การถอดจิตมี3วิธี

ไม่รู้จะกำจัดความกลัวอย่างไร คือกลัวตายครับเวลาเหมือนจิตจะหลุดออกไปก็ไม่ยอมให้มันออก ยิ่งฝึกด้วยตัวเองไม่มีผู้รู้คอยชี้แนะนี่ไม่ค่อยกล้า ผมว่าถ้าผมไม่กลัวผีหรือกลัวตายผมน่าจะฝึกได้ดีกว่าทุกวันนี้ที่นานๆจะฝึกที โดยเวลาทำสมาธิก็จะทำตอนกลางวัน รู้ไหมครับแค่อ่านเรื่องลึกลับเหล่านี้ในตอนดึกๆอย่างนี้ ผมก็ไม่ค่อยกล้าอ่านแล้วหละครับและช่วงนี้ก็ใกล้จะเอนท์แล้วหละครับ เลยไม่ค่อยมีเวลามาก ใครที่เป็นเหมือนผมหรือทราบวิธีกำจัดความกลัวก็บอกผมทีนะครับ ความจริงผมอยากให้มีคนมาคอยควบคุมให้ผมอุ่นใจว่าจะไม่เป็นอะไรในช่วงทำสมาธิก็จะดีมากครับ

 

อืมอย่าได้เถียงกันเลยไม่มีระบบใดๆในจักรวาลที่แน่นอนตลอดกาลฉันใดความรู้ย่อมเป็นเช่นนั้นเพราะเหตุใดๆในจักรวาลย่อมมีมากกว่า1เหตุ

ผมเคยฝึกการถอดกายทิพย์แบบเพ่งที่ระหว่างคิ้วครับเป็นวิชาที่หลวงปู่โตท่านถ่ายทอดให้ลูกศิษย์สืบๆมา ไม่ถึงกับขนาดถอดได้เพราะตอนนั้นถึงสภาวะกำลังจะพุ่งออก หัวใจเต้นแรงเหมือนกับชอคสติมันเลยกลัวขึ้นมาแล้วก้อไม่กล้าฝึกจนปัจจุบันเพราะหัวใจมันเต้นแรงมากๆกลัวจะชอคตายไปซะก่อน*-*
วิธีนี้ถ้าผู้ฝึกบ่อยๆตอนนอนบางทีอาจจะออกไปได้โดยไม่รู้ตัวก้อมี
หาอ่านได้จากหนังสือของท่าน อรุณรุ่ง เรื่องสมาธิและประสบการณ์วิ_าณอะไรประมาณนี้

ส่วนวิธีให้จิตออกมาเป็นฝาแฝดเรานี่ผมเคยทราบมาว่าในทิเบตเขาปฏิบัติกัน
คือเพ่งเอารูปกายมนุษย์เป็นอารมแบบกสิณอย่างนึง สามารถสร้างเจตภูติได้บังคับให้ไปทำอะไรก้อได้
ส่วนวิธีฝึกแบบไทยยังไม่เคยลองซักที

ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ก้อตามสะดวก
แต่ถ้าผู้ที่สำเร็จอรูป_าณแล้วเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเด็กๆมากครับ ถอดได้เองอ่ะตอนนั้นไม่ต้องฝึกอะไรทั้งสิ้น

แต่ข้อระวังในการฝึกแบบนี้ระวังจะเกิดภาพที่หลอกเรานะครับเวลาอารมเราเข้าอุปจาระน่ะเพราะงั้นจะฝึกก้อได้แต่ผมแนะนำให้ปฏิบัติกรรมฐานทั่วๆไปจนอรูป_าณก่อนก้อจะสามารถเองไม่ต้องรีบร้อน

 

ดี คับ จะลองฝึกดู

 

หนังสือ สมาธิ ถอดจิตแนวสมเด็จโตนี่ เป็นหนังสือธรรมะเล่มแรกเลยที่ผมซื้อ
ผู้เขียนเขียนได้ดีมาก ท่านสอนได้ครอบคลุม เน้นเรื่องคุณธรรม สอดแทรกไว้เสมอ
ถ้าใครได้ติดตามผลงานของท่านก็คงจะทราบดี เยี่ยมมากฮะน้องกระเจียว (good)

 

ผมเคยฝึกนั่งถอดจิต ช่วง6-7ปีก่อน จนเสียวตึงมากที่กลางหน้าผาก จนรู้สึกเหมือนกายทิพย์จะพยายามออกมา แต่ก็รู้สึกกลัวด้วยเลยหยุดไว้แค่นั้น ประกอบกับเรียนจบทำงานและยุ่งมาก(ข้ออ้างคนขี้เกียจ)(b-lablin) พักหลังแทบไม่ได้นั่งสมาธิอีกเลย แต่ก็แปลกอยู่อย่างที่กลางหน้าผากยังรู้สึกเสียวตึงอยู่เสมอ

 

ดูก่อนทุกคน การปฎิบัติธรรมนั้นควรรู้ และพิจจารนาด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องบอกให้ผู้อืนรู้
เรารู้ก็แก่ตัวเรา โดยคนหาหนทางกันเอาเอง ดูก่อนทุกคนพระพุทธเจ้าของเราเป็นผู้มีความเพียร
จึงได้ตรัสรู้ธรรม พระองค์ย่อมอุปมาเหมือนผู้ที่ทำทางไปยังเมืองในป่าที่รกผู้คนที่หลงทางก็ไปได้ถูกต้องพระองค์คือผู้นำทาง ถ้าเรามีความเพียรจะทำอะไรก็สำเร็จตามใจหมาย

 

อย่าทะเลาะกันเยย ค่ะ ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนะค่ะ รักกันไว้เถิด^^

 

ตัณหาคือความอยาก

ตัณหา คือความอยาก

อยากให้เค้าเห็นตรงกับเรา
ไม่อยากให้เค้ามีความเห็นอย่างนั้น
ไม่อยากให้เค้าเป็นอย่างที่เราไม่พอใจ
เป็นทุกข์ทั้งนั้น(b-uh)

 

เป็นเรื่องจริง

(ping-love เจ้าของกระทู้มีเมตามากครับ ที่ให้ความรู้นี้มา ไม่งั้นผมไม่หายสงสัยแน่ ประสบการณ์ที่คุณ copy มาเป็นประสบการณ์ที่เป็นจริงครับ เพราะผมเคยได้ครั้งนึงตอนบวช 1 พรรษา คือ ตอนนั้น ผมจำวัดอยู่ในโบสครับ ตอนนั้นเป็นเวลากลางวันผมก็ไปนั่งที่เก้าอี้ดูวิวข้างหน้าต่าง หันหน้าไปทางเหนือ แล้วก็ฝึกสมาธิลองจับ รูปแสงเทียนดู แต่ก็ไม่เป็นผมเท่าไรนักครับ ผมก็ลืมตา แล้วก็กะว่าจถอดใจแล้วหละ ก็ลองแบบใหม่ดู ทีนี้หลับตาเสร็จ ก็สูดลมหายใจยาวๆ เข้าก็ยาว ออกก็ยาว ไปแบบไม่หวังแล้วหละ ทีนี้ความรู้สึกในสมาธิ ก็เกิดขึ้น จากหน้าผากไล่จากไปตั้งแต่กลางกระหม่อม ไปเรื่อยๆที่ท้ายทอย ลงมากระดูกสันหลังแล้วก็ย้อนกลับไปกลับมา ผมเห็นว่ามันสบายดี ก็เลยทำเรื่อยๆ สักพัก ตรงหน้าผากมันหน่วงๆ ยังไงชอบกล ลมหายใจก็หายใจขัดๆ แทบจะหายใจไม่ออก ตอนนั้นคิดว่าถ้าตายก็ตายว๊ะ แค่คิดแค่นั้นแหละ ตรงกลางคิ้ว เจ็บจี๊ดมากๆ เหมือนกับเอาเข็มมาจิ้ม สักพัก ความรู้สึกมืดหมด รู้สึกอีกทีก็ ตัวผมอยู่ที่ท้องผมแล้ว เห็นตัวผมที่เป็นพระกำลังนั่งสมาธิอยู่ เห็นอยู่ ประมาณ นับ 1ถึง 10 ได้ คราวนี้ก็ตรงใจสิ พอเห็นหน้าตัวเองเท่านั้นแหละ จิตก็กลับมานั่งอยู่ที่เดิมทันที วันนั้นทั้งตื่นเต้นทั้งแปลกใจมากๆ ตั้งแต่วันนั้นสงสัยมานาน จนถึงวันนี้ ที่ได้อ่านกระทู้ ของคุณกระเจียวแล้ว หายสงสัยแล้วครับ
เย้ดีใจมากๆๆ รู้หลักแล้วรู้หลักแล้วที่เราเคยได้ไม่ผิดแล้ว ขอให้กระแสจิตของคุณกระเจียวพัฒนาขึ้นเรื่อยๆครับ ข้อความนี้ผมรับรองว่าเป็นประโยช์นมาก
และขอฝากให้ คุณ telwada น๊ะ คือ ถ้าอยากเห็นจิงรู้จิงขอให้ทำตาม ที่คุณกระเจียวบอกหรือไม่ก็ ขอให้คุณ telwada ไปปรับสภาพจิตไตร่ตรองเอาใหม่ครับ
จะเป็นกำลังใจครับคุณกระเจียว ผมเชื่อว่าคนๆนี้ถ้าเข้าถึงสภาวะธรรมแล้วเขาจะไม่ทำอย่างนี้ครับ

UFO 99 ผมคนที่ยังดีไม่พอครับ

 

คุณกระเจียวครับ อย่าทะเลาะกันเลยครับ อยากให้คิดซะว่ามันเป็นเรื่องของความเห็นเท่านั้นซึ่งก่อนหน้านี้ก็ยังมีการถกเถียงเรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตาเลย ก็ยังสรุปไม่ได้ เป็นเรื่องเฉพาะตัวจิงๆอย่าคิดมากเลยครับ

 

เหะๆ ผมคนนึงล่ะที่ยังมีความอยาก เช่นเดียวกับหลายท่านก็ยอบรับว่าอยากเหมือนกัน รู้กันทุกคน แต่ยังละไม่ได้ เกิดมาทั้งที่ต้องลองกันหน่อย อยู่ที่ว่าจะใช้คุณธรรมควบคุมมันไว้หรือเปล่า
ซึ่งสุดท้าย ทั้งตัณหาและความทุกข์ก็ล้วนเป็นอนิจจัง (bb-flower

 

ตาบอดคลำช้าง

 

เอ

หนังสือ ฝึกจิตตามแนวหลวงพ่อโต เล่มนี้โบ๊ตก็มีน่ะ

เคยลองมาหมดทุกวิธีแล้ว

เป็นคล้ายๆ กับกสิณแสง แต่วิธีของท่านสำหรับโบ๊ตแล้วเข้าฌานได้เร็วมาก

โฟกัสไปที่แสงขาวๆ แล้วทำให้ตรงกลางเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แป๊บเดียวจิตก็รวมกัน

เป็นแก้ว เพ่งต่ออีกหน่อยจนใส แล้วถอดออกมาจิตก็หลุด

แนะนำให้ลองกัน

อนุโมทนาครับ

 

............................






ถอดจิตกันได้หรือว่าเป็นการสร้างเอ็กโตพลาสซึ่มแล้วย้ายมิติการมองเห็นไปที่ร่างที่สร้างขึ้นนั้นกันแน่นะ แปลกจังรูปแบบสมัยนี้ไม่เหมือนก่อนนะ

 

ผมเคยดู ubc ช่องอะไรจำไม่ได้ อาจเป็น discovery เรื่องประสบการณ์ตายแล้วฟื้น
คนทีประสบความตายแล้ว รู้สึกว่ามีแสงสว่างเป็นโพลง บางคนคลานมาตามแสง บางคนลอยออกไป พบญาติที่ตายแล้ว มีกายสว่างขาว(เป็นเทวดา) คุยกันได้รู้เรื่อง ทีนี้รู้สึกแปล๊บๆ (คงเป็นเพราะจิตยังไม่ตัดขาดจากกายเนื้อ เพราะยังไม่ตายจริง) ก็กลับลงมา เจอตัวเองนอนอยู่แพทย์กำลังช่วยชีวิตอยู่ จำหน้าได้ทุกคน เห็นว่าทำอะไรบ้าง

พอเธอฟื้น ตรวจสอบกับคุณหมอก็พบว่าเป็นความจริง บอกได้ถูกต้องตรงตามความจริง แล้วหมอยังบอกอีกว่า หัวใจเธอหยุดเต้น สมองไม่ตอบสนองแล้ว แต่กลับฟื้นขึ้นมาได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์

ทีมนักวิทยาศาสตร์ ก็ได้ศึกษาเจาะลึกลงไปพบว่า น่าจะมีความเกี่ยวโยงของสมองกับจักรวาล หรือจุลภาค กับมหภาค เหมือนดังกฎที่ใช้กับการเคลื่อนที่ในจักรวาล สามารถใช้กับการเคลื่อนที่ของอะตอม (หรือเล็กกว่าอะตอม)

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า สมองเราตรงก้านสมอง(หรืออาจเป็นตรงใจกลางสมองผมไม่แน่ใจจำไม่ได้) มีระบบกระแสไฟฟ้าเล็กๆอยู่ แต่มีอานุภาพมาก พบว่าร่างกายคนป่วยเมื่อหยุดหายใจ กระแสต่างๆจะไหลรวมไปยังจุดนั้น และเมื่อสมองตายสนิท กระแสพลังตรงนี้อาจกลับคืนสู่สภาพเดิม หรือคืนสู่จักรวาล

นั้นคือจิตหรือ ?

ฝรั่งงง พร้อมกับพบว่า ความรู้อันใดก็ตามไปกับเจ้าตัวนี้ เจ้าตัวนี้อาจลอยหรืออยู่ในที่ต่างๆ สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ยิน ฯ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตเลย

สำหรับเราชาวพุทธ บุตรพระพุทธชินสีห์ เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก ความรู้นี้พระพุทธองค์ค้นพบมานานแล้วมากกว่า 2500 ปี (เกือบ 3000 ปีแล้วสินะ ปีนี้ พ.ศ. 2548 พระพุทธองค์ค้นพบก่อน พ.ศ. 45 ปี รวมๆแล้ว 2593 ปี) ในขณะที่ฝรั่งยัง งง กันอยู่วิทยาศาสตร์นี่มันตามหลัง พระพุทธเจ้านะครับ อย่าคิดว่ามันเป็นความทันสมัย

ยังมีอะไรอีกเยอะ เขียนมากไปอ่าจเป็นการโพสผิดกระทู้
เขียนไว้ประดับบอร์ดไปงั้นแหละครับ สวัสดี.

 

โทษทีนะครับ พิมพ์ผิด ต้องเป็น 2600 ปี เหอะๆๆๆๆๆๆ
ฝากถึงคุณ tawdaw น่าจะไปหาพระ ดี รดน้ำมนต์แรงๆ หน่อยนะครับ ผมว่าคุณคงมีประสบการณ์ทางจิตที่ไม่นัก

 

อืม ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยอ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนกันนะคะเพราะเป็นคนนึงที่นับถือหลวงปู่โตมาก ครูบาอาจารย์หลายท่านก็เคยเล่าประสบการณ์จิตออกจากร่างให้ฟัง เอาแค่อาจารย์สอนปฏิบัติธรรมดาที่ไม่ใช่พระ ท่านยังเคยถอดจิตไปกราบพระธาตุ
ต้องขอบคุณคุณกระเจียวที่ปรารถนาดี ความปรารถนาดีคงไม่ทำให้ศาสนาเสื่อมหรอกค่ะ แต่ความปรารถนาไม่ดีบวกกับความรู้ไม่จริงนี่สิอาจทำให้ศาสนาเสื่อมได้ค่ะ บางคนอาจจะคิดว่าเรานี่ทำไม่ได้ คนอื่นในจักรวาลคงทำไม่ได้เช่นกัน เปรียบเสมือนผู้มีความรู้แค่หางอึ่งเอาตนเปรียบกับบัณฑิตค่ะ

 

กระทู้ข้ามปีอีกแล้วอิอิ ดีจัง ได้อ่านอะไรดีดี เป็นบุญจริงๆ

 

ใช้นิวรณ์เป็นที่ตั้งนะครับ