::เพราะเหตุอะไร ทางภาคอิสานถึงได้มีพระสุปฏิปัณโณ พระอริยเจ้ามากกว่าภาคอื่น::

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สุชีโว, 17 มีนาคม 2014.

  1. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .......ยังกิญจิ สมทุธยธัมมัง(สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา)...สัพพันตัง นิโรธธัมมัง (สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา)..---พระอัญญาโกญทัญญะ:cool:
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ คำว่า ทุกข์ ทุกข์ดังนี้ เป็นคำที่เขากล่าวอยู่ ทุกข์นั้นเป็นอย่างไรพระเจ้าข้า?...............ราธะ รูปแลเป็นทุกข์ เวทนาเป็นทุกข์ สัญญาเป็นทุกข์ สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ วิญญานเป้นทุกข์.....ราธะ อริยสาวกผู้ใด้สดั เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาน---ขนธ.สํ.17/240/381:cool:-------------พระวจนะ" ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ คำว่า ทุกข์นั้น ดังนี้ เป็นคำที่เขากล่าวอยู่่ ทุกข์หรือการบัญญัติคำว่าทุกข์ พึงมีได้ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไรพระเจ้าข้า.....สมิทธิ จักษุ รูป จักขุวิญญาน ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วย จักขุวิญญาน มีอยู่ในที่ใด ทุกขืหรือการบัญญัติ ย่อมมีอยู่ในที่นั้น(ในกรณีแห่ง โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และ มนะ ก็ได้ตรัสไว้ลักษณะอย่างเดียวกับกรณีแห่งจักขุ นี้)---สฬา.สํ.18/48/74:cool:------------------------------พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นทุกข์ มีสามลักษณะเหล่านี้ สามลักษณะ เหล่าใหนเล่า? สามลักษณะคือ 1 ความเป็นทุกข์ เพราะมีลักษณะทนได้ยาก 2 ความเป็นทุกข์ เพราะมีลักษณะเป้นของปรุงแต่ง และปรุงแต่งสิ่งอื่นพร้อมกันไปในตัว 3 ความเป็นทุกข์ เพราะมีลักษณะแห่งความแปรปรวนเป็นไปต่างต่าง....ภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้แล คือ ความทุกข์สามลักษณะ---มหาวาร.สํ.19/85/319:cool:
     
  3. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    พระรูปใดจะเป็นอริยสงฆ์ คนธรรมดา ทั่วไปไม่สามารถพยากรณ์ ได้ หรอก นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้า
     
  4. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634

    มิใช่ค่ะท่าน มิใช่เป็นการโต้แย้งกันค่ะ อยากอธิบายบอกให้ทราบค่ะว่า
    ความเห็นที่ข้าพเจ้าลงไปในกระทู้ ประมาณ 3-4 กระทู้ นี้ ช่วงหลัง ๆ นี้
    เมื่อข้าพเจ้าตอบในกระทู้ใด ถูกลบออกจากระบบตลอด เฉพาะห้อง
    อภิญญา สมาธิ

    อย่างกระทู้ปัจจุบัน คือ กระทู้ชื่อ เราจะละวางได้อย่างไร ซึ่งเป็นกระทู้ของ ท่าน ปัญญา ณ ว.
    ก็ถูกลบออกไป โดยข้าพเจ้านำคำของหลวงตาบัว ที่ท่าน MindSoul1
    มาหาคำตอบว่าท่านแสดงธรรมอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร
    ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์ดีแล้ว หากจะนำไปปฏิบัติ และถ้าผิดถูกอย่างไร
    จะได้มีผู้มาแก้ไขความเข้าใจผิดเพื่อให้ถูก

    แต่ก็ถูกลบโดยไม่ได้บอกกล่าว ก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนลบ หรือ ถ้าเป็น
    เว็บพลังจิตลบเอง ก็ไม่เห็นเข้าข่ายในตกลงเงื่อนไข ที่ต้องถูกลบกระทู้ออก
    หรือว่ามีมือดีมาลบกระทู้ออกไปเอง

    เพราะว่าไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไร ก็เคยทำให้คิดว่า คำตอบของเราเป็น
    อย่างไร ไม่มีใครบอกกล่าวให้ทราบ หรือ ถ้ามีมือดีมาลบออกเอง ทางเว็บ
    ก็จะได้ทราบด้วย

    แต่ถ้าเป็นทางเว็บ ถ้าแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่าเป็นเช่นไร ข้าพเจ้าจะได้ทำ
    ให้ถูกต้องเรื่องความเห็นนะคะ เพราะบางคำตอบของคนอื่น ๆ นั้น
    ให้ความรู้ที่ดีและมีประโยชน์ แต่ต้องมาถูกลบกระทู้เพราะเพียงข้าพเจ้า
    เป็นผู้ตอบหรือเปล่าละค่ะ
     
  5. comxeoo

    comxeoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +214

    กระทู้ถูกอุ้มไม่ใช่เพราะคุณหรอกครับ เป็นเพราะผมมากกว่า ไปแสดงความคิดเห็นไว้กระทู้ไหน กระทู้นั้นเป็นถูกอุ้มหายไปเลย จะกลับไปต่อกระทู้แต่เอ๊ะ หายไปไหนหว่า? ตั้งแต่กระทู้นู้น กระทู้พระโสดาบันก็หาย
    แล้วก็กระทู้ละวาง เนื้อหาของกระทู้ก็มีเนื้อหาสาระดีนะครับ แต่ไหงถูกอุ้มหายไปเฉย ผมเลยพยายามไม่เข้าไปร่วมแสดงความเห็นกระทู้ไหน เดี๋ยวหายไปอีก อย่างกระทู้นี้จะหายไปอีกไหมน้าาาาาา
     
  6. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ได้ตอบไปแล้ว ไม่ทราบว่าทันอ่านหรือไม่?
     
  7. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634

    ไม่ได้อ่านค่ะ จะเข้ามาอ่านกระทู้ก็หายไป จะเป็นการรบกวนไหมค่ะ
    ถ้าต้องการรู้คำตอบต้องทำอย่างไร
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ขอคำถามอีก หรือที่อธิบายไว้ตอนนั้นอีกทีครับ

    ผมอธิบายเพิ่มได้แค่บางส่วนนะครับ เพราะธรรมะของหลวงตามหาบัวในเรื่องนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลของการปฏิบัติของท่านโดยตรง ผู้ที่อ่านก็จะเข้าใจได้แค่ตามที่ตนปฏิบัติถึง เรื่องที่เกินกว่านั้น ถ้าไปพยายามตีความ ยังไงก็ไม่ถูกต้อง เพราะมันเป็นเรื่องของสภาวะพระอริยบุคคล ครับ
     
  9. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    เป็นธรรมดาครับ โพสผมเองก็มีโดนลบไปเหมือนกัน
    ถ้าเราเห็นต่างกับเขา เขามีอำนาจ เขามีสิทธิที่จะลบ
    แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้ผ่านตาเขาไปแล้ว
     
  10. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    คำสอนของหลวงตาบัว:
    เรื่องอวิชชาเป็นอุปปัตติภพหรือกรรมภพ ก่อภพทำกรรมอยู่ไม่หยุดไม่ถอย
    มันก็เป็นเรื่องของวัฏจักรอันเดียวนี้ มันหากก่อภพก่อชาติภายในตัวเอง
    อยู่อย่างนั้นเรื่องของจิตจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ มีแต่เรื่องก่อภพก่อชาติ
    อยู่เป็นประจำ ทำงานสั่งสมเพื่อตัวเอง แต่โดยมากจะสั่งสม
    ทางกดถ่วงใจให้ดิ่งลงทางต่ำอยู่เสมอ ที่ว่าทำลายกงกรรมก็ทำลายตัวนี้แล
    พอทำลายตัวนี้แล้วมันก็หมดเครื่องสืบต่อก่อภพก่อชาติลงทันที
    ถึงสิ่งภายนอกที่เคยมาเกี่ยวข้องกับเรามันก็เกี่ยวข้องไปตามธรรมดา
    ผ่านไปผ่านมาไม่ได้ซึมซาบ ไม่ได้เข้าตั้งบ้านตั้งเรือน
    ไม่ได้เข้ามาอยู่มาอาศัยในจุดนี้เหมือนแต่ก่อน เพียงแต่ผ่านไปผ่านมาธรรมดา
    แล้วก็ทราบชัดว่าธรรมชาตินี้ไม่ได้สืบต่อกับอะไร

    การ ก่อภพก่อชาติเป็นเรื่องของจิตผลิตตัวเองอยู่อย่างนั้น
    มันอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ลักษณะของจิตที่มีกงจักรเป็นเจ้าของงาน
    หรือเป็นหัวหน้างาน มันจะต้องหมุนตัวอยู่เสมอ
    หมุนอะไรก็เพื่อเรื่องของภพของชาติทั้งนั้น
    พอกงจักรนั้นสลายตัวลงไปก็ไม่มีอะไรจะก่อภพก่อชาติอีกต่อไป
    ที่ ว่าขันธ์ล้วนๆ ก็หมายถึงตอนนี้ ขันธ์ก็เป็นขันธ์ล้วนๆ
    ไม่เป็นกิเลส ถ้าจิตดวงนั้นไม่เป็นกิเลส ขันธ์ก็ไม่เป็นกิเลส
    เป็นแต่เพียงเครื่องมือ ถ้า ส่วนใหญ่คือจิตเป็นกิเลส
    ขันธ์ทุกขันธ์ก็เป็นกิเลสไปตามๆ

    การ ปฏิบัติในศาสนานี้ถ้าปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์จริงๆ
    มันก็มีเคล็ดลับอยู่สองคือ ระหว่างอุปาทานของกายกับจิต
    กายกับจิตเป็นอุปาทานต่อกัน จะแยกจากกันนี้เป็นเคล็ดลับอันหนึ่ง
    พอเวลาเกิดความอัศจรรย์ตัวเองขึ้นมา ถึงกับอุทานในใจ
    ในเวลานั้นด้วยความหลงไม่รู้สึกตัว ถ้าพูดถึงธรรมะส่วนละเอียด
    มันเป็นความหลงอันหนึ่ง มัน อัศจรรย์ตัวเอง
    ทำไมจิตของเราถึงได้เป็นขนาดนี้ พอว่าอย่างนั้น
    ก็มีธรรมะบันดาลขึ้นมา อันนี้ก็ไม่คาดไม่ฝันเหมือนกัน
    ผุดขึ้นมาเหมือนกับมีคนพูดอยู่ภายในจิตนี้ แต่ไม่ใช่คนพูด
    ผุดขึ้นมาเป็นบทๆ ว่า
    “ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ” ว่าอย่างนั้น
    ธรรมชาติ นั้นมันเป็นจุดจริงๆ จุดของความรู้
    จุดของความสว่างนั้นมันมีจุดจริงๆ ดังอุบายผุดขึ้นมาบอก

    จิตหมุนเป็นธรรมจักร ไม่ใช่เป็นวัฏจักร หมุนเพื่อจะแก้ตัวเอง
    จะหนีความจริงไปไม่พ้น สิ่งใดที่เกิดสิ่งนั้นก็ต้องดับ
    สิ่งใดที่จริงเป็นหลักธรรมชาติของตัวเองแล้วก็จะไม่ดับ
    คือจิตที่บริสุทธิ์นั้นจะไม่ดับ




    หากเราพิจารณาคำของหลวงตา เราจะเห็นว่า
    เพราะจิตที่เคยบริสุทธิ์ มันมีกิเลส ขันธ์ก็เป็นกิเลสตาม
    จิตจึงมีการนึกคิดขึ้นเองตามกิเลส หรือ สังขารปรุงแต่ง
    เคล็ดลับของหลวงตา คือ การแยกอุปาทานของกายและจิตที่เชื่อมต่อกัน ก็คือ ตัวผู้รู้
    ตัวอุปาทานระหว่างกายกับจิต ก็คือ วิญญาณ เป็นตัวเชื่อม ระหว่าง จิต กับ กายสังขาร
    วิญญาณ หรือ ผู้รู้ ก็คือ สิ่งเดียวกัน ก็คือ ตัวรู้อารมณ์
    หากจิตยังมีอวิชชา ก็ยังมีวิญญาณที่เป็นตัวเชื่อมในการเป็นผู้รู้อารมณ์ของอนุสัยที่มีอยู่
    หากหมดเชื้อกิเลสอนุสัยที่อยู่ในใจ ที่ต่อมของผู้รู้
    วิญญาณที่รู้อารมณ์ก็ดับ ไม่เจริญงอกงาม ไม่มีที่อาศัย ภพชาติก็ไม่มี
    อนุสัยกมลนั่นเอง เก็บไว้ที่ใจ เพราะใจย่อมคิดตามอารมณ์
    จึงเรียกสิ่งนั้นว่า มโนทวาร คือ จุดต่อมของผู้รู้
    ถ้าเราไม่อบรมใจให้มีสัมมาทิฐิแท้จริงไม่ได้แล้ว
    การวางอุเบกขา ก็คงจะยากจริง ๆ
    สติของผู้รู้ จึงสำคัญมาก ไม่ให้อวิชชา ตัวต่อมผู้รู้งอกเงยขึ้นอีก
    เพราะการที่จิตมีกิเลส จึงมีการคิดนึกขึ้นเองตามอารมณ์ที่เก็บไว้เป็นนิสัย
    เพื่อแสดงออกทางการกระทำ โดยไม่มีสติผ่านการรับรู้ที่ผู้รู้จะวางอุเบกขา
    เราจะสามารถลดกิเลสอนุสัยได้โดยใจที่เป็นอุเบกขา
    และความสุขสงบในว่าง ของสติและสมาธินั่นแหละค่ะ
    คือ ที่ทำให้เราเข้าไปหาจุดต่อมผู้รู้ ก็คือ มโนทวาร
    เพราะจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ก็คือ อนุสัยที่อยู่ในกมลสันดาน ที่ทำให้ก่อกรรม มีภพ

    ยังมีสิ่งใดที่เข้าใจผิดหรือเปล่าค่ะ
     
  11. chatyamn

    chatyamn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +4,058
    อ้าวหรือ ผมก็เคยโดนลบเหมือนกัน เลยไม่เขียนอะไรมาก....เดี๋ยวโดนลบ...ที่เราเขียนไป มันอาจ มีบางอย่างไม่ดีก็ได้ หรือเขาไม่ต้องการให้รู้สถานที่นั้นดี ไม่ต้องการเผยแพร่สถานที่นั้น แดนศักดิ์สิทธิ์ หรือเราเขียนจริงไปหน่อย มันดูเป็นไปไม่ได้ คือ โม้ เลยเอาแบบธรรมดา ไม่โลดโผนดีกว่า....เราเขียน เขาลบก็ลบไป...ผิดถูกเราก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะไม่ได้บอก.....
    ถ้าเราเขีนนดีแล้ว คนลบก็กรรมเขาล่ะ....บางทีเขียนเยอะโดนลบ ก็ไม่เขียนใหม่แล้ว...ปล่อยเลย คิดเสียว่า ช่างมัน.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มีนาคม 2014
  12. Tewadhama

    Tewadhama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +188
    อาจเป็นเพราะสถานที่ครับความห่างไกลความเจริญหรือไกลจากสิ่งอำนวยความสดวกต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเร้ากระตุ้นให้เกิดกิเลส ยกตัวอย่างพระวัดบ้านมี ทีวี มีเครื่องอำนวยความสดวกต่าง ๆ ครบทุกอย่างในกุฏิ แต่วัดที่อยู่บนเขาในป่า จะฉันน้ำปานะยังต้องมาฉันรวมกัน เดินมาตั้งไกล คุณคิดว่าอยู่ใกล้กับสิ่งช่วยพอกกิเลส(ถ้าใช้ไปในทางที่ผิดนะ) กับอยู่ไกลจากสิ่งเหล่านี้ คุณคิดว่าไงครับ
     
  13. นาย เอ

    นาย เอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +535
    ยินดีในบุญกับคุณกลายแก้วครับ

    ไม่เคยมองว่าเป็นการโต้แยงเลยสักนิดครับ มองว่าเป็นการสนทนาธรรม ในสภาวะคล้ายกัน ในเส้นทางเดียวกัน
    ร้อยคนก็ร้อยมุมมอง จริงๆครับ เป็นการศึกษาประสบการณ์ในแต่ละด้าน ทั้งภายนอกและภายใน
    และพิจารณา แบบใจเขาใจเรา ไม่แตกต่างกัน ธรรมดา ละวางอัตตาครับ

    การถูกลบข้อความ หรือไดๆที่หายไป ก็เป็นธรรมดาไม่ใช่หลอครับ เมื่อเราอ่านข้อความอื่น ข้อความเดิมนั้นก็หายไปแล้ว
    หรือเราไปเปิดดูเว็ปอื่น เว็บพลังจิตทั้งเว็ปมันก็หายไป เป็นธรรมดา
    หรือหากข้อความของเราคงอยู่ แต่ผู้อ่านไม่อ่าน คล้ายกฎการใช้ ของเว็บที่ผู้สร้างเว็บ ต้องการไว้หน้าหลักด้านบนสุด
    ต้องการให้ทุกคนอ่าน แต่ก็เชื่อได้ว่าคนจำนวนไม่น้อย ไม่เคยเปิดอ่าน
    หรือหากผู้อ่าน พิจารณาเพียงแค่ กระทู้นี้ถูกต้องไหม คิดตรงกันไหม คนที่โพสจะรู้จริงไหม ไครเก่งกว่ากัน
    ใจความของข้อความ ก็ลดค่าลง

    แต่หากข้อความที่เรานำมาโพส อาจไม่ไช่ที่นี่แต่เป็นที่อื่น ผู้ที่ต้องการศึกษา หรือผู้ที่มีจริตตรงกับข้อความนั้น
    ก็จะพบและอ่านข้อความนั้นๆ และพิจารณา เพื่อเป็นแนวทางปฎิบัติตามจริตของเขา

    ที่สำคัญอ่านการ การคิด เป็นสิ่งที่ดี เป็นแนวทางในการปฎิบัติ อย่างมีทิศทาง แต่เมื่อเราลงมือปฎิบัติแล้ว
    ความรู้ ความกระจ่าง ก็จะเกิดอย่างเอนกอนันต์ จนผู้ปฎิบัติบางท่าน ยังไม่สามารถเรียงร้อยถ้อยคำ มาบอกกล่าว
    เพราะสิ่งนั้นลึกล้ำจนเกินบรรยาย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2014
  14. comxeoo

    comxeoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +214
    ขออนุญาตินะครับ ความจริงจะเข้าไปหาต่อมผู้รู้ทำไมครับ ความจริงที่ต้องปฏิบัติก็คือ ทำยังไงให้จิตตั้งมั่น จนเห็นแจ้งในความเป็นไตรลักษณ์ของขันธ์5 แบบรู้แจ้งที่จิตจริงๆ อันนี้เป็นสิ่งแรกสุดที่ต้องทำให้ได้ก่อนครับ บอกได้เลยว่า ธรรมะเพื่อความดับทุกข์จริงๆ มันไม่ได้ต้องไปรู้ให้ทั่วทุกอย่างก็ได้ เอาแค่ธรรมะที่ทำให้เราพ้นทุกข์อย่างเดียวก็พอ วิธีการปฏิบัติอะไรก็ตามแต่จริตแต่ละคน แต่ที่สำคัญคือ มรรคมีองค์8 อย่างถ้าเจริญอานาปานสติแบบถูกต้องจริงๆ ผลมันคือมรรคมีองค์8 จะบริบูรณ์ไปด้วย และมรรคมีองค์8 นี่แหละครับจะเข้าไปชำระอนุสัยเอง ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายคือ เข้าไปชำระถึงจิตใต้สำนึกนั่นเอง พระพุทธเจ้าทรงตรัสวิธีปฏิบัติไว้แล้ว อย่างอานาปานสติ หรือ สติปัฎฐาน4ทำไปยันจิตหลุดพ้นเลย จุดต่อมแห่งผู้รู้ก็ไม่เห็นต้องไปรู้ จิตก็หลุดพ้นได้ ถ้ากิเลสทั้งหลายเปรียบเหมือน ขยะ.. เราก็ไม่จำเป็นต้องเอาขยะมาวิจัย ในเมื่อสุดท้ายจะทิ้งมันอยู่ดี ทิ้งมันซะตั้งแต่ตอนแรกนี่แหละครับ
     
  15. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ฯ
     
  16. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ต่อมผู้รู้ นั่นแหละ ตัวอวิชชา ทำลายมันไม่ได้ ก็ได้เวียนว่ายตายเกิดไม่หยุด

    ถ้าไม่เชื่อผม ก็หาคำสอนของหลวงตามหาบัวดู ว่าตรงกับที่ผมพูดหรือไม่
     
  17. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    1. บริสุทธิ์ หรือ ไม่บริสุทธิ์ คือ ส่วนของขันธ์
    ตัวผู้รู้นั่น มันไม่มีความบริสุทธิ์ หรือ ไม่บริสุทธิ์ ตัวผู้รู้ มันไปรู้อะไร มันก็เป็นสิ่งนั้น พอมันไปรู้ขันธ์ มันไปหลงขันธ์ มันก็เลยถือว่าตัวมันเองเป็นขันธ์ กรรม และ วิบาก ทั้งหลาย มันก็มาโผล่ที่ขันธ์นี้แหละ มันก็เลยมีผู้เข้าไปสร้างกรรม รับกรรม

    2. ผู้รู้นี้ ก็ยังไม่ใช่วิญญาณ และ มโนทวาร เช่นกัน เพราะว่าสำหรับพระอรหันต์แล้ว ขันธ์ทั้ง 5 ก็ยังทำงานปกติครบดีอยู่ ไม่ได้มีตัวไหนหายไป (ลองอ่านบันทึกคำสอนของครูบาอาจารย์ มียืนยันไว้อยู่)
    มันจะดับทั้งหมด หมดสิ้นก็ต่อเมื่อ ปรินิพพาน

    3. ตัวผู้รู้มีหน้าที่อย่างเดียว คือ เข้าไปรู้ มันจะรู้อะไรก็ได้ทั้งหมดทั้งสิ้น มันไปรู้สิ่งไหน มันก็เป็นสิ่งนั้น หรือ จะพูดอีกอย่างว่า มันไปรู้สิ่งไหน สิ่งนั้นแหละคือตัวเรา ตัวผู้รู้นี่ ก็คือตัวที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดนั่นแหละ เพราะเมื่อมันยังทำหน้าที่เข้าไปรู้อยู่ เราก็จะยังมีตัวตนอยู่

    4. ว่าง สงบ สุข สามสภาวะนี้ ก็ยังเป็นเรื่องของขันธ์ เป็นสภาวะนามธรรมของขันธ์ ที่จิตสร้างขึ้นมา

    5. วิธีจะฝึกเข้าไปจนเห็นผู้รู้ ก็คือ มีสติ ระลึกรู้ไปเรื่อยๆ จิตจะแยกแยะ คัดกรอง ด้วยตัวเอง ว่า สิ่งใดเป็นตน สิ่งใดไม่ใช่คน (ให้จิตทำงานเองในลักษณะของการวิจัย คือ การระลึกอยู่ตลอด เห็นสภาวะต่างๆ ที่ผ่านมาและผ่านไป โดยไม่ไปสร้างความนึกคิดแบบ "วิปัสสนึก" ปิดบังมัน)

    เราไม่ได้ฝึกวิปัสสนา เพื่อบังคับให้อยู่กับสภาวะใดสภาวะหนึ่งของขันธ์ (ไม่ว่าจะเป็น ฌาน สุข สงบ หรือ นิ่ง อย่างใดอย่างหนึ่ง) จริงอยู่ว่า เมื่อฝึกไป เราจะมีความสามารถบังคับในส่วนนี้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ตามกำลังของสติ และ สมาธิ แต่ปลายทางที่สุดแล้ว เราไม่ได้ฝึกเพื่อบังคับในสิ่งเหล่านี้ เราไม่ได้ฝึกเพื่อเอาตัวเราเอง ไปเป็นสภาวะในสภาวะหนึ่งของขันธ์ เราฝึกเพื่อให้เห็นว่า ผู้ใดเป็นผู้เข้าไปยึดขันธ์
     
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" 1 ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาน ปัญญา วิชชา และแสงสว่าง ของเราได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เรา ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อนว่า 1 นี้เป็นความจริงอันประเสริฐคือ ทุกข์ 2 ความจริงอันประเสริฐ คือทุกข์ นี้ควรกำหนดรอบรู้ 3ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์นี้ เราได้กำหนดรอบรู้แล้ว.......................2 ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาย ปัญญา วิชชา และ แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อนว่า 1 นี้เป็นความจริงคือเหตุให้เกิดทุกข์ 2 ความจริงอันประเสริฐ คือเหตุให้เกิดทุกข์นี้ ควรละเสีย 3 ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์นี้ เราได้ละเสียแล้ว.................3 ภิกษุทั้งหลาย ดวง ญาน ปัญญา วิชชาและ แสงสว่าง ของเราได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อนว่า 1 นี้เป็นความจริงอันประเสริฐ คือ ความดับไม่เหลือของทุกข์ 2 ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทึุกข์ ควรทำให้แจ้ง 3 ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์ นี้ เราได้ทำให้แจ้งแล้ว................................4 ภิกษุทั้งหลาย ตวงตา ญาน ปัญญา วิชชา และ แสงสว่าง ของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อนว่า 1 นี้เป็นความจริงอันประเสริฐคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข็ 2 ความจริงแันประเสริฐ คือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ ควรทำให้เจริญ 3 ความจริงอันประเสริฐคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ เราได้ทำให้เจริญแล้ว..........ภิกษุทั้งหลาย ตลอดเวลาที่ ปัญญา เครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง ใน อริยสัจอันมีรอบสาม มีอาการสิบสอง เช่นนี้ ยังไม่บริสุทธิ์สะอาดด้วยดี เราก็ยังไม่ปริญญาว่า ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน อยู่เพียงนั้น เมื่อใดบริสุทธิ์สะอาดด้วยดี เมื่อนั้นเราก็ ปฎิญญาว่า ได้ ตรัสรู้ รู้พร้อมเฉพาะแล้ว วึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน---มหาวาร.สํ.19/527-530/1666-1670:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2014
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้รับฟังเรื่องนี้มาเฉพาะพระพักติ์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้น ย่อมเห็นแม้ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกขื ย่อมเห็นแม้ซึ่งความดับไม่เหลือของทุกข์ ย่อมเห็นแม้ซึ่งทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ผู้ใดเห็นเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ ผู้นั้น ย่อมเห็นแม้ซึ่งทุกข์ ย่อมเห็นแม้ซึ่งความดับไม่เหลือของทุกข์ ย่อมเห็นแม้ซึ่งทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ผู้ใดเห้นความดับไม่เหลือของทุกข์ ผู้นั้น ย่อมเห็นแม้ซึ่งทุกข์ ย่อมเห็นแม้ซึ่งเหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมเห็นแม้ซึ่งทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ผู้ใดเห็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ผู้นั้น ย่อมเห็นแม้ซึ่งทุกข์ ย่อมเห็นแม้ซึ่งเหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมเห็นแม้ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ดังนี้แล---มหาวาร.สั.19/546/1711..:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2014
  20. comxeoo

    comxeoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +214
    ถ้าต่อมผู้รู้ คือ อวิชชา แล้วการทำลายอวิชชาลงจนเกิดเป็นวิชชา ทำให้หยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้ เพราะหมดความเห็นผิดหรืออวิชชา อย่างนั้นถ้าถามว่า แล้วจะทำยังไงให้ทำลายความเห็นผิดลงได้ ที่ผมกล่าวก็คือ มรรคมีองค์8 ทางนี้ทางเดียวจริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทางมาให้เราเหล่าสาวกเดินตามแล้ว เราก็ทำตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แค่นั้น มันหลุดพ้นได้จริง ความจริงสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเป็นทางเดินที่เรียบง่าย ไปตามวิถีจิตปกติของคนธรรมดา ไม่ซับซ้อน พวกเราคิดให้ซับซ้อนไปเอง เมื่อก่อนผมก็เป็นอย่างนี้ ต้องรู้นั่นรู้นี่ให้หมด แต่เอาเข้าจริง ที่เป็นแกนๆ นิดเดียวก็ทำให้เห็นแจ้งได้แล้ว นักปฏิบัติในปัจจุบันฟุ้งในธรรมเกินไป จนไม่รู้ว่าทางที่จะเดินทางไหนดี เดี๋ยวเห็นทางนี้น่าจะดี พอไปเจอเค้าปฏิบัติอีกอย่าง ก็คิดอีกว่า งั้นเอาทางนี้ดีกว่า เลยเอาดีไม่ได้ซักทาง.. ตราบใดที่นักปฏิบัติยังสงสัย ยังไม่มั่นใจ ในทางที่ตนปฏิบัติ ก็เปรียบเหมือน นักปฏิบัติคนนั้นยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติด้วยซ้ำ ยังลังเล ยังสงสัยอยู่ กำลังใจ หรือฉันทะในการปฏิบัติทางนั้นมันไม่มีอย่างนี้ยังเอาดีไม่ได้ คราวนี้ถามว่าจะปฏิบัติแบบไหนที่เชื่อได้ ก็ต้องบอกว่า คำสอนของพระพุทธเจ้านั่นแหละ คือ ที่สุดถูกต้องด้วย พยัญชนะและความหมายสมบูรณ์ทุกประการแล้ว.. ทั้งหมดที่ผมแสดงความคิดเห็นไปทั้งหมด ก็แค่ชี้ให้เห็นว่า ความจริงมันทำแค่นี้ ถ้าผมไม่ผ่านมาก่อน ผมไม่กล้าแนะนำให้คนทำแค่นี้แน่ ที่ผมผ่านมาทำตามคำพระพุทธเจ้า เพียงประโยคสองประโยคแค่นั้น อาศัยกำลังใจในการปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันเอา จิตมันเห็นความจริงเอง อีกประการที่เคยคุยกับคุณ คือ การเอาสติเข้าไปรู้เข้าไปดู อย่างที่บอกทางนี้มันเห็นแจ้งขึ้นมาได้ แต่มันก็เสี่ยงกับการหลงเข้าไปดูเข้าไปรู้เพราะสติที่แท้จริงเกิดขึ้นเพียงแว่บเดียว ไม่ใช่สติที่แช่อยู่นานๆ


    ลำดับการเข้าไปดูเข้าไปรู้ อย่างนี้
    ความโกรธเกิดขึ้นที่จิต>> มีสติระลึกรู้ >>เฝ้าดูอารมณ์โกรธนั้นจนมันดับลง.. ระหว่างที่เฝ้าดูให้โกรธมันดับลง มันเกิดตัณหา(อยากดูอารมณ์โกรธ) และอาจเกิดสังขารการปรุงแต่ง เกิดภพเกิดชาติ.... แค่มันเกิดตัวใดตัวหนึ่งขึ้น จิตมันไม่ตั้งมั่น>> เมื่อจิตไม่ตั้งมัน ต่อให้มันเห็นอารมณ์ โกรธดับไป หรือเรียกว่า เห็นการ เกิด-ดับ มันก็ไม่มีทางเกิดนิโรธขึ้นในจิตได้ เพราะอะไร ก็บอกได้คำเดียวว่าจิตไม่ตั้งมั่น.. การเอาจิตไปเฝ้ารู้เฝ้าดูมันก็อาจตั้งมั่นได้บางขณะ แต่มันเสี่ยงกว่าการจะหลงลงไปเกิดสังขาร และอะไรอีกมากมายได้ง่ายกว่า ผู้ปฏิบัติอย่างนี้จึงไม่แจ้งความจริงซะที ทั้งที่สติที่ฝึกมามากขนาดนี้น่าจะแจ้งความจริงตั้งนานแล้ว สติของผู้ที่ฝึกมาดีแล้วแต่ใช้แนวทางอย่างนี้ เค้าจะเห็นความจริงของขันธ์คือ มันเกิด-มันดับ แต่มันไม่โผล่ขึ้นมา ที่เราต้องทำคือ ให้เกิดนิโรธขึ้น จะได้เห็นความจริงด้วยจิตนี้เอง



    ตามมรรคมีองค์8 ข้อสัมมาวายามะ สังเกตุสิ่งที่ผมยกมานี้
    ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความไม่บังเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรมอันบาปทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้บังเกิด;
    ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการละเสียซึ่งอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่บังเกิดขึ้นแล้ว;
    ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการบังเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้บังเกิด
    ;



    ลำดับตามนี้
    ความโกรธเกิดขึ้นที่จิต>> มีสติระลึกรู้ >>มาอยู่ที่ลมหายใจ(เจริญอานาปานสติ) ...จิตเกาะอยู่ที่รูป(ลมหายใจ) ผลคือ จิตเป็นอุเบกขา... เพราะสติที่แท้จริงมันแว่บเดียวเมื่อระลึกว่ามีอารมณ์โกรธ พระพุทธเจ้าให้ละเสียซึ่งอกุศลธรรม เมื่อเราละจากอารมณ์โกรธมาอยู่ที่ลมหายใจ = เพื่อการบังเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรม... ทำอย่างนี้ชำระไปถึงอนุสัย ที่มันอยู่ในส่วนลึกของจิตเลย ชำระจนกว่ามันจะพร้อมเกิดมรรคผล เกิดนิโรธ ทุกครั้งที่จิตมาเกาะที่ลมหายใจ จิตจะตั้งมั่น พร้อมกับเห็นการเกิด-ดับของขันธ์ข้างใน... เมื่อมรรคมีองค์8เข้าไปชำระในจิตถึงความขาวรอบ แล้วจิตตั้งมั่น ในทุกขณะที่จิตอยู่ที่ลมหายใจ มันพร้อมจะเกิดมรรคผลขึ้นได้... เห็นไหมครับจริงๆมันไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยถ้าทำตามคำพระพุทธเจ้า

    ผมไม่ได้กล่าวว่าการเฝ้ารู้เฝ้าดูจิตนั้นจะทำให้เห็นแจ้งไม่ได้ แต่บอกวิธีการที่มันไม่ยุ่งยากไม่ ซับซ้อน ไม่ต้องไปค้นหาผู้รู้อะไรทั้งนั้น กว่าจะเจอหนทางที่ถูก กว่าจะลงมือปฏิบัติ กว่าจะวางจิตให้ถูก มันไม่ใช่ระยะเวลานิดเดียวเลย ต้องเห็นการเกิด-ดับในขณะที่จิตตั้งมั่น ซักแค่ไหน จึงจะโผล่ จะเห็นแจ้งขึ้นมาได้.. เอาแค่ตรงนี้ก่อน ในขั้นวางอุปาทานยังไม่ต้องกล่าวไปถึง เพื่อถ้าไม่เห็นแจ้ง ว่าขันธ์5และรูป-นามทั้ง โลกทั้งจักวาล อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ในขั้นวางอุปาทานหรือทำลายอวิชชายังไม่ต้องพูดถึง ไม่มีทางทำได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...