หลวงปู่มั่นแนะนำวิธีการถอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือผี เข้าทรง การนับถือเทพเจ้าต่างๆ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 3 มิถุนายน 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    - พระไม่มีมีศีลแค่ ๒๒๗ ข้อ พระมีศีลหลายพันข้อต้องถือครับ และจะให้โยมถือศีล ๒๒๗ ไปเพื่ออะไร การนับถือศาสนาต้องเป็นไปตามลำดับครับ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ บริษัท ๔ ไว้มี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แต่ละบริษัทมีศีลที่ต้องถือต่างกันครับ ให้โยมถือศีล ๒๒๗ ข้อ น่าจะดีจะได้ไม่มีอุบาสกอุบาสิกาคนไหนเอาเงินถวายพระ พระจะได้ไม่ต้องอาบัติ พระศาสนาน่าจะเจริญขึ้น

    - พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในป่า ทรงแนะนำให้ภิกษุสงฆ์อยู่โคนไม้ อยู่เรือนว่าง แต่สมัยปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก ป่าไม้มีน้อย พระส่วนใหญ่อยู่เมืองมากกว่าป่า หลายอย่างก็สร้างขึ้นมาเอง กุฏิสงฆ์มีทีวี ตู้เย็น เครื่องเสียง มือถือ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ แบบนี้ไม่ใช่ทางพุทธะ อยากดูกุฏิสงฆ์แท้ๆ ไปดูได้ที่วัดป่าครับ ตามพระวินัย พระไม่ได้มีหน้าที่สร้างวัด การสร้างวัดเป็นหน้าที่อุบาสก อุบาสิกาผู้เลื่อมใสในพระศาสนาเป็นผู้สร้างถวายครับ

    - ศาลหลักเมืองเป็นของพราหมณ์ไม่ใช่พุทธ เหมือนกับพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจเทวฤทธิ์ พลังจักรวาล ความเชื่อเรื่องเทพเจ้าเป็นเรื่องนอกศาสนาไม่ใช่พุทธะ เชื่อว่ามีสิ่งนั้นสิ่งนี้บันดาลตามหลักพุทธศาสนาไม่มี ตามหลักพุทธท่านให้เชื่อเรื่อง กรรมขาว-กรรมดำ บุญ-บาป กุศล-อกุศล สวรรค์-นรก ทาน-ศีล-สมาธิ-ปัญญา-มรรค-ผล-นิพพาน พุทธศาสนาสอนว่า ทุกสิ่งเกิดจากเหตุ ดับไปก็เพราะเหตุดับ ไม่มีใครบันดาลให้ใครเป็นอะไร

    - พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้โดยพระองค์ เป็นพุทธะ พระโพธิ์สัตว์ต้องบำเพ็ญบารมีอีกหลายกัปป์กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า อย่าเอาพระโพธิ์สัตว์มาเทียบเท่าพระพุทธเจ้า

    -ภัยพิบัติเกิดจากความแปรป่วนของธรรมชาติ ธรรมชาติขาดสมดุลเพราะการกระทำของมือมนุษย์ ทำลายธรรมชาติ แสวงหาประโยชน์จากธรรมชาติ เป็นกรรมของมนุษย์ ไม่ได้เกิดจากพลังอะไรเลย ชาวบ้านเมื่อก่อนตกเบ็ดหาปลาหากินไปวันๆ ทำบาปเล็กน้อยๆ แต่สมัยนี้ต้องใช้เรืออวนลำโตๆ ออกไปกลางทะเลจับปลาครั้งละมากๆ ฆ่าปลาเป็นหมื่นๆ ตัว หรือไม่ก็เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ฆ่ากันครั้งละเป็นพันๆ ตัว เป็นหมื่นๆ ตัว บาปมากมายแค่ไหนสุดที่จะประมาณได้ การกระทำเหล่านี้ต่างหากเป็นกรรมที่กระทำร่วมกัน พอกรรมสนองก็ตายกันเป็นร้อยๆ เป็นพันๆ คน หลายๆ พันคน เหมือนอย่างที่ออกข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ รับกรรมหมู่เหมือน... ไม่มีผิด

    - อนุสสติพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้มี ๖ อย่างคือ พุทธานุสสติ ๑ ธรรมานุสสติ ๑ สังฆานุสสติ ๑ สีลานุสสติ ๑ จาคานุสสติ ๑ เทวตานุสสติ ๑ ไม่มีที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าให้นึกถึงพระใหญ่ชัยภูมิเป็นอนุสสติ การสร้างพระใหญ่ชัยภูมิเป็นบุญเป็นกุศลก็จริง แต่มันเป็นแต่ภายนอกไม่ได้เป็นภายใน เกิดประโยชน์บ้างก็เล็กน้อย ชาวพุทธส่วนใหญ่ติดกันอยู่ตรงนี้ จึงเข้าไม่ถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง
     
  2. d_thep

    d_thep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +170
    ขอแสดงความคิดเห็นครับ
    ตราบใดที่เรามวลมนุยษ์ชาติทั้งหลายยังเวียนวายตายเกิดนั้น ย่อมมีและดับเป็นธรรมดา ทุยุคทุกสมัย กว่าจะมาถึงวันนี้ หลายอรยธรรม หลายมวลมนุษย์ชาติ ล้วนเกิดและดับไป
    "พลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์"
    "อำนาจเทวฤทธิ์"
    "พลังจักรวาล"
    ก็เป็นส่วนหนึ่งในการ มีอยู่ ตั้งอยู่ และดับไป
    ซึ่งก็มีความสำคัญในการใช้ชีวิต จนหลีกเลี่ยงมิได้อย่างที่เห็นกันอยู่ ในความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ได้พาดพิง บอกว่าใครผิด-ถูก ครับ ขอพระรัตน์ไตรเป็นสิ่งสูงสุดครับ
    ธรรมแห่งองค์พระสัมมา มีอยู่จริงและเป็นจริงปฏิบัติได้จริง ไม่ว่าในการใช้ชีวิตประจำวันไปจนถึง ...หลุดพ้น...
    -พระรัตน์ไตร(พุทธ-ธรรม-สงฆ์)
    -พลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    -อำนาจเทวฤทธิ์
    -พลังจักรวาล
    ทั้งหลายเหล่านี้ ถึงเวลาก็ต้องเสื่อมไป ตามธรรม(มีอยู่ ตั้งอยู่ และดับไป)
    ตังนั้นก็อยู่ที่เราทั้งหลายที่จะเลือกปฏิบัติให้เข้ากับจริตตามสมควรแก่พุทธบริษัททั้งหลาย เพราะระดับจิตร ที่พลัดเปลียนสังขารนั้น ย่อมจำแนกตามผลกรรมที่ทำมา สุดท้ายขอให้ท่านทั้งหลาย จงใช้ชิวิตอย่างมีสติ อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน กว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุยษ์สมบรูณ์นั้นแสนยากครับ อะไรที่เป็นเจตนาที่ดีซึงกันและนั้นเป็นผลดีต่อเราทั้งหลาย คำใดสกดหรือเขียนผิด เนื่องจากเป็นคนเรียนรู้มาน้อยทั้งทางโลก-ธรรม ต้องอภัยครับ...
     
  3. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    จะถอน ต้องถอนแบบนี้ครับ ถอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือผี เข้าทรง การนับถือเทพเจ้าต่างๆ (ที่เนื่องด้วยเป็นวัตถุ) ใช่มั้ยครับ จขกท

    ไม่ทุบทิ้งก็เผาไปเลย ไม่ก็เอาไปโยนทิ้ง ไปฝัง โยนลงแม่น้ำ ลงทะเล:cool:
    ปล.ภาพต่อไปนี้อาจจะไม่เหมาะกับพวก โลกสวย (ไปเจอมาจากบางเว็ป)
    แต่ยังไงก็ขอให้ช่วยทำใจให้เป็นกลางก่อนดูภาพด้วยนะครับ

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    ส่วน 2 รูปนี้ก็คงอยู่ใน คำนิยามว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะอาจะมีเทวดา ชาวทิพย์ต่างๆมาสถิตย์อยู่ในวัตถุเหล่านี้ก็เป็นได้

    ปล.ภาพอาจจะทำให้บีบคั้นจิตใจได้
    http://i8.photobucket.com/albums/a14/wshop773/227_resizeSmall.jpg

    http://i8.photobucket.com/albums/a14/wshop773/241_resizeSmall.jpg
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    “นักศึกษาขั้นสูงของทิเบตเองก็เข้าใจความจริงข้อนี้ และรู้กันทั่วไปว่าความศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ทั้งหลายนั้นไม่ได้เกิดจากที่อื่น แต่เกิดมาจากหัวใจของมนุษย์เอง สิ่งที่มนุษย์บูชาโดยถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้โทษได้นั้น ก็ไม่ใช่ว่าความศักดิ์สิทธิ์เกิดจากตัวสิ่งนั้น แต่เกิดจากหัวใจของมนุษย์ที่ไปเคารพบูชาเข้า ความเคารพบูชาของคนเท่านั้น ที่สร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่สิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระหรือเป็นเทพยดา หรือเป็นวัตถุอันหนึ่งอันใด ถ้าเลื่อมใสกันเข้าจริง ๆ บูชากันเข้าจริง ๆ ดวงจิตหลายพันหมื่นดวงไปช่วยกันยกย่องว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ เนื่องจากกระแสดวงจิตของมนุษย์เข้าไปสิงอยู่ในนั้น"

    ทิเบตมีสุภาษิตว่า “การสักการะบูชา อาจจะทำให้ฟันสุนัขส่องแสงโชติช่วงขึ้นมาได้” เป็นสุภาษิตที่มีมาแต่โบราณ เนื่องมาจากเรื่องราวที่เล่ากันมาแต่โบราณเหมือนกัน คือมีเรื่องเล่าว่า สตรีผู้หนึ่งมีพระทันตธาตุของพระสารีบุตรอัครมหาสาวกของพระพุทธเจ้าไว้เป็นที่เคารพบูชา เป็นของศักดิ์สิทธิ์มาก สามารถบันดาลสิ่งซึ่งเป็นสิริมงคล ป้องกันภัยอันตราย รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และในบางครั้งก็เปล่งรัศมีโชติช่วง ซึ่งสตรีผู้นั้นสามารถจะให้เพื่อนบ้านไปนั่งดูให้เห็นประจักษ์ได้ สิ่งซึ่งถือว่าเป็นพระทันตธาตุของพระสารีบุตรนั้น จึงได้รับความเคารพสักการะของประชาชนทั้งหมู่บ้าน แล้วก็ให้ผลดีได้จริง บางครั้งบางคราวก็มีรัศมีโชติช่วงออกมาได้จริงด้วย

    “สตรีผู้เป็นเจ้าของเล่าว่า เขามีลูกชายคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางไปมาค้าขายกับอินเดียปีละครั้ง สตรีผู้นี้สั่งลูกชายว่า ให้แสวงหาพระธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์ มาไว้ให้มารดาบูชาสักองค์หนึ่ง ปีแรกไปหาไม่ได้ ปีที่สองก็หาไม่ได้ ไปหาได้เอาปีที่สามและได้พระทันตธาตุของพระสารีบุตรมา และให้ความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคนทั้งหมู่บ้านต้องยอมรับว่า เป็นพระธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์จริง

    “แต่เพื่อนเดินทางที่ไปกับลูกชายของสตรีผู้นี้ เล่าว่า ลูกชายของสตรีผู้นี้ได้พยายามแสวงหาพระธาตุเพื่อให้สมประสงค์ของมารดา หาเท่าไรก็ไม่ได้ ครั้งที่หนึ่งก็หาไม่ได้ ครั้งที่สองก็หาไม่ได้ และมารดาก็มีความโทมนัสโกรธแค้นมากขึ้นทุกที ลูกชายของสตรีผู้นี้จึงตกลงใจว่า จะพบอะไรเข้าก็ตามที จะต้องเอามาหลอกแม่ว่าเป็นพระธาตุ เพื่อให้แม่หมดความโทมนัสและดุด่าว่ากล่าว เขาไปเจอะร่างกระดูกของสุนัขนอนตายอยู่แห่งหนึ่ง ก็แกะเอาฟันอันหนึ่งมา บอกแม่ว่าเป็นพระทันตธาตุของพระสารีบุตร แม่ก็เลื่อมใสบูชา คนอื่นๆ ก็เลื่อมใส มีคนแตกตื่นมาเคารพบูชากันมากมาย เลยกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา"

    “เรื่องที่เล่ากันอย่างนี้ จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตามที ย่อมจะมีผลเท่ากัน คือถ้าเป็นเรื่องจริงก็เป็นพิสูจน์อันแน่ชัดว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุธาตุหรือรูปปั้นสัญลักษณ์อันใดอันหนึ่งนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในตัวของมันเอง แต่เกิดจากจิตใจมนุษย์ที่เคารพบูชา ก็แสดงให้เห็นว่าชาวทิเบตได้เข้าใจอยู่แล้วว่า ความศักดิ์สิทธิ์นั้นเกิดขึ้นจากหัวใจของมนุษย์เรานี่เอง เป็นเรื่องมหัศจรรย์ทางจิตแท้”

    จากหนังสือ “มหัศจรรย์ทางจิต”ของ พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    โยม อันนี้สุดท้ายครับ กราบนมัสการถามหลวงตา กระผมขอเรียนถามเรื่อง สีลัพพตปรามาส คือว่าเราต้องไหว้ศาลพระภูมิหรือไม่ เราจะทำอย่างไร

    หลวงตา ถ้าไม่มีอะไรไหว้ก็ไปไหว้กองขี้หมาก็ได้นะ มันสารพัดถามมา เราก็ต้องตอบแบบนั้นละซิ ไม่งั้นไม่ทันกัน ไม่มีศาลพระภูมิจะไหว้อะไร มีขี้หมูขี้หมาที่ไหนให้ไหว้ไปก่อน พอเจอศาลพระภูมิเมื่อไรค่อยไหว้ บอกอย่างนั้น เอาละ ทีนี้มันติดแล้วมันบ้าเท่ากันก็พอดีละได้มีทุกอย่าง แล้วคำพูดก็จะออกรับกันทุกแบบเข้าใจไหม


    โยม เราจะไหว้ศาลพระภูมิหรือไม่นี่ครับ

    หลวงตา ศาลพระภูมิอะไรจะเลิศกว่าพระพุทธเจ้า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ติดอยู่นี้ นี่ละศาลพระภูมิ ขอให้ดีศาลพระภูมิเหล่านี้นอกนั้นล้มเหลวไปหมด ศาลพระภูมิมันเหลวไหลอย่างที่ว่า อย่างที่เขาออกในการ์ตูนเราเคยมาพูดให้ฟัง เออ ศาลพระภูมินั่นเข้าใจเหรอ มันได้ฟังกันแล้วมัง นิทานศาลพระภูมิพวกนี้ได้ฟังกันแล้วยัง เขามีศาลพระภูมิ สายระโยงระยางลงมาจากศาลพระภูมิใหญ่ ปู่ใหญ่อยู่ข้างบน หลานก็มาจุดธูปเทียนอยู่ที่ถังธูปนี้ ปู่ใหญ่ก็ถามว่า เออ เป็นอะไรหลานถึงมาจุดธูปจุดเทียน

    หลาน โอ๊ย.หลานเป็นทุกข์มาก หลานนั้นก็หลานเป็นเป็นที่โปรดปรานเหลือเกินเป็นทุกข์มาก
    ปู่ เป็นทุกข์มากอะไร
    หลาน ก็เป็นทุกข์เพราะปฏิบัติตามปู่นั่นแหละ
    ปู่ ปู่สอนยังไงถึงได้ทุกข์มาก
    หลาน ปู่สอนให้มีความปรารถนาน้อย
    ปู่ แล้วหลานไปทำยังไง
    หลาน ไปมีเมียน้อย

    ฟังซิน่ะ เสือกไปมีเมียน้อย ทางปู่หมดท่าก็ เฮ่อ เอาละพอ ทีนี้ปู่จะไปละนะ เสือกไปมีเมียน้อย ให้มีความปรารถนาน้อยมันไปมีเมียน้อย

    Luangta.Com -
    (คัดลอกมาบางส่วน)
     
  6. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    หลวงปู่ดุลย์ ในงานประจำปีวัดธรรมมงคล มีแม่ชีพราหมณ์หลายคนจากวิทยาลัยครูพากันเข้าไปทำนองรายงานผลการปฏิบัติวิปัสสนาให้หลวงปู่ฟังว่า เขาวิปัสสนาจนจิตสงบแล้ว เห็นองค์พระพุทธรูปในหัวใจของเขา บางคนว่า ได้เห็นสวรรค์ วิมาณของตัวเองบ้าง บางคนว่าเห็นพระจุฬามณีเจดีย์สถานบ้าง พร้อมทั้งภูมิใจว่า เขาวาสนาดี ทำวิปัสสนาได้สำเร็จ

    หลวงปู่ดุลย์ อธิบายว่า.....

    "สิ่งที่ปรากฎเห็นทั้งหมดนั้น ยังเป็นของภายนอกทั้งสิ้น จะนำเอามาเป็นสาระที่พึ่งอะไรยังไม่ได้หรอก."

    เมื่อไรเราจะนำพุทธศาสนิกชนเข้าสู่การหลุดพ้นเสียที ยุ่งวุ่นวายอยู่กับวัตถุภายนอกจนเจ้าอาวาส ลาสิกขาไปหมดแล้ว เพราะวัตถุมันทับถมจนต้องไปเอาออกไม่หวาดไหว....
     
  7. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ขออนุญาติขยายนะคะ เทวดานุสสติกรรมฐาน แปลว่า การระลึกถึงคุณที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา หรือ ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละๆ มหาบพิตร การที่มหาบพิตรเสด็จเข้ามาหาตถาคตแล้ว
    ตรัสถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันผู้อยู่ด้วยธรรมเครื่องอยู่ต่างๆ พึงอยู่ด้วยธรรม
    เครื่องอยู่อะไร ดังนี้ เป็นการสมควรแก่มหาบพิตรผู้เป็นกุลบุตร
    ดูกรมหาบพิตร
    กุลบุตรผู้มีศรัทธาย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ ผู้ไม่มีศรัทธาย่อมไม่เป็นผู้บริบูรณ์
    ผู้ปรารภความเพียรย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ ผู้เกียจคร้านย่อมไม่เป็นผู้บริบูรณ์
    ผู้มีสติตั้งมั่นย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ ผู้มีสติหลงลืมย่อมไม่เป็นผู้บริบูรณ์
    ผู้มีจิตตั้งมั่นย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ ผู้ไม่มีจิตตั้งมั่นย่อมไม่เป็นผู้บริบูรณ์
    ผู้มีปัญญาย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ ผู้มีปัญญาทรามย่อมไม่เป็นผู้บริบูรณ์
    ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรทรงตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการนี้แล้ว พึงเจริญธรรม ๖ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
    ดูกรมหาบพิตรในธรรม ๖ ประการนี้พึงทรงระลึกถึงพระตถาคตว่า
    แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
    ดูกรมหาบพิตรสมัยใด อริยสาวกระลึกถึงพระตถาคต สมัยนั้น
    จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม
    สมัยนั้นจิตของอริยสาวกนั้นย่อมดำเนินไปตรง
    ดูกรมหาบพิตร อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภพระตถาคต
    ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม
    ปีติย่อมเกิดแก่อริยสาวกผู้มีความปราโมทย์ กายของอริยสาวกผู้มีใจประกอบด้วยปีติย่อมสงบ
    อริยสาวกผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมเสวยสุขจิตของอริยสาวกผู้มีสุขย่อมตั้งมั่น
    ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรพึงเสด็จดำเนินเจริญก็ได้ พึงประทับยืนเจริญก็ได้ พึงประทับนั่งเจริญก็ได้
    พึงบรรทมเจริญก็ได้ พึงทรงประกอบการงานเจริญก็ได้ พึงประทับบนที่นอนอันเบียดเสียดด้วย
    พระโอรสและพระธิดาเจริญก็ได้ ซึ่งพุทธานุสสตินี้แล ฯ
    ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง มหาบพิตรพึงทรงระลึกถึงพระธรรม...
    ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง มหาบพิตรพึงทรงระลึกถึงพระสงฆ์...
    ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง มหาบพิตรพึงทรงระลึกถึงศีลของตน...
    ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง มหาบพิตรพึงทรงระลึกถึงจาคะของตน...
    ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง มหาบพิตรพึงทรงระลึกถึงเทวดาทั้งหลายว่า
    เทวดาชั้นจาตุมหาราชมีอยู่
    เทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ ...
    เทวดาผู้สูงขึ้นไปกว่านั้นมีอยู่
    เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ
    แม้เราก็มีศรัทธาเช่นนั้น เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศีล ...สุตะ ... จาคะ ...
    ปัญญาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ แม้เราก็มีปัญญาเช่นนั้น
    ดูกรมหาบพิตร สมัยใด อริยสาวกระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา ของตนและของเทวดาเหล่านั้น
    สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุมสมัยนั้น
    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมดำเนินไปตรง
    ดูกรมหาบพิตร อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภเทวดาทั้งหลาย
    ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม
    ปีติย่อมเกิดแก่อริยสาวกผู้มีความปราโมทย์ กายของอริยสาวกผู้มีใจประกอบด้วยปีติย่อมสงบ
    อริยสาวกผู้มีกายสงบย่อมเสวยสุข จิตของอริยสาวกผู้มีสุขย่อมตั้งมั่น
    ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรพึงเสด็จดำเนินเจริญก็ได้ พึงประทับยืนเจริญก็ได้
    พึงประทับนั่งเจริญก็ได้ พึงบรรทมเจริญก็ได้ พึงทรงประกอบการงานเจริญก็ได้
    พึงประทับบนที่นอนอันเบียดเสียดด้วยพระโอรสและพระธิดา
    เจริญก็ได้ ซึ่งเทวตานุสสตินี้แล ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๔ หน้าที่ ๓๐๘/๓๓๓ มหานามสูตรที่ ๒ [๒๑๙]
     
  9. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ดิฉันไม่ได้ง่อนแง่น ไม่ตั้งมั่น หรือถอดถอนจากพระรัตนตรัยเลยค่ะ ไม่มีสรณะอื่นใดที่เหนือกว่านี้ ไม่ยึดถือสิ่งใดนอกจากนี้ ..

    จากที่หลายๆความคิดเห็นในเวปฯนี้ ไม่อยากให้เข้าใจการคลาดเคลื่อนค่ะ
    พวกเราระลึกถึงเทวดา เพราะคุณความดีของท่านค่ะ
    โมทนาสาธุบุญค่ะ เจ้าของกระทู้
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ถ้าระลึกถึงพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ระลึกถึงพระธรรม
    ถ้าระลึกถึงพระธรรมไม่ได้ให้ระลึกถึงพระสงฆ์
    ถ้าระลึกถึงพระสงฆ์ไม่ได้ให้ระลึกถึงศีล
    ถ้าระลึกถึงศีลไม่ได้ให้ระลึกถึงธรรมที่ได้ฟังมา
    ถ้าระลึกถึงธรรมที่ได้ฟังมาไม่ได้ให้ระลึกถึงทาน
    ถ้าระลึกถึงทานไม่ได้ให้ระลึกถึงเทวดา

    โมทนาบุญครับ
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ธรรมะที่แท้จริงเป็นสัจจธรรม เราไม่ต้องพูดถึงศักดิ์สิทธิ์หรอก เพราะมันยิ่งกว่าศักดิ์สิทธิ์
    คำว่าศักดิ์สิทธิ์นี้มีค่านิดเดียวไปทันที หรือน้อยไปทันทีในเมื่อเอาเข้าไปเทียบกับคำว่า
    ธรรมะ เพราะว่าธรรมะนี้มันยิ่งกว่าศักดิ์สิทธิ์

    เพราะฉะนั้นเลิกวัตถุศักดิ์สิทธิ์ พิธีศักดิ์สิทธิ์ บุคคลศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อะไรอย่างนั้นกันเสียบ้างก็ดี
    เพราะว่าถ้าไปมัวศักดิ์สิทธิ์อยู่แต่ที่นั่นแล้ว จะไม่พบสิ่งศักดิ์สิทธิ์แท้จริง คือธรรมะ.


    เราจะไปมัวหวังพึ่งหรือนอนใจไว้ใจ อยู่แต่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างนอกๆ เปลือกๆ นี้มันจึงเลยเข้าไม่ถึงเนื้อใน
    ก็กินเปลือกมังคุดไปเรื่อย ไม่ได้กินเนื้อมังคุด คือไม่ได้รับผลที่น่าชื่นใจ ทั้งที่มันมีอยุ่ในโลก
    และทั้งที่ธรรมชาติก็สร้างมาสำหรับเรา และสร้างเรามาสำหรับให้มีความสามารถเพียงพอที่จะเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น

    พุทธทาสธรรม
     
  12. ติโลกเหลน

    ติโลกเหลน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +86
    ขอหยิบยกประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง เกิดขึ้นมาแล้วหลายยุค เกี่ยวกับความเชื่อนี้นะครับ
    1.สมัยพุกาม พระเจ้าอโนรธา ปฐมกษัตริย์ทรงเลื่อมใสพระพุทธศาสนา ได้ยกเลิกนับถือเทวดาอารักษ์ ชักชวนประชาชนนับถือพระพุทธศาสนา ปรากฏว่าได้ผลดีมีคนบวชกันมาก ศาสนาเจริญรุ่งเรืองสุดๆ แต่บั้นปลายชีวิตพระองค์ถูกควายเผือกป่าขวิดสิ้นพระชนม์
    2.สมัยล้านช้าง พระเจ้าโพธิสาร พระราชบิดาของพระเจ้าไชยเชษฐา พระองค์ก็ได้ทรงประกาศห้ามให้มีการบูชาผีต่างๆ และทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยความเลื่อมใสอย่างยิ่ง บั้นปลายชีวิตพระองค์ตกช้างและถูกช้างล้มทับสิ้นพระชนม์
    3.สมัยรัตนโกสินทร์ มีการรื้อศาลหอปู่ตา ในหลายพื้นที่ของภาคอีสานออก ภายหลังป่าถูกตัดทำลายพื้นที่อีสานเกิดความแห้งแล้ง แต่ภาคเหนือแม้มีการเผยแพร่กิจกรรมและชักชวนทำแบบเดียวกันนี้ แต่กลับไม่เป็นที่สนใจของคนท้องถิ่น ไม่มีการถอนรื้อศาลอารักษ์หรือเลิกนับถือผีเลย ซึ่งปัจจุบันการนับถือผีบรรพบุรุษกลับมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นไปอีก และในภาคเหนือแม้จะมีการสัมปทานไม้ มีการตัดไม้ส่งภาคกลางมานับร้อยปี แต่ฝนฟ้าก็กลับตกต้องฤดู ไม่เกิดความแห้งแล้งแต่อย่างใด เคยมีการทรงเจ้าและถามไปว่าเหตุใดอีสานจึงแห้งแล้ง ได้คำตอบว่า “ลูกหลานท่านไม่สนใจบรรพบุรุษอีกแล้ว เขาทำลายที่อยู่ที่กิน ทำมาหากินลำบากมาก(ไม่มีคนทำบุญเซ่นสรวง) อดอยากจนต้องอพยพกันมาตั้งถิ่นฐานในแดนเหนือกันแทน”
    ปัจจุบันในภาคเหนือ แนวครูบากลับเป็นที่นิยมนับถือมากกว่าแนวพระอาจารย์ สมดังคำครูบาว่า “ต้นไม้ใหญ่แต้ แต่รากมันบ่ลึก”
     
  13. ติโลกเหลน

    ติโลกเหลน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +86
    ตรงกันข้ามการนับถือเทวาอารักษ์ควบคู่ไปกับการเผยแผ่พระศาสนา กลับทำให้อาณาจักรรุ่งเรือง อีกทั้งผู้ทำนุบำรุงก็มีความเจริญปรากฏชื่อเสียง เช่น สมัยยุคสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหง เผยแผ่พระพุทธศาสนา ได้รับเอาลัทธิลังกาวงศ์มาในอาณาจักรแต่ก็ให้ยังความเคารพนับถือพระขพุงผี ที่ประดิษฐานยังเขาหลวง เมืองสุโขทัย จนถึงกับมีการจารึกในหลักศิลาว่า “ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดี….
    สมัยอยุธยา พระเจ้ารามาธิบดีที่1 อู่ทอง ทรงได้รับสถาปนาเป็นพระยาแกรก คือ เทวรูปแทนองค์เทวรักษ์ของพระนครศรีอยุธยาราชธานี ประดิษฐานในศาลพระเทพบิดร มีการบวงสรวงเทวรูป ก่อนทำพระราชพิธีต่างๆ ยังผลให้ราชธานีมีเดชานุภาพมั่งคั่งยาวนานกว่าสี่ร้อยปี จนส่งต่อมายุครัตนโกสินทร์ ที่ฝรั่งเรียกว่า “อยุธยาใหม่”
    แม้ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่1 ก็ยังคงสืบทอดประเพณีดังกล่าว แต่ทรงให้มีการบูชาพระรัตนตรัยก่อนพิธีบวงสรวงเทวรูป ด้วยว่าให้พระรัตนตรัยเป็นประธาน การบูชาพระรัตนตรัยก่อนจึงควร กระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่4 แม้ความเจริญจากตะวันตก จะเข้ามามีบทบาทมากในสมัยนี้ แต่พระองค์ก็ได้สถาปนาเทวรูปพระสยามเทวาธิราชขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมใจว่า เมืองสยามมีเทวดาที่ทรงฤทธิ์คอยรักษา ทำให้รอดพ้นอำนาจภัยจากข้าศึกศัตรูที่จะมาปล้นเอกราชมาโดยตลอดแต่โบราณกาล จึงสำนึกในเทวคุณของเทพยดาพระองค์นั้น เป็นเหตุให้ประเทศรอดพ้นการเป็นเมืองขึ้นทั้งราชวงศ์ก็ยืนยงมาจนถึงปัจจุบัน จึงหล่อเทวรูปพระสยามเทวาธิชาด้วยทองคำแท้ทั้งองค์ ประดิษฐานในพระที่นั่งสำคัญและอัญเชิญมาบวงสรวงทุกปี จนเป็นพระราชประเพณีมาจนถึงปัจจุบัน
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระองค์สวรรคตด้วยอุบัติเหตุระหว่างออกล่าสัตว์ เนื่องจากถูกกระบือเผือกขวิด

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล เป็นเหตุให้อายุสั้น ๕ ประการเป็นไฉน คือ
    บุคคลย่อมไม่กระทำความสบายแก่ตนเอง ๑
    ไม่รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย ๑
    บริโภคสิ่งที่ย่อยยาก ๑
    เป็นคนทุศีล ๑
    มีมิตรเลวทราม ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล เป็นเหตุให้อายุสั้น ฯ"


    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๒
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธองค์ตรัสว่า “ให้เอาเราเป็นที่พึ่งอาศัย”
    คือว่า ผู้ที่เป็นพุทธบริษัทนั้นควรจะได้รู้ข้อเท็จจริงในที่พึ่ง พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงว่า
    “พาหุ เว สรณํยนฺติ ปพฺพตานิ วนานิ จ อารามรุกฺขเจตยานิ มนุสฺสา ภยตชฺชิตา
    เนตํ โข สรณํ เขมํ เนตํ สรณมุตฺตมํ เนตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ
    โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ สรณํ คโต จตฺตาริ อริยสจฺจานิ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ
    ทุกขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ อริยญฺจฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ทุกฺขูปสมคามินํ
    เอตํ โข สรณํ เขมํ เอตํ สรณมุตฺตมํ เอตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺข ปมุจฺจติ”


    แปลว่า
    “มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมากถูกภัยคุกคามแล้ว พากันไปถือภูเขา ป่า อารามและต้นไม้ที่เป็นเจดีย์ ว่าเป็นที่พึ่ง
    นั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม นั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันอุดม พวกเขาพากันพึ่งสิ่งเหล่านี้แล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงไปได้
    ส่วนผู้ใดมาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง มาเห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบ ก้าวล่วงทุกข์ด้วยมรรค ๘
    นี่แหละเป็นที่พึ่งอันเกษม นี่แหละเป็นที่พึ่งอันอุดม พวกเขาอาศัยที่พึ่งนี้ ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พุทธศาสนาสูญไปจากประเทศอินเดีย รูไหม? วาเพราะอะไร?


    พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง มูลเหตุที่ทำให้ พระศาสนาเสื่อม เพราะพระสัทธรรม เลอะเลือน ดังนี้:-
    1) พวกภิกษุเล่าเรียน สูตรอันถือกันมาผิด ด้วยบทพยัญชนะ และความหมาย อันคลาดเคลื่อน.
    2) พวกภิกษุ เป็นคนว่ายาก ไม่อดทน ไม่ยอมรับคำตักเตือน โดยความเคารพหนักแน่น.
    3) พวกภิกษุที่เป็นพหูสูต คล่องแคล่ว ในหลักพระพุทธวัจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท) แต่ภิกษุเหล่านั้น ไม่ได้เอาใจใส่ บอกสอนใจความ แห่งสูตรทั้งหลาย แก่คนอื่นๆ เมื่อท่านเหล่านั้น ล่วงลับดับไป สูตรทั้งหลาย ก็เลยขาด ผู้เป็นมูลราก (อาจารย์) ไม่มีที่อาศัยสืบไป.
    4) พวกภิกษุชั้นเถระ ทำการสะสมบริกขาร ประพฤติย่อหย่อน ในไตรสิกขา เป็นผู้นำ ในทางทราม ไม่เหลียวแล ในกิจแห่งวิเวก ไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้ง ในสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง ผู้บวชภายหลัง ได้เห็นพวกเถระ เหล่านั้น ทำแบบแผน เช่นนั้นไว้ ก็ถือเอา เป็นแบบอย่าง. และยังทรงย้ำเสมอๆว่า พระพุทธศาสนา จะเสื่อมสูญจนหายไปนั้น มีเหตุที่สำคัญที่สุด เกิดจากพุทธบริษัท 4 ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา. จึงเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัททุกคน ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ในการสืบทอด พระพุทธศาสนานี้ เพื่อให้ลูกหลาน ได้ยึดเป็นสรณะที่พึ่ง ที่ระลึกต่อไป.

    ความเสื่อมของพระพุทธศาสนา
    พระราชวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวัณโณ) ได้เรียบเรียงเรื่องว่า “ทำไมพระพุทธศาสนา จึงเสื่อมไปจากอินเดีย” ดังนี้ พระพุทธศาสนาเกิดขึ้น และเจริญรุ่งเรือง ในประเทศอินเดีย เป็นเวลานานถึง 1500 ปี จากนั้น ก็เสื่อมลงเรื่อยๆ จนมาถึง พุทธศตวรรษที่ 17 พระพุทธศาสนาส่วนใหญ่ ก็สูญหายไปจาก ประเทศอินเดีย เหลืออยู่แต่เฉพาะใน ลาดัก หิมจัล อัสสัม เบงกอล และโอริสสา เท่านั้น. ปัจจุบัน เหลือไว้แต่ปูชนียสถาน และวัตถุโบราณ ที่เป็นภาพสะท้อน ความเจริญรุ่งเรือง ในอดีตสมัยเท่านั้น.

    พระพุทธศาสนา ในพุทธศตวรรษที่ 3
    นับตั้งแต่ พุทธศตวรรษที่ 3 ในสมัยพระเจ้า อโศกมหาราช เป็นต้นไป พระพุทธศาสนา ได้เริ่มเผยแพร่ จากประเทศอินเดีย ไปสู่ประเทศต่างๆ เกือบทั่วทวีปเอเซีย.

    ความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ
    แต่แล้วต่อมา ก็เกิดภัยคุกคามขึ้น ทั้งภายในและภายนอก จนทำให้ พระพุทธศาสนา ต้องเสื่อมไปจาก ประเทศต่างๆ เช่น เปอร์เซีย อาฟกานิสถาน เตอรกีสถาน ของรัสเซีย อินเดีย ปากีสถาน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จนเกือบจะหมด. ครั้งหนึ่ง ที่พระพุทธศาสนา ในประเทศศรีลังกา และญี่ปุ่น ก็เกือบจะสูญสิ้นไป ดีแต่ว่า พุทธศาสนิกที่สำคัญ หลายท่าน ได้ช่วยกันกอบกู้ ต่อสู้กับ การรุกราน ของศาสนาอื่นๆ เอาไว้ได้.

    พระพุทธศาสนากำลังจะเสื่อมไปจากอีกหลายประเทศ
    ในขณะนี้ พระพุทธศาสนา ก็กำลังจะเสื่อมไปจาก มองโกเลีย ธิเบต จีนแผ่นดินใหญ่ เวียดนามเหนือ และเกาหลีเหนือ ส่วนในเวียดนามใต้ เขมร และลาว ก็กำลังถูกกระทบ กระเทือนอย่างหนัก.

    พระพุทธศาสนาในอีกหลายประเทศกำลังถูกภัยต่างๆ คุกคาม
    ในปัจจุบัน แม้แต่พระพุทธศาสนา ในประเทศไทย พม่า เกาหลีใต้ ลังกา ไต้หวัน ญี่ปุ่น เนปาล ภูฐาน สิกขิม ก็กำลังถูกภัยต่างๆ คุกคามอยู่เช่นกัน.

    เหตุความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในอินเดีย
    ความเสื่อม ของพระพุทธศาสนา ในอินเดีย เกิดจากภัยใหญ่ๆ 2 ประเภท คือ
    1) ภัยภายใน
    2) ภัยภายนอก

    ภัยภายใน
    ภัยภายใน เกิดขึ้นจาก พุทธบริษัททั้งสี่ โดยตรง มี 3 ประการ คือ:-
    1) การเสื่อม ทางด้านศีลธรรม และการเสื่อมจากการได้ บรรลุมรรคผล และคุณวิเศษต่างๆ ของชาวพุทธ การประพฤติย่อหย่อน ในเรื่องสิกขาบทวินัย ที่พระพุทธองค์ ทรงบัญญัติไว้ ซึ่งไม่เคยมีมา ในประวัติศาสตร์ พุทธศาสนายุคต้นๆเลย แต่ในราว พุทธศตวรรษที่ 10 เป็นต้นไป จึงได้เริ่มปรากฏขึ้น ดังจดหมายเหตุ ของพระถังซัมจั๋ง (หลวงจีนเฮียงจัง) ว่า

    “พระในนิกายสัมมติยะ แห่งแคว้นสินธุ (ปัจจุบัน อยู่ในปากีสถาน) ใช้ชีวิตอย่างชาวโลก และไม่ถูกต้อง ตามพระวินัยบัญญัติ. พระเหล่านั้นเกียจคร้าน เป็นคนที่ไร้ค่า และเที่ยวเตร่ ถึงแม้ว่าพระเหล่านั้น จะห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ก็ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เลี้ยงปศุสัตว์ และมีลูก มีเมีย”

    (แม้ในปัจจุบัน สถาบันพระมีเมีย ก็ยังมีปรากฏว่า นิยมกันในประเทศ เนปาล เกาหลี ธิเบต และญี่ปุ่น).
    นอกจากนี้ ท่านยังได้กล่าวว่า “พระพุทธศาสนา จะบริสุทธิ์ หรือเศร้าหมอง ก็ขึ้นอยู่กับญาณทัศนะ และความสามารถ ทางด้านจิตใจ ของชาวพุทธเอง”

    จดหมายเหตุ ของหลวงจีนอี้จิง ได้รำพันว่า “วัดส่วนมาก ในอินเดีย ทำไร่ เลี้ยงวัว และมีคนรับใช้ในวัด. บางวัดก็ตระหนี่ ถี่เหนียว ไม่ยอมแบ่งผลผลิต ให้ใครๆ. วัดบางวัด จะมีทรัพย์สมบัติ มากมาย มียุ้งฉาง เต็มไปด้วย ข้าวเปลือกที่เสีย (มีมาก กินไม่ทัน แต่ไม่ยอมแจกจ่าย ปล่อยทิ้งไว้จนเสีย) มีคนใช้หญิงชาย มีเงินทอง และทรัพย์สมบัต ที่เก็บเอาไว้เฉยๆ โดยไม่ใช้ประโยชน์อะไรเลย” มีพวกขอทาน ที่ปลอมตัวเป็นพระ โดยเพียงแต่ ยอมลงทุนโกนหัว และครอง จีวรเท่านั้น ก็สามารถเข้าไป รับอาหารได้อย่างฟรีๆ.

    2) การแตกแยกนิกาย และการขัดแย้งกัน ทางนิกาย
    การเข้าใจผิด ในหลักธรรม ขั้นสำคัญๆ ได้ก่อให้เกิด ความขัดแย้ง ทะเลาะโต้เถียงกัน อย่างรุนแรงมาก ในระหว่างนิกายต่างๆ ของพระพุทธศาสนา จนทำให้ชาวพุทธ ต่างแยกกันอยู่ และต่างก็มุ่งร้ายต่อกัน จนทำลายซึ่งกันและกัน. ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 2 พระพุทธศาสนา ก็แตกแยกออกเป็น 18 นิกาย และแต่ละนิกาย ต่างก็อ้างว่า ตนเหนือกว่า ประเสริฐกว่า นิกายอื่นๆ. นิกายมหายาน เกิดขึ้นใน พุทธศตวรรษที่ 6 โดยถือว่า ตนเองมีจิตใจกว้างขวาง มุ่งพระโพธิญาณ ขนสัตว์ข้ามโอฆสงสาร ได้มาก.

    นิกายฝ่ายสาวกยาน หรือนิกายหินยาน เพราะยานนี้ ส่วนใหญ่ มุ่งอรหัตตผล มุ่งช่วยตนเอง ให้พ้นจากทุกข์ก่อน แล้วจึงจะช่วยคนอื่นทีหลัง จึงเป็นยานที่แคบ และขนสัตว์ได้น้อย ปัจจุบันฝ่ายหินยาน เหลือเพียงนิกายเดียว คือ เถรวาท. การแตกออก เป็นนิกายต่างๆ ทำให้พระพุทธศาสนา ได้เสื่อมลงมาก เพราะการขัดแย้งกัน ทางปรัชญา ความเห็น อันแตกต่างกัน ทางหลักคำสอน ของชาวพุทธ ทำให้เกิดการโจมตี ซึ่งกันและกัน เช่น ท่านปรัชญาคุปตะ อันเป็นคณาจารย์ ที่สำคัญที่สุดรูปหนึ่ง ของนิกายสาวกยาน ได้แต่งคำประพันธ์ 700 โศลก โจมตีคัดค้านมหายาน. ส่วนท่านถังซัมจั๋ง (ท่านเฮียงจัง) เองก็ได้ประพันธ์ 1600 โศลก เพื่อแก้ความเข้าใจผิด.

    ส่วนท่านสันติเทวะ ก็ได้ประพันธ์คาถา เป็นจำนวนมาก ไว้ในหนังสือ พุทธิจริยาวตาร เพื่อคัดค้านระบบอภิธรรม และ นิกายวิชญาณวาท.
    ส่วนท่านจันทรกิรติ ก็โจมตีนิกายอื่นๆ ที่ไม่ใช่นิกายมัธยมิก อย่างเผ็ดร้อน.
    ส่วนท่านสันติรักษิต ก็ได้ประพันธ์ในหนังสือ ตัตตวสังครหะ เพื่อทำลายล้าง มติคำสอนของ นิกายวาตสิปุตริยะ.
    ส่วนท่านสันติรักษิต และ ท่านกามศีละประกาศว่า “พวกนิกาย ปุทคลวาทิน ไม่มีสิทธิที่จะอ้างว่า เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า”

    การขัดแย้ง และทำลายกันเอง ในระหว่างต่างนิกาย ในศาสนาพุทธเดียวกันนี้ ทำให้ศาสนาเสื่อมลง ยิ่งเสียกว่า การขัดแย้ง ของระหว่างศาสนาอื่นๆ.

    3) ลัทธิมหายาน และ ลัทธิตันตระ
    ความเสื่อมของ พระพุทธศาสนา ในอินเดีย เกิดจากข้อเสีย ของนิกายมหายาน มากกว่า นิกายหินยาน เพราะการที่นิกายมหายาน เจริญแพร่หลายขึ้น ในอินเดีย ก่อให้เกิดการเพิ่ม ปริมาณศาสนิก ให้มากขึ้น ในขณะเดียวกัน คุณภาพของศาสนิก ก็เสื่อมลงตามลำดับด้วย. พอถึงพุทธศตวรรษที่ 13 มหายานในอินเดีย เหลือแต่เพียงการบูชา พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย การสวดอ้อนวอน และการประกอบ พิธีกรรมอันโอ่อ่า โดยมหายาน ได้แต่งเรื่องความเชื่อเก่าๆ แต่โบราณขึ้น เป็นจำนวนมาก. ชาวพุทธมหายาน ในสมัยนั้น จึงขยับเข้าใกล้ชิด ลัทธิฮินดู เข้าไปมากขึ้นทุกทีๆ. จนในที่สุด ได้ทำลายความแตกต่าง ระหว่างพุทธศาสนา มหายาน และลัทธิฮินดูลง.

    ฆราวาสในอินเดียยุคนั้น มองไม่เห็นความแตกต่าง ในการบูชาพระพุทธเจ้า กับ พระวิษณุ และ พระอวโลกิเตศวร กับ พระศิวะ และนางตารา กับนางปารวตี (ชายาพระศิวะ). แล้วลัทธิโพธิสัตว์ยาน ก็ดูเหมือนว่า จะกำเนิดสถาบันพระมีเมียด้วย. ลัทธิตันตระได้แตกออกมาจาก นิกายมหายาน เจริญอยู่ในอินเดีย ในระหว่าง พุทธศตวรรษที่ 11-15 แล้วแพร่หลาย เข้าไปอยู่ในธิเบต. พระในลัทธิตันตระมีเมียได้ เพราะมุ่งบำเพ็ญตน เป็นพระโพธิสัตว์ ในฐานะคฤหัสถ์มุนี. นิกายตันตระนี้มีหลายชื่อ เช่น พุทธตันตรยาน มันตรยาน คุยหยาน สหัชชยาน วัชรยาน พระนี้ ก็ไม่ได้เรียกว่าภิกษุ แต่เรียกว่า “นักสิทธะ” และถือว่า การปฏิบัติตน ตามอำนาจของราคะ กุลบุตรผู้บำเพ็ญตน เป็นพระโพธิสัตว์ ย่อมกระทำได้.

    การปรากฏ ของลัทธิตันตระนั้น ได้ทิ้งหลักธรรมแท้ๆ ของพระพุทธศาสนา ดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ ไปเกือบหมด มีแต่การยกย่อง เวทมนตร์ อาคมขลัง พิธีมหาลาภ พิธีลงเลขเสกเป่าต่างๆ. เรื่องไสยศาสตร์ และเรื่องกามศาสตร์ ของลัทธิตันตระกับฮินดูนั้น มีลักษณะที่เหมือนกัน.

    หลักจริยธรรม ขั้นมูลฐาน และหลักธรรม ที่นำไปสู่การพ้นทุกข์ ในพระพุทธศาสนา ได้ถูกลัทธิวัชรยาน เปลี่ยนแปลงไปเสียใหม่ โดยสิ้นเชิง จนเป็นสัทธรรมปฏิรูป (พระธรรมปลอม) เช่น
    ตัณหา ซึ่งถือกันว่า เป็นตัวอกุศลมูล ที่ต้องควบคุม ไม่ให้มันเกิดขึ้นนั้น. พวกวัชรยาน ถือว่าตัณหา นั้นคือสิ่งที่ดี ถูกต้อง ที่ตัวสื่อกลาง ให้เกิดความเจริญ ในจิตใจขึ้นมา,

    ส่วนการปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้น จากทุกข์ ในเรื่องของ พระนิพพานนั้น ซึ่งต้องเข้าถึงโดยศีล สมาธิ ปัญญา ด้วย อริยมรรคมีองค์แปดนั้น. พวกวัชรยาน กลับกล่าวว่า เข้าถึงได้ ด้วยการเสพกาม อันศักดิ์สิทธิ์กับโยนิ และวัชรยานถือว่า เมถุนธรรมนั้นแหละ เป็นบรมสุข.

    สำหรับศีล 5 ก็ไปเปลี่ยนแปลง เป็น ม. 5 ตัว ให้นักสิทธะ ควรได้รับบำรุง จากสิ่งห้า คือ 1.มัทยะ น้ำเมา, 2.มางสะ เนื้อ, 3.มัศยา ปลา, 4.มุทรา การยั่วให้กำหนัด, 5.ไมถุนธรรม เมถุนธรรม เป็นต้น.

    สัทธรรมปฏิรูป ในนิกายวัชรยานนี้ อาจเป็นสิ่งสำคัญ ที่ทำให้พุทธศาสนา เสื่อมหายไปได้.

    ภัยภายนอก
    ภัยภายนอก เกิดจากการมุ่งร้าย ของศาสนาอื่นๆ ดังนี้:-
    1) การมุ่งร้ายของพวกพราหมณ์
    ในขณะที่ ศาสนาพราหมณ์ ยึดมั่นในการแบ่ง ชั้นวรรณะ 4. กลับถูกท้าทายด้วย หลักคำสอน ทางพระพุทธศาสนาที่ว่า “คนจะประเสริฐได้ เพราะการกระทำ หาใช่เพราะวรรณะ ชาติตระกูลไม่” ทำให้พวกพราหมณ์ มีความโกรธแค้น พุทธบริษัทมาก. นอกจากนี้ ยังมีหลักคำสอนอื่นๆ ของพระพุทธศาสนา ที่ไปขัดต่อ คำสอนของ พวกพราหมณ์มาก จนทำให้พวกพราหมณ์ ไม่พอใจพวกพุทธ เป็นอย่างยิ่ง จึงมองพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนา ด้วยความจงเกลียดจงชัง. มีการกล่าวโจมตีต่างๆ นานา เช่น คัมภีร์อัคนิปุราณะ ประกาศว่า “โอรสของ พระเจ้าสุทโธทนะ ได้ใช้มายากล หลอกลวงพวกไทตยะ เพื่อให้เป็นชาวพุทธ”

    ส่วนวายุปุราณะ กล่าวว่า “เพียงด้วยมีฟันขาว สำรวมตา มีหัวโล้น และมีเครื่องนุ่งห่มสีแดง พวกศูทร ก็ทำหน้าที่ ทางศาสนาได้”
    ส่วนวิษณุปุราณะ กล่าวว่า “มหาโมหะ นักลวงคนให้หลง ด้วยมายากล ผู้ซึ่งอุบัติมาในโลก ก็เพื่อลวงพวกมาร ให้หลง ได้สอนหลักอหิงสา และหลักนิพพาน และชักนำประชาชน ให้ละเว้นจากการปฏิบัติ พิธีกรรมทางศาสนา ของฝ่ายพระเวท พวกสาวกของ มหาโมหะนั้น ในที่สุด จะต้องถูกเทพเจ้าทั้งหลาย ทำลาย”

    ส่วนมาก นักปราชญ์ของพราหมณ์ ก็มักจะกล่าวโจมตี วิพากษ์วิจารณ์ พระพุทธศาสนา ด้วยความเคียดแค้น และริษยาอันปวดร้าว เช่น กุมาริล นักปราชญ์คนสำคัญ ได้ต่อต้านพระพุทธศาสนา อย่างหนัก ลงในหนังสือ โศลกกวารตติก และยังได้ ยุยงให้พระเจ้าสุทธันวัน แห่งอุชเชนี ทำลาย ประหัตประหารชาวพุทธ และผู้นี้เป็นบุคคลสำคัญ คนหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้พระพุทธศาสนา เสื่อมไปจากอินเดีย. ศังกราจารย์ เป็นนักบวชฮินดู ที่มีชื่อเสียงมาก อยู่ในราว พ.ศ. 1331 เป็นผู้ที่คัดค้าน และกล่าวโจมตีคำสอน ในศาสนาพุทธ อย่างรุนแรง, แต่ตัวเขา ก็กลับนำเอาคำสอน ในพุทธศาสนา มาปฏิรูป ให้เป็นหลักธรรม คำสอนของ ศาสนาพราหมณ์ ดังที่ปรากฏอยู่ใน คัมภีร์เวทานตะ ซึ่งในปัจจุบัน ศาสนาฮินดู ได้นับถือตาม หลักคำสอนของศังกราจารย์นี้. ส่วนตัวเขาเอง กลับไปอธิบาย ระบบคำสอนใน พระพุทธศาสนาว่าเป็น ไวนาสิกะ หรือ สรฺวไวนาสิกะ (คือถือว่าทุกสิ่งสูญหมด)

    นอกจากนี้เขายังโจมตี ปรัชญามัธยามิก ของท่านนาคารชุน ว่าเป็นสิ่ง ไม่มีคุณค่า ควรแก่การพิจารณา (ท่านนาคารชุน เป็นนักปราชญ์ ที่สำคัญท่านหนึ่ง ของพุทธศาสนา ฝ่ายมหายาน ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด นิกายสุญญวาท ในพุทธศตวรรษที่ 7 ซึ่งคำสอนเรื่อง สุญญตา หรือ ปรัชญามัธยามิก ของท่าน เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ในวงการพระพุทธศาสนา) ศังกราจารย์ ยังได้นำทัพ ทำสงครามศาสนา ต่อต้านและ ย่ำยีพระพุทธศาสนา จนทำให้ พระภิกษุสงฆ์ กระจัดกระจายสับสน ตั้งแต่ เชิงผาหิมพานต์ ลงมาจนถึง คาบมหาสมุทรอินเดีย. จึงถือได้ว่า ทั้งศังกราจารย์ และกุมาริล เป็นบุคคลสำคัญ ที่ทำให้พุทธศาสนา เสื่อมไปจากอินเดีย.

    2) การฟื้นฟูใหม่ของศาสนาพราหมณ์
    พวกคณาจารย์ ของพราหมณ์ ซึ่งเห็นว่า พระพุทธศาสนา กำลังเจริญรุ่งเรือง และแผ่ขยายออกไป อย่างกว้างขวาง ทั้งภายใน และภายนอก ประเทศอินเดีย. แต่ศาสนาพราหมณ์ กลับเสื่อมโทรมลง ดังนั้น เขาจึงพยายาม ปรับปรุงคำสอน และวิธีการในศาสนา เสียใหม่.

    เดิมพราหมณ์ได้นับถือ พระพรหม ว่าเป็นผู้สร้างทุกอย่าง แต่พระพรหม ไม่ใช่เพศหญิง ไม่ใช่เพศชาย ดูไม่น่าเกรงขาม หรือน่ามีอำนาจ เขาจึงไปเกณฑ์ให้ พระพรหมเป็นเพศชายเสีย แล้วมีเมียเสียด้วย จากนั้น ก็นำเทพองค์อื่นๆ ขึ้นมายกย่อง เช่น พระศิวะ มีอำนาจทำลายโลก วิษณุ มีอำนาจ ในการคุ้มครองโลก.

    ในครั้งพุทธกาล หรือในพระไตรปิฎกนั้น มีกล่าวถึง แต่พระพรหมเท่านั้น ส่วนพระศิวะ และพระนารายณ์ หรือวิษณุนั้น เพิ่งจะมีขึ้นใน สมัยหลังพุทธกาล ประมาณ พุทธศตวรรษที่ 3 และเมื่อมีเทพเจ้าหลายองค์ ไม่ใช่พระพรหมเท่านั้น จึงต้องเปลี่ยนชื่อศาสนา เป็นฮินดู แทนที่จะเป็น ศาสนาพราหมณ์.

    พวกพราหมณ์ ได้แต่งพระคัมภีร์ต่างๆ ขึ้น เพื่อฟื้นฟู ยกย่อง และพิทักษ์ศาสนาของตน และชี้ให้เห็นว่า “พวกที่ทอดทิ้ง หลักธรรมเรื่องวรรณะ และหลักอาศรมนั้น จะต้องถูกฆ่า เช่นเดียวกับเวณะ”

    3) การถูกศาสนาพราหมณ์กลืนพระพุทธศาสนา
    แม้ว่าพระพุทธศาสนา ดูว่าได้เสื่อมไปจากอินเดียแล้ว ก็ตาม แต่เนื้อหา และหลักธรรม กลับไปปรากฏ อยู่ในศาสนาพราหมณ์ ที่ปรับปรุงใหม่ (คือฮินดู) ทั้งนี้เพราะ พระพุทธศาสนา ถูกศาสนาพราหมณ์กลืนเข้าไป และศาสนาฮินดู ได้อ้างเอาหลักธรรมสำคัญ จำนวนมาก ของพระพุทธศาสนา มาเป็นศาสนาของตนเสีย. พวกฮินดูได้ถือ พระพุทธเจ้าว่า เป็นปางหนึ่ง ของนารายณ์อวตาร ดังปรากฏใน คัมภีร์มัตสยาปุราณะ ในพุทธศตวรรษที่ 11 ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ชาวฮินดู มาฟังคำสอน ของพระพุทธเจ้า และยุยงชาวพุทธ ให้เลิกนับถือ พระพุทธองค์.

    เมื่อพวกพราหมณ์ ยกเอาพระพุทธเจ้า ผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา ว่าเป็นเทพเจ้า ในศาสนาของเขาเสียแล้ว ชาวพุทธทั้งหมด ก็เท่ากับว่า เป็นพราหมณ์ไปด้วย โดยไม่จำเป็น ต้องเปลี่ยนศาสนา ซึ่งวิธีนี้ เป็นการกลืน พระพุทธศาสนา อย่างแนบเนียนที่สุด. ศังกราจารย์ ได้จัดตั้งสถาบัน ของพระฮินดูขึ้น มีวัดโดยเฉพาะ สำหรับสาวกของตน โดยลอกเลียนแบบ วัดในพระพุทธศาสนา มีความเป็นอยู่ และรูปลักษณะคล้ายกับ พระสงฆ์ของพุทธศาสนา กล่าวคือ โกนหัว โกนหนวดเครา และนุ่งห่มผ้าสีเหลือง เป็นต้น แล้วเรียกตัวเองว่า “สาธุ” การลอกเลียนแบบนี้ เพื่อกู้ชื่อเสียง ของศาสนาของตนไว้ และเพื่อแข่งขันกับ พระพุทธศาสนา.

    นอกจากนี้ ศังกราจารย์ ยังได้ใช้ศัพท์ปรัชญา โดยเฉพาะ หลักธรรมใน เรื่อง มายาและหลักไวตะ ให้เหมือนกับ การบัญญัติศัพท์ทางปรัชญา ของพระพุทธศาสนา นิกายธัมยานิก (คือนิกายสุญญวาท) ของท่านนาคารชุน เกือบทุกอย่าง. ทั้งนี้เพื่อลอกแบบหลักธรรม ในพระพุทธศาสนา ไปใช้ในศาสนาพราหมณ์ นั่นเอง.

    4) การขาดราชูปถัมภ์
    เมื่อไม่มีกษัตริย์ หรือกองทัพเป็นผู้ปกป้อง จึงมีการฆ่าทำลายล้าง พุทธศาสนิกกันมาก เช่น ในคราวที่ถูก พวกศาสนาอื่นๆ เช่น ศาสนาอิสลาม ยกทัพมาถล่มนาลันทา ในพุทธศตวรรษที่ 17 ฆ่าๆๆๆ จนพระภิกษุ ซึ่งไม่มีอาวุธ ในการป้องกันตนเอง ตายลงเกือบหมด ส่วนที่เหลือ ต้องหนีกระจัดกระจาย ไปยังเนปาล และธิเบต เป็นต้น, จนทำให้พระภิกษุในพระพุทธศาสนา เกือบไม่เหลือ อยู่ในอินเดีย.

    5) การทำลายล้างของกษัตริย์นอกพระพุทธศาสนา
    ในบางยุค กษัตริย์นอกศาสนา ได้ปฏิบัติต่อ พระภิกษุ ในพระพุทธศาสนา อย่างโหดร้ายทารุณ ตลอดจน ได้ทำลาย รื้อปูชนียสถาน ทางพระพุทธศาสนาไป เป็นจำนวนมาก โดยหวังจะทำลายล้าง พระพุทธศาสนานี้ ให้หมดไป ซึ่งได้เกิดขึ้น หลายยุคหลายสมัย.
    5.1) การทำลายล้างของพระเจ้าปุษยมิตร เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช ครองราชย์อยู่ราว 40 ปี โอรสรัชทายาท ที่จะครองราชย์ ที่แท้จริงคือ เจ้าชายกุณาละ ก็ได้สำเร็จพระอรหันต์เสียก่อน. เจ้าชายสัมปทิ ซึ่งเป็นนัดดา จึงครองราชย์แทน แต่เนื่องจาก เป็นคนมิจฉาทิฏฐิ ได้ยุบการปกครอง แบบพระเจ้าอโศกเสีย ไม่ทำนุบำรุง พระพุทธศาสนา จึงมีพระราชาสืบต่อไปอีก 4 พระองค์เท่านั้น ก็สิ้นราชวงศ์โมริยะ. กษัตริย์องค์สุดท้าย ของราชวงศ์โมริยะ ได้ถูกพราหมณ์ชื่อ ปุษยมิตร สำเร็จโทษ และตั้งตนเองขึ้น เป็นกษัตริย์ในราชวงศ์ศุงคะ ได้เริ่มทำพิธีบูชายัญ ที่เรียกว่า “อัศวเมธ” ปล่อยม้าอุปการ พร้อมกองทัพ ใช้กำลังเข้าบังคับ เมืองต่างๆ ให้เป็นเมืองขึ้น. ในส่วนการทำลาย พระพุทธศาสนา ได้ออกกฎหมายว่า จะให้รางวัล 100 ดินาร์ แก่ผู้ตัดศีรษะ พระภิกษุรูปหนึ่งมาให้ จนทำให้พระภิกษุ กลัวภัย พากันหนีจากแคว้นมคธ ไปอยู่ยังแคว้นคันธาระบ้าง กัษมีระบ้าง อันธระบ้าง.

    5.2) การข่มเหงของพระเจ้าวิกรมาทิตย์ ได้ข่มเหงนักพุทธปรัชญา พระเจ้าวิกรมาทิตย์ ทรงอิจฉาริษยา พระมโนรถ ผู้เป็นอาจารย์ของ พระวศุพันธ์ (เป็นนักปราชญ์เรืองนาม ของพระพุทธศาสนา นิกายโยคาจาร) ที่ว่าพระมโนรถ ร่ำรวยนัก ต้องการให้ท่านได้อับอาย. จึงได้สั่งให้นักปราชญ์ นอกพุทธศาสนา 100 คน มาเผชิญหน้า โต้วาทีกับพระมโนรถ ถ้าพระ ในพุทธศาสนาแพ้ จะต้องถูกกำจัดออกไปทันที. พระมโนรถสามารถ ชนะการโต้วาทีมาได้ 99 ครั้งแล้ว พอถึงครั้งที่ 100 ก็ถูกกลั่นแกล้ง ก่อกวนต่างๆนานา. ท่านจึงกัดลิ้นของตนเองขาด แล้วเขียนจดหมายถึง พระวศุพันธ์ ผู้เป็นศิษย์ มีความตอนหนึ่งว่า “ไม่มีความยุติธรรม ในกลุ่มคน ที่มีความลำเอียง” แล้วท่านก็มรณภาพ. ต่อมา พระเจ้าวิกรมาทิตย์ ถูกโค่นอำนาจลง ภายใต้กษัตริย์องค์ใหม่ ที่ทรงคุณธรรม. ท่านวศุพันธ์ได้ล้างอาย ให้กับอาจารย์ โดยสามารถ เอาชนะพวกมิจฉาทิฏฐิ ต่างๆได้.

    5.3) การทำลายล้างของพระเจ้ามิหิรกุล
    พระเจ้ามิหิรกุล เป็นกษัตริย์พวกหูณะ เป็นชนเผ่ามองโกล ที่รุกรานอินเดีย. ท่านบูชาพระศิวะ และอุปถัมภ์พราหมณ์. ท่านโกรธแค้น ที่คณะสงฆ์ได้ส่ง พระชั้นผู้น้อย ไปสอนพระพุทธศาสนา ให้แก่ท่าน จึงได้ทำลายล้าง พระพุทธศาสนา อย่างป่าเถื่อน โหดร้ายที่สุด โดยสั่งรื้อทำลาย วัดทางพระพุทธศาสนา ทั่วพระราชอาณาจักร. แต่พระเจ้าพาลาทิตย์ แห่งแคว้นมคธ (ซึ่งเป็นพุทธมามกะ ที่เคร่งครัด) ไม่ยอม จึงเกิดสงครามกันขึ้น. ในที่สุดพระเจ้ามิหิรกุล พ่ายแพ้ ถูกพระเจ้าพาลาทิตย์ จับขัง แล้วเนรเทศไปเสีย. ท่านไปอยู่ที่แคชเมียร์ ไม่นานก็ชิงบัลลังก์ ตั้งตัวเป็น กษัตริย์ได้อีก แล้วสั่งทำลาย พระพุทธศาสนา ทุกรูปแบบ, สั่งให้รื้อสถูป และทำลาย สังฆารามรวม ทั้งสิ้นกว่า 1600 แห่ง, สั่งให้ฆ่าชาวพุทธ ในแคว้นนั้นเสีย เป็นจำนวนมาก ปลงพระชนม์สมเด็จ พระสังฆราชองค์ที่ 23 คือท่านสถวีรสิงหะ และทำลายบาตร ของพระพุทธองค์ ซึ่งเก็บรักษาไว้ ที่แคชเมียร์เสีย. ในคัมภีร์ราชตรังคิณี กล่าวว่า “พระเจ้ามิหิรกุล ทรงฆ่ามนุษย์ถึง 3 โกฏ ไม่มีความปรานี แม้แต่คนของพระองค์เอง. และแล้วในที่สุด ก็ได้ปลงพระชนม์ชีพ ของพระองค์เอง โดยการกระโดด เข้าในกองไฟ”

    5.4) การทำลายล้างของพระเจ้าศศางกะ
    พระเจ้าศศางกะ เป็นกษัตริย์แห่ง เกาทะ (แคว้นเบงกอล) เป็นคนวรรณะพราหมณ์ นับถือนิกายไศวะ ได้ทรยศ โดยสำเร็จโทษ พระเจ้าราชยวรรธนะ แห่ง ถาเณศวร (ซึ่งเป็นพุทธมามกะ). ในจดหมายเหตุ ของพระถังซัมจั๋งบันทึกว่า “พระเจ้าศศางกะ ได้กำจัดพระภิกษุสงฆ์ ในอาณาบริเวณ เมืองกุสินารา อันเป็นผลให้ สังฆมณฑล ในกุสินารา ได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น” แล้วยังได้ โยนรอยพระพุทธบาท ซึ่งทำด้วยศิลา ที่เมืองปาฏลีบุตร ลงทิ้งในแม่น้ำคงคา. นอกจากนั้น ยังได้โค่นต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่พุทธคยา จนเหลือแต่ราก แล้วเอาไฟสุม โดยหวังทำลายล้าง ให้สิ้นซาก. จากนั้นจึงทำลาย พระพุทธรูปทิ้ง แล้วเอาศิวลึงค์ เข้าไปตั้งไว้ในวิหารแทน ทำความปวดร้าว ให้กับชาวพุทธ ผู้เดินทางไปแสวงบุญ เป็นอย่างยิ่ง.
    ครั้นต่อมา ศศางกะได้กระอักเลือดตาย เพราะเสียรู้เสนาบดี ในเรื่องที่ถูกหลอกว่า ได้ทำลายพระพุทธรูป หินทรายแกะสลัก ปางมารวิชัย ในมหาเจดีย์พุทธคยา ตามคำสั่งแล้ว.

    6) การทำลายล้างของพวกมุสลิม
    6.1) การทำลายล้างของ โมฮัมหมัด เบนกาซิม
    ปลายพุทธศตวรรษที่ 12 ขุนพลมุสลิมชื่อ โมฮัมหมัด เบนกาซิม ได้ยกทัพ เข้ามาทางด้าน ตะวันตกเฉียงเหนือ ของอินเดีย โจมตีแคว้นสินธุ และแคว้น มลตาน ได้, แล้วยึดครอง ตั้งราชวงศ์มุสลิมขึ้น. ตลอดระยะเวลา อันยาวนานกว่า 3 ศตวรรษ ที่พระพุทธศาสนา ที่อยู่ในบริเวณนี้ ถูกพวกมุสลิม ทำลายลงจนสิ้น ซึ่งในบริเวณนี้ มีวัดวาอาราม ในพระพุทธศาสนา เป็นเรือนหมื่น ได้ถูกเผาผลาญ อย่างย่อยยับ ปล้นสะดมภ์ เอาทรัพย์สมบัติไป ส่วนพระภิกษุสงฆ์ ต่างพากันหนีอพยพ ไปยังแคว้นมคธ และ แคว้นเบงกอล เป็นจำนวนแสน.

    6.2) การทำลายล้างของ มหหมุด

    กษัตริย์มุสลิม ชาวอาฟกานิสถานชื่อ มหหมุด ได้ยกทัพ รุกรานอินเดีย 17 ครั้ง และได้ออกคำสั่งว่า “จงไปลงโทษ พวกที่บูชารูปเคารพ จงทำลาย โบสถ์วิหารของมัน จงให้มันกลับใจ มานับถือพระอัลลาห์”. กองทัพมุสลิม ไปถึงที่ไหน พระพุทธศาสนา และศาสนาพราหมณ์ ก็ย่อยยับที่นั่น ประชาชนถูกบังคับ ให้ยอมรับนับถือ ศาสนาอิสลาม ถ้าไม่ยอม ก็ถูกประหารทิ้งสิ้น. ฆาตกรรม ครั้งที่ใหญ่ที่สุดคือ เมื่อมหหมุดโจมตี เมืองกัญญากุพชะ ได้ฆ่าคน ในเมืองไป ประมาณแสนคน จับเอาไปเป็นเชลย 8 หมื่นคน เชลยเหล่านี้ มหหมุดสั่งให้เอาไป ขายเป็นทาส ราคาคนละ 2 รูปี เท่านั้น. นครกาบูล ในอาฟกานิสถาน ของมหหมุด จึงเป็นตลาดค้าทาส ที่ใหญ่ที่สุด.

    6.3) การทำลายล้างของ บักตยาร์ ขัลจิ
    ราชวงศ์ปาละ ในแคว้นมคธ และเบงกอล เป็นราชวงศ์สุดท้าย ในอินเดีย ที่นับถือพระพุทธศาสนา. ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-17 ซึ่งในขณะนั้น ได้มีมหาวิทยาลัย พระพุทธศาสนา ในมคธ และเบงกอล หลายแห่ง คือ นาลันทา วิกรมศิลา โสมบุรี และอุทันตบุรี. ครั้นต่อมา เมื่อมุสลิมเข้ารุกราน จนได้ยึดครองอินเดียแล้ว ก็มักจะทำลายล้าง ศาสนาอื่นๆ จนสิ้น ดังกรณีของ ขุนทัพบักตยาร์ ขัลจิ ได้บุกเข้าทำลาย มหาวิทยาลัยนาลันทา ที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่ที่สุด มีชื่อเสียงมากที่สุด มีนักศึกษา เป็นจำนวนหมื่น มีพระอาจารย์ บรรยาย 1500 รูป มีห้องประชุม ขนาดใหญ่ ซึ่งบรรจุผู้ฟัง ได้ถึงพันคนขึ้นไป มี 8 ห้อง มีห้องเรียนกว่า 300 ห้อง มีหอพักนักศึกษา ในมหาวิทยาลัย. พร้อมได้เผาตำราทั้งหมดทิ้ง ได้ฆ่าฟันทำลาย ชีวิตพระภิกษุสงฆ์ ไปเป็นจำนวนมาก ส่วนพระสงฆ์ ที่รอดตาย ได้หนีเข้าในเนปาล และธิเบต แล้วมุสลิม ได้ปล้นสดมภ์ ขนเอาทรัพย์ อันสมบัติอันมหาศาล ของชาวพุทธไป. นอกจากนี้ มุสลิมยังได้ยกทัพ ทำลายมหาวิทยาลัย วิกรมศิลา ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่ง แม่น้ำคงคา เป็นที่รวมของวัด 108 วัด มีอาจารย์บรรยาย 800 ท่าน มีนักศึกษาจำนวนหมื่น.

    พระพุทธศาสนาได้เสื่อมหายไปจากอินเดีย
    นับจาก พุทธศตวรรษที่ 17 นี้ไป พระพุทธศาสนา จึงได้เสื่อมหายไป จากประเทศอินเดีย ซึ่งก่อให้เกิด ความสะเทือนใจ แก่ชาวพุทธทั้งหลาย เป็นอย่างยิ่ง และเป็นบทเรียน ที่มีค่ายิ่งสำหรับ ชาวพุทธทั่วโลก.

    ความเห็นของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ
    เหตุที่ทำให้ พระพุทธศาสนา ในอินเดียเสื่อมไปหมด เพราะ
    1) ในขณะที่ พระพุทธศาสนา รุ่งเรืองสูงสุด แม้ในสมัย พุทธกาลเอง ประชาชนชาวอินเดีย ก็นับถือศาสนาพราหมณ์ มั่นคงอยู่ ศาสนาพราหมณ์ ส่วนใหญ่ ยังไม่ได้เสื่อมไป.
    2) ในสมัยหลังพุทธกาล แม้จะมีพระมหากษัตริย์ ที่เป็นองค์อุปถัมภ์ พระพุทธศาสนา เช่นพระเจ้าอโศกมหาราช ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เบียดเบียน ศาสนาอื่นๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ เพื่อการล้มล้าง ศาสนาพราหมณ์ หรือการใช้อำนาจ ทางการเมือง เพื่อฝังรากศาสนา ลงในใจของประชาชน ทั้งหมด. แตกต่างจาก ศาสนาคริสเตียน หรือศาสนาอิสลาม แผ่ไปถึงไหน ก็ใช้อำนาจครอบงำ บังคับให้วัฒนธรรมเดิม ถูกถอนราก ถอนโคนออก แล้วบังคับให้ นับถือศาสนาของตนแทน. ส่วนพุทธศาสนา ที่แผ่ไปถึงไหน ก็อะลุ้มอะล่วย ปรองดองกับ ศาสนาถิ่นเดิม เกลือกกลั้ว ผสมผสานกันได้.
    3) หลักการ ในพระพุทธศาสนา ให้เสรีภาพแก่บุคคล มิได้มีการเรียกร้อง ความภักดีพลีชีวิต เพื่อศาสนาของตน ดังเช่นศาสนาอื่นๆ ความรู้สึก ของชาวพุทธ ในเรื่องการปกป้อง รักษา พระศาสนาของตนเอง จึงมิได้รุนแรง ไม่มากพอ เหมือนศาสนา ที่รบเร้าเรื่อง ความภักดีเป็นใหญ่.
    4) ความเสื่อม ภายในคณะสงฆ์เอง มีการแตกแยกออก เป็นหลายหมู่ หลายเหล่า ต่างถือพวก ถือหมู่วิวาทกัน.
    5) พระสัทธรรมดั้งเดิม ได้ถูกบรรดาคณาจารย์ ของนิกายต่างๆ ทั้งมหายาน และหินยาน อรรถาธิบาย ทำให้เป็นของยากขึ้น ทำให้เป็น อภิปรัชญามากขึ้น สำหรับการโต้เถียง ประเทืองปัญญา ตีโวหารกัน มากกว่า ใช้สำหรับปฏิบัติกันจริงๆ ในชีวิต. พุทธศาสนา จึงกลายเป็นของยาก สำหรับสามัญชนไป กลายเป็นสมบัติ ของนักปราชญ์กลุ่มหนึ่ง ในกำแพงวัดเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไป ไม่รู้ว่าพุทธศาสนาคืออะไร? วัฒนธรรม ทางพระพุทธศาสนา มีอยู่เฉพาะ แต่ภายในวัดทั้งหลาย เท่านั้น ไม่ได้มีปฏิบัติการ เกี่ยวกับฆราวาสเลย และเมื่อวัดเหล่านี้ ถูกรุกรานทำลาย หรือขาดราชูปถัมภ์ ก็จะถูกทอดทิ้ง ให้เสื่อมโทรมไป แล้วพระพุทธศาสนา ก็จะเสื่อมไปด้วย.
    6) ในสมัยราชวงศ์คุปตะ พวกพราหมณ์ เห็นว่าจะเอาชนะพวกพุทธ โดยตรงไม่ได้ ก็ใช้วิธี การกลืนพุทธอย่างสุขุม โดยอ้างว่า พระพุทธเจ้า เป็นนารายณ์อวตาร ผู้นับถือพุทธ ก็คือผู้นับถือฮินดูนั่นเอง ส่วนผู้ที่นับถือฮินดูอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเปลี่ยน เป็นศาสนาพุทธ ทำให้ฮินดูมีมากขึ้น ในขณะที่พุทธมีน้อยลง.
    7) ชาวพุทธเองกลับยอม ลดคุณภาพของตน โดยไปเอาลัทธิฮินดู เข้ามาปฏิบัติ เกิดเป็นลัทธิมนตรยาน เป็นต้น เท่ากับเป็นการยอมแพ้ อย่างสิ้นเชิง.
    8) เมื่อพ้นสมัยคุปตะแล้ว ฝ่ายฮินดู มีนักปราชญ์เก่งๆ เกิดขึ้นหลายคน ฝ่ายพุทธ ไม่มีผู้สามารถ โต้วาทีชนะได้ ฐานะของพุทธ จึงตกต่ำลงมาก.
    9) ครั้นเมื่อ ศาสนาอิสลามรุกราน ได้ทำลายล้างทั้งชีวิต และทรัพย์สิน อย่างบ้าเลือดป่าเถื่อน จนไม่มีใครต้านทานได้ ต้องหลบหนี ออกจากอินเดียไปจนหมด.
    10) พวกพราหมณ์ มีทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิต เป็นผู้รับถ่ายทอดความรู้ ทางพระเวท จึงสามารถสืบต่อ กันไปได้นาน ส่วนพระพุทธศาสนา ความรู้ทั้งหมด ไปอยู่กับพระภิกษุเท่านั้น เมื่อสถาบันสงฆ์ ถูกทำลาย เช่นถูกห้ามไม่ให้บวช ถูกฆ่าตาย ความรู้ในทางศาสนา จึงไม่มีผู้สืบต่อ และหมดสิ้นลง ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพียงไม่กี่ชั่วคน.

    เหตุผลทั้งหมดนี้ จึงทำให้พระพุทธศาสนา เสื่อมไปจากอินเดีย.

    การป้องกันพระพุทธศาสนา ไม่ให้เสื่อมไปจากประเทศของตน
    พุทธบริษัททั้งหลาย คงจะต้องหาทาง ป้องกันพระพุทธศาสนา ไม่ให้เสื่อมสูญ ไปจากประเทศของตน และต้องช่วยกันสืบต่อ พระสัทธรรมที่แท้จริง โดยเพียรพยายาม ทำตนให้ได้รับคุณวิเศษ บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามครรลองแห่ง พระสัทธรรมที่แท้จริง ที่สามารถดับทุกข์ได้จริง ตามกฏแห่งอริยสัจสี่ ไม่ต้องเป็นทาสของกิเลส ไม่ต้องเป็นทาส ของปัญญาจากผู้ใด เมื่อนั้นพระพุทธศาสนา ไม่มีวันเสื่อมสูญ ไปจากโลกนี้ โดยเด็ดขาด.


    http://www.bangkokconsumer.org
     
  17. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ขอโมทนาบุญในสติปัญญาของท่าน

    ขออนุญาตครับ

    ขอโมทนาบุญในสติปัญญาของท่าน

    ส่วนท่านอื่นๆ แค่ให้พิจารนาว่า

    ธรรมเพื่อความหลุดพ้น จะป้องกัน จะแก้ไข ภัยพิบัติ ได้อย่างไร
    ธรรมเพื่อ ความหลุดพ้น จะนำความอุดมสมบูรณ์ มาสู่ชาติบ้านเมือง ได้อย่างไร

    แค่นี้ ก็จอดแล้วครับ

    ความจริงความเชื่อ มาแต่โบราณ หาใช่เป็นเฉพาะ ศาสนาพราหม ไม่
    เพียงแต่ ศาสนาพุทธเรา ธรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ เหล่าเทวดา
    มีการบันทึกเอาไว้น้อย ก็เลยพากันเข้าใจว่า ส่วนนั้นเป็นศาสนาพราหม

    แต่ในความเป็นจริง ครูบาอาจารย์พระเกจิอาจารย์ พระครูบาอาจารย์สายฤทธิ์
    ตลอดจนพระที่มีฌานบารมีสูงๆ ท่านเหล่านี้ต่างเข้าใจเป็นอย่างดี

    ตัวอย่างเช่น

    องค์หลวงปู่ศุข วัดคลองมขามเฒ่า
    องค์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
    องค์หลวงปู่เงิน วัดบางคลาน
    องค์หลวงปู่เดิม วัดหนองโพ

    องค์หลวงปู่โลกเทพอุดร
    องค์หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต
    และศิษย์ในสายธารธรรมของท่าน

    องค์หลวงปู่สายทอง เตชะธรรมโม
    ตลอดจยครูบาอาจารย์ในสายธารธรรมของท่าน

    ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ท่านมีความเจนจบ ในธรรมทุกแขนง
    จากฌานบารีมีอันสูงส่งของท่าน

    ส่วนคนรุ่นหลัง ที่รู้แต่ธรรมเพื่อความหลุดพ้น เท่านั้น ก็ว่ากันไป
    แต่ท่านทั้งหลายในกลุ่มนี้ ก็

    ตอบไม่ได้ว่า ภัยพิบัติ จะป้องกัน จะแก้ไขได้อย่างไร
    ตอบไม่ได้ว่า ภัยพิบัติ จะเกิดขึ้น หรือไม่
    ตอบไม่ได้ว่า ภัยพิบัติ จะเกิดขึ้นที่ไหน มากน้อย หนักเบา แคบกว้าง อย่างไร
    ตอบไม่ได้ว่า จะทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรื่องได้อย่างไร

    แต่ผู้มีบุญบารมีอันสูงส่งทั้งหลาย

    ไม่ว่าจะเป็นสายสำเร็จ ธรรมบริสุทธิ์ ก่อน
    แล้วต่อด้วย ฌานบารมีระดับสูง ที่มีการรู้เห็น ไม่จำกัด
    บางท่านก็มีบุญบารมีมาแต่เดิม ทำให้สามารถมองผ่าน ลูกแก้ววิเศษ ที่เป็นจุดศูนย์รวมของบารมีเดิม
    ซึ่งลูกแก้ววิเศษเหล่านี้ ส่วนมากจะเป็น สายใยบารมีของ

    องค์อัมรินทร์
    องค์ศิวะเทพ
    องค์ท้าวมหาพรหม
    องค์เทพสายพญานาคกลุ่มต่างๆ

    เห็นมีหลายๆท่าน ฌานบารมีของตนไม่ถึงบ้าง ขาดวรรค ขาดตอนบ้าง
    แม้ได้รับฌานมา ก็หายไป
    แม้ได้รับลูกแก้ววิเศษมา ก็มองไม่ได้ ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์

    เพราะฌานของการรู้ การเห็น ในระดับสูงนั้น
    ต้องสำเร็จธรรมชั้นสูงก่อน
    จึงจะได้รับ ฌานบารมีของการรู้การเห็นต่างๆได้

    อาจได้รับรู้จาก การฝึกฝนอบรมตนเอง
    อาจได้รับรู้จาก การถ่ายฌานบารมี จากครูบาอาจารย์ของตน
    อาจได้รับรู้จาก ฌานบารมีที่สร้างเอาไว้เดิม ที่ถ่ายเอาไว้ใน ลูกแก้ววิเศษต่างๆ

    จึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกเล่าให้ผู้อื่นเข้าใจได้
    เพราะผู้ที่ไม่ได้ รู้ ไม่ได้ เห็น ด้วยตา ด้วยใจ ของตน
    ก็คงแต่จะเอา ธรรมหนอนตำรา ธรรมกระดาษใบลาน
    มาอ้างโน่น อ้างนี้ อ้างในสิ่งที่ตนเอง ก็ไม่รู้ ก็เข้าใจ อย่างถ่องแท้

    คนที่เขารู้เขาก้าวไกลขนาด นำ พา ป้องกัน แก้ไขภัยพิบัติ กันแล้ว
    คนที่เขารู้เขาก้าวไกลขนาด นำ พา สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้บ้านเมือง กันแล้ว

    แล้วเคยพิจารนากันบ้างหรือไม่ ว่า ตนกำลังทำอะไรอยู่
    แล้วเคยพิจารนากันบ้างหรือไม่ ว่า เขากำลังทำอะไรอยู่

    หรือจะคิดกันแค่ว่า
    ท่านจะทำอะไรก็เรื่องของท่าน
    ผมจะทำของผมแค่นี้ก็พอแล้ว

    ผมจะมุ่งเพื่อความหลุดพ้นมันเรื่องของผม
    ท่านจะมุ่งแก้ไขภัยพิบัติมันเรื่องของท่าน

    เพราะเมื่อถึงเวลา มันก็แค่ ความสำเร็จที่พิสูจน์ได้
    กับ ตัวใครตัวมัน ก็เท่านั้นเอง

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับผู้มีบุญบารมีทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    องค์หลวงปู่ศุข วัดคลองมขามเฒ่า
    องค์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
    องค์หลวงปู่เงิน วัดบางคลาน
    องค์หลวงปู่เดิม วัดหนองโพ
    องค์หลวงปู่โลกเทพอุดร
    องค์หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต
    และศิษย์ในสายธารธรรมของท่าน

    - พระสงฆ์มีพระศาสดาองค์เดียวคือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพระพุทธเจ้า


    องค์อัมรินทร์
    องค์ศิวะเทพ
    องค์ท้าวมหาพรหม
    องค์เทพสายพญานาคกลุ่มต่างๆ

    - พวกนี้เป็นเทพนอกพระศาสนาครับ
     
  19. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842

    ขอขอบใจ ไมตรีจิต
    มวลหมู่มิตร มอบจิตใจ
    ปลาบปลื้ม ดื่มด่ำกาย
    ชื่นหัวใจ หายลังเล

    เล็บครุฑ / สุนทรทู่

    .
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธเจ้าสอนให้บูชาพระองค์ ปฏิบัติธรรมตามพระองค์ ถือว่าเป็นการบูชาพระองค์อย่างสูงสุด
    การกราบไหว้เป็นแต่ของภายนอก แม้เดินตามหลังพระองค์ พระพุทธเจ้าก็ยังบอกว่ายังอยู่ห่างไกลพระองค์
    ผู้ที่นำธรรมะไปปฏิบ้ติต่างหากเป็นผู้อยู่ใก้ลพระองค์

    เดี๋ยวนี้ไม่เชื่อพระพุทธเจ้ากันแล้ว ไม่เชื่อหลวงปู่หลวงตาผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกันแล้ว ไปนับถือแต่พวกพระทุศีล พระรับเงินทอง สอนผิดๆ
    เมืองไทยถือกันว่าเป็นเมืองพุทธศาสนา แต่ไปนับถือบูชาพวกเทพนอกศาสนา
    อีกไม่นานจะมีคำถามว่า "พุทธศาสนาสูญไปจากจากประเทศไทย รู้ไหม? ว่าเพราะอะไร?"
     

แชร์หน้านี้

Loading...