ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    "สนธิ"ทำนายอนาคตการเมืองไทย !!!

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=bNQhK4jcSfY#t=22] "สนธิ"เตือน"สุเทพ"ระวังตัว-ชี้"แม้ว"เล่นถึงตาย หลังแพ้หมดรูป - YouTube[/ame]
    เผยแพร่เมื่อ 21 ม.ค. 2014​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2014
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ชาวประมงเชียงคานเดือดร้อนหนัก อากาศหนาวปลากระชังช็อกตายเป็นเบือ

    [​IMG]

    [​IMG]

    เลย - ชาวบ้านริมฝั่งโขงเลี้ยงปลากระชังในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เดือดร้อนหนักปลาในกระชังช็อกตายเป็นเบือ ทั้งมีโรคประหลาดเกิดขึ้นกระทบปลากินอาหารน้อย ชี้ปลาตายอย่างน้อยวันละกว่า 400-500 ตัว

    นางสิรินาฏ นาควิทย์ เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังริมแม่น้ำโขง อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 201/1 บ้านคกมาด อ.เชียงคาน จ.เลย เปิดเผยว่า ทำอาชีพเลี้ยงปลากระชังริมแม่น้ำโขงมาตั้งแต่ปี 48 และได้ตั้งเป็นกลุ่มเลี้ยงปลาในกระชังมีสมาชิกหลายครอบครัว ทุกปีเมื่อถึงฤดูหนาวมักจะเกิดปัญหา ซึ่งตามธรรมชาติเมื่ออากาศหนาวมากปลาจะไม่ค่อยกินอาหาร ชาวบ้านที่เลี้ยงปลาจะต้องเตรียมตัวป้องกันไม่ให้ปลาเกิดโรคขึ้นได้

    สถานการณ์ปีนี้ผิดธรรมชาติมาก ก่อนปีใหม่ระดับน้ำในแม่น้ำโขงแห้งลง โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศจีนได้ระบายน้ำในเขื่อนออกมาทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงน้ำสูงขึ้น ทั้งอากาศกลับมาหนาวจัดอีกรอบ ทำให้ปลาที่เลี้ยงไว้ในกระชังตายจำนวนมาก สมาชิกบางคนปลาที่เลี้ยงไว้ตายเกือบหมดกระชัง ซึ่งสัปดาห์นี้ได้เกิดโรคประหลาดขึ้น ยังไม่เคยพบโรคลักษณะอย่างนี้มาก่อน

    โดยอาการของโรค ตัวปลาเหมือนมีฝุ่นขนาดเล็กจับแพร่ขยายไปทั้งตัว ที่น่าเป็นห่วงคือโรคนี้ได้ระบาดไปเร็ว ชาวบ้านต้องช่วยกันเร่งคัดปลาที่ติดโรคออกจากกระชัง ณ ขณะนี้ปลาได้ตายลงทุกวัน อย่างน้อยในช่วงเช้าต้องเก็บปลาตายออกจากกระชัง 400-500 ตัว/วัน ทำให้ชาวบ้านคกมาดที่ประกอบอาชีพเลี้ยงปลากระชังได้รับความเดือดร้อนมาก

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 มกราคม 2557 14:45 น.

    ที่มา www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000008233

    ดอยอินทนนท์ลบ 4 องศา“เหมยขาบ” ขาวโพลนคล้ายหิมะตก

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ยอดดอยอินทนนท์หนาวจัด อุณหภูมิติดลบ 4 องศาเซลเซียส เกิด “เหมยขาบ” เป็นบริเวณกว้างมากที่สุดในรอบหลายปีจนดูคล้ายหิมะตก นักท่องเที่ยวตื่นเต้นแห่ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก

    รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า สภาพอากาศที่หนาวเย็นเนื่องจากลมหนาวระลอกใหม่ที่พัดเข้ามาปกคลุมภาคเหนือตอนบน ส่งผลให้หลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่โดยเฉพาะบนยอดดอยและตามเทือกเขาต่างๆ มีอุณหภูมิลดลงอย่างต่อเนื่องและอากาศหนาวเย็นจัดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

    โดยที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เช้าวันนี้ (22 ม.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ยอดดอยอินทนนท์อากาศหนาวจัด อุณหภูมิลดต่ำลงอยู่ที่ 0 องศาเซลเซียส ขณะที่อุณหภูมิยอดหญ้าต่ำกว่าจุดเยือกแข็งอยู่ที่ -4 องศาเซลเซียส ประกอบกับสภาพท้องฟ้าที่เปิดและกระแสลมอ่อน ส่งผลให้เกิดเหมยขาบหรือแม่คะนิ้งปกคลุมทั่วบริเวณกว้าง และมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

    รายงานข่าวแจ้งว่า นักท่องเที่ยวต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมากกับเหมยขาบที่เกิดขึ้นมากกว่าทุกครั้ง จนทำให้ตลอดสองข้างทางถนนตั้งแต่หลักกิโลเมตรที่ 44 ไปจนถึงยอดดอยอินทนนท์ ระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร ขาวโพลนไปด้วยเหมยขาบที่ปกคลุมยอดหญ้าและต้นไม้ที่ขึ้นอยู่สองข้างทาง

    ขณะที่บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์มีเหมยขาบเกิดขึ้นปกคลุมเป็นบริเวณกว้างเช่นกัน ทั้งตามยอดหญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ ขอนไม้ โต๊ะ เก้าอี้ ถังขยะ และวัตถุต่างๆ จนดูคล้ายหิมะตก สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่นักท่องเที่ยวที่ต่างพากันถ่ายภาพกับเหมยขายเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งแม้จะล่วงเลยถึงช่วงสายเวลากว่า 10.00 น.แล้วก็ยังปรากฏเหมยขาบเป็นบริเวณกว้างอยู่เช่นเดิมเนื่องจากอากาศที่หนาว

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 มกราคม 2557 11:07 น.

    ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000008121

    “ยูเอ็น”เตือนทั่วโลกระวัง“อหิวาตกโรค”ระบาดจาก“เฮติ”คาดอาจป่วยถึง 180,000 คน เสียชีวิตพุ่งสูงถึง 2,000 คน ในปีนี้

    [​IMG]

    เอเอฟพี - ทูตพิเศษยูเอ็น เปโดร เมดราโน เตือนในวันพุธ (22) ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรอหิวาตกโรคในเฮติจะเพิ่มสูงขึ้นมากจนน่าตกใจถึง 4 เท่า หรือ 2,000 คน และจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนสูงเกือบ 180,000 คน ในปี 2014 และยังมีโอกาสระบาดไปยังประเทศต่างๆ หากไม่ได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มขึ้นเพื่อยับยั้งการระบาดของโรคก่อนเดือนพฤษภาคมนี้

    มีประชาชนชาวเฮติเสียชีวิตด้วยโรคอหิวาตกโรคตั้งแต่ปี 2010 จำนวน 8,330 ราย ซึ่งทูตพิเศษยูเอ็น เปโดร เมดราโน ได้ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีในวันพุธ (22) ว่า ทางยูเอ็นต้องหันมาควบคุมการระบาดของโรคนี้เสียก่อนที่จะสามารถกำจัดอหิวาตกโรคในเฮติลงได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งทางองค์การสหประชาชาติต้องการเงินสนับบสนุนที่มีจำนวนสูงขึ้นเพื่อซื้อยาปฏิชีวนะ อุปกรณ์การแพทย์ปลอดเชื้อต่างๆ เพื่อให้โครงการควบคุมโรคระบาดในเฮติสามารถยังดำเนินงานอยู่ได้ ซึ่งจาก 2 ปีที่ผ่านมาโครงการนี้สามารถลดจำนวนเหยื่อที่คาดว่าอาจจะเสียชีวิตจากอหิวาตกโรคได้

    และหากเงินสนับสนุนยังไม่ได้รับการอนุมัติก่อนจะถึงหน้าฝนในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ “เราจะได้เห็นสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆ ในเฮติ” เมดราโนเผย มีรายงานผู้ติดเชื้ออหิวาตกโรคใหม่ราว 65,000 ราย ในปี 2013 ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2010 แต่ทว่ายังมียอดผู้เสียชีวิตจากโรคสูงถึง 550 ราย อ้างจากรายงานขององค์การสหประชาชาติ

    นอกจากนี้ เมดราโนเผยว่า หากเงินสนับสนุนก้อนใหม่ยังไม่มีเข้ามา ทางยูเอ็นประเมินว่าจะยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในปี 2014 รวมถึงยอดผู้เสียชีวิตจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 4 เท่า “หากเรายังไม่เตรียมพร้อมตั้งแต่ในขณะนี้ เราอาจจะมีสิทธิ์ได้เห็นยอดผู้ติดเชื้อเฮติสูงถึง 180,000 คน และยอดผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มมากถึง 2,000 คน” เมดราโนเผยต่อ

    ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดโศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวในเฮติปี 2010 ทางยูเอ็นสามารถระดมทุนจากประชาคมโลกได้ราว 2.2 พันล้านดอลลาร์เพื่อการฟื้นฟูประเทศ แต่ทว่าเมดราโนได้เปิดเผยว่า มีเม็ดเงินแค่ 400 ล้านดอลลาร์เท่านั้นที่ถูกจัดสรรเป็นเวลา 2 ปีสำหรับการควบคุมโรคระบาด และสร้างสถานพยาบาลเพื่อป้องกันไม่ให้โรคสามารถกลับมาระบาดอีกครั้งได้

    ที่ผ่านมารัฐบาลเฮติได้รายงานว่า มีชาวเฮติล้มป่วยเป็นโรคอหิวาตกโรคจำนวนมากกว่า 680,000 คน ตั้งแต่โรคนี้เกิดระบาดขึ้นในเดือนตุลาคม 2010 ในบริเวณใกล้กับแคมป์ยูเอ็นที่เจ้าหน้าที่ยูเอ็นชาวเนปาลประจำอยู่ นอกจากนี้ เมดราโนเผยว่า มีกลุ่ม NGO เอกชนจำนวนมากต้องเดินทางออกมาจากเฮติเพราะไม่มีเงินทุนดำเนินการต่อ และรัฐบาลทั่วโลกต่างเชื่อว่าวิกฤตในเฮติได้ยุติลงแล้ว และเฮติยังต้องแข่งกับอีกหลายที่เพื่อจะได้เงินสนับสนุน เช่น ซีเรีย สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ฟิลิปปินส์ และเซาท์ ซูดาน

    และพบว่ามีศูนย์การแพทย์ราว 200 แห่ง ที่ตั้งขึ้นเพื่อรับมือการระบาดโรคอหิวาตกโรคในเฮติ แต่เมดราโนยืนยันว่า ศูนย์การแพทย์พวกนี้ได้ตกอยู่ในความเสี่ยง “หากเรามีแต่ศูนย์การแพทย์ที่ไม่มียารักษาโรค อุปกรณ์การแพทย์ปราศเชื้อที่พอเพียง ขาดเจ้าหน้าที่การแพทย์ปฎิบัติหน้าที่ และไม่มีเงินสำหรับจ่ายเงินเดือนให้กับเจ้าหน้าที่การแพทย์เหล่านั้น เราจะทำอย่างไร? ชาวเฮติที่อาศัยในบริเวณที่ห่างไกลต้องเดินทางมาที่ศูนย์การแพทย์เพื่อที่จะพบว่าปิดลงไปแล้ว พวกคนเหล่านั้นต้องทนเผชิญโชคตามลำพังโดยปราศจากความช่วยเหลือเพราะขาดปัจจัย ที่แม้กระทั่งพวกเขาก็ไม่สามารถหันหน้าไปพึ่ง NGO ได้เหมือนเดิมเพราะพวกนั้นเดินทางกลับออกไปหมดแล้ว” เมดราโนกล่าว

    อนึ่ง โอลิเวีย ชูลซ์ หัวหน้ากลุ่มแพทย์ไร้พรมแดนที่อยูในกรุงปอร์โตแปงซ์ ไม่ให้ความเห็นต่อการคาดการณ์ของยูเอ็น เพียงแต่ย้ำว่า ก่อนที่จะเริ่มหน้าฝนนี้ งานด้านการป้องกันนั้นจำเป็นมาก

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 มกราคม 2557 13:58 น.

    ที่มา http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000008230
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2014
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เรื่องราวความแค้นเก่าๆ แต่หนหลัง (ต่อ)

    [​IMG]

    tossapornk สมาชิก

    ปี 2546 อาจารย์ที่สอนสมาธิผมท่านหนึ่ง ได้ทำนายล่วงหน้าว่าคุณทักษิณจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ท่านบอกว่าคนๆนี้อดีตชาติเป็นพระเจ้าอะลองพญาของพม่า นำทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา แต่พ่ายแพ้ให้กับเจ้าฟ้าอุทุมพร(ขุนหลวงหาวัด) ซึ่งลาสิกขาบทมารับตำแหน่งกษัตริย์เพียง 2 เดือน เมื่อเสร็จกิจก็สละราชบัลลังก์กลับไปบวชใหม่ อาจารย์ท่านบอกว่าคุณทักษิณชาตินี้ต้องการที่จะยึดประเทศไทยให้ได้โดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด เพราะความแค้นในอดีตฝังใจอยู่ ส่วนเจ้าฟ้าอุทุมพรท่านบอกว่ามาเกิดด้วยเหมือนกัน แต่ท่านมองไม่เห็นว่าเป็นใครเหมือนฟ้าดินปกปิดไว้อยู่ อาจารย์ท่านบอกว่าเจ้าอุทุมพรมาเกิดในเวลาไล่ๆกันกับคุณทักษิณ

    แปลกไหมคุณสุเทพกับคุณทักษิณ เกิดปีเดียวกันเดือนเดียวกันแต่คนละวันกันเท่านั้น แปลกต่อไปอีกคุณทักษิณเกิดทางเหนือแต่ชื่อใต้ คุณสุเทพเกิดทางใต้แต่ชื่อเหนือ ทั้งสองคนนี้เก่งเรื่องโกงๆทั้งสองคน(เหมือนฟ้าดินส่งมาให้สมน้ำสมเนื้อกัน) ถ้าเราต้องการปราบโจรเราต้องใช้โจรปราบ(โจรยอมกลับใจ)

    แปลกที่สาม คุณสุเทพไม่เคยนำมวลชนมาก่อน(คุณทักษิณได้เปรียบเพราะนำมวลชนคนเสื้อแดงมาหลายครั้งนับไม่ถ้วน เหมือนพระเจ้าอะลองพญาที่ผ่านศึกมามากมาย) แต่คุณสุเทพมานำครั้งนี้ครั้งแรก สามารถรวมมวลชนได้หลายล้านเหมือนเจ้าฟ้าอุทุมพรเป๊ะเลย แปลกทีสี่คุณสุเทพบอกเสร็จงานนี้กลับไปอยู่บ้านเฉยๆไม่ทำอะไรอีกแล้ว ทิ้งหมดเหมือนเจ้าฟ้าอุทุมพรเสร็จศึกก็กลับไปบวชเหมือนเดิม เหมือนเรากำลังดูการฉายภาพยนตร์ซ้ำสมัยอดีต

    แปลกที่ห้าทำไมคุณทักษิณไม่ระแคะระคายเลยว่า คุณสุเทพจะเป็นผู้มาปราบคุณทักษิณเหมือนอย่างเช่นในอดีต เพราะถ้าคุณทักษิณแค่เพียงสงสัยคงสั่งเก็บคุณสุเทพไปนานแล้ว คงไม่มีกำนันสุเทพเป็นแกนนำแน่นอน ฟ้าดินปิดบังไว้ดีมาก แถมไม่น่าสงสัยด้วยเพราะคุณสุเทพก็โกง มาถึงตอนนี้โจรกลับใจกำลังปราบโจร ก็ดูกันต่อว่าจะสำเร็จเหมือนในอดีตกาลหรือไม่ ผมวางเงินเลย 100 บาท สำเร็จครับแต่ไม่เร็วทันใจผู้ชมแน่นอน แต่ก็ไม่แน่

    ที่มา http://palungjit.org/threads/บันทึกของพระคุณลุงคนเชียงใหม่ถึงหลานๆ-เรื่องภัยพิบัติ.311084/page-111
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    บุญสำคัญที่ส่งผลให้ทักษิณ ร่ำรวยมหาศาล !!!

    [​IMG]

    พระเจ้าอลองพญา กำเนิดเป็นสามัญชนธรรมดา นามว่า "อองไชยะ" หรือ "อองไจยะ"ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ "มุตโชโบ" หมู่บ้านไม่กี่ร้อยหลังคาเรือนในเขตแม่น้ำมู ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 60 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังวะ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1714 โดยถือกำเนิดในครอบครัวผู้ดีซึ่งเคยปกครองหุบเขามูมาหลายชั่วอายุคน บิดาเป็นผู้นำหมู่บ้านมุตโชโบสืบต่อจากบรรพบุรุษ และลุง สิธาเมงยี เป็นขุนนางในเขตหุบเขามูด้วย

    พระองค์ทรงอ้างว่าทรงสืบเชื้อสายมาจากผู้บังคับบัญชาทหารม้าสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 พระอนุชาของพระเจ้าโมนิงทาโด (Mohnyin Thado) ซึ่งหมายถึงว่าพระองค์สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์พุกามด้วย พระองค์มาจากครอบครัวใหญ่ และมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดและการแต่งงานกับครอบครัวผู้ดีอื่น ๆ อีกมากในพื้นที่หุบเขานั้น ในปี ค.ศ. 1730 แต่งงานกับยุงซาน ลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง ทั้งสองมีลูกชายหกคน และลูกสาวสามคน โดยลูกสาวคนที่สี่เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเล็ก

    มีพระราชกรณียกิจที่สำคัญ คือปราบปรามมอญที่ขึ้นมามีอิทธิพลแทนที่ชนชาวพม่า หลังการล่มสลายของราชวงศ์ตองอู จนได้รับชัยชนะเด็ดขาด ในปี ค.ศ. 1757 โดยใช้เวลา 8 ปี และตั้งพระนามโดยให้เชื่อว่า พระองค์เป็นเสมือนพระโพธิสัตว์มาปราบยุคเข็ญ และยังได้สถาปนาศูนย์กลางของอาณาจักรพม่าขึ้นใหม่ ที่เมืองชเวโบ ก่อนที่จะย้ายมาที่อังวะในยุคหลัง โดยมีเมืองอื่น ๆ รายล้อมเช่น อมระปุระ มณีปุระ หรือ สะกาย เป็นต้น อีกทั้ง พระองค์ยังเป็นผู้พัฒนาเมืองย่างกุ้งและพระราชทานชื่อเมืองนี้ ซึ่งเป็นอดีตเมืองหลวงของพม่าให้มีพัฒนาการขึ้นมาด้วย จากเดิมที่เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ

    นอกจากนี้แล้ว ในทางพุทธศาสนา นอกจากพระองค์จะใช้พระนามที่ให้เชื่อว่าพระองค์เป็นเสมือนพระโพธิสัตว์เสด็จมาปราบยุคเข็ญแล้ว พระองค์ยังเป็นองค์ศาสนูปถัมภกที่สำคัญ โดยทรงสนับสนุนศาสนา มีพระจริยวัตรที่ธรรมะ ธัมโม และทรงสนับสนุนให้ราษฎรไม่ทำผิดศีล เป็นต้น

    พระเจ้าอลองพญา สิ้นพระชนม์ระหว่างทางกลับจากการทำสงครามกับอยุธยา รัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ ซึ่งก่อนจะมาสงคราม พระองค์ส่งพระราชสาสน์ถึงสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่ แจ้งเหตุสงครามครั้งนี้ โดยอ้างสิทธิของพม่าเหนืออยุธยาแต่ครั้งพระเจ้าบุเรงนอง และอ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้าช้างเผือก หรือพระเจ้าจักรพรรดิ ตามพงศาวดารไทยระบุว่าสิ้นพระชนม์เพราะปืนใหญ่แตกที่วัดหน้าพระเมรุ แต่ทางพงศาวดารพม่าระบุว่าสิ้นพระชนม์เพราะประชวร พระเจ้าอลองพญาทรงครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 1752 ถึง ค.ศ. 1760

    ที่มา พระเจ้าอลองพญา - วิกิพีเดีย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2014
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ฮ่องกงยกระดับเตือนเลี่ยงเดินทางมา กทม.เป็นระดับสูงสุด

    [​IMG]

    ฮ่องกง 22 ม.ค.- เขตบริหารพิเศษฮ่องกงยกระดับเตือนการเดินทางมากรุงเทพฯ เป็นสีดำ ซึ่งเป็นระดับสูงสุด หมายถึงว่ามีอันตรายร้ายแรง ขอให้ชาวฮ่องกงหลีกเลี่ยงการเดินทางมากรุงเทพฯ ทั้งหมด หลังจากรัฐบาลไทยประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน)

    สำนักงานความมั่นคงของฮ่องกงออกประกาศเตือนการเดินทางออกนอกฮ่องกงลงวันที่ 21 มกราคม ยกระดับเตือนการเดินทางมากรุงเทพฯ เป็นสีดำ ส่วนการเดินทางในพื้นที่อื่น ๆ ของไทยยังคงเป็นสีเหลือง ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด หมายถึงว่ามีสัญญาณอันตราย ขอให้ชาวฮ่องกงติดตามสถานการณ์และใช้ความระมัดระวัง

    โฆษกทางการฮ่องกงกล่าวว่า ขอให้ชาวฮ่องกงหลีกเลี่ยงการเดินทางไปกรุงเทพฯ ทั้งหมด ส่วนผู้ที่อยู่ในกรุงเทพฯ แล้วขอให้ดูแลความปลอดภัยของตนเอง หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมนุมและสถานที่ที่มีผู้คนรวมตัวกันจำนวนมาก สำนักงานความมั่นคงของฮ่องกงจะติดตามสถานการณ์ในกรุงเทพฯ ต่อไป

    สำนักข่าวไทย TNA News | 22 ม.ค. 2557 08:40 |

    ฟิลิปปินส์เร่งอพยพประชาชนหนีน้ำท่วม

    [​IMG]

    ฟิลิปปินส์ 22 ม.ค. - ชาวฟิลิปปินส์กำลังเผชิญกับภัยน้ำท่วม เจ้าหน้าที่เร่งช่วยเหลือผู้ติดอยู่ในบ้าน

    เจ้าหน้าที่ยามฝั่งของฟิลิปปินส์ พยายามช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ห่างไกล หลังน้ำท่วมสูง บ้านเรือนจำนวนมากจมอยู่ใต้น้ำ ชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่กลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย มีรายงานว่า ที่เมืองบูตวน บนเกาะมินดาเนา ระดับน้ำสูงถึง 5 เมตร ทางการต้องอพยพประชาชนลงเรือเร็วไปยังศูนย์พักพิงผู้อพยพ ขณะที่มีชาวบ้านบางส่วนยังไม่ยอมทิ้งบ้าน เนื่องจากห่วงทรัพย์สิน.

    สำนักข่าวไทย TNA News | 22 ม.ค. 2557 15:25 |

    รายงานหวัดนกพุ่งช่วงใกล้เทศกาลตรุษจีน

    [​IMG]

    ปักกิ่ง 22 ม.ค.-ขณะนี้เริ่มมีรายงานเชื้อไวรัสไข้หวัดนกระบาดอีกระลอกตั้งแต่ต้นปีในจีน ขณะที่ประชาชนหลายล้านคนเดินทางและการขนส่งสัตว์ปีกจำนวนมากในช่วงใกล้เข้าสู่เทศกาลตรุษจีน ซึ่งถือเป็นวันปีใหม่ของชาวจีน และเป็นช่วงเวลาแห่งปีที่มีผู้คนเดินทางมากที่สุดในโลก

    จีนมีรายงานการติดเชื้อไวรัสเอช 7 เอ็น 9 กว่า 50 รายในปี 2557 หลังจากไวรัสสายพันธุ์จากสัตว์ปีกกลายพันธุ์ติดต่อสู่คนได้เป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งไวรัสชนิดนี้ยังคงตรวจจับยากและผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักเคยสัมผัสกับสัตว์ปีก แต่นักวิทยาศาสตร์กลัวว่าไวรัสอาจกลายพันธุ์อีกจนสามารถระบาดระหว่างคนได้ง่ายขึ้น เทศกาลตรุษจีนที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 31 มกราคมนี้ จึงมักเป็นที่กังวลกัน เนื่องจากมีขึ้นในช่วงฤดูหนาวซึ่งไข้หวัดแพร่ระบาดได้ง่ายอยู่แล้ว.

    สำนักข่าวไทย TNA News | 22 ม.ค. 2557 14:32 |

    ที่มา Digital Media and Online Services of News and Entertainment by MCOT Plc. | MCOT.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    หมอจีนสังเวย ‘หวัดนก’ หวั่นระบาดจากคนสู่คน ด้าน WHO เตือนรับมือวิกฤตระลอกใหม่

    [​IMG]
    เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของมณฑลเจ้อเจียงกำลังเคลื่อนย้ายกระสอบบรรจุสัตว์ปีก เตรียมนำไปสังหารตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดนก (แฟ้มภาพ - รอยเตอร์ส)

    เอเยนซี - จีนรายงานการเสียชีวิตของแพทย์หนุ่มในมหานครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งพบว่าติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนก H7N9 โดยไม่ทราบแหล่งต้นตอ สร้างความหวั่นเกรงการระบาดจากคนสู่คน ทางด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนจีนรับมือ ‘วิกฤตหวัดนก’ ครั้งใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวนี้

    รายงานข่าว (21 ม.ค.) กล่าวว่า นายจัง เสี่ยวตง วัย 31 ปี ศัลยแพทย์ทรวงอกประจำโรงพยาบาลประชาชนเขตผู่ตงของมหานครเซี่ยงไฮ้ ได้เสียชีวิตด้วยภาวการณ์ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนก เอช7เอ็น9 (H7N9) ในช่วงเช้าวันเสาร์ (18 ม.ค.) ที่ผ่านมา นับเป็นบุคลากรด้านการแพทย์รายแรกที่จบชีวิตลงเพราะไข้หวัดมรณะนี้ สร้างความหวาดหวั่นว่าสถานการณ์หวัดนกในจีนนะรุนแรงมากยิ่งขึ้น

    “ทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและโรงพยาบาลยังคงพยายามสืบหาต้นตอว่านายจังได้รับเชื้อไวรัสมาจากที่ใด ... มันอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ตึงเครียดมากขึ้น หากสุดท้ายไม่พบหลักฐานว่านายจังมีประวัติสัมผัสหรือใกล้ชิดสัตว์ปีกเป็นๆ เพราะนั่นหมายถึงความเป็นไปได้ของการแพร่เชื้อระหว่างคนสู่คน” เจ้าหน้าที่รายหนึ่งกล่าว

    อย่างไรก็ดี มีการสันนิษฐานเบื้องต้นว่าศัลยแพทย์จังอาจเคยทำการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปอดบวม อันเป็นหนึ่งในกลุ่มอาการของไข้หวัดนก นำไปสู่การรับเชื้อต่อๆ กันมา โดยนายจังเป็น 1 ในผู้ป่วย 2 รายล่าสุดที่ทางการท้องถิ่นได้ประกาศยืนยัน (20 ม.ค.) ซึ่งทำให้เซี่ยงไฮ้มียอดผู้ป่วยรวม 7 รายแล้ว นับตั้งแต่ปีใหม่ที่ผ่านมา

    ด้านคณะกรรมการสาธารณสุขและการวางแผนครอบครัวของเซี่ยงไฮ้ ระบุว่า เหยื่อไข้หวัดมรณะอีกรายเป็นเกษตรกร วัย 77 ปี ซึ่งเสียชีวิตในเช้าวันเสาร์เช่นเดียวกัน

    ขณะที่ ซินหวา สื่อทางการจีน รายงานเสริมว่า มณฑลก่วงตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน ยืนยันผู้ติดเชื้อฯ เพิ่มอีก 3 รายในวานนี้ และผู้ป่วยหวัดนกที่เสียชีวิตอีก 3 รายด้วยเช่นกัน

    [​IMG]
    คนงานฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคใส่รถยนต์ที่ขับผ่านฟาร์มไก่ซึ่งถูกสั่งปิดหลังพบการแพร่ระบาดของไวรัสไข้หวัดนกในเมืองเป่าติ้ง มณฑลเหอเป่ย (แฟ้มภาพ - รอยเตอร์ส)

    องค์การอนามัยโลกออกโรงเตือน รับมือ “วิกฤตหวัดนก” ระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น

    องค์การอนามัยโลก หรือฮู (WHO) กล่าววานนี้ (20 ม.ค.) ว่า ได้รับการรายงานกรณีผู้ติดเชื้อฯ H7N9 ในจีนกว่า 23 รายในช่วงสองสามวันนี้ และอีกอย่างน้อย 24 รายในสัปดาห์ก่อน รวมแล้วมากกว่า 40 รายในเดือน ม.ค.เพียงเดือนเดียว ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยการกลับมาของวิกฤตหวัดนกครั้งใหม่

    “ท่ามกลางช่วงเวลาที่ประชาชนส่วนใหญ่ทยอยเดินทางกลับบ้านเพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่ตามปฏิทินจีนในวันที่ 31 ม.ค.นี้ บวกกับสถานการณ์ของเชื้อไวรัสที่ยังไม่สามารถสืบสาวหาต้นตอหรือทำนายพฤติกรรมการแพร่ระบาดได้ชัดเจน จีนจึงควรเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด” เจ้าหน้าที่องค์การฯ กล่าว

    “ชาวจีนควรรับประทานอาหารที่สะอาดปลอดภัย และรักษาสุขลักษณะแวดล้อมให้ดีอยู่เสมอ”

    เกรกอรี่ ฮารทล์ โฆษกของ WHO เผยว่า ไข้หวัดนกได้รุกรานจีนมาตั้งแต่เดือน มี.ค. ปีก่อน ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 199 รายในจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และคร่าชีวิตผู้ป่วยไปแล้วกว่า 52 คน ซึ่งแม้ว่าผู้ป่วยหลายคนจะมีประวัติใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อฯ ก่อนหน้า แต่องค์การฯ ยังคงย้ำว่า “ยังไม่พบหลักฐานการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์สู่มนุษย์”

    “ยังไม่เห็นปัจจัยอื่นใดๆ ที่จะทำให้เราต้องยกระดับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากเดิม” เกรกอรี่กล่าว ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกได้ประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดนก เอช7เอ็น9 (H7N9) ไว้ที่ “ระดับต่ำ” เท่านั้น

    ทางด้านผู้เชี่ยวชาญมองว่า ฤดูไข้หวัดใหญ่ในช่วงหน้าหนาวของเขตซีกโลกเหนือเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อฯ เพิ่มมากขึ้นในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากยอดผู้ป่วยหดตัวลงในเดือน ก.ค. และเดือน ส.ค. ของปีก่อน

    “แนวโน้มของผู้ติดเชื้อฯ อาจยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนฤดูหนาวนี้”

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 มกราคม 2557 18:28 น.

    ที่มา www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9570000007943
     
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ‘อาเบะ’ขึ้นเวทีดาวอสเร้านานาประเทศร่วมตีกรอบจีนแผ่อิทธิพลทางทหาร

    [​IMG]
    นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น กล่าวปราศรัยสำคัญในวันพุธ (22) อันเป็นวันแรกของการประชุมประจำปี “เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม” ที่เมืองดาวอส, สวิตเซอร์แลนด์ โดยถือเป็นโอกาสเรียกร้องนานาชาติช่วยกันเหนี่ยวรั้งการขยายอิทธิพลทางทหารของจีน

    เอเจนซีส์ - นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ขึ้น “เวทีดาวอส” เรียกร้องการสนับสนุนจากนานาชาติ ชี้ญี่ปุ่น-จีนขณะนี้ไม่ต่างจากอังกฤษ-เยอรมนีช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 และว่าการเพิ่มงบการทหารอย่างต่อเนื่องของพญามังกรคุกคามเสถียรภาพของเอเชีย รวมถึงทั่วโลก ดังนั้น โลกจึงต้องหาทางช่วยกันเหนี่ยวรั้ง อีกทั้งปักกิ่งควรร่วมมือกับโตเกียวสร้างกลไกป้องกันข้อพิพาท เพื่อความสงบสุขและมั่งคั่งร่วมกัน

    ระหว่างการขึ้นกล่าวปราศรัยสำคัญในงานเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรัมที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์เมื่อวันพุธ (22 ม.ค.) อาเบะ เปรียบเทียบสถานการณ์ความตึงเครียดปัจจุบันระหว่างญี่ปุ่นกับจีนว่า เหมือนอังกฤษกับเยอรมนี ซึ่งแม้มีสัมพันธ์ทางการค้าแนบแน่น แต่ก็ไม่อาจฉุดรั้งทั้งสองประเทศไม่ให้เข้าห้ำหั่นกันในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1914

    อาเบะเสริมว่า การเพิ่มงบประมาณกลาโหมอย่างต่อเนื่องของจีน เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เสถียรภาพของเอเชียสั่นคลอน พร้อมเรียกร้องให้มีการควบคุมการขยายอิทธิพลทางการทหารในภูมิภาค เนื่องจากหากสันติภาพและเสถียรภาพในเอเชียสั่นสะเทือน ย่อมเกิดแรงกระเพื่อมมโหฬารไปยังทั่วโลก

    “ผลประโยชน์จากการเติบโตในเอเชียต้องไม่สูญเปล่าจากการขยายอิทธิพลทางทหาร”

    ผู้นำญี่ปุ่นยังเรียกร้องให้จีนร่วมมือสร้างกลไกที่จะป้องกันไม่ให้การเกิดข้อพิพาทกันกลายเป็นตัวทำลายความมั่งคั่งร่วมกัน ตลอดจนติดตั้งการติดต่อสื่อสารสายด่วนระหว่างกองทัพของสองประเทศ อีกทั้งต้องการให้จีนร่วมแบ่งปันรายละเอียดการใช้จ่ายด้านการทหาร

    “ความไว้วางใจคือสิ่งที่ทรงสำคัญยิ่งยวดต่อสันติภาพและความมั่งคั่งในเอเชียและทั่วโลก หาใช่ความตึงเครียดไม่ และสิ่งนี้ (ความไว้วางใจ) จะสามารถเป็นไปได้ด้วยการเจรจาและการใช้หลักนิติธรรม ไม่ใช่การใช้กำลังหรือการข่มขู่” เขากล่าว

    ถึงแม้ตัวอาเบะเองไม่ได้กล่าวพาดพิงถึงจีนอย่างโต้งๆ แต่พวกเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นได้ออกมาตั้งธงเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคราวนี้ เป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยเพื่อเรียกร้องการสนับสนุนจากนานาชาติในสิ่งที่โตเกียวมองว่า เป็นการคุกคามจากจีน

    ข้อพิพาทกรณีการแย่งชิงสิทธิ์เหนือหมู่เกาะเซงกากุ หรือที่จีนเรียกว่าเตี้ยวอี๋ว์ ที่อยู่ในทะเลจีนตะวันออกและคาดการณ์กันว่าอุดมด้วยแร่ธาตุสำคัญ ถูกญี่ปุ่นตีความว่า เป็นความพยายามของจีนในการควบคุมเส้นทางเดินเรือสำคัญในทะเลจีนตะวันออกอีกด้วย ในเวลาที่คำมั่นสัญญาของอเมริกาที่จะการรับประกันความมั่นคงของญี่ปุ่นนั้นเริ่มอยู่ในภาวะคลอนแคลน

    อย่างไรก็ตาม ตัวอาเบะเองถูกมองว่าเป็นผู้ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดเพิ่มขึ้นอีกเมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา จากการที่เขาเดินทางไปสักการะศาลเจ้ายาสุคุนิ ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานระลึกคนญี่ปุ่นที่เสียชีวิตจากสงครามครั้งต่างๆ โดยรวมถึงพวกอาชญากรสงครามในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย

    จีนและเกาหลีใต้โจมตีทันทีว่า การกระทำดังกล่าวฟ้องว่า ญี่ปุ่นไม่ได้สำนึกผิดต่อความก้าวร้าวรุกรานทางทหารต่อประเทศเพื่อนบ้านในช่วงศตวรรษที่ 20 ขณะที่อังกฤษและอเมริกาแสดงความผิดหวังกับสิ่งที่อาเบะทำ

    กระนั้น ผู้นำญี่ปุ่นยังคงยืนกรานแม้ในระหว่างถูกซักถามที่ดาวอสว่า ตนเพียงไปแสดงความเคารพวิญญาณทหารหาญเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาทำให้โซลและปักกิ่งขุ่นเคืองแต่อย่างใด

    อย่างไรก็ดี สำนักข่าวซิงหวาของทางการจีนได้ออกมาโจมตีอาเบะกรณีการไปสักการะศาลเจ้ายาสุคุนิอีกรอบเมื่อวันพฤหัสบดี (23) ว่า ทุกประเทศที่รักสันติล้วนตีความการกระทำของผู้นำญี่ปุ่นว่า เป็นการค้อมคารวะอย่างน่ารังเกียจต่อลัทธิเผด็จการฟาสซิสม์ อีกทั้งยังทำให้ความตึงเครียดในเอเชียเข้าใกล้จุดเดือด

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ แคโรลีน เคนเนดี้ เอกอัครราชทูตอเมริกันที่เพิ่งไปรับตำแหน่งที่โตเกียวเมื่อปลายปีที่แล้วแสดงความเห็นอย่างมีนัยผ่านหนังสือพิมพ์อาซาฮีฉบับวันพฤหัสบดี ว่า ชาวโลกควรให้การสนับสนุนผู้นำที่พยายามข้ามผ่านอดีตเพื่อสร้างอนาคตที่สันติสุข และว่า ที่ผ่านมาญี่ปุ่นมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ต่อเอเชียและโลก และการสร้างความไว้วางใจกับเพื่อนบ้าน จะทำให้ญี่ปุ่นรับบทบาทดังกล่าวอย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

    สำหรับทางฝ่ายจีนนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ มีกำหนดขึ้นเวทีดาวอสเช่นกันในวันศุกร์ (24) นี้

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 มกราคม 2557 21:17 น.

    ที่มา Manager Online
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พม่าวิกฤติ ผลพวงจากฤทธิ์อลองพญา !!!

    [​IMG]

    พม่าวิกฤติ ! ผลพวงจากฤทธิ์อลองพญา ตอนที่ ๑

    พม่าวิกฤติในวันนี้ยังสั่นสะเทือนไปทั่วโลก สร้างความตื่นตระหนกไปทั่ว ครูเอกก็ไม่อยากตอกย้ำซ้ำเติมชะตากรรมพี่น้องชาวพม่าหรอกค่ะ แต่ที่นำมาบอกเล่ากันตรงนี้ก็เนื่องจากว่า ครูเอกเคยเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ ทั้งจากเอกสารและการลงไปสัมผัสตามสถานที่ต่าง ๆ ลองช่วยกันพิจารณานะคะ

    คราใดที่ได้พินิจมองพระพุทธรูปสมัยอยุธยาทำให้ผิวกายสั่นสะท้านขึ้นทันที ! ความจำเก่าแก่มาโลดแล่นเสมือนเหตุการณ์หลายร้อยปีก่อนเพิ่งผ่านพ้นไป โดยเฉพาะพระพุทธรูปวัดหน้าพระเมรุซึ่งอยู่ในเครื่องทรงพระมหากษัตริย์ ความศักด์สิทธ์ของพระพุทธราชาธิราชเจ้าทำให้ผู้บุกรุกจากลุ่มน้ำอิรวดีต้องล่าถอยและพบจุดจบอย่างน่าเวทนา และผลพวงนั้นยังลุกไหม้สู่ปัจจุบันไม่เลิกลา

    ผู้บุกรุกในที่นี้หาใช่ใครที่ไหนไม่ ! ในขณะนั้นครูเอกยืนอยู่หน้าพระอุโบสถวัดพระเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาค่ะ เสียงสวดมนต์ของผู้แสวงบุญดังกังวานอยู่ด้านใน แต่ในลำคอของครูเอกกลับมีแต่ถ้อยคำว่า "ออง-ไชยะ-ออง-ไชยะ" ใช่แล้วค่ะ เขาคือชายร่างสันทัดชาวพม่าผู้ทะเยอทะยานเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาซึ่งมีไม่มีกี่คนในประวัติศาสตร์ที่กระทำได้เยี่ยงนั้น

    ค่ะ ! อองไชยะคือนามเดิมของ พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่าผู้เกรียงไกรนั่นเอง นักประวัติศาสตร์ต่างยอมรับว่า อลองพญาเป็นอัจฉริยบุรุษคนหนึ่ง มีความเก่งกล้าอย่างน่าอัศจรรย์ จนกระทั่งมีอำนาจสูงสุดคนหนึ่งของพม่า เทียบเท่ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เช่น อโนรธา ตะเบงชะเวตี้และบุเรงนอง จากสามัญชนคนพื้นบ้าน เขาสามารถใช้เวลาเพียง ๔ ปีเท่านั้นก็สามารถก้าวขึ้นครองบัลลังก์กษัตริย์พม่าได้สำเร็จ ก่อตั้งราชวงศ์อลองพญาปกครองพม่ามาหลายรัชกาล

    สิ่งแปลกประหลาดก็คือ ผู้สืบราชบัลลังก์ทุกองค์ของราชวงศ์อลองพญาต่างจบประวัติตัวเองลงด้วยโรคประหลาด เกิดเหตุจลาจลในบ้านเมือง เข่นฆ่ากันเองอย่างป่าเถื่อนและในที่สุดก็นำความโชคร้ายมาสู่ชาวพม่าซ้ำแล้วซ้ำอีก หมอกควันในอดีตยังปกคลุมอยู่เหนือน่านฟ้าอิรวดี

    ลองมาทำความรู้จักกับชายผู้นี้ว่า เบื้องหลังของเขามีความเป็นมาอย่างไร ครูเอกขออนุญาตเล่าแบบละครพื้นบ้านประเภท "มัจจุราชที่มองไม่เห็นตัว"นะคะ --- อองไชยะเป็นหัวหน้าบ้านในตำแหน่งนายตำบล มุกโชโบ แขวงเมืองอังวะ มีลูกชายหลายคนเป็นต้นว่า มังลอก มังระ ซึ่งเป็นแรงสนับสนุนอย่างแข็งขันโดยชักชวนไพร่บ้าน พลเมืองเข้ามาเป็นสมัครพรรคพวกจำนวนมาก บางครั้งก็ต้องใช้กำลังเคี่ยวเข็ญ ข่มขู่ หากใครไม่ยอมเข้ามาอยู่ในอาณัติก็จะถูกทารุณกรรมอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน

    "ต่อไปนี้ ข้าจะปลดปล่อยพ่อแม่ พี่น้องให้หลุดพ้นจากบ่วงทุกข์ ขอให้ทุกคนจงศรัทธาและเชื่อมั่นในบุญบารมีของข้าที่สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน" พออองไชยะกล่าวจบ ชาวบ้านหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงสาธุการ น้อมกายลงแนบพื้นราวกับพระเจ้าองค์ใหม่ได้อุบัติขึ้นแล้ว ต่อมาอองไชยะได้จัดระบบการปกครองในตำบลมุกโชโบให้มีความสงบ สร้างความสามัคคี และที่สำคัญคือเขาจัดให้มีการฝึกซ้อมอาวุธทุกประเภทเท่าที่มีในสมัยนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งปืนใหญ่ที่พ่อค้าชาวโปรตุเกสเสนอขายให้ในราคาแพงแสนแพง...นั่นก็เพราะสายตาเขาจ้องจับอยู่ที่ยอดปราสาท

    "ฟังข้าให้ดี..ชุมชนที่สามารถพึ่งตนเองได้และป้องกันตัวเองได้เท่านั้นแหละที่จะมีความสงบสุข" อองไชยะพูดกับเหล่าชายฉกรรจ์ที่อยู่ในสังกัด "ธรรมชาติได้ประทานสมองและสองมือให้พวกเรา เราต้องกล้าที่จะสร้างอนาคตให้กับตนเอง...แผ่นดินใหม่ยังไงล่ะ ที่พวกเราจะต้องสร้างมันขึ้นมา"

    "เมื่อเจ้าเมืองอังวะได้ยิน อาจขัดเคืองนะพ่อ" ลูกชายเอ่ยขึ้นเบา ๆ

    "มังระ เจ้าจงลืมความขี้ขลาดนั่นเถิด ไม่เช่นนั้นเจ้าก็จะมีค่าเพียงหมาตัวหนึ่งเท่านั้น"

    "พ่อก็รู้ เวลานี้พวกขุนนางมอญมีอำนาจมากมายขนาดไหน"

    "ทุกอย่างจะจบลงด้วยความไม่กลัวของเรา" อองไชยะแสดงท่าทีอย่างแข็งกร้าว ครั้นมีพรรคพวกมากก็เริ่มก่อปฏิกิริยาต่ออำนาจขุนนางมอญ ถึงขั้นขัดขืนไม่ยอมเสียภาษี วันหนึ่งเขาเผยแผนลับกับลูกชายว่า "พ่อได้วางแผนไว้ ๓ ก้าวเท่านั้น แล้วอำนาจทุกอย่างจะตกอยู่ในกำมือของเรา ชาวตำบลมุกโชโบจะได้เป็นขุนนางกันถ้วนหน้า"

    จากความเหิมเกริมของอองไชยะทำให้ขุนนางมอญผู้ปกครองเมืองอังวะหวั่นวิตกมาก จึงเรียกข้าราชการเข้าปรึกษาข้อราชการลับ "คนผู้นี้ชักชวนชาวบ้านขัดแข็ง ไม่ยอมเสียส่วย ต่อไปภายหน้า น่ากลัวว่าคนผู้นี้จะก่อความไม่สงบอย่างแน่นอน เราต้องหาวิธีแยกหัวมันลงจากบ่าให้เร็วที่สุด" เจ้าเมืองอังวะจึงเดินทางเข้าไปจัดระเบียบที่ตำบลมุกโชโบ แต่เนื่องจากอองไชยะมีพรรคพวกมาก จึงวางแผนแบบนุ่มนวล โดยในขั้นแรกได้เชิญตัวอองไชยะมาพบ พูดจาเกลี้ยกล่อมอย่างมีเหตุผล ไม่มีการแก้ข้อหาใด ๆ

    "แผ่นดินนี้เป็นของพวกเราทุกคน จึงสมควรช่วยกันเสียสละทรัพย์สินเพื่อทำนุบำรุงแผ่นดินนี้ให้มีความเจริญ เรามาหันหน้าเข้าหากัน เพื่อสร้างกรุงหงสาวดีให้ลือกระฉ่อนไปทั่วทุกสารทิศเฉกเช่นสมเด็จพระเจ้านันทบุเรงนองของพวกเรา"

    "ข้ายินดีปฏิบัติตามความต้องการของท่านเจ้าเมืองทุกประการ" อองไชยะเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม

    "เรานับถือน้ำใจท่านที่ให้การต้อนรับและให้ความร่วมมือ หวังว่าสัญญาในวันนี้จะเป็นจริงในไม่ช้า"

    "ใช่ ! ข้าขอรับประกันด้วยเลือดเนื้อของคนบ้านมุกโชโบ"

    เนื่องจากอองไชยะเป็นคนมีปฏิภาณไหวพริบ เขารู้ทันทีว่า อันตรายกำลังเคลื่อนพลใกล้เข้ามาแล้ว !

    ยังไม่จบค่ะ ขอเวลาเบรค โปรดติดตามอ่านตอนที่ ๒ ค่ะ

    พม่าวิกฤติ ! ผลพวงฤทธิ์อลองพญา ตอนที่ ๒

    มาสัมผัสวิถีคิดและวิธีทำของชายร่างสันทัดกันต่อค่ะ เวลาผ่านไปพอสมควร แต่ทว่า กะทาชายนายอองไชยะมิได้ใส่ใจต่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้อย่างมั่นเหมาะกับขุนนางเมืองอังวะ มิหนำซ้ำเขายังกระทำการฮึกเหิม ท้าทายโดยการระดมชายฉกรรจ์ในเขตตำบลใกล้เคียงเข้าเสริมกองกำลังตำบลมุกโชโบที่แปรสภาพมาเป็นศูนย์บัญชาการรบอย่างเต็มรูปแบบ รวมกันเป็นกองทัพขนาดย่อมที่เหล่านักรบมีความกระหายในการลงสู่สมรภูมิยิ่งนัก

    "ก้าวที่หนึ่งคือบุกจู่โจมเข้ายึดเมืองอังวะ คิดบัญชีขุนนางมอญทั้งหมด" อองไชยะวางแผนปฏิบัติการพลิกแผ่นดินครั้งสำคัญ "ต่อไปนี้พวกเราจงลืมคำว่าให้ความร่วมมือกับฝ่ายอังวะ" แล้วทุกคนก็ประสานเสียงขึ้นกึกก้อง "ไม่เสียเลือด ไม่เสียน้ำตา ชัยชนะจะเข้ามาโดยเส้นทางใด"

    ฝ่ายเจ้าเมืองอังวะก็มิได้นิ่งนอนใจ ตามติดความเคลื่อนไหวของกองกำลังนอกกฎหมายชนิดไม่กะพริบตา เมื่อได้รับรายงานข้อมูลทางลับเป็นที่แน่ชัดว่าจะหาความซื่อสัตย์จากคนที่ชื่อว่าอองไชยะไม่ได้แล้ว จึงรีบชิงความได้เปรียบ ส่งกองกำลังทหารที่ฝึกฝนมาแล้วอย่างดีบุกเข้าไปเหยียบตำบลมุกโชโบแบบสายฟ้าแล้ว แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ! ฝ่ายที่เอาเปรียบไปทิ้งยับเยินกลับเป็นกองทัพเจ้าเมืองอังวะ ผลพวงจากเหตุการณ์นั้นสำคัญมาก ๆ ค่ะ สำคัญจนกระทั่งหนังสือประวัติศาสตร์มอญ-พม่าได้บันทึกไว้ว่า

    "...เมื่ออองไชยะสามารถลุกขึ้นสู้กองทัพมอญเมืองอังวะประสบชัยชนะ คนทั้งหลายก็เห็นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ชาวพม่าเป็นอันมากก็พากันแห่มาสมัครเข้าเป็นพรรคพวก แม้แต่พระเจ้าธอพุทธเกษีซึ่งประทับอยู่ที่เชืองใหม่ก็ส่งสาส์นมาแสดงความยินดี อำนาจของอองไชยะจึงแผ่ไกลไพศาลยิ่งขึ้น ในปี พ.ศ.๒๒๙๘ คือสองปีภายหลังตีเมืองอังวะพินาศ กองทัพอองไชยะที่เข้มแข็งขึ้นในนามของชาวพม่าได้เคลื่อนกำลังพลลงทางใต้ตีทะลวงเมืองรางกุ้งแบบสบายมือ แล้วเข้าปิดล้อมที่มั่นสุดท้ายของฝ่ายปกครองคือ กรุงหงสาวดี และมองเห็นชัยชนะอยู่แค่เอื้อม

    "นั่นคือรอยของก้าวที่สอง มังระ" อองไชยะบอกบุตรชาคนยโตอย่างกระหยิ่มต่อธงชัยที่จะโบกสะบัดในไม่ช้า แต่ว่า ผลของสงครามยังไม่ทันนับศพ พระเจ้าแผ่นดินผู้ครองหงสาวดีมองไม่เห็นกลยุทธ์ใดที่จะปราบกองกำลังจากตำบลมุกโชโบลงได้ เพราะว่า ฝูงมหาประชาชนต่างพากันเปล่งเสียงชื่นชมความเก่งกล้าของอองไชยะราวกับเขาคือเทวดาเสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ พระเจ้าหงสาวดีจึงประกาศยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข แถมยังยกธิดาสาวให้แก่อองไชยะ ในขณะที่แม่ทัพนายกองของพระเจ้าหงสาวดีไม่มีใครเห็นดีด้วย พอตกกลางคืนจึงลอบเข้าปล้นกองทัพของอองไชยะที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง

    ดีว่า คนอย่างอองไชยะยังไม่หลงกลศึกง่าย ๆ แม้ว่าจะถูกล่อหลอกด้วยหญิงสาวแสนสวยก็ตาม จึงไม่เพลี่ยงพล้ำในกลางดึกคืนนั้น พอถึงวันรุ่งขึ้น อองไชยะจึงโต้ตอบทันควัน เร่งรัดจัดการโจมตีเมืองหงสาวดีเป็นการใหญ่ บุกเผาทำลายยุ้งฉาง อาคารบ้านเรือนวอดวาย แล้วสถานการณ์เมืองหงสาวดีที่ระส่ำระสายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ถึงคราวย่อยยับในพริบตา ชาวบ้านและพระสงฆ์ถูกฆ่าฟัน ล้มตายเป็นจำนวนมาก สั่งให้กวาดเก็บพัสดุมีค่าและเงินทองทั้งหมด พร้อมจับบุคคลสำคัญ เช่น พระเจ้าหงสาวดี พระมหาอุปราชา พระยาทะละ พระยาทะลอไปพันธนาการในคุกใต้ดิน มิให้เห็นเดือนเห็นตะวันและให้เป็นสุสานไปพร้อมเสร็จสรรพ์

    เมื่อกองทัพอองไชยะกลับสู่ภูมิลำเนาอย่างยิ่งใหญ่ ราคาของเม็ดเหงื่อที่เสียไปมันช่างมีมูลค่ามหาศาล เขาได้เร่งสร้างราชธานีขึ้นใหม่ที่ตำบลมุกโชโบบ้านเกิดพร้อมกับขนานนามว่า เมืองมันทลีรัตนภูมิ แล้วประกอบพิธีกรรมปราบดาภิเษกตัวเองขึ้นครองบัลลังก์พม่านามว่า อลองพญา

    "อลองพญา ! " อองไชยะออกชื่อใหม่ตัวเองอย่างฉงน

    "ใช่แล้วพะยะค่ะ อลองพญา เป็นคำเก่าแก่แปลว่า พระโพธิสัตว์" หัวหน้าคณะพราหมณาจารย์ประจำราชสำนักกราบทูล "มีความหมายว่า ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ผู้มากอบกู้ศักด์ศรีเพื่อนมนุษย์ให้รอดพ้นจากความทุกข์ทางกายและใจ"

    อองไชยะในนามอลองพญาก็ทรงมีความเชื่อเช่นนั้นอยู่แล้ว พระองค์จึงตั้งปณิธานว่าจะลงมือกระทำทุกวิถีทางที่จะนำพาประชากรไปสู่ความอุดมสมบูรณ์ตามอุดมการณ์ที่วาดฝัน แน่นอนค่ะ หนีไม่พ้นสงคราม การแผ่แสนยานุภาพไปยังอาณาจักรใกล้เคียงคือภารกิจหลัก และเป็นบทพิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์

    "ต่อไปคือก้าวที่สาม" อลองพญาผินพระพักตร์ไปยังทิศตะวันออก "เราจะไปเหยียบแผ่นดินโยเดีย ทุกคนก็รู้ว่าแผ่นดินนั้นสว่างไสวไปด้วยทองคำ"

    ในขณะนึกย้อนรอยอดีตมาถึงตรงนี้ ครูเอกยังอยู่ที่วัดหน้าพระเมรุนะคะ คณะจารึกแสวงบุญลงรถทัวร์พร้อมกับส่งเสียงจอแจ ใบหน้าอิ่มเอิบกันทุกคนแหละค่ะ เสียงประชาสัมพันธ์ของวัดก็กล่าวต้อนรับแล้วเล่าประวัติศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระประธานภายในพระอุโบสถ

    "ในวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๓๐๓ อลองพญากรีฑาทัพเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา วางแผนการรบด้วยวิธีการบุกเข้าไปยึดพระอารามต่าง ๆ เป็นฐานที่มั่น ประกอบด้วย วัดราชพลี วัดกษัตราธิราช วัดหัสดาดาวและวัดหน้าพระเมรุ เพราะหลงคิดว่าตัวเองเป็นผู้มีบุญบารมีเทียบเท่าพระโพธิสัตว์"

    แล้วย่อมเป็นไปได้ที่อลองพญาจักครุ่นคิดอยู่ในใจ "ทองคำทั้งหมดในแผ่นดินโยเดียนี้ต้องคู่ควรกับเราเท่านั้น"

    การเคลื่อนทัพจากเมืองหน้าด่านสู่เมืองหลวงเป็นไปโดยง่าย ไม่มีวี่แววการต่อด้านที่เข้มแข็งใด ๆ เลย จนกระทั่งเมื่อประชิดติดกำแพงเมือง เจ้ามังระทูลถามขึ้นด้วยความแปลกใจ "ไม่มีแม้แต่กองกำลังป้องกันประตูบ้านตัวเองหรือ"

    "มี แต่ก็พากันเร้นหายอยู่หลังกำแพง ชาวโยเดียทั้งปวงหมกมุ่นอยู่กับความสุข สนุกสบาย จนไม่รู้ค่าของการต่อสู้และลืมไปแล้วว่าในโลกนี้ยังมีนรกอยู่หลายขุม" อลองพญานำกองทัพหลวงไปตั้งที่วัดหน้าพระเมรุ สั่งทหารให้ตั้งปืนใหญ่ที่ลานวัดตรงหน้าพระอุโบสถหลังใหญ่ โดยหารู้ไม่ว่าหายนะกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ ! อ๋อ ! ไม่ใช่พายุไซโคลนนาร์กีสหรอกค่ะ

    สงสัยจะต้องมีตอนที่ ๓ แล้วค่ะ

    พม่าวิกฤติ ! ฤทธิ์อลองพญา ตอนที่ ๓ (จบ)

    พระประธานในพระอุโบสถวัดหน้าพระเมรุเป็นพระพุทธรูป ปางมารวิชัย แปลจับความง่าย ๆ ก็คือทำให้ผู้บุกรุกพ่ายแพ้ หล่อด้วยทองสัมฤทธ์(บางเจ้าก็เขียนสำริดค่ะ)ทรงเครื่องพระมหากษัตริย์ หน้าตักกว้าง ๔.๔๐ ม. สูง ๖ ม. มีพระนามว่า พระพุทธนิมิตพิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ

    มาเข้าสู่โหมดสงครามกันต่อค่ะ พระเจ้าอลองพญาทรงบัญชาการรบเองอย่างเข้มแข็ง สั่งระดมยิงปืนใหญ่เข้าถล่มวังทั้งกลางวันกลางคืน เพราะต้องการเผด็จศึกให้เร็วที่สุด ไม่ยอมให้ยืดเยื้อ แล้วผลของการทำลายอยู่ฝ่ายเดียวก็ป่นปี้แหลกลาญ สิ่งก่อสร้างสวยสด สูงตระหง่านงามอยู่ภายในเขตพระราชฐาน ไม่ว่าปราสาท พระวิหาร มณฑป รวมทั้งยอดพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ก็หักพังพินาศ แต่เดชะ ! ความบอบช้ำนั้นมิได้มอบความปราชัยให้กับกรุงศรีอยุธยา

    มันเป็นยุทธวิธีผิดแผกด้วยกระมังที่อลองพญาใช้ลานวัดหลายแห่งเป็นฐานสู้รบคราวนั้น โดยเฉพาะลานวัดหน้าพระเมรุต่อพระพักตร์พระพุทธราชาธิราชคู่เมือง อย่างไรก็ตาม บรรดาปืนใหญ่นับหลายร้อยกระบอกที่ระดมยิงทั้งกลางวันกลางคืน คำรามคำรณอย่างต่อเนื่องก็ย่อมร้อนระอุอยู่ภายในเป็นธรรมดา ในที่สุดกระบอกปืนใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาสุด ๆ อย่างที่เราเคยเห็นวางโชว์อยู่หน้ากระทรวงกลาโหมนั้นแหละ มันก็ทำอัตวินิบาตกรรมตัวเอง ระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จะได้ปิดเกมกันเสียที

    สะเก็ดปืนพุ่งเข้าเล่นงานทหารพม่าบาดเจ็บ ล้มตาย ไม่มากมายก็จริง แต่ทว่า อลองพญากลับโชคร้ายกว่าใครทั้งหมดที่เหลือรอดชีวิต โดนแรงอัดในรัศมีพอเหมาะก็เลยกระเด็นปลิวไปหลายสิบเมตร อาการบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถบัญชาการรบต่อไป ถึงอย่างไรก็ตาม ผลทางด้านจิตวิทยาหรือขนบสงครามที่สืบทอดกันมา เมื่อแม่ทัพใหญ่เพียงคนเดียวเพลี่ยงพล้ำ ก็หมายความว่า กองทัพทั้งหมดเป็นอันเลิกลาไปชั่วคราว

    อลองพญาสั่งให้เลิกทัพกลับบ้านทางด่านแม่ละเมา ยังไม่พ้นเขตแดนกรุงศรีอยุธยาหรือโยเดียที่เขาเพิ่งจะมาเหยียบ พอถึงตำบลเมาะกะโลก เมืองตาก อลองพญาก็มีอาการกำเริบอย่างหนัก "มังระเอ๋ย เจ้าจงจดจำความเจ็บปวดของพ่อไว้ให้ดี...." ถ้อยคำสุดท้ายที่อลองพญาผู้ยิ่งใหญ่ได้ฝากไว้ก่อนจะสิ้นลมหายใจในคืนวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๓๐๓

    ผลพวงต่อจากนั้นน่าสังเวชเพียงใด !

    ๑.มังระ ราชบุตรผู้เก่งกล้าของอลองพญา ยกทัพเข้ากรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง แล้วตีกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ คือทำให้กรุงแตกครั้งที่ ๒ ได้ชัยชนะกลับไปพร้อมทองคำแท้ ๆ จำนวน ๕๐ ลังบรรทุกไปบนหลังช้าง ครั้นพอถึงพม่าปรากฎว่า...เสียสติ

    ๒. จิงกูจา ลูกชายมังระ รับราชสมบัติองค์ต่อมา มีนิสัยโหดร้าย ป่าเถื่อนอวสานลงด้วยโรคเสียสติ โดยถูกทหารองครักษ์ฟันตายคาที่

    ๓.พระเจ้าปะดุง น้องชายมังระ มีอาการไม่แตกต่างจากพระเจ้าอลองพญาคือสำคัญตนว่าเป็นพระโพธิสัตว์ จะบรรลุโพธิญาณในเร็ววัน ออกประกาศแก้ไขพระวินัยและวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ แล้วก็เกณฑ์คนจำนวนมากมาสร้างพระเจดีย์หวังจะให้เป็นพระเจดีย์ทองคำสูงที่สุดในโลก แต่ก็สร้างไม่เสร็จ...เพราะเสียสติ

    ๔.จักกายแมง หลานพระเจ้าปะดุง...ใช่ เสียสติ

    ๕.สราวดี น้องชายจักกายแมง พอได้รับราชสมบัติมีอำนาจเต็มที่ก็โหดร้ายเหลือประมาณ หากสังสัยว่าใครคิดไม่ซื่อต่อราชบัลลังก์ก็จะถูกตั้งข้อหา "กบฎ" แล้วลากตัวไปให้ช้างเหยียบ ไม่เว้นแม้กระทั่งมเหสี สุดห้ายก็เป็นบ้า...เสียสติ สถานการณ์ในช่วงนี้ ราชวงศ์อลองพญาเข้าสู่โค้งสุดท้ายค่ะ ตรงกับช่วงต้นรัตนโกสินทร์ของบ้านเรา เกิดความวุ่นวายสับสน สภาพบ้านเมืองอ่อนแอ เกิดการเข่นฆ่าไม่เว้นแต่ละวัน จนกระทั่งคนไทยคนหนึ่งที่ถูกกวาดต้อนไปอยู่ประเทศพม่าในฐานะเชลยศึกลักลอบกลับมาเมืองไทยได้สำเร็จ

    คนไทยคนนี้มีชื่อว่านายจาด แกหนีมาทางด่านเจดีย์สามองค์ เดินบกผ่านพระแท่นดงรังเมืองกาญจนบุรี สะบักสะบอมถึงเมืองนครปฐมแล้วโซเซเข้าเมืองบางกอก จากคำให้การของนายจาดนี้เอง ทำให้ข่าวคราวแผ่นดินพม่าที่ปิดตายมานาน เป็นที่รับรู้ว่าชะตากรรมของผู้คนฟากเขาตะนาวศรีโน้นเป็นตายร้ายดีอย่างไร แล้วจึงรู้ว่า พายุไซโคลนนาร์กีสในอดีตนั้นร้ายกาจเพียงใด

    "สมัยพระเจ้ามินดง ราชวงศ์อลองพญา มีพระนามตอนราชาภิเษกว่า พระเจ้าสิริบวรวิชยนันทยศ บัณฑิตมหาธรรมราชาธิราช พ.ศ. ๒๔๒๑ เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในกำแพงเมือง มันทลีรัตนภุมิ ขณะนั้นลมพายุพัดกล้าจัดนัก ไฟลุกไหม้ลามติดบ้านขุนนาง ๗๐๗ หลัง วังเจ้า ๓๓ หลัง บ้านราษฎรกว่า ๕๐๐ หลังเหลือแต่ขี้เถ้า ลูกไฟปลิวกระเด็นไปตกลงคลังน้ำมันดิน เกิดเปลวเพลิงลุกกระพือขึ้นในอากาศ ท้องฟ้าแดงฉานเป็นสีเลือด เกิดเสียงร้องดังเหมือนเสียงช้างทั้งป่าพากันร้องขึ้นพร้อมกัน

    พวกเจ้านาย ขุนนาง ไพล่ฟ้าขนของใส่ล้อเกวียน บนหลังม้า หลังช้างหนีตายกันอุตลุด ขณะเดียวกันพวกคนพาลก็ลงมือปฏิบัติการตีชิงวิ่งราว แย่งเอาข้าวของเงินทองของผู้กำลังจะหนีไฟกันอลหม่าน ส่วนเจ้าพระยากรมเมืองพวกหนึ่งก็เร่งทหารเข้าดับเพลิง แต่ไฟนั้นก็ยังลุกท่วมเป็นภูเขาไฟ ลามติดซุ้มประตู พระมหาปราสาทพังทลายลง.............หลังจากนั้น พอถึงเดือนสิบในปีเดียวกัน พระเจ้ามินดงทรงพระปชวร ตกมูกตกเลือด ปวดพระนาภี(สะดือ)อย่างสาหัส อาการทรุดหนักลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็สวรรคต

    แล้วสถานการณ์ความขัดแย้งก็สุกงอมเต็มที่ เมื่อพระราชโอรสองค์ใหญ่สืบทอดราชสมบัติ แต่บัลลังก์ก็ยังไม่มั่นคง เพราะมีพี่น้องต่างพระมารดาอีกมากคอยก่อกบฎ ครั้นต่อมา เกิดเพลิงไหม้ยอดมหาปราสาททองคำ หลังจากดับไฟได้แล้วจึงสั่งโหราจารย์เข้าเฝ้า ตรัสถามถึงเหตุการณ์ร้ายที่จะเกิดขึ้น ท่านโหราจารย์ก็กราบทูลว่า จะมีเหตุใหญ่ พระเคราะห์คราวนี้ร้ายนัก จะมีราชศัตรูภายนอกและภายในคิดร้ายต่อราชบัลลังก์

    วันต่อมา การล้างบางก็เกิดขึ้น ขุนนางข้าหลวงเดิมสมัยพระเจ้าอยู่หัวองค์เก่ากราบทูลฟ้องกล่าวโทษขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารซึ่งเป็นพระอัยกาของพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ว่าคิดกบฎ นัดหมายกับเจ้านายหลายองค์กำลังซ่องสุมกำลัง เพื่อเปลี่ยนรัชกาลใหม่ พระเจ้าอยู่หัวจึงสั่งให้จับกลุ่มผู้ต้องสงสัยมาชำระความได้ว่าเป็นความจริง แล้วมีการซัดทอดถึงมารดา บุตร ญาติพี่น้อง น้องยาเธอรวมทั้งสิ้น ๓๘ องค์ ขุนนางน้อยใหญ่รวม ๑๙๕ คน พร้อมด้วยราษฎรจำนวนหนึ่งไปตัดคอเสียในเวลากลางคืน รวมทั้งสิ้น ๑,๒๗๖ ศพ..."

    นับเป็นการฆ่าล้างโคตรครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของประเทศพม่า ปรากฎว่าหาใครเป็นผู้ชนะไม่ได้เลย เพราะเป็นการนำประเทศไปสู่ความพ่ายแพ้ อ่อนแอ ก้าวย่างมาถึงจุดจบในราชวงศ์อลองพญาองค์สุดท้ายเสียเอกราชให้กับต่างชาติ...กระทั่งวันนี้ก็ยังมีตามล้างตามล่ากันไม่จบสิ้น ราวกับกลิ่นคาวเลือดในอดีตยังปกคลุมอยู่เหนือผืนดินแห่งความขัดแย้งนี้

    ในทางวิทยาศาสตร์ พายุไซโคลนนาร์กีสเกิดจากธรรมชาติแปรปรวน ในทางสังคมก็น่าจะปะทุขึ้นจากแรงหมุนทางการเมือง แรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจที่ปรวนแปร ผลของการทำลายล้างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยจริง ๆ

    Posted by ครูเอก , ผู้อ่าน : 350 , 15:26:13 น.

    ที่มา www.oknation.net/blog/kruak/page5
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2014
  9. ด้วยรัก30

    ด้วยรัก30 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    3,860
    ค่าพลัง:
    +1,223
    เราขอเน้นคำถามที่อยากรู้นะ ว่าอะไรเกิดก่อน (ขอขอบคุณมากครับ)
    ส่วนคำถามอื่นๆขอชมว่า คนถามเข้าใจถามนะ
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สงครามเก้าทัพ ระหว่างไทยกับพม่า !!!

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=t9P7glWrQr4]Animation 2 D เรื่อง สงครามเก้าทัพ - YouTube[/ame]
    ที่มา http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-731
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC03977.jpg
      DSC03977.jpg
      ขนาดไฟล์:
      549.4 KB
      เปิดดู:
      91
    • DSC03975.jpg
      DSC03975.jpg
      ขนาดไฟล์:
      208 KB
      เปิดดู:
      149
    • DSC03976.jpg
      DSC03976.jpg
      ขนาดไฟล์:
      248.4 KB
      เปิดดู:
      135
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2014
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่องแผ่นดินไหว !!!

    [​IMG]

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่า...เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่าแผ่นดินไหวเกิดได้อย่างไร?

    ดร. ปริญญา นุตาลัย เล่าว่า“....ฝรั่งมันจ้างผมให้ค้นคว้าเหตุผลแผ่นดินไหวว่ามันมาจากเหตุอะไรจากธรรมชาติ ไอ้ธรรมชาติทํายังไงแผ่นดินจึงไหว?" ก็ถามเธอ ความจริงอันนี้ผมก็ไม่รู้จริงๆ เหมือนกัน เรื่องแผ่นดินไหว พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ๘ อย่าง ไอ้กฎแห่งธรรมชาตินี่มันมีอยู่ แต่ธรรมชาติมันทําอย่างไรแผ่นดินจึงไหว อย่าลืมว่าแผ่นดินน่ะไม่ใช่กระต๊อบนะครับ กระต๊อบลมพัดมามันไหวได้ แผ่นดินมันใหญ่มันหนักเหลือเกิน มันไหวเพราะอะไร เธอก็บอกว่า "เหตุจริง ๆ มันเป็นอย่างนี้ครับ แต่ว่าข้อมูลละเอียดนี่ไม่ทราบ คือว่าแผ่นดินมันมีการแยกตัวเป็นร่องภายในและก็มีลมเกิดขึ้น แผ่นดินก็ไหว"

    ..... ตามปกติของพระเวลาจะนอนทําอย่างไร ก็ทราบกันอยู่แล้ว ยังไม่นอนหรือนอนก็มีคติคล้ายคลึงกัน นั่นก็คือทําจิตให้เป็นสุขก่อน พอนอนจับอานาปานุสสติ พอเริ่มจับปรี๊ดเดียว หายใจเข้าไม่ทันหายใจออก เห็นภาพพระ พระพุทธเจ้า ท่านมายืนตระหง่านอยู่ใกล้ๆ ข้างหน้า สวยงามมาก ในภาพทรงแย้มพระโอษฐ์ นี่ใครจะหาว่าผมบ้าภาพก็ตามใจ ภาพพระพุทธเจ้าผมชอบบ้า ถ้าบ้าเห็นพระพุทธเจ้า ผมอยากบ้าตลอดทุกวินาทีของชีวิตที่ทรงอยู่ และก็ได้ยินเสียงท่านถามว่า

    "เธอสงสัยเรื่องแผ่นดินไหวหรือ ?" ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า "สงสัยพระพุทธเจ้าข้า" ท่านบอกว่า "สงสัยทําไมจึงไม่ถาม" ก็ตอบกับท่านว่า "เห็นว่ามันเป็นเรื่องของโลก ไม่เป็นสาระไม่เป็นแก่นสารแห่งธรรม ก็ไม่กล้าถามและก็ไม่กล้าจะยุ่ง เกรงว่าจิตจะวุ่นวาย" ท่านก็บอกว่า "ไม่เป็นไร มันเป็นสาระไม่ใช่ไร้สาระ" ท่านบอก "ถ้าอยากจะรู้ก็ตามฉันมา"

    ตอนนี้ได้เรื่องแว๊บเดียวลงไปใต้ดินเลย ไปเห็นแผ่นดิน มันเป็นร่องใหญ่ โอ้โฮ! จะว่าเป็นแม่น้ำนี่ไม่ใช่แล้ว บางจุดมันกว้างแบบทะเลน้อย ๆ ไอ้ทะเลใหญ่ๆ เขากว้างกันเท่าไหร่ก็ไม่รู้ คือศูนย์ที่กว้างที่ห่างจริง ๆ มันเป็นไมล์ๆ บางทีถึง ๗ ไมล์ก็มี กว่าก็มี กว้างมันเป็นร่องลึกเรื่อยไป ในความรู้สึกว่าผมก็ตามท่านไปเรื่อย ๆ ไปรอบโลก ไอ้รอยแตกของแผ่นดินนี่มันรอบโลกจริง ๆ และก็ในรอยแตกของแผ่นดินนี่ มองดูแผ่นดินข้างใต้มันเหมือนกับดินผสมน้ําเป็นโคลนอยู่ มันเดือด ปุด ๆ ท่านก็เลยบอกว่า "แผ่นดินจริง ๆ ข้างล่างมันแตกแยกกันอย่างนี้ ร่องมันใหญ่มาก" งั้นแผ่นดินไหวเกิดจากเหตุนี้ ดร.ปริญญาเธอพูดไว้

    ..........พอกลับมานอนนึกว่าไอ้แผ่นดินที่มันเป็นร่องยาวรอบโลก แล้วลมมันมาจากไหน นี่เป็นความรู้สึกจริง ๆ มันจะเป็น ความโง่ของผม เพราะการไปในที่นั่นมันเห็นแต่ร่องแผ่นดินมันใหญ่จริง ๆ มันมีตลอดทั้งโลกในประเทศไทยก็ไม่ใช่ด้อย พอนอนนึกเท่านั้นก็เห็นภาพพระพุทธเจ้าท่านลอยอยู่ข้างหน้าท่านถามว่า "สงสัยเรื่องลมรึ ?"

    ก็บอกว่า "สงสัยครับ เพราะว่าผมมีความรู้สึกว่าลมมันจะเข้าไปอย่างไร แผ่นดินมันจะไหวเพราะลมกระทบ ผมก็มองไม่เห็นว่าลมมันจะเข้าไปอย่างไร ลมมันจะพัดไปทางไหน ทางเข้ามันก็ไม่มี" ท่านก็บอกว่า "ถ้ายังงั้น ตามฉันมาซิ" ท่านก็พาไปใหม่ไปที่เดิม ไปเรื่อยเฉื่อย ไปตลอดแนวมันยาวเท่าไหร่ มันยาวไปชนกัน บางทีมันก็ยังแยกอีก ก็แบบแม่น้ำใหญ่ๆ มันก็แยกเป็นสาย ๆ ก็ต้นทางมันมาจากไหนก็ต่างคนต่างชนกัน มันยาวเหยียดมันใหญ่มาก

    ทั้งโลกมันก็มี ไม่ใช่มีเฉพาะอเมริกาและก่อนหน้าที่จะไปเป็นปีเดียวกันใช่หรือไม่ใช่ไม่ทราบ เขาบอกว่าที่แคลิฟอร์เนียแผ่นดินไหว ตึกรามพังกันระเนระนาด หมอบุญเกิดแกถึงได้มาถามว่าจะเป็นอย่างนั้นอีกไหมครับ ก็บอกว่าแผ่นดินอาจจะไหวได้ แตที่แคลิฟอร์เนียไม่พังอีกล่ะ ถ้าจะพังก็พังเองไม่ใช่พังเพราะแผ่นดินไหว นี่ตอบไปตามความรู้สึก เมื่อไปถึงเห็นโคลนมันเดือด ดินปนน้ำ เป็นลักษณะโคลนเดือนปุดๆ ทั่วไปหมด อาการเดือดของมันก็เป็นไอขึ้นมา บอกว่าลมนี่มันมาจากจุดนี้ ลมมันก็มาจากไอน้ำที่มันระเหยขึ้นมาและมันเกาะตัวมาก ๆ เข้าก็กลายเป็นลมเป็นลมกระแสใหญ่ขึ้นมาเป็นลมใหญ่ ลมใหญ่มันก็กระแทกทางโน้นกระแทกทางนี้

    ก็ถามท่านว่า "ลมมันขึ้นมาทีละน้อย ๆ นี่มันน่าจะไหลไปตามกระแสร่องของแผ่นดิน ซึ่งมันยาวเหยียด ไม่น่าจะมีกําลังแรง และทําไมแผ่นดินมันจึงไหวได้ไม่น่าจะเป็นไปได้" นี่เป็นด้านอารมณ์ความโง่ของผม ผมยอมรับ ท่านก็บอกว่า "ลมใหญ่มันจะวิ่งไปตามสาย สายของร่องแผ่นดินแตกก็จริงแหล่ แต่ทว่าเธอต้องคิดถึงความเป็นจริงจุดหนึ่ง ซึ่งกระแสลมแรงนี่เขาเรียกว่าไต้ฝุ่น" ผมเรียกชื่อกับเขาไม่ถูก ไอ้โซนร้อนโซนหนาวอะไรผมก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เรียกว่าลมแรง ๆ ก็เหมือนกัน ในมหาสมุทร ถึงแม้ในประเทศไทยเราก็โดน มันมีขึ้นมาแล้ว มันพุ่งชนเรือเขาล่มไปบ้าง ดีไม่ดีเรือสินค้ามีน้ำหนักเป็นแสนตัน ยังหอบเอาไปไว้บนเกาะบ้าง พอชนบ้านเรือนโรงพังไปบ้าง

    ที่แคลิฟอร์เนียนั่นผมไปชายฝั่ง เห็นไม้ไร่หักระเนระนาด บ้านช่องเขาพัง เขาบอกนี่ลมใหญ่ในทะเล มันพุ่งเข้ามาบ้านช่องพัง ท่านก็เลยบอกว่า "เธอสังเกตหรือเปล่าว่าผิวโลกมันมีความกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน และลมเกิดขึ้นน้ำน่าจะลอยไปบนอากาศ แต่มันไม่ไป กลับไปทิ่มบ้านทิ่มเรือนเขาพัง ทําไมมันถึงเป็นไปได้ ก็ไอ้ใต้แผ่นดินมันมีร่องแคบ ๆ ไอ้ช่องที่อากาศจะลอยตัวขึ้นไป หรือความร้อนจะลอยตัวขึ้นไป ลมจะลอยตัวขึ้นไป มันก็มีน้อย คือว่าเพดานมันต่ำ ในเมื่อมันรวมตัวขึ้นมา มันขยายตัวไม่ทันอย่างในมหาสมุทรมันน่าจะขยายเร็วแสนเร็ว ไปไหนก็ได้ แต่มันไม่ไป มันรวมกลุ่มแล้วก็วิ่งไปชนบ้านชนเรือนเขา ข้อนี้ฉันใด แม้แต่ลมที่เกิดขึ้นในซ่องแผ่นดินแยกหรือที่เป็นร่องพื้นผิวที่เรานั่งอยู่ มันก็ก่อตัวในลักษณะเดียวกัน ในเมื่อมันรวมตัวกันจัด มันก็พุ่งไปชนทางโน้นบ้าง ชนทางนี้บ้างในช่องแคบจนกว่ามันจะไหลไปทั่ว ๆ ร่อง ก่อนที่จะไปความแรงของมันก็ชนกันเป็นเหตุให้แผ่นดินไหว"

    ก็เลยเป็นอันว่าทราบว่าไอ้เจ้าลมนี้มันไม่ได้มาจากข้างนอก มันมาจากไอน้ำข้างในมีความร้อนสูง และผมก็ขอร้องให้ท่านไปสํารวจความร้อนว่าความร้อนจริง ๆ ใต้ผิวแผ่นดิน ที่แผ่นดินเป็นร่อง ใต้ผิวลงไปนะ มันมีความร้อนขนาดไหน ดูแล้วโอ้โฮ้...ใต้แผ่นดินนี่มันร้อนจริง ๆ มันร้อนจัดมาก ดีไม่ดีนี่เราเผลอเรียกว่า "ไฟนรก" ความจริงมันไม่ใช่ นรกไม่ได้อยู่ใต้ดิน ถ้านรกอยู่นั่น ผมไปต้องเจอะนรกมากแล้ว อย่างกับท่านพระครูอะไรก็ไม่ทราบ ท่านเขียนหนังสือมาถามว่า "นรกนี่มันอยู่ใต้ดิน ไอ้ที่พูดว่านรกมันมีอีกโลกหนึ่งน่ะโกหก"

    ความจริงผมไม่ได้โกหกท่านและก็ไม่ได้โกหกใคร ผมพูดตามหลักวิชาความรู้ในพระพุทธศาสนา นี่พระพุทธเจ้าก็ดี พระโบราณาจารย์ก็ดี ท่านบอกนรกมันอยู่ใต้ดิน ท่านไม่ได้หมายความนรกอยู่ในดิน ไอ้ที่ผมไปเจอะนี่ความร้อนมันอยู่ในแผ่นดิน ในส่วนลึกใต้ผืนแผ่นดินลงไปไม่ใช่ใต้ดิน ใต้ดินนั่นก็หมายความว่า นี่นรกที่นั่นต่องไม่มีดินผืนนี้อยู่และมันอยู่ต่ำกว่า เป็นอันว่าวันนั้นก็เลยเข้าใจตามความจริงว่าความร้อนใต้แผ่นดินมีมากหนัก และที่ภูเขาไฟระเบิด ก็มีความเข้าใจว่า ไอ้ความร้อนมันกัดหินไปทีละหน่อย ๆ มันมีอยู่ที่ผิวมาก

    ว่าง ๆ มันก็พุ่งมาสักที ทําไมไม่พุ่งตลอด อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน อย่ามาถามกันนะ ผมไม่รู้ มันไหม้จนหินละลาย ก็ต้องคิด หินละลายเปิดเป็นช่องเป็นปล่องให้มันโผล่ขึ้นมา ความจริงมันน่าจะโผล่มาตลอดปีตลอดวัน มันก็ไม่โผล่ ไปๆ มันก็จะโผล่ นี่เป็นเพราะอะไรผมไม่เข้าใจเหมือนกัน และก็ไม่อยากจะเข้าใจต่อไป ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะรู้ ก็เป็นอันว่าวันนั้นมีความรู้เรื่องแผ่นดินไหว ว่ามันจากกระแสของไอน้ํากลายเป็นลม เมื่อก่อตัวมาก ๆ ขึ้นมันก็เป็นลมพายุ ทิ่มทางโน้นทิ่มทางนี้ พื้นผิวแผ่นดินที่เราอยู่ ผิวตอนไหนใกล้กับกําลังแรงของลมตอนนั้นก็ไหวมาก ถ้าอยู่ไกลก็ไหวน้อย อยู่ไกลมากความสะเทือนไม่ถึงก็ไม่รู้สึกไหว และผมก็เลยสนใจเรื่องความร้อนในใต้ผืนแผ่นดิน ว่าความร้อนใต้ผืนแผ่นดินนี่ถ้านํามาใช้งานเผาผลาญน้ำให้เกิดเป็นไอจะมีประโยชน์ต่อโรงงานมาก ก็รวมความว่าเป็นความคิดอย่างโง่ๆ ของผม…..

    พบหน้า ดร.ปริญญา นุตาลัย เธออยู่ ก็เรียกเข้าไปบอกว่า "ด็อกเต้อร์ ไอ้ที่ผืนแผ่นดินที่มันมีลมขึ้นมา เมื่อกี้ฉันไปเห็นมาแล้วด้วยอาการเคลิ้ม และปรากฏเห็นแผ่นดินมันมีน้ําโคลนเดือนปุดๆๆ ความร้อนมันสูงมาก"และ ดร.ปริญญา ก็บอกว่า "ฝรั่งเขารู้แล้วครับ" เธอคงคิดว่าผมอาจจะคิดว่าฝรั่งยังไม่รู้ ความจริงมันไม่ใช่ ผมอยากจะพูดกับเธอก็หมายความว่าผมจะสอบดูว่าไอ้ความเคลิ้มของผมนะมันตรงตามความเป็นจริงไหม ผมเชื่อมั่นว่าฝรั่งเขารู้จริง เธอก็ตอบว่า "ไอ้เรื่องนี้ฝรั่งเขารู้แล้วครับ" ก็เลยบอก "ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันต้องการว่าฉันรู้ตรงหรือไม่ ตรงยังไง ๆ ฝรั่งรู้ไม่ผิด" เธอก็บอก "รู้ตรงครับ" เธอก็พูดต่อไปตามความรู้เดิมของเธอที่ศึกษามาด้านธรณีวิทยาว่า "ลมที่เกิดขึ้นก็คือไอน้ำนี่เอง" เธอพูดตรงเป๋ง แหมผมก็ดีใจ บอกเออดีจริง ๆ ไอ้ความรู้เคลิ้ม ๆ ของเราก็ไปตรงกับความรู้ของฝรั่ง

    นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ความรู้ทางพระพุทธศาสนาของเรา ถ้าเรามีความมั่นใจจริง ๆ มันก็ชนกับความจริงได้ซึ่งเป็นหลักวิชาที่เราไม่ต้องใช้ทุนมากเลย ไม่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียน....

    ที่มา www.oknation.net/blog/print.php?id=334819
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2014
  12. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    ๒๔ ม.ค. ๕๗ ฐานผาแบ่น

    มีกลุ่มก่อตั้งการช่วยเหลือคนกลุ่มอื่นยังไม่ทราบว่าเป็นใครอยากขอพบ เค ๙๗ ผ่านแนวร่วมฐานผาแบ่น คุณ ๒๙ เพื่อขอแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องภัยพิบัติ ช่องทางที่สะดวกคือ

    เมล์มาที่ k_isara@windowslive.com หรือมาพบที่ร้านค้าย่านดอนเมือง

    จึงแจ้งมาให้รับทราบด้วยความเต็มใจ

    เคอิสรา
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ยอดภูอุณหภูมิติดลบ แม่คะนิ้งมากสุดในรอบปี !!!

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ตามยอดดอยสภาพอากาศหนาวจัด อุณหภูมิติดลบ ทำให้เกิดแม่คะนิ้งมากที่สุดในรอบปี

    โดยที่ยอดภูกระดึง จังหวัดเลย เช้าวันนี้ เกิดแม่คะนิ้งหรือน้ำค้างแข็งบนยอดหญ้าบริเวณที่ทำการวังกวาง เป็นรอบที่ 5 ของปีนี้และมีจำนวนมากที่สุด เต็มลานกางเต็นท์และหน้าร้านอาหารยอดภูกระดึง อุณหภูมิยอดหญ้าติดลบ 1.5 องศา ถือว่าหนาวสุดในหน้าหนาวปีนี้ รายงานอุณหภูมิต่ำสุดตามอำเภอต่าง ๆ เช้าวันนี้ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ลบ 1.5 องศา อุทยานแห่งชาติภูเรือ 3 องศา และ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง 4 องศา

    เช่นเดียวกับ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ อุณหภูมิเช้านี้ที่ยอดดอยหนาวเย็นลงอีก โดยที่จุดชมวิวกิ่วแม่ปาน บริเวณ กม.ที่ 44 อุณหภูมิติดลบ 1 องศา ยอดดอยติดลบ 2 องศา พบว่าเกิดแม่คะนิ้งมากที่สุดทำลายสถิติวานนี้ คาดว่าหากยังหนาวเย็นต่อเนื่อง จะทำให้เกิดน้ำค้างแข็งที่ยอดดอยอินทนนท์ต่อเนื่องไปจนถึงสุดสัปดาห์นี้

    จังหวัดเชียงราย เช้าวันนี้อุณหภูมิต่ำสุด 5 องศา ที่ศูนย์วิจัยพืชสวน ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมืองเชียงราย ถือว่าต่ำที่สุดในช่วงฤดูหนาวปีนี้ และถือว่าหนาวหนักที่สุดในรอบ 10 ปี ขณะที่อุณหภูมิบนยอดดอย 2 องศา ยอดหญ้า ลบ 2 องศา ที่ภูชี้ฟ้า อำเภอเทิง จนทำให้เกิดแม่คะนิ้งในจุดทางเดินขึ้นลงภูชี้ฟ้า

    ที่บ้านแม่ลัว ตำบลป่าแดง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ อุณหภูมิลดต่ำลงเหลือ 4-5 องศา ชาวบ้านต้องก่อไฟผิงให้ความอบอุ่น พระสงฆ์ที่สำนักปฎิบัติธรรมบนยอดดอยต้องออกบิณฑบาตในหมู่บ้านฝ่าลมหนาวเย็นจัดมาจากยอดดอย ทำให้ชาวบ้าน พระสงฆ์ นักเรียน ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจัดเป็นระลอกที่ 3

    วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ.2557 เวลา 09:09 น.

    ที่มา ยอดภูอุณหภูมิติดลบ แม่คะนิ้งมากสุดในรอบปี ข่าวอากาศ-สิ่งแวดล้อม - ครอบครัวข่าว3
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    มีเงินแค่เรียกว่าน้อง แต่มีทองเขาเรียกว่าพี่ !!!

    [​IMG]

    ๒๒ ม.ค. ๕๗

    จาคะ ต้องมา หาวัด
    แต่กลับ เรี่ยราด ตามพื้น
    เป็นเพราะ มูลค่า ไม่ยืน
    ฝืนขืน ถือไว้ มลาย

    ภาพนิมิต เช้านี้ตัวเองเดินเข้าไปในวัดแถวบ้าน เห็นธนบัตรใบละร้อยบาทหลายใบตกอยู่ตามพื้น แต่ไม่มีใครมาเก็บ

    มหาประชาบดี ๙๗

    ที่มา แจ้งข่าวเตือนภัยทางอีเมล์จากคุณ k_97

    ธปท.เผย 4 ปัจจัยหลักกดดันเงินบาทอ่อนค่าลงใกล้ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าสุดในรอบ 3 ปี

    นางรุ่ง มัลลิกะมาส โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงถึงระดับ 32.94 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในวันนี้ เกิดจาก 4 ปัจจัยหลัก ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ประกอบด้วย เศรษฐกิจสหรัฐที่ฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น ทำให้คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (คิวอี) ตลาดเงินและตลาดหุ้นหลายประเทศยังปิดทำการอยู่ ทำให้ธุรกรรมเบาบาง เงินบาทเคลื่อนไหวแกว่งตัวมาก รวมทั้งเป็นช่วงที่กองทุนต่างๆ ปรับสัดส่วนการลงทุนเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้น ทำให้มีแรงขายหุ้นไทยจนลดลงมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งปัญหาการเมืองในประเทศที่ยังกดดันบรรยากาศการลงทุน

    ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทในระยะต่อไป เชื่อว่าค่าเงินบาทมีโอกาสเคลื่อนไหวได้ทั้ง 2 ทิศทาง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องว่าจะดีกว่าหรือแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่วนการที่เงินบาทอ่อนค่าจะมีผลทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นหรือไม่ เชื่อว่าจะไม่เร่งตัวมาก เนื่องจากสัดส่วนการนำเข้าคิดเป็นร้อยละ 20 ของการบริโภคสินค้าในประเทศ ขณะที่ค่าไฟและค่าก๊าซหุงต้มที่จะปรับขึ้นในปีนี้ เชื่อว่าผู้ประกอบการจะปรับขึ้นได้ไม่มากนัก เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคมีน้อย ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ จึงไม่น่ากังวลแต่อย่างใด

    ส่วนหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 79.2 ในไตรมาส 3 เป็นร้อยละ 80.1 ต่อจีดีพี ในไตรมาส 4 เกิดจากสินเชื่อรถยนต์ขยายตัวสูงขึ้นตามโครงการสินเชื่อรถยนต์คันแรก ซึ่ง ธปท.ไม่ได้มีความกังวลเพิ่มขึ้น แม้เศรษฐกิจชะลอตัว เพราะทั้งผู้กู้และผู้ปล่อยกู้มีความระมัดระวังมากขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ลดภาระให้กับผู้บริโภค ซึ่งหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น จากร้อยละ 2.2 ในเดือนตุลาคม เป็นร้อยละ 2.3 ในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่ธนาคารพาณิชย์มีเงินสำรองและระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อรองรับการชะลอตัวของเศรษฐกิจอยู่แล้ว

    วันที่ 02 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 22:24:42 น.

    ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1388671448&grpid=&catid=05&subcatid=0501

    คาดตรุษจีนราคาทองปรับขึ้น 1 พันบาท “จิตติ” แจงรับอานิสงส์บาทอ่อนค่า

    สมาคมค้าทองคำ หารือสมาชิกสมาคมฯ โดยให้ร้านค้าทองปิดร้านหากอยู่ในพื้นที่ กปปส.ชุมนุม พร้อมเชื่อตรุษจีนราคาทองปรับขึ้น เนื่องจากเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาเคลื่อนไหวถึง 33.10 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าถึง 10% มากที่สุดในรอบ 3 ปี ทำให้ราคาทองคำในประเทศแพงขึ้นประมาณ 1,000 บาท จาก 18,500 บาท เป็น 19,500 บาท

    นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ และประธานห้างทองจินฮั้วเฮง กล่าวว่า ได้หารือกับสมาชิกสมาคมฯ ถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. วันที่ 13 มกราคม 2557 นี้ ซึ่งจะมีการปิด 20 เส้นทางในกรุงเทพมหานคร โดยให้ร้านค้าทองคำแต่ละพื้นที่พิจารณาตามสถานการณ์ หากเห็นว่าไม่สามารถทำการซื้อขายเพราะมีการชุมนุมปิดถนน และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นให้ปิดร้านค้าทองได้

    “ได้มีการพูดคุยกับสมาชิก โดยให้แต่ละร้านค้าทองคำตัดสินใจเอง หากไม่ได้รับผลกระทบให้เปิดทำการซื้อขายทองคำตามปกติ แต่ต้องยอมรับว่า พนักงานอาจจะเดินทางเข้ามาไม่สะดวก รวมทั้งลูกค้า เพราะอาจมีบางเส้นทางที่มีการชุมนุม ซึ่งเท่ากับร้านทองก็ต้องปิดเช่นกัน โดยขอติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป” นายจิตติ กล่าว

    นายจิตติ ยังกล่าวถึงแนวโน้มราคาทองคำในช่วงตรุษจีนปี 2557 โดยระบุว่า ราคาทองมีแนวโน้มที่จะปรับสูงขึ้น เนื่องจากเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาเคลื่อนไหวถึง 33.10 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าถึงร้อยละ 10 มากที่สุดในรอบ 3 ปี ทำให้ราคาทองคำในประเทศแพงขึ้นประมาณ 1,000 บาท จาก 18,500 บาท เป็น 19,500 บาท โดยประเมินว่า ราคาทองในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ อาจสูงถึง 1,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เนื่องจากเป็นช่วงที่สหรัฐฯ จะมีการเจรจาขยายเพดานหนี้ คงจะมีการต่อรองระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ซึ่งจะเป็นแรงกดดันทางจิตวิทยา ทำให้ราคาทองปรับขึ้น

    สำหรับช่วงตรุษจีนปีนี้ ทางร้านทองจินฮั้วเฮง จะผลิตทองคำแท่งเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 และผลิตทองคำลวดลายพิเศษ คือ ม้า 8 ตัว ซึ่งหมายถึงความก้าวหน้า ออกมาจำหน่าย โดยมีขนาดทองคำแท่ง 2 บาท 5 บาท และ 10 บาท ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากลูกค้าเช่นเดียวกับทองคำแท่งรูปม้าที่ผลิตออกมาจำหน่ายในช่วงปีใหม่ เนื่องจากผู้ใหญ่ และบริษัทห้างร้านนิยมมอบทองคำเป็นอั่งเปาในช่วงเทศกาลตรุษจีน

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 มกราคม 2557 15:13 น.

    ที่มา http://www.manager.co.th/iBizchannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000002154
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2014
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ หนุนกลุ่มผู้ชุมนุมในยูเครน

    [​IMG]

    เคียฟ 24 ม.ค.-อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ดาราฮอลลีวูดและอดีตผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ ส่งวิดีโอแสดงการสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในยูเครน โดยอวยพรให้พวกเขาโชคดีและมีสันติภาพ

    ดาราชายรุ่นใหญ่กล่าวว่า เขาอยากให้ประชาชนชาวยูเครนได้รับรู้ว่าเขาขออวยพรให้ทุกคนประสบแต่สิ่งที่ดีเพื่อนำไปสู่ประชาธิปไตยและเสรีภาพอย่างสันติ นักแสดงฮอลลีวูดส่งวิดีโอมาทางนายวิตาลี คลิทช์โก คนดังกล้ามโตที่ผันตัวเป็นผู้นำพรรคการเมืองฝ่ายค้านของยูเครน วิดีโอของชวาร์เซเนกเกอร์ได้โพสต์ลงทางเว็บยูทูบและหน้าเฟซบุ๊กของวิตาลี คลิทช์โก และวลาดีมีร์ คลิทช์โก น้องชายของเขา ซึ่งเป็นนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวท

    สำนักข่าวไทย TNA News | 24 ม.ค. 2557 18:32 |

    ตำรวจยูเครนยอมรับเหยื่อเสียชีวิตจากกระสุนปืนแต่ปัดรับผิดชอบ

    [​IMG]

    เคียฟ 24 ม.ค.-ตำรวจยูเครนยืนยันว่า ชายหนุ่ม 2 คนที่เสียชีวิตในเหตุปะทะล่าสุดกับกองกำลังความมั่นคง ถูกยิงด้วยปืน แต่บอกปัดความรับผิดชอบการเสียชีวิตดังกล่าว

    กระทรวงมหาดไทยยูเครนออกแถลงการณ์ระบุว่า ชายทั้งสองคนเสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยปืน ตำรวจระบุว่า ชายทั้งสองคือ นายเซอร์เก นิโกยัน อายุ 20 ปี มาจากเขตอุตสาหกรรมดนีโปรเปตรอฟสก์ และนายมิคาอิล จีเนฟสกี วัย 25 ปี ชาวเบลารุส แถลงการณ์ยังระบุว่า ตำรวจยูเครนไม่ได้ใช้อาวุธปืนต่อชายทั้งสองแต่อย่างใด ทั้งที่เสียชีวิตในระหว่างการปะทะกันบนท้องถนนในกรุงเคียฟ และว่า เจ้าหน้าที่สอบสวนกำลังพิสูจน์ประเด็นการใช้อาวุธ นอกจากนี้ ยังระบุว่า มีบางคนต้องการยั่วยุให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย และทำให้การใช้อาวุธของผู้ประท้วงเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย

    อย่างไรก็ตาม นักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านที่ปะทะกับกองกำลังรักษาความมั่นคงอ้างว่า มีผู้เสียชีวิต 5 คนในเหตุปะทะกันเมื่อเร็ว ๆนี้ และมีผู้เสียชีวิตจากการถูกยิง 4 คน

    สำนักข่าวไทย TNA News | 24 ม.ค. 2557 15:52 |

    สหรัฐและแคนาดายังเผชิญหิมะ-สภาพอากาศหนาวจัด

    [​IMG]

    นิวยอร์ก 23 ม.ค.-ประชาชนชาวอเมริกันหลายล้านคนเดินทางไปทำงานฝ่าสภาพอากาศที่หนาวสุดขั้วในแถบอีสต์โคสต์เมื่อวันพุธตามเวลาท้องถิ่น ภายหลังพายุกระหน่ำรุนแรงทิ้งหิมะกองโตตั้งแต่แถบมิดแอตแลนติกไปจนถึงนิวอิงแลนด์

    ผู้คนเดินทางไปทำงานฝ่าสภาพอากาศเย็นจัดอุณหภูมิดิ่งลงถึงติดลบ ขณะที่ต้องเลื่อนเที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวและสภาพถนนยังเป็นน้ำแข็ง แม้เมื่อวันพุธหิมะที่ปกคลุมพื้นที่น้อยลงแล้ว แต่กระแสลมแรงและอากาศเย็นยืดเยื้อ โรงเรียนและสำนักงานหลายแห่งปิดทำการ สถานีอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติรายงานว่าที่นิวยอร์กอุณหภูมิอยู่ประมาณลบ 10 องศาเซลเซียส แต่ให้ความรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก ผู้อยู่อาศัยร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดถนนล่าช้าในการเก็บกวาดหิมะ

    ทำให้เกิดอุบัติเหตุหลายรายและการจราจรติดขัด ทางการรัฐเดลาแวร์ นิวเจอร์ซีย์ และนิวยอร์ก ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน พายุหิมะในแคนาดาทำให้ต้องปิดโรงเรียนและหน่วยงานรัฐบาล กระทบการเดินทางโดยเครื่องบินทั่วภูมิภาค เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดถนนท่ามกลางสภาวะที่แทบมองไม่เห็น.

    สำนักข่าวไทย TNA News | 23 ม.ค. 2557 10:15 |

    โรคท้องร่วงในสุกรระบาดในแคนาดา

    [​IMG]

    วินนิเพก 24 ม.ค.-เจ้าหน้าที่ทางการและเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมแคนาดารายงานว่า แคนาดาพบสุกรติดเชื้อไวรัสท้องร่วงติดต่อในสุกร หรือไวรัสพีอีดี เป็นครั้งแรก หลังจากไวรัสดังกล่าวคร่าชีวิตสุกรกว่า 1 ล้านตัวในสหรัฐ

    ดร.เกร็ก ดักลาส หัวหน้าเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์รัฐออนแทรีโอ กล่าวระหว่างการแถลงข่าวว่า ทางการรัฐออนแทรีโอของแคนาดากำลังตรวจสอบฟาร์มสุกรในเขตมิดเดิลเซ็กซ์ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐออนแทรีโอ ใกล้กับเมืองลอนดอน หลังจากผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการพบเชื้อไวรัสพีอีดี และมีรายงานว่าพบสุกรตายเป็นจำนวนมากในฟาร์มแห่งดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการกักโรคที่ฟาร์มดังกล่าว แต่เกษตรกรยอมตกลงว่าจะไม่เคลื่อนย้ายสุกรออกจากฟาร์มในช่วงเร็วๆ นี้

    ขณะเดียวกันบริษัทโอลิมเมล แอลพี หนึ่งในผู้แปรรูปเนื้อสุกรที่ใหญ่ที่สุดของแคนาดา รายงานว่า ผลการทดสอบยืนยันว่าพบเชื้อไวรัสพีอีดีที่บริเวณขนถ่ายสินค้าของโรงฆ่าสัตว์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองมอนทรีออล รัฐควิเบก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา แต่กรณีดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตของบริษัท

    เชื้อไวรัสพีอีดีซึ่งทำให้เกิดอาการท้องร่วง อาเจียน และอาการขาดน้ำอย่างรุนแรงในสุกร แพร่ระบาดใน 23 รัฐของสหรัฐ จาก 50 รัฐ นับตั้งแต่มีการค้นพบไวรัสในสหรัฐเป็นครั้งแรกในเดือนเมษายนปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการสุขภาพสุกรของแคนาดาระบุว่า ไวรัสชนิดนี้ซึ่งได้แพร่ระบาดไปยังยุโรปและเอเชียแล้ว ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และไม่ได้ทำให้เกิดความเสี่ยงจากการบริโภคอาหารที่ทำจากเนื้อสุกร

    แคนาดาเป็นผู้ส่งออกเนื้อสุกรรายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ทั้ง นี้ยังไม่มีการประกาศจำนวนสุกรที่ตายจากเชื้อไวรัสพีอีดีอย่างเป็นทางการ แต่นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรในสหรัฐคาดว่ามีสุกรตายจากเชื้อไวรัสดังกล่าวราว 1-4 ล้านตัว

    เครือข่ายห้องปฏิบัติการด้านสุขภาพสัตว์แห่งชาติของกระทรวงการเกษตรสหรัฐระบุว่า เชื้อไวรัสพีอีดียังคงแพร่ระบาดในสหรัฐ โดยมีสุกร 2,394 ตัว ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสดังกล่าวใน 23 รัฐ นับจนถึงสัปดาห์ที่สิ้นสุดในวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา

    สำนักข่าวไทย TNA News | 24 ม.ค. 2557 13:33 |

    ที่มา Digital Media and Online Services of News and Entertainment by MCOT Plc. | MCOT.net
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2014
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เวลาเปลี่ยน..แต่เหตุการณ์ไม่เปลี่ยน !!!

    [​IMG]

    เด็ก น้อย สมาชิก

    วันนี้ตอนเช้าผมได้พาครอบครัวไปทำบุญที่วัดทุ่งรี ก่อนกลับได้ไปกราบพระอาจารย์บุญรอด หลวงพ่อท่านได้เตือนว่าต่อไปคนจะตายกันมาก ๆ เพราะภัยธรรมชาติท่านบอกว่าปีนี้เป็นปีแรก (ไทยรบไทย) ปีหน้า (2011) จะหนักกว่านี้มากโดยเฉพาะในกรุงเทพ แล้วต่อไปข้าว อาหารการกิน จะขาดแคลนมาก ( ข้ามีข้าว ข้ามีเงิน แลกกันไหมประมาณนี้ครับหลวงพ่อท่านพูดปรารถไว้ )

    และจังหวัดเขตที่ติดชายทะเล จะโดนพายุที่รุนแรงขนาดศูนย์กลาง 1 ก.ม. ( ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ หลวงพ่อท่านเรียกพายุลูกนี้ว่าเหมือนหินโม่แป้ง ) หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่รับรองว่าสถานที่ใดจะปลอดภัย แม้แต่วัดท่าน แล้วยายกับแม่ของพูดถึงในหลวงเรื่องความสามัคคีจะทำให้ประเทศชาติอยู่รอด หลวงพ่อท่านก็รับว่าจริง

    แล้วท่านก็บอกว่าท่านเป็นห่วงในหลวง แต่พูดไม่ได้........ ผมว่าปี 53 / 54 / 55 นี้ครับต้องระวัง ผมกราบขอขมากรรมต่อคุณพระรัตนไตรและองค์หลวงพ่อ หากกระผมนำมาเผยแพร่บอกกล่าวอาจมีบางคำที่ผมจำไม่ได้แน่ชัดบอกขาดหรือเกิน กระผมกราบขอขมากรรมนั้นและอดโทษให้แก่ข้าพเจ้าและครอบครัวตั้งแต่บัดนี้ไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด............สาธุ

    19-09-2010, 02:22 AM

    ที่มา http://palungjit.org/threads/รวมพล-กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ-สายภาคตะวันออก.200586/page-7
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ขออนุญาตแชร์ข้อมูลจากคุณนัฐ USP

    [​IMG]

    เด็กผู้ชาย สมาชิก

    ขออนุญาตแชร์ข้อมูลจากคุณนัฐ USP สมาชิกอีกท่านหนึ่งในกลุ่มไลน์ แจ้งข่าวด่วนมาให้ทราบกันครับ... ขอบคุณมากๆเลยครับ.!!!

    หลวงตาที่ทางคุณนัฐให้ความเคารพ..ท่านแจ้งมาว่า..เดือนกุมภานี้จะเป็นเดือนที่ทางวัดจะต้องสะสมเสบียงเอาไว้คอยช่วยเหลือชาวบ้าน หลังจากที่เกิดภัยจากความขัดแย้งของผู้คนแล้ว..จะตามมาด้วยภัยธรรมชาติครบทั้งดินน้ำลมไฟ จะกินเวลาราวหกเดือน..ท่านเตือนให้ลูกศิษย์ลูกหาท่านได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวกัน..!!!

    ในขณะที่คุณนัฐ USP ได้เล่าให้ฟังต่อว่า..หลวงตาอีกท่านหนึ่ง..ท่านได้กล่าวเตือนเหล่าลูกศิษย์เอาไว้ว่า.," ถ้าเมืองไทยมีหิมะตกเมื่อไร.. ให้หนีขึ้นที่สฺงกันนะ " สำหรับท่านที่สนใจเตรียมตัวรับมือเรื่องภัยพิบัติใหญ่นั้น..ก็ลองเก็บไว้เป็นข้อมูลในการพิจารณาเตรียมการกันนะครับ..อย่างน้อยๆ... ท่านก็เมตตาบอกจุด Check point หรือจุดเฝ้าสังเกตมาให้เราได้เฝ้าดูระวังกันครับ..!!!

    อีกข้อมูลนึง.. สำหรับเรื่องภัยพิบัติความหนาวเย็น จากคุณหมอนก.. สมาชิกอีกท่านหนึงในกลุ่มไลน์ แจ้งมาว่า...." เตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติความหนาวเย็น..เมืองไทยเราจะมีอุณหภูมิ.. ติดลบยี่สิบสององศาฯ " จะเกิดที่ไหน.? และเมื่อไร.? ไม่ทราบครับ.. ไม่ทราบจริงๆ..คุณหมอนก.. ท่านแจ้งมาเช่นนั้น

    สำหรับผมเองนั้น..ที่ผ่านมาในการออกแบบตัวบ้าน รวมทั้งการเลือกซื้อเครื่องใช้และเครื่องมือต่างๆ..ผมกำหนดขอบเขตอุณหภูมิใช้งานเต็มที่ก็ราวๆลบนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ..เพราะจากข้อมูลจากคนในพื้นที่แจ้งมาว่า.. พื้นที่ปากช่องโซนที่ผมปลูกบ้านนั้น เคยมีอุณหภูมิต่ำสุดถึง 9 องศาฯ ผมก็เลยกำหนด Spec. ขอบเขตอุณหภูมิที่คาดว่าบ้านปากช่องผมจะต้องเผชิญลดลงไปอีกราว 10 องศา ซึ่งผมคาดว่าโซนนี้ด้วยลักษณะทางกายภาพและภูมิประเทศแล้ว..

    วันนึงต้องมีอุณหภูมิ... -1 หรือ -2 องศาแน่นๆ ใช่ครับ.. บ้านปากช่องสร้างเตาผิงเอาไว้เตรียมใช้งานด้วย การสะลมไม้ฟืนเพื่อใช้กับเตาผิง.. ผมเองก็เตรียมเอาไว้ด้วยแล้วบ้าง Heater... ตอนที่มีโอกาสไปเมืองนอกผมก็ซื้อ.. ยอมแบกเอากลับมาด้วย จนฝรั่งที่รู้จักกัน.. ถามผมว่า เมืองไทยยูจะซื้อ Heater เอาไปใช้ที่ไหน..?

    พอแบกกลับเข้ามา..Custom ศุลกากร.. เห็นกล่องก็ถามผมว่ากล่องอะไร.? ผมก็บอกไปว่า.." Heater ครับ " สีหน้าของ Custom มองผมประมาณว่า.. ไอ้นี่ไปเมืองนอกทั้งที่..ดันซื้อ Heater กลับเมืองไทย.. มันต้องบ้าแน่ๆ.? บ้าก็บ้าครับ.. ตอนนี้ผมบ้าจนมี Heater ใช้งานอยู่ 2 ตัวแล้วครับ.!!!

    แต่กับโจทย์ใหม่.. -22'C เป็นข้อมูลใหม่ที่เพิ่งจะทราบจริงๆครับ ไม่ได้ต้องการให้ท่านที่ติดตามข่าวสารได้ตื่นตระหนกกันนะครับ เพียงแต่.. ถ้าเราได้พอทราบถึงขอบเขตของปัญหา เราจะได้หาทางรับมือกับปัญหานั้นได้ดีและมีประสิทธิภาพครับ.!!!

    จึงอยากจะแจ้งมาให้ท่านที่ติดตามข่าวสารจากกระทู้พระคุณลุงนี้ ได้ลองคิดพิจารณาหาความรู้และวิธีการดำเนินชีวิต ของคนเขตโซนร้อนชื้นอย่างบ้านเรา ถ้าหากเกิดเหตุการณ์จริงๆขึ้นมา.: ท่านจะหาทางรับมือกับภัยพิบัติความหนาวเย็นเช่นนี้ได้อย่างไรครับ.???

    ขอบคุณ.. คุณหมอนก สำหรับข้อมูลและการแจ้งเตือนให้ได้ระวังภัยกันครับผม...

    ที่มา http://palungjit.org/threads/บันทึกของพระคุณลุงคนเชียงใหม่ถึงหลานๆ-เรื่องภัยพิบัติ.311084/page-111
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2014
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    นักชีววิทยาเร่งสอบเหตุวาฬตาย 25 ตัวนอกชายฝั่งฟลอริดา

    [​IMG]

    ไมอามี 25 ม.ค.- คณะนักชีววิทยาตรวจสอบซากวาฬนำร่อง 25 ตัวที่พบนอกชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐฟลอริดา โดยเก็บตัวอย่างซากวาฬไปศึกษาสาเหตุวาฬตายมากขึ้นช่วงที่ผ่านมา

    โฆษกสำนักบริหารด้านมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐแถลงว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพิสูจน์ซากวาฬ 6 ตัวในฝูงวาฬ ซึ่งประกอบด้วยวาฬเพศเมีย 16 ตัวและเพศผู้ 9 ตัว หลังมีผู้พบในเขตน้ำตื้นนอกชายฝั่งฟลอริดา ฝูงวาฬทั้ง 25 ตัวอยู่ในสภาพผอมและไม่มีข้อบ่งชี้ว่ามีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องในเหตุดังกล่าว นักชีววิทยากล่าวว่า วาฬนำร่องเป็นสัตว์สังคมและอยู่ในน้ำลึก ชอบอาศัยรวมกันเป็นฝูง 20-90 ตัว โดยมักไม่ทอดทิ้งสมาชิกที่ป่วยหรือตายเอาไว้.

    สำนักข่าวไทย TNA News | 25 ม.ค. 2557 11:48 |

    ผู้ชุมนุมในยูเครนประกาศสู้ต่อแม้ตำรวจทำร้ายและจับถอดเสื้อผ้า

    [​IMG]

    เคียฟ 25 ม.ค. – ผู้ประท้วงชายชาวยูเครนที่ถูกตำรวจทำร้ายร่างกายและจับถอดเสื้อผ้าทั้งหมดเพื่อให้อับอายท่ามกลางหิมะตกในกรุงเคียฟ ประกาศว่าเขาจะต่อต้านรัฐบาลต่อไปแม้จะยากลำบากแค่ไหนก็ตาม

    นายมีไคโล กาฟรีลยุค วัย 34 ปีกล่าวแถลงข่าวว่า ชัยชนะอยู่ไม่ไกล หลังจากที่มีภาพเขาลงเว็บยูทูบที่ถูกตำรวจบังคับถอดเสื้อผ้าออกหมดท่ามกลางสภาพอากาศหนาวติดลบ และตำรวจยังบังคับถ่ายรูปเขาทั้งที่เปลือยกายเอาไว้ ซึ่งเป็นภาพที่น่ากลัวจนทำให้นึกถึงเหตุทารุณในเรือนจำอาบูกราอิบในอิรัก นายกาฟรีลยุคปรากฏตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก หลังถูกตำรวจจับตัวไป เขาเล่าว่าถูกกระบองตี ถูกเตะที่ลำตัวและศีรษะ พร้อมกับถูกจับถอดเสื้อผ้าออกหมดและโยนลงพื้น อย่างไรก็ตามเขาไม่หวังจะดำเนินคดีตามกระบวนการทางกฎหมายเนื่องจากคาดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่แล้ว และจะประท้วงต่อต้านรัฐบาลยูเครนต่อไป

    ด้านนายจอห์น แคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐกล่าวในการประชุมเศรษฐกิจโลกเวิลด์ เอคคอนอมิค ฟอรัมที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ว่า สหรัฐจะอยู่ข้างประชาชนยูเครน พร้อมประสานกับประเทศหุ้นส่วนในยุโรปเพื่อช่วยกดดันรัฐบาลยูเครนให้ระงับใช้ความรุนแรง เจรจากัน และสนับสนุนเสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงความคิดเห็น

    ก่อนหน้านี้กระทรวงต่างประเทศสหรัฐออกประกาศเตือนเรื่องการเดินทาง ขอให้ชาวอเมริกันหลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุมและอย่าเข้าร่วมในกลุ่มผู้ประท้วงที่ยูเครนขณะสถานการณ์ยังไม่สงบ ขณะเดียวกันเยอรมนี ฝรั่งเศสและหลายประเทศในยุโรปแถลงว่า ได้เรียกพบเอกอัครราชทูตยูเครนที่ประจำแต่ละประเทศเพื่อประท้วงการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง ซึ่งมีรายงานผู้เสียชีวิต 5 คน

    สำนักข่าวไทย TNA News | 25 ม.ค. 2557 09:09 |

    ยอดผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วม-ดินถล่มในฟิลิปปินส์เพิ่มเป็น 56 คน

    [​IMG]

    มะนิลา 24 ม.ค.-คณะกรรมการบริหารและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งชาติฟิลิปปินส์กล่าวในวันนี้ว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินถล่มและน้ำท่วมทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นเป็น 56 คน นอกจากนี้ยังมีรายงานผู้บาดเจ็บ 83 คน และสูญหายอีก 10 คน

    รายงานระบุว่า อิทธิพลของดีเปรสชั่นเขตร้อนหลิงหลิงส่งผลให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่ม สร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรและโครงสร้างพี้นฐานคิดเป็นมูลค่าถึง 8.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ยังมีประชาชนได้รับความเดือดร้อน 1.13 ล้านคน ขณะที่ 181,233 คน ไร้ที่อยู่อาศัยและต้องไปอาศัยตามศูนย์พักพิงผู้ประสบภัย อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ามีการจัดส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้วเป็นมูลค่า 1.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ.

    สำนักข่าวไทย TNA News | 24 ม.ค. 2557 14:34 |

    ชาวประมงในเมืองล่าวาฬของญี่ปุ่นฆ่า “โลมาแถบ” อีก 30 ตัว

    [​IMG]

    โตเกียว 23 ม.ค.-นักเคลื่อนไหวรายงานว่า ชาวประมงในเมืองไทจิของญี่ปุ่นฆ่าโลมาแถบจำนวนกว่า 20 ตัวในวันนี้ ขณะมีกระแสไม่พอใจจากทั่วโลกกรณีมีการฆ่าโลมาเพิ่มขึ้น

    นักเคลื่อนไหวกลุ่มนักสิ่งแวดล้อมซีเชพเพิร์ดรายงานว่า ชาวประมงในหมู่บ้านดังกล่าวกำลังต้อนฝูงโลมาแถบเข้าไปในบริเวณที่มีฉากบัง เนื่องจากต้องการปกปิดสิ่งที่พวกเขากำลังทำ โลมาแถบที่ถูกฆ่าในเช้าวันนี้มีจำนวนราว 30 ตัว

    นักเคลื่อนไหวระบุว่า เรือประมงกำลังลาดตระเวนในทะเลนอกชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของญี่ปุ่นเพื่อค้นหาฝูงโลมา เมื่อชาวประมงรู้ตำแหน่งของฝูงโลมาก็จะต้อนพวกมันไปยังเวิ้งอ่าวไทจิด้วยการตีแท่งเหล็กในน้ำที่ติดอยู่กับเรือประมง ซึ่งจะทำให้เกิดกำแพงคลื่นเสียง โดยชาวประมงจะสามารถต้อนโลมาเหล่านี้เข้าไปยังอ่าวขนาดเล็กได้ด้วยการจัดขบวนเรือเป็นเส้นโค้ง นอกจากนี้ยังมีการวางตาข่ายทั่วปากอ่าวเพื่อป้องกันไม่ให้โลมาหนีไปได้

    นักเคลื่อนไหวยังระบุว่า ชาวประมงอาจขังฝูงโลมาไว้ที่นั่นเป็นเวลาหลายวัน ขณะที่โลมาที่มีลักษณะดีจะถูกคัดเลือกเพื่อนำไปขายให้กับสวนสัตว์น้ำและสวนน้ำโลมา ส่วนโลมาที่เหลืออีกจำนวนมากจะถูกฆ่าเพื่อเอาเนื้อซึ่งเป็นส่วนผสมของอาหารในชุมชนแถบชายฝั่งของญี่ปุ่น ทั้งนี้ การบริโภคเนื้อโลมาไม่เป็นที่แพร่หลายนัก และรัฐบาลญี่ปุ่นแนะให้ประชาชนจำกัดการรับประทานเนื้อโลมา เนื่องจากในเนื้อโลมามีสารปรอทในระดับสูง

    หนึ่งในนักเคลื่อนไหวกล่าวว่า มีโลมากว่า 1,200 ตัว ถูกต้อนเข้าไปยังเวิ้งอ่าวเมืองไทจินับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเริ่มฤดูกาลล่าวาฬและโลมา โดยในจำนวนดังกล่าวมีโลมาถูกฆ่าเอาเนื้อกว่า 600 ตัว ไม่รวมวันนี้ และอีก 149 ตัว ถูกนำไปขังเอาไว้ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สมาคมชาวประมงท้องถิ่นระบุว่า ฤดูกาลล่าวาฬและโลมาในเมืองไทจิจะมีไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์.

    สำนักข่าวไทย TNA News | 23 ม.ค. 2557 15:39 |

    ที่มา Digital Media and Online Services of News and Entertainment by MCOT Plc. | MCOT.net
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    วิธีการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ !!!

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=tD4v0ZnaFOA]วิธีการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ [1/2] - YouTube[/ame]
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=wYysvmq3NA8]วิธีการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ [2/2] - YouTube[/ame]
    เผยแพร่เมื่อ 20 ก.ค. 2012
    การเอาตัวรอด จากแผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุ ฯลฯ​
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เทคนิคการเอาตัวรอด จากการเดินป่า !!!

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=bQzc1jnvytY]เทคนิคการเอาตัวรอด จากการเดินป่า 1/10 - YouTube[/ame]
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=anHRR-aiMxo]เทคนิคการเอาตัวรอด จากการเดินป่า 2/10 - YouTube[/ame]
    เผยแพร่เมื่อ 14 ก.พ. 2013​

    พบกับ 2 ผู้เชี่ยวชาญขั้นเทพ คนหนึ่งเป็นทหารเก่า อีกคนเป็นนักธรรมชาตินิยม ทั้ง 2 คนมีวิธีการที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วในกา­­รรับมือกับความท้าทายในการเอาชีวิตรอด งานนี้ทั้งคู่จะพากันรอด หรือพากันร่วงเพราะสะดุดอีโก้กัน คำตอบมีอยู่ในสารคดีชุด "DUAL SURVIVAL"

    "โคดี้ ลุนดิน" เป็นนักเอาชีวิตรอดที่มีประวัติโชกโชน 20 ปี และเป็นนักเขียนที่มีผลงานขายดีติดอันดับเ­­บสต์เซลเลอร์ ผู้ฝึกปรือฝีมือด้วยการอาศัยอยู่ในทะเลทรา­­ย โดยมีเครื่องไม้เครื่องมือ และตัวช่วยเพียงน้อยนิด วันนี้เขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยแผงโซลาร์ที่อ­­อกแบบเองในบ้านที่อยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่าทางตอนเหนือของรัฐอริโซนา โคดี้เดินเท้าเปล่ามานานกว่า 20 ปี เขาบอกว่าเป็นการฝึกวิธีเอาตัวรอดแบบภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างหนึ่ง

    "เดฟ แคนเทอร์เบอรี่" เป็นทหารของกองทัพบกมาตั้งแต่อายุ 17 ปี ตำแหน่งสุดท้ายเขาคือครูฝึกประจำหน่วย Special Reaction Team (SRT) และพลแม่นปืน ในช่วงที่ประจำอยู่ในกองทัพ เดฟรับหน้าที่ฝึกเทคนิคการต่อสู้แบบไม่ใช้­­อาวุธและการรบในที่แคบให้กับทหารที่ประจำ­ก­ารในสหรัฐอเมริกากลางและเกาหลี

    ในสารคดีชุด DUAL SURVIVAL 2 หนุ่มจากสองภูมิหลังประสบการณ์ถูกจับให้ต้­­องไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในสถานการณ์ที่อา­จ­จะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ เป็นต้นว่า กลาสีเรือแตก ไปเดินป่าแล้วหลงป่า ไปดำน้ำแล้วติดเกาะ หรือปีนเขาแล้วค้างอยู่กลางเขา ด้วยเครื่องมือ อุปกรณ์ที่มีให้เพียงไม่กี่อย่าง

    โคดี้กับเดฟจะต้องรีดเอาความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ทุกอย่างที่มีอยู่ออกมาเพื่อหาวิธีที่คนทั่วไปคิดไม่ออก เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่พอจะหาได้­­รอบๆ ตัวมาต่ออายุให้ยืนยาวออกไปในสถานการณ์คับ­­ขัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...