เมตตาบารมี หลวงพ่อกวย หลวงปู่ละมัยแท้ๆๆ หลวงพ่อเจิมวัดหอยรากและประวัติปาฎิหาริย์

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย mummamman, 12 กันยายน 2013.

  1. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    ประวัติ-ปฏิปทา หลวงพ่อสัมฤทธิ์ คัมภีโร ( พระครูกาญจนกิจจาทร )
    เกจิอาจารย์จอมขมังเวทย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำแฝด
    ผู้สร้างตำนานมหัศจรรย์ “ครอบมงกุฏพระเจ้า"
    ผู้ค้นพบวัตถุธาตุกายสิทธิ์ สรรพคุณ 108 แร่ “เหล็กไหล"
    วัดถ้ำแฝด ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี


    หลวงพ่อสัมฤทธิ์ คัมภีโร หรือ “พระครูกาญจนกิจจาทร” อริยสงฆ์ผู้มีใบหน้าอิ่มเอิบ ยิ้มแย้ม แจ่มใสเมตตาธรรมสูงส่ง โอภาปราศรัยกับทุกคนที่เดินทางมานมัสการเท่าเทียมกัน หลวงพ่อจึงเป็นที่รักใคร่เคารพนับถือของทุกคนที่ได้มากราบแทบเท้าท่า
    หลวงพ่อสัมฤทธิ์ เป็นพระเถราจารย์ผู้ทรงอิทธิคุณเชี่ยวชาญในพระเวทย์และศาสตร์ที่ลี้ลับ หลวงพ่อท่านเป็นผู้เปิดตำนาน “เหล็กไหลตาแรด” สรรพคุณ 108 โดยเฉพาะผลทางด้านเมตตามหานิยมแคล้วคลาดคงกระพันมีชื่อเสียงสืบเนื่องยาวนานมากกว่า 30

    นับได้ว่าหลวงพ่อสัมฤทธิ์ แห่งวัดถ้ำแฝดท่านนี้เป็นเกจิอาจารย์รูปแรกที่เปิดตำนานเรื่องราวเกี่ยวกับเหล็กไหล โดยนำมาฝังไว้ที่ใต้ท้องแขนของลูกศิษย์ลูกหาทั่วไปบางส่วนก็นำมาสร้างเป็นมงคลวัตถุและเครื่องรางของขลัง มีอานุภาพเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนผู้เคารพศรัทธาตลอดมา

    นอกจากนี้หลวงพ่อท่านยังเป็นเกจิอาจารย์ท่านแรกที่ทำพิธีเสริมบารมี เสริมดวง ต่อชะตา สะเดาะเคราะห์ด้วยการสร้างน้ำตาเทียนขึ้นมาจากบาตรน้ำมนต์เป็นเส้นมงคลสายยาวแล้วนำมาสวมศีรษะผู้เข้าพิธี พิธีกรรมอันมหัศจรรย์นี้เรียกว่า “ครอบมงกุฏพระเจ้า” ที่กำลังเป็นที่สนใจของผู้คนโดยทั่วไปในขณะนี้
    เริ่มต้นชีวิตบนแผ่นดินที่ราบสูง
    หลวงพ่อสัมฤทธิ์ คัมภีโร หรือ ท่านพระครูกาญจนกิจจาทร มีนามเดิมว่าสัมฤทธิ์ นามสกุล คุณพันธุ์ ถือกำเนิดเมื่อวันจันทร์ขึ้น 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน ตรงกับวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2466 ณ บ้านหมู่ที่ 6 บ้านปอพาน ต.นาเชือก จ.มหาสารคาม เป็นบุตรคนที่ 2 ของโยมพ่อพาและโยมแม่สี คุณพันธุ์ ซึ่งมีอาชีพหลักในการทำนาเฉกเช่นครอบครัวอื่นๆ ใน ถิ่นนั้น

    ชีวิตในวัยเด็กของหลวงพ่อสัมฤทธิ์ หรือเด็กชายสัมฤทธิ์ยามนั้นก็เหมือนลูกอีสานทั่วไปเมื่อเติบโตรู้ความก็ช่วยบิดา - มารดา เลี้ยงน้องอีก 5 คน ถึงหน้าก็ช่วยบุพการีลงทำงานในท้องนาอย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย

    เมื่อเติบใหญ่ล่วงเข้าสู่วัยเรียน เด็กชายสัมฤทธิ์ก็ต่างจากเด็กอื่นๆ ในวัยเดียวกันคือเป็นเด็กที่มุ่งมั่นใฝ่ต่อการศึกษาเป็นอย่างมาก ด้วยหวังก้าวหน้าในอนาคตจนเมื่อเรียนจบชั้นประถมการศึกษาปีที่ 4 แล้ว จึงได้ขออนุญาตต่อบิดา - มารดา เพื่อไปเรียนต่อในชั้นที่สูงขึ้น

    นายพาและนางสีผู้เป็นบิดา - มารดาเองก็หวังที่จะเห็นเด็กชายสัมฤทธิ์ผู้เป็นบุตรชายมีความก้าวหน้าจึงส่งให้ไปเรียนต่อชั้นป.5 ที่โรงเรียนศิริวิทยากร ในจังหวัดนครราชสีมาและเรียนอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้จนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6
    รับใช้ชาติ
    ในขณะที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ท่านเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 นั้นตรงกับปี พ.ศ. 2486 อายุของท่านมากถึง 20 ปี เป็นนายสัมฤทธิ์แล้วเพราะเมื่อตอนที่เข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ตอนอายุ 10 ขวบ เรียกว่าเรียนช้ากว่าปกติ แต่ถือเป็นเรื่องธรรมดาของลูกชาวบ้านในสมัยนั้น
    เรียนจบมาใหม่ๆ ยังไม่ทันจะหันเหเข็มทิศชีวิตไปประกอบการใดๆ ก็เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้นมาพอดี นายสัมฤทธิ์ คุณพันธุ์ ลูกอีสานเลือดไทยแท้ผู้มีเลือดรักชาติอยู่ทุกขุมขนจึงตัดสินใจสมัครเข้ารับราชการทหารทันที

    พลทหารสัมฤทธิ์ ได้ปฏิบัติหน้าที่ทหารหาญของชาติอย่างกล้าหาญสมเกียรติชายชาติทหาร เป็นทหารกล้าในกองทัพอากาศไทยสมัยสงครามมหาเอเซียบูรพา กระทั่งสงครามสงบลง พลทหารสัมฤทธิ์ทหารผ่านศึกผู้กล้าหาญก็ลาออกมาประกอบอาชีพช่วยพ่อแม่พี่น้องทำนา ทำสวนได้เพียง 3 ปี ก็เกิดเหตุเศร้าสลดในชีวิตในราวต้นปี พ.ศ 2492

    ซึ่งมีเหตุสืบเนื่องมาจากน้องสาวบุตรคนที่ 5 ของบิดา - มารดา ซึ่งมีอายุเพียง 6 ขวบ ได้พาควายออกไปเลี้ยงกลางทุ่งนาปล่อยให้ควายหากินตามอิสระซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของชาวบ้านชนบททั่วไปที่มักจะเลี้ยงควายแบบนี้

    บังเอิญมีควายตัวหนึ่งเกิดแตกกลุ่มออกจากฝูงเข้าไปกินผักกล้าในแปลงเพาะของเพื่อนบ้านเจ้าของกล้ามาเห็นในจังหวะที่น้องสาวนายสัมฤทธิ์เดินมาตามควายกลับเข้าฝูงพอดี

    เพื่อนบ้านนายนั้นซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นญาติห่างๆ กับครอบครัวตระกูลคุณพันธุ์นั่นเอง พอเห็นควายมากินผักกล้าในแปลงเพาะของตน ก็คิดจะไล่ควายตัวนั้นออกไปให้พ้นจากแปลงเพาะผักกล้าพอดีในมือถือค้อนปอนด์อยู่จึงขว้างไปยังควายตัวนั้นทันที

    แต่เพราะฝีมือการขว้างไม่แม่นยำพอค้อนเหล็กอันหนักแหวกอากาศพลาดไปถูกหน้าอกน้องสาวของนายสัมฤทธิ์ที่กำลังเดินมาตามควายเข้าเต็มแรง

    เด็กน้อยได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส นายสัมฤทธิ์ผู้พี่รู้ข่าววิ่งออกจากบ้านฝ่าไปกลางทุ่งนาอุ้มน้องสาวที่กำลังดิ้นอยู่ไปมาเพื่อนำเข้าส่งโรงพยาบาลให้หมอรักษาแต่เด็กหญิงวัยเพียง 6 ขวบ ไม่อาจจะทนต่อความเจ็บปวดถึงกับสิ้นใจในอ้อมแขนผู้เป็นพี่ชายก่อนถึงมือหมอเสียด้วยซ้ำ

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้นายสัมฤทธิ์มีความโศกเศร้าเสียใจในการจากไปของน้องสาวเป็นอย่างยิ่ง แต่ความโศกเศร้าดังกล่าวได้บรรเทาเบาบางลงเมื่อนายสัมฤทธิ์ได้ฟังคำพระเทศนาในงานบำเพ็ญกุศลศพของน้องสาวผู้จากไปนั่นเอง

    ดังได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า นายสัมฤทธิ์ผู้เป็นคนชอบศึกษาหาความรู้เหตุนี้จึงเป็นคนที่ฉลาด เมื่อได้ฟังพระเทศนา ก็ได้พิจารณาตามคำเทศน์ก็ได้เห็นจริงถึงความทุกข์ตาม ที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสอนเวไนยสัตว์มากว่า 2,000 ปีแล้ว กระทั่งทุกวันนี้ธรรมะนั้นยังคงเป็นสัจธรรมที่ทันสมัยทันต่อเหตุการณ์เสมอมา

    เมื่อเสร็จสิ้นการบำเพ็ญกุศลศพผู้เป็นน้องสาวแล้ว นายสัมฤทธิ์ คุณพันธ์ จึงตัดสินใจที่จะบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพื่อศึกษาพระธรรมให้ถ่องแท้ เพื่อทดแทนคุณบิดา - มารดา และเพื่ออุทิศกุศลให้แก่น้องสาวในคราวเดียวกัน

    สู่ร่มกาสาวพัสต์


    เมื่อมีจิตศรัทธามุ่งมั่นที่จะอุปสมบท หนุ่มสัมฤทธิ์จึงบอกกล่าวผู้เป็นบิดา - มารดาตลอดไปถึงญาติพี่น้องที่เกี่ยวข้องให้ได้ทราบ เมื่อบุพการีไม่ขัดข้องนายสัมฤทธิ์จึงเข้าวัดแจ้งความประสงค์ของตนต่อเจ้าอาวาส พร้อมกับฝึกสวดบทขานนาค

    กระทั่งจนจำได้แม่นยำ จึงจัดเตรียมเครื่องบวชบริขารแปดแล้วเข้าพิธีบรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดหนองเลา ต.นาเชือก อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2492 ซึ่งขณะนั้นนายสัมฤทธิ์มีอายุได้เพียง 26 ปี โดยมี "พระครูจันทรศรีตลคุณ" เจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ ต.ปะหลน อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม เป็นพระอุปัชฌาย์ "พระครูโกศลสมณกิจ" หรือ "หลวงพ่อคำ" แห่งวัดหนองเลา ต.นาเชือก อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ "พระอาจารย์รอด พรหมสาโร" วัดหนองกุง ต.นาเชือก อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า "คัมภีโร"

    เมื่อได้อุปสมบทเป็นภิกษุสมความตั้งใจแล้วพระสัมฤทธิ์จึงทุ่มเทชีวิตและจิตใจให้กับการศึกษาพระธรรมคำสอนเพื่อให้รู้แจ้งในพระสัจธรรมแห่งพระศาสนา กระทั่งสามารถสอบได้นักธรรมเอกในพรรษาที่ 4

    นั่นคือการศึกษาพระธรรมฝ่ายปริยัติ ส่วนด้านการปฏิบัติในเบื้องต้นที่ท่านได้รับการถ่ายทอดจาก "พระครูโกศลสมณกิจ" หรือ "หลวงพ่อคำ" ให้ได้รู้แนววิธีการรวมจิตให้เป็นหนึ่งจนจิตมีพละกำลังนำมาอธิษฐานให้เป็นไปในประการต่างๆ ดังที่ใจปรารถนาตามเคล็ดวิธีอันเป็นศาสตร์ลี้ลับ

    หลวงพ่อคำผู้เป็นพระอาจารย์ท่านนี้ เวลานั้นท่านมีอายุสูงถึง 76 ปี ท่านเป็นพระมหาเปรียญที่มีเชื้อสายเขมรจึงมีความรู้ทางด้านเวทวิทยาคม จากดินแดนเขมรจนแตกฉาน มีพลังจิตแก่กล้าเป็นที่เคารพนับถือและเกรงขามแก่คนทั่วไป นอกจากนี้ยังได้ศึกษาศาสตร์ลับตามแนวทางของ สมเด็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ เพิ่มเติมอีกด้วย เพราะฉะนั้นในทุกวันนี้ ครูบาอาจารย์แห่งวัดหนองเลา อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม ยังคงสืบสานตำรับวิชาของบุรพาจารย์มาตราบเท่าทุกวันนี้

    ต่อมาหลวงพ่อสัมฤทธิ์หรือพระสัมฤทธิ์ในเวลานั้นท่านยังได้รับการอบรมสั่งสอนด้านกรรมฐานจากพระครูจันสีตลคุณ พระอาจารย์ผู้เป็นอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ทางด้านกรรมฐานเพื่อจะได้ฝึกฝนจิตใจของตนให้เข้มแข็งอันเป็นการตามรอยอริยสงฆ์ต่างๆ ที่กระทำสืบเนื่องต่อๆ กันมา

    ระยะแรกของการออกสู่โลกกว้างเพียงลำพังภิกษุหนุ่มสัมฤทธิ์ได้ออกจากวัดที่อยู่อาศัยใน จ.มหาสารคาม มุ่งหน้าไปยัง อ.นารอง จ.บุรีรัมย์ มุ่งสู่เทือกเขาพนมรุ้งหรือเขาอังคารแถบเมืองต่ำบ้าง เพราะสถานที่เหล่านี้ยังมีสภาพป่าทึบรกชัฏ ยังไม่มีชาวบ้านคนใดเข้าไปอาศัยอยู่เลย ซึ่งเหมาะแก่การภาวนาอบรมจิตเป็นอย่างดี

    และในช่วงนี้เองที่ภิกษุสัมฤทธิ์ได้พบกับเรื่องราวแปลกๆ พิสดารมากมาย เช่นพบกับสัตว์ร้ายนานาชนิด โดยเฉพาะที่เขาอังคารนั้นท่านได้พบกับดวงวิญญาณของโบราณจำนวนมากปรากฏกายขึ้นมาให้เห็นเพื่อขอความช่วยเหลือ

    ภิกษุหนุ่มถึงแม้จะบวชมาเพียงไม่กี่พรรษาก็ได้แสดงธรรมและแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลที่ทำมาให้แก่ดวงวิญญาณเหล่านั้นไปด้วยจิตใจที่เชื่อมั่นว่าบุญกุศลนั้นจะสามารถทำให้เหล่าวิญญาณทั้งหลายพ้นจากความทุกข์ทรมานไปจุติใหม่ในภพภูมิที่ดีกว่า

    จากนั้นท่านก็เดินธุดงค์มุ่งหน้าไปยัง อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา ได้พบหลวงพ่อสอนวัดเสิงสาง ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้เก่งกล้าในวิชาด้านคงกระพันชาตรี พระสัมฤทธิ์ภิกษุหนุ่มจากมหาสารคาม ก็สมัครขอเป็นศิษย์ร่ำเรียนวิชาก็ได้รับการถ่ายทอดจากหลวงพ่อสอนจนหมดสิ้นขนาดเคยถูกทดสอบวิชา โดยถูกผลักลงหลุมขวากที่มีแต่ไม้ไผ่ถูกเสี้ยมไว้จนแหลมปักเต็มไปหมด

    ผลก็ คือ หลวงพ่อสัมฤทธิ์หรือพระสัมฤทธิ์ในเวลานั้นจุกแน่นและปวดร้าวทั่วตัวแต่ไม่มีบาดแผลจากคมไม้ไผ่แต่อย่างใด

    เมื่อกราบลาหลวงพ่อสอน วัดเสิงสางแล้วก็ได้มุ่งหน้าธุดงค์ไปยังฝั่งประเทศลาวเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ และฝึกฝนความเข้มแข็ง โดยไม่กลัวต่ออุปสรรคและความตายอยู่หลายปีโดยไม่ได้ติดต่อแจ้งข่าวกับทางบ้าน จนทุกคนคิดว่าท่านได้เสียชีวิตไปแล้วถึงกับมีการทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้

    เหตุที่เป็นดังนี้ ก็เพราะในเวลานั้นอายุของหลวงพ่อท่านยังไม่มาก ร่างกายยังกำยำล่ำสันเข้มแข็งจึงถือธุดงควัตรอย่างเคร่งครัด ลืมวันเวลาจนภายหลังท่านกลับมาเยี่ยมญาติโยมที่บ้านเดิม จึงได้ทราบว่าญาติพี่น้องทุกคนปักใจเชื่อว่าท่านเสียชีวิตในป่าแล้ว เพราะสมัยนั้นสัตว์ป่าชุกชุมไปไหนมาไหนต้องอาศัยการเดินเท้าเป็นหลัก โดยเฉพาะดงพญาเย็นนั้นเป็นที่รู้กันในหมู่ชาวบ้านว่าอันตรายยิ่งนัก

    เมื่อธุดงค์มาถึงประเทศลาวท่านก็ได้พบกับ "หลวงพ่อดี" วัดพระไตเวียงจันทน์ ซึ่งมีอายุ 90 ปีเศษ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ ฝั่งลาวที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่อง "เหล็กไหล" ไพรดำ" "การเล่นแร่แปรธาตุ" พระสัมฤทธิ์ภิกษุหนุ่มจากเมืองไทยจึงขอศึกษาวิชากับหลวงพ่อทองดี โดยได้แลกเปลี่ยนวิชาความรู้กันหลายอย่าง เช่น การหาทรัพย์ใต้พื้นดิน ซึ่งพระสัมฤทธิ์ท่านชำนาญเป็นพิเศษ

    หลวงพ่อดีนั้นถึงแม้อายุท่าน 90 กว่าปีแล้วแต่สุขภาพของท่านแข็งแรงเหมือนคนอายุ 60 เศษเท่านั้น ทั้ง 2 ศิษย์ - อาจารย์ จึงพากันธุดงค์ไปทางภูควายเลยเข้าไปทางประเทศเขมรและเวียดนาม เพื่อศึกษาเรื่องราวของเหล็กไหล ธาตุกายสิทธิ์จนมีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดีแล้วจึงธุดงค์ย้อนกลับสู่ประเทศไทย

    นอกจากนี้ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ในวัยหนุ่มยังมีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมจากฆราวาสผู้ทรงคุณ และพระเกจิอาจารย์อีกหลายรูปทำให้ท่านมีความรู้กว้างขวางเชี่ยวชาญในพระเวทย์และศาสตร์อันลี้ลับ ยากที่จะหาผู้ทัดเทียมได้ผู้หนึ่ง

    ขึ้นมาจากปักษ์ใต้ หลวงพ่อท่านได้ธุดงค์เข้าสู่ จ.กาญจนบุรี กระทั่งจาริกมาถึงวัดถ้ำแฝด อันเป็นสถานที่ที่ตั้งวัดในปัจจุบัน ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2500 ภูมิประเทศของวัดถ้ำแฝดในเวลานั้นเป็นป่ารกชัฏไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย

    ถ้ำที่ท่านหลวงพ่อสัมฤทธิ์ท่านเข้าพักครั้งแรกเป็นถ้ำที่ไม่ใหญ่นักอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ บนเขามีถ้ำด้วยกัน 3 ถ้ำ คือ ถ้ำรัศมี ถ้ำเสือและถ้ำแฝด มีทำเลอยู่ใกล้แม่น้ำแม่กลองมีความอุดมสมบูรณ์มาก

    สมัยเมื่อหลวงพ่อท่านมาจาริกปักกลดใหม่ๆ พื้นที่แห่งนี้อุดมไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิดทั้งเสือ เก้ง เลียงผา กวาง ชะมด เสือปลา งู ไก่ป่าและฝูงลิง สัตว์ป่าเหล่านี้บางชนิดทุกวันนี้ยังคงมีอยู่ แต่ถอยร่นเข้าไปอยู่ในป่าลึกๆ นานๆ จึงจะโผล่ออกมาให้เห็นสักครั้ง

    พญางูผู้พิทักษ์แห่งถ้ำแฝด


    เหตุผลอันแท้จริงของความศักดิ์สิทธิ์ของ เทือกเขาแรด นี้ ยังไม่มีผู้ใดสามารถค้นหาคำตอบที่แท้จริง หรือสามารถสยบอำนาจลึกลับต่าง ๆ ลงได้ จนกระทั่งมีพระภิกษูผู้ทรงศีลและกำลังสมาธิแก่กล้ารูปหนึ่งนามว่า “สัมฤทธิ์ คัมภีโร” ได้ธุดงค์มาปักกลดหาความวิเวกภายในถ้ำแห่งหนึ่งบนเทือกเขาแรดนี้ (คือถ้ำแฝดในปัจจุบัน)

    วันแรกที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ท่านมาพำนักอยู่ในถ้ำแฝดนั้นมีชาวบ้านที่หาของป่ามานั่งสนทนาธรรมหลายคน เมื่อมืดค่ำลงต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับไปบ้านของตนจนหมดหลวงพ่อจึงได้เข้าทำวัตรสวดมนต์เจริญจิตภาวนาเพียงลำพังภายในถ้ำ

    ในคืนแรกท่ามกลางความสงบแห่งรัตติกาลของราตรีนั้น หลังจากสงบจิตลงได้ไม่นาน ขณะที่ท่านได้เจริญภาวนามรรคจิตอยู่ดวงจิตได้ค่อยๆ รวมสู่ความสงบรวมเป็นสมาธิ ดั่งสู่ภวังค์จิตดื่มด่ำอิ่มปิติอยู่ในความสงบที่รู้สึกเป็นสุขยิ่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงแว่วเข้ามากระทบโสตประสาทของท่านด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังและชัดเจน ปรากฏนิมิตงูยักษ์มีหงอนมากมายมารบกวนในขณะนั่งเจริญสมาธิภาวนาอยู่ ทำให้ล่วงรู้ด้วยกำลังญาณและสมาธิว่า ถ้ำแห่งนี้จะต้องเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แหล่งสถิตย์สิ่งของวิเศษของเหล่าพญานาคแน่นอน เมื่อได้ทราบดังนั้นแล้ว หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ก็คงนิ่งเฉยหาได้สนใจในของกายสิทธิ์เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ ยังคงกำหนดจิตละกิเลสบำเพ็ญสมณะกิจต่อไป

    ในช่วงขณะจิตหนึ่งนั้น มีความรู้สึกเหมือนของหนัก ๆ เคลื่อนไหวช้า ๆ อยู่ข้าง ๆ มีเสียงลมประหลาดคล้ายใครเป่าเบา ๆ พอได้ยิน และได้ปรากฏนิมิตรเสียงขึ้นว่า “หลวงพ่อกลัวงูไหม” เสียงนั้นชัดเจนก้องอยู่ในหู มั่นใจได้ว่าเป็นเสียงจริงๆ ที่ไม่ได้เกิดจากอุปทานแต่ด้วยจิตที่ผ่านการฝึกผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว จึงมิได้หวั่นไหวไปกลับเสียงที่ได้ยินนั้น จิตของท่านในขณะนั้นมีความมั่นคงมาก ได้ตอบกลับไปว่า "ไม่กลัว"

    บรรยากาศเวลานั้นทุกสรรพสิ่งสงบเงียบ 2-3 อึดใจต่อมา โสตสัมผัสของท่านก็ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาอีก คราวนี้ไม่ได้เป็นเสียงพูดหรือเสียงตะโกนแต่เป็นเสียงคล้ายใครบางคนมาลากอะไรบางอย่างเสียงดังครืดคราดวนเวียนอยู่ในถ้ำ เสียงนั้นแม้จะดังไม่มากแต่ก็ชัดเจนยิ่งนักใน ความเงียบงันของบรรยากาศอันหนาวเย็นในถ้ำ

    คราวนี้ความสงสัยได้เข้ามาครอบงำจิตใจ ทำให้หลวงพ่อสัมฤทธิ์ท่านค่อยๆ คลายสมาธิลืมตาขึ้นมาดู จากความสว่างของแสงเทียนที่ท่านจุดปักไว้บนโขดหินภายในถ้ำประมาณ 3 - 4 เล่ม ทำให้ท่านเห็นจุดกำเนิดเสียงดังกล่าวค่อนข้างชัดเจน ทำให้ท่านตะลึงพรึงเพริดจนแทบลืมหายใจ เกิดความหวั่นไหวขึ้นมาในดวงจิต จึงรู้ว่าตนเองก็ยังคงเป็นปุถุชนที่ยังรักตัวกลัวตาย เช่น เดียวกับคนอื่นๆ ทั่วไป สิ่งที่สร้างความหวั่นไหวให้แก่หลวงพ่อในครั้งนี้ก็คือ "งูยักษ์"

    เป็นงูที่ใหญ่มากขนาดประมาณเสาศาลา จากชีวิตที่ออกธุดงค์ตามป่า-เขามาโดยตลอดผ่านพบสัตว์ร้ายมาทุกชนิด แต่ท่านก็ยอมรับว่ายังไม่เคยเจองูตัวขนาดนี้มาก่อนเลยเสียงครืดคราดที่ท่านได้ยินก็คือเสียงงูที่เคลื่อนไหวเลื้อยไปมาบนพื้นถ้ำ โดยกำลังเลื้อยไปดับเทียนที่ท่านปักไว้บนโขดหินทีละดวง ทีละดวง

    งูยักษ์ขนาดลำตัวเท่าเสาศาลา ดวงตาสีแดงกล่ำแวววาวขนาดเท่าไข่ห่าน ลำตัวยาวเต็มถ้ำ กำลังแลบลิ้นแปลบปลาบอยู่เบื้องหน้า ชั่วขณะหนึ่งนั้นท่านรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ จนรู้สึกว่าจีวรนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬ ความที่เป็นพุทธบุตรเมื่อตั้งสติพิจารณาถึงสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าในขณะนี้แล้ว ก็ทราบทันทีว่างูนี้ไม่ใช่งูธรรมดา จิตของท่านจึงมิได้หวั่นไหวกับภัยอันตรายที่ปรากฏต่อหน้าไม่ คงกำหนดสติพริ้มเปลือกตาลงนิ่งสงบสมกับเป็นสมณะ พร้อมกับกำหนดจิตแผ่เมตตาไปทั่วทุกทิศทุกทาง

    "อาตมาภาพมาเพื่อขออาศัยสถานที่แห่งนี้เพียงเพื่อทำความเพียร เจริญพระกรรมฐานเท่านั้น มิได้มีเจตนามาเบียดเบียนใคร หากแม้จะเคยมีเวรมีกรรมต่อกันมาก็ขออุทิศร่างกายนี้แก่ท่านเพื่อเป็นการชดใช้เวร จะได้ไม่มีเวรต่อกันสืบต่อไปอีก"

    "แต่หากว่าเป็นการมาเพื่ออนุโมทนาบุญ อาตมาภาพก็ขอส่วนบุญอันเกิดจากการบำเพ็ญคราวนี้ให้เป็นกุศลบารมีแก่ท่านและขอท่านจงหลบหลีกไปตามทางของท่านเถิดอย่าได้มารบกวนการภาวนาของอาตมาภาพเลย"

    ด้วยอากัปกริยาอันสงบน่าเลื่อมใสของ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ได้สร้างความยำเกรงและประทับใจให้แก่พญางูเป็นอันมาก จะเป็นเพราะงูใหญ่ตัวนั้นรับรู้ในจิตที่แผ่ออกมานั้น หรือจะเป็นเพราะเหตุอื่นใดก็ยากจะคาดคะเน พญางูยักษ์ตัวนั้นค่อยๆ ลดตัวลงหันหน้ามามองหลวงพ่อพลางค้อมตัวลงต่ำแล้วทันใดความมหัศจรรย์เหนือการคาดเดาก็ปรากฎขึ้นแก่สายตาของหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่งเมื่อพญางูยักษ์กลายร่างเป็นคน

    ร่างนั้นแปรสภาพเป็นคนหนุ่มผู้ถือศีลนุ่งขาวห่มขาว กำลังก้มลงกราบมายังหลวงพ่อสัมฤทธิ์ กราบเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นเดินตรงไปยังซอกถ้ำ อันเป็นส่วนลึกของถ้ำก่อนที่จะแทรกตัวเข้าไปในซอกหินได้หันมากล่าวกับหลวงพ่อว่า

    “ข้าพเจ้าคือพญานาคผู้เฝ้ารักษาถ้ำกายสิทธิ์นี้มาเป็นเวลานาน ได้พบแล้วผู้ซึ่งทรงความบริสุทธิ์แห่งศีลสมควรแก่การเคารพนับถือ ขอมอบเหล็กไหลและของกายสิทธิ์ทั้งหมดในที่นี้แก่ท่าน และขอมอบเสื้อคลุมของข้าพเจ้าไว้เป็นที่ระลึกแก่ท่าน เราหมดวาระแล้ว” ซึ่งต่อมาหลวงพ่อได้สำรวจภายในถ้ำส่วนลึกก็ได้พบ “คราบงู” ขนาดใหญ่ปรากฏอยู่

    กล่าวจบก็แทรกตัวเข้าไปในซอกหิน หายไปไม่กลับออกมาอีกเลยกระทั่งเช้า

    เมื่อหลวงพ่อท่านได้ไปสำรวจดูในซอกหินที่พญางูยักษ์หายไป สิ่งที่หลวงพ่ออยู่ซอกหินนั้นคือซากของคราบงูที่เพิ่งมาลอกทิ้งไว้ ซึ่งมีความยาวถึง 6 เมตรเศษ ซึ่งจะเป็นเสื้อผ้าที่พญางูเคยกล่าวไว้ว่าจะมอบให้หลวงพ่อนั่นเอง

    หลังจากนั้นก็ได้มีศรัทธาญาติโยมในหมู่บ้านมานิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษาที่นี่ เพราะเคยมีพระมาธุดงค์พักอาศัยถ้ำนี้หลายองค์ แต่พอเช้าจะมาถวายอาหารบิณฑาตร ก็ไม่ทราบว่าท่านถอนกลดหายไปแต่เมื่อใด คาดว่าคงจะพบเหตุการณ์ที่น่าสพึงกลัวจากอาถรรพ์แห่งขุนเขาจนเกิดความกลัว

    นับแต่นั้นมา หลวงพ่อสัมฤทธิ์ จึงได้เริ่มก่อกำเนิดวัดถ้ำแฝด เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2500 ด้วยบาตรและกลด จากสำนักสงฆ์จนสำเร็จเป็นวัดที่สมบูรณ์ ประกอบไปด้วย กุฎิ ศาลาการเปรียญ และพระอุโบสถ

    เทวดาอนุโมทนา


    การมาพำนักอยู่ที่วัดถ้ำแฝด ในระยะแรกนั้นลำบาก และเหน็ดเหนื่อยที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้เพราะสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาและป่าไม้รวกขึ้นลงแต่ละครั้งก็แสนลำบาก เนื่องจากจำเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงสถานที่ไปตามโอกาสและทำไปเรื่อยๆ ตามลำพังเป็นส่วนใหญ่เพราะชาวบ้านในแถบนี้ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าพอๆ กันมืดค่ำลงก็ทำอะไรไม่ค่อยสะดวกแล้วนานๆ ก็จะมีชาวบ้านปลีกตัวมาช่วยบ้างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

    ในส่วนการปฏิบัติธรรมนั้น หลวงพ่อสัมฤทธิ์ท่านไม่เคยทอดทิ้งเลยแม้แต่วันเดียวด้วยเพราะสถานที่นี้เหมาะแก่การพิจารณาและปฏิบัติธรรมมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เอื้ออำนวยต่อการภาวนาซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่า สิ่งเหล่านี้ท่านได้สัมผัสตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่แล้ว

    ทุกครั้งที่นั่งกรรมฐานจะเห็นนิมิตรเป็นรัศมีสว่างไสวปรากฏอยู่บนยอดเขาแห่งนี้โดยทั่วไปซึ่งเชื่อได้ว่าสถานที่แห่งนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยังค้นไม่พบยังมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าอยู่มากมายทำให้มีกำลังใจในการปฏิบัติภาวนาอย่างเข้มข้นเสมอมา

    เหตุมหัศจรรย์อีกครั้งในชีวิตของสมณเพศเป็นวันเพ็ญเดือน 12 ของปี พ.ศ. 2505 ได้เกิดปาฏิหารย์ขึ้นที่บริเวณวัดถ้ำแฝดแห่งนี้อีกครั้ง โดยมีประจักษ์พยานรู้เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก

    เนื่องจากเป็นวันเพ็ญเดือน 12 มีญาติโยมมาเจริญกรรมฐานภาวนากับหลวงพ่อหลายคน คืนนั้นท่านได่เทศน์นำอารมณ์กรรมฐานแก่ญาติโยมเป็นเวลาพอสมควรแล้วท่านก็นั่งภาวนาของท่านบ้างชั่วอึดใจจิตของท่านก็ดิ่งสู่สมาธิธรรม เกิดความสงบสบายอย่างบอกไม่ถูก เสวยอารมณ์นั้นอยู่ชั่วครู่ก็ปรากฎนิมิตรภาพขึ้นในมโนทวาร เห็นภาพยอดเขาด้านหน้าถ้ำแฝดมีแสงสว่างเรืองรองปกคลุมไปทั่ว

    นิมิตภาพนั้นค่อยๆชัดเจนขึ้นทุกขณะ จนปรากฏรูปร่างชัดเจน ปรากฏว่าบนยอดเขาที่เห็นแสงสว่างเรืองรองนั้น ใช่แต่จะมีเฉพาะเมฆหมอกเท่านั้นบนยอดเขาสว่างไสวราวกับกลางวันปรากฏร่างเหล่าเทพบุตร เทพธิดา ชาวฟ้า ชาวสวรรค์ ทรงเครื่องเหมือนละครสีสวยสดงดงามตระการตายิ่ง แต่ละองค์สถิตย์อยู่ในวิมานของตนเองที่ล่องลอยอยู่เหนือยอดภูเขาดูละลานตาไปหมด

    ด้วยความสงสัยว่าภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพลวงมายาหรือภาพจริงกันแน่ หลวงพ่อสัมฤทธิ์จึงคลายสมาธิ ลืมตาขึ้นมองไปยังสถานที่ดังกล่าวปรากฎว่ายังคงเห็นภาพในนิมิตปรากฎอยู่ดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

    คราวนี้หลวงพ่อท่านไม่ชักแน่ใจว่าตัวท่านเองนั้นท่าจะเสียสติไปแล้วที่มองเห็นภาพเหล่านั้นด้วยตาแท้ๆ จึงลองหยิกเนื้อตัวเองดูแรงๆแล้วก็รู้สึกเจ็บจริงๆถ้านั้นภาพที่ปรากฏต่อหน้าเวลานี้ก็เป็นภาพจริงสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อมิใช่จิตวิปลาสคลาดเคลื่อนอย่างที่คิดเพราะภาพเหล่านั้นปรากฏยาวนานจนถึงเช้าวันใหม่จึงหายไป

    เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น หลวงพ่อท่านจึงได้ตรวจสอบในนิมิตจากญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมด้วยกันปรากฏว่าทุกคนก็ได้เห็นภาพนั้นเหมือนกันหมด ตรวจสอบถึงลักษณะเสื้อผ้าสีสันการแต่งกายของเหล่าเทพเทวาทั้งมวลก็ตรงกัน

    ที่แน่ชัดเข้าไปอีกในช่วงเช้ามืด นายแถม หมอดี ได้ขึ้นมาที่วัดถ้ำแฝดแต่เช้าตรู่ก็ยังมีโอกาสได้เห็นภาพดังกล่าวด้วยตาเปล่าเช่นกัน และเห็นอยู่นานจวบจนอาทิตย์เริ่มทอแสงภาพเหล่านี้จึงค่อยๆ เลือนหายไปต่อหน้าต่อตา

    เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ภาพที่เห็นย่อมมิใช่ภาพหลอนหรือภาพลวงตา จึงเชื่อได้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นการแสดงอนุโมทนาของเหล่าทวยเทพที่สถานที่แห่งนี้จะปรากฏเป็นสถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนาสืบไปภายหน้า จึงได้มาปรากฏเป็นนิมิตรเครื่องหมายให้ปรากฏต่อสาธารณชนให้กล่าวขานประกาศให้รู้กันทั่วไป
    ละสังขาร
    แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านได้ด่วนมามรณภาพไปเสียก่อนเวลาอันควร เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2539 ด้วยโรคระบบการทำงานของหัวใจล้มเหลว เพราะท่านมีโรคประจำตัวคือ เบาหวานและความดันโลหิตสูง ด้วยวัยชรา 73 ปีกับภาระการต้อนรับศรัทธาญาติโยมโดยไม่ได้พักผ่อนให้พอเพียงทำให้ท่านด่วนละจากพวกเราไป ท่ามกลางความเศร้าโศกของศิษยานุศิษย์ทั้งไทยและต่างประเทศเป็นอันมาก

    ก่อนหน้าที่ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ จะมรณะภาพเพียง 1 อาทิตย์ คณะถ่ายทำสารคดีจาก ททบ 5 ได้มาถ่ายทำรายการ "เปิดโลกตำนาน" เหมือนเป็นละครบทสุดท้ายที่ท่านฝากผลงานไว้ในโลกแห่งตำนานของพระอริยเจ้าองค์หนึ่ง ที่เป็นต้นตำนานแห่งเหล็กไหล และพิธีสาวน้ำตาเทียนอันโด่งดังเป็นหนึ่ง และเป็นเอกลักษณ์พิเศษสำหรับยอดพระเกจิแห่งยุครัตนโกสินทร์ที่ไม่เหมือนใคร

    ภายหลังการมรณภาพ ปรากฏเป็นอัศจรรย์ในบุญฤทธิ์เพราะสังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย ผมและเล็บงอกเองได้ตามธรรมชาติ ซินแสผู้เชี่ยวชาญ คือ คุณพรเทพ สุริยเสนีย์ (ดั่งอั่งเซียะซินแซ) ได้มาตรวจสอบถึงกับอุทานว่า "วิเศษ มหัศจรรย์" เกือบ 20 ปีที่ทำงานมา ซินแสเพิ่งได้พบเห็น ซากสังขารของพระอริยสงฆ์ที่มีสภาพสมบูรณ์เต็มที่เป็นครั้งแรก คือ อวัยวะภายใน ปอด ลำไส้ หัวใจ ทรวงอก ผิวพรรณ ไม่มีส่วนใดชำรุด หรือเสียหาย ใบหน้ายังอิ่มเหมือนคนนอนหลับ

    ปัจจุบันสังขารของหลวงพ่อสัมฤทธิ์บรรจุอยู่ในโลงแก้วบนมณฑปสวยงาม เป็นที่เคารพบูชา ให้โชคให้ลาภแก่ผู้ที่ไปกราบไหว้ เส้นเกศาของท่านที่ลูกศิษย์เก็บไว้ ได้เปลี่ยนจากสีดำเป็นแก้วใส วันดีคืนดีเม็ดเหล็กไหลที่ท่านฝังไว้ที่แขนจะวิ่งและเปล่งแสงได้เป็นที่อัศจรรย์ เป็นสังขารของอริยสงฆ์ที่คู่ควรแก่การกราบไหว้เป็นอย่างยิ่ง
     
  2. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    ประวัติ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆสิตาราม (วัดบ้านแค) จ.ชัยนาท

    หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เดิมชื่อเด็กชายกวย ปั้นสน เกิดวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๘ ปีมะเส็ง ณ หมู่บ้าน บ้านแค หมู่ ๙ ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท เป็นบุตรของคุณพ่อ ตุ้ย ปั้นสน บ้านเดิมอยู่วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง มารดาชื่อคุณแม่ต่วน เดชมา เป็นคนบ้าน แค ท่านทั้งสองมีบุตรและธิดาด้วยกัน ๕ คน

    คนที่ ๑ ชื่อนายตุ๊ ปั้นสน คนที่ ๒ ชื่อนายคาด ปั้นสน คนที่ ๓ ชื่อนายชื้น ปั้นสน คนที่ ๔ ชื่อนางนาค ปั้นสน คนที่ ๕ พระกวย ชุตินฺธโร

    ปัจจุบันพี่น้องของท่านและท่านได้มรณภาพหมดแล้ว

    เด็กชายกวย ปั้นสน เป็นบุตรคนสุดท้องของบิดามารดา ถือว่าเป็นบุตรคนเล็กที่ ก็เป็นที่รักรักใคร่ของบิดามารดา เมื่อโตขึ้นบิดา มารดาจึงได้นำมาฝากไว้กับ หลวงปู่ขวด ณ วัดบ้านแค เพื่อเรียนหนังสือ ในสมัยนั้นบ้านเมืองยังเป็นป่าเป็นดง จะหาโรงเรียน เรียนก็ยาก เพราะห่างไกลความเจริญ หลวงปู่ขวด ได้ไต่ถามถึงวัน เดือน ปีเกิดของเด็กชายกวย ตลอดจนลักษณะผิวพรรณ การ เดินและการพูดจา เด็กชายกวยมีวันเดือนปีเกิดของมหาบุรุษ แสดงว่าวันข้างหน้าจะได้ดีเป็นเจ้าคนนายคน ลักษณะสีผิว สีผิวขาว เหลืองแบบคนมีปัญญา สีผิวต่างจากบิดามารดา ริมฝีปากเล็กแสดงว่าเป็นคนพูดน้อย ประกายตากล้าแข็งเด็ดเดี่ยว แสดงว่าเป็น คนเด็ดเดี่ยวเด็ดขาด แต่เจ้าอารมณ์ การเดินก็แคล่วคล่องปราดเปรียว หลวงปู่ขวดได้พอใจและรับไว้เป็นศิษย์ ได้สอนหนังสือ ก.กา สระ ตัวสะกด การันต์ แล้วเรียนบวก, ลบ, คูณ, หาร จนคล่อง

    เด็กชายกวยยังได้อ่านหนังสือธรรมบท บทสวดมนต์ต่าง ๆ ของพระ เด็กชายกวยก็ท่องได้ทั้ง ๆ ที่อายุเพียง ๖-๗ ขวบเท่านั้น หลวงปู่ขวดจึงได้ให้เด็กชายกวยเรียนหนังสือขอม เรียนสูตร, สน นาม อีกมากมาย เด็กชายกวยก็เรียนได้ จำได้ หลวงปู่ขวดได้ทุ่มสติปัญญาในการสอนเด็กชายกวยจนเต็มกำลัง เพราะรู้ในชะตา ของเด็กชายกวยว่า วันข้างหน้าอาจจะได้บวชในพระศาสนา จะได้เป็นใหญ่เป็นโต ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่ขวดชราภาพมากแล้ว ต่อมา หลวงปู่ขวดก็มรณภาพ บิดามารดาจึงได้นำเด็กชายกวยมาเรียนหนังสือขอมต่อกับอาจารย์ดำ วัดหัวเด่น

    ซึ่งใกล้ ๆ กับวัดบ้านแค เมื่อเรียนหนังสือขอมจนแตกฉานแล้ว บิดามารดาจึงได้พาเด็กชายกวยมาเรียนที่โรงเรียนวัดพร้าว ต.ดอนกำ อ.สรรคบุรี โดยเดิน ทางไปเรียนเพราะไม่ไกลนัก ได้สอบไล่ ชั้น ป.๑ และ ป.๒ เด็กชายกวยแทบจะไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมเลย เพราะเด็กชายกวย ได้เรียนมากับหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำมาแล้ว แถมยังมีความรู้มากกว่ารุ่นเดียวกันมากนัก ภาษาขอมก็เขียนได้ อ่านได้แตกฉาน เด็กชายกวยจึงเบื่อที่จะเรียนในโรงเรียนอีก จึงได้ช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพทำไร่ไถนา ระหว่างที่นายกวยทำไร่ไถนานี้ นาย กวยคิดถึงแต่หลวงปู่ขวด คิดถึงแต่วัด การทำไร่ทำนาหาไปใช้ไปไม่มีแก่นสาร หาประโยชน์อะไรไม่ได้ ช่วงนี้ตามคำบอกเล่าของ ผู้เฒ่าผู้แก่ บอกว่านายกวยไม่ได้ประพฤติเป็นคนเกเรเหมือนกับคนเมืองสรรคบุรีสมัยนั้น จากคำบอกเล่าชองหลวงพ่อกวยเอง

    เมื่อถามถึงชีวิตในวัยหนุ่ม หลวงพ่อกวย ท่านเล่าว่า ท่านเป็นคนซน คือซุกซน ชอบยิงกระสุน (รูปร่างคล้ายธูน แต่ใช้ลูกดินยิง) คือบ้านไหนตอนกลาง คืนไม่ยอมปิดประตูหน้าต่างให้ดี ท่านจะแกล้งเอาคันกระสุนยิง เพื่อเตือนให้เจ้าของบ้านปิดประตูหน้าต่างให้ดี ในวัยหนุ่มนั้น ท่านได้พูดกับบิดามารดาว่า ถ้าตัวเองได้บวชเมื่อไรจะบวชไม่สึก ซึ่งท่านเคยเล่าให้คุณย่าฉวย เทียนจัน คนหัวเด่นเป็นพี่คุณยาย ฉายคนที่ดูแลท่านก่อนมรณภาพ อายุย่าฉวนมากกว่าหลวงพ่อ ๓-๔ ปี ท่านได้เล่าถึงมูลเหตุของการบวชไม่สึกว่า ตอนสมัยท่านหนุ่ม ๆ ท่านมีคนรักอยู่เหมือนกัน ท่านเคยขึ้นกาคนรักของท่านในตอนกลางคืน โดยปีนหน้าต่างเข้าไปหา ท่านไม่ได้ พูดไว้ว่าขึ้นหาบ่อยหรือไม่ และไม่ได้บอกว่าคนรักของท่านชื่ออะไร คืนวันหนึ่งเดือนหงาย พระจันทร์เต็มดวง ท่านนัดกับคนรัก ของท่านว่าจะไปหา แต่เมื่อท่านไปแล้ว ปรากฏไม่กล้าเข้าไปหา เพราะแสงจันทร์สว่างมากกลัวว่าที่พ่อตาจะเห็น ท่านได้คอยจน กระทั้งเดือนตก คือดึกมากแล้ว ท่านได้ปีนขึ้นไปหาคนรักของท่านปรากฏว่าคนรักของท่าน คอยท่านจนหลับไป ท่านได้เข้าไปดู คนรักของท่านนอนหลับอยู่ ผมผ้ายุ่งเหยิงนอนอ้าปากน้ำลายไหล ผ้าผ่อนเปิดคล้ายคนตาย คล้ายซากศพ หาความงามไม่ได้เลย ท่านได้ถอยหลังออกมาแล้วปีนหน้าต่างกลับ และท่านไม่ได้ไปหาคนรักของท่านอีกเลย และไม่มีคนรักอีก ความตอนนี้คล้ายคลึงกับ

    เรื่องของพระยศะในพุทธกาล แสดงว่าหลวงพ่อกวยไม่ยินดีในกามคุณตั่งแต่ก่อนบวช เมื่อท่านอายุครบบวช บิดามารดาท่านจึงได้ จัดการอุปสมบทให้ แต่นายกวยได้พูดกับบิดามารดาว่า ถ้าจะบวชให้ตนก็ขอให้บวชกันที่วัดไม่ให้จัดพิธีใหญ่โต ไม่ต้องมีการแห่แหน ให้เปลืองเงินเปลืองทอง โดยท่านให้เหตุผลของครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำว่า "พระเทศน์ก็ต้องรู้จักเวลา ผู้ศรัทธาก็ต้องรู้จักกำลัง " บิดามารดาจึงได้พานายกวยไปหาอุปัชฌาย์ คือ พระชัยนาทมุนี จัดการโกนหัวบวชให้ มีหลวงพ่อปา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์หริ่งเป็นอนุสาวนาจารย์ บวชเมื่อวันที่ ๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ เวลา ๑๕ นาฬิกา ๑๗ นาที อายุ ๒๐ ปี ณ วัดโบสถ์ ต.โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีฉายาว่า ชุตินฺธโร แปลว่า "โลกนี้มีแต่ความวุ่นวายของโลก หนักไปด้วยกิเลส ตัณหาคือ โลภ โกรธ หลง ทั่งสิ้น ถ้าท่านผู้ใดตัดกิเลส ตัณหาได้ก็จะถึงซึ่งฝั่งพระนิพพาน"

    เมื่อบรรพชาอุปสม บทแล้วก็กลับมาจำพรรษาอยู่วัดบ้านแค ตอนนั่นหลวงปู่มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ พระกวย ชุตินฺธโร จึงหัดเทศน์เวสสันดรชาดก กันกุมาร, ทานกัณฑ์ ในแถบนั้นสมัยนั้นไม่มีใครสู้ท่านได้เลย ท่านเทศน์แหล่หญิงหม้ายกล่าวถึงพระนางมัทรี และเทศน์แหล่ชาย หม้ายกล่าวถึงพระเวชสันดรต้องไปอยู่ป่าหิมพานต์ ถ้าไม่มีพระนางมัทรีตามเสด็จไปด้วย ก็จะเป็นชายหม้าย ส่านพระนางมัทรี ก็จะเป็นหญิงหม้าย ท่านเทศน์แหล่ถึงการเป็นหญิงหม้ายชายหม้าย มีแต่คนนินทาว่าร้าย คงจะไม่ดีสามีถึงได้ทิ้ง คนแต่งตัวคน เขา ก็ว่าคงอยากจะมีผัวจนตัวสั่น ครั้นไม่แต่งตัว คนเขาก็ว่ารูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ สามีถึงได้ทิ้ง ส่วนชายหม้ายนั้นก็น่าสงสาร มีแต่คน เขาว่าคงจะไม่ดีเมียถึงได้ทิ้ง คงจะเป็นคนเกเรเป็นนักเลงสุราหรือนักเลงการพนัน จะอยู่จะกิน ก็อด ๆ อยาก ๆ ลูกเต้าหรือก็ ขะมุกขะมอม บ้านก็ผุก็พัง เพราะขาดกำลังใจ ท่านแหล่ขนาดหญิงหม้าย ชายหม้าย ไม่อาจนั่งฟังบนศาลา ต้องหลบไปแอบฟัง ที่ ใต้ต้นไม้ บางคนนั่งน้ำตาไหลเป็นบาง บางคนร้องไห้โฮ ชื่อเสียงของท่านในการเทศน์ทานกัณฑ์นั้นโด่งดังมาก แต่กัณฑ์อื่น ๆ หลวงพ่อก็เทศน์ไม่ดีนัก

    เพราะการเทศน์เวสสันดรชาดกนั้นพระนักเทศน์ต้องตลกคะนอง แต่หลวงพ่อกวยไม่ชอบตลกคะนอง ปัจจุบัน ใบในการเทศน์ของท่านยังอยู่ที่วัด หลวงพ่อเขียนไว้ว่า พระกวยสร้างถวาย แล้วตอกตรารูปสิงห์ชูคอเอาไว้ อยู่ต่อมาหลวงพ่อได้หยุดเทศน์โดยหลบหรือแอบไปเรียนวิชาแพทย์โบราณกับหมอเขียน หมอเขียนคนนี้สามารถรักษาโรคระบาด หรือโรคห่าได้ ตอนนั้นคนเป็นโรคระบาดที่บ้านโคกช้าง ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก หมออื่น ๆ ก็ตาย เหลือหมอเขียนคนเดียว สามารถรักษาโรคห่า, โรคไข้ทรพิษได้ ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ พระกวยได้มาเรียนปริยัติธรรม

    เพื่อให้เจริญใน ศาสนา ได้มาอยู่วัดวังขรณ์ ๒ พรรษา ต.โพธิ์ชนไก่ พรรษาต่อมาได้เรียนธรรมโท แต่พอสอบได้เป็นไข้ไม่สบายเลยไม่ได้สอบ จึงมาคิดได้ว่าปริยัติธรรมก็เรียนมาพอสมควร จึงอยากจะเรียนวิปัสสนากรรมฐานและอาคมตลอดจนวิธีทำเครื่องรางของขลัง จึงได้เดินทางไปเรียนวิชากับหลวงพ่อศรี วิริยะโสภิต แห่งวัดพระปรางค์ จ.สิงห์บุรี หลวงพ่อศรีองค์นี้เชี่ยวชาญในวิปัสสนา กรรมฐานมาก เก่งที่สุดในจังหวัดสิงห์บุรี ขณะนั้นหลวงพ่อได้เรียนวิชาทำแหวนนิ้ว ซึ่งแหวนนิ้วของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ใต้ท้องวงจะตอกตัวขอมอ่านว่าอิติ ของหลวงพ่อก็เช่นกันและได้เรียนวิชาอีกหลายอย่าง ได้จำพรรษาอยู่วัดหนองตาแก้ว ต.โคกช้าง อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี ที่วัดตาแก้วนี้ หลวงพ่อได้ปลูกต้นสมอไว้ ๑ ต้น ปัจจุบันยังอยู่ หลวงตาสมาน เคยไปอยู่วัด หนองตาแก้ว ได้นำไก่แจ้เอาไปนอนบนต้นสมอ ปรากฏว่าไก่ไม่ยอมนอน ไม่ทราบว่าหลวงพ่อได้ลงวิชาอะไรไว้ ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อ เพิ่งอายุ ๒๘ ปี พรรษาได้ ๘ พรรษา

    แสดงว่าหลวงพ่อกวยเป็นผู้มีอาคมตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่ม ได้จำพรรษาที่วัดหนองตาแก้ว ๑ พรรษา ในวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้มาจำพรรษาที่วัดหนองแขม ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท อีก ๑ พรรษา ได้เรียน แพทย์แผนโบราณต่อกับโยมป่วน บ้านหนองแขม และเรียนแพทย์แผนโบราณต่อกับหมอใย บ้านบางน้ำพระในขณะที่พักจำ พรรษาที่วัดหนองแขม ไก้มีเพื่อนภิกษุชื่อ แจ่ม ได้เดินทางท่องเที่ยวไปพบตำราเป็นสมุดข่อยอยู่ในโพรงไม้ แต่เอามาไม่ได้ เพราะตำรานั้นมีอาถรรพณ์แรงมาก คล้ายมีเทพและเทวดารักษา จึงได้มาชักชวนพระกวยให้ไปดู ปรากฏว่ามีตำราอยู่โพรงไม้จริง มีรอยคนเอาพวงมาลัยดอกไม้ ธูปเทียนมาบูชา ใต้โคนไม้ พระภิกษุ กวย จึงได้จุดธูปบอกเล่า และ อธิฐานว่า "ถ้าจะให้ข้าพเจ้าเอา ตำรานี้ไปเก็บรักษาไว้ ขอธูปที่จุดนี้ให้ไหม้ให้หมดดอก" แต่ปรากฏว่าธูปได้ไหม้ไม่หมด พระภิกษุกวยจึงได้เสี่ยงสัตย์อธิษฐานขึ้น มาใหม่ว่า

    "ถ้าหากว่าท่านจะให้ตำรานี้ให้ข้าพเจ้าเอาไปเก็บรักษาไว้ข้าพเจ้าจะนำเอาตำรานี้ไปทำประโยชน์แก่วัดและช่วยเหลือ ประชาชนเท่านั้น" แล้วก็จุดธูปขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายปรากฏว่าธูปได้ไหม้หมดทั้ง ๓ ดอก หลวงพ่อกวย จึงได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ เจ้าของตำราและอัญเชิญเอาตำรานั้นมาเก็บไว้ ต่อมามีคนร่ำลือกันว่ามีคน ๆ หนึ่งได้นำตำราชุดนี้มาเก็บไว้ในบ้าน ได้เกิดเหตุวิบัติ เจ็บไข้ล้มตาย จึงเอาตำราชุดนี้มาทิ้งไว้ดังกล่าว พระภิกษุกวย เมื่อได้ข่าวดังนั้นก็มาเปิดตำราดูก็ปรากฏว่ามีลายลักษณ์อักษรบอก ไว้ในตำราว่า ตำรานี้ห้ามเอาไปไว้บ้านใคร ๆ ทั้งสิ้น มิฉะนั้นจะฉิบหาย พระภิกษุกวยจึงได้ศึกษาตำรายันต์และคาถาจากตำราเล่ม นี้ ปัจจุบันตำราเล่มนี้ยังอยู่ที่วัด หน้าปกเขียนว่าครูแรงด้วยสีแดง ปกติไม่มีใครกล้าหยิบต้อง

    ผู้เขียนเคยขอร้องให้ท่านอาจารย์ สำรวย เจ้าอาวาสหยิบมาให้ดู ๑ ครั้ง ผมได้จุดธูปบอกเล่าหลวงพ่อกวย และเจ้าของตำราขอสมาโทษ ได้ขอสมาต่อหลวงพ่อกวยว่า "ผมไอ้ ครู ศิษย์คนเล็กของหลวงพ่อ ตอนหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ ผมไม่กล้าที่จะล่วงเกินหลวงพ่อแม้แต่น้อย เคารพหลวงพ่อดุจบิดา แต่วันนี้ อาจเอื้อมเปิดตำราของหลวงพ่อ เปรียบเสมือนครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อ ขอหลวงพ่อจงอย่าได้ถือโกรธ หากพระมนต์บทใด หลวงพ่อจะให้ขอให้ผมจำได้เพียงท่องแค่ ๓ ครั้ง" ผมได้เปิดตำราดู ใจตำรามีพระมนต์และยันต์ต่าง ๆ มากมายหลายร้อยยันต์ เป็นยันต์กันอาวุธ, กันกระทำ, กันคุณ, กันของ คาถาก็มีมากมายหลายบท เป็นภาษาของคนโบราณแต่มีบทหนึ่งเขียนไว้ว่า พระมนต์พระพุทธเจ้าชนะมาร ใช้เรียกนางแม่ธรณี ใช้ทำน้ำมนต์ ฆราวาสห้ามเรียน ในพระมนต์นี้ได้เขียนถึงการใช้มนต์ใจทาง ที่ดี และใช้ไปในทางที่ร้าย คือ มนต์ดำ ผมเลยตัดสินใจอธิษฐานขอเรียนท่องเพียง ๒ ครั้ง ก็จำได้แล้วปิดตำรามอบคืนให้ท่าน อาจารย์สำรวย

    เรื่องตำรายันต์ที่หลวงพ่อคัดลอกและเรียนมานี้ ปัจจุบันอยู่ที่อาจารย์เหวียน มณีนัย คนทำทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี ๑ เล่ม เก็บรักษาอยู่ที่วัดท่าทอง แขวนไว้ในกุฎิไม่มีใครกล้ายุ่ง อยู่ที่อาจารย์ตั๊ว ๑ เล่ม อยู่ที่อาจารย์แสวง วัดหนอง อีดุก อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ๑ เล่ม ส่วนที่วัดมีหลายเล่ม มีอยู่เล่มหนึ่งเป็นตำราภาษาไทย มองดูก็ธรรมดา หลวงพ่อห่อปกไว้ อย่าวงดี ใส่พานไว้บูชาหน้าปกเขียนว่า ทางมรรคผล ลายแทงนิพพานเขียนโดยหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ รับหนังสือไว้ พ.ศ. ๒๕๐๒ ปีนั้นหลวงพ่อสดมรณภาพแล้ว ตำรานี้ปัจจุบันยังอยู่ใจพาน หน้าโต๊ะหมู่ท่าน กรุณาอย่าไปแตะต้อง บางคนกลับไปบ้าน ไม่สบายเพ้อคลั่งปวดหัวก็มี เข้าใจว่าหลวงพ่อกวยได้ศึกษาตำราเล่มนี้ในบั้นปลายของชีวิต

    เมื่อหลวงพ่อออกจากวัดหนองแขมแล้ว ได้ไปจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ได้มาเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ได้เรียนวิชาทำ แหวนแขน, ตะกรุด, มีดหมอ และอื่น ๆ และได้เรียนวิชารักษาโรคกระดูกหักจากหลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐี จ.อุทัยธานี เข้าใจว่า หลวงพ่อคงจะเรียนวิชากับหลวงพ่อองค์อื่น ๆ อีก เพราะในตำรารักษาไข้ ยังได้กล่าวถึงครูของท่านองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน กับหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว ก็เข้าใจว่าชอบพ่อกัน เพราะหลวงพ่อเคยทำพระพิมพ์ยอดขุนพล แล้วนำเหรียญ หลวงพ่อกันกดลงไปด้านหลัง

    ศิษย์ร่วมรุ่นของหลวงพ่อที่เป็นที่รู้กันคือ หลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู อ.บรรพตพิสัย คือครั้งหนึ่ง พระโชน วัดหัวเด่น ได้ไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ได้พูดว่าสรรคบุรี ไม่รู้จักท่านกวยหรือ พระโชนได้พูดว่า เป็นศิษย์ครับ หลวงปู่ หัวเราะชอบใจใหญ่เลย ได้พูดว่า "ท่านกวยเขาใจจริง" เรียนวิชามาด้วยกัน เขาใจจริง เขาไม่กลัวอะไร จากคำบอกเล่าจากพระภิกษุแบนและพระหลวงตา ตลอดจนศิษย์รุ่นเก่าได้พูดตรงกันว่า หลวงพ่อกวยตอนที่อยู่ที่วัดก็เป็นพระ ที่มีอาคมเหมือนพระทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อท่านกลับมาจากเรียนวิชาจากเมืองเหนือ (หมายถึง นครสวรรค์) เมื่อท่านกลับมาท่านเก็บตัว พูดน้อย มีจิตมหัศจรรย์ วาจาสิทธิ์ เหนือกว่าพระทั่วไป เรื่องที่หลวงพ่อไปเรียนวิชามากับหลวงพ่อเดิมนี้ มีหลักฐานคือมีรูปถ่าย ของหลวงพ่อเดิม มีจารด้วยลายมือ พบในกุฏิของหลวงพ่อ หลักฐานอีกอย่างหนึ่งคือ ลุงลอน คนสักยันต์แทนหลวงพ่อก็มี มี ๒ รูป สมัยนั้นเดินไป หลังสงครามหลวงพ่อจะไปเรียนวิชาทำทอง เล่นแร่แปรธาตุ แต่หลวงพ่อเดิมไม่สอนให้ ในช่วงนี้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าหลวงพ่อกลับวัดบ้านแคเมื่อไร แต่ก่อน พ.ศ. ๒๔๘๔ เมื่อหลวงพ่อกลับมาอยู่วัดบ้านแค หลวงพ่อ ได้ทำการสักให้ศิษย์ มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ขนาดสักกันทั้งกลางวันกลางคืน ทางเดินสมัยก่อนต้องเดินเท้าเอา ลำบากมาก อย่างดี ก็ขี่จักรยาน รถ ๒ แถว มีเข้าวัด ๑ คัน ออก ๑ คัน เท่านั้น มีศิษย์สักมาก ได้จดบัญชีไว้ ๔ หมื่น ๔พันคน แล้วหลวงพ่อก็ไม่ได้จด ชื่อศิษย์อีกเลย ไม่ถามแม้แต่ชื่อ ศิษย์สักของหลวงพ่อหลายคนยิงไม่ออก เป็นเรื่องแปลกมาก ที่คนธรรมดาจะยิงไม่ออก

    ต่อมา หลวงพ่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา หลวงพ่อได้หยุดสัก หลวงพ่อได้พูดกับศิษย์ว่า ถ้าท่านไม่เลิกสัก หลังคากุฏิท่านสามารถเอาแบงค์ ร้อยมามุ่งหลังคาแทนได้ (สมัยนั้นแบงค์ ๕๐๐ แบงค์๑,๐๐๐ ยังไม่มี) แล้วหลวงพ่อก็ทำแต่เรื่องรางของขลัง เช่น ตะกรุด, มีดหมอ, แหวนแขน, พระพิมพ์ ฯ ในสมัยนั้นเมื่อเสือเดินผ่านวัดหลวงพ่อ ต้องยิงปืนถวายทุกครั้ง ทั้งกลางวัน กลางคืน ในวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๑ หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส เข้าใจว่าหลวงพ่อคงจะกลับวัดบ้านแคมาก่อนหน้านี้หลายปี เพระจากคำบอกเล่าของคนเก่าเล่าไว้ว่า ใน สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๘๔ หลวงพ่อได้มาอยู่ที่วัดบ้านแค แล้วได้นำ ตะกรุดของครูบาอาจารย์มาแจก เป็นของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ก็มี เป็นของหลวงพ่อเดิมก็มี เป็นงาก็มี ที่หลวงพ่อทำเองก็มี เพราะมีคนมาขอกันมาก ตลอดจนสมัยนั้นมีเสือเข้ามาปล้นบ้านกันมากมาย บ้านเมืองข้าวยากหมากแพง ผู้คนเดือดร้อน บ้างก็เจ็บ ป่วย ไม่มีหมอ ไม่มียา พระกวยก็ช่วยจนสุดกำลัง คนก็เรียกกันว่า อาจารย์กวยบ้าง หลวงพ่อกวยบ้าง หลวงพ่อคร่ำเคร่งสักให้ ศิษย์บ้าง แจกเครื่องรางบ้าง พระบ้าง, ตะกรุดบ้าง, รักษาโรคบ้าง บ้านเมืองก็เกิดข้าวยากหมากแพง หลวงพ่อจึงตัดสินใจถือ ธุดงค์วัตรข้อฉันอาการเพยงมื้อเดียวมาตลอด ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ เรื่อยมา

    ในวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระกรรมวาจารย์ (คู่สวด)

    ปฏิปทาของหลวงพ่อกวย

    ต่อไปจะขอกล่าวถึงปฏิปทาของหลวงพ่อ จะบอกกล่าวเพียงสังเขป พอสรุปเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้ คือ

    ๑. พูดน้อย หลวงพ่อเป็นพระที่พูดน้อย กับคนทั่วไปจะพูดน้อย พูดสุภาพ ระวังตัว ถามคำหนึ่ง ตอบคำหนึ่ง แต่ถ้าเป็นศิษย์ใกล้ ชิด ท่านจะพูดมึงกู ใช้ภาษาแบบเก่า ถ้าเป็นหญิงท่านจะพูดว่าอีหนู, หนู, คุณหนู

    ๒. ชอบเลี้ยงสัตว์ หลวงพ่อชอบเลี้ยงสัตว์ โดยปล่อยให้อยู่อย่างอิสระ ยกเว้นลิง ที่ชอบมากคือสุนัขหรือหมา คือหลวงพ่อชอบ ธรรมชาติจึงปลูกต้นไม้ด้วย

    ๓. รักและเมตตาศิษย์ หลวงพ่อจะเมตตาต่อศิษย์ ไม่ว่ายากดีมีจน ไม่ว่าคนดี หรือคนบ้า ไม่ว่าคนหรือหมา ท่านเมตตา เท่า เทียมกัน ไม่เลือกแม้ดีหรือเลว ติดผง หรือเป็นผู้หญิงหากิน ท่านไม่เคยแสดงอาการรังเกียจดูเหมือนจะเมตตาคนบ้า คนจน คนมีปัญหามากกว่าคนปกติด้วยซ้ำ

    ๔. ชอบแจกวัตถุมงคล หลวงพ่อไม่ชอบการจำหน่ายวัตถุมงคล โดยเฉพาะวัตถุมงคลที่ท่านทำขึ้นท่านชอบให้คนมีปัญหา ทุกข์ร้อนทางใจ ใครที่จะมาเช่าบูชาเอาไปมาก ๆ ท่านจะไม่ให้ แม้คนยากคนจน แม้ชอบ หรือมีความจำเป็นท่านก็ให้ ไม่คำนึง ถึงความยากลำบากในการทำ หรือต้นทุนการทำ

    ๕. ชอบสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อไม่ชอบการจำหน่ายวัตถุมงคล โดยเฉพาะวัตถุมงคลที่ท่าน ทำขึ้นท่านชอบ ให้กับคนมี ปัญหาทุกข์ร้อนทางใจ ใครที่จะมาเช่าบูชาเอาไปมาก ๆ ท่านจะไม่ให้ แม้คนยากคนจน แม้ชอบหรือมีความจำเป็นท่านก็ให้ ไม่คำนึงถึง ความยากลำบากในหารทำ หรือต้นทุนการทำ

    ๖. ชอบเก็บตัวเร้นลับ หลวงพ่อไม่ชอบรับนิมนต์ ไม่ว่างานอะไรทั้งสิ้น ชอบอยู่แต่ในกุฏิ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่รับกิจนิมนต์

    ๗. ชอบคนจริง หลวงพ่อชอบศิษย์ที่เป็นคนจริง ใจถึง ท่านจึงเลี้ยงหมาเอาไว้ เอาไว้ขู่ศิษย์ที่มาหา เพราะท่านจะทำพระ คือ ถ้าศิษย์จำเป็นจริง ๆ ตั้งใจมาหาท่านจริง ก็จะพยายามต่อสู้กับหมา คือป้องกันคนรบกวนท่านมากเกินไป และหมาท่านนี้ ท่านห้าม ไม่ให้ศิษย์ดูหมาให้ใครด้วย ยกเว้นท่านจะดูให้เอง แต่ถ้าเป็นผู้หญิงท่านจะดูให้อย่างดี

    ๘. เป็นผู้คงแก่เรียน หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบศึกษาค้นคว้า ชอบเรียนเวทมนต์ คาถา อักขระ เลขยันต์ วิชาต่าง ๆ เครื่องราง ชนิดต่าง ๆ หลวงพ่อสามารถทำได้ทุกแบบ มีตำราเลขยันต์ยาว ๓-๔ วา ไม่รู้ว่ากี่เล่ม คัดลอกโดยลายมือท่าน ครั้งหนึ่งที่ บางตา หงาย อ.บรรพตพิสัย เขานิมนต์พระมาสวดแก้อาถรรพณ์, เสนียดจัญไร มีพระระดับหลวงพ่อมาหลายองค์ ทางเจ้าภาพเป็น คน ใหญ่ คนโต ได้นิมนต์หลวงปู่ หลวงพ่อ แต่ละองค์สวดมนต์ พอนิมนต์มาถึงหลวงพ่อกวย หลวงพ่อสามารถว่าคาถาได้ ๓-๔ ชั่วโมง โดยไม่จบ จนเจ้าภาพต้องนิมนต์ให้จบ เพราะเกรงใจท่าน เรื่องนี้หลวงพ่อเจ้ย วัดห้วย, หลวงตาสมาน วัดหัวเด่น ยืนยันได้

    ๙. ชอบให้ทาน หลวงพ่อชอบให้ทาน คือท่านคงชอบ เคารพ และศรัทธา ในพระ มหากัจจายณ์ พระสิวลี และ พระเวสสันดร ท่านจะอุ้มบาตรพร้อมข้าวตอก, ข้าวสาร, เกลือ, พระพิมพ์, สตางค์เหรียญฯ นำเอามาแจกเป็นทาน ในงานประจำปี หรืองานผ้าป่า เป็นประจำ ถ้าเจอคนแก่ท่านจะให้คนแก่เอื้อมไหหยิบของในบาตรท่าน ท่านจะพูดว่าอยากได้อะไรก็หยิบเอา แก่แล้วไปแย่งกับเขา เดี๋ยวเขาจะเหยียบเสียตาย เกี่ยวกับเรื่องให้ทานนี้ แม้หวยบางครั้งท่านก็บอก วิธีการบอกของท่านคือ ถ้ามีคนมาขอหวยไม่ยอมไป ท่านจะจดใส่กระดาษม้วนให้ หรือบางทีก็ไม่ม้วนและโยนให้ ให้ตรง ๆ เลย ไม่ใบ้

    ๑๐. ไม่หวงลาภสักการะ หลวงพ่อเป็นพระที่ไม่สนใจเงินทอง ใครถวายท่านก็รับ แล้ววางไว้ข้างตัว พอศิษย์หรือแขกกลับ ท่านก็ลุกเข้ากุฏิโดยไม่สนใจเงินทอง ต้องมีกรรมการวัดหรือพระมาคอยเก็บ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ท่านจะบอกปัด หรือท่านจะลองใจ คนมานิมนต์ก็ไม่รู้ ท่านจะพูดว่า ไปหาแพ ซิ (หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง) ไปหาจวน ซิ (หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม) หรือพูดว่าไป หาเชื้อ ซิ (หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ) ท่านจะพูดว่านิมนต์เขาไปปลุกเสกซิ ของจะขายดีคือวัตถุมงคลก็จะจำหน่ายดี โดย

    ท่านจะบอกทางให้เสร็จ โดยท่านจะถ่อมตนว่า เอาท่านไปปลุกเสก คนเขาไม่มีใครรู้จักท่าน ของก็จะขายไม่ดีคือ วัตถุมงคลก็จะ จำหน่าย ไม่ค่อยได้ เพราะไม่มีใครรู้จักท่าน

    ๑๑. ฉันอาหารมื้อเดียว หลวงพ่อถือธุดงค์วัตร ข้อฉันอาหารเพียงเวลาเดียว เป็นเวลาถึง ๓๐ กว่าปี จนกระทั่งมรณภาพ ก่อน มรณภาพ ๑ ปี หลวงพ่อได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท หมอได้วินิจฉัยว่าหลวงพ่อเป็นโรคขาดอาหารมา ๓๐ กว่าปี ได้ให้โปรตีนช่วย เมื่อกลับวัดแล้วทางแพทย์ขอให้ท่านฉันอาหาร ๒ เวลา ท่านก็ไม่ยอม

    ๑๒. ไม่ลงให้ใคร หลวงพ่อเป็นพระที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากไม่ประจบ หรือลงให้ใคร เข้าใจว่าท่านเคยลง ให้ครูบาอาจารย์ท่านมามากแล้ว แม้พระผู้ใหญ่เมื่อไปเจอกันในงานสำคัญ ๆ ท่านก็ไม่เข้าไปกราบ ไม่เข้าไปพูดคุยด้วย แม้ศิษย์หรือผู้เคารพ นับถือท่าน เป็นคนใหญ่คนโตระดับนานอำเภอหรือทหารระดับนายพัน นายพล ท่านก็ไม่สนใจ ไม่ต้อนรับพิเศษ ไม่ถามชื่อ ถ้าไม่ พอใจ บางทีท่านยังพูดมึง กู คือครั้งหนึ่งนายอำเภอมาหาท่าน เมื่อเจอท่าน อยู่ที่วิหารด้านล่างได้ไต่ถามท่านว่า หลวงตา กุฏิหลวง พ่อกวย อยู่ที่ไหนท่านได้ชี้ไปที่กุฏิท่านและนายอำเภอก็ขึ้นกุฏิไปหาท่าน ปรากฏว่าโดนหมากัด ท่านก็ขึ้นตามไป พอนายอำเภอ ทราบว่าท่านคือหลวงพ่อกวย ได้ต่อว่าท่านที่ท่านปล่อยให้หมากัด และได้แนะนำตัวว่าเป็นนายอำเภอ แทนที่ท่านจะพูดดีด้วย ท่านกลับพูดว่า"แล้วใครใช้ให้มึงมาหากู" งานนี้เข้าใจว่านายอำเภอ คงจะด่าท่านแหลกลาน

    ๑๓. มั่นใจจึงแจก หลวงพ่อได้สร้างวัตถุมงคล, พระพิมพ์ เพื่อให้ศิษย์ไว้ป้องกันตัว เพื่อบำบัดทุกข์ทางใจ เพื่อความร่ำรวย เพื่อความสุขความเจริญ ก่อนที่หลวงพ่อจะมอบวัตถุมงคลให้ใคร หลวงพ่อต้องทดลองดูก่อนว่ากันมีด กันปืนได้หรือไม่ เช่น หลวงพ่อจะจารอักขระไว้ที่ต้นไม้ ต้นที่คนชอบเอาปืนยิง แล้วหลวงพ่อจะคอยฟังดูว่า จะยิงออกหรือไม่ออก บางครั้งก็ลองเสกกิ่ง ไม้ใบไม้ ให้คนทดลองยิงดู โดยลองดูว่าคาถาบทนี้จะขลังใช้ได้จริงหรือไม่ เมื่อตอนจะสัก ก็ลองสักให้คนที่มีคนหมายปองชีวิต ว่าจะยิงออกหรือไม่ หรือเข้าหรือไม่ แม้พระสมเด็จของท่านเมื่อทำออกมาใหม่ ๆ ท่านจะลองให้คนที่มีหนี้สินจะล้มละลาย หรือ คนยาก คนจน เป็นต้น แล้วท่านก็คอยดูว่าเขาจะดีขึ้นหรือไม่ เมื่อเห็นว่าดีจึงแจกออกไป

    ๑๔. อุปนิสัยแปลก หลวงพ่อเป็นพระที่มีอุปนิสัยหรือปฏิปทาแปลกพระทั่ว ๆ ไป ในบางอย่าง เช่น ไม่ชอบจำหน่ายวัตถุมงคล ชอบแจกชอบให้ แต่ให้เอาไปใช้เอาไปบูชา มีบางคนได้มาหาท่านมาขอเช่าวัตถุมงคลจากท่าน บางครั้งท่านตอบไม่มีเฉย ๆ ก็เคย เข้าใจว่าไม่ชอบให้เช่า คือท่านไม่ชอบจำหน่ายของ รู้สึกท่านละอายใจแต่ถ้าขอเฉย ๆ โดยไม่นับถือจริง ๆ บางครั้งท่านก็ตอบไม่มี เฉย ๆ ก็เคย การเข้าไปขอวัตถุมงคล ถ้าขอโดยไม่เกรงใจ เช่น ท่านจะออกมาพบศิษย์ต่อเมื่อฉันข้าวเช้าและประมาณ ๑๐ โมงเช้า ถ้าศิษย์คนไหนมาหาแบบไม่เกรงใจ คือเรียกท่านแบบไม่เกรงใจ คือจะเช่าของหรือขอของวัตถุมงคลนั่นแหละ แต่ทำแบบไม่เกรงใจ คือเรียกท่าน บางครั้งท่านจะยิงเอาด้วยคันกระสุน ก็เคยมี นับว่าหลวงพ่อเป็นพระที่แปลกกว่าพระทั่วไป คือเอาคันกระสุนยิงศิษย์ ก็เคยมี ก็ขอยุติปฏิปทาของหลวงพ่อเพียงนี้ เรื่องปฏิปทาของหลวงพ่อนี้มีบางคนไม่ชอบท่าน เช่น ท่านเลี้ยงหมาเอาไว้ขู่ศิษย์ บาง ครั้งก็กัดจริง ๆ ทำให้ศิษย์บางคนไม่พอใจท่าน อีกข้อหนึ่งที่คนไม่ชอบท่านคือพบยาก เขาว่าหลวงพ่อไม่คอยต้อนรับแขก เขาเลยไปหาหลวงพ่อองค์อื่น เขาไม่เข้าใจว่าหลวงพ่อกำลังพิมพ์พระอยู่ หรือทำตะกรุดอยู่

    ผู้วิเศษเมืองสรรค์

    คุณวิเศษในตัวของหลวงพ่อกวยนั้น ลูกศิษย์ยกย่องว่าหลวงพ่อคือผู้วิเศษเมืองสรรคอย่างแท้จริง เมืองสรรคบุรี คืออำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท เกจิอาจารย์ของเมืองนี้ที่จำได้ รุ่นปู่มี ๑ องค์คือ หลวงพ่อเฒ่า (ปั้น) วัดค้างคาว ส่วนรุ่นพ่อมี ๓-๔ องค์ คือ หลวงพ่อคง วัดใหม่บำเพ็ญบุญ หลวงพ่อปลื้ม วัดสังฆาราม หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง และหลวงพ่อโม วัดจันทาราม ส่วนรุ่นสุด ท้ายหรือรุ่นลูกมี ๓ องค์ คือ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ และองค์สุดท้ายคือหลวงพ่อพิมพ์ วัดสนามชัย หลังจากหลวงพ่อพิมพ์มรณภาพไปแล้วก็ยังไม่ปรากฏว่ามีเกจิอาจารย์ท่านใดที่คนเมืองสรรค์ยอมรับอย่างเต็มปาก ในจำนวนเกจิอาจารย์ที่กล่าวมามีเพียง ๒ ท่านที่มีดวงจิตมหัศจรรย์จนศิษย์ยอมรับและตั้งฉายาให้ว่า เป็นผู้วิเศษ ไม่ว่าจะบนบาน บอกเล่าอย่างไร ใกล้ไกลแค่ไหน ถ้ารู้ถ้าช่วยได้ท่านจะช่วยทันที ท่านผู้นั้นคือหลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาว และหลวงพ่อกวย วัดโฆษิตราม สำหรับหลวงพ่อเฒ่านั้นรู้จักในวงแคบเฉพาะอำเภอสรรคบุรีเพราะเป็นพระรุ่นปู่และไม่ได้สร้างวัตถุมงคลอะไรไว้มากมาย โดยเฉพาะเหรียญ เพิ่งมาสร้างสมัยหลวงพ่อกวยและหลวงพ่อกวยก็ปลุกเสกให้

    วัตถุมงคลที่สร้างสมัยก่อนนั้นก็มี ผ้าแดง ผ้าอาราฬวกยักษ์ (ผ้ายันต์ค่ายกล) และผ้าขอด ปัจจุบันก็ชำรุดเกือบหมดแล้ว ส่วนหลวงพ่อกวยนั้น ได้ดำเนินรอยตามอาจารย์ปู่คือหลวงพ่อ เฒ่า วัดค้างคาว แต่ชีวิตเป็นของน้อย วันเวลาของท่าน ท่านได้ทุ่มเทเวลาสร้างเครื่องรางของขลังให้ศิษย์ ท่านมีปฏิปทาสันโดษ ชอบเก็บตัวเร้นลับเพื่อที่จะได้ใช้เวลาอันน้อยนิด นี้ได้สร้างวัตถุมงคลที่เป็นของจริงให้ศิษย์ แม้หนังสือพระเครื่องจะมาขอนำพระ ประวัติของท่านไปลงตีพิมพ์ ท่านก็ปฏิเสธ ท่านเกรงว่าคนจะมารบกวนท่านมากไปจนไม่มีเวลาของวิเศษให้ศิษย์ได้คุ้มครองตน ก่อนจะกล่าวถึง อภินิหาริย์ ในดวงจิตของท่าน จนท่านได้รับฉายานี้ จะขอกล่าวคุณวิเศษในตัวท่านที่ท่านเรียนวิชามา จะขอเรียง ลำดับเป็นข้อ ๆ เท่าที่จำได้ดังนี้

    ๑. ท่านมีมันสมองมาก ศีรษะแบบศรีษะช้าง ตรงกลางเป็นลอน แล้วโหนกหน้าโหนกหลัง ท่านสามารถท่องจดจำคาถาโองการ ต่าง ๆ ที่ยาวได้ ขณะเป็นเด็กวัดเรียนแค่ประถม ๒ ท่านสามารถจดจำวันเวลาที่ผ่านมาได้ แม้จะนานแสนนาน คล้ายสมองของท่าน รีวายแบบเทปได ้สามารถบอกเวลาเกิด, เวลาบวช เวลาไปที่ใด สามารถบอกได้บอกออกมาเป็นวัน เดือน ปี เวลาเท่าไร กี่นาฬิกา นาที

    ๒. มีหูทิพย์ ตาทิพย์ รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ รู้อดีตได้ ใครจะมาเรื่องอะไรท่านรู้ล่วงหน้าได้ ท่านจะไปสวดมนต์ ไปช้าไปเร็วท่าน รู้ หวยจะออกอะไรท่านรู้ ใครมาหาท่าน ท่านรู้ แม้ท่านล้มเจ็บจะมรณภาพท่านก็รู้

    ๓. ยิงกระสุนทางคดได้ หายตัวได้

    ๔. เป่าแหวนเข้านิ้วผู้อื่นได้แม้นั่งอยู่ไกล

    ๕. ทำให้ถ่ายรูปไม่ติดได้

    ๖. ทำให้คนที่มาหาจำท่านก็ได้ จำท่านไม่ได้ก็ได้

    ๗. เสกสะเก็ดไม้ให้ปืนยิงไม่ออกก็ได้

    ๘. ขอดผ้าให้ปืนยิงไม่ออกก็ได้

    ๙. เรียกมดลงรูได้

    ๑๐. เสกข้าวให้ไก่กิน ใครกินไก่, กินไข่ไก่ เป็นขี้กลากก็ได้

    ๑๑. เอาเชือกผูกหินแล้วลองตีศิษย์ ศิษย์ไม่เจ็บก็ทำได้

    ๑๒. คนกำลังยิงปืนบอกให้ยิงไม่ออกก็ได้

    ๑๓. เอามือบีบหัวแม่มือตัวเองทำให้คนปวดหัวหายปวดหัวได้

    ๑๔. เอามีดถากไม้ ทำให้คนกระดูกหักหายได้

    ๑๕. ภรรยาปวดท้อง จะคลอดลูก ทำให้ไปปวดที่สามีได้

    ๑๖. ใครมาตามให้พ่นป่วง ให้คนที่มาตามกินน้ำมนต์ คนที่เป็นป่วงอยู่ทางบ้านหายได้

    ๑๗. เสกคนเป็นจระเข้ได้

    ๑๘. สามารถแปลงร่างเป็นเสือได้

    ๑๙. สามารถเสกก้านกล้วยเป็นงูเขียว

    ๒๐. สามารถเสกผ้ารัดเอวเป็นงูเห่าได้

    ๒๑. สามารถเสกใบแจงเป็นตัวต่อได้

    ๒๒. สามารถตัดกระดาษแดงใส่ธูปเป็นปลากัด กัดกันได้

    ๒๓. สามารถหยิบถ่านแดง ๆ ในเตาได้

    ๒๔. สามารถหยิบของในที่ไกลได้

    ๒๕. ท่านเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ บางครั้งเป็นทันตาเห็นเลย

    ๒๖. ปลุกเสกวัตถุมงคลลอยน้ำได้ เสกให้ลอยในอากาศก็ได้

    ๒๗. พูดกับต่อให้ไปต่อยคนได้ พูดกับเต่าให้ไปตามคนได้

    ๒๘. ส่งพระให้ศิษย์ทางเมล์อากาศโดยไม่สอดซองติดแสตมป์ได้

    ๒๙. ศิษย์โดนทำร้ายอยู่ใกล้ไกลแค่ไหนสามารถรู้ได้

    ยังมีคุณวิเศษของหลวงพ่อนี้มีหลักฐานผู้ที่ได้วิชาไปดังนี้ นายเฉือน ปั้นสน คนหนองแขม สามารถขอดชายผ้า ยิงไม่ออก, หมอ เฉลียว เดชมา ได้วิชาตีไม่เจ็บ, เสือผ่าน อ้นฉ่ำ, หมอแจ๋ ได้วิชาบังไพรหายตัวได้, หลวงตาจิ๊ด สามารถเสกหินลอยน้ำได้, นายยุทธ ยิ้มจู เรียกมดลงรูได้, นายแดง สว่างศรี ได้คาถาหัวใจแมลงป่อง สามารถจับแมลงป่องได้ไม่ต่อย, นายชัย คนทางวัดค้างคาว ได้ คาถาหัวใจนาคราช สามารถจับงูได้งูไม่กัด อาจารย์เหเหเหวียน มณีนัย คนท่าทอง สามารถผ่าไม้รวกได้ด้วยมือ, อาจารย์ตี๋ สำนักสงฆ์ เขาเขียว นั่งบนน้ำได้, อาจารย์เม่าบีบถ้วยแบบถ้วยสังคโลก ให้ปากถ้วยรวมเข้ามาหากันได้, ใช้มีดบังฟันก็ทำได้


    สรุปคุณวิเศษของหลวงพ่อ

    ๑ เป็นผู้มีลาภ หลวงพ่อเป็นพระที่อุดมลาภ ท่านได้ปฏิบัติตนเหมือนพระเวสสันดร, ปฏิบัติตนเหมือน พระสีวลีเถระ, เหมือน พระสังกัจจายณ์ ชอบทำทานเป็นที่สุด และยังได้ติดต่อกับพระสิวลีได้ แม้ที่กระถางธูปท่าน ท่านก็ทำธงพระสิวลีบูชาอยู่ ท่านสวด คาถาบูชาทุกวัน ทำให้ท่านเป็นพระที่อุดมลาภ มีคนมาขอหวยท่าน ถ้าท่านเห็นว่าพอมีโชคลาภท่านจะเขียนให้ตรง ๆ เลย กับคน ใกล้ชิดกับท่านถ้าไปไหนด้วยกันถามท่านว่าเลขไหนดี ท่านจะบอกออกไปเลย แม้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านยังเขียนเลขไว้ในฝ่า มือ ถ้าใครมีโชคมีลาภมาเยี่ยมท่าน ท่านจะแบมือให้ดู แม้มรณภาพไปแล้ว ใครบูชารูปท่านอยู่ ขอโชค ขอลาภ จากท่าน ท่านให้ได้ จะให้เลย มีคนถูกหวยเพราะบูชารูปท่าน มีเป็นร้อยคน บางคนได้ส่งเงินมาทำบุญมูลนิธิ ตก ๑ หมื่นบาท เพราะถูกหวยจากการขอ พรท่าน มีคนถูกหวยกันมาก ชนิดไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ผมเคยไปวัด มีคนมาแก้บนชื่อเรณู บ้านอยู่ทางวัดค้างคาว ถูกหวยติดต่อ กัน ๑๘ งวด เกี่ยวกับหารที่ท่านเป็นผู้อุดมลาภนี้ เมื่อมีคนบูชารูปท่านจะปรากฏว่ามีความสุข ความเจริญ ซื้อง่าย ขายคล่อง สมกับ คำพรของท่านที่เคยให้แก่ศิษย์ไว้คือ "ขอให้อย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา"

    ๒. เป็นผู้คงแก่เรียน หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบศึกษาค้นคว้า เรียนมามากไม่ว่าตำรายา, ตำรายันต์, คาถาอาคม เรียนมาแทบทุก แทบทุกยันต์ ปัจจุบันตำรายาของท่านที่ท่านเรียนเอาไว้ จดใส่สมุดเล่มหนา ๆ เอาไว้ตก เกือบ ๑ ร้อยเล่ม ตำรายันต์ต่าง ๆ มีเก็บไว้ เป็นตู้ จดเองกับมือ คาถายาว ๆ ท่องได้หมด เครื่องรางทำได้เกือบทุกชนิด ทำได้ขลังด้วย ไม่ว่าผลัดแหวนแขน, ตะกรุด, เชือก คาดเอว, ผ้ายันต์, กุมารทอง, รัก-ยมฯ วัตถุมงคลรุ่นแรก ๆ ท่านทำเองกับมือด้วย เช่นพระหินแกะ, กระเบื้องแกะ, กุมารทอง กระ ดูกผีแกะ ท่านยังเคยทำ ตัว พ.พาน ที่ทำจากก้านธูปพันด้วยสายสิญจน์ มอบให้ศิษย์ใกล้ชิด คือหมอเฉลียว เดชมา, กับนายที ทำให้ ไว้คนละตัว

    เมื่อหมอเฉลียวถามท่านว่าหลวงพ่อทำเป็น น่าจะทำออกแจกมาก ๆ หลวงพ่อตอบว่า "เอาไว้ให้หลวงตาเย็น เอาไว้ สร้างโบสถ์มั่ง ไปทำซะหมดทุกอย่างได้อย่างไร" หลวงพ่อยังสามารถทำเครื่องรางของขลังได้อัศจรรย์ คือสามารถเตือนภัยได้ สิ่งนั้นคือ แหวนแขน สามารถเตือนภัยรัดแขนได้ ไม่ปรากฏมีมาก่อน สรุปได้คือ หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบศึกษาทางอาคมมาก ไม่ว่า วิชาตำรายา, ตำรายันต์, อาคม ที่ปรากฏชื่อของครูบาอาจารย์เข้าของยันต์ เจ้าของอาคม ที่มีอยู่เป็นหลักฐานยืนยันได้และเป็นที่รู้ จัก คือ หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง, หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ, หลวงพ่อแบน วัดเดิมบาง, หลวงอิ่ม วัดหัวเขา, หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน, หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ฯ เฉพาะที่เป็นยันต์ต่าง ๆ กันภัย กันปืน, ค้าขาย, เมตตา, กันกระทำ, หายตัว, กัน ยมฑูต, กันเพลี้ย, กันหนอน, ยันต์ ปลุกให้ตื่น ฯ เฉพาะที่เป็นยันต์ต่าง ๆ ที่หลวงพ่อเรียนมา มีหลายร้อยยันต์ท่านได้เขียนผ้ายันยันต์ เอาไว้ยันต์ละ ๑-๒ ผืน ได้ผ้ายันต์ถึงหลายร้อยผืน แม้แต่อาคมแปลก ๆ ท่านก็เรียนเอาไว้ ที่เด่นที่สุด คือ คนปวดหัว ปวดท้องถ้า ไปบอกท่าน ท่านจะเอามือบีบนิ้วโป้งท่าน ปรากฏว่าคนปวดหัวปวดท้องหาย คนจะออกลูก จะให้สามีปวดแทน ท่านก็ทำได้ นับว่า หาได้ยาก แม้วิชาชั้นสูงสุด เช่น ผูกหุ่นพยนต์เป็นสัตว์ต่าง ๆ เสกก้านกล้วยเป็นงูเขียว, วิชาเสือสมิง, วิชาแปลงร่างเป็น จระเข้หลวงพ่อก็ทำได้

    ๓. เป็นผู้มีดวงจิตมหัศจรรย์ หลวงพ่อเป็นพระที่มีเมตตาต่อศิษย์ต่อคนทั่วไป เมื่อหลวงพ่อฝึกจิต จนได้หูทิพย์, ตาทิพย์ เมื่อ ทราบว่าศิษย์หรือผู้เคารพนับถือ ตกทุกข์ได้ยาก เดือดร้อน ขอโชคขอลาภ เมื่อท่านทราบถ้าช่วยได้จะช่วยทันที ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่อง ใหญ่ เรื่องไกลเรื่องใกล้ หรือเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าช่วยได้จะช่วยเลยไม่ลังเล ถ้าเป็นเรื่องดี เรื่องค้าเรื่องขายยิ่งชอบช่วย จิตของท่าน กว้างไกลมาก แม้อยู่ต่างประเทศก็ช่วยได้เคยมีศิษย์ของท่านไปรบที่ลาว ถูกล้อมอยู่ ท่านเคยถอดจิต เดินนำหน้าศิษย์ฝ่าวงล้อมออก ไปได้ เพียงแค่ร้องขอให้ท่านช่วย บางคนตัดรูปท่านในหนังสือเอาไปบูชา รูปไม่ได้ปลุกเสก ขอพรต่อท่าน ซื้อหวยถูกได้ บางคน ได้ขอพรต่อรูปท่านในหนังสือยังถูกหวยได้ บางคนก็ไปสมัครงาน เขารับวุฒิ ปวส. แต่ศิษย์ท่านจบวุฒิ ปวช. คือวุฒิต่ำกว่า ได้บอก เล่าท่านปรากฏว่าเขารับ ซึ่งแปลกมากทั้ง ๆที่วุฒิ ปวส. ก็มีตัวให้เลือก เรื่องจิตของท่านที่เมตตาศิษย์และคนทั่วไปนี้ เมื่อท่าน สร้างวัตถุมงคล ท่านจึงไม่มีข้อห้าม ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะดีหรือบ้า จะประกอบอาชีพอะไร ก็บูชาของท่านได้ ไม่ว่าจะเป็นนัก ร้อง, ดารา, ผู้หญิงบาร์, หมอนวด หรือโสเภณี ใช้ได้หมด ผู้ชายจะเป็นเสือเป็นโจร หรือเป็นพวกรถไฟ, เรือเมล์, ลิเก, ตำรวจ, ก็ใช้ ได้ เพราะจะทำให้ผู้นั้นได้ประพฤติปฏิบัติเป็นคนดีขึ้นในเวลาต่อมา สรุปคือ หลวงพ่อเป็นผู้มีลาภ, มีวิชาดี, มีเครื่องรางดี, มีจิตดี



    การสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย

    หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบทำวัตถุมงคลเอง เช่นพระเนื้อดิน พระเนื้อผง ท่านมีความตั้งใจสูงมาก แม่พิมพ์พระสมเด็จ เป็นแม่พิมพ์ที่ใช้มือบีบเอง ทำทีละองค์ ส่วนแม่พิมพ์พระเนื้อดิน โดยมากใช้วิธีถอดพิมพ์จากของเก่า เคยมีศิษย์ของท่านได้พระกรุมา นำมาถวายท่าน เช่นพระพิมพ์สรรค์ ท่านก็นำมาถอดพิมพ์

    ตะกรุด ท่านจะจารเอง ม้วนเอง ทำสายเอง บางดอกท่านจะถักหุ้มเอง ส่วนมีด ยุคแรกท่านตีเอง กับพ่อแก่อุ้ย และลูกเขยคือลุงคลี่ ยิ้มจันทร์ คนบ้านคู ยุคต่อมาเป็นช่างพยุหะ มีดนี้ท่านใส่ด้ามเองทุกเล่ม แหวนแขน ท่านทำเอง ลงรักเอง ปลัด ยุคแรกเป็นไม้ ท่านเหลาเอง จารเอง ยุคต่อมาเป็นตะกั่วผสมเงิน ท่านสั่งทำบ้าง หล่อเองบ้าง จารบ้าง ไม่จารบ้าง

    วัตถุมงคล เช่นเหรียญรุ่น 1,2 ท่านดำเนินการเองทุกอย่าง ยกเว้นเหรียญรุ่น 3 ท่านให้ศิษย์เป็นผู้ออกแบบ ส่วนรูปหล่อรุ่นสอง ชนิดเล็ก ศิษย์ก็เป็นผู้ดำเนินการ

    ส่วนผสมของพระเนื้อดินทุกชนิด ท่านจะผสมแร่วิเศษต่างๆและผงวิเศษต่างๆของท่าน แต่พระเนื้อผงบางรุ่นก็ผสมแร่วิเศษและผงวิเศษ เช่นกัน บางพิมพ์มีเส้นเกศาของท่าน และครูบาอาจารย์ของท่าน

    พระพิมพ์ปรกโพธิ์ 9 ใบ มีเส้นพระเกศาของผู้มีบุญสูงมากผสมอยู่ แร่วิเศษนั้นท่านเอามาจาก ดอนเจดีย์ ที่เขาสารพัดดี อำเภอหันคา ดินกลางใจเมืองสุโขทัย แร่ที่เหมืองแม่เมาะ ลำปาง ปัจจุบันแร่นี้ยังมีอยู่ที่ตู้ พิพิธภัณฑ์ ส่วนผงวิเศษนั้นท่านทำเอง โดยใช้ดินสอพองผสมกับเครื่องยาที่ท่านปลูกเอง ปลุกเสกเอง รดน้ำด้วยอาคม บางอย่างก็หาเอามา เครื่องยาที่ท่านใช้ทำดินสอนั้น มีดอกเสน่ห์จันทร์ทั้ง 5 ฝัก ราชพฤกษ์ เมล็ดมะกล่ำขาว ดีทั้ง 5 ดีนี้เป็นดีของสัตว์ท่านจะปลุกเสกเอาไว้ ถ้าบ้านไหนเกิดอาเพศหนักๆ ท่านจะให้เอาไปแขวนไว้หน้าบ้าน จะแก้ได้

    การปลุกเสก พระผง ท่านจะปลุกเสกด้วยคาถาหลักคือ ปริตมนต์ มนต์นี้เป็นของพระพุทธเจ้าโดยตรง แก้โรคระบาดได้ แคล้วคลาดปลอดภัย กันผีปีศาจได้ แก้อาเพศอาถรรพณ์ได้ นอกนั้นก็ปลุกด้วย มนต์จินดามณี และอื่นๆ เช่น มนต์แม่ธรณี มีพระอยู่พิมพ์หนึ่ง คือสมเด็จหลังรูปเหมือนท่านทั้ง 2 รุ่น ท่านผสมด้วยผงผีเอาไว้ พระทั้ง 2 รุ่นนี้ กำบังดี แต่บางครั้งอาจกวนเด็กได้

    พระเนื้อดิน ท่านจะผสมทรายเสกทุกรุ่น ทรายเสกนี้ท่านปลุกเสกเอาไว้กันผี กันวิญญาณได้ แคล้วคลาด พลางตาได้

    มีดหมอ ท่านบรรจุของในด้ามมีดด้วยผ้าแดงของ อาราฬวกยักษ์ แร่อุกกาบาต แผ่นยันต์ เกศา ก้นบุหรี่ ผงวิเศษ ส่วนการปลุกเสกนั้น ท่านเสกด้วย อาวุธ 5 อย่าง มงกุฎพระพุทธเจ้า

    แหวนแขน ท่านลงด้วย อิติปิโส 8 ทิศ ลงคาถา ฆะเตสิ ปลุกเสกจนสามารถรัดเตือนภัยได้

    ตะกรุด ท่านลงไว้หลายยันต์ ผ้าประเจียดก็เช่นกัน ท่านเคยพูดว่า ท่านปลุกเสกด้วย โองการ มหาทะหมึน

    เหรียญและรูปหล่อ ท่านปลุกเสกด้วย มงกุฎพระพุทธเจ้า นะโมตาบอด และอื่นๆ

    พระเครื่องก็ดี วัตถุมงคลต่างๆของท่านก็ดี ท่านจะปลุกเสกของท่านเองทั้งหมด มีมนต์อยู่บทหนึ่งที่ท่านต้องปลุกเสกด้วยทุกครั้ง คือ มนต์พระกาฬ มนต์นี้ ใครทำไม่ดี คิดไม่ดี ต่อผู้ที่มีวัตถุมงคลของหลวงพ่อ จะแพ้ภัยตัวเอง ท่านจะสั่งศิษย์ของท่านไว้เสมอว่า อย่าเอาวัตถุมงคลต่างๆของท่านไปลองเดี๋ยวจะเข้าตัว เพราะท่านได้ปลุกเสกมนต์พระกาฬเอาไว้ ท่านจะสั่งไว้อย่างหนัก

    การปลุกเสกของหลวงพ่อ

    ท่านจะปลุกเสกตามฤกษ์มงคลก่อน แล้วจึงปลุกเสกด้วยฤกษ์โจร ฤกษ์บุญพญามาร คือพระของท่าน คนดีก็ใช้ โจรก็ใช้ ท่านมีวิธีปลุกเสกที่ลึกซึ้งมาก ท่านจะปลุกเสกตอน เช้า สาย บ่าย เย็น หัวค่ำ เที่ยงคืน ก่อนสว่าง ท่านจะปลุกเสกทุกวันเพื่อป้องกันคนชะตาขาดใช้ คือวันจันทร์ ถึงอาทิตย์ วันไหนอ่อนยิ่งต้องปลุกเสกให้มาก

    คำพูดของท่านเกี่ยวกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดถึง สมเด็จหลังรูปว่า หลังรูปเก่งดี ปรกโพธิ์ 9 ใบ ร่มเย็น อยู่ที่ไหน ไม่มีใครรังเกียจ พูดถึงมีดหมดว่า ถ้าบาดมือ ให้เอาด้ามมีดหมอฝนทำน้ำมนต์ทาจะหาย

    ส่วนข้อห้ามในการบูชาวัตถุมงคลของท่านนั้นมีเพียงอย่างเดียว คือ ห้ามด่าแม่ ห้ามเด็ดขาด



    วัตถุเครื่องรางของขลัง หลวงพ่อกวย ชุตินธโร

    1. ประเภทเหรียญ ท่านสร้างในนามวัดมี 3 รุ่น

    เหรียญรุ่น 1 สร้างปี พ.ศ.2506 ประมาณ 5,000 เหรียญ เป็นเนื้อฝาบาตร มีเนื้ออัลปาก้า 9 เหรียญ ด้านหลังเป็นยันต์มงกุฏพระพุทธเจ้า ด้านหน้านั่งเต็มองค์

    เหรียญรุ่น 2 ขนาดใหญ่เท่าเหรียญบาทรุ่นเก่า เนื้อทองแดง สร้าง พ.ศ.2515 เสาร์ 5

    เหรียญรุ่น 3 ออก พ.ศ.2521 ก่อนหลวงพ่อมรณภาพ 1 ปี แบ่งออกเป็น 3 เนื้อ คือ เนื้ออัลปาก้า ด้านหลังเป็นรูปหนุมานยกธงรบ , เหรียญทองแดงรมดำ ด้านหลังเป็นยันต์ตารางสี่เหลี่ยม, เหรียญพุ่มข้าวบิณฑ์ ด้านหลังเป็นยันต์สี่เหลี่ยม

    2. ประเภทเหรียญรูปท่าน สร้างให้วัดอื่นมี 2 วัด

    เหรียญวัดเขาใหญ่ เป็นเนื้อทองแดงรมดำ

    เหรียญวัดเดิมบาง เนื้อทองแดงรมดำ สร้าง พ.ศ. 2515

    3. ประเภทเครื่องราง

    แหวนแขน สามารถเตือนภัยได้

    ผ้าขอด ทำด้วยผ้าแดง, ผ้าขาว, ผ้าจีวร มีชนิด 1 ขอด, 5 ขอด, 7 ขอด

    หนังเก้ง, หนังเสือลงยันต์

    ตัว พ.พาน ตำราเดียวกันกับ หลวงปู่เย็น

    ดีสัตว์ กันอาเพศอาถรรพณ์

    ปลัด มีทั้งไม้, และตะกั่วนมผสมเงิน

    มีดหมอ มีหลายขนาด

    ตะกรุด ท่านจะจารเอง ถักเอง มีทั้งดอกเดียว 2 ดอก, 3 ดอก, 5 ดอก, 6 ดอก, 7 ดอก มีเยอะมาก

    หนุมานลอยองค์ เป็นเนื้อทองเหลือง ใต้ฐานท่านจารไว้ทุกตัว

    สิงห์ เนื้อตะกั่ว, ทำด้วยงาช้างแกะก็มี

    รัก-ยม ยุคแรกๆ หลวงพ่อแกะเอง และมีชนิดสั่งทำก็มี

    กุมารทอง ยุคเก่าแกะจากกระดูกผีก็มี เป็นตะกั่วหล่อก็มี

    นามบัตรหลวงพ่อ มี 3 แบบ คือ รุ่น 1 เขียนว่า พระอาจารย์กวย, รุ่น 2 เขียนว่า พระอธิการกวย, รุ่น 3 เขียนว่า พระครูกวย

    ผ้ายันต์หรือผ้าประเจียด ยุคแรกท่านเขียนเองด้วยหมึกจีน

    ยุค 2 เขียนด้วยปากกา

    ยุค 3 เขียนด้วยสีเมจิก ผ้ายันต์นั้นท่านเขียนไว้มากมาย หลายแบบ ท่านทำผ้ายันต์แปลกๆได้เยอะมาก ทุกคนที่มีต่างหวงแหนกันมาก ที่ทำเป็นเสื้อยันต์ก็มี

    ลูกปืนลงอาคม มีหลายขนาดมากมาย

    สีผึ้งยุคแรกๆ ท่านจะเคี่ยวเอง บั้นปลายสั่งทำ

    ผ้าจีวร, ผ้าสังฆาฏิ, ผ้ารัดอก ส่วนมากจะอยู่กับศิษย์ใกล้ชิด ท่านจะเสกเอาไว้

    ปฐวีธาตุ คือ กรวดหิน ก้อนกรวด ท่านเสกไว้

    ลูกไม้มงคล ท่านก็เสกไว้

    เหรียญมีจาร ส่วนมากจะเป็นเหรียญ ร.5

    แร่อุกกาบาต พบในบาตรของท่านหลายก้อน

    แร่เพชรหน้าทั่ง พบในบาตรท่าน 4-5 ก้อน

    ลูกกระสุนคด ท่านปั้นเอง เสกเอง

    หวายมีจาร ท่านจารไว้สวยมาก

    ฟันหลวงพ่อ เป็นของมหัศจรรย์ได้เฉพาะตัว

    คดต่างๆ มีมากแล้วแต่หาได้

    ตะกรุดลงถม

    ปลัดไม้ตีพริกแม่หม้าย เฮี้ยนมาก บนบอกได้

    ผ้ายันต์ธงพระสิวลี ยุคแรกๆท่านเขียนเอง ในตอนหลังสั่งทำ

    ผ้ายันต์ปลุกให้ตื่น เป็นตำราเฉพาะของท่าน

    4. ประเภทเนื้อผง

    พระแหวกม่านพิมพ์อกใหญ่มารวิชัย พระพิมพ์นี้มีหลายพิมพ์

    พระสมเด็จปรกโพธิ์ 9 ใบ มีแบบหลังยันต์, หลังพระแม่ธรณี

    สมเด็จหลังรูป มี 2 รุ่น คือ รุ่น 1,2

    สมเด็จพิมพ์ทรงเจดีย์หลังยันต์

    สมเด็จแหวกม่าน พิมพ์เม็ดไข่ปลา

    สมเด็จ มีสมเด็จพิมพ์ ไกเซอร์ หลังยันต์, สมเด็จพิมพ์อกร่องหลังยันต์, สมเด็จพิมพ์เกศทะลุซุ้ม, สมเด็จหลังเรียบผสมเกศา

    พระนางพญาพิมพ์ซุ้มคู่

    พระสมเด็จจินดามณี

    สมเด็จพิมพ์ปรกโพธิ์พิมพ์ต่างๆ

    ขุนแผนขี่โหงพราย

    พระลีลาถ้ำหีบ

    พระสิวลี มีหลายพิมพ์

    พระรอด

    พระพิมพ์ขุนแผนทรงพล

    พระพิมพ์ขุนแผนปลุกกุมาร

    พระพิมพ์ขุนแผนขี่ไก่

    พระพิมพ์ยอดขุนพล

    พระลำพูนดำ

    พระพิมพ์ซุ้มระฆัง

    สมเด็จหลังสิงห์

    สมเด็จพิมพ์อู่ทอง

    สมเด็จฐานสำเภา, สมเด็จพิมพ์พระพุทธเจ้าในวิหาร, นางกวัก, แหวกม่านพิมพ์ใหญ่, สมเด็จหลังเรียบ ฯลฯ

    5. ประเภทเนื้อดิน มี พิมพ์พระสิวลี,พิมพ์ขุนแผน,พระพิมพ์สรรค์,พระร่วงนั่งหน้าโหนก,พระเม็ดมะลื่น,พระซุ้มกอ,พระนางพญา,พระแหวกม่านเนื้อดิน,พระพิมพ์ยอดขุนพล,พระรอด,พระพุทธเจ้าในวิหาร, พระกันผี,พระร่วง,พระหลวงพ่อโต,พระโคนสมอ,พระพุทธโคดม ฯลฯ

    6. ประเภทรูปหล่อคล้องคอ มี

    รูปหล่อรุ่นแรก ใช้ปั๊ม ออกประมาณปี 2512

    รูปหล่อรุ่น 2 ออก พ.ศ. 2522 ใช้ฉีด

    7. ประเภทพระบูชา มี

    รูปหล่อรุ่น 1 ขนาด 5 นิ้ว สร้าง พ.ศ. 2518 บอก พ.ศ.

    สร้างรูปหล่อบูชารุ่น 2 พิมพ์เดียวกับรุ่น 1 แต่ไม่บอก พ.ศ. มีขนาด 5 นิ้ว

    8. ประเภทรูปถ่าย คล้องคอ มี

    รูปถ่ายก่อนรุ่นแรก เป็นรูปสมัยหนุ่มๆ เป็นรูปอัดกระจก

    รูปถ่ายรุ่นแรกหลังสิงห์ ออกประมาณ พ.ศ. 2500

    รูปถ่ายหลังตะกรุด 3 ดอก,รูปถ่ายพรรษาสุดท้าย มียันต์ 2 ด้าน

    9. ประเภทรูปถ่ายชนิดบูชา

    รูปคุณสุนทร สุขชื่น พิมพ์ถวาย ลงมนต์จินดามณี,รูปถ่ายใบปลิว, รูปถ่ายกันภัย 8 ทิศ, รูปพรรษาสุดท้าย เป็นรูปขนาดโปสการ์ด

    10. พระบูชา มี พระสังกัจจายณ์ มีทั้งเล็ก และขนาดหน้าตัก 3 นิ้ว, 5 นิ้ว, 7 นิ้ว พระสิวลี ขนาดบูชา ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2013
  3. ธรรมะ04

    ธรรมะ04 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2010
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +220
    ขอราคาครับ
     
  4. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    วันนี้จัดส่งของไปให้แล้วนะครับแจ้งเลขทะเบียนที่ PM ครับ
     
  5. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    ราายการที่ 19. เหรียญกันภัยรุ่นแรกหลวงปู่ครูบาแก้ว วัดร่องดู่ เนื้อทองแดง

    เหรียญกันภัยรุ่นแรกหลวงปู่ครูบาแก้ว วัดร่องดู่ เนื้อทองแดงเหรียญเนื้อทองแดงนี้หลวงปู่สร้างทั้งหมด๓,๐๐๐เหรียญ ปัจจุบันเริ่มไม่ค่อยมีของให้เห็นประสบการณ์นั้นไม่ต้องพูดถึงเจอกันมานักโดยเฉพาะทางแคล้วคลาดเชื่อขนมกินได้เจอกันจังๆมาแล้วหลายรายเหรียญทองแดงทุกเหรียญจะตอกโค๊ตป้องกันการปลอมแปลงทุกองค์ความลับของเหรียญกันภัยรุ่นแรกหลวงปู่ครูบาแก้ว เหรียญรุ่นนี้เป็นดำริของหลวงปู่ที่ได้ต้องการจัดสร้างขึ้นโดยหลวงปู่ครูบาแก้วเป็นผู้ออกแบบโดยใช้รูปที่หลวงปู่นั่งกรรมฐานยกมือ1ข้างเหมือนห้ามอะไรบางอย่างจากที่สอบถามหลวงปู่บอกเป็นการโปรดสัตว์หรืออีกในคือปราบมารเนื่องจากสมัยก่อนวัดร่องดู่รกร้างเต็มไปด้วยต้นไม้ไม่เหมือนปัจจุบันหลวงปู่บอกว่าโดยเฉพาะเปรตแยะมากพระที่มาอยู่หากไม่เก่งหรือแข็งจริงอยู่ไม่ได้สถานที่วัดนี้เชื่อว่าเป็นสุสานเก่าสังเกตุว่าเมื่อขุดลงใต้ดินเคยพบซากกระดูกมนุษย์โบราณและมีเจดีย์เก่าอยู่คู่หนึ่งชึ่งล้มลงเมื่อหลายสิบปีก่อนเนื่องจากขุดหาของเก่าพระเครื่องวัดร่องดู่นี้จึงดูรกครึ้มน่ากลัวหลวงปู่บอกมีวิญญาณมากแม้แต่คนที่เคยแอบมาตัดไม้ในวัดเป็นชาวบ้านวัดร่องดู่ท่านไม่บอกชื่อแต่ท่านมักจะบอกให้ญาติคนที่ตายหมั่นทำบุญให้เสมอหลวงปู่บอกว่าเมื่อตายไปก็ยังคงวนเวียนอยู่ในวัดไม่ไปผุดไปเกิดหลวงปู่บอกเวลานั่งสมาธิมักจะเห็นเขาบ่อยท่านจะแผ่เมตตาไปให้โดยยกมือข้างหนึ่งจึงเป็นที่มาของท่าโปรดมารโปรดวิญญาณทั้งหลายหรือเรียกว่ากันภัยนั่นเองท่านคิดสร้างตั้งแต่ปี2542จนมาแกะบล๊อกเสร็จเมื่อปลายปีปลาย2543โดยสร้างทั้งหมด4เนื้อ เงิน 62เหรียญ นะวะ209เหรียญ ดีบุก500เหรียญ ทองแดง3000เหรียญ เมื่อครบจำนวนท่านจึงนำมาปลุกเสกในกุฎิหลังเก่าโดยวางไว้ใต้หิ้งพระเสกเป็นเวลา 3เดือนกว่า โดยครั้งนี้มีรายการวัตถุมงคลจัดสร้าง คือ เหรียญกันภัยรุ่นแรก พระผงรูปเหมือนกันภัยทรงเดียวกับเหรียญ ล็อกเก็ตกันภัยรุ่นแรก ปิดตาจิ๋วสารพัดนึก ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า วัวธนู ท่านปลุกเสกจนถึงวันที่15เมษายน2544 (วันพญาวัน)มีลูกศิษย์ลูกหามาร่วมทำบุญและอยู่ในเหตุการณ์มากมายหลายร้อยคน โดยยกพระทั้งหมดจากกุฎิลงไปปลุกเสกในโบสถ์วัดร่องดู่ หลวงปู่ปลุกเสกจนหลังคาโบถส์ได้ดังลั้นสั่นสะเทือนไปทั่วโบถส์ ขึ้น3ครั้งสั่นและดังแรงมากคนอยู่ในพิธีรับรู้กันทุกคน หลวงปู่ท่านบอกเหรียญรุ่นนี้ต่อไปจะดัง หายากให้เก็บให้ดีเถิด แล้วท่านจึงเปิดให้บูชาวันนั้นโดยทั้งแจกทั้งให้บูชา คนที่ได้ไปต่างบอกว่าดีทางแคล้วคลาดป้องกันภัยและภูติผีวิญญาณก็ดีเมตตาก็ใช้ได้ดีเหมือนกัน ตัวผมเองได้เคยถามหลวงปู่ว่าจะรู้ได้ยังไงว่าพระที่ปลุกเสกแรงและขลังท่านบอกว่าหากคนที่สำผัสได้จะรู้พระทุกองค์จะมีลำแสงสีฟ้าคลุมทุกองค์ ท่านเปรียบว่าดังพระคาถาบารมี30ทัศของครูบาเจ้าศรีวิชัย หากจิตถึงหมั่นทองภาวนาจะเหมือนดังวงไฟล้อมรอบตัวเรา เหรียญกันภัยนี้ก็มีอานุภาพเท่ากัน หลังจากที่ผมได้เหรียญกันภัยจากหลวงปู่ครูบาแก้ว ผมได้ทดลองขอชมบารมีหลวงปู่โดยขอขมาเอาเหรียญนี้ติดไว้บนพื้นดินเหนียว โดยกดให้ลึกที่สุดแล้วใช้ปืนขนาด.38 ลูกหัวทองแดงโดยแกะกล่องใหม่เป็นลูกโม่6นัด นำปากกระบอกปืนจอไปที่เหรียญ กดไกล เสียงดังปั้งใหญ่ ปรากฏว่าเหรียญหลวงปู่ขยับหลบลูกปืนได้ จึงขอลองรอบ2เสียงปืนดังฟุ เหมือนพุไฟลูกปืนหมดแรงไหลออกจากปากกระบอกตกอยู่ข้างเหรียญแปลกมากจากนั้นผมไม่กล้ายิงต่อเลยครับ ช่วงนั้นเป็นช่วงสมัยวัยรุ่น สมัยนั้นเด็กวัยรุ่นหมู่บ้านผมดังมาก ปี2544(เด็กแม่ต่ำ) ส่วนมากจะมีของดีหลวงปู่ครูบาแก้วทั้งนั้นผมเอาไปแจกทั้งประคำ ตะกรุด เหรียญ พระขุนแผน เรื่องเมตตาก็ไม่ต้องพูดถึงสุดยอด เพื่อนผมคนหนึ่งรุ่นน้องชื่ออูดเด็กภูมินทร์โดนฟันหน้า bm โดยเขาใช้มีดคัดเต้อร์ขนาดใหญ่คมกริบฟันนับสิบที่ แต่ไม่เข้าเขาเอาแขนรับมีแต่รอยแดงๆ หนุ่มคนนี้สมัยนั้นเรียนเทคนิคพะเยา เดียวนี้เป็นวิศวกรใหญ่รับเหมางานก่อสร้างอย่างอยู่เชียงใหม่ มีเหรียญกันภัยรุ่นแรกของหลวงปู่ติดตัวเหรียญเดียว ส่วนผมล่าสุด พักผ่อนไปตกปลาทะเลที่ประจวบ เนื่องจากออกทะเลหลายวัน ขณะเดินทางกลับง่วงนอนมาก ขับรถเก๋งกลับบ้านกับน้องชายดึกมากประมาณ4ทุ่มกว่า เหยียบมา 120-140กว่า วิ่งมาถึงมหาชัย รถสิบล้อเยอะมาก ผมขับวิ่งขวามาคลอด เกิดรถคันหน้า ทำยางอะไหล่หลุด ผมหักไม่ทัน งวงนอนด้วย เลยเสยไปเต็มๆแทนที่จะชนแล้วกระเด็นไปที่อื่นกลับเข้าใต้รถ ยิ่งรถเตี้ย ขับล้อหน้าด้วย ยางอะไหล่ไปติดล้อขางเดียวทำให้รถหมุนยังกับลูกข่าง หลายตลบ ปาดหน้ารถสิบล้อรถพวงหลบกันระนาว ผมนึกในใจกับน้องชายคงตายแน่ๆ หากไม่ตายคงมีคนหนึ่งพิการแน่ๆ ในใจผมนึกถึงแต่หลวงปู่ครูบาแก้วไม่ขาด รถได้ปาดหน้าสิบล้อไป ลงไปจอดกึกอยู่ข้างทางดังปราฎิหาร จอดนิ่มมากๆ เหมือนเราเบรคธรรมดาเลย ไม่รู้ว่ารถรอดผ่านหน้ารถ สิบล้อรถพวง รถปิคอัฟ รถเก๋ง ที่อยู่เต็มถนนได้ไงทั้งที่รถอยู่เลนขวาเป็นถนนสี่เลนมีรถล้อมรอบมันหมุนปาดมาทางซ้ายหลายตลบ จอดนิ่งสนิทเหมือนมีคนหยุดดึงไว้ ผมลงไปสำรวจรอบรถพระเจ้า ด้านหลังเหลืออีกศอกจะฟาดกับเสาไฟฟ้าแรงสูง ส่วนข้างผมคนขับเหลืออีกนิดลงคลองข้างทางแน่มีหวังจมน้ำตายตามกัน2พี่น้อง หน้ารถหันย้อนสอนไปทางรถมา ผมนี้ใจเสียเลยยกมือท่วมหัวเลยครับ ในคอผมมีแค่สร้อยประคำที่หลวงปู่ถอดให้มาจากคอกับเหรียญกันภัยรุ่นแรกเนื้อทองเดงส่วนน้องผมห้อยเหรียญทองแดงเท่านั้นครับ แปลกจริงๆ เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริงที่ผมประสบมาล่าสุด ประสบการณ์วัตถุมงคลหลวงปู่ครูบาแก้ว หากใครเจอเหรียญรุ่นนี้เก็บได้เลยครับของท่านดีจริงๆ

    หายากแล้วครับ ตอนนี้มีคนไล่ตามเก็บครับ พระดีเมืองพะเยา ร่างท่านไม่เน่าไม่เปื่อยครับ

    น่าจะสำเร็จขั้นสูงไปแล้ว ของท่านอธิษฐานจิตไม่มีเสื่อม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 20. พระรูปหล่อลอยองค์รุ่นแรก รุ่นบารมี ๓๐ ทัศ หลวงปู่ครูบาแก้ว วัดร่องดู่

    พระรูปหล่อลอยองค์รุ่นแรก รุ่นบารมี ๓๐ ทัศ หลวงปู่ครูบาแก้ว วัดร่องดู่ จ.พะเยา เนื้อนะวะโลหะสูตรโบราณ พระรุ่นนี้หลวงปู่ท่านได้รวบรวมชนวน มวลสารอันสุดยอด แห่งวัตถุอาถรรพณ์หลายอย่าง และยังได้รวบรวมแผ่นยันต์ชนวนจากอาจารย์สายล้านนา และพระเกจิอาจารย์ดังทั่วประเทศ มาหล่อหลอมเป็นพระรุ่นนี้ขึ้นมา ใต้ฐานยังได้บรรจุผงอัฐิธาตุ พระคณาจารย์ดังสายกรรมฐาน ๑๖ อาจารย์ อาทิเช่น 1 . อัฐิธาตุหลวงปู่พรหม จิรปุณโญ วัดบ้านดงเย็น จ. อุดรธานี 2. อัฐิธาตุหลวงปู่แหวน สุจินโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ. เชียงใหม่ 3. อัฐิธาตุหลวงปู่ฟั่น อาจาโร จ.สกลนคร 4. อัฐิธาตุหลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาป่อง จ. เชียงใหม่ 5. อัฐิธาตุหลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ 6. อัฐิธาตุหลวงปู่เทสก์ เทศรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย 7. อัฐิธาตุหลวงปู่ชอบ ฐานสโม จ.เลย 8. อัฐิธาตุหลวงพ่อชา สุภัทโธ วัดหนองป่าพง 9. อัฐิธาตุหลวงปู่หล้า เขมปัตโต จ. มุกดาหาร 10. อัฐิธาตุสมเด็จมหามุณีวงค์ วัดวรนาถ จ. กรุงเทพ 11.อัฐิธาตุหลวงปู่ขาว อนาลโย จ.อุดรธานี 12.อัฐิธาตุหลวงปู่บุญจันทร์ ถมโล จ.อุดรธานี 13. อัฐิธาตุหลวงปู่ลือ สุขปุณโญ จ.มุกดาหาร 14. อัฐิธาตุหหหลวงปู่ลี ฐิตธัมโม วัดเหวลึก จ.สกลนคร 15. อัฐิธาตุหลวงปู่อุ่น วัดดอยบันไดสวรรค์ 16. อัฐิธาตุหลวงปู่คำพอง วัดถ้ำกกดู่ จ.หนองบัวลำภู เป็นต้น สร้างปี ๒๕๔๖ จำนวนสร้างน้อยมากครับ...

    ร่างท่านไม่เน่าไม่เปื่อยครับ ของท่านคนตามไล่เก็บกันครับ

    เนื้อนวโลหะสูตรโบราณ เก็บได้เก็บครับ อนาคตดีมาก คนพะเยารู้จักท่านดีครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. HG_junior

    HG_junior Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +71
    ขอจองหน่อยครับ

    รายการที่ 2 สมเด็จหลวงพ่อกวย
     
  8. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    ได้ครับจะจัดการจองให้ครับ
     
  9. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    ประวัติหลวงปู่ครูบาแก้ว กมฺมสุทโธ วัดร่องดู่ อ.จุน จ.พะเยา และวัตถุมงคลต่างๆตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบันที่ออกจากวัดร่องดู่โดยตรงแบบสมบูรณ์ที่สุด เขียนและเรียบเรียงโดย นายชัชวาลย์ รื่นเจริญ (หนานก้อยหลานหลวงปู่ ครูบาแก้ว) หากท่านต้องการนำข้อมูลประวัติไปเผยแพร่รบกวนช่วยแจ้งแหล่งข้อมูลที่มาด้วยครับ

    เมืองพะเยาหรือเมืองภูกามยาวเป็นเมืองที่สงบเงียบน่าอยู่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม เช่น กว๊านพะเยา อนุสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง(อดีตเจ้าเมืองพะเยา) วัดพระเจ้าตนหลวง(วัดศรีโคมคำ)พระคู่บ้านคู่เมืองของชาวพะเยา วัดอนาลโย(ดอยบุศราคัม)อดีตพระเกจิที่ชาวเมืองพะเยาให้ความเคารพมากทีสุดคือพระครูภาวนาธิคุณหรือ หลวงพ่อครูบาเจ้าอินโต แห่งวัดบุญยืน ท่านมรณะภาพไปแล้วเกือบ30ปี ท่านเป็นพระที่เชี่ยวชาญทางด้านเวทมนต์คาถาขลัง พลังจิตสูงส่ง และยังเป็นพระนักพัฒนา เหรียญรุ่นแรกเล่นหากันหลายพันบาทจนถึงหลักหมื่นพุทธคุณเด่นทางแคล้วคลาด คงกระพันกันภูตผีดียิ่งนักและอีกรูปหนึ่งพระเกจิอาจารย์ที่ชาวเมืองพะเยาให้ความเคารพอีกรูปหนึ่งคือ หลวงปู่ครูบาแก้ว กมฺมสุทโธ เจ้าอาวาสวัดร่องดู่ หมู่ 10 ต.จุน อ.จุน จังหวัดพะเยา (ท่านเป็นพระเถราจาร อีกรูปหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านเวทย์มนต์คาถา วิปัสสนากรรมฐาน(โดยเฉพาะกสิณไฟ)

    ประวัติวัดร่องดู่ หมู่10 ต.จุน อ.จุน จ.พะเยา

    วัดร่องดู่เดิมทีเป็นวัดเก่าแก่สมัยเวียงลอ สังเกตได้จากฐานเจดีย์เก่าที่ปัจจุบันได้สร้างพระอุโบสถและเจดีย์ครอบเอาไว้ว่ากันว่าสมัยก่อนได้พบพระเครื่องพระบูชาสมัยเชียงแสนเป็นจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณวัดหลวงปู่ครูบาแก้วเล่าว่าพระเครื่องเนื้อดินและเนื้อชินสมัยก่อนชาวบ้านไม่ค่อยสนใจขุดตรงไหนก็เจอพระแม้แต่หลวงปู่เองท่านเคยไปถางหญ้ายังได้พระบูชาเชียงแสนมา1องค์พระองค์นี้ได้เป็นมรดกตกทอดประจำวัดทางคณะกรรมการวัดได้เก็บรักษาไว้โดยทุกปีวันที่15เมษายน(วันพญาวัน)จะนำมาสรงน้ำเพื่อความเป็นศิริมงคลของชาวบ้านทุกปี

    โดยเฉพาะพระเนื้อชินและเนื้อดินว่ากันว่านักสะสมพระเครื่องจากที่อื่นมาขุดได้ไปเป็นกระบุงๆเพราะสมัยนั้นยังไม่มีผู้ดูแลและผู้คนกล้าอาศัยเพราะเป็นวัดร้างเจ้าที่แรงจวบจนเมื่อปี2513 คุณพ่อเถิง ไชยมงคลและชาวบ้านได้รวมตัวกันบูรณะและตั้งเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นจึงได้มีพระมาอยู่อาศัย รายนามเจ้าอาวาสวัดร่องดู่มีดังนี้ 1.พระห่อ ดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี2513-2514 2.พระหวัน ดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี2514-2516 3.พระจำปา วิสุทโธ ดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี2516-2518 4.พระสงัด ดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี2518-2519 5.พระชิต ดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี2519-2520 6.ครูบาจำปา สีลสุทโธ ดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี2520-2527 7.หลวงปู่ครูบาแก้ว กมฺมสุทโธ ท่านมาจำพรรษาอยู่วัดร่องดู่เมื่อปี2524และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี2527-2550 8.พระครูวิทิตนพการ เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันต่อจากหลวงปู่ครูบาแก้ว วัดร่องดู่หลวงปู่ครูบาแก้วได้เคยกล่าวไว้ว่าเจ้าที่ๆนี่แรงมากพระที่มาอยู่หากปฏิบัติตัวไม่ดีแล้วก็มักจะอยู่ได้ไม่นานและเมื่อหลายปีก่อนยังเคยขุดเจอโครงกระดูกมนุษย์โบราณหลวงปู่ท่านดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสได้นานที่สุดถึง23ปีแม้ว่าบางพรรษาเหลือเพียงหลวงปู่จำพรรษาเพียงรูปเดียวก็ตามท่านเป็นพระที่ถือสะมะถะอยู่อย่างเรียบง่ายไม่เคยยึดติดในตำแหน่งลาภยศไดๆทั้งสิ้นจวบจนท่านมรณะภาพหลวงปู่ครูบาแก้ว กมฺมสุทโธ ท่านได้ป่วยและได้เข้ารักษาที่โรงพญาบาลในจังหวัดเชียงรายแต่อาการของท่านก็ไม่ดีขึ้นมีแต่ทรุดกับทรุดถึงอาการท่านจะหนักและเจ็บปวดเพียงไดท่านก็ไม่เคยแสดงอาการเจ็บปวดอย่างไดๆไห้ศิษย์และหมอที่คอยดูแลท่านให้เห็นเลยท่านนอนภาวนาพระคาถาและสวดมนต์อยู่ตลอดเวลาขนาดท่านลุกนั่งไม่ได้ และครั้งนั้นหลวงปู่ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นเป็นที่แปลกต่อคุณหมอ พยาบาลและศิษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์คือหลวงปู่ท่านนอนอยู่บนเตียงตัวท่านไม่สามารถขยับได้ตั้งแต่เอวลงไปและไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้เลย ท่านได้พนมมือขึ้นและกล่าวว่าจะสวดมนต์บอกเทวดาหลังสวดมนต์เสร็จหลวงปู่ท่านกลับลุกขึ้นนั่งสร้างความแปลกใจให้กับผู้อยู่ในเหตุเหตุการณ์ยิ่งนักท่านได้บอกกับบุตรชายของท่าน(คุณเรียว ไชยมงคล) ให้ย้ายท่านไปโรงพยาบาลจังหวัดพะเยาท่านบอกว่าอย่าได้เสียใจเลยถึงอย่างไรท่านก็คงอยู่ได้ไม่นานทางบุตรชายและศิษย์จึงนำท่านกลับไปรักษาที่โรงบาลจังหวัดพะเยาระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาลจังหวัดพะเยาหลวงปู่ท่านนอนลืมตาพนมมือสวดมนต์ไปตลอดทาง ท่านได้เข้ารักษาตัวต่อที่โรงบาลจังหวัดพะเยาอาการก็ไม่ดีขึ้นหมอจึงให้บุตรของหลวงปู่ท่านและศิษย์ใกล้ชิดมาดูใจท่านเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อทุกคนมาพร้อมเพียงกันแต่หลวงปู่ท่านบอกว่าจะรอศิษย์ของท่านอีกคนที่อยู่กรุงเทพนั้นคือหนานก้อย(ผู้เขียน)เมื่อผู้เขียนมาถึงท่านจึงได้ละสังขารโดยท่านได้ภาวนาสวดมนต์ไปจวบจนท่านหมดลมหายใจ ท่านได้มรณภาพลงอย่างสงบที่โรงพญาบาลจังหวัดพะเยาเมื่อวันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม2550 เวลา23.30น ด้วยโรคไตและโรคเบาหวานอีกทั้งท่านชราภาพมากสังขารของท่านได้นำมาบรรจุโลงแก้วไห้ศิษย์ยานุศิษย์ได้สักการบูชาเป็นเวลาสามเดือนจึงได้ทำพิธีประชุมเพลิง ณ.วัดร่องดู่ ในวันที่ 24 กุมพาพันธ์2551ที่ผ่านมามีลุกศิษย์ลูกหามาร่วมมากมายทั่วทุกสารทิศที่แปลกคือหลังจากเปิดโลงแก้วที่บรรจุสังขารหลวงปู่ท่านสังขารของท่านกลับไม่เน่าเปื่อยผิวของท่านไม่ดำไม่ขึ้นรากลับสดไสเหมือนท่านนอนหลับเล็บและเกศากลับงอกเป็นที่อัศจรรย์ต่อผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยิ่งนัก

    ประวัติหลวงปู่ครูบาแก้ว กมฺมสุทโธ เจ้าอาวาสวัดร่องดู่

    หลวงปู่ครูบาแก้ว กมฺมสุทโธ เจ้าอาวาสวัดร่องดู่รูปที่7 เกิดวันพุธที่ 2 เดือนมิถุนายนพ.ศ.2463 ณ.บ้านร่องดู่ อ.จุน จ.พะเยา เป็นบุตร ของโยมแม่จีน ไชยมงคล โยมพ่อนวล ไชยมงคล พื้นเพเดิมเป็นคน บ้านนาไฟ จ.อุตรดิตถ์ ท่านได้ย้ายมาอยู่ จ.พะเยาตั้งแต่หลวงปู่ยังไม่เกิดโดยมีพี่น้องรวมทั้งหมด6คน ดังนี้ 1.นายผง ไชยมงคล 2.นางเจียม ไชยมงคล 3.นางเกี้ยว ไชยมงคล 4.นางปอง ไชยมงคล 5.นายแก้วมา ไชยมงคล(หลวงปู่ครูบาแก้ว กมฺมสุทโธ) 6.นางทองดี ไชยมงคล หลวงปู่ครูบาแก้วท่านเป็นบุตรคนที่5 ของสกุลไชยมงคล

    ก่อนที่โยมแม่จะคลอดหลวงปู่นั้น โยมแม่ได้ฝันไปว่ามีเทพเทวดานำเอาลูกแก้วซึ่งมีสีสว่างใสนวลสวยงามมากมามอบให้ท่านแล้วกำชับสั่งไว้ว่าให้เก็บรักษาดูแลไว้ให้ดีเถิดต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งของชาวบ้านได้ เมื่อโยมแม่ตื่นขึ้น ท่านจึงตั้งชื่อลูกชายว่า “แก้วมา” (ภายหลังนิยมเรียกท่านว่า ครูบาแก้ว)เมื่อยังเยาว์เด็กชายแก้วผิดต่างไปจากพี่น้องเป็นอันมากแตกต่างจากเด็กในวัยเดียวกันท่านเป็นเด็กที่เรียบร้อยสอนง่าย มีความขยันหมั่นเพียร พูดน้อยถ่อมตนและชอบติดตามบิดามารดาเข้าวัดฟังธรรมอยู่เสมอจึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านและผู้ที่พบเห็นอยู่เสมอเมื่อเด็กชายแก้วติดตามบิดามารดาเข้าวัดฟังธรรมบ่อยครั้งจึงทำให้ท่านคิดอยากจะบวชจึงขออนุญาตบิดามารดาเพื่อบวชสามเณรเมื่อบวชเป็นสามเณรแล้วเด็กชายแก้วมีความขยันหมั่นเพียรศึกษาวิชาต่างของทางล้านนาจนสามารถท่องมนต์ 7ตำนาน 12ตำนานได้อย่างคลองแคล้วไพเราะโดยเฉพาะเวทมนต์คาถาอาคมต่างๆท่านมีความสนใจตั้งแต่บวชเป็นสามเณร โดยเฉพาะวิชาอุดเลือด(คัดเลือด)ต่อกระดูกต่อเอ็นท่านเชี่ยวชาญยิ่งนักและมีโอกาสได้พบกับนักบุญแห่งล้านนาไทยนั้นคือครูบาเจ้าศรีวิชัย แห่งวัดบ้านปาง ครั้นเดินทางมาจังหวัดพะเยาหลวงปู่ท่านเห็นครูบาเจ้าศรีวิชัยท่านมีความศัทธาจึงอยากเจริญรอยตามท่านครูบาเจ้าจึงอยากจะฝากตัวขอเป็นศิษย์แต่โอกาศเข้าถึงครูบาท่านยากท่านก็ไม่ได้เรียนวิชาจากท่านครูบาศรีวิชัยเลยเพราะตอนนั้นมีคนมาฝากตัวเป็นศิษย์ครูบาท่านมากมายทั่วทุกสารทิศท่านจึงขอเรียนวิชากับครูบาขาวปีแทน

    และอีกอย่างท่านต้องคอยช่วยเหลือทางบ้านเนื่องจากทางบ้านท่านยากจนและบิดาท่านก็ป่วยหนักท่านจึงตัดสินใจสึกเพื่อช่วยมารดาทำงาน วัยหนุ่มนายแก้วเป็นคนเรียบร้อย ไม่ค่อยพูด เหนียมอายพูดคำตอบคำ ชอบทำบุญอยู่เสมอจึงเป็นที่หมายตาของสาว ๆ ประจำหมู่บ้านและผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านต่างชื่นชอบในความขยันอดทนและการมีสำมาคาราวะ มีอยู่หลายครั้งที่เพื่อนของท่านชวนไปดักปลา พอเพื่อนจับปลาได้ ท่านก็แอบปล่อยปลาอยู่เสมอ หรือแกล้งทำหลุดไปบ้าง ท่านไม่อยากให้ทำบาปและเบียดเบียนชีวิตใคร ก่อนบวชหลวงปู่ท่านเคยมีครอบครัวมาก่อน ตอนหนุ่มท่านชอบศึกษาวิชาอาคมไสยศาสตร์มาก ใครเก่งหรือมีวิชาดีที่ไหนท่านจะไปเรียนมาหมด ท่านชอบศึกษาหาความรู้ใฝ่เรียนค้นคว้าอยู่เสมอทั้งวิชาช่วยเหลือคนและทำคนแต่ท่านเลือกเรียนทางช่วยเหลือคนเสียมากกว่าเพราะการที่ใช้วิชาในการทำร้ายผู้อื่นถือเป็นบาปตกนรกอเวจี

    สาเหตุที่ท่านบวชอีกครั้งเนื่องจากว่าภรรยาคู่ชีวิตของท่านป่วยและเสียชีวิตลงและได้มีผู้หญิงในหมู่บ้านมาติดพันมาแอบชอบหลวงปู่อยู่ 2คน ท่านจึงหนีไปบวชเพื่อจะให้ผู้หญิงที่มาแอบชอบนั้นเลิกล้มความคิดเสียเดิมทีท่านจึงคิดว่าบวช 7 วัน แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบหลวงปู่เล่าว่าวันแรกที่ท่านบวชตกตอนกลางคืนขณะที่ท่านกำลังฝึกเจริญสมาธิวิปัสสนากรรมฐานอยู่นั้น ปรากฏว่าท่านตกใจมากแทบครองสติไม่อยู่เมื่อมีคนมาสะกิดท่าน ตอนแรกท่านนึกว่ามีคนมาแกล้ง แต่พอลืมตาขึ้นท่านก็ถึงกับตะลึง เพราะนั่นคือพวกผีเปรตมาขอส่วนบุญ ตอนนั้นหลวงปู่แทบครองสติไม่อยู่ แต่ด้วยที่ท่านมีจิตที่แน่วนิ่งเข้มแข็งและมีวิชาอาคมที่ได้เรียนมาอยู่บ้างท่านจึงแผ่ส่วนกุศลไปให้ ปรากฏว่าดวงวิญญาณตนที่ท่านเห็นนั้นได้หายไป คืนต่อมาหลังจากที่ท่านได้สวดมนต์แผ่สวนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรวิญญาณสัมพเวสีทั้งหลายแล้วท่านจึงเข้าจำวัดตกดึกท่านฝันไปว่ามีคนมาหาท่าน มาขอบใจที่ท่านช่วยเหลือและนำช้างมาถวายหลวงปู่ 2 เชือก ท่านจึงรับไว้แล้วร่างนั้นก็หายไป มาทราบในภายหลังว่าคนที่มาเข้าฝันนั้นคือเปรตที่หลวงปู่อุทิศส่วนบุญให้ หลังจากที่เปรตนั้นได้รับโมทนาบุญแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดา หลังจากเป็นเทวดาแล้วก็เกิดระลึกถึงบุญคุณของหลวงปู่ที่ช่วยเหลือจึงได้นำช้างเผือกทิพย์มาถวาย 2 เชือก ปัจจุบันช้างทิพย์ทั้งสองเชือกนี้ยังอยู่คู่บารมี และปกป้องคุ้มครอง หลวงปู่และวัดร่องดู่ตลอดมาจากการที่ว่าหลวงปู่ท่านจะบวช 7 วัน ท่านจึงเปลี่ยนใจโดยตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่สึกตลอดชีวิต

    หลวงปู่ท่านได้บวช ที่ อ.จุนโดยเจ้าอาวาสวัดห้วยข้าวก่ำองค์ก่อนบวชให้ ท่านได้เรียนวิชาจากพระอุปัชฌาย์ ของท่านจนหมดสิ้นและได้เดินทางไปเสาะหาวิชาอาคมเพิ่มเติมอยู่เสมออาจารย์ดีหรือเก่งที่ไหนหลวงปู่ท่านจะไปฝากตัวเป็นศิษย์ เพื่อขอศึกษาวิชามาจนหมดสิ้นโดยเฉพาะวิชาสายท่านครูบาเจ้าศรีวิชัยท่านได้เดินทางไปศึกษาต่อกับท่านครูบาขาวปี หลวงปู่ครูบาคำหล้าตาทิพย์ ศิษย์ผู้สืบทอดวิชาทั้งหมดจากครูบาเจ้าศรีวิชัย(จะสังเกตได้จากเวลาหลวงปู่ท่านปลุกเสกวัตถุมงคลท่านจะใช้คาถาของครูบาเจ้าศรีวิชัยปลุกเสกเสมอ)และแลกเปลี่ยนวิชากับหลวงปู่หลานดอกคำใต้และยังได้แลกเปลี่ยนวิชากับหลวงปู่ครูบาคำฝาย วัดพระธาตุจอมไคร้ปัจจุบันท่านมีอายุร้อยกว่าปีเป็นศิษย์ผู้หนึ่งที่สืบทอดวิชามาจากครูบาเจ้าศรีวิชัย และฆราวาสจอมขมังเวทย์ชาวจังหวัดแพร่อดีตเสือเก่าและยังได้สักยันต์ติดตัวมาด้วยโดยเฉพาะวิชาคงกระพันมหาอุดหยุดปืนเชื่อว่าแมลงวันไม่ได้กินเลือดและวิชาเพ่งกสิณเตโชกสิณ(กสิณไฟ)และหลวงปู่ยังมีตำราเก่าแก่ในการสร้างวัตถุมงคลสมัยครูบาเจ้าศรีวิชัยตกทอดมาถึงตัวท่านอีกด้วยท่านได้ศึกษาวิชาจากตำราจนหมดสิ้น(ปัจจุบันตำรานี้ท่านมอบให้กับศิษย์ใกล้ชิดท่านหนึ่งไปเก็บรักษา)หลวงปู่ท่านเจริญสมถะวิปัสสนากรรมฐานอยู่เสมอ พระกรรมฐานที่ท่านฝึกคือเตโชกสิณ (กสิณไฟ) จึงทำให้พลังจิตของท่านกล้าแข็งและท่านได้เคยกล่าวเอาไว้ว่าการ เจริญสมถะวิปัสสนากรรมฐานนั้นหากขยันฝึกให้จิตมีความสงบนึ่งแล้วย่อมเกิดสมาธิพลังงานสามารถนำไปใช้ในทางที่เกิดประโยชน์ได้แม้กระทั่งช่วยเหลือคนอย่างการฝึกกสิณต้องกำหนดจิตให้มั่นเช่นถ้ากำหนดจิตด้วยปากเป็นจุดศูนย์รวมผู้ที่ฝึกสำเร็จย่อมมีวาจาสิทธิ์ หากใช้หูกำหนดย่อมมีหูทิพย์ หากใช้ตาก็จะมีตาทิพย์หากใช้จุดกึงกลางหน้าผากกำหนดจะสามารถหยั่งรู้จิตใจคนได้ อันวิชาอาคมต่างๆนั้นจะเข้มขลังได้ต้องขึ้นอยู่กับอำนาจจิตของผู้นั้นด้วยหากจิตไม่ถึงต่อให้ท่องพระคาถาพันจบก็ไม่เกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ หากจิตถึงเพียงท่องพระคาถาบทเดียวก็เกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ อย่างการปลุกเสกพระเครื่องเพื่อให้พลังความขลังนั้นอยู่ทนนานไม่มีเสื่อมผู้ที่สร้างต้องมีศีลมีสมาธิจะใช้พลังจิตของตัวเองแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ถึงแม้จะขลังจริงแต่ก็อยู่ได้ไม่ทนย่อมมีวันเสื่อมหากจะให้ทนนานจะต้องระลึกถึงคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์ด้วยความกตัญญูรู้คุณย่อมไม่เสื่อมเทพเทวาย่อมมาช่วยเหลือของสิ่งนั้นก็จะเกิดความขลังหลวงปู่มักจะกล่าวอยู่เสมอว่าพระของท่านมีเทวดาคุ้มครอง

    มีอยู่ครั้งหนึ่งปี2542ผู้เขียนเคยบวชอยู่ปรนนิบัติหลวงปู่ท่านที่วัดร่องดู่ เคยเห็นหลวงปู่ท่านสร้างวัตถุมงคลเพื่อแจกศิษย์ยานุศิษย์ สังเกตว่าหลวงปู่ท่านจะเคร่งมากท่านถือวิชาแบบโบราณ ท่านสร้างตะกรุดให้ลูกศิษย์นำไปบูชา สังเกตว่าหลวงปู่จะหาฤกษ์ที่ดีนั่งลงจารตะกรุด โดยท่านจะกำหนดจิตไปที่เหล็กจารค่อย ๆ เขียนอักขระทีละตัว พลังจิตของท่านมั่นคงหนักแน่นมาก หลวงปู่ท่านเขียนยันต์ไปพร้อมกับท่องสูตรกำกับไป อักขระทุกตัวที่ท่านเขียนท่านใช้พลังจิตเพ่งกำกับลงไปเสมอ พอหลวงปู่จารเสร็จท่านก็ม้วนตะกรุด ตอนม้วนท่านค่อย ๆ ม้วนทีละนิดพร้อมกับท่องคาถากำกับไปด้วยพอหลวงปู่ม้วนเสร็จท่านก็ท่องคาถาจบพอดีแล้วท่านก็นำตะกรุดดอกนั้นเข้าไปปลุกเสกในกุฏิของท่านอีกที นับว่าหลวงปู่ท่านสร้างของแบบรับรองว่าไม่เอาแบบสุกเอาเผากินและมีอีกครั้งหนึ่งเป็นช่วงตอนประมาณเที่ยงคืนผู้เขียนยังนอนไม่หลับ จึงลุกไปเอาหนังสือสวดมนต์มาอ่าน จะต้องเดินผ่านกุฏิของหลวงปู่(กุฎิไม้หลังเก่า)สังเกตว่าทำไมกุฏิท่านมีแสงไฟเดี๋ยวหรี่เดี๋ยวดับ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงแอบดูปรากฏว่าไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อหลวงปู่ท่านกำลังนั่งเพ่งเทียนอยู่โดยท่านถือเทียนอยูในกำมือ ตัวท่านนั่งตรงนิ่งไม่กระดุกกระดิกสายตาของหลวงปู่มองตรงไปที่ปลายเทียนเล่มนั้นดวงไฟที่เทียนนั้นแปลกมาก มันสามารถดับได้ติดได้ ซึ่งน่าแปลกใจเป็นอันมากคิดว่าท่านคงฝึกเตโชกสิณอยู่ ดูท่าทางท่านเข้มขลังมากและ มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านปลุกเสกพระ ตอนนั้นมันดึกมากแล้ว หลวงปู่ท่านปลุกเสกพระแปลกมาก ในมือท่านถือเทียนอยู่เล่มหนึ่งพร้อมกับท่องคาถาไปด้วย ดวงตาของท่านเพ่งไปที่ปลายเทียนเล่มนั้น พอท่องจบท่านก็เป่าลงสู่วัตถุมงคลนั้นพร้อมกับพรมน้ำมนต์ และบางครั้งที่หลวงปู่ปลุกเสกวัวธนูมักจะได้ยินเสียงวัวร้องหรือมีวัววิ่งเข้ามาอยู่เต็มบริเวณวัดศิษย์ผู้เขียนเชื่อว่าพระที่หลวงปู่ท่านสร้างต้องเข้มขลังศักดิ์สิทธ์ แน่เพราะเคยเจอประสบการณ์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทางแคล้วคลาดคงกระพัน เมตตามหานิยมโชคลาภ วัดร่องดู่เป็นวัดที่เก่าแก่มากสมัยก่อนเคยมีเจดีย์เก่าแก่อยู่สองเจดีย์ แต่เดี๋ยวนี้ได้พังทลายไปแล้วเนื่องจากว่าสมัยก่อนมีคนมาขุดจึงทำให้เจดีย์พังทลายลงมา ตอนนี้ทางวัดได้สร้างโบสถ์และเจดีย์ทับไปแล้ว แต่ยังเหลือร่องรอยให้เห็นคือก้อนอิฐโบราณกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณวัด วัดร่องดู่นี้มีเจ้าที่แรงมากตอนกลางคืนวันดีคืนดีจะมีดวงแก้วลอยขึ้นที่หลังโบสถ์ ผู้ที่เคยบวชอยู่วัดร่องดู่ส่วนมากจะเห็นกันทุกคน เมื่อ ถามหลวงปู่ท่านบอกว่าเจ้าที่ที่วัดนี้แรงมาก และที่วัดนี้มีเปรตอยู่ด้วย เรื่องนี้ต้องอยู่ที่ว่าท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ โปรดพิจารณา เพราะคนแถววัดนั้นเห็นมาหลายคนแล้ว หลวงปู่ท่านก็เคยเจอมา วัดร่องดู่นี้สมัยก่อนแตกต่างจากปัจจุบันมากมีแต่ต้นไม้ปรกคุมไปหมดพอตกกลางคืนน่ากลัวมากมันเงียบวังเวงไม่มีใครกล้าลงจากกุฏิทั้งพระและเณร จะมีก็แต่หลวงปู่องค์เดียวสมัยท่านยังแข็งแรงท่านมักจะลงไปเดินจงกลมเสมอ และเมื่อหลายปีก่อนทางวัดได้ขุดดินเพื่อจะสร้างศาลาอเนกประสงค์ ยังขุดเจอโครงกระดูกมนุษย์โบราณสูงเกือบ 3 เมตร นอนในท่าเอาดาบหนุนหัวอยู่ตอนนี้ได้ส่งเข้าพิพิธภัณฑ์แล้ววัดร่องดู่นี้ยังมีของโบราณฝังอยู่ในพื้นดินอีกมาก เคยมีคนขุดได้พระบูชาก็มี มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านเห็นว่าต้นหญ้ารก ท่านจึงเอาเสียมไปถางหญ้าปรากฏว่าไปถางโดนวัตถุบางอย่าง ท่านจึงได้ขุดดูปรากฏว่าเป็นพระพุทธรูปท่านจึงนำมาไว้บูชา เป็นพระพุทธรูปเก่ามากสมัยเชียงแสนตอนนี้คณะกรรมการวัดนำไปเก็บรักษาไว้

    ประสพการณ์ปราฎิหาริย์วัตถุมงคลหลวงปู่ครูบาแก้ว

    พระเล่นของเจอเจ้าที่

    มีเรื่องระทึกใจอยู่ครั้งหนึ่งที่ว่า มีพระรูปหนึ่งมาบวชอยู่ที่วัดร่องดู่นี้ชอบให้หวยมาก ท่านจะหากระดาษมาเขียนเป็นตัวเลขแล้วม้วนนำไปหยอดในรูบึ้ง (เป็นแมลงชนิดหนึ่งทางเหนือเรียกว่าอีบึ้ง) ซึ่งอยู่ข้างหลังโบสถ์ พอตกกลางคืนพระรูปนั้นเกิดอาการผิดปกติ ทำตาขวาง ปวดท้อง เหมือนโดนของ โดนผีเข้าพระเณรในวัดจึงเรียกให้หลวงปู่มาดู พอหลวงปู่มาดูท่านนั่งหลับตาทำสมาธิสักพักท่านก็รู้ว่าพระรูปนั้นเป็นอะไร ท่านจึงทำน้ำมนต์มารดและให้พระรูปนั้นดื่มตอนแรกพระรูปนั้นถึงกับดิ้นใหญ่แล้วก็เงียบไป พอรู้สึกตัวหลวงปู่ก็เล่าให้ฟังว่าเจ้าที่ที่วัดนี้เขาหวงและแรงมาก พระรูปนั้นก็เลยเข็ดไปอีกนาน

    หลวงปู่เรียกฝน

    เรื่องหลวงปู่เรียกฝนนี้คณะกรรมการวัดร่องดู่ โดยคุณพ่อบุญมา อ.บ.ตบ้านร่องดู่ได้เล่าว่าพูดถึงอภินิหารของหลวงปู่นั้นก็มีอยู่หลายครั้งที่บ้านร่องดู่ฝนไม่ตกตามฤดูกาลแห้งแล้งมากเมื่อตอนหลวงปู่ท่านแข็งแรงจะนิมนต์หลวงปู่ให้ไปทำพิธีขอฝนเกือบทุกปีโดยไปทำกันบนเขาที่อยู่ใกล้วัดร่องดู่ หลวงปู่นั่งหลับตาไปพร้อมกับท่องคาถาแทบไม่น่าเชื่อ ปรากฏว่าแสงแดดที่สว่างจ้าก็เริ่มมีเมฆหมอกครึ้ม อากาศที่ร้อนอบอ้าว ก็มีลมพัดเริ่มมีเสียงฟ้าร้อง สักพักฝนก็ตกลงมา ชาวบ้านต่างดีใจกันใหญ่เรื่องนี้เคยมีคนถามหลวงปู่ว่าท่านเรียกฝนได้ยังไงท่านยิ้มอย่างมีเมตตาและตอบว่า มันจะยากอะไรก็คาถามันมีนี่ คนที่ถามถึงกับงงเลย และคิดว่าหลวงปู่ท่านคงจะสำเร็จญาณชั้นสูงแล้วแน่นอนท่านถึงทำได้

    ครั้งแรกหลวงปู่ท่านสร้างวัตถุมงคลออกมาแจก ท่านมักจะพูดเสมอว่าพระชุดนี้ดีนะ ท่านปลุกเสกเต็มที่แล้วนะ แล้วแต่จะอธิษฐานใช้ อย่าได้ใช้ในทางผิดศีลธรรมนะ หลวงปู่ท่านมีสมาธิและพลังจิตกล้าแข็งมาก เชื่อได้ว่าพระที่หลวงปู่ท่านสร้างและเสกต้องดีแน่และไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอนหากผู้บูชามีความเคารพนับถือและเชื่อมั่นจริงไม่คิดทำร้ายผู้อื่นหรือชาติบ้านเมืองเชื่อว่าพระที่หลวงปู่เสกให้นั้นย่อมป้องกันคุ้มครองให้ผู้บูชารอดพ้นจากพยันอันตรายทั้งปวงได้อย่างแน่แท้ ผู้เขียนมีวัตถุมงคลของท่านแขวนบูชาติดตัวเกือบทุกรุ่นได้รับจากมือท่านตั้งแต่สมัยตอนบวชจนสึกออกมาก็ยังไปหาวัตถุมงคลของท่านที่สร้างออกมาไว้บูชาเสมอ เพราะผู้เขียนเชื่อว่าพระที่หลวงปู่สร้างออกมาแต่ละองค์นั้น มีพุทธคุณมากมายจริง ๆ ผู้เขียนเจอกับตัวเองมาแล้ว เคยถามหลวงปู่ว่าพระที่ท่านสร้างนั้นเวลาปลุกเสกแล้วมีพลังหรือไม่ ขลังหรือยัง หลวงปู่รู้ได้ยังไง ท่านตอบอย่างเมตตาว่า แรกๆหลวงปู่ปลุกเสกพระท่านจะปลุกเสกไปจนเสร็จพิธี แล้วท่านก็จะนั่งสมาธิดูว่าพุทธคุณเต็มหรือขลังแล้วจะมีแสงสีฟ้าหรือเขียวขึ้นอยู่เต็ม หรือรอบองค์พระถ้ามีขึ้นน้อยท่านก็จะปลุกเสกต่อไปเรื่อย ๆ จนเต็ม แต่ปัจจุบันท่านบอกว่าของที่ท่านปลุกเสกไม่จำเป็นต้องเสกนานๆแค่เป่ามนต์เพียงเดียวก็ขลังแล้ว เทวดาเขามาช่วย วัตถุมงคลที่หลวงปู่เชี่ยวชาญและถนัดมากในการทำคือ ตะกรุด อิ่นคู่ ขุนแผน วัวธนู สีผึ้ง เทียนสืบชะตาและวิชาต่างของทางล้านนา วัตถุมงคลทุกชนิดที่หลวงปู่จัดสร้างและออกโดยตรงจากวัดร่องดู่จะไม่มีผงภูติหรือผงพรายมาเกี่ยวของเป็นส่วนผสมเป็นอันขาดนอกจากมีคนหรือวัดต่างๆมาขอเมตตาให้ปลุกเสกเพื่อการกุศลหลวงปู่ท่านจะพิจารณาให้เป็นรายๆไปว่าวัตถุมงคลที่มาเสกนั้นได้ทำเพื่อสาธารณะกุศลต่างๆจริงหรือไม่ หากว่าวัตถุมงคลที่สร้างนั้นเจตนาบริสุทธิ์วัตถุมงคลที่หลวงปู่เสกให้ไปนั้นย่อมเข้มขลังยังไงครูบาอาจารย์ท่านย่อมไม่ทิ้งศิษย์หากผู้ที่ไปสร้างจิตไม่บริสุทธิ์วัตถุมงคลที่สร้างย่อมไร้ผลไร้พลังใครทำสิ่งไม่ดีไว้ย่อมได้ผลกรรมนั้นตอบแทนวัตถุมงคลที่หลวงปู่ท่านสร้าง ผู้ที่เคยมีไว้บูชาต่างรู้ดี วัตถุมงคลทุกชิ้นที่หลวงปู่ปลุกเสกท่านจะเน้นพุทธคุณสูง ให้ผู้นำไปใช้ได้เจอของจริงมีประสบการณ์จริงแบบจะ ๆ ท่านได้สร้างออกมาแล้วหลายรุ่นคือ อิ่น ตะกรุด ผ้ายันต์เสื้อยันต์ เทียนสืบชะตา พระขุนแผน พระสมเด็จ พระรูปเหมือน พระปิดตา สีผึ้ง วัวธนู เหรียญรูปเหมือน ลอกเก็ตพระกริ่งพระรูปเหมือน ประคำ กุมารทอง(การปลุกเสกกุมารทองของหลวงปู่นั้นแปลกมากมีผู้ถามว่าหลวงปู่ปลุกเสกกุมารยังไงถึงได้ขลังหลวงปู่ตอบว่าจะไปยากอะไรแค่หลับตาเรียกมันก็มาแล้ว) น้ำมันเมตตา และยังมีวัตถุมงคลอีกหลายชนิดที่ยังไม่ได้เขียนถึงในครั้งนี้ วัตถุมงคลทุกชิ้นหลวงปู่สร้างน้อยมาก บางชิ้นมีไม่ถึงสิบองค์ ปัจจุบันวัตถุมงคลบางองค์ก็มีราคาองค์เป็นหมื่น ยังไม่มีคนปล่อย เพราะหายากแถมมีประสบการณ์สูงอีกด้วย เป็นพระขุนแผนยอดขุนพลเนื้อผงดำแจกกรรมการศิษย์ใกล้ชิด สร้างด้วยผงพุทธคุณล้วน สร้างไม่ถึง 10 องค์รุ่นนี้หายากมาก ผู้ที่มีต่างหวงแหนไม่ยอมให้หลุดมือ คนที่มีส่วนมากจะนับได้เลยว่ามีใครที่ได้ไปบ้าง มีประสบการณ์มากมายทางเมตตามหานิยมค้าขายของดี หลวงปู่ท่านยังเคยบอกว่า พระชุดนี้หลวงปู่ปลุกเสกให้อย่างเต็มที่ (ยิงบ่อไจ้ออกหนา) วัตถุมงคลยุคแรกที่หลวงปู่สร้างและดังมานานคงเป็นตะกรุดโทนคงกระพันมหาอุด ตะกรุดเมตตา ตะกรุดสาลิกา ตะกรุดก๋าสะท้อน ตะกรุดผูกคอเด็ก กันเด็กร้องในตอนกลางคืน ตะกรุดกันคุณไสย ตะกรุดกันผี และผ้ายันต์ที่หลวงปู่สร้างมากคือ ผ้ายันต์ม้าเสพนาง หลวงปู่จะสร้างแจกเฉพาะลูกศิษย์ของท่าน ผ้ายันต์รับทรัพย์ ผ้ายันต์เมตตา ผ้ายันต์อิ่นแก้ว ผ้ายันต์ทางแคล้วคลาด คงกระพัน วัตถุมงคลทุกชิ้นหลวงปู่ท่านจะจารด้วยมือทุกชิ้นและปลุกเสกเดี่ยว มีประสบการณ์สูงทุกชิ้น วัตถุมงคลที่เป็นพระยุคแรกคือ พระสมเด็จ พระสมเด็จยุคแรกนี้สร้างทั้งหมด 50 องค์ แจกเฉพาะลูกศิษย์ไม่ค่อยสวยเพราะแกะบล็อกด้วยมือและปั๊มกันในวัด มีมวลสารหลายชนิด สมเด็จชุดนี้พอหลวงปู่ปลุกเสกเสร็จท่านนำไปแจกลูกศิษย์ลูกหาของท่านและหมดไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันหายากมาก ด้านหลังสมเด็จชุดนี้หลวงปู่บรรจุตะกรุดสาลิกา 1 ดอก สมเด็จชุดนี้ได้มีเณรที่วัดอยู่รูปหนึ่ง ซนมากได้นำพระสมเด็จไปหักเล่น ปรากฏว่าตอนกลางคืนเณรรูปนี้จำวัดและฝันไปว่าเห็นพระสมเด็จองค์ที่หักลอยลงมาทับตัว จึงตกใจสุดขีดทำให้ไม่สบายไปหลายวัน ทำยังไงก็ไม่หาย สุดท้ายต้องไปขอขมากับหลวงปู่ จึงหาย พระปิดตาพระผงรูปเหมือนครึ่งองค์รุ่นแรกหายากเช่นกัน เหรียญกันภัยรุ่นแรก เนื้อเงินสร้าง 62เหรียญ เนื้อนวะสร้าง209เหรียญ มีโค๊ดและหมายเลขกำกับทุกองค์ เนื้อดีบุกสร้าง500เหรียญ เนื้อทองแดงสร้าง3000เหรียญ ทุกเหรียญตอกแต่โค๊ดเหรียญรุ่นนี้ได้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี2542หลวงปู่ได้ปลุกเสกเดี่ยว2ปีนำออกมาแจกให้บูชาวันที่15เมษายนปี2544
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 21. ข้าวตอกพระร่วง ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ปิดครับมีผู้บูชาไปแล้ว

    ข้าวตอกพระร่วงมีลักษณะเป็นหินก้อนเล็ก ๆ รูปทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์คล้ายกับลูกเต๋า มีสีสนิมเหล็กหรือสีน้ำตาลไหม้คล้ำ ๆ มีหลายขนาด แต่จะมีหน้าราบขนาด ๒.๓ ซม. ก้อนเล็ก ๆ จะมีขนาดประมาณครึ่งเซนติเมตร สำหรับก้อนที่ใหญ่ ๆ นั้น หากเราลองทุบ ให้แตกออก ลักษณะที่แตก ออกจากกันนั้นก็จะคงรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์เล็ก ๆ อีกเหมือนกัน จะมีเพียงบางก้อนที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมยาว หินเหล่านี้ จะมีปะปนอยู่ทั่วไปพบมากบริเวณเขา พระบาทใหญ่ ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย
    ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธรณีวิทยา ได้ตรวจสอบแล้วสรุปว่า แร่ที่ชาวบ้าน เรียกว่าข้าวตอก พระร่วงนี้ คือ แร่โลหะชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า "แร่ไพไรต์" นั่นเอง อีกชนิดหนึ่งมีลักษณะ คล้ายเม็ดข้าวสารฝังจม ปนอยู่ในหินแร่เหล่านี้ด้วย ชาวบ้าน เรียกว่า ข้าวสารพระร่วง ทั้งสอง ชนิดนี้เป็นที่นิยมกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดมีไว้ถือว่าเป็นสิริมงคล มีความสุขความเจริญด้วย โภคทรัพย์ต่าง ๆ นอกจากนั้นยังนิยม นำมาฝนกับ แผ่นกระเบื้องบดยาหยดน้ำลงไปด้วย ขณะที่ฝนแล้วนำน้ำนั้นมาทาบริเวณที่ถูกพิษแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นต้นว่า ตะขาบ มด แมลงป่อง ก็จะหายจากอาการเจ็บปวดอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ชาวบ้านนิยมนำมาดับพิษแมลงเวลาถูกต่อย จะใช้กันอย่าง แพร่หลายด้วยความศรัทราส่วนคนเฒ่าคนแก่ที่กินหมากนั้น จะนิยมนำข้าวตอก พระร่วงมาใส่ปนกับสีผึ้งทาปากตลับละหนึ่งถึงสองเม็ด เหตุที่ทำเช่นนี้เพราะเชื่อว่ามีเมตตา มหานิยมดี โดยเฉพาะเม็ดที่ติดกันชาวบ้านเรียกว่า "อมกัน" นิยมกันมากว่ามีเมตตามหานิยมมากยิ่งขึ้น

    ต่อมาข้าวตอกพระร่วงและข้าวสารพระร่วง มีผู้นำมาเจียระไนเป็น เครื่องประดับ และ เข้าพิธีพุทธาภิเษก เมื่อ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๗ ทำให้ประชาชน ให้ความสนใจใคร่มีไว้เป็นสิริมงคลกันมาก ปัจจุบันจึงค่อนข้างหายาก
    สาเหตุที่เป็นที่นิยมของชาวบ้านว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อ เกี่ยวกับเรื่อง พระร่วงวาจาสิทธิ์ เมื่อครั้งพระองค์เสด็จมาประพาสป่า หยุดเสวย พระกระยาหารกลางวันแล้ว จึงนำข้าวโปรยไว้บนเขาพระบาทใหญ่แล้วกล่าวว่า จงเป็นข้าวตอกดอกไม้ ดังนั้นจึงกลายเป็น ข้าวตอกพระร่วง ข้าวสารพระร่วง ตามวาจาสิทธิ์นั้น

    ประวัติความเป็นมาเพิ่มเติม

    แร่พระร่วง ข้าวตอกพระร่วงหรือข้าวพระร่วง ตามตำนานของคนโบราณเล่ากันว่าข้าวตอกพระร่วงเป็นแร่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เกิดขึ้นในสมัย พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย พระร่วงท่านเป็นกษัตริย์ที่มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ กล่าวคือเปล่งวาจาอะไรออกไปก็จะเป็นไปตามนั้น ในขณะที่ท่านได้ออกผนวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ และได้ออกบิณฑบาตรในวันออกพรรษาตักบาตรเทโว เมื่อท่านฉันอาหารเสร็จแล้วข้าวที่เหลือก้นบาตรพร้อมข้าวตอกดอกไม้ท่านได้นำไปโปรยลงบนลานวัดเขาพระบาทใหญ่ แล้วทรงอธิษฐานว่า ขอให้ข้าวตอกดอกไม้นี้กลายเป็นหินชนิดหนึ่งและมีอายุยั่งยืนนานชั่วลูกชั่วหลาน เมื่อใครที่ได้นำไปบูชา ขอให้เจริญด้วยโภคทรัพย์นานาประการ เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง...
    แหล่งกำเนิด : บริเวณเขาพระบาทใหญ่ จังหวัดสุโขทัย
    ลักษณะของแร่ข้าวตอกพระร่วง : มีลักษณะความแข็งคล้ายหิน มีรูปทรงตามธรรมชาติเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีสีดำ สีดำปนน้ำตาล สีดำปนลายเงินลายทอง(เชื่อถือกันว่าเป็นสื่อนำโชคลาภ และเงินทอง) เมื่อนำไปเจียรนัยจะมีลักษณะเป็นเงามันสวยงามมาก
    ความเชื่อ :
    หลวงพ่อฤาษีฯท่านได้แจกแร่พระร่วงนี้เมื่อปี ๒๕๑๘ และได้มีประกาศไว้ดังนี้ แร่นี้มีคุณสมบัติเท่าที่ทราบจากพระธุดงค์ที่เคยประสบมาคือ
    1.เมื่อจะใช้ท่านให้อาราธณาพระร่วงแล้วอมไว้ เดินทางตลอดวันไม่กระหายน้ำ
    2.พระธุดงค์อีกคณะหนึ่งแจ้งว่า เมื่อเดินธุดงค์เพื่อนเกิดท้องร่วง ไม่มียาจึงเสี่ยงเอาแร่พระร่วงใส่กาต้มน้ำแล้วเอาน้ำให้ฉัน พระองค์ที่ป่วยหายจากอาการท้องร่วงทันที
    3.เมื่อปี 2516 พระปลัดฉ่อง แห่งอำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท ได้ทำเป็นแหวนแจก ผู้รับไปจำชื่อไม่ได้ มีโจรเข้าปล้นควายโจรมีปืน เจ้าของคนเดียวมีมีดด้วยความเสียดายควายแม้จะเป็นคนเดียวและอาวุธไม่ดีก็ยอมเสี่ยงเข้าไล่โจร โจรยิงด้วยปืนพกและลูกซอง ปรากฏว่าไม่มีแผล เจ้าตัวยืนยันว่าไม่มีอะไรอื่นเลยมีเพียงแร่พระร่วงเท่านั้น...
    และจากประสบการณ์ของผู้ที่ได้นำแร่นี้ไปบูชา บนหิ้งหรือพกติดตัวจะอยู่ดีกินดีมีความสุขความเจริญรุ่งเรือง ด้วยเงินทองและโชคดี มีโชคลาภ เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัยและยังสามารถนำไปฝนกับน้ำมะนาวใช้แก้พิษสัตว์กัดต่อยได้อย่างดีอีกด้วย


    ข้าวตอกพระร่วง ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ รับกับมือท่านเลยครับ

    สุดยอดโภคทรัพย์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำปลุกเสกอธิษฐานจิต

    ใช้แช่น้ำอธิษฐานกินรักษาโรค ใช้อาบน้ำไล่สิ่งที่ไม่ดีออกจากตัวได้

    พระอรหันต์อธิษฐานจิตไม่มีเสื่อมครับ รับประกันด้วยความจริงใจครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2013
  11. HG_junior

    HG_junior Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +71
    โอนเงินแล้วครับ

    ที่อยู่ PM นะครับ
     
  12. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    ขอบคุณมากครับ จะรีบจัดส่งให้ครับ
     
  13. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    พระหลวงพ่อมีเจ้าของเเล้วทุกองค์

    เคยอ่านเจอหลวงพ่อท่านเคยบอกกับลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดที่ถามท่านว่าทำไมหลวงพ่อถึงพยายามสร้างพระไว้มาก(ขนาดมากทุกวันนี้ยังหาเเทบไม่เจอเลย ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม) ท่านบอกกับลูกศิษย์ว่าพระของท่านมีเจ้าของทุกองค์ ท่านสร้างไว้ให้ลูกหลานใช้ วันข้างหน้าใครมีพระของท่าน ถือว่าเป็นลูกหลานท่าน เวลาเดือดร้อนท่านจะตามไปช่วยเหลือ(ผมว่าท่านรักและเป็นห่วงลูกศิษย์ของท่านมากๆเลยพวกเราเหล่าลูกศิษย์ช่างโชคดีจริงๆที่มีครูอาจารย์เเบบท่านนะครับ ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม) ที่ว่าพระหลวงพ่อมีเจ้าของเเล้วทุกองค์ผมประสบการณ์เจอมาเเล้วครับตามนี้เลย
    1 พระเเหวกม่านมารวิชัยหน้าเล็กเป็นองค์เเรกหลังจากอธิฐานขอกับท่านไม่เกิน3วัน7วันได้มาเหมือนได้เปล่า เป็นองค์คู่ชีวิตเลยอยู่ที่คอทุกวันไม่เคยขาด ชีวิตดีวันดีคืนขึ้นทุกวัน
    2 เหรียญเดิมบาง ได้จากรุ่นน้องคนสนิทของผมซึ่งชอบพระเเต่พึ่งศึกษาดูพระไม่มีความรู้หรือเก่งอะไร เดือดร้อนเรื่องเงินได้กวาดพระบนหิ้งที่พ่อเขาทิ้งไว้ให้ก่อนตายมาขาย ตะเวนขายตามที่ต่างๆผ่านไปเป็นเดือนขายเกือบหมดเหลือเหรียญนี้ก็ยังอยู่ไม่มีใครเช่าก็มายัดเยียดให้ผมบอกว่าให้ช่วยเช่าพระหน่อยเพราะเขาเดือดร้อนไม่มีเงินขอเเค่200บาทพอ ผมไม่ได้สนใจอะไรเมื่อก่อนไม่มีความรู้เรื่องพระของหลวงพ่อเห็นเหรียญมีชื่อหลวงพ่อเเต่ชื่อวัดคนละที่ก็ช่วยเหลือน้องมันไปพอมาวันนี้พอรู้จักพระของหลวงพ่อเอาออกมาดูรู้สึกดีใจมากๆ(ทุกวันนี้กลับมานั่งย้อนคิดวันเเรกที่รุ่นน้องกวาดพระมาบนหิ้งมาก่อนขายเอามาให้ผมดูก่อนว่าชอบองค์ไหนให้เอาไปจะปล่อยให้เช่าถูกๆผม ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะเมาอยู่ มาจำได้ตอนนี้ที่พอจะมีความรู้เรื่องพระหลวงพ่อบ้างว่าตอนนั้นที่น้องเอามาให้ดูพอจำได้มีเหรียญจตุพิธพรชัยหลวงพ่อ ผมยังสงสัยอยู่เลยหลวงพ่อชื่อเดียวกันเเต่ชื่อวัดเขาดินเเละมีเนื้อผงสีขาวซุ้มระฆังเเตกลายงาอีกองค์ ทุกวันนี้เลยกลับมานั่งเสียดายพระหลวงพ่อเขาเอามายัดเยียดต่อหน้าเเท้ๆได้มาเเค่องค์เดียวเลยคิดถึงที่หลวงพ่อบอกว่าพระท่านมีเจ้าของเเล้วทุกองค์ ป่านนี้คงไปอยู่กับเจ้าของตัวจริงเเล้วล่ะ)
    3 เหรียญหลังยันต์รมน้ำตาล รุ่นน้องคนเดิมไปเดินเล่นตลาดพระที่พันธ์ทิพย์เช่ามาจากกองพระองค์ละ40บาท เห็นผมเคารพศรัทธาหลวงพ่อ เลยเช่ามาให้ผม ปรากฎว่าเเท้ ผมตกใจมากเป็นไปได้ไงปาฏิหารย์จริงๆ ผมเลยให้เงินน้องไป1,500บาทเป็นน้ำใจ
    4 เหรียญเเจกเเม่ครัว ได้จากรุ่นน้องคนเดิมอีกนะเเหละช่วงหลังเริ่มเก่งเดินดูพระหลวงพ่อตามตู้โน่นตู้นี้ที่พันธ์ทิพย์บ่อยๆเข้าจำเเม่นเพราะเคยเห็นของเเท้ วันหลังได้มีโอกาสไปเดินตลาดนัดหมู่บ้านเเฟนมีเเผงพระเล็กๆอยู่เเผงเดียวเเทรกเเผงขายผักอยู่ เลยเดินเข้าดูตะลึงเลยมีเหรียญรุ่น3อยู่3เหรียญ มีหลังหนุมาน1เหรียญ หลังยันต์รมดม1เหรียญ เเจกแม่ครัว1เหรียญ ลุงคนขายเห็นรุ่นน้องผมส่องพระก็พูดคุยให้รุ่นน้องผมช่วยเช่าพระของเเกซึ่งเเกบอกว่าเเกเดือดร้อนเรื่องเงินมากปกติเเกขายอย่างอื่นไม่ได้ขายพระพึ่งจะเอาพระที่บ้านออกมาขาย เเกรับรองอย่างจริงจังว่าเเท้เเน่นอนเพราะสมัยหนุ่มเเกตามจีบผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งชอบตะเวนไปกราบพระเกจิที่เก่งๆตามวัดต่างๆ ตอนนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวไปกราบหลวงพ่อ เเกก็เลยมีโอกาสได้เช่าเก็บไว้ หลังจากรุ่นน้องส่องพระเเล้วมั่นใจในตัวเองไม่พลาดเเน่เลยเหมามาหมดเลยทั้ง3เหรียญ ตกเหรียญละพันกว่าบาทนิดหน่อยเเต่ก็เล่นเอาเงินเดือนวิกนั้นของตัวเองหมดเลย ขากลับบ้านจึงต้องเอาเหรียญหลังหนุมานไปออกที่ตู้พันธ์ทิพย์ได้เงินมา2,500บาท (ขอสงวนชื่อร้านนะครับเเบบว่าออกได้ถูกมากๆเเบบโดนกดมิดเลย วันต่อมากลับมาเจอผม ผมยังติเลยว่าปล่อยเช่าเเค่นั้นทำไมไม่เก็บไว้ใช้เองดีกว่า รุ่นน้องมันบอกผมว่ามันจำเป็นเพราะเงินมันหมดเกลี้ยงเลย) เหลือสองเหรียญรุ่นน้องมันเอามาให้ผมเลือก1เหรียญโดยให้เช่าต่อราคาทุนผมเลยเลือกเเจกเเม่ครัวเพราะยังไม่มี ส่วนหลังยันต์รมดำทุกวันนี้รุ่นน้องเก็บไว้ใช้เอง ผมเลยย้ำกับมันอีกว่าให้เก็บไว้ใช้ห้ามปล่อยเดี๋ยววันข้างหน้าจะหาไม่ได้
    เรื่องที่เล่านี้เป็นเรื่องเเปลกมากๆครับเเต่เป็นเรื่องจริงที่ผมประสบมาเองวันนี้พอมีเวลาว่างเลยเอามาเล่าสู่กันฟังครับเพราะสอดกับที่หลวงพ่อกล่าวไว้พอดี รุ่นน้องคนนี้ก็เเปลกเหมือนเขาเป็นสื่อพระหลวงพ่อมาให้ผมตลอดเลยครับ
    อีกเรื่องคือเวลาเดือดร้อนหรือเวลาอธิษฐานบอกหลวงพ่อผมสำเร็จทุกครั้ง ยืนยันครับสำเร็จทุกครั้ง ท่านมีจิตอัศจรรย์ครับ ฝันท่านก็เคยมาเข้าฝันให้โชคผมด้วยครับตอนได้พระเเหวกม่านมาใหม่ๆได้เงินพอสมควรครับ


    ศิษย์มีหลักเหมือนพยัคฆ์มีเขี้ยว ศิษย์มีครูเหมือนงูมีพิษ ปัจจามิตรพินาศสูญ
    ขอให้ศิษย์ทั้งหลายจงอย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา
     
  14. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    คืนนี้จะมีอัพลงอีกหลายรายการนะครับ
     
  15. eow1

    eow1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +1,465
    ขอราคารายการที่14,15 และ พระเครื่องธาตุกายสิทธิ์ของท่านแม่ชีประทุม โชติอนันต์ครับ ขอบคุณครับ
     
  16. ต้นบางปลา

    ต้นบางปลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2011
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +479
    ขอราคารายการที่9 และ 14 ครับ
     
  17. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 22. ล็อคเก็ตหลวงปู่มั่น สร้างเมื่อ 2549 โดยวัดบรมนิวาส ปิดครับมีผู้บูชาไปแล้ว

    ล็อคเก็ตหลวงปู่มั่น ออกวัดบรมนิวาส ท่านใดสายพระป่าศรัทธาขอเชิญครับ

    รายละเอียด

    สร้างเมื่อ 2549 โดยวัดบรมนิวาส วัดบรมนิวาส เป็นวัดสายป่ากรรมฐาน หลวงปู่มั่นจะมาพำนักที่นี่เสมอ และท่านสนิท กับท่านเจ้าคุณอุบาลี มาก
    อธิษฐานจิตโดย
    1.สมเด็จญาณวโรดม วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ
    2.พระพรหมมุนี วัดบวรนิเวส กรุงเทพฯ
    3.หลวงปู่บุญฤทธิ์ ที่พักสงฆ์สวนทิพย์ นนทบุรี
    4.หลวงปู่จันทร์แรม วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน บุรีรัมย์
    5.หลวงตาพวง วัดศรีธรรมาราม ยโสธร
    6.หลวงปู่บุญเพ็ง วัดป่าวิเวกธรรม ขอนแก่น
    7.หลวงปู่ท่อน วัดป่าศรีอภัยวัน เลย
    8.พระราชวรคุณ วัดบูรพาราม สุรินทร์
    9.หลวงพ่อคำบ่อ วัดป่าบ้านตาล สกลนคร
    10.หลวงพ่อคูณ วัดป่าภูทอง อุดรธานี
    11.พระวิมลศีลาจาร วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ
    12.หลวงปู่ทิม วัดพระขาว อยุธยา
    13.หลวงพ่อรวย วัดตะโก อยุธยา
    14.หลวงพ่อทอง วัดรังสีสุทธาวาส ชลบุรี
    15.หลวงพ่อจ้อย วัดหนองน้ำเขียว ชลบุรี
    16.หลวงปู่กาหลง วัดเขาแหลม สระแก้ว
    17.หลวงพ่ออั้น วัดโรวโค อุทัยธานี
    18.หลวงพ่อเจือ วัดกลางบางแก้ว นครปฐม
    19.หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ ระยอง
    20.พระอาจารย์วิชัย วัดถ้ำผาจม เชียงราย
    จริงๆ แค่หลวงตาพวง กับ หลวงปู่บุญฤทธิ์ ก็สุดยอดแล้ว

    มวลสารที่ด้านหลังของล็อคเก็ตได้แก่
    1.ผงจากพระพิชิตมาร พระประธานบนศาลาอุรุพงษ์ วัดบรมนิวาส
    2.ผงใบลาน ลายมือของท่านเจ้าคุณอุปาลีคุณูปรามาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท)
    3.ผงกระเบื้องหลังคาศาลาอุรุพงษ์ วัดบรมฯ
    4.ไม้กุฏิของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล จากวัดดอนธาตุ
    5.ไม้กุฏิของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่มาจากวัดป่าหนองผือ,วัดป่าบ้านโคก,วัดป่ากลางโนนกู่
    6.ผงอิทธิเจ
    7.ผงพระธาตุพระสิวลี
    8.แป้งเสกหลวงปู่บุดดา ถาวโร
    9.แป้งเสกหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    10.แป้งเจิมหลวงปู่หลอด ปโมทิโต
    11.แป้งเจิมหลวงปู่โส กัสสโป
    12.ผงบางขุนพรหม
    13.มวลสารวัตถุมงคลของ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ
    14..มวลสารวัตถุมงคลของ หลวงปู่หลอด ปโมทิโต
    15..มวลสารวัตถุมงคลของ หลวงปู่โส กัสสโป
    16..มวลสารวัตถุมงคล รุ่น 9 มงคล ของหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
    17.มวลสารวัตถุมงคลของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    18.ผงเสกของ ครูบาธรรมชัย
    19.ผง 300 อาจารย์
    20.ผงจากพระกรุ
    21.ดินสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
    22.ผงว่านเสกของ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ
    23.ผงจากดอกบัวบูชา พระแก้วมรกต
    24.ผงตะไบพระกริ่งสิทธัตโถปี 2508

    มวลสารจากอัฐิ,เกศา,และอังคารธาตุ 105 คณาจารย์ อันได้แก่
    1.อัฐิ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดนรนาถฯ กรุงเทพฯ
    2.อัฐิ พระหรหมมุนี วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ
    3.อัฐิ หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ระยอง
    4.อัฐิ ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า ลำพูน
    5.อัฐิ หลวงปู่ประยุทธ์ ธัมยุตโต
    6.อัฐิ หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่
    7.อัฐิ หลวงปู่คำพอง กุสลธโร วัดป่านิโคธาราม อุดรฯ
    8.อัฐิ หลวงปู่ทองฤทธิ์ อุตตโม
    9.อัฐิ หลวงพ่อสนั่น รกฺขิตสีโล สกลนคร
    10.อัฐิ อาจารย์สิงห์ทอง ธัมวโร สกลนคร
    11.เกศา สมเด็พระอริยวงศาคตญาณ (อยู่) วัดสะเกศ กรุงเทพฯ
    12.เกศา สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ พระสังฆราชองค์ปัจจุบัน) วัดบวรฯ กรุงเทพฯ
    13.เกศา สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ) วัดราชบพิธ กรุงเทพฯ
    14.เกศา สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสโส) วัดบรมฯ กรุงเทพฯ
    15.เกศา พระอุปาลีคุณูปรามาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) วัดบรมฯ กรุงเทพฯ
    16.เกศา พระธรรมเจดีย์ (จูม) วัดโพธิสมภรณ์ อุดรฯ
    17.เกศา - อังคาร อาจารย์พรหม จิรปุญโญ
    18.เกศา - อังคาร อาจารย์มั่น ภูริทัตโต
    19.เกศา ท่านพ่อลี ธัมมธโร
    20.เกศา หลวงปู่ขาว อนาลโย
    21.เกศา - ชานหมาก อาจารย์ฝั้น อาจาโร
    22.เกศา หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
    23.เกศา หลวงปู่แว่น ธนปาโร
    24.เกศา หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
    25.เกศา - ชานหมาก หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ
    26.เกศา หลวงปู่ลือ ปุญโญ
    27.เกศา หลวงปู่ลี ฐิตธัมโม
    28.เกศา หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ
    29.เกศา หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    30.เกศา อาจารย์วัน อุตตโม
    31.เกศา - อังคาร หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
    32.เกศา - อังคาร หลวงปู่พวง สุวีโร
    33.เกศา หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย
    34.เกศา หลวงปู่บุดดา ถาวโร
    35.เกศา หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    36.เกศา หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ
    37.เกศา อาจารย์แบน ธนกาโร
    38.เกศา หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม
    39.เกศา หลวงพ่อเกษม เขมโก
    40.เกศา หลวงพ่อโชติ โชติปาโล
    41.เกศา หลวงปู่จันทร์ศรี วัดโพธิสมภรณ์
    42.เกศา หลวงปู่หลอด ปาโมทิโต
    43.เกศา หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร
    44.เกศา หลวงตาแตงอ่อน กลญาณธัมโม
    45.เกศา หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ
    46.เกศา หลวงปู่เพียร วิริโย
    47.เกศา หลวงปู่รอด วัดทุ่ศรีเมือง
    48.เกศา หลวงปู่มา ญาณวโร
    49.เกศา หลวงตาพวง สุขินทริโย
    50.เกศา หลวงปู่ต้น สุทธิกาโย
    51.เกศา หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
    52.เกศา หลวงปู่โส กัสสโป
    53.เกศา หลวงปู่ลี กุสลธัมโม
    54.เกศา หลวงปู่จันทรา ถาวโร
    55.เกศา หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ
    56.เกศา หลวงพ่อทองพูล สิริกาโม
    57.เกศา หลวงปู่บุญพิน กตปุณโณ
    58.เกศา หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม
    59.เกศา หลวงปู่ขาน ฐานวโร
    60.เกศา อาจารย์อุทัย สิรินธโร
    61.เกศา หลวงปู่กว้าน เขมโก
    62.เกศา - อังคาร ครูบากรองคำ วัดพระธาตุดอยเปา
    63.เกศา สมเด็จพระญาวโรดม วัดเทพศิรินทร์
    64.เกศา หลวงพ่อคูณ สุเมโธ
    65.เกศา หลวงปู่เรือง วัดเขาสามร้อยยอด
    66.เกศา หลวงตาพันธ์ อาจาโร
    67.เกศา หลวงปู่เจิม ปัญญาพโล
    68.เกศา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมธโร
    69.เกศา หลวงปู่นิล มหันตปัญโญ
    70.เกศา หลวงปู่ศรีจันทร์ วัดเลยหลง
    71.เกศา หลวงปู่แสง ญาณวโร
    72.เกศา ครูบาศรีวิชัย
    73.เกศา อาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร
    74.เกศา หลวงปู่เริ่ม วัดจุกเฌอ
    75.เกศา เจ้าคุณนรฯ
    76.เกศา หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล
    77.เกศา หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ
    78.เกศา หลวงปู่พร สุมโน
    79.เกศา หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว
    80.เกศา หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก
    81.เกศา หลวงปู่ทิม วัดพระขาว
    82.เกศา หลวงพ่อแนม วัดเขาหน่อ
    83.เกศา หลวงปู่บุญหนา ธัมมทินโน
    84.เกศา พระพุทธพจน์วราภรณ์ วัดเจดีย์หลวง
    85.เกศา หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม
    86.เกศา หลวงปู่ชื้น วัดญาณเสน
    87.เกศา หลวงปู่ทา วัดถ้ำซับมืด
    88.เกศา หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า
    89.เกศา ครูบาผัด วัดศรีดอนมูล
    90.เกศา หลวงปู่ชม วัดนางใน
    91.เกศา - อังคาร หลวงปู่บุญ ชินวังโส
    92.เกศา ครูบาน้อย วัดบ้านปง
    93.เกศา อาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม
    94.เกศา อาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
    95.เกศา หลวงปู่คำดี ปภาโส
    96.เกศา หลวงปู่บัว สิริปุญโญ
    97.เกศา ครูบาบุญบั๋น วัดร้องคุ้ม
    98.เกศา - อังคาร อาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
    99.เกศา หลวงปู่โง่น โสรโย
    100.เกศา หลวงปู่เพ็ง พุทธสโร
    101.เกศา ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง
    102.เกศา หลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ
    103.เกศา อาจารย์คำบ่อ ฐิตปัญโญ
    104.เกศา หลวงปู่สาย เขมธัมโม
    105.เกศา หลวงปู่กิ ธัมมุตตโม
    106.เกศา หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
    107.เกศา หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป
    108.เกศา หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
    109.เกศา หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัญฑิโต
    110.เกศา หลวงปู่สังข์ สงฺกิจโจ
    111.อังคาร หลวงปู่เสาร์ กันตสีโร
    112.อังคาร หลวงปู่สาม อกิญจโณ
    113.อังคาร หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล
    114.อังคาร หลวงปู่บัวพา ปัญญาภาโส
    115.อังคาร- เกศา หลวงปู่คำพอง ติสโล
    116.อังคาร - เกศา หลวงปู่หลวง กตปุญโญ
    117.อังคาร- เกศา หลวงปู่อุ่น ชาคโร
    118.อังคาร - เกศา หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    119.อังคาร - เกศา หลวงปู่เทศก์ เทศรังสี
    120.อังคาร หลวงปู่หลุย จันทสาโร
    121.อังคาร หลวงพ่อผาง จิตฺตคุตุโต
    122.อังคาร หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวนโต
    123.อังคาร หลวงปู่ถิร ถิรธัมโม
    124.อังคาร หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม
    125.อังคาร หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท
    126.อังคาร หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
    127.อังคาร หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร
    128.อังคาร หลวงปู่อุ่น กลฺญาณะมโม
    129.อังคาร หลวงปู่ผาง ปริปุณโณ
    130.อังคาร หลวงปู่ทองอินทร์ กุสลจิตโต
    131.อังคาร หลวงปู่สีทน สีลธโน
    132.อังคาร อาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ
    133.อังคาร หลวงปู่สอน ถาวโร
    134.อังคาร หลวงปู่กรอง วัดสระมณฑ,
    135.อังคาร หลวงพ่อชา สุภัทโท
    136.อังคาร หลวงปู่สีลา อิสฺสโร
    137.อังคาร หลวงปู่เมตตาหลวง กตปุญโญ
    138.อังคาร พระราชภาวนาวิสุทธิเถระ (กำพล) วัดเทพศิรินทร์
    139.อังคาร หลวงปู่มหาบุญมี สิรินทโร
    140.อังคาร อาจารย์บุญมา ฐิตเปโม
    141.อังคาร อาจารย์กู่ ธัมมทินโน
    142.อังคาร หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    143.อังคาร หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง
    144.อังคาร หลวงปู่จันทร์ เขมปัตโต
    145.อังคาร พระธรรมไตรโลกาจารย์ วัดศรีเมือง
    146.อังคาร หลวงปู่อุ่น อุตตโม
    147.อังคาร หลวงปู่คำ ยสกุลปุตโต
    148.อังคาร หลวงปู่จำปี วัดป่าสาละวัน
    149.อังคาร หลวงปู่คำฟอง เขมจาโร
    150.อังคาร ครูบาคำแสน วัดสวนดอก

    ศิษย์สายพระป่ากรรมฐานรีบสะสมครับ ตอนนี้หายากแล้วครับ

    มาพร้อมกล่องเดิมๆจากวัดเลยครับ แท้แน่นอน มวลสารสุดยอด

    ส่องกันเห็นจะจะเส้นเกศาครูบาอาจารย์ และอัฐิธาตุครับ

    ใส่ปฎิบัติกรรมฐานสมาธิก็ดีเยี่ยมครับ มีชิ้นเดียวนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2013
  18. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 23. พุทโธน้อย หลวงพ่อสังวาลย์ วัดทุ่งสามัคคีธรรม องค์ที่ 2 และ 3 มีผู้บูชาไปแล้วครับ เหลือองค์ที่ 1 รายการเดียวครับ

    ประวัติการสร้างพระพุทโธ รุ่นแรก หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก

    ย้อนหลังไปประมาณปี 2526 ในขณะนั้นพระอุโบสถวัดทุ่งสามัคคีธรรม จังหวัด

    สุพรรณบุรี กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก ได้ ปรึกษาหารือกับ

    สหธรรมมิก ของท่านคือหลวงพ่อสุวรรณ ปภัสโร (( สุวรรณ ทองนาค ) วัดอาวุธ

    โดยท่านเป็นศิษย์ใกล้ชิดคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมมาตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะบวช

    เป็นพระ ) ถึงการหาจตุปัจจัยที่จะมาดำเนินการให้แล้วเสร็จ หลวงพ่อสุวรรณ จึงให้ความ

    เห็นว่าควรจะสร้างวัตถุมงคลเป็นพระพุทโธแบบอย่างคุณแม่บุญเรือนเพื่อสมนาคุณแด่ผู้ที่

    มาร่วมถวายจตุปัจจัย ซึ่งหลวงพ่อสังวาลย์ท่านก็เห็นสมควรด้วย

    หลวงพ่อสุวรรณท่านจึงรับอาสาจัดสร้างพระพิมพ์พุทโธนี้เพื่อถวายแด่หลวงพ่อสังวาลย์

    โดยไม่คิดมูลค่าใดๆ ท่านหวังเพียงเพื่อร่วมรับอานิสงค์ในการจัดสร้างพระอุโบสถ วัดทุ่ง

    สามัคคีธรรมในครั้งนี้เท่านั้น การจัดสร้างนั้นกินเวลาค่อนข้างนานเนื่องจากหลวงพ่อสุวรรณ

    ท่านไม่มีความชำนาญในการสร้าง ได้ทำการลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ มีการเปลี่ยนและ

    แก้ไขแม่พิมพ์ทั้งด้านหน้าและหลังหลายครั้ง จนส่งผลให้พระชุดนี้มีความหลากหลายทั้ง

    พิมพ์ทรง และเนื้อหา แต่หากสังเกตดีๆแล้ว พระทั้งชุดจะมีความเกี่ยวเนื่องกันในแต่ละ

    องค์ ไม่มากก็น้อย และพระที่สร้างเสร็จในแต่ละคราวก็จะทยอยนำมาที่วัดทุ่งสามัคคีธรรม

    โดยทั้งที่หลวงพ่อสังวาลย์ท่านลงมารับเองและที่หลวงพ่อสุวรรณท่านนำขึ้นไปถวาย

    โดยในช่วงนั้นหลวงพ่อสังวาลย์ท่านขึ้นๆ ลงๆ มาที่วัดอาวุธถึงเดือนละ 4 รอบเลยทีเดียว

    และหลังจากที่ได้พระมาในแต่ละครั้งหลวงพ่อสังวาลย์ท่านจะทำการอธิษฐานจิตด้วยตัว

    ท่านเองเงียบๆ โดยไม่มีพิธีรีตองใดๆทั้งสิ้น จนบางครั้งพระ ชี ในวัดยังไม่ทราบเลยว่าท่าน

    กำลังทำอะไรอยู่ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งให้พระรุ่นนี้ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเท่าที่ควร หรือได้รับรู้

    ข้อมูลกันมาแบบผิดๆ จึงทำให้พระชุดนี้เป็นของดีที่ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย เพราะ

    ทั้งผู้สร้างและผู้เสกล้วนแล้วแต่เป็นพระผู้ทรงคุณทั้งสององค์มวลสารการจัดสร้างพระ

    พุทโธ

    - ดินนิมิต จากวัดเขาสารพัดดี หลวงพ่อสังวาลย์ท่านนั่งเห็นดินที่มีคุณวิเศษในตัวอยู่ในสระน้ำของวัดเขาสารพัดดี

    โดยท่านได้นำหลวงพ่อบุญลือและคณะศิษย์ ไปชี้ตำแหน่งและขุดขึ้นมาโดยปั้นเป็นก้อนกลมๆขนาดกำปั้นผู้ใหญ่

    โดยเอาผ้าห่อเอาไว้แล้วขนกลับมาที่วัด เมื่อมาถึงที่วัดแล้วท่านก็นำบาตรของหลวงพ่อป้องที่ได้ได้รับการถวายมาจากกำนันวงษ์ ( พี่ชายหลวงพ่อสุวรรณ ) มาใส่น้ำแล้วอธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อป้อง

    ให้ท่านช่วยปลุกเสกดินให้เป็นรอบแรก แล้วจึงนำดินที่เป็นปั้นนั้นลงไปละลายในบาตรเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการสร้าง

    หมายเหตุ : หลวงพ่อป้องเป็นพระที่หลวงพ่อสังวาลย์ให้ความเคารพนับถือมากอีกรูปหนึ่ง

    โดยในปัจจุบันกะโหลกส่วนศรีษะท่านที่เผาไม่ไหม้ หลวงพ่อสังวาลย์ท่านได้นำมาใส่ไว้ในโกศแล้วเอาสายสิจญ์พันรอบหลายๆชั้นด้วยตัวท่านเอง เพื่อป้องกันการเปิดออก

    โดยในปัจจุบันโกศนั้นตั้งวางให้บูชาอยู่บนเรือนไทย ที่วัดสังฆทาน กทม

    - พระพุทโธน้อยคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม แตกหัก ซึ่งเก็บรักษาอยู่ที่กุฏิ พระเทพเมธากร เจ้าอาวาสวัดอาวุธในสมัยนั้น

    หลวงพ่อสุวรรณท่านได้ถวายปัจจัยทำบุญ 20,000 บาทแล้วนำมาทั้งหมด โดยได้พระพุทโธแตกหัก

    และผงมวลสารเก่าๆสมัยคุณแม่บุญเรือนประมาณ 2 ถังใหญ่ สาเหตุหลักที่หลวงพ่อสุวรรณท่านเจาะจงมวลสารนี้

    เพราะท่านได้รับคำสั่งสอนมาจากคุณแม่บุญเรือนว่า

    ? ฉันอธิษฐานพระให้เพียงหนเดียวเท่านั้น และพระฉันถึงแตกหักอย่างไร เมื่อนำมาบดแล้วสร้างใหม่ก็ยังคงศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิมเช่นที่ฉันอธิษฐานให้ ?

    ซึ่งหลังจากการอธิษฐานพระพุทโธน้อยแล้วคุณแม่ก็ไม่ได้อธิษฐานพระที่ใดอีกเลย

    - ศิลาน้ำ คุณแม่บุญเรือน หลวงพ่อสุวรรณท่านได้รับมาจากคุณแม่บุญเรือนเป็นจำนวนมาก ได้นำมาตำจนละเอียด

    - ข้าวตอกพระร่วง คุณแม่บุญเรือน หลวงพ่อสุวรรณท่านได้รับมาจากคุณแม่บุญเรือนเป็นจำนวนมาก ได้นำมาตำจนละเอียด

    ในส่วนผสมนี้หากใช้กล้องส่องจะพบว่าเป็นเม็ดดำๆคล้ายๆนิลอยู่ในเนื้อพระ

    - ปูนแดงเสก คุณแม่บุญเรือน

    - และส่วนผสมที่สำคัญที่สุดในพระชุดนี้คือ อัฐิธาตุ และ ผงอังคารธาตุ ของคุณแม่บุญเรือน จำนวนมาก

    ที่หลวงพ่อสุวรรณท่านได้เก็บรักษาไว้ โดยหลวงพ่อสุวรรณท่านได้บอกกล่าวขออนุญาตคุณแม่

    แล้วนำมาบดใส่ทั้งหมดที่ท่านมีอยู่ซึ่งท่านที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนใส่บอกว่า ท่านกำอัฐิธาตุ

    และผงอังคารธาตุที่บดแล้วใส่ในการผสมเนื้อในแต่ละครั้งละเป็นกำๆเลยที่เดียว

    หมายเหตุ

    น้ำที่ใช้ประสานเนื้อในพระชุดนี้เป็นน้ำที่ได้มาจากการทำพิธีเสกน้ำ จากศิลาน้ำของคุณแม่บุญเรือนทั้งสิ้น

    และยังมีน้ำเสกที่คุณแม่เคยเสกไว้ให้ รวมทั้งน้ำที่ได้จากการล้างบาตรหลวงพ่อป้อง (ล้างเพื่อเอาดินที่ติดอยู่ออก)

    ในการปั๊มพระแต่ละครั้งแป้งที่ใช้โรยเพื่อไม่ให้พระติดพิมพ์นั้นก็เป็นแป้งอธิษฐานของหลวงปู่บุดดา ทั้งสิ้น

    โดยหลวงพ่อสุวรรณได้ไปเช่าบูชา มาเป็นลังๆ (แป้งสปริงซอง)

    ส่วนแม่พิมพ์นั้น หลวงพ่อสุวรรณท่านและศิษย์ที่เป็นหมอฟัน ได้ช่วยกันแกะและถอดพิมพ์

    โดยใช้ต้นแบบเค้าโครงจากพระพุทโธน้อยของคุณแม่บุญเรือน โดยแม่พิมพ์นั้นได้ทำขึ้นมาหลายพิมพ์

    มีการแก้ไขดัดแปลงตามความเหมาะสมดังนี้

    แม่พิมพ์หลักๆด้านหน้า

    1. พระพุทโธพิมพ์จัมโบ้ ใช้สำหรับปั๊มพระหลังอริยทรัยพ์ ๗ ถุงเงินถุงทอง เท่านั้น จะเป็นพระพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุด

    2. พระพุทโธพิมพ์ใหญ่ เมื่อปั๊มออกมาแล้วปีกพระจะชิดองค์

    3. พระพุทโธพิมพ์กลาง เมื่อปั๊มออกมาแล้วปีกพระจะชิดองค์

    4. พระพุทโธพิมพ์เล็ก เมื่อปั๊มออกมาแล้วปีกพระจะชิดองค์

    5. พระพุทโธจัมโบ้ใต้ฐานเลข๑ใช้สำหรับปั๊มพระหลังอริยทรัยพ์ ๗ ถุงเงินถุงทอง เท่านั้น จะเป็นพระพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดเกิดจากการนำแม่พิมพ์จากข้อ 1 มาแกะเลข ๑ เพิ่มหลังจากที่ปั๊มพระไปได้จำนวนหนึ่งซึ่งหลวงพ่อสุวรรณท่านให้เหตุผลว่าคนจะได้รู้ว่าเป็นพระรุ่น ๑ ขนาดจะเท่ากันกับพระในข้อ 1

    6. พระพุทโธพิมพ์ใหญ่ ใต้ฐานเลข ๑ เกิดจากการนำแม่พิมพ์จากข้อ 2 มาแกะเลข ๑ เพิ่มหลังจากที่ปั๊มพระไปได้จำนวนหนึ่งซึ่งหลวงพ่อสุวรรณท่านให้เหตุผลว่าคนจะได้รู้ว่าเป็นพระรุ่น ๑ และมีการเปลี่ยนขอบตัดใหม่เพราะต้องเพิ่มเนื้อที่ใต้ล่างไว้สำหรับเขียนเลขเมื่อปั๊มออกมาแล้วปีกพระจะกว้างกว่าพระใน ข้อ 2.

    7. พระพุทโธพิมพ์กลางใต้ฐานเลข ๑ เกิดจากการนำแม่พิมพ์จากข้อ 3 มาแกะเลข ๑ เพิ่มหลังจากที่ปั๊มพระไปได้จำนวนหนึ่งซึ่งหลวงพ่อสุวรรณท่านให้เหตุผลว่าคนจะได้รู้ว่าเป็นพระรุ่น ๑ และมีการเปลี่ยนขอบตัดใหม่เพราะต้องเพิ่มเนื้อที่ใต้ล่างไว้สำหรับเขียนเลขเมื่อปั๊มออกมาแล้วปีกพระจะกว้างกว่าพระใน ข้อ 3.

    8. พระพุทโธพิมพ์เล็กใต้ฐานเลข ๑ เกิดจากการนำแม่ พิมพ์จากข้อ 4 มาแกะเลข ๑ เพิ่มหลังจากที่ปั๊มพระไปได้จำนวนหนึ่งซึ่งหลวงพ่อสุวรรณท่านให้เหตุผลว่าคนจะได้รู้ว่าเป็นพระรุ่น ๑ และมีการเปลี่ยนขอบตัดใหม่เพราะต้องเพิ่มเนื้อที่ใต้ล่างไว้สำหรับเขียนเลขเมื่อปั๊มออกมาแล้วปีกพระจะกว้างกว่าพระใน ข้อ 4.
    9. พระพุทโธพิมพ์จัมโบ้ใต้ฐาน ส ใช้สำหรับปั๊มพระหลังอริยทรัยพ์ ๗ ถุงเงินถุงทอง เท่านั้น จะเป็นพระพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดเกิดจากการนำแม่พิมพ์จากข้อ 1 มาแกะตัวหนังสือเพิ่มหลังจากที่ปั๊มพระไปได้จำนวนหนึ่งซึ่งหลวงพ่อสุวรรณท่านให้เหตุผลว่าคนจะได้รู้ว่าเป็นพระของหลว งพ่อสังวาลย์ โดยขนาดพระจะเท่ากันกับพระในข้อ 1

    10. พระพุทโธพิมพ์ใหญ่ ใต้ฐาน ส เกิดจากการนำแม่พิมพ์จากข้อ 2 มาแกะตัวหนังสือเพิ่มหลังจากที่ปั๊มพระไปได้จำนวนหนึ่งซึ่งหลวงพ่อสุวรรณท่านให้เหตุผลว่าคนจะได้รู้ว่าเป็นพระของหลว งพ่อสังวาลย์ และมีการเปลี่ยนขอบตัดใหม่เพราะต้องเพิ่มเนื้อที่ใต้ล่างไว้สำหรับเขียนตัวหนังสือเมื่อปั๊มออกมาแล้วปีกพระจะกว้างกว ่าพระในข้อ 2.

    11. พระพุทโธพิมพ์กลาง ใต้ฐาน ส เกิดจากการนำแม่พิมพ์จากข้อ 3 มาแกะตัวหนังสือเพิ่มหลังจากที่ปั๊มพระไปได้จำนวนหนึ่งซึ่งหลวงพ่อสุวรรณท่านให้เหตุผลว่าคนจะได้รู้ว่าเป็นพระของหลว งพ่อสังวาลย์ และมีการเปลี่ยนขอบตัดใหม่เพราะต้องเพิ่มเนื้อที่ใต้ล่างไว้สำหรับเขียนตัวหนังสือเมื่อปั๊มออกมาแล้วปีกพระจะกว้างกว ่าพระในข้อ 3.

    12. พระพุทโธพิมพ์เล็ก ใต้ฐาน ส เกิดจากการนำแม่พิมพ์จากข้อ 4 มาแกะตัวหนังสือเพิ่มหลังจากที่ปั๊มพระไปได้จำนวนหนึ่งซึ่งหลวงพ่อสุวรรณท่านให้เหตุผลว่าคนจะได้รู้ว่าเป็นพระของหลว งพ่อสังวาลย์ และมีการเปลี่ยนขอบตัดใหม่เพราะต้องเพิ่มเนื้อที่ใต้ล่างไว้สำหรับเขียนตัวหนังสือเมื่อปั๊มออกมาแล้วปีกพระจะกว้างกว ่าพระในข้อ 4.

    13. พระพุทโธพิมพ์จัมโบ้ ใต้ฐาน ส ส ส เกิดจากการนำแม่พิมพ์จากข้อ 1 มาแกะตัวหนังสือเพิ่มหลังจากที่ปั๊มพระไปได้จำนวนหนึ่งซึ่งหลวงพ่อสุวรรณท่านให้เหตุผลว่า ส. ตัวที่หนึ่งหมายถึงหลวงพ่อสังวาลย์ อาจารย์ใหญ่ ส. ตัวที่สองหมายถึงหลวงพ่อสนองผู้ทรงคุณวุฒิมากกว่าฉัน ส.ตัวที่สามหมายถึงสุวรรณตัวฉันเอง โดยขนาดพระจะเท่ากันกับพระในข้อ 1

    14. พระพุทโธพิมพ์ใหญ่ ใต้ฐาน ส ส ส เกิดจากการนำแม่พิมพ์จากข้อ 2 มาแกะตัวหนังสือเพิ่มหลังจากที่ปั๊มพระไปได้จำนวนหนึ่งซึ่งหลวงพ่อสุวรรณท่านให้เหตุผลว่า ส. ตัวที่หนึ่งหมายถึงหลวงพ่อสังวาลย์ อาจารย์ใหญ่ ส. ตัวที่สองหมายถึงหลวงพ่อสนองผู้ทรงคุณวุฒิมากกว่าฉัน ส.ตัวที่สามหมายถึงสุวรรณตัวฉันเอง และมีการเปลี่ยนขอบตัดใหม่เพราะต้องเพิ่มเนื้อที่ใต้ล่างไว้สำหรับเขียนตัวหนังสือเมื่อปั๊มออกมาแล้วปีกพระจะกว้างกว ่าพระในข้อ 2.

    15. พระพุทโธพิมพ์กลาง ใต้ฐาน ส ส ส เกิดจากการนำแม่พิมพ์จากข้อ 3 มาแกะตัวหนังสือเพิ่มหลังจากที่ปั๊มพระไปได้จำนวนหนึ่งซึ่งหลวงพ่อสุวรรณท่านให้เหตุผลว่าส. ตัวที่หนึ่งหมายถึงหลวงพ่อสังวาลย์ อาจารย์ใหญ่ ส. ตัวที่สองหมายถึงหลวงพ่อสนองผู้ทรงคุณวุฒิมากกว่าฉัน ส.ตัวที่สามหมายถึงสุวรรณตัวฉันเอง และมีการเปลี่ยนขอบตัดใหม่เพราะต้องเพิ่มเนื้อที่ใต้ล่างไว้สำหรับเขียนตัวหนังสือเมื่อปั๊มออกมาแล้วปีกพระจะกว้างกว ่าพระในข้อ 3.

    16. พระพุทโธพิมพ์เล็ก ใต้ฐาน ส ส ส เกิดจากการนำแม่พิมพ์จากข้อ 4 มาแกะตัวหนังสือเพิ่มหลังจากที่ปั๊มพระไปได้จำนวนหนึ่งซึ่งหลวงพ่อสุวรรณท่านให้เหตุผลว่าส. ตัวที่หนึ่งหมายถึงหลวงพ่อสังวาลย์ อาจารย์ใหญ่ ส. ตัวที่สองหมายถึงหลวงพ่อสนองผู้ทรงคุณวุฒิมากกว่าฉัน ส.ตัวที่สามหมายถึงสุวรรณตัวฉันเองและมีการเปลี่ยนขอบตัดใหม่เพราะต้องเพิ่มเนื้อที่ใต้ล่างไว้สำหรับเขียนตัวหนังสือ เมื่อปั๊มออกมาแล้วปีกพระจะกว้างกว่าพระในข้อ4.

    และอีกเหตุผลหนึ่งที่หลวงพ่อสุวรรณท่านใช้ ส. นั่นก็เพราะว่า ทั้งหลวงพ่อสังวาลย์ หลวงพ่อสนอง และตัวท่านเองล้วนแล้วแต่เป็นชาว สุพรรณบุรี
    17. พระพุทธชินราช เป็นพิมพ์ที่หลวงพ่อสุวรรณท่านให้สร้างขึ้นเป็นพิเศษเนื่องจากท่านบอกว่าพระพุทธชินราชเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์และดีเพ ราะเป็นพระที่เทวดาช่วยสร้าง โดยองค์ต้นแบบนั้นเป็นองค์ที่หลวงพ่อสังวาลย์มอบให้มาแล้วนำมาถอดพิมพ์มีหลายพิมพ์แต่ในแต่ละพิมพ์นั้นไม่มีความแตกต่ างกันมากนักและจำนวนที่สร้างนั้นน้อยที่สุด

    อย่างไรก็ตามในแต่ละพิมพ์หลักนั้นก็จะมีแม่พิมพ์ย่อยๆที่มีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันออกไปบ้างนิดหน่อยเนื่องจากพ ระชุดนี้สร้างประมาณ 80,000 กว่าองค์ จึงทำให้ใช้แม่พิมพ์ในแต่ละแบบค่อนข้างมาก หากจะแยกให้ละเอียดคงใช้เวลาอีกนานเนื่องจากพระที่สร้างแล้วนำไปถวายเลยไม่ได้เก็บไว้เป็นตัวอย่างในแต่ละพิมพ์
    แม่พิมพ์หลัง

    มี 2 ประเภทคือ

    - บล็อกมาตรฐาน
    1. คำว่าพุทโธเป็นภาษาขอม ( ตัวขอมจะเป็นเอกลักษณ์และจุดตายในการจำว่าเป็นพระหลวงพ่อสังวาลย์ ) ใช้กับพิมพ์เล็ก กลาง ใหญ่

    2. คำว่าอริยทรัพย์ ๗ และถุงเงินถุงทอง ใช้สำหรับปั๊มพิมพ์จัมโบ้เท่านั้น

    3. ยันต์นะอะระหัง และ คำธรรมสัมมาสติ ใช้กับพิมพ์เล็กและกลาง และพิมพ์ชินราช
    - บล็อกชั่วคราว เป็นลักษณะคล้ายตัวปั๊ม ทำจากตะกั่วเอามาปั๊มหลังจากเอาพระออกมาจากแม่พิมพ์แล้ว

    1. คำว่าพุทโธเป็นภาษาไทยและคำว่าธาตุทอง ใช้สำหรับในพิมพ์กลางเท่านั้น

    2. คำธรรมต่างๆ ใช้สำหรับพิมพ์กลางและเล็ก

    3. คำว่าอริยทรัพย์ ๗ และ คำธรรมต่างๆ ใช้สำหรับในพิมพ์กลางเท่านั้น

    4. หลังเรียบ มีจำนวนน้อยมากๆเป็นพระที่หลงลืมไม่ได้ปั๊มหลัง และพระลองพิมพ์
    ลักษณะเนื้อหา

    แบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ

    1.เนื้อแก่ผง เป็นพระชุดแรกๆที่ลองผิดลองถูกทำเนื้อหายังไม่คงที่ ใส่ดินลงไปน้อย โดยเฉพาะพิมพ์เล็กหลังสัมมาสติที่ได้ทดลองสร้างเป็นครั้งแรก มีการผสมสีลงไป ถึง 5 สี คือแดง น้ำเงิน ขาว เหลือง น้ำตาล แต่ก็มีบางครั้งที่ผสมออกมาแล้วได้สีเพี้ยนไปบ้าง เช่น เขียว ชมพู และได้ลองนำพิมพ์อื่นมาลองกดดูด้วยเนื้อปรกติ ที่ไม่ใส่สีด้วยโดยเนื้อจะออกเป็นสีขาวตุ่นๆ และมีเมื่อทำออกมาแล้วพระไม่ค่อยแกร่งเท่าที่ควร เผาไม่ได้ จึงหยุดใช้ส่วนผสมนี้ จึงเป็นพระที่มีจำนวนน้อยที่สุดของการสร้างครั้งนี้
    2. เนื้อดินเผา เป็นเนื้อที่ส่วนผสมลงตัวที่สุด เมื่อเผาแล้วเนื้อแกร่ง โดยส่วนใหญ่จะเผาออกมาได้เนื้อเป็นสีแดงสวย มีคราบแป้งหุ้ม ส่วนสีดำเป็นพระที่แก่ไฟมีจำนวนน้อยมากๆ แต่เป็นสีที่นิยมทีสุด (ไม่ใช่พระเนื้อใบลานอย่างที่เข้าใจกัน ) ขนาดพระจะเล็กกว่าเนื้ออื่นๆในพิมพ์เดียวกันนิดหน่อยเนื่องจากการหดตัวของดินเมื่อถูกเผา พระพิมพ์นี้เป็นพระที่มีจำนวนการสร้างมากที่สุด
    3. เนื้อดินดิบ เป็นพระชุดเดียวกับข้อ 2 .ที่ไม่ได้นำไปเผาเนื่องจากหลวงพ่อสุวรรณและกลุ่มผู้ร่วมจัดสร้างต้องการเก็บไว้เป็นที่ระลึก และเพื่อเก็บไว้เป็นแนวทางในการศึกษาเนื้อพระต่อไป เป็นพระที่มีจำนวนมากกว่าเนื้อแก่ผงไม่มาก
    หลังจากเสร็จสิ้นการสร้างแล้วแม่พิมพ์ทั้งหมดหลวงพ่อสุวรรณได้นำไปถวายแด่หลวงพ่อสังวาลย์ โดยหลวงพ่อสังวาลย์ได้มอบพระพุทโธที่ได้ทำการอธิษฐานจิตแล้วกลับคืนมาแด่หลวงพ่อสุวรรณจำนวนหนึ่งซึ่งท่านก็ได้นำมาแจ กจ่ายแด่บรรดาผู้ที่ร่วมออกแรงในการสร้างพระชุดนี้ถวายได้แก่ คุณแอ๊ว คุณเจี๊ยบ คุณนก คุณประจวบ คุณป๋อง คุณเจริญ คุณแดง และอีกหลายๆท่านซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบรรดาศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อสุวรรณที่วัดอาวุธ ทั้งสิ้น

    ในบั้นปลายชีวิตหลวงพ่อสุวรรณท่านได้ย้ายจากวัดอาวุธมาอยู่วัดทุ่งสามัคคีธรรม เพื่อรักษาตัวจากอาการอาพาธโดยหลวงพ่อสังวาลท่านได้รับอุปการะท่านจนถึงวาระสุดท้ายและได้มีการนำพระพุทโธชุดที่ท่านส ร้างนี้มาแจกเป็นที่ระลึกแก่ผุ้ที่มาร่วมงานฌาปณกิจศพของท่านด้วย
    ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก คุณแอ๊ว วัดอาวุธ ผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มดำริสร้างจนกระทั่งได้ร่วมถวายพระที่สร้างเสร็จเป็นชุดสุดท้าย อันเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการสะสมวัตถุมงคลของหลวงพ่อสังวาลย์ เพื่อให้ได้พระพุทโธที่ดีทั้งเจตนาของพระผู้สร้างและดีทั้งพระผู้อธิษฐานจิตมาบูชา

    อย่างไรก็ตามบทความนี้เป็นบทความที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดสร้างพระพุทโธรุ่นแรกโดยหลวงพ่อสุวรรณเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงใดๆกับพระที่จัดสร้างที่วัดเขาสารพัดดี วัดทุ่งสามัคคีธรรม หรือวัดอื่นๆได้

    ข้าพเจ้านายสุเทพ พงษ์เพียรชอบผู้รวบรวมและเรียบเรียงบทความนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆในข้อมูลหรือภาพถ่ายจากบทความนี้ ผู้สนใจสามารถนำไปเผยแผ่เพื่อประกาศเกียรติคุณของหลวงพ่อสังวาลย์ หรือหลวงพ่อสุวรรณ หรือนำไปเพื่อประกอบการแลกเปลี่ยนบูชาได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ห้ามนำข้อความหรือภาพถ่ายจากบทความนี้ไปดำเนินการดัดแปลงหรือแก้ไข ไม่ว่าในกรณีใดๆก็ตาม

    หลวงพ่อสังวาลย์ท่านเป็นอริยะสงฆ์อย่างแท้จริง สังขารท่านไม่เน่าไม่เปื่อยครับ

    พุทโธของแม่ชีบุญเรือนนับวันราคายิ่งสูงเล่นหากันหลายหมื่นและมีของปลอมเยอะครับ

    ผมแนะนำให้ลองหาพุทโธน้อยของหลวงพ่อสังวาลย์แทนครับ มวลสารเดียวกันกับ

    แม่ชีบุญเรือนอธิษฐานจิตแน่นอนครับ และหลวงพ่อสังวาลย์ท่านอธิษฐานจิตซ้ำอีกที

    มีสามองค์เรียงตามเลขเลยครับ 123 เลือกเอาเลยครับ ชอบองค์ไหน

    เช่าไปสบายใจครับเหมือนเช่าพระพุทโธน้อยแม่ชีบุญเรือน ปัจจุบันเริ่มหายากครับ

    เก็บกันเข้ากรุหมด พระดีที่อยากให้คุณได้บูชา

    พิมพ์กลางองค์ที่ 1และ2 สูง 2.8 เซน กว้าง1.7 เซน
    พิมพ์เล็กองค์ที่ 3 สูง 2.3 เซน กว้าง 1.5 เซน

    ของแม่ชีบุญเรือน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013
  19. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    พระพุทโธน้อย ปัจจุบันเป็นพระเครื่องที่ได้รับความนิยมสูง อุบาสิกาบุญเรือน หรือ แม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม แห่งวัดอาวุธวิกสิตาราม (พระอารามหลวง) ฝั่งธนบุรี ซึ่งสำเร็จฌานขั้นสูงเป็นผู้สร้างและปลุกเสกเอาไว้ พุทธคุณโดดเด่นมาก ในเรื่องเมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัยและเจริญด้วยโภคทัรพย์ ทำให้มีผู้ศรัทธาแสวงหากันมากมาย มูลค่าการเปลี่ยนมือก็ขยับขึ้นทุกวัน
    พระชุดนี้ สร้างที่วัดอาวุธฯ ปี 2494 เป็นพิมพ์ทรงสามเหลี่ยม องค์พระพุทธประทับนั่งปางมารวิชัย เหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นมุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูน พระเนตรเม็ดกลมนูน พระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมนต์ ด้านหลัง มีอักขระขอมจารึกยันต์ต่างๆ ไว้ชัดเจน มีทั้งพิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลางและพิมพ์เล็ก รวมจำนวนทั้งสิ้น 100,000 องค์
    พระพุทโธน้อย แบ่งเป็นเนื้อต่างๆ ดังนี้ เนื้อผงใบลาน ทุกพิมพ์รวม 20,000 องค์ เนื้อผงพุทธคุณทุกพิมพ์รวม 30,000 องค์ เนื้อดินเผาทุกพิมพ์รวม 50,000 องค์ และแบบหลังยันต์พิเศษ 3,000 องค์
    นักนิยมพระหรือเซียนพระสายนี้ จัดแบ่งตามพิมพ์และยันต์ แยกย่อยออกไปอีก เพื่อความชัดเจนในการเช่าบูชาและความหายาก หาง่าย ประกอบด้วย
    พระพุทโธน้อยพิมพ์ใหญ่ (พิมพ์ใหญ่จัมโบ้หลังยันต์พุทโธ, พิมพ์ใหญ่หลังยันต์พุทโธ, พิมพ์ใหญ่หลังยันต์นะอะระหัง, พิมพ์ใหญ่หลังยันต์เฑาะว์, พิมพ์ใหญ่หลังยันต์เฑาะว์ดอกบัว, พิมพ์ใหญ่หลังเรียบ)
    พระพุทโธน้อยพิมพ์กลาง (พิมพ์กลางหลังยันต์พุทโธ, พิมพ์กลางหลังยันต์นะอะระหัง, พิมพ์กลางหลังยันต์พุทโธบัวติดขอบ)
    พระพุทโธน้อยพิมพ์เล็ก (พิมพ์เล็กหลังยันต์พุทโธ, พิมพ์เล็กหลังยันต์นะอะระหัง, พิมพ์เล็กหลังยันต์เฑาะว์ดอกบัว)

    ในจำนวนนี้ พระพุทโธน้อย เนื้อผงใบลานสร้างน้อยที่สุด รองมาได้แก่ เนื้อผงพุทธคุณ และเนื้อดินเผา ผู้ใดชื่นชอบและศรัทธาปฏิปทาของ อุบาสิกาบุญเรือน แห่งวัดอาวุธฯ การได้มี พระพุทโธน้อย พกติดตัวหรือมีไว้บูชา ถือว่า มีบุญวาสนาสูงยิ่ง

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

    “อิทธิปาฏิหาริย์” เป็นเรื่องที่ดูเหนือธรรมชาติ ชวนพิศวงสำหรับผู้ที่ยังอยู่ในวังวนของกิเลส สำหรับผู้ปฏิบัติทางจิตที่กำลังจะล่วงพ้นบ่วงกิเลส “ปาฏิหาริย์” ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ปฏิบัติสามารถทำได้ทุกคน

    ในอดีตกว่าหลายสิบปีที่ผ่านมา ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปคงจะเคยคุ้นชื่อของอุบาสิกาท่านหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากสำหรับสานุศิษย์และคณะผู้ศรัทธา ท่านคือ “อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม” ผู้สามารถบรรลุธรรมอันวิเศษสำเร็จ “จตุตถฌาณ 4” และ “อภิญญา 6” อันเป็นอานิสงส์สูงสุดแห่งชีวิต ปรากฏเป็นปาฏิหาริย์จนเลื่องลือในทางตาทิพย์ หูทิพย์ รู้วาระจิตผู้อื่น ล่องหนหายตัว สั่งฟ้า ห้ามฝน และใช้พลังจิตรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไปจนหาย

    อุบาสิกาบุญเรือน โดยทั่วไปคนที่เคารพท่านมักเรียกท่านว่า “คุณแม่บุญเรือน” เพราะความเมตตากรุณาที่ท่านมีให้กับทุกคนไม่เลือกชั้นวรรณะ อีกทั้ง กระทำตนเป็น “แม่” ของทุกคนที่ไปขอความช่วยเหลือจากท่าน เหมือนอย่างที่แม่คนหนึ่งที่ให้แก่บุตรธิดาของตนนั่นเอง

    คุณแม่บุญเรือนท่านเป็นนักบุญ และเป็นผู้นำในการประกอบการทำบุญต่างๆ ที่เข้มแข็งแกล้วกล้าสามารถทุกอย่าง ทั้งยังเป็นผู้อบรมสั่งสอนและบรรยายธรรมให้บุคคลทั่วไปเข้าใจทราบซึ้งในธรรมได้อย่างดีเลิศ พื้นเพเดิมท่านเป็นชาวคลองสามวา อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร บิดา-มารดาชื่อ นายยิ้ม และนางสวน กลิ่นผกา วันที่ท่านได้ลืมตามองดูโลกเป็นครั้งแรกอันเป็นภพปัจจุบันของท่านนั้น ตรงกับวันอาทิตย์ เดือน 4 ปีมะเมีย ขึ้น 15 ค่ำ เวลา 11.20 นาฬิกา หรือนัยหนึ่งก็คือ วันที่ 10 มีนาคม พุทธศักราช 2437 ครอบครัวมีฐานะค่อนข้างยากจน บิดา-มารดาเป็นชาวสวน ซึ่งต่อมาครอบครัวได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่แถวตำบลบางปะกอก อำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี ท่านก็ได้เจริญเติบโตมาในละแวกนี้จนเติบใหญ่

    ในวัยเด็กท่านได้รับการศึกษาพออ่านออกเขียนได้ ตามอัตภาพของสตรีเพศในสมัยก่อน แต่ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการบ้านการเรือนเป็นอย่างดี เมื่ออายุได้ 15 ปี ท่านได้รับตำราหมอนวดและการฝึกอบรมจากอาจารย์กลิ่น หมอนวดที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ ท่านสนใจศึกษาจนแตกฉานจนกลายเป็นหมอนวดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก โดยท่านไม่เคยคิดค่านวดค่ารักษาแม้ครั้งเดียว แต่จะให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้อาจารย์กลิ่นตลอด

    ด้วยมีนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรมมาแต่เด็ก ได้รับการสั่งสอนให้รู้จักธรรมะในพระพุทธองค์จาก “หลวงตาพริ้ง” ซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่วัดบางปะกอก ผู้มีศักดิ์เป็นลุง พระสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น จนทำให้คุณแม่บุญเรือนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ฝักใฝ่ในบุญกุศล หมั่นเพียรในทางธรรมตลอดมา

    เมื่อมีอายุในวัยครองเรือน คุณแม่บุญเรือนได้สมรสกับสิบตำรวจโทจ้อย โตงบุญเติม แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ภายหลังจึงรับเด็กหญิงมาอุปการะเป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง ขณะเดียวกันคุณแม่บุญเรือน ก็ยังมีโอกาสได้ปฏิบัติและศึกษาธรรมมากขึ้น โดยมีท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระรัชชมงคลมุนี” เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) เป็นพระอาจารย์สอนสมถะวิปัสสนากรรมฐานให้

    ท่านเป็นผู้นำในการจัดตั้งคณะผู้ร่วมบุญในนาม “คณะสามัคคีวิสุทธิ” ซึ่งช่วยเหลืองานบุญงานกุศลต่างๆ ตลอดจน รักษาโรคภัยไข้เจ็บนานัปการด้วยอำนาจพระพุทธคุณแก่ทุกคนอย่างเต็มที่ ไม่เลือกชั้นวรรณะ ด้วยความเสียสละอันยิ่งใหญ่ และยึดถือหลักการบริจาคและการให้เป็นหลักสำคัญ ในที่สุดจนกระทั่งปี พ.ศ. 2470 ท่านก็เข้าสู่พระพุทธศาสนาอย่างเต็มตัวโดยการบวชชี โดยได้ลาสามีเพื่อมาบวชชีที่วัดสัมพันธวงศ์อยู่ระยะหนึ่ง แล้วลาสึกไป และเมื่อสามีถึงแก่กรรมแล้ว จึงมีศรัทธากลับมาบวชชีอีกในปี พ.ศ. 2482

    ด้านอุปนิสัยนั้น ผู้ที่รู้จักคุณแม่บุญเรือนดีตั้งแต่อายุท่านยังน้อยอยู่ คงพอจะทราบได้ดีว่า ท่านเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยมารยาท คุณธรรมอันสูงส่ง มีอุปนิสัยเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาปรานีแก่บุคคลที่รู้จักพบเห็นทุกคน แต่ทว่าท่านเป็นคนที่ค่อนข้าง “ดุเดือด โผงผาง และมีวาจาไม่อ้อมค้อมแบบขวานผ่าซาก” อยู่บ้าง พูดเสียงดัง กังวาล เด็ดขาด และจริงจัง หรือนัยหนึ่งก็คือพูดจริงทำจริงตลอดเวลา

    งานบุญตามคติแห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วยการทำทาน ถือศีล การภาวนา สวดมนต์ ฟังธรรม และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น คุณแม่บุญเรือน รัก ศรัทธา เลื่อมใส ปฏิบัติมาตั้งแต่อายุเริ่มวัยกลางคน ขณะยังครองชีวิตร่วมกับสิบตำรวจโทจ้อย ทีเดียว งานทำทานไม่ว่าจะเป็นทานต่อบุคคลธรรมดาทั่วไป หรือการถวายของแด่พระภิกษุสงฆ์ รวมทั้งการถวายอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ได้เพียรบำเพ็ญตลอดมาไม่ขาดสาย ท่านเป็นผู้รักการบำเพ็ญทานการกุศลตั้งแต่อายุน้อย ตลอดมาจนเติบใหญ่ และจนตลอดชีวิตของท่าน

    คุณแม่บุญเรือน เคารพศรัทธาเลื่อมใสในคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงจัง และเคร่งครัดตลอดเวลา ท่านฝึกจิตใจและความรู้สึกให้เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยการเสียสละ ไม่นิยมการสั่งสม โปรดการให้เป็นหัวใจสำคัญ ตัดความรู้สึกด้านโกรธ รัก โลภ และหลง โดยสิ้นเชิง นับได้ว่าเป็นชาวพุทธที่สำคัญยิ่งผู้หนึ่ง ซึ่งยากจะหาผู้อื่นที่บำเพ็ญตนให้เท่าเทียมได้

    การถือศีล คุณแม่บุญเรือนเคร่งครัดในศีล 5 วันธรรมสวนะยึดมั่นในศีล 8 แต่ชีวิตตอนหลังส่วนใหญ่ท่านถือศีล 5 เป็นประจำ การภาวนาอันประกอบด้วยสวดมนต์ ฟังธรรม และทำวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฝึกจิตให้สะอาดปราศจากมลทิน มีสมาธิแน่วแน่ เกิดปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมอันวิเศษของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้เพียรบำเพ็ญปฏิบัติโดยสม่ำเสมอจนตลอดชีวิตของท่าน

    ความเพียรในการฝึกจิตและเรียนรู้ทางธรรมของคุณแม่บุญเรือน ปรากฏเรื่องราวอันเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ที่จะสำเร็จได้ก็ด้วยอำนาจสมาธิซึ่งเป็น “พลังจิต” อันมหัศจรรย์ จึงมีเรื่องเล่ามากมายจากคนเก่าแก่ และผู้ประสบเหตุเรื่องราวพิศวง อันเกิดจากอำนาจทิพย์ของอุบาสิกาท่านนี้

    ๏ คุณแม่บุญเรือนบรรลุธรรม

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ท่านจะบรรลุธรรมไว้กับพระรูปหนึ่ง (หลวงตาสุวรรณ) อันมีนัยยะอันสำคัญตอนหนึ่งว่า “ตั้งใจจะขอปฎิบัติธรรมให้สำเร็จอยู่ที่ศาลาวัดสัมพันธวงศ์ เป็นเวลา 90 วัน โดยถือศีล 8 บวชเป็นชี นั่งสวดมนต์ภาวนา เจริญวิปัสสนาตามแนวทางของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) การปฏิบัติธรรมดำเนินไปจนล่วงเข้าวันที่ 89 ก็ยังไม่สำเร็จธรรมหรือเห็นธรรมแต่ประการใด จึงคิดท้อใจกลับบ้านที่บ้านพักตำรวจปทุมวัน ได้พบกับสิบตำรวจโทจ้อย ผู้เป็นสามี ซึ่งได้ทักมาว่า “กลับมาแล้วหรือ ? เมื่อกลับมาแล้วก็อยู่บ้านเถิด...”

    คุณแม่บุญเรือนจึงว่า “เมื่อจะให้อยู่บ้าน ก็ขอให้โยมจ้อยถือศีล 8 เลิกยุ่งเกี่ยวฉันสามีภรรยาจะได้ไหม ?” สิบตำรวจโทจ้อยก็รับคำ จากนั้นสิบตำรวจโทจ้อย ก็ขอตัวออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ที่บ้านคงเหลือแต่โยมมารดาของคุณแม่บุญเรือน และหลานๆ 2-3 คน คุณแม่บุญเรือนจึงอาบน้ำ นุ่งขาวห่มขาว เตรียมตัวไหว้พระสวดมนต์ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 21.00 นาฬิกา เดือน 6 ขึ้น 14 ค่ำ ปี พ.ศ. 2470

    จากนั้น คุณแม่บุญเรือนก็ได้แลเห็นโยมมารดาและหลานๆ นอนหลับกันหมดแล้ว โยมมารดานั้นมีอาการกรน ส่วนหลานๆ ก็มีอาการละเมอบ่นพึมพำ และกัดฟันกรอดๆ รู้สึกเกิดธรรมสังเวชเบื่อหน่ายต่อสภาพอย่างนั้นขึ้นมาในขณะนั้นทีเดียวว่า “เออ.....สังขารร่างกายนี้ ถึงแม้จะหลับใหลไปแล้ว แต่ก็ยังมีเวทนาผุดซ้อนขึ้นมาอีกนะนี่...”

    ท่านจึงคิดอยากหลีกหนีเสียชั่วคราว ครั้นแล้วคุณแม่บุญเรือน ก็ได้นั่งสมาธิกรรมฐานในห้องพระ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตี 2 ก็มีอาการแน่นหน้าอก อึดอัด หายใจไม่ออก คล้ายกำลังจะตาย จึงตั้งสติว่า “ถ้าจะตายก็ขอให้ตายในตอนนี้เถิด จะได้หมดเวรหมดกรรม ธรรมก็ยังไม่ได้บรรลุเลย” น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เมื่อคุณแม่บุญเรือนคิดดังนี้เท่านั้น อาการทุกขเวทนาทั้งปวงก็พลันหายไปสิ้น บังเกิดความสว่างขึ้นมาทั้งตัว มีความใสสว่างอย่างสุดที่จะประมาณ รู้ชัดว่าตนเองบรรลุอภิญญาถึง 5 อย่าง มีพระธรรมเข้าประทับ เมื่อนึกอยากรู้อยากเห็นอะไร ก็รู้แจ้งแทงตลอดสว่างไสว


    ๏ ล่องหนหายตัว

    จากนั้น เมื่อคุณแม่บุญเรือนบรรลุธรรมแล้ว ก็ได้นั่งกรรมฐานต่อไปอีก จนกระทั่งเวลาใกล้ตี 5 รุ่งเช้า ได้คิดถึงวัดสัมพันธวงศ์ จึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้เข้าไปนั่งในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งศาลานี้เป็นที่อยู่ของแม่ชีนักปฏิบัติธรรม คุณแม่เองก็เคยอาศัยบำเพ็ญธรรมที่ศาลานี้

    พอสิ้นอธิษฐาน แล้วหลับตาลง ก็คล้ายกับหัวได้หกกลับไปเบื้องหน้า คล้ายกับตีลังกา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าตัวเองได้เข้ามานั่งอยู่ในศาลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าเข้าศาลามาทางไหน และที่บ้านพักตำรวจกับศาลาวัดสัมพันธวงศ์ก็ไกลกันพอสมควร ขณะนั้น ประตูศาลาวัดยังคงปิดใส่กุญแจอยู่ คุณแม่บุญเรือนจึงได้ร้องเรียกให้พระภิกษุสามเณรซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น ช่วยไขกุญแจเปิดประตูให้ที

    การล่องหนหายตัวจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เป็นผลจากการปฏิบัติทางจิตจนได้ “อภิญญา” เมื่อเรื่องที่คุณแม่บุญเรือนหายตัวมาปรากฏอยู่ในศาลาวัด แพร่หลายออกไป ก็มีพระเณรเถรชี อุบาสกอุบาสิกาต่างก็มารุมล้อม โจษจันกันเซ็งแซ่ด้วยความตื่นเต้นอัศจรรย์ใจอย่างเหลือที่จะกล่าวได้ไปตามๆ กัน จนความนี้ได้ทราบถึง ท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระรัชชมงคลมุนี” เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) พระอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานให้คุณแม่บุญเรือนเอง

    ท่านจึงให้เชิญคุณแม่บุญเรือนไปสอบถาม และขอให้คุณแม่บุญเรือนแสดงปาฏิหาริย์หายตัวเข้ามาอยู่ในศาลาวัดให้เป็นที่แจ้งประจักษ์อีกครั้ง ซึ่งคุณแม่บุญเรือนก็ตอบรับ ขอทดลองดูอีกครั้งในเวลาใกล้รุ่งของอีกวัน คืนนั้นตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 แม่ชีฟัก เพื่อนปฏิบัติธรรม พักอยู่เป็นประจำที่ศาลานี้ ให้แม่ชีผู้อยู่ศาลาอีก 3 คนดูแลปิดประตูหน้าต่างลงกลอนให้เรียบร้อยอย่างแน่นหนา และดูให้รู้เห็นเป็นพยานด้วย คืนนั้นปรากฏว่าที่วัดสัมพันธวงศ์ก็เกิดการโกลาหลอลหม่านคึกคักตื่นเต้นกันน่าดู มีการจัดยามเฝ้าที่ประตูวัดทุกๆ ด้าน ถึงประตูละสองคน และมีการเดินสำรวจรอบศาลาวัดกันให้ขวักไขว่ทั้งคืน ชนิดมดแมงสักตัวเดินผ่านมา ก็ยากจะรอดพ้นสายตาไปได้

    ส่วนที่บ้านพักตำรวจปทุมวัน คุณแม่บุญเรือนได้เข้าไปเจริญพระกรรมฐานตั้งแต่หัวค่ำ จนใกล้รุ่ง จึงอธิษฐานให้หายวับจากบ้านพัก เข้าไปปรากฏตัวในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ได้เช่นเดียวกับคราวก่อน แต่คราวนี้ไม่มีลีลาอาการหกคว่ำคะมำหงายเหมือนคราวแรก นั่นคือพออธิษฐานเสร็จแล้วหลับตาลง พอลืมตาปั๊บ ตัวของคุณแม่บุญเรือนก็มานั่งเรียบร้อยอยู่ในศาลาทันที

    เมื่อคุณแม่บุญเรือนปาฏิหาริย์มานั่งในศาลาเสร็จ สิ่งแรกที่หูได้ผัสสะกับเสียงที่มากระทบก็คือ เสียงอุบาสิกาคุยกันว่า “จะแจ้ง (สว่าง) แล้ว น่ากลัวไม่มาแล้วมั๊ง ?” ส่วนอีกรายก็ว่า “ไม่มาก็ดี...ถ้ามา...ฉันจะต้องไปเป็นลูกศิษย์ขอเรียนวิชากับเขาอีก !?”

    เมื่อได้ฟังคำกล่าวเช่นนั้น คุณแม่บุญเรือนจึงร้องออกไปในทันใดว่า “เอ้า..! ใครอยากจะเป็นลูกศิษย์ฉัน...เชิญทางนี้...ฉันมาแล้ว !”

    พวกที่คอยอยู่ก็แปลกใจ และแน่ใจว่าหายตัวผ่านเข้ามาได้จริงๆ และมองเห็นผลสำเร็จทางสมาธิที่มีแก่ผู้ปฏิบัติด้วยวิริยอุตสาหะ ต่อมาคุณแม่บุญเรือน ท่านได้อธิษฐานหายตัวจากศาลาไปเขาวงพระจันทร์ ท่านได้พบพระผู้วิเศษที่นั่น และได้รับพระธาตุ 1 องค์จากพระองค์นั้น กลับมาพระธาตุยังกำอยู่ในมือ เป็นพยานแก่ตัวท่านเองว่ามิได้ฝันไป


    ๏ ทิพยโสตญาณ (หูทิพย์)

    อภิญญาในด้านหูทิพย์ของคุณแม่บุญเรือนนี้ มีบันทึกของคุณหญิงเงียบ บุนนาค เขียนไว้ว่า ครั้งหนึ่งคุณแม่บุญเรือน ไปรักษาโรคขาบวมให้น้องสาวคุณหญิงเงียบ บุนนาค ข้างวัดอนงคาราม ธนบุรี ตอนขากลับ น้องสาวคุณหญิงเงียบมอบค่ารถให้ 20 บาท คืนวันนั้นสามีของน้องสาวคุณหญิงกลับบ้าน ทราบว่าภรรยาจ่ายเงินค่ารถให้คุณแม่บุญเรือน 20 บาท (สมัยเงินแพง) เขาเอะอะว่า คุณแม่บุญเรือนเป็นหมอไม่จริง หลอกเอาสตางค์

    พอรุ่งเช้า 6 โมงเศษ คุณแม่บุญเรือนไปถึงบ้านน้องสาวคุณหญิง ข้างวัดอนงค์ นำเงิน 20 บาท ไปคืนให้ บอกว่า “เป็นเงินของคุณผู้ชายเขา ดิฉันคืนให้ ดิฉันไม่โกรธคุณหรอก คุณต้องรับเงินนี้ไว้” นี่แสดงว่าคุณแม่บุญเรือนหูทิพย์ ได้ยินคำพูดของสามีน้องสาวคุณหญิงเงียบ พร้อมทั้งรู้วาระจิตของคนพูด ว่าหมายถึงตัวคุณแม่บุญเรือนที่ไปรักษาขาบวม คุณแม่จึงรีบนำเงินไปคืนให้ เพื่อรักษาน้ำใจของน้องสาวคุณหญิงและสามีมิให้ขุ่นข้องหมองใจ

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นผู้มีจิตอันเป็นกุศลอย่างยิ่ง นอกจากนั้นท่านยังใช้จิตอันมหัศจรรย์ของท่าน ในการอธิษฐานเพื่อช่วยคนในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาโรคภัยต่างๆ จนหายขาด ดังเรื่องราวที่มีผู้บันทึกไว้ในหนังสือ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อนุสรณ์”

    ๏ รักษาด้วยวาจาสิทธิ์

    เป็นบันทึกของนายจำรัส สุขประเสริฐ อยู่ จ.อุดรธานี มีใจความว่า “อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม เดินทางโดยขบวนรถไฟด่วนถึง จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2496 เวลา 07.15 น. ก่อนหน้ารถไฟด่วนจะเทียบเข้าชานสถานีประมาณ 20 นาที ได้มีหมอกลงที่สถานีรถไฟและบริเวณตัวเมืองอุดรธานีหนามืดไปหมด อยู่ห่างกันประมาณ 10 วา ยังแลไม่เห็นกันเลย รถยนต์วิ่งตามถนนต้องเปิดไฟ หมอกหนามืดเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลย พอรถไฟถึงสถานีประมาณ 10 นาที หมอกก็ค่อยๆ จากหายไป ชาวอุดรธานีต่างพิศวงงงงวย ต่างโจษจันกันต่างๆ นานา เมื่ออุบาสิกาบุญเรือน ลงรถไฟแล้ว มีผู้คนไปรับเป็นจำนวนมาก

    อุบาสิกาบุญเรือนได้พักที่บ้านผม ค่ำของวันนี้ได้มีผู้มาหาเป็นจำนวนมาก นายครรชิต สกลคลัง พนักงานธนาคารกสิกรไทยได้มาหา และบอกกับอุบาสิกาบุญเรือนว่า ตัวเขาป่วยเป็นโรคปวดท้องมาเป็นเวลานาน เวลานี้ก็ยังปวดอยู่ได้รักษาตัวหมดเงินมากมายแล้ว อุบาสิกาบุญเรือนได้ฟังจึงสั่งในขณะนั้นว่า “อย่าปวด ให้หายปวดเดี๋ยวนี้” แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็ถามนายครรชิตว่า “หายปวดหรือยัง ?” นายครรชิตตอบว่า “หายปวดแล้ว” อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งว่า “คืนวันนี้อย่าปวด” (เพราะนายครรชิตบอกว่ากลางคืนปวดแทบไม่ได้นอนทุกคืน)

    ครั้นรุ่งเช้า นายครรชิตมาบอกอุบาสิกาบุญเรือนว่า เมื่อคืนนี้ไม่ปวดเลย นอนได้สบายตลอดคืน และในระหว่างที่อุบาสิกาบุญเรือนพักอยู่ที่ จ.อุดรธานี นี้ ตอนเช้าอุบาสิกาบุญเรือนได้ไปอธิษฐานจิต ให้พลังจิตแก่ประชาชนที่วัดโพธิสมภรณ์ทุกวัน มีประชาชนนำน้ำ ปูน ไพล พริกไทย สาคู มาให้อุบาสิกาบุญเรือนอธิษฐานจิตอย่างคับคั่งทุกวัน

    มีคนหลังโกงคนหนึ่ง เวลาเดินต้องใช้ไม้เท้าค้ำได้มาหาอุบาสิกาบุญเรือนขอให้รักษา อุบาสิกาบุญเรือนได้ออกคำสั่งต่อหน้าประชาชนจำนวนมากว่า “ให้ทิ้งไม้เท้า !” ชายหลังโกงคนนั้นก็ขว้างไม้เท้าทิ้ง อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งต่อไปให้ยืนตรงๆ ชายหลังโกงก็ค่อยๆ ยืดตัวและยืนตัวตรงได้ แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็สั่งให้ออกเดินและวิ่ง ชายคนนั้นก็วิ่งได้ เลยหายเป็นปรกติ เดินกลับบ้านได้เช่นคนดีๆ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์”

    ๏ นิ่วในถุงน้ำดี

    ม.ร.ว.ไกรเทพ เทวกุล บันทึกไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2494 ข้าพเจ้าป่วยมีอาการแน่นจุกเสียดทุกเดือน บางที 2 ถึง 3 เดือนต่อครั้ง ครั้นถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2495 รู้สึกว่าอาการเช่นนี้มีมากขึ้นจนทนแทบไม่ได้ เช่นหายใจไม่ออก ข้าพเจ้าจึงได้ไปปรึกษาแพทย์ปริญญาที่ข้างบ้าน นายแพทย์ผู้นั้นได้ฉีดยาและให้ยารับประทาน อาการก็ค่อยทุเลา ต่อมาจากนั้น 2 ถึง 3 วันก็เป็นอีก นายแพทย์ผู้นั้นแนะนำว่าควรไปเอกซเรย์ดู เพราะสงสัยในอาการนั้นคงเนื่องมาจากถุงน้ำดีอักเสบ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม ปรากฏตามฟิล์มเอกซเรย์โดยนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกนี้ ลงความเห็นว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี แนะนำให้ทำการผ่าตัดทันที

    ข้าพเจ้าได้มาปรึกษาคุณป้าบุญเรือนถึงอาการเจ็บป่วย คุณป้าได้เอ็ดข้าพเจ้ามากมายว่า ทำไมไม่มาปรึกษาฉันตั้งแต่แรก ถ้าอยากตายก็เชิญไปผ่าได้ คุณป้าจึงให้ข้าพเจ้ารับประทานไพล และน้ำอธิษฐาน กับทั้งได้ให้ปูนอธิษฐานไปทาตามบริเวณหน้าอกและท้อง เว้นวันสองวัน ท่านก็นวดให้ข้าพเจ้าหนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด อาการก็ค่อยทุเลาและหายภายในเดือนนั้นเอง

    คุณป้าบุญเรือนให้ไปฉายเอกซเรย์ดูใหม่ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม กับได้นำฟิล์มทั้งเก่าและใหม่มาเทียบกันดู ปรากฏว่าในแผ่นแรกมีวงกลมสีขาวประมาณเท่าเหรียญสองสลึง ส่วนในแผ่นเอกซเรย์ทีหลังไม่มี นายแพทย์บอกว่าในบริเวณถุงน้ำดีไม่มีก้อนนิ่วแล้ว


    ๏ ยาวิเศษ

    พลตรียุทธ สมบูรณ์ บันทึกไว้ว่า บางท่านที่มาทำความรู้จักกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม มักจะเรียกท่านว่า คุณแม่หมอ คุณยายหมอ หรือคำอื่นๆ ลงท้ายว่า “หมอ” แต่คุณแม่บุญเรือนไม่เคยรับหรืออวดอ้างว่าท่านเป็นหมอแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ดีชื่อเสียงของคุณแม่บุญเรือนก็หอมไปทั่วประเทศไทยในฐานะผู้วิเศษ ก็เพราะท่านอธิษฐานวัตถุสิ่งของต่างๆ ให้เป็นยารักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด

    คุณหมอปรีดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระประแดง ทำยาผงแก้โรคผิวหนังออกจำหน่ายด้วยตัวยาที่คุณแม่บุญเรือนเป็นผู้บอกให้ ตัวยาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชื่อภาษาอังกฤษ ไม่ทราบว่าคุณแม่บุญเรือนไปทราบมาได้อย่างไร เพราะการศึกษาของคุณแม่ก็เพียงอ่านออกเขียนได้ นอกจากนั้นคุณหมอปรีดายังได้ตำรายาอีกอย่างหนึ่งคือ น้ำมันโพธิ์งาม ซึ่งคุณหมอปรีดาได้ผสมขาย ผมสีขาวใส่น้ำมันแล้วกลายเป็นสีเทาและเข้มขึ้นทุกที

    ยาขนานที่ 3 คือ ยาสีฟันวิเศษนิยม ของโรงงานวิเศษนิยม ซึ่งเป็นยาสีฟันที่ทำรายได้อย่างดีตลอดมา...ยาสีฟันวิเศษนิยมนี้ “คุณแม่บุญเรือนก็

    เป็นผู้บอกตัวยาให้”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  20. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    พระเครื่อง “พระพุทโธน้อย”


    ๏ การสร้างวัตถุมงคล

    ในวงการผู้นิยมสะสมวัตถุมงคล พระเครื่อง และเครื่องรางของขลัง คนส่วนใหญ่มักจะสนใจประวัติการสร้างวัตถุมงคลของพระเกจิอาจารย์รูปต่างๆ ขณะเดียวกัน ประวัติของฆราวาสจอมขมังเวทย์ก็เป็นที่สนใจอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าพูดถึงการสร้างวัตถุมงคลของอุบาสิกาหรือแม่ชีนั้น คนวงการพระเครื่องบางคนอาจจะรู้จักบ้าง ส่วนคนนอกวงการพระเครื่องอาจจะเกิดคำถามว่า “มีด้วยหรือ ?”

    วัตถุมงคลที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อธิษฐานจิตมอบให้ลูกศิษย์ คือ ปฐวีธาตุหรือศิลาน้ำ (หินหรือกรวดใต้น้ำ) เพราะเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณครอบจักรวาล มีอานุภาพกันภัย รักษาโรคภัย ตลอดจนคุ้มครองรักษาผู้มีติดตัวไป ลูกศิษย์มักนิยมนำมาใส่ในภาชนะที่ตั้งน้ำอธิษฐานประจำวันเสาร์ และ ภาพถ่าย ซึ่งเป็นที่แสวงหาของคนวงการพระเครื่องยิ่งนัก นอกจากนี้แล้ว หนังสืออนุสรณ์ในงานบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ก็เป็นที่แสวงหาเช่นกัน

    ส่วน “พระพุทโธน้อย” เป็นพระเครื่องขนาดเล็กที่ท่านสร้างขึ้นและอธิษฐานจิตให้ไว้แก่วัดอาวุธวิกสิตาราม ตำบลบางพลัดนอก ฝั่งธนบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2496 เป็นพระพิมพ์แบบครึ่งซีก กรอบทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้า องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย เหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นมุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูน พระเนตรเป็นเม็ดกลมนูน และพระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมนต์ ส่วนด้านหลังมีอักขระขอมจารึกเป็นเส้นลึกอ่านว่า “พุทโธ”

    ๏ การวายชนม์ทิ้งร่าง

    คุณธรรมอันสูงส่งของ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม” อุบาสิกาผู้ใจบุญท่านนี้ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นผู้เสียสละ ชอบการทำบุญ ให้ทาน ไม่ยึดติดสะสมในทรัพย์สมบัติ มีแต่เป็นผู้ให้ตลอดมา และทั้งชีวิตท่านยังได้บำเพ็ญธรรมอย่างสม่ำเสมอตราบจนวาระสุดท้ายที่ท่านได้ จากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยโรคหัวใจ ไต และโลหิตจาง แม้จะมีลูกศิษย์ต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อโดยการอธิษฐานขอ แต่ท่านก็ไม่ทำ

    ท่านบอกว่า “สังขาร ร่างกายและใจ หรือขันธ์ห้านี้ไม่ใช่ตัวของเรา มันเป็นเพียงเครื่องอยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น เป็นเรือนทุกข์ ท่านจึงต้องการออกจากเรือนทุกข์นี้”

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้วายชนม์ทิ้งร่างไปเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2507 เวลา 11.20 นาฬิกา สิริอายุรวม 70 ปี และได้มีการบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2507 ณ วัดธาตุทอง แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ คุณแม่บุญเรือน ท่านรู้สถานที่ วันและเวลาวายชนม์ทิ้งร่างไป โดยท่านให้ตั้งเวลานาฬิกาไว้ถึง 2 เรือนล่วงหน้า คือ 11.20 น. !!! (ตรงกับเวลาวายชนม์ทิ้งร่างไปจริงๆ)
    ๏ กว่า 40 ปี แห่งความศรัทธา

    ในปัจจุบันมีรูปหล่อของคุณแม่บุญเรือน ตั้งอยู่บนศาลาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ในบริเวณวัดอาวุธวิกสิตาราม หรือวัดบางพลัดนอก เลขที่ 137 ถนนจรัญสนิทวงศ์ ซอย 72 แขวงและเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นวัดที่ท่านเคยอยู่บำเพ็ญศีลสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกวันนี้ยังมีผู้คนไปสักการบูชากราบไหว้ขอพรจากรูปปั้นของท่าน อยู่เสมอมิได้ขาด โดยเฉพาะในวันอาทิตย์ เวลาหลังเที่ยง จะมีสานุศิษย์และผู้ศรัทธาของคุณแม่ต่างพร้อมใจไปชุมนุมกัน เพื่อสวดมนต์ต่อหน้ารูปหล่อของท่านที่ศาลาดังกล่าว โดยปฏิบัติติดต่อกันทุกวันอาทิตย์ เป็นเวลาอันยาวนาน ตั้งแต่คุณแม่บุญเรือนถึงแก่กรรม ซึ่งนับได้ประมาณ 40 กว่าปีมาแล้ว

    หลังจากการสวดมนต์ นั่งสมาธิแล้ว สานุศิษย์และผู้ศรัทธาจะขอรับเอาสิ่งของต่างๆ ที่นำมาสักการบูชา เช่น ผลไม้ น้ำตาลทราย เกลือ พริกไทย สาคู และปูนสีแดง ที่ใช้ทาใบพลูสำหรับรับประทาน โดยอธิษฐานขอให้สิ่งของต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นยาแก้โรคต่างๆ ซึ่งก็แปลกที่หลายคนหายขาดโรคภัยที่เป็นอยู่อย่างน่ามหัศจรรย์

    นอกจากนี้บางคนยังเอาไพลทุกชนิดไปถวายต่อหน้ารูปปั้นของคุณแม่บุญเรือน แล้วจุดธูปเทียนกราบไหว้บูชาท่าน อธิษฐานจิตขอให้ท่านดลบันดาลให้ไพลเป็นยารักษาโรค แล้วนำไพลนั้นมาทารักษาโรค ก็หายได้เช่นกัน คุณแม่บุญเรือนเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูง มีชื่อเสียงโด่งดังจากการใช้พลังจิตในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไป รวมทั้งการนวดจับเส้น การใช้พลังจิตของคุณแม่บุญเรือนนั้น ท่านเรียกว่าเป็นการ “อธิษฐานจิต” คือ ท่านจะเข้าสมาธิให้จิตนิ่งเสียก่อน จากนั้นท่านจะอธิษฐานจิตขอให้เป็นไปตามที่ท่านปรารถนา แม้ว่าท่านจะจากไปนานแล้ว แต่คุณงามความดีและชื่อเสียงในทางธรรมที่ท่านเพียรสร้างไว้ขณะยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีผู้กล่าวถึงอยู่ตลอดไป

    พระเทพปัญญามุนี (ทองดี ฐิตายุโก) เจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม (พระอารามหลวง) กล่าวว่า “ตั้งแต่คุณแม่บุญเรือนเสียชีวิตลง มีลูกศิษย์และคนที่มีจิตศรัทธาเพิ่มจำนวนมากขึ้น มากราบไหว้และสวดมนต์ต่อหน้ารูปหล่อของท่านเป็นประจำทุกวัน เหมือนกับตอนที่คุณแม่บุญเรือนยังมีชีวิตอยู่ โดยที่วันอาทิตย์จะมีมากกว่าทุกวัน เพราะเป็นวันที่ร่วมกันสวดมนต์”

    เจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม ยังกล่าวอีกว่า “ในวันอาทิตย์แรกของเดือนกันยายนทุกปี เหล่าลูกศิษย์ของคุณแม่บุญเรือนจะมาสวดมนต์และทำบุญประจำปี เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันวายชนม์ของท่าน คุณแม่บุญเรือนมีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้วัดอาวุธฯ เป็นวัดที่มีคนรู้จักคนทั่วไป จึงได้อธิษฐานจิตขอพรให้สมดั่งปรารถนา และมีส่วนช่วยในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดอาวุธฯ ให้สวยงามและมีชื่อเสียงอย่างในทุกวันนี้”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...