เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

สมาธิกับการรักษาโรค...เค้าทำอย่างไรกันคะ???

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Broccocat, 4 ธันวาคม 2013.

แท็ก: แก้ไข

หน้า 4 ของ 8

DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

31 ตุลาคม 2012

โพสต์:

2,607

ค่าพลัง:

+9,301
ตามทีคุณนพกานต์บอกนะคะ กำหนดจิตไปยังที่ปวด แต่ ดิฉันใช้วิธีเวลาจิตว่าง อาการทางกายก็หายไปด้วยคะ
ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทาง

DuchessFidgette, 15 ธันวาคม 2013

#61
- ถูกใจ x 3
- ดูรายการ
Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

30 ธันวาคม 2008

โพสต์:

889

ค่าพลัง:

+1,445
ความเจ็บป่วย คือ ชี่ไหลเวียนไม่ดี ในระดับต้น ก็อาจจะหายนั่งสมาธิ โยคะ ไทเก๊ก ฝังเข็ม
ชี่ไหลเวียนดี เมื่อจิตใจสงบ กายผ่อนคลาย
เวลาเรามีจิตเมตตา ก็ผ่อนคลายทั้งตัว นี่เป็นวิทยาศาสตร์

ถ้าอวัยวะเสียหายมาก ก็ต้องใช้เวลามาก เช่น อัมพาต
ซึ่งบางทีการใช้วิทยาศาสตร์ช่วยก็จะเร็วกว่า
เช่นการป่วยแบบอุบัติเหตุ แขนหัก กับนั่งทำงานมากปวดไหล่ ความเหมาะก็จะต่างกัน

Bull_psi, 16 ธันวาคม 2013

#62
- ถูกใจ x 5
- ดูรายการ
Broccocat เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

27 เมษายน 2012

โพสต์:

954

ค่าพลัง:

+4,094
Bull_psi said: ↑

ความเจ็บป่วย คือ ชี่ไหลเวียนไม่ดี ในระดับต้น ก็อาจจะหายนั่งสมาธิ โยคะ ไทเก๊ก ฝังเข็ม
ชี่ไหลเวียนดี เมื่อจิตใจสงบ กายผ่อนคลาย
เวลาเรามีจิตเมตตา ก็ผ่อนคลายทั้งตัว นี่เป็นวิทยาศาสตร์

ถ้าอวัยวะเสียหายมาก ก็ต้องใช้เวลามาก เช่น อัมพาต
ซึ่งบางทีการใช้วิทยาศาสตร์ช่วยก็จะเร็วกว่า
เช่นการป่วยแบบอุบัติเหตุ แขนหัก กับนั่งทำงานมากปวดไหล่ ความเหมาะก็จะต่างกัน
Click to expand...

ชี่ เคยได้ยินนะคะ แต่ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร พลังงานรึป่าว

แล้วพอจะมีความรู้เรื่อง หยิน หยาง ไม๊คะ ผู้ชายคือหยิน ผู้หญิงคือหยาง ใช่ไม๊คะ แล้วแบบอย่างอื่นอ่ะค่ะ เช่น ต้นไม้นี่จัดเป็นหยินหรือหยางคะ

Broccocat, 16 ธันวาคม 2013

#63
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ
Broccocat เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

27 เมษายน 2012

โพสต์:

954

ค่าพลัง:

+4,094
มณีดิน said: ↑

กระทู้นี้น่าสนใจค่ะ สมาธิกับการรักษาโรค ดิฉันมีประสบการณ์กับการรักษาด้วยสมาธิอยู่เหมือนกัน แต่เป็นแค่โรคหวัด คือเมื่อเวลาที่เป็นหวัดไม่ต้องกินยาค่ะ ตั้งสมาธิต้านโรคไว้ เพราะที่จริงแล้วคนเรามีภูมิคุ้มกันอยู่ทุกคน มีความสามารถในการรักษาตัวเอง และการที่เราทำสมาธิ ก็มีผลทำให้ร่างกาย และจิตใจของเรากลับเข้าสู่สภาวะใกล้ปกติมากขึ้น
ภูมิคุ้มกัน และประสิทธิภาพต่างๆของร่างกายดีขึ้น โรคบางโรคก็หายได้เองค่ะ แต่ถ้าเราเป็นเมื่อไรแล้วใช้แต่ยารักษาก็จะเคยชิน ลองไม่ใช้ยาดูนะคะ ได้ผลดีเหมือนกันค่ะ
Click to expand...

คุณมณี ทำยังไง...ตั้งสมาธิต้านโรคไว้...อธิบายแบบละเอียดๆ ให้ทีค่ะ...

Broccocat, 16 ธันวาคม 2013

#64
- ถูกใจ x 3
- ดูรายการ
มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

25 ตุลาคม 2010

โพสต์:

218

ค่าพลัง:

+537
 [FONT=&quot]หลักการรักษากายง่ายๆของการเจริญสมาธิ คือ ร่างกายคนเราจะมีความเป็นกรดและด่างไม่เท่ากัน คนที่เครียดง่าย โกรธง่าย มักมีความเป็นกรดสูง แต่คนที่มีจิตใจดี มีเมตตา มีความสุข จะมีความเป็นด่างสูง หากมีอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไปก็ไม่สมดุล โดยเฉพาะกรด หากมีมากเกิดก็ก่อให้เกิดโรคร้ายรักษาไม่หาย หลายโรคที่เกิดจากร่างกายมีกรดมากเกินไป การฝึกสมาธิเป็นการช่วยให้เกิดความสมดุลของร่างกาย เมื่อปฏิบัติได้ถูกวิธี จึงเกิดการรักษาโรคได้ด้วยตัวเอง นี่เป็นหลักการง่ายๆ อันที่จริงมีรายละเอียดลึกซึ้งมากกว่านี้ค่ะ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]


มณีดิน, 17 ธันวาคม 2013

#65
- ถูกใจ x 3
- ดูรายการ
มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

25 ตุลาคม 2010

โพสต์:

218

ค่าพลัง:

+537
ตอบคุณ Broccocat ค่ะ
อีกประการหนึ่ง
[FONT=&quot] จริงอยู่....การเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา แต่หากมีบุญบารมี มีวิริยะแก่กล้า การเจริญสมาธิรักษาโรคก็ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ [/FONT][FONT=&quot][/FONT][FONT=&quot] ลองใช้วิธีรักษาโรคในแนวทางของตนเพื่อรักษาโรคในกายสังขาร[/FONT][FONT=&quot]
[/FONT][FONT=&quot]แต่...หากไม่ได้เป็นโรคร้ายอะไรก็มานั่งสมาธิเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่าง กายก็ได้ค่ะ เมื่อจิตและกายประสานเป็นหนึ่งเดียว สารพิษต่างๆก็ย่อมไม่เกิด[/FONT][FONT=&quot]ค่ะ

[/FONT]
มณีดิน, 17 ธันวาคม 2013

#66
- ถูกใจ x 3
- ดูรายการ
มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

25 ตุลาคม 2010

โพสต์:

218

ค่าพลัง:

+537
 [FONT=&quot]การรักษาโรคด้วยยาแผนปัจจุบัน บางทีเกิดผลข้างเคียงที่เราไม่ต้องการ เช่นยาที่กินบางครั้งก็ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องผูก หากเราใช้วิธีเจริญสมาธิ ต้องอาศัยเวลา อาการป่วยจึงค่อยลดลง โรคบางโรคกว่าจะเป็นต้องใช้เวลาฟักตัวนานหลายปี เช่นโรคไข[/FONT][FONT=&quot]มันสูง ความดันสูง หรือต่ำ โรคไมเกรน การรักษาจะให้หายปุ๊ปปั๊บ คงเป็นไปไม่ได้ และการทำสมาธิบางทีก็ได้ผลเร็ว บางทีก็ไม่ได้ผลไม่แน่นอนเช่นกัน ไม่ต้องแปลกใจนะค่ะ แต่การทำสมาธินั้นจะช่วยบรรเทาอาการรุนแรงของโรคให้ลดลงได้ อย่างน้อยก็เป็นการลดยาแผนปัจจุบันไปได้บ้าง การรักษาตัวเองในช่วงแรกๆก็อย่าพึ่งงดยา ต้องทานไปเรื่อยๆก่อน ค่อยๆลดลง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]


มณีดิน, 17 ธันวาคม 2013

#67
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ
Broccocat เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

27 เมษายน 2012

โพสต์:

954

ค่าพลัง:

+4,094
เรากดอ้างอิงของคุณมณีแล้วแปลกๆ ไงไม่รู้ ละพอจะตอบนะ ส่วนที่อยู่ที่อ้างอิงยาวเป็นงูเลยค่ะ

คุณมณีค๋า...ที่บอกว่าเวลาคนเราไม่สบาย เพราะร่างกายมีความเป็นกรดสูง แต่ทีนี้เรามาคิดๆ ดูว่า เช่น สมมุติ เวลาเราเป็นหวัด เราก็ต้องทานอะไรที่มีวิตามินซี แล้ววิตามินซีนี่มีฤทธิ์เป็นกรด?? ไม่ว่าจะอยู่ในรูปเม็ดสีส้มๆ หรืออยู่ในผลไม้ตระกูลเบอรี่ก็ตาม อย่างงี้ มันไม่ยิ่งไปเพิ่มความเป็นกรดให้ร่างกายมากขึ้นเหรอคะ

ที่ต้องหาวิธีรักษาแบบสมาธิ เพราะเค้าไม่อยากทานยาเคมีแล้วอ่ะค่ะ มานั่งนึกๆ ดูนะ ปีๆ นึงทานพาราเข้าไปกี่เม็ดแล้วก็ไม่รู้ ทุกทีจะแบบ ปวดนิด อะไรหน่อย ก็ทานพาราแบบที่ออกฤทธิ์นานแปดชั่วโมงอ่ะค่ะ ละทานทีละสองเม็ดเงี๊ยะ คิดดู นึกละตับเติบ..โอ้วโน่ววว..

เมื่อคืนก็ปวดหัวไมเกรน เนื่องจากอากาศหนาวมาก หนาวเว่อร์ 13 องศาแน่ะ แล้วเค้าพยากรณ์ว่าจะลดลงอีก 5 องศา (((พระพุทธเจ้าช่วย OMB!!!))) ก็ลองทำแบบ ขอบารมีก่อน แล้วกำหนดความรู้สึกไปตรงข้างที่ปวดเน๊าะ พอตอนที่แบบกำลังทำอ่ะ รู้สึกได้ว่า คล้ายๆ ชีพจรหลายๆ จุด ร่วมด้วยช่วยกันเต้นตุ๊บๆๆๆ บริเวณหัวข้างที่ปวด ละตรงอวัยวะอย่างอื่นก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเต้นนะ เอ๊ะหรือมันเต้นแต่เราไม่รู้นี่ล่ะ...ฮ่าฮ่า ก็ทำอยู่ประมาณน่าจะซักครึ่งชั่วโมง ก็รู้สึกว่าหายปวดไปประมาณ 90% อ่ะค่ะ^^

ตอนตอบนี่ก็พึ่งจะนึกออกว่าเรามีตัวช่วยนี่นา...ที่เป็นเสียงคลื่นเบต้า อัลฟ่า ที่เคยฟังในยูทูป ละทำให้หายปวดหัวได้...เซ็งเป็ดจริงๆ เลย เป็นอย่างงี้ตลอด พึ่งมานึกได้ทีหลัง...งิ!!!

Broccocat, 18 ธันวาคม 2013

#68
- ถูกใจ x 1
- ดูรายการ
มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

25 ตุลาคม 2010

โพสต์:

218

ค่าพลัง:

+537
รักษาแบบใดก็ได้ ไม่มีรูปแบบตายตัวอ่ะค่ะ เอาแบบที่ตรงจริตเราก็นับเป้นวิธีที่ถูกที่สุดแล้ว การรักษาไมเกรน หากเราเป้นบ่อยๆ ยาเป็นแค่ระงัีบไม่ให้ปวดเท่านั้นเอง และหากใช้บ่อยๆ ตับก็พัง ไตก็เสื่อม รอวันป่วยซ้ำซ้อนอีก จัดหนักไปอีก เดี๋ยวจะมาตอบต่อนะคะ ในวิธีรักษาแบบมณีดิน ซึ่งอาจไม่เหมือนใคร เดี๋ยวขอไปธุระทางโลกก่อนค่ะ สาธุ

มณีดิน, 18 ธันวาคม 2013

#69
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ
มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

25 ตุลาคม 2010

โพสต์:

218

ค่าพลัง:

+537
การที่จะเป็นกรดหรือด่าง บางทีเราก็ต้องหาีที่ต้นสายปลายเหตุด้วยเมื่อก่อนดิฉันเองก็เป็นไมเกรนซึ่งคือโรคประจำตัว นานหลายปีเลย เวลาปวดจะทรมานมากๆค่ะ
บางครั้งต้องไปหาหมอเพื่อฉีดยามอร์ฟีน และมีบางครั้งต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล
บางครั้งปวดมากก็ใช้ยา Cafergot แก้ปวดชนิดรุนแรง ยาคลายกล้ามเนื้อ คลายประสาท
เพราะพาราธรรมดาเอาไม่อยู่ เมื่อย้อนคิดไปถึงครั้งนั้นแล้ว น่ากลัวจริงๆ แต่ทุกวันนี้ไม่ต้องเพิ่งยาพวกนี้อีกแล้ว ธรรมะทำให้ชีวิตตัวเองเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ พลังสมาธิเป็นพลังบริสุทธิ์ หาใช่อวิชชาไม่ แม้โรคบางโรคจะรักษาไม่หายก็จริงอยู่ แต่อย่างน้อยก็ทำให้จิตสงบ สบาย

มณีดิน, 18 ธันวาคม 2013

#70
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ
มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

25 ตุลาคม 2010

โพสต์:

218

ค่าพลัง:

+537
ตัวใหญ่มันอ่านง่ายนะ
ต่อค่ะ คือว่า....ถ้ามีอะไรที่ช่วยให้เราหายได้แปลว่าเราคงจะตรงจริตกับสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือบทสวด อะไรก็ได้ และก่อนอื่นให้คิดเสียว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา จิตเราเป็นแค่ผู้อยู่อาศัย ความดีและความชั่วเท่านั้นที่เป็นของเราอย่างแท้จริง กายขันธ์จะสลายเมื่อไรปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้ลิขิตหากเราเป็นผู้พร้อมสมบูรณ์ด้วยศีลแล้ว พร้อมด้วยจิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว ความปิติย่อมเกิดได้ทุกขณะจิต เมื่อแยกกายและจิตออกจากกันแล้วให้เราคิดต่อว่า

มณีดิน, 18 ธันวาคม 2013

#71
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ
มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

25 ตุลาคม 2010

โพสต์:

218

ค่าพลัง:

+537
ลืมบอกไปว่า โรคไมเกรน หรือปวดหัว เกิดเพราะเราใช้งานสมองหนักเกินไป ไม่ยอมพัก ไม่ยอมผ่อนคลาย ยึดมั่นถือมั่น ยึดติด บางครั้งเวลาเป็นเราก็ทานยาระงับปวด พอยาหมดฤทธิ์ก็เป็นอีก เป็นการแก้ปลายเหตุไม่หายขาด น่ารำคาญมาก สิ่งแรกที่ต้องทำคือ หยุดคิด ไม่สร้าง อุปทานให้เกิดใหม่อีก หยุดซ้ำซาก หยุดคิดก่อน คิดเมื่อไรร่างกายก็สร้างสารพิษเพิ่มอีก ร่างกายเราบางทีก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง ชอบทำร้ายเราอยู่เรื่อย อาการที่ตามมา เช่น วิตกกังวล นอนไม่หลับ ปวดกระเพาะ อาหารไม่ย่อย มันพามาเป็นขบวนไม่ยอมเลิกรา หากเราไม่หยุดที่จิตเราก่อน มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันหมด ไม่มีใครยอมใคร พากันแย่งสร้างสารพิษมาทำร้ายเรา วิธีที่จะต่อสู้กับมันก็คือไม่อำนวยความสะดวกให้มันสร้างสารพิษต่อ แล้วค่อยเจริญสมาธิ ก็ไม่มีอะไรมาก คือ
ที่จริงดิฉันเชื่อนะว่ามีหลายท่านก็ปฏิบัติได้ผลมาแล้ว ในเวลาที่ปวดมากๆก็ใช้วิธีกำหนดจิตจนนิ่งแล้ว ให้จิตจ่อตรงที่ปวดจนกลายเป็นลมอะไรสักก้อนหนึ่งไล่ให้ออกมาทางรูจมูกเป็นลมหายใจออก ในขณะที่สูดลมหายใจเข้าก็เหมือนก้อนที่ทำให้ปวดเข้ามาอีก แต่ก็ให้มันออกไปอีก แบบนี้ไปเรื่อยๆ พร้อมกับการภาวนาในแนวที่ตนถนัด อาจเป็นพุท-โธก็ได้ จนลมละเอียดมากขึ้นๆเรื่อยๆค่ะ บางครั้งเราอาจรู้สึกเหมือนมีลมอยู่ตามแนวกระดูกในร่างกาย จนปวดราวไปทั้งตัวก็อย่าสนใจ ถือว่าเป็นมารที่มาขัดขวางบารมีค่ะ ที่สุดก็หายเป็นปลิดทิ้ง เหมือนมีพลังวิเศษประทานจากเบื้องบน วิเศษสุดๆค่ะนี่คือวิธีที่ทำอยู่ทุกวันค่ะ ลองดูนะคะ

มณีดิน, 18 ธันวาคม 2013

#72
- ถูกใจ x 4
- ดูรายการ
Broccocat เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

27 เมษายน 2012

โพสต์:

954

ค่าพลัง:

+4,094

คุณมณี...ละตกลงเรื่องกรดด่างนี่เป็นยังไงคะ ยังไม่ได้อธิบายเลย

ไมเกรนนี่เราเป็นตั้งแต่ตอนเด็กๆ ล่ะค่ะ เคยได้ทานยาเม็ดโตๆ รูปลักบี้สีฟ้า(เป็นยาเสพติดชนิดหนึ่งที่ต้องออกโดยแพทย์เท่านั้น) ตอนเป็นเด็กมัธยมนี่ก็ไม่ได้เครียดอะไรนะ พักผ่อนเยอะมาก แต่ก็เป็นอ่ะค่ะ(น่าจะเป็นเรื่องของกรรมมั้งคะ) แล้วมาเริ่มหายก็ตอนโตแบบเรียนจบมหาลัยแล้ว และทุกวันนี้ถ้าจะปวดไมเกรนก็จะเป็นประมาณปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้นเองค่ะ แต่ที่คืนก่อนที่เป็นคิดว่าเป็นเพราะอากาศมันหนาววววน่ะค่ะ อย่างคืนนี้ก็เว่อร์มาก 11 องศาแน่ะ ขาแทบจะเป็นตะคริวอ่ะ คิดดู

ส่วนเรื่องกายนี้ไม่ใช่ของเราหรือละวางอัตตา นี่ก็เคยได้อ่านๆ มาเหมือนกัน เพียงแต่เราคิดว่า ในเมื่อตอนนี้เรามีกายอยู่ เราก็ควรจะรักษากายนี้ให้แข็งแรงเท่าที่เราสามารถ เจ็บป่วยอะไรจะได้ใช้สมาธิรักษาตัวเองได้ ไม่ต้องไปพึ่งยาเคมี กายจะได้ไม่ต้องได้รับสารพิษไปมากกว่านี้

Broccocat, 19 ธันวาคม 2013

#73
มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

25 ตุลาคม 2010

โพสต์:

218

ค่าพลัง:

+537
เท่าที่เคยอ่านมาร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีความเป็นกรดสูง บางคนเป็นด่างเยอะ ที่เราฝึกสมาธิก็เพื่อไปปรับสมดุลในร่างกายค่ะ แล้วที่เวลาเป็นหวัดต้องกินวิตามินซี จริงอยู่ว่าสรรพคุณหนึ่งของวิตามินซีก็คือช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายและช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหล บางคนก็กินไม่ได้ผล ไม่ใช่กินแล้วรักษาได้ ร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกััน ข้อมูลเกี่ยวกับวิตามินซีลองค้นในกูเกิลมีเยอะมากมายค่ะ
คำตอบของการฝึกสมาธิเพื่ออะไร รักษาอย่างไร กรดด่างอย่างไร แยกเป็นความละเอียดสูง เห็นมีหลายท่านในนี้ตอบได้ดีมากๆ ลองเข้าไปอ่านดูแล้ว ท่านเป็นผู้รู้มาก น่าสนใจ แม้ดิฉันเองก็คงต้องศึกษาไปเรื่อยๆ เพราะกำลังฝึกเหมือนกันค่ะ

มณีดิน, 19 ธันวาคม 2013

#74
- ถูกใจ x 1
- ดูรายการ
Broccocat เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

27 เมษายน 2012

โพสต์:

954

ค่าพลัง:

+4,094

มณีดิน said: ↑

เท่าที่เคยอ่านมาร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีความเป็นกรดสูง บางคนเป็นด่างเยอะ ที่เราฝึกสมาธิก็เพื่อไปปรับสมดุลในร่างกายค่ะ แล้วที่เวลาเป็นหวัดต้องกินวิตามินซี จริงอยู่ว่าสรรพคุณหนึ่งของวิตามินซีก็คือช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายและช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหล บางคนก็กินไม่ได้ผล ไม่ใช่กินแล้วรักษาได้ ร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกััน ข้อมูลเกี่ยวกับวิตามินซีลองค้นในกูเกิลมีเยอะมากมายค่ะ
คำตอบของการฝึกสมาธิเพื่ออะไร รักษาอย่างไร กรดด่างอย่างไร แยกเป็นความละเอียดสูง เห็นมีหลายท่านในนี้ตอบได้ดีมากๆ ลองเข้าไปอ่านดูแล้ว ท่านเป็นผู้รู้มาก น่าสนใจ แม้ดิฉันเองก็คงต้องศึกษาไปเรื่อยๆ เพราะกำลังฝึกเหมือนกันค่ะ
Click to expand...

อ้างอิงไม่ยาวเป็นงูแล้วแฮะ

ตั้งแต่ตั้งกระทู้มา มีคุณมณีนี่ล่ะค่ะ โพสเรื่องกรดๆ ด่างๆ นี่เป็นคนแรก เราก็โอ๊ะ!!! มีด้วยหรือนี่ อิอิ

Broccocat, 19 ธันวาคม 2013

#75
มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

25 ตุลาคม 2010

โพสต์:

218

ค่าพลัง:

+537
มาอ่านตามนี้เลยค่ะ
อาหารที่มีปริมาณเอนไซม์สูง และ มีสภาพความเป็นกรด/ด่างที่สมดุล

การรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์สูง และ มีค่าความเป็นกรด/ด่างที่สมดุล
อาหารที่มีความเป็นกรดสูงเป็นปัจจัยหนึ่งของการพัฒนาการของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้การที่ร่างกายมีสภาพความเป็นกรดจะเป็นสาเหตุของ โรคภัยต่างๆ ดูแก่กว่าวัย รวมถึงมะเร็ง แนวทางที่จะแก้ความเป็นกรดของร่างกาย ได้แก่การรับประทานอาหารที่มีความเป็นด่างเพื่อจะไปช่วยปรับค่า PH และ เพิ่มออกซิเจนให้แก่ร่างกายได้อีกทางหนึ่งด้วย อาหารที่มีความเป็นด่างทำให้ร่างกายแข็งแรง และ อวัยวะต่างๆทำงานได้อย่างปกติ และยังช่วยต้านโรคมะเร็งอีกด้วย

ค่าความเป็นกรด/ด่าง (PH Balance)
ค่าความเป็นกรด/ด่าง จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0 -14 โดยค่าที่ต่ำกว่า 7 คือสภาพที่เป็นกรด (หรือร่างกายมีออกซิเจนในระดับต่ำ) และ ค่าที่เกินกว่า 7 คือสภาพที่เป็นด่าง
ในสภาวะปกติ เลือด น้ำเหลือง และ ของเหลวในไขสันหลัง จะมีค่า PH ที่ประมาณ 7.4 ที่ค่า PH ที่สูงกว่า 7.4 เล็กน้อยเซลล์มะเร็งจะยังสามารถคงอยู่ได้แต่จะไม่พัฒนาหรือแพร่กระจาย แต่ที่ระดับ PH 8.5 เซลล์มะเร็งจะตายและเซลล์ที่ดีจะยังอยู่

พัฒนาการของมะเร็งเป็นไปตามระยะดังนี้:
1. ร่างกายมีการย่อยอาหารที่มีสภาพเป็นกรด อาหารที่มีไขมันสูง อาหารฟอกขาว สารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น ไนเตรด สารเคมีปนเปื้อนต่างๆ นอกจากนี้รังสีจากเอกซ์เรย์ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งด้วย
2. มีอาการท้องผูกต่อเนื่อง
3. เลือดมีสภาพเป็นกรด ซึ่งเป็นผลให้มีการเพิ่มขึ้นของเซลล์เม็ดเลือดขาว และการลดลงของเซลล์เม็ดเลือดแดง หรือ เป็นจุดเริ่มต้นของโรค ลิวคีเมีย
4. ของเหลวภายนอกเซลล์มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น
5. ของเหลวภายในเซลล์มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น
6. มีการกลายสภาพของเซลล์ ในระยะนี้ถือว่าเป็นระยะเริ่มแรกของมะเร็ง
7. หากร่างกายยังคงได้รับอาหารที่มีสภาพเป็นกรดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบำบัดด้วยรังสี สารเคมี หรือ ยา ในระดับความเข้มข้นสูง จะยิ่งไปทำให้การแพร่กระจายเป็นไปได้มากขึ้น
ข้อมูลจาก “Acid Alkaline” by Herman Aihara

หากจะพูดถึงอาหารที่เป็นกรด/ด่าง เราสามารถแยกพิจารณาเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. อาหารที่เป็นกรดหรือด่าง หมายถึง ความเป็นกรดหรือด่างที่มีอยู่ในตัวอาหารเอง
2. อาหารประเภทที่ก่อให้เกิดความเป็นกรดหรือด่าง หมายถึงอาหารที่หลังจากรับประทานและผ่านกระบวนการย่อยแล้ว จะไปเปลี่ยนสภาพร่างกายให้เป็น กรด หรือ ด่าง
สภาวะที่เป็นกรดจะไปขัดขวางการทำงานของเส้นประสาท ในขณะที่สภาวะที่เป็นด่างช่วยกระตุ้น การอาบน้ำเย็นก็สามารถช่วยให้เลือดมีความเป็นด่างขึ้นได้ แต่การอาบน้ำอุ่นจะให้ผลตรงกันข้าม การบริโภคอาหารที่มีความสมดุลย์จะช่วยให้ค่า PH ของเลือดสมดุลย์ได้ แม้จะใช้เวลากว่าที่จะเห็นผล หากเลือดของเราเริ่มจะมีสภาพที่เป็นกรด ร่างกายจะนำสภาพความเป็นกรดนั้นไปกักเก็บไว้ตามส่วนต่างๆโดยที่เรามองไม่เห็น เพื่อให้สภาพของเลือดมีความเป็นด่างทำให้เราดำรงชีวิตได้โดยไม่มีปัญหา เมื่อการสะสมของกรดนานวันเข้าอวัยวะที่เก็บกรดส่วนเกินนั้นไว้ก็จะเริ่มมีปัญหา หรือเซลล์บริเวณนั้นๆจะเริ่มตายไปในที่สุด
เซลล์บางเซลล์ในร่างกายอาจจะกลายสภาพแทนที่จะตายไปในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เมื่อมันเป็นเซลล์กลายสภาพ(Malignant Cells) เซลล์นั้นจะมีสภาพที่เป็นอันตรายมาก เซลล์กลายสภาพจะไม่ตอบสนองต่อการสั่งงานของสมอง หรือไม่ได้ทำหน้าที่ตามที่รหัสความจำ DNA กำหนดไว้ เซลล์กลายสภาพจะเจริญเติบโตไม่สิ้นสุดและไม่เป็นไปตามคำสั่ง ซึ่งเราเรียกเซลล์กลายสภาพเหล่านี้ว่า มะเร็ง
ขอบคุณข้อมูลจาก

มณีดิน, 19 ธันวาคม 2013

#76
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ
Broccocat เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

27 เมษายน 2012

โพสต์:

954

ค่าพลัง:

+4,094

มณีดิน said: ↑

มาอ่านตามนี้เลยค่ะ
อาหารที่มีปริมาณเอนไซม์สูง และ มีสภาพความเป็นกรด/ด่างที่สมดุล

การรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์สูง และ มีค่าความเป็นกรด/ด่างที่สมดุล
อาหารที่มีความเป็นกรดสูงเป็นปัจจัยหนึ่งของการพัฒนาการของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้การที่ร่างกายมีสภาพความเป็นกรดจะเป็นสาเหตุของ โรคภัยต่างๆ ดูแก่กว่าวัย รวมถึงมะเร็ง แนวทางที่จะแก้ความเป็นกรดของร่างกาย ได้แก่การรับประทานอาหารที่มีความเป็นด่างเพื่อจะไปช่วยปรับค่า PH และ เพิ่มออกซิเจนให้แก่ร่างกายได้อีกทางหนึ่งด้วย อาหารที่มีความเป็นด่างทำให้ร่างกายแข็งแรง และ อวัยวะต่างๆทำงานได้อย่างปกติ และยังช่วยต้านโรคมะเร็งอีกด้วย

ค่าความเป็นกรด/ด่าง (PH Balance)
ค่าความเป็นกรด/ด่าง จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0 -14 โดยค่าที่ต่ำกว่า 7 คือสภาพที่เป็นกรด (หรือร่างกายมีออกซิเจนในระดับต่ำ) และ ค่าที่เกินกว่า 7 คือสภาพที่เป็นด่าง
ในสภาวะปกติ เลือด น้ำเหลือง และ ของเหลวในไขสันหลัง จะมีค่า PH ที่ประมาณ 7.4 ที่ค่า PH ที่สูงกว่า 7.4 เล็กน้อยเซลล์มะเร็งจะยังสามารถคงอยู่ได้แต่จะไม่พัฒนาหรือแพร่กระจาย แต่ที่ระดับ PH 8.5 เซลล์มะเร็งจะตายและเซลล์ที่ดีจะยังอยู่

พัฒนาการของมะเร็งเป็นไปตามระยะดังนี้:
1. ร่างกายมีการย่อยอาหารที่มีสภาพเป็นกรด อาหารที่มีไขมันสูง อาหารฟอกขาว สารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น ไนเตรด สารเคมีปนเปื้อนต่างๆ นอกจากนี้รังสีจากเอกซ์เรย์ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งด้วย
2. มีอาการท้องผูกต่อเนื่อง
3. เลือดมีสภาพเป็นกรด ซึ่งเป็นผลให้มีการเพิ่มขึ้นของเซลล์เม็ดเลือดขาว และการลดลงของเซลล์เม็ดเลือดแดง หรือ เป็นจุดเริ่มต้นของโรค ลิวคีเมีย
4. ของเหลวภายนอกเซลล์มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น
5. ของเหลวภายในเซลล์มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น
6. มีการกลายสภาพของเซลล์ ในระยะนี้ถือว่าเป็นระยะเริ่มแรกของมะเร็ง
7. หากร่างกายยังคงได้รับอาหารที่มีสภาพเป็นกรดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบำบัดด้วยรังสี สารเคมี หรือ ยา ในระดับความเข้มข้นสูง จะยิ่งไปทำให้การแพร่กระจายเป็นไปได้มากขึ้น
ข้อมูลจาก “Acid Alkaline” by Herman Aihara

หากจะพูดถึงอาหารที่เป็นกรด/ด่าง เราสามารถแยกพิจารณาเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. อาหารที่เป็นกรดหรือด่าง หมายถึง ความเป็นกรดหรือด่างที่มีอยู่ในตัวอาหารเอง
2. อาหารประเภทที่ก่อให้เกิดความเป็นกรดหรือด่าง หมายถึงอาหารที่หลังจากรับประทานและผ่านกระบวนการย่อยแล้ว จะไปเปลี่ยนสภาพร่างกายให้เป็น กรด หรือ ด่าง
สภาวะที่เป็นกรดจะไปขัดขวางการทำงานของเส้นประสาท ในขณะที่สภาวะที่เป็นด่างช่วยกระตุ้น การอาบน้ำเย็นก็สามารถช่วยให้เลือดมีความเป็นด่างขึ้นได้ แต่การอาบน้ำอุ่นจะให้ผลตรงกันข้าม การบริโภคอาหารที่มีความสมดุลย์จะช่วยให้ค่า PH ของเลือดสมดุลย์ได้ แม้จะใช้เวลากว่าที่จะเห็นผล หากเลือดของเราเริ่มจะมีสภาพที่เป็นกรด ร่างกายจะนำสภาพความเป็นกรดนั้นไปกักเก็บไว้ตามส่วนต่างๆโดยที่เรามองไม่เห็น เพื่อให้สภาพของเลือดมีความเป็นด่างทำให้เราดำรงชีวิตได้โดยไม่มีปัญหา เมื่อการสะสมของกรดนานวันเข้าอวัยวะที่เก็บกรดส่วนเกินนั้นไว้ก็จะเริ่มมีปัญหา หรือเซลล์บริเวณนั้นๆจะเริ่มตายไปในที่สุด
เซลล์บางเซลล์ในร่างกายอาจจะกลายสภาพแทนที่จะตายไปในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เมื่อมันเป็นเซลล์กลายสภาพ(Malignant Cells) เซลล์นั้นจะมีสภาพที่เป็นอันตรายมาก เซลล์กลายสภาพจะไม่ตอบสนองต่อการสั่งงานของสมอง หรือไม่ได้ทำหน้าที่ตามที่รหัสความจำ DNA กำหนดไว้ เซลล์กลายสภาพจะเจริญเติบโตไม่สิ้นสุดและไม่เป็นไปตามคำสั่ง ซึ่งเราเรียกเซลล์กลายสภาพเหล่านี้ว่า มะเร็ง
ขอบคุณข้อมูลจาก

Click to expand...

- อ่านละนึกไปถึง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว เช่น โฟมล้างหน้า, แชมพู, สบู่อนามัยต่างๆ เราไม่ได้เรียนสายวิทย์มานะ เรายอมรับเลยว่าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเซลล์พวกนี้หรอก แฮ่ะๆๆ

- เราจะทราบได้อย่างไรคะว่า ผลไม้, อาหาร หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา อันไหนเป็นกรด อันไหนเป็นด่าง มีค่า PH เท่านั้นเท่านี้ โดยที่ไม่ต้องไปเข้าห้องแล็ปเคมี แบบมีจุดสังเกตง่ายๆ ไม๊คะ

Broccocat, 20 ธันวาคม 2013

#77
tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

วันที่สมัครสมาชิก:

18 เมษายน 2012

โพสต์:

3,654

ค่าพลัง:

+20,337
การรักษา โรค ก่อนอื่น
1เราก็ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า โรคดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใด ถ้าไม่ทราบสาเหตุ แล้วจะรักษาให้หายได้อย่างไร มันต้องแก้ไขที่สาเหตุ อันมีสาเหตุอยู่สองส่วนคือ
1.1โรคภัยที่เกิดจากกรรมเก่าในอดีต ต้องรู้ลึกว่าทำอะไรไว้ แล้วควรแก้ไขอย่างไร
1.2โรคภัยที่เกิดจากกรรมในปัจจุบัน ต้องรู้ลึกว่าทำอะไรไว้แล้วควรแก้ไขอย่างไร
2เมื่อทราบสาเหตุ ก็ให้แก้ไขเหตุให้ได้ ถ้าแก้ไขไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีการประคับประคองหรือช่วยเหลือให้ดีขึ้น
3หากโรคที่เป็นอยู่มีสภาพเรื้อรังทำลายร่างกายไปมากแล้ว การจะรักษาให้เหมือนเดิมจึงทำได้ยาก ตรงนี้ก็ควรหาทางออกหรือทางแก้ไขให้เหมาะสม
4โรคที่เป็นไปตามอายุไข มันเป็นสภาพความจริงของสังขารร่างกายที่ต้องเสื่อมโทรมลงทุกวัน ก็ควรเข้าใจและรู้ว่าควรดูแลสุขภาพของตนอย่างไรให้ดี

สุดท้ายทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม ขอให้ทำกรรมดีให้มากหยุดทำบาป หยุดการเบียดเบียน โรคภัยอุบัติเหตุจะไม่ถามหาเราครับ ยกเว้นโรคชราครับ สาธุ

tjs, 20 ธันวาคม 2013

#78
- ถูกใจ x 5
- ดูรายการ
tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

วันที่สมัครสมาชิก:

18 เมษายน 2012

โพสต์:

3,654

ค่าพลัง:

+20,337
tjs said: ↑

การรักษา โรค ก่อนอื่น
1เราก็ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า โรคดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใด ถ้าไม่ทราบสาเหตุ แล้วจะรักษาให้หายได้อย่างไร มันต้องแก้ไขที่สาเหตุ อันมีสาเหตุอยู่สองส่วนคือ
1.1โรคภัยที่เกิดจากกรรมเก่าในอดีต ต้องรู้ลึกว่าทำอะไรไว้ แล้วควรแก้ไขอย่างไร
1.2โรคภัยที่เกิดจากกรรมในปัจจุบัน ต้องรู้ลึกว่าทำอะไรไว้แล้วควรแก้ไขอย่างไร
2เมื่อทราบสาเหตุ ก็ให้แก้ไขเหตุให้ได้ ถ้าแก้ไขไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีการประคับประคองหรือช่วยเหลือให้ดีขึ้น
3หากโรคที่เป็นอยู่มีสภาพเรื้อรังทำลายร่างกายไปมากแล้ว การจะรักษาให้เหมือนเดิมจึงทำได้ยาก ตรงนี้ก็ควรหาทางออกหรือทางแก้ไขให้เหมาะสม
4โรคที่เป็นไปตามอายุไข มันเป็นสภาพความจริงของสังขารร่างกายที่ต้องเสื่อมโทรมลงทุกวัน ก็ควรเข้าใจและรู้ว่าควรดูแลสุขภาพของตนอย่างไรให้ดี

สุดท้ายทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม ขอให้ทำกรรมดีให้มากหยุดทำบาป หยุดการเบียดเบียน โรคภัยอุบัติเหตุจะไม่ถามหาเราครับ ยกเว้นโรคชราครับ สาธุ
Click to expand...

==================

การทำสมาธิ สามารถช่วยรักษาโรคได้ แต่ก็ไม่ทั้งหมด แล้วแต่ว่าเป็นโรคอะไร มีสาเหตุจากอะไร ประกอบกับสมาธิอาจสามารถระงับได้ชั่วขณะแต่โรคก็ยังคงมีอยู่รอเวลาประจวบเหมาะให้ผลของมันครับ ดังนั้นการฝึกสมาธิก็มีส่วนช่วยได้ไม่มากก็น้อย ตามแต่เหตุปัจจัยครับ สาธุ

tjs, 20 ธันวาคม 2013

#79
- ถูกใจ x 4
- ดูรายการ
มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

25 ตุลาคม 2010

โพสต์:

218

ค่าพลัง:

+537
tjs said: ↑

การรักษา โรค ก่อนอื่น
1เราก็ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า โรคดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใด ถ้าไม่ทราบสาเหตุ แล้วจะรักษาให้หายได้อย่างไร มันต้องแก้ไขที่สาเหตุ อันมีสาเหตุอยู่สองส่วนคือ
1.1โรคภัยที่เกิดจากกรรมเก่าในอดีต ต้องรู้ลึกว่าทำอะไรไว้ แล้วควรแก้ไขอย่างไร
1.2โรคภัยที่เกิดจากกรรมในปัจจุบัน ต้องรู้ลึกว่าทำอะไรไว้แล้วควรแก้ไขอย่างไร
2เมื่อทราบสาเหตุ ก็ให้แก้ไขเหตุให้ได้ ถ้าแก้ไขไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีการประคับประคองหรือช่วยเหลือให้ดีขึ้น
3หากโรคที่เป็นอยู่มีสภาพเรื้อรังทำลายร่างกายไปมากแล้ว การจะรักษาให้เหมือนเดิมจึงทำได้ยาก ตรงนี้ก็ควรหาทางออกหรือทางแก้ไขให้เหมาะสม
4โรคที่เป็นไปตามอายุไข มันเป็นสภาพความจริงของสังขารร่างกายที่ต้องเสื่อมโทรมลงทุกวัน ก็ควรเข้าใจและรู้ว่าควรดูแลสุขภาพของตนอย่างไรให้ดี

สุดท้ายทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม ขอให้ทำกรรมดีให้มากหยุดทำบาป หยุดการเบียดเบียน โรคภัยอุบัติเหตุจะไม่ถามหาเราครับ ยกเว้นโรคชราครับ สาธุ
Click to expand...

เจริญสมาธิอย่างเดียวช่วยไม่ได้ สาธุค่ะ จริงแท้แน่นอน

มณีดิน, 20 ธันวาคม 2013

#80
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ

(คุณต้องเข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน เพื่อที่จะโพสต์)

หน้า 4 ของ 8

แชร์หน้านี้

Loading...