//// "อานาปานสติ" ตั้งแต่ต้น จน แจ้งธรรม ////

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย xeforce, 16 ธันวาคม 2013.

  1. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ขอเล่าการปฏิบัติอานาปนสติของผมตั้งแต่ต้นจนจบให้ลองอ่าน
    หากบุคคลที่เห็นโทษภัยในการเกิดแล้ว มุ่งต่อ พระนิพพาน ได้ลอง
    หยิบบางช่วงไปปฏิบัติ แล้วได้ประโยชน์บ้างจาก ประสบการณ์นี้

    ก่อนอื่นผมถามตัวเองก่อนว่าให้ความสำคัญแค่ไหนกับการปฏิบัติ
    และเอาจริงบนเส้นทางแห่งมรรคผลนี้แค่ไหน ผมบอกกับตัวเองเลยว่า
    จะปฏิบัติอย่างเอาจริงทั้งวัน แล้วจะรู้และสนใจแค่ลมที่เข้า-ออก ที่จมูกนี้




    อานาปานสติ

    ยกที่ 1 (อึดอัด)
    วันแรกของการปฏิบัติ ตั้งใจว่าทำทั้งวัน มีสติเมื่อไหร่ กลับมารู้สึกที่
    ลมหายใจนี้ คอยถามตัวเองเสมอว่า ตอนนี้หายใจเข้า หรือ ออก ในตอนแรก
    สติยังน้อย ก็ยังหลงไปกับการใช้ชีวิตอยู่ทั้งวัน กลับมารู้ลมได้ไม่กี่ครั้ง พอรู้
    ได้ไม่กี่ครั้ง สติก็กระโดดไปเรื่องอื่น แต่ด้วยความที่ตั้งใจจะเอาจริงในการปฏิบัติ
    อานาปานสติ ก็ทำให้มีความเพียร แล้วก็กลับมารู้ที่ลมบ่อยขึ้น แต่จริตผมที่เคย
    บริกรรมว่า พุท-โธ อยู่นั้นใจมันอยากไป บริกรรม พุท-โธ เพราะเป็นสิ่งที่
    คุ้นเคยกับจิต แต่ก็ต้องฝืนกลับมารู้สึกที่ลม


    ในการรู้สึกที่ลมของผมนั้น ยก อานาปานสติ มาหนึ่งท่อน ดังนี้
    "เธอย่อมมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า"

    ผมทำความรู้สึกที่ลมนั้นว่ามันเข้า หรือออก หากลมเข้า ก็ทำความรู้สึก
    ถึงลมที่กำลังเข้า ช่วงแรกของการรู้ลม รู้สึกอึดอัดมาก เป็นเพราะการบังคับลม
    ให้เข้า-ให้ออก คือไม่ได้มีสติไปรู้ที่ปัจจุบันจริง ผลก็คือ อึดอัด แน่นหน้าอก
    ทุกครั้งที่มีสติมารู้ลม แต่เมื่อปฏิบัติไปจะทราบเองว่าจะวางจิตแค่ไหนจะเหมาะ
    กับเรา พระพุทธองค์เปรียบเทียบถึงการจับนก จับแรงไปนกก็ตาย จับเบาไป
    นกก็บินหนีหลุดมือไป แต่เมื่อเรามีความเพียร ทดลองวางจิตแค่ไหนว่าพอดี
    เราจะรู้ได้เอง และเห็นสมดุลแห่งธรรมเอง เมื่อผมพบจุดที่เป็นสมดุลขณะการรู้ลม
    ต่อมาสติก็กลับมารู้ที่ลมนี้บ่อยขึ้น ช่วงที่ผมทำช่วงแรก สติยังพร่าเลือน ไม่ชัดนัก
    ไม่่ค่อยรู้สึกอาการของลมที่เข้าหรือออก ผมใส่คำให้กิริยาของลมที่เข้าว่า "เข้า"
    กิริยาของลมที่ออกว่า "ออก" แล้วทำความรู้สึกที่ข้างใน ถึงอาการอย่างนั้นเอา

    ทำอย่างนี้ตลอดวันที่ว่างจากการทำงาน ขับรถ หรือกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิด
    สติจะกลับมาที่ลมเสมอ

    ช่วงแรกยังไม่เห็นความคิดที่ผุดขึ้นเนื่องจากยัง พะวงอยู่กับการรู้ลม และสติยังไม่
    มากพอ ช่วงเวลาการปฏิบัตินี้ ไม่ได้ทำสมาธิเลย มีเพียงการรู้สึกที่ลมอย่างเดียวท้งนั้น



    .............................................


    ยกที่ 2 (ปล่อยคำบริกรรม)
    วันต่อมาด้วยความตั้งใจจริงในการปฏิบัติ ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ลุกจากที่นอนสติ
    เตือนมาที่ลมเลย รู้ได้ซักพัก สติหลุดไปกับกิจกรรมประจำวัน
    ระหว่างวันนั้นเมื่อเห็นว่าสติชัดขึ้น บ่อยขึ้น โดยไม่ต้องพยุงมากนัก ก็เริ่มปล่อย คำว่า
    "เข้า ออก" ทำความรู้สึกที่ลมเข้า แล้วรู้สึกถึงว่าตอนนี้ลมเข้า ทำความรู้สึกที่ลมออก
    แล้วรู้สึกถึงว่าตอนนี้ลมออก ช่วงที่ปล่อยคำบริกรรม ต้องพยายามพยุงจิต แต่เมื่อสติ
    แข็งแรงขึ้น ก็ไม่ต้องคอยพยุง มันจะง่ายขึ้น สบายขึ้น ทั้งหมดนี้หากนักปฏิบัติ ได้ลอง
    ปฏิบัติดูจะเห็นธรรมชาติของจิต มีมันจะพิจารณาธรรมในการปฏิบัติ เราจะวิเคราะห์เอง
    ว่า จิตเรามาถึงตรงนี้ ควรทำอะไรต่อ


    .............................................


    ยกที่ 3 (ยาวก็รู้สั้นก็รู้)
    เมื่อสติชัดขึ้น ถี่ขึ้น พอจะรู้ทั่วถึง จะเห็นช่องว่างแห่งสติ ยกตัวอย่าง ผมรู้สึก
    ที่ลมเข้า-ออกแล้วมันเหลือช่องว่าง ซึ่งตอนแรกของการปฏิบัติ สติตามระลึกแทบไม่ทัน
    แต่ตอนนี้มันทันจนเหลือ ตอนนี้ผมจึงยกจิตขึ้นอานาปานสติอีกขั้น ขั้นนี้เราจะรู้เองว่า
    พร้อมเมื่อไหร่ ขั้นนี้ เมื่อเราหายใจ เข้า-ออก ก็สังเกตุว่ามัน สั้นหรือยาว ส่วนตัวผม
    ยึดเอาว่า หายใจเข้าครั้งนี้ มันสั้นหรือยาว กว่าครั้งที่แลัว ช่วงแรกพยุงจิตตามเคย
    แต่เมื่อสติดีขึ้น ก็เห็นชัดขึ้น รู้สึกที่ลมอยู่อย่างนี้ เป็นการเจริญทั้งสมถะ และวิปัสสนา
    จิตที่จดดจ่ออยู่ที่ลมจะได้สมาธิ ผมสังเกตุอย่างนี้ว่า ผมเจริญอานาปานสติในระหว่างวัน
    อายาตนะตาที่เปิดอยู่เมื่อเรามีสมาธิและสติจดจ่อที่ลม มีผมผลทำให้สมาธิและสติกล้าแข็ง
    มากกว่าตอนที่นั่งทำสมาธิหลับตาเป็นชั่งโมงซะอีก



    ............................................


    ยกที่ 4 (ความคิดผุดขึ้น)
    พอสติมารู้ที่ลมชัด จิตจะตั้งมั่น ซึ่งเป็นองค์หนึ่งของอานาปานสติ พอจิตตั้งมั่นแล้ว
    ก็จะเห็นความคิดที่ผุดขึ้นมาแทรกระหว่้างการรู้สึกที่ลม พอกลับไปที่ลม ความคิดก็แทรกอีก
    เห็นอย่างนี้ไปเรื่อย ช่วงเห็นความคิดผุดขึ้นช่วงแรก จะรู้แค่ว่ามีความคิดเข้ามาแทรก แต่
    เมื่อสติกล้าแข็งแล้วนั้นจะเห็นเป็นภาพขึ้นมาบ้าง เห็นว่าจิตคิดอะไรบ้าง จะเห็นเรื่องราว
    ชัดเจน เรื่องราวที่ผุดขึ้นมัทั้งเกี่ยวกับปัจจุบันบ้าง เรื่องในอดีตบ้าง เรื่องที่ไม่เคยเจอบ้าง
    บุคคลที่ไม่รู้จักบ้าง ผุดขึ้นมาแทรกอยู่ตลอด ผมเองเมื่อความคิดผุดขึ้นก็ละมาที่ลม ไม่ไหล
    ไปในความคิด ไม่พิจารณาอะไร รู้ที่ปัจจุบันขณะ


    .............................................


    ยกที่ 5 (บังคับจิต)
    วันนั้นเองตอนเย็นผมนอนเล่นบนที่นอน แล้วก็คิดอย่างนี้ว่า จะลองบังคับไม่ให้จิต
    เคลื่อนไปไปไหน ให้รู้ที่ลมนี้อย่้างเดียว พอตั้งใจอย่างนั้น ก็สู้เต็มที่ รู้ลมได้ซักพัก ความคิด
    เจ้ากรรมผุดขึ้นอีก ดึงจิตไปที่ลมทันที พยายามทรงตัว ทรงสติไว้ที่ลม ... แต่ไม่ว่าจะพยายาม
    ซักแค่ไหนก็เห็นจิตที่เคลื่อนไปถี่ขึ้นๆ และเห็นมันอย่างนี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนจิตแจ้งในความเป็น
    อนิจจัง ที่มันบังคับไม่ได้ มันไม่มีตัวตน มันเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่มันกระทบ กันอยู่ภายใน
    มันทำงานไปเอง เมื่อเหตุ ส่วนขณะจิตที่แจ้งนี้ขอไม่กล่าวในที่นี้ เพราะอาจเป็นการขัดขวาง
    การปฏิบัติของท่านได้เพราะจิตที่คาดไปถึงแจ้งเห็นธรรมนี้ จะทำให้จิตไม่เป็นกลาง อย่างที่ผม
    เคยแนะนำไปถึงการวางจิต ก่อนการปฏิบัติ จะทำให้การหาสมดุลของตนเอง เนิ่นช้าไป




    สิ่งสำคัญในการปฏิบัติ ต้องหาสมดุลแห่งธรรม วิเคราะห์็ตนเองว่า ควรยกระดับสติหรือยัง พร้อม
    กับสภาวะที่ปฏิบัติหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ที่จะรู้ได้ด้วยตนเอง ว่าควรทำอย่างไร
    ธรรมะนี้ ท้าให้มาลองพิสูจน์ ขาดแค่คนจริง ทำจริง มีความเพียรจริง ปฏิบัติให้ถูกตามสติปัฏฐาน4
    รักษาตนให้อยู่ในมรรค8 แล้วมรรคผลนิพพานก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่คนธรรมดาคนหนึ่ง
    จะรู้แจ้งในธรรมได้ และขณที่เจริญอานาปานสติอยู่นั้น จิตขณะนั้น ก็มี โพชฌงค์บริบูรณ์ ขณะจิต
    นี้เองสามารถ จะรู้แจ้งได้ในทุกขณะจิตที่เจริญอานาปานสติ เราแค่ตั้งใจทำด้วยความเพียร


    เพียงขณะจิตเดียวข้ามจากโครตปุถุชนธรรมดาเป็นอริยะชนได้ ก็เพียงแค่ขณะจิตเดียวแห่งการ
    เจริญอานาปานสตินี้




    ....................................................
     
  2. ไม่ยึด

    ไม่ยึด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +263
    เขาเห็นว่าคุณเป็นคนจริงเขาเลยไม่แหย่คุณเล่น เจริญในธรรมครับ สาธุ
     
  3. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    สาธุที่คุณปฏิบัติได้ผลตรงตาม พุทธวิธีโดยแท้
     
  4. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ระหว่างที่ผมเจริญอานาปานสตินั้น


    ผมไม่ได้นั่งสมาธิ
    การที่ผมบอกว่าไม่ได้นั่งสมาธินั้น ในขณะที่เจริญอานาปานสติ
    ไม่ได้หมายความว่า สมาธิเป็นสิ่งไม่ดี แต่การที่เรามีสติจดจ่ออยู่
    ลมหายใจนี้ผลของมันก็คือ ได้ทั้ง สัมมาสมาธิ และสัมมาสติ
    ซึ่งทั้งสมาธิ และสติ ก็เป็นเหมือนบาทฐาน เป็นสิ่งที่จำเป็นใน
    การเข้าไปเห็นการเกิด-ดับ จิตที่ไม่เป็นสมาธิ ไม่มีสติไม่มีทางที่
    จะเห็นการเกิดดับได้เลย


    ผมไม่ได้เดินจงกรม
    ตอนเจริญอานาปานสติอยู่นั้น ผมไม่เดินจงกรม แต่การที่ไม่
    เดินจงกรม ก็ไม่ได้หมายความว่าการเดินจงกรมไม่ดี แต่ทุก
    ย่างก้าวที่เดินไปในชีวิตประจำวัน มีสติมารู้สึกที่ลมนี้ ก็เป็น
    การเดินจงกรมอยู่แล้ว



    ผมไม่ฟังธรรมะ
    ระหว่างที่เจริญอานาปานสติ ผมไม่ฟังธรรมะ เพราะเวลานี้
    ต้องมาอยู่กับ กายและใจ ให้มากที่สุด การฟังธรรมะเป็นสิ่งดี
    แต่ให้หยุดไว้ก่อน ก็เพราะจะเกิดการเทียบเคียงในธรรม
    ทำให้เราลังเลสงสัย ว่ามรรควิธีนี้ดีจริงไหม หรืออันอื่นดีกว่า
    ทำไมคนนู้นพูดอย่างนั้น ทำไมคนนี้พูดอย่างนี้ เราต้องมั่นใจ
    ในมรรควิธีที่เราเดิน


    ผมไม่หวังผลนิพพาน
    อย่าหวังผลนิพพานขณะเจริญอานาปานสติ แต่ไม่ใช่ให้ทิ้ง
    เป้าหมายคือ มรรคผลนิพพาน แต่เมื่อเรากำหนดเป้าหมาย
    แล้วรู้ทิศทางที่จะไปแล้ว ก็วางความอยากลง เหมือนเราขับรถ
    ไปทะเล เราตั้งเป้าหมายว่า จะไปทะเล โดยที่ใจเราไม่ต้องพะวง
    อยู่กับเป้าหมายทะเลแล้ว ไม่ต้องคิดว่า ทะเลสวยแค่ไหน
    คนไปเที่ยวเยอะไหม แต่เราเพียงแค่ขับรถไปบนทางที่จะไปถึง
    ทะเล ก็เมื่อถึงทะเลแล้ว ก็จะรู้เองเห็นเอง ว่าทะเลสวยแค่ไหน




    ......................................
     
  5. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    สาธุครับ
    กายานุปัสสนาถือเป็นการปฏิบัติที่ใช้ได้กับทุกคนทุกระดับจริงๆ
    จะว่ายากเฉพาะกับผู้ที่ไม่ตั้งใจจริงเท่านั้น
     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ยังไม่น่าจะรีบด่วนสรุปว่าข้ามโคตรอะไรกันเลย..มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ดูให้ดี ๆ ดูให้ถึงทุกข์ฯ
     
  7. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
  8. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่เป็นแฟนๆ ของพระอาจารย์ปราโมทย์ และที่ว่า
    ........อันนี้เป็นวิธีใช้อานาปานสติทำให้เกิดฌาน ในฌานนั้นเกิดจิตผู้รู้ขึ้นมา คนที่ได้จิตผู้รู้จากสมาธิเนี่ย เมื่อออกจากสมาธิแล้วตัวรู้จะเด่นดวงอยู่อย่างนั้นน่ะ ถ้าสมาธิหนักแน่นพอนะ เด่นอยู่ได้หลายวันเลย แต่ไม่เกิน ๗ วันก็จะเสื่อม พอมีตัวรู้นี้เอาไว้ใช้เดินปัญญา ......
    ........ตามที่ลิงค์นั้น จิตผู้รู้นี้ผมสงสัยว่า จะเป็นตัวญาณหรือเปล่า เพราะใน พระไตรปิฏก เล่มที่ 31 กล่าวว่า การบรรลุธรรม ต้องมีการประกอบด้วย จิตและ ญาณ ถ้ามีแต่จิต หรือมีแต่ญาณ อย่างไดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้ ต้องประกอบกัน ระหว่างจิตที่เป็นมรรคจิต กับญาณ เกิดจิตอันสัมปยุตด้วยญาณ
    .....(..[๖๙๖] ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณในขณะแห่งโลกุตรมรรค
    อย่างไร ฯ
    ในขณะโลกุตรมรรค จิตเป็นใหญ่ในการให้เกิดขึ้น และเป็นเหตุ
    เป็นปัจจัยแห่งญาณ จิตอันสัมปยุตด้วยญาณนั้น มีนิโรธเป็นโคจร ญาณเป็นใหญ่
    ในการเห็น และเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งจิต ญาณอันสัมปยุตด้วยจิตนั้น มีนิโรธ
    เป็นโคจร ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและด้วยญาณ ในขณะแห่งโลกุตรมรรค
    อย่างนี้ ฯ...)

    .....จะเห็นว่า ญาณเป็นใหญ่ในการเห็น ญาณก็เป็นผู้รู้อีกอัน ส่วนตัวผมคิดว่า เมื่อทำฌานได้ ตัวผู้รู้ที่เด่นลอย นั้น ก็คือตัวญาณนั้นเอง ครับ ผมเชื่ออย่างนี้
     
  9. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    แท้ที่จริงการเจริญอานาปานสติ มารู้ที่ลมหายใจ
    ก็เป็นการเห็นทุกข์อยู่แล้ว เพราะการเกิด-ดับ ของ
    ความคิดที่ผมบอก มีทั้ง สัญญาบ้าง สังขารบ้าง รูปบ้าง
    เวทนาบ้าง ล้วนเดินไปสู่ความดับ.. ความดับนี้เอง
    เป็นสภาพทุกข์ เมื่อจิตที่ตั้งมั่น แล้วไปเห็นการเกิด-ดับ
    ของความคิดที่ผุดขึ้นมานั้น ก็เหมือนเป็นการเข้าพาจิต
    เข้าไปเห็นสภาพแห่งทุกข์ ที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

    .......................................
     
  10. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านสอนว่า
    ตัวผู้ที่เด่นดวงนั้น จะประกฏชัดต่อเนื่อง เมื่อทำสมาธิได้ถึง ทุติยฌาน เรียกว่า "เอกโกทิภาวะ"

    แต่ถ้าต่ำกว่า ทุติยฌาน ตัวผู้รู้จะเกิดเมื่อ มีสติ ที่ตั้งมั่นระลึกรู้อารมณ์ ซึ่งเกิดเป็นครั้งคราว ไม่เหมือน เอโกทิภาวะ ที่ได้มาตั้งแต่ ทุติยฌาน ที่เด่นดวงต่อเนื่องอยู่ได้นาน

    โดยความเห็นส่วนตัวนั้นคิดว่า

    ส่วนตัวญาณนั้นเป็นความรู้ น่าจะเป็นคนละประเภทกับ ผู้รู้
    อุปมาเหมือนกับ
    ความรู้ที่อาจารย์สอน กับ สมอง เทียบได้กับ
    ญาณ กับ ตัวผู้รู้
     
  11. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เห็นว่าอันนี้เป็นสภาพทุกข์ มันก็ดีอยู่หรอก แต่มันยังไม่ใช่ทุกข์อันนั้น
    ค่อย ๆ เจริญสติสัมปชัญญะ รู้ตามความจริงไปเรื่อย ๆ ให้ต่อเนื่อง จะได้เห็นครบ เห็นชัดเจนขึ้น

    ดูจากที่กล่าวมา ยังมองไม่รอบนะ เป็นการมองเพียงมุมเดียว ยังไม่รู้จักฤทธิเดชของตัวผู้เฝ้ามองเลย ตัวนั้นสำคัญนะ เห็นหรือยัง เขาว่ายังไงบ้าง..
     
  12. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ขอบคุณครับ ท่าน Tboon สำหรับคำแนะนำ แต่ภูมิธรรมที่ผมรู้แจ้ง
    ที่จิตนี้แค่ตรงนั้นจริงๆ ส่วนในขั้นต่อไปคงต้องปฏิบัติต่อ ตามคำแนะนำ
    ของหลายๆท่าน รวมถึงท่าน Tboon ด้วย ผมเองก็ยังต้องศึกษาอยู่
    แต่ถ้าท่าน Tboon ผ่านจุดนี้ไปแล้วก็ช่วยแนะนำการปฏิบติแก่ผมด้วย
    ขอถามตามนี้นะครับ


    1.การปฏิบัติของท่าน ปฏิบัติอย่างไร ช่วยแนะนำเทียบเทียง ว่าผมจะ
    เห็นตัวผู้เฝ้ามองได้อย่างไร ในการปฏิบัติอานาปานสตินี้ ต้องเอาจิตที่
    ตั้งมั่นไป ต้องรู้ตรงไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า เพื่อการปฏิบัติของผมจะ
    ไม่เนิ่นช้า และเปรียบเหมือนผมได้อาจารย์ดี


    2.ตอนท่านผ่านที่จุดนี้ ท่านแจ้งในธรรมใด แจ้งในธรรมนี้ที่เดียวกันหรือไม่
    ในจิตท่านอะไรเปลี่ยนไปบ้างแล้วคิดว่า ต้องบรรลุธรรมขั้นพระอรหันต์ เลยหรือ
    ถึงจะข้ามโครต เป็นโครต ของอริยะ และการบรรลุธรรมขั้นต้น อย่าง โสดาบัน
    หรือ สกทาคามี จิตยังเป็นปุถุชนอยู่หรือ หากท่านข้ามผ่านแล้วก็จะรู้ชัดในตนเอง
    ว่าเป็นอย่างไร



    ขอท่าน Tboon แสดงปฏิทาในการปฏิบัติด้วยครับ และแนะนำผมต่อด้วย
    ตอนนี้อยากทำความเพียรต่อ หลังจากที่หยุดมาซักพัก


    ...............................................................
     
  13. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ข้อสังเกต เวลาที่ว่า... ให้ลองสังเกตดูตรงนี้บ้าง

    อุปาทาน ตอนนั้นมันมีไหม..

    "โอ้โห อู้หู ไม่ธรรมดาเลย วิเศษ ลึกซึ้ง พิศดารจริง ๆ
    อยากประกาศให้คนอื่นได้รู้เหมือนอย่างที่เรารู้บ้างจัง ธรรมแตกฉานกระจัดกระจายเลย..เป็นต้น"

    ตัวที่กล่าวมา ทำนองนี้มันมีไหม สังเกตทันไหม ความยินดียินร้าย ทันตรงนี้ไหม
    จิตกำลังก่อ หรือจิตกำลังคลาย เห็นไหม เข้าใจไหม รู้จักไหม
    สงบหรือตื่นเต้น ดีใจหรือเสียใจ หรือเฉย ๆ ดูออกไหม

    สังเกตอาการพวกนี้ รู้ทันบ่อย ๆ เอา ถ้ารู้ทันได้บ่อย ๆ จึงจะกล่าวได้ว่า พอมีสติจริง






    ไม่มีโคตรหรอก อย่าไปถือว่ามีโคตร ข้ามโคตรอะไรเลย มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น
    การปฏิบัติคือ ศึกษา รู้จักทุกข์ไปเรื่อย ๆ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ และข้อปฏิบัติที่จะให้ถึงซึ่งความดับทุกข์โดยสมบูรณ์ มันมีอยู่เท่านั้น
    อย่างอื่นนอกจากนี้ไม่ควรเก็บมาถือไว้ ให้เป็นอัตตาตัวตนขึ้นมาอีก



    ข้อสังเกตอีกอันหนึ่งคือ ถ้ารู้จริงแล้ว ไม่น่าจะเสียเวลาหยุด พัก ชะล่าใจนะ
     
  14. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    ตัวผมเอง เมื่อมีอาการแรงๆเกิดขึ้นที่จิต อย่างตัวอย่างที่ท่าน ยกมานั้น
    ว่าอยากบอก อยากแนะนำ การปฏิบัติที่ตนเคยติดคล่องอยู่ ได้มารู้
    และได้มาเห็น อย่างเดียวกันนี้ ซึ่งผู้ที่อยู่ที่เว็บบอร์ดนี้ ก็ล้วนหันหน้า
    ไปที่ปลายทางแล้ว แต่บางคนแช่อยู่กับที่บ้าง บางคนกำลังหันหน้าไป
    ผิดทางบ้าง ผมก็เพียงชักชวนให้กลับมาให้ตรงทาง อันความรู้สึกนี้
    ที่แม้สติผมเข้าไปรู้นั้น แต่ผมใคร่ควรอยู่หลายครั้งเหมือนกัน ที่จะบอก
    จะแนะนำดีหรือไม่ ผมมาเสียเวลานั่งพิมพ์ อย่างนี้อยู่ทำไม แม้แต่ตัวท่าน
    เองเข้ามาที่เว็บบอร์ดพลังจิตนี้ทำไม ถ้าไม่ได้อยากแนะนำ คนที่ยังปฏิบัติ
    ผิดทาง เหมือนที่ตนเคยทำมา ได้มาปฏิบัติให้ตรงทาง ไม่ใช่หรือ
    ตัวผมเองก็รู้อยู่ที่ตนแล้ว ว่าตนเป็นอย่างไร ก็เบาใจได้แล้ว แต่การที่ผมจะ
    เบาใจแต่ผู้เดียว ไม่มีเมตตาเลย ไม่บอก ไม่แนะนำ อมภูมิธรรมเอาไว้
    จะเกิดประโยชน์อะไรเล่า หรือจะพ้นทุกข์ไปคนเดียว ใครเป็นอย่างไรก็ช่าง
    การที่ท่าน Tboon เห็นเหล่าพระอริยะทั้งหลาย โสดาบัน ถึง พระอรหันต์
    บอกสอนแนะนำ ในสิ่งที่ตนผ่านมาแล้ว ท่านมองว่าอย่างไร ท่านมีเมตตา
    หรือเปล่า อันที่จริง ท่านอาจจะยังไม่ทราบจิตของผม เจตนา หรือสติ ที่ผมมี
    ว่ามีมากน้อยแค่ไหน การจะพิมพ์ให้ทุกคนรู้สิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดในจิตเรานี้
    ท่านคงรู้ว่าไม่ใช่ง่าย ท่านเห็นการพิมพ์ของผมคงมองออกว่า ไม่เก่งเรื่อง
    พิมพ์ หรือใช้คำซะเท่าไหร่



    ส่วนเรื่องการข้ามโครตนั้น รบกวนท่าน Tboon กลับไปอ่านที่ต้นกระทู้อีกครั้ง
    และในท่อนสุดท้าย ว่าเจตนาผมอยากชักชวนให้มาปฏิบัติ อานาปานสติ ซึ่ง
    พระพุทธองค์ก็ทรงสรรเสริญ อานาปานสตินี้ และมนุษย์ทุกคนย่อมมีเป้าหมาย
    ผมแค่ชักชวน แล้วชี้ไปที่เป้า ส่วนในจิตผมนั้น ไม่คิดกับเรื่อง ข้ามโครตอะไร
    ไม่สนใจ เพราะข้ามมาแล้วมันก็ธรรมดา ไม่ได้ยินดี ถึงได้กล่าวกับท่านว่า
    ถ้าท่านยืนอยู่ที่ตรงนี้จะรู้เอง แต่ถ้าไม่เข้าใจที่จิตของมนุษย์ว่า แท้ที่จริงมนุษย์
    ทุกคนสำคัญตนที่สุด และมนุษย์ทุกคนทำทุกอย่างไปด้วยตัณหา มันขับดัน
    ให้เกิดการกระทำ เมื่อคนไม่เห็นจุดหมายที่หยาบก่อน อย่างการข้ามโครต หรืออะไร
    ก็ตามที่ผมกล่าวชี้ชวนออกไปเป็นรูปธรรมที่เค้าสามารถเห็นได้ แต่้ไปบอกเค้าว่า
    ปลายทางไม่มีอะไรนะ เป็นเพียงสิ่งว่างเปล่า ว่างจากตัวตน จิตมนุษย์ที่ยังมีตัณหา
    อยู่เต็มหัวใจ จะพาตัวเข้ามาปฏิบัติไหม จะทำไหม


    ตัวผมเองเมื่อผ่านจุดนั้นมาแล้วหยุด ก็เพราะจิตนี้มันเบาใจแล้ว รู้แล้วว่าไม่ลงอบายแน่
    และเป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะตรัสรู้ในกาลเบื้องหน้า อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้แล้ว
    แม้ไม่ได้ปฏิบติธรรม จิตนี้ก็มีแต่ขึ้นอยู่แล้ว สังเกตุตอนที่ฟังธรรมที่เคยสงสัยมาแต่ก่อน
    กลับมาฟังจะเข้าใจไปที่จิตนี้ นี่ก็เป็นเหตุให้ประมาทไป แต่ก็นั้นอีก หากท่านผ่านมา
    แล้วที่จุดเดียวกับผมนี้ท่านก็จะไม่ตั้งข้อสังเกตุเลยว่า ทำไมผมยังถึงชะล่าใจอยู่



    ส่วนเรื่องการมองไปที่ตัวจิตที่สงบ ตื่นเต้น หรือกิเลสใดที่เกิดขึ้นมาที่จิตนี้ รู้อยู่ครับ
    หรือผมแค่มีสติเห็นแค่นี้ ใช่ไหมครับ อยากให้ให้ท่าน Tboon แนะนำเมื่อผมเจริญ
    อานาปานสติ เมื่อรู้ที่ลมแล้ว จิตตั้งมั่นแล้ว จิตเคลื่อนไปรู้ที่อารมณ์ต่างๆแล้ว ไปสังเกตุ
    และรู้ที่ตรงไหน ถ้าจิตเข้าไปรู้ในอารมณ์นั้น จิตจะสร้างภพต่อไปไหม ผมต้องสักแต่ว่ารู้
    หรือเปล่า หรือเอาจิตไปวนอยู่นั้นหรือเปล่า หากท่านผ่านจุดนี้แล้ว ผมจะปฏิบัติอย่างไร
    ท่านยอมเทียบเคียงได้หมด เพราะธรรมชาติของจิตนี้ เหมือนกันหมด แม้การปฏิบัติจะ
    ไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกันหากมีที่คนอื่น มาถามถึงการปฏิบัติของเขา หากผมผ่านมาแล้ว
    ก็จะสามารถเทียบเคียงการปฏิบัติอย่างที่เค้าปฏิบัติได้ โดยที่ไม่ต้องให้เค้าเปลี่ยนแนวทาง
    ที่ปฏิบัติเลย


    .........................................................
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คุณ xeแรง คร้าบ สังเกต ตรงนี้ทันไหมครับ " หางมันไหวๆ "

    หางมัน ยังไหวๆ อยู่ น๊า

    เพราะอะไร

    เพราะ หากคุณ สามารถรู้อุบายในการ หยอด หนทาง ในการเห็นธรรม
    จนกระทั่ง กล่าวออกมาได้ด้วยการจับ " ทิฏฐิ " อย่างเต็มไม้เต็มมือขนาด
    นั้นได้จริง

    ไม่มีหรอก จะมา จั่ว ยก " อานาปานสติ " เป็นวรรคเป็นเวร แบบนี้

    หากรู้หนทาง รู้ และ ฉลาดใน อุบายธรรม อย่าง มหาบุรุษ ผู้ใช้ อานาปานสติ
    ตามความเป็นจริง จะไม่มีทาง พูดเข้า อานาปานสติ มาตั้งแต่ต้น

    แต่จะตรงกันข้าม หรือ ทำได้อย่างที่พูด คือ

    ไม่ว่าเขาจะทำอะไรอยู่ เราจะไม่ใส่ใจ ถามเขาเลยว่า " คุณภาวนามาทางไหน "

    แต่จะใช้ ความรอบรู้ในกองสังขาร ในรูปนาม หยอด อุบาย ในการเห็นธรรม
    ลงเป็น ปัจจุบัน ขณะนั้นๆ ไปเลย ไม่ว่า เขาจะ สมาทานสิกขาอยู่หรือไม่ก็ตาม

    เพราะ คนที่ฉลาดในรูปนาม ตามความเป็นจริง เป็น อิสระจาก ขันธ์5

    จะไม่ มานั่ง งง กับ ลีลา ท่าทาง

    เพราะ ทุกขณะจิต มันยก ขึ้นเห็น ธรรมได้ตลอด ยกขึ้นพ้นอุปทานขันธ์ได้ตลอด

    การที่ต้องมานั่งคอตก ถามเขาก่อนว่า " ทำมายังไง "

    เพื่อที่จะ ตีหัวเข้าบ้านด้วยการยกอ้าง มาทำ " อานาปานสติ สิ " ภานหลัง
    อันนี้ อย่าไปทำเลยครับ

    หาง มันไหวๆ น๊า

    ทิฏฐิ ยังเป็น นาย ข่มขี่ ให้คิด ให้ทำ ให้พุด อยู่เลย
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กรณีที่ ได้โพส ชักชวน คนมาปฏิบัติธรรม อันนั้น คุณก็ไม่ต้อง หวง กลัวว่า จะเสียหาย

    หรือ มีการไม่ตอบรับผล

    การทำ ธรรมทาน นั้น เวลาทำ เขาให้ ทำบุญทิ้งเหว

    เพราะอะไร

    เพราะ คนที่ฉลาดในขันธ์5 ตามความเป็นจริง จะทราบว่า ขันธ์5 มันบังคับกันไม่ได้

    การที่จะ แจ้วๆ เจรจา อะไรออกไปก็ตาม ต้องรู้ชัดว่า ขันธ์5 นั้น บังคับบัญชา ไม่ได้

    ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่แสดงธรรม คือ ความรู้เต็มหัวจิตหัวใจว่า ทิ้งเหว !!

    ของที่ ทิ้งเหวไปแล้ว แนะนำว่า อย่าลำเลิก ยกอ้าง เพราะ มันเป็นเรื่องของ คนไม่น่ารัก อัปปิยะ

    ********

    ภูมิธรรม นั้น เป็นของ หยิบยืมมาใช้ เวลาที่จำเป็นต้องใช้ มันก็เกิด
    เวลาที่ไม่จำเป็นต้องใช้ ภูมิธรรม ต้องอันตรธาน หายไป

    ถ้า ภูมิธรรม ไม่หายไป มีค้างเติ่ง ไม่รู้จัก กาละ เทศะ แน่ใจ หรือว่า นั่นคือ ภูมิธรรม
    ที่เป็นสิ่งเกิด ดับ อาศัย ระลึก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2013
  17. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    แนะนำว่า..

    อย่าเชื่อใจตนเองจนเกินไป และอย่าเอาแต่ใจตนเอง อย่าเอาแต่เพียงสะดวกเข้าว่า ทำตามใจตัวเองเกินไปก็ไม่ดี
    สมาธิในรูปแบบ ไม่ควรทิ้ง ถ้าไม่ชอบนั่งสมาธิ ก็เดินจงกรมเอา เดินสบาย ๆ รู้ตามความเป็นจริงเอาก็ได้
    รู้ความเคลื่อนไหวของกาย รู้ความกระเพื่อมหวั่นไหวของใจ ค่อย ๆ ฝึกไป ทุกวัน จะช่วยให้เห็นจิตเห็นใจได้มากอาการขึ้น ทำให้เข้าใจตัวเองได้มากขึ้นครับ ลองดู..
     
  18. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413



    ตอบท่าน นิวรณ์


    แรงหรือไม่นั้น ท่านเห็นอาการที่จิตผมหรือ ท่านเห็นกริยาอาการผมหรือ

    ท่านเพียงแต่ปรุงแต่งที่จิต ไม่ใช่หรือ ที่คิดว่าว่าผมเป็นอย่างนั้น คิด

    อย่างนี้ แท้ที่จริงแต่ท่านนิวรณ์ เห็นจิตตนไหม เห็นจิตที่คอยหาจับผิด

    ผู้อื่น ท่านเห็นไหม การตั้งคำถามประเภทนี้ เพื่ออะไรครับ เพื่อจะแสดง

    ให้ผู้ที่สนทนาด้วย หันไปดูที่จิตตนหรือ แล้วจิตตนเองเห็นไหม ใครก็ตั้ง

    ได้ครับ คำถามประเภทนี้





    ผมเป็นอย่างนี้เอง เมื่อท่านถาม ผมจะตอบทุกอย่าง ที่ท่านถาม ไม่ใช่มีคนถาม

    ก็ไม่ตอบ ไม่รู้ก็เลี่ยงไม่ตอบ แล้วแสดงออกว่าตนเหนือผู้ื่อื่น เห็นจิตตน โดยคิดว่า

    คนอื่นไม่เห็นเหมือนตน ก็เปรียบเหมือนมีคนถามถึงมะม่วง แต่ไปตอบขนุนสำมะลอ

    ส่วนในเรื่องอานาปานสติ ท่านรู้ที่จิตผมหรือ ว่า ต้องการสื่ออะไร เจตนาอย่างไร

    ต้องการให้ผู้อื่นเปลี่ยนแนวมาปฏิบัติ อานาปานสติ หรือไม่ ผมบังคับใครหรือไม่

    ผมปฏิบัติแล้วเห็นผลอย่างไร ก็มาแนะนำอย่างนั้น หรือจะให้ผมผ่านมาอีกทาง

    แต่บอกแนะนำผู้อื่น ไปอีกทาง อย่างนั้นหรือ ยกตัวอย่าง พระอริยะสงฆ์ต่างๆ

    ที่ท่านบอกสอน ผู้อื่น ท่านสอนวิธีปฏิบัติ แนวทางเดียวกับที่ท่านบรรลุธรรมมาหรือไม่

    หรือท่านบรรลุธรรมด้วยอย่างนี้ แต่บอกลูกศิษย์ ให้ไปปฏิบัติ แนวอื่นหรือ

    การที่ท่านนิวรณ์คิด ว่าผมจะ "ตีหัวเข้าบ้านด้วยการยกอ้าง มาทำ " อานาปานสติ สิ " ภายหลัง "

    ท่านเห็นจิตผมหรือ แม้แต่กริยา ท่านเห็นหรือ หรือท่านแค่คาดเดา และปรุงแต่ที่จิตนี้ไปเอง



    ................................................
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เอาหน่า อย่างน้อย ก็ช่วยทำให้ คุณ รีบทิ้งถ้อยคำที่ไม่ใช่ลงไป ทีละเปาะ ทีละโพส

    อย่างโพสนี้ ก็มีคำว่า " กริยาจิต "

    กริยาจิต มันเป็นเรืองของ อรหันต์ ที่จะมี ฐานะใช้ เพราะ รู้รอบเรื่องกริยาจิต

    ส่วนคนที่มีภูมิธรรมต่ำกว่า จะไม่โหนไปใช้คำว่า กริยาจิต แบบนั้น

    อย่างมากก็ " สัญญาล้วนๆ " บ้าง "เงาของจิต" บ้าง หรือ "อาการของจิต" บ้าง

    เจตสิกบ้าง ธาตุบ้าง อินทรีย์บ้าง พละบ้าง อยาตนะบ้าง โพชฌงค์บ้าง มีตั้งเยอะ
    ให้ใช้ ก่อนที่จะไปโน้น ไปคว้ามะม่วง กริยาจิต มาเคี้ยวเล่น แต่ เคี้ยวไม่ลง
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ซี้แรงว์ ผมก็แค่ อ่าน และ แปล ไปตามคำว่า xe-force

    xe อ่าน ซี้ โดยไม่ไม่ความหมาย แค่ ออกเสียง

    ส่วน force มันแปลว่า แรงว์ แรง อะไรก็ได้ รับรอง แปลถูก 1000% ไม่ได้ปรุงแต่ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...