ ถ้าน้ำตาไม่ออกก็ไม่ได้เห็นธรรมะ เพราะน้ำนี้เป็นน้ำไม่ดี ต้องให้มันออกให้หมด มันถึงจะสบาย ถ้าน้ำนี้ไม่หมด ก็จะไม่สบาย มันก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ อยู่เมืองไทยก็จะร้องไห้อยู่อย่างนี้ กลับไปกรุงลอนดอนก็จะร้องไห้อีก มีชีวิตอยู่ก็จะร้องไห้อยู่อย่างนี้แหละ เพราะน้ำนี้มันเป็นน้ำกิเลส เมื่อทุกข์ก็บีบน้ำนี้ให้ไหลออกมา เมื่อสุขมากก็บีบน้ำนี้ออกมาอีกเหมือนกัน ถ้าหมดน้ำนี้เมื่อใด ก็จะสบาย ถ้าโยมทำได้ โยมก็จะมีแต่ความสงบ ความสบาย

    ขอให้โยมรับธรรมะนี้ไปปฏิบัติ ไปปฏิบัติให้พ้นทุกข์ ให้มันตายก่อนตาย มันถึงสบาย มันถึงสงบ ขอให้โยมมีความสุข ความเจริญ ให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมะให้พ้นจากวัฏฏสงสาร



    .............................................................


    คัดลอกมาจาก ::
    Home Main Page

    ที่มา ::
    *************************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  20. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]

    ลูกขอน้อมกราบ กราบ กราบ หลวงตามหาบัว ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ..สาธุๆๆ

    เครดิต: เฟสบุคพี่แนทจร้า..อ่านแล้วมันโดน..มาตรงที่หัวจาย...ก็เลยแอบฉกมาลงที่กระทู้ซะหน่อย..อิๆ
    :cool::cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 พฤษภาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...