“ฮิตเลอร์”เทคโนโลยี และ พลังอันลึกลับของนาซี "NAZI"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 2 สิงหาคม 2014.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    [​IMG]
    “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” (Adolf Hitler)​


    เอเจนซี – ขณะที่กองทัพนาซีเริ่มแตกพ่ายทั้งที่เมืองสตาลินกราดและแอฟริกาเหนือ ผู้นำเผด็จการ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” (Adolf Hitler) ยังหวังพลิกสถานการณ์ โดยสั่งทีมนักวิทยาศาสตร์สร้าง “สุดยอดอาวุธ” ซึ่งจะนำชัยชนะมาให้แก่ฝ่ายอักษะ...แม้อาวุธบางชนิด เช่น จรวด วี2 และ เครื่องบินขับไล่รุ่นแรก ๆ ของโลก จะถูกนำมาใช้ต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ก็สายเกินไปที่จะยับยั้งความพ่ายแพ้แก่กองทัพนาซี นอกจากนี้ ยังมีอาวุธอื่น ๆ ที่ “เหนือจินตนาการ” เสียจนไม่ผ่านขั้นตอนการวางแผน และ “จานบิน” ที่ใช้ทิ้งระเบิดในลอนดอนและนิวยอร์ก ก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น
    อย่างไรก็ตาม วันนี้มีคำยืนยันออกมาว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ของฮิตเลอร์เคยออกแบบอากาศยานที่มีรูปร่างคล้าย “จานบิน” และสามารถพัฒนาถึงขั้นสร้าง “ต้นแบบ” ที่ใช้บินได้จริงมาแล้ว
    รายงานจากนิตยสารด้านวิทยาศาสตร์ พีเอ็ม ของเยอรมนี ระบุว่า โครงการดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของ ฮานส์ แคมม์เลอร์ และประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการทดลองต้านแรงโน้มถ่วงของโลก รายงานดังกล่าวอ้างคำบอกเล่าของพยานซึ่งเชื่อว่าตนเคยเห็น “จานบิน” ที่มีสัญลักษณ์กางเขนเหล็กของกางทัพนาซี บินในระดับต่ำเหนือแม่น้ำเทมส์เมื่อปี 1944 ในช่วงเวลาเดียวกัน นิวยอร์ก ไทม์ส เคยลงบทความเกี่ยวกับ “จานบินปริศนา” และลงภาพถ่ายวัตถุดังกล่าวขณะบินผ่านตึกระฟ้าในนครนิวยอร์กด้วยความเร็ว สูง...พีเอ็ม ระบุว่า กองทัพนาซีทำลายบันทึกการทดลองทางวิทยาศาสตร์ไปเป็นจำนวนมาก แต่ในปี 1960 ผู้เชี่ยวชาญด้านยูเอฟโอในแคนาดาได้ทดลองสร้างวัตถุดังกล่าวขึ้นใหม่ และพบว่ามันสามารถ “บินได้จริง”

    [​IMG]

    ภาพที่อ้างว่าเป็นจานบินต้นแบบของนาซี ซึ่งถูกเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต


    โครงการดังกล่าวของนาซีมีชื่อว่า “ชรีเวอร์-ฮาแบร์โมล” ทำการทดลองในกรุงปราก (Prague) ระหว่างปี 1941-1943 โดยมี รูดอล์ฟ ชรีเวอร์ เป็นวิศวกรและนักบินทดลอง และ ออตโต ฮาแบร์โมล เป็นวิศวกรคนที่ 2 ชรีเวอร์ และ ฮาแบร์โมล ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ ฮิตเลอร์ สั่งให้ แฮร์มานน์ กอริง ผู้บัญชาการกองทัพอากาศของนาซี สร้าง “สุดยอดอาวุธ” ขึ้น โดยในระยะแรกเป็นเพียงการสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดลุฟท์วาฟฟ์ แต่ต่อมาในปี 1944 โครงการดังกล่าวตกอยู่ในความดูแลของ แคมม์เลอร์ ซึ่งคิดสร้างอาวุธชนิดใหม่ที่มีรูปร่างคล้ายกับ “จานบิน” โจเซฟ แอนเดรียส์ วิศวกรคนหนึ่งของโครงการเปิดเผยว่า กองทัพนาซีสร้างจานบินต้นแบบไว้ถึง 15 ลำ โดยห้องนักบินจะอยู่ส่วนกลางของตัวเครื่อง และมีปีกที่ปรับหมุนได้แผ่ออกเป็นวงกลม ซึ่งช่วยให้เครื่องสามารถลอยขึ้นได้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นักวิทยาศาสตร์ของนาซีได้เข้าร่วมโครงการทดลองด้านอวกาศของสหรัฐฯเป็นจำนวนมาก อิกอร์ วิตคอว์สกี อดีตนักข่าวและนักประวัติศาสตร์การ ทหารชาวโปแลนด์ เขียนในหนังสือ “Prawda O Wunderwaffe” ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2000 ว่า กองทัพนาซีเคยสร้างเครื่องบินลักษณะคล้ายระฆังคว่ำ และ ฮิตเลอร์ สั่งให้รวบรวมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรมาช่วยงานกองทัพเป็นจำนวนมาก

    http://www.bobthai.com/wp-content/uploads/2011/11/Image31.jpg
    วัตถุรูปร่างคล้ายจานบินยูเอฟโอ ที่อดีตนักข่าวชาวโปแลนด์และนักประวัติศาสตร์การทหารอ้างว่ากองทัพนาซีเป็นผู้สร้างขึ้น

    [​IMG]
    ภาพวาดจำลองเหตุการณ์ขณะมีผู้พบเห็นจานบินของนาซีลอยในระดับต่ำ เหนือท้องฟ้ากรุงลอนดอนเมื่อปี 1944


    ฮิตเลอร์มุ่งมั่นจะสร้างอาณาจักรไรช์ที่ 3 ให้อยู่ได้นานถึง 1,000 ปี เพื่อสนองความใฝ่ฝันที่แสนสวย เขามีโครงการสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ชนิดพิเศษหลายโครงการ เช่น จานบินขึ้นลงตามแนวดิ่งที่สามารถบินได้เร็วเหนือเสียง จรวดนำวิถียิงจากระยะไกล เครื่องบินทิ้งระเบิดสมรรถนะสูง และระเบิดปรมาณู เป็นต้น ฮิตเลอร์สามารถทำโครงการได้สำเร็จเพียงบางโครงการเท่านั้น อาณาจักรไรช์ที่ 3 ของเขาก็ล่มสลายลงภายในระยะเวลาอันสั้น เมื่อกองทัพรัสเซียบุกเข้ายึดกรุงเบอร์ลิน ก่อนที่ฮิตเลอร์จะยิงตัวตาย เขามีคำสั่งให้หน่วยเอสเอสทำลายโครงการที่เขาได้ทำสำเร็จแล้วให้สิ้นซาก เพื่อไม่ให้รัสเซียนำพิมพ์เขียวจากโครงการของเขาไปใช้ประโยชน์ อย่างไรก็ดี เมื่อคนของเอสเอสได้นำพิมพ์เขียวและจานบินทั้งหมดเผาทำลายที่กลางลานสนามบิน ปราก-จีเบลล์ ทหารรัสเซียสามารถยึดจานบินเครื่องต้นแบบได้หนึ่งลำ ส่วนโครงการจรวด วี2 และแบบพิมพ์เขียวก็ถูกทหารรัสเซียยึดเอาไปพัฒนาเป็นจรวดสกัด (SCUD) ขีปนาวุธนำวิถีที่ทำให้สหรัฐอเมริกากลัวจนขนหัวลุก เกิดวิกฤติที่เกือบก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เมื่อรัสเซียแอบนำจรวดสกัดไปติดตั้งจ่อจมูกสหรัฐอเมริกาไว้ที่คิวบาในสมัย ประธานาธิบดีเคเนดี ซึ่งเป็นคนหนุ่มรูปหล่อและมีอายุน้อยที่สุดในบรรดาประธานาธิบดีทั้งหมดของ สหรัฐอเมริกา เขาได้ยื่นคำขาดต่อรัสเซียให้ถอนจรวดสกัดออกไปจากคิวบาภายใน 24 ชั่วโมง มิฉะนั้นสหรัฐอเมริกาจะใช้ระเบิดปรมาณูถล่มรัสเซียให้แหลกลาญทันที รัสเซียยอมถอนจรวดสกัดกลับเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม และนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ฟิเดล คัสโตร ผู้นำคิวบาก็กลายเป็นคู่แค้นของสหรัอเมริกา จนมีการทำลายล้างกันหลายครั้งหลายหน แต่คัสโตรก็รอดตายมาจนถึงวันนี้ และเขาได้ยุติบทบาททางการเมือง โดยโอนอำนาจบริหารให้กับน้องชายหลายปีแล้ว จรวดสกัดของรัสเซียเป็นขีปนาวุธระยะไกลของค่ายคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น เมื่อคอมมิวนิสต์ล่มสลายลง หลายประเทศได้นำจรวดสกัดมาพัฒนาจนมีประสิทธิภาพสูง สามารถยิงไปได้ไกลมากขึ้น เช่น เกาหลีเหนือได้พัฒนาจนสามารถยิงจรวดสกัดไปถึงสหรัฐอเมริกา

    [​IMG]


    โครงการจานบินเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1941 โดยนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญของเยอรมัน 3 คน คือ Schriever, Habermohl, Miethe และวิศวกรจากอิตาลีอีก 1 คน คือ Bellonzo เมื่อสงครามยุติลง กองทัพสหรัฐอเมริกาได้นำตัว Schriever และ Miethe ไปเป็นนักโทษในค่ายกักกันที่สหรัฐอเมริกา เพื่อทำงานเกี่ยวกับจานบินภายใต้ชื่อ"OperationPaperclip" ส่วน Habermohl หน่วยข่าวกรองทางทหารสหรัฐอเมริกาได้รายงานว่า ถูกรัสเซียจับตัวไป
    http://www.mythland.org/v3/thread-4588-1-1.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2014
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เรื่องเล่าขาน

    เคยมียานพาหนะที่บินได้ในสมัยโบราณจริงหรือ

    เรื่องราวลึกลับนี้เริ่มขึ้น เมื่อจิตรกรรมและประติมากรรมในโบราณสถานหลายแห่งที่เปนรูปแสดงถึงวัตถุ ประหลาดซึ่งมีลักษณะคล้ายยานบินหรือแม้กระทั้งยานอวกาศ

    เป็นไปได้ไหมว่า ในอดีตนั้นเราเคยมียานที่บินได้ โดยมนุษย์จากนอกโลกเป็นผู้นำมา และเป็นที่กำเนิดยาน UFO??

    หลักฐานชิ้นแรกในประวัติศาสตร์คือในสมัยพระเจ้า อโศกมหาราช(Ashoka) พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดียมีคำร่ำลือว่าพระองค์เป็นผู้ริเริ่มก่อ ตั้งแหล่งวิทยาการ “สมาคมลับของบุรุษนิรนามทั้งเก้า”(Secret Society of the Nine Unknown Men) ซึ่งปราชญ์อินเดียในสมัยนั้นต่างกระหายที่จะเรียนรู้วิทยาการเหล่านี้ แต่พระเจ้าอโศกกลับงานวิทยาการต่างๆ ของพวกเขาเป็นความลับ เพราะกลัวว่าวิทยาการเหล่านั้นถ้าเผยแพร่ไปอาจเกิดเหตุนองเลือดขึ้นได้ เพราะพระองค์เองเคยใช้วิทยาการเหล่านั้นทำสงครามมาแล้ว พระองค์จึงเน้นทำนุบำรุงศาสนาพุทธแทน

    “บุรุษนิรนามทั้งเก้า(The Nine Unknown Men) หมายถึงหนังสือเก้าเล่มที่พระเจ้าอโศกทรงนิพนธ์ขึ้นมา เล่มหนึ่งมีชื่อว่า “ความลับของแรงโน้มถ่วง(The Secrets of Gravitation) เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณ เนื้อหาในหนังสือเป็นคนละแบบกับ “กฎของแรงโน้นถ่วงของนิวตัน” และหนังสือเก้าเล่มนี้อาจเก็บอยู่ในห้องสมุดที่ไหนสักแห่งในอินเดียหรือ ทิเบต(หรือแม้แต่ในอเมริกา)

    เมื่อไม่นานมาแล้ว ชาวจีนได้ค้นพบแท่งหินอักขระจารึกเป้นภาษาสันสกฤตในเมืองลาศา(Lhasa) ในทิเบต และส่งแท่นหินเหล่านี้ไปศึกษาค้นคว้าที่มหาลับชานดริการ์ ดร.รูท เรย์นา อาจารย์ประจำมหาลัยกล่าวว่า แท่งหินอักขระพวกนี้บ่งบอกถึงวิธีการสร้างยานอวกาศที่สามารถเดินทางไป มาระหว่างดวงดาวได้!!

    ส่วนวิธีการขับเคลื่อนนั้น ด็อกเตอร์เรย์นาอธิบายว่าจากอักขระว่า เป็นแรงต่อต้านโน้นถ่วง ในชื่อที่พวกเขาเรียกว่า ลากิมะ(Laghima) ซึ่งเป็นแรงที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เกิดมาจากพลังจิตของมนุษย์ โดยมีหลักการว่า แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง(Centrifugak Force) จะมีกำลังมากพอที่สามารถต่อต้านแรงดึงดูดของโลกได้ และจากความรู้ทางฮินดูโบราณ(Hindu Yogis)แรงหรือ พลัง ลากิมะนี้สามารถยกมนุษย์ให้ลอยขึ้นฟ้าได้

    ดร.เรย์ยังอธิบายอีกว่าสำหรับตัวเครื่องจักรหรือยานพาหนะนี้พวกเขา เรียกว่า “แอสทรา(Astras)” ซึ่งเป็นยานที่สามารถต่อต้านแรงดึงดูดของโลกและมีหลักฐานที่เกี่ยวกับ เทคโนโลยีชนิดนี้ว่ามีใช้กันในอินเดียสมัยโบราณหรือในสมัยที่ยังมีอาณาจักร ของพระรามอยู่ อาณาจักรของพระรามอยู่ อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอินเดียและปากีสถาน ได้ก่อตั้งมานาน 15,000 ปีแล้วในทวีปอินเดียซึ่งตอนนั้นยังแยกออกมาจากทวีปเอเซียอยู่และดำรงมาควบ คู่กับอาณาจักรแอตแลนติสที่อยู่กลางมหาสมุทรแอนแลนติกมาก่อน

    อาณาจักรพระรามปกครองโดย “สังฆราชาผู้สำเร็จ”(Enlightened Priest-Kings) เรียกชื่อเมืองหลวงทั้งเจ็ดเมืองว่า เมืองฤษีทั้งเจ็ด(The Seven Risni Cities)

    ตามหลักฐานของชาวอินเดียโบราณ ผู้คนในสมัยนั้นใช้ยวดยานพาหนะที่สามารถบินได้ชื่อ วิมาน(Vimanas)

    แท่งอักขระ ได้บรรยายรูปร่างลักษณะของยานวิมานว่า

    “มันเป็นยานที่มีสองชั้น รูปร่างค่อนข้างกลม มีท่อไอเสียอยู่ด้านล่าง และในห้องผู้โดยสารด้านบนมีรูปร่างคล้ายโดม”

    จากข้อความดังกล่าว ทำให้เราจิตนาการว่ามันคือจากบินหรือเปล่านี่!!

    ยานวิมานบินด้วย “ความเร็วที่ยิ่งกว่าสายลม(Speed of The Wind)และมีเสียงที่ดังมาก ยานนี้มีรูปร่างที่ต่างๆ กันถึงสี่แบบ มีรูปร่างคล้ายกับจานบินบ้าง หรือไม่ก็มีรูปร่างคล้ายกระบอกยาวๆ บ้าง (หรือมีรูปร่างคล้ายซิการ์ดังเช่น UFO)

    ชาวอินเดียโบราณผลิตยานเหล่านี้ด้วยตัวพวกเขาเอง และพวกเขาได้เขียนวิธีควบคุมยานบินทั้งสี่แบบเหล่านี้ไว้ซะด้วย!!

    ในปี ค.ศ.1875 มีการค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับยานชนิดนี้ในวัดแห่งหนึ่งในอินเดีย เป็นหลักฐานที่มีอายุออยู่ในช่วงศตวรรษที่สี่ก่อนคริสต์ศักราช ในหลักฐานนั้นบ่บอกถึงวิธีการควบคุมยานวิมาน รวมถึงการบังคับเลี้ยว การระมัดระวังในการเดินทาง การป้องกันยานจากพายุและสายฟ้า และยังบอกวิธีการขับเคลื่อนโดยการใช้แสงอาทิตย์ที่คล้ายๆ กับ “แรงต่อต้านแรงโน้นถ่วง”

    นอกจากนี้ หลักฐานชิ้นนี้ยังบอกวิธีการสร้างยานวิมานอย่างละเอียดถึงชิ้นส่วนของยาน 31 ชิ้น และวัสดุที่ใช้สร้างอีก 16 อย่าง ซึ่งวัสดุพวกนี้มีคุณสมบัติที่ดูดซับแสงและความร้อนได้ และนี่คงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างยานที่สามารถขับเคลื่อนไปบนฟ้าได้

    เป็นไปได้ว่ายานวิมานจะต้องใช้พลังบางอย่างที่สามารถต่อต้านแรงโน ถ่วงได้อย่างแน่นอน มันออกตัวในแนวดิ่งจากพื้นดิน และยังสามารถลอยอยู่บนฟ้าได้ราวกับเฮลิคอปเตอร์หรือยานบินในสมัยนี้ซะอีก

    ในด้านพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนนั้นหลักฐานกล่าวไว้ว่า ยานวิมานใช้ของเหลวสีขาวอมเหลือง(Yellowish white liguid)เป็น สารประกอบที่คล้ายกัยปรอท ดูเหมือนว่าบางทีของเหลวสีขาวอมเหลืองนี้อาจเป็นสารที่คล้ายๆ กับน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือเครื่องยนต์ไอพ่นก็ได้

    นอกเหนือจากหลักฐานแท่งอักขระแล้ว ก็ยังมีเนื้อเรื่องบางส่วนในมหากาพย์มหาภารตะกับรามายณะที่บรรยายลักษณะของ ยานวิมานว่ามีรูปร่างเป็นทรงกลมและขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าสายลม โดยใช้ปรอทเป็นตัวขับเคลื่อน การขับเคลื่อนคล้ายกับ UFO ไม่มีผิด เพราะสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงในแนวดิ่ง ถอยหลังหรือเดินเท้าได้ตามที่นักบินต้องการ และระบุว่ายานวิมานเป็นเครื่องจักรกลที่ทำด้วยเหล็ก เชื่อมติดกันอย่างดีและเรียบร้อยสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยใช้ปรอทพ่นออกมา จากข้างหลังของตัวยานในรูปแบบของเปลวไฟคำราม(Roaring Flame)

    นักวิทยาศาสตร์ชาว โซเวียตได้ค้นพบสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เครื่องมือในยุคโบราณที่ใช้ระบบนำร่องของยาน” ในถ้ำแห่งหนึ่งของประเทศตุรกีและในทะเลทรายโกบี มันเป็น “อุปกรร์” ที่เป้นรูปทรงครึ่งวงกลมที่ทำมาจากแก้วเหมือนถ้วบชาม โดยส่วนปลายสุดจะเรียวเล็กลงเป้นรูปกรวยและมีสารปรอทอยู่ภายในด้วย หลักฐานบ่ชี้ว่าชาวอินเดียในสมัยโบราณเคยใช้พาหนะนี้บินผ่านทั่วเอเชียมา แล้ว และอาจจะเคยบินผ่านทวีปแอตแลนตีสมาแล้วด้วย

    นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงรถศึกเพลิงกัลป์(Fiery Charot)ไว้ ในมหากาพย์มหาภารตยุทธว่า “ภีมะขับรถของเขาบินสู่ฟากฟ้า ลุกสว่างราวกับแสงอาทิตย์ เสียงดังราวกับฟ้าผ่า ราชรถที่อยู่บนฟ้า ลุกสว่างราวกับเปลวเพลิงที่ส่องสว่างฟากฟ้ายาวค่ำคืนของฤดูร้อน มันบินโฉบไปราวกับผีพุ่งใต้ ราวกับมีพระอาทิตย์สองดวงกำลังส่องแสงอยู่กระนั้น และสวรรค์ทั่วทั้งชั้นฟ้าก็สว่างขึ้นบัดดล”

    คัมภีร์พระเวท(Vedas)หลัก ฐานทางฮนดูโบราณที่เก่าแก่ที่สุดก็คือกล่าวถึงยานวิมานว่า “อนิโหตระวิมาน(Ahnihotra-Vinana)เป็นยานที่มีสองเครื่องยนต์, วิมานรูปช้าง(Elephant VimanaX,มีเครื่องยนต์มากกว่านั้น และระบุชื่อยานวิมานรูปแบบอื่นๆ ที่ตั้งชื่อเป็นสัตว์ต่างๆ

    ชาวแอตแลนติสเคยใช้ยานบินที่เรียกว่า “ไวลิกซี(Vaillxl)” มีรูปร่างคล้ายกับเครื่องบินในสมัยนี้ หลักฐานของอินเดียว่าคนทวีปนี้ต้องการจะใช้ยานของเขาเพื่อครอบครอง โลก(ติดตามได้ในเมื่อนาซีค้นหาแอตแลนตีส)

    ยานของแอตแลนตีสเรียกว่า “อัศวิน(Asvins)และยังบอกว่าชาวแอ ตแลนตีสมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าของอินเดียและยังเป็นที่ชื่นชอบการทำ สงครามด้วย แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกถึงยานบินวืมานก็ตาม แต่ก็มีข้อมูลบางอย่างอยู่บ้าง เช่นว่า รูปร่างคล้ายซิการ์และสามารถแทรกตัวลงใต้น้ำได้ดีพอๆ กับการบินผ่านชั้นบรรยากาศหรือนอกโลก

    เอกลัล เกศนะ ผู้แต่งหนังสือชื่อ The Ultimate Frontier พิมพ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1966 กล่าวว่าวิมานสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ 20000ปีก่อน ในทวีปแอตแลนติส และส่วนใหญ่มีรูปร่างคล้ายๆ จานแบนๆ ภาคตัวยานตัดขวางรูปสี่เหลี่ยมคางหมู มีเครื่องยนต์รูปครึ่งวงกลมสามตัวติดตั้งอยู่ส่วนล่างของยาน...พวกเขาใช้ อุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้นถ่วงที่ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ที่มีกำลังประมาณ 30,000แรงม้า

    บาง ตอนในมหากาพย์รามายณะกับมหาภารตะก็เคยกล่าวถึงสงครามมหาประลัย ครั้งนั้นว่า

    “อาวุธที่เคลื่อนที่เป็นวิถีโค้งปลดปล่อยพลังของเอกภพมาอย่างมหาศาล เปลวเพลิงและควันที่ลุกโซติช่วงราวกับมีพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่นับพัน ดวง...พายุสายฟ้ากัมปนาท ผู้ส่งสารแห่งความตาย ที่นำมาซึ่งขี้เถ้า เผ่าพันธุ์ทั้งปวง........ซาก..พกลับถูกเผาไหม้ จนจำหน้าตาไม่ได้ ผมและเล็บก็หลุดร่วงออกมาเครื่องดินเผาต่างๆ กลับแจกหักโดยไม่รู้สาเหตุ และนกก็เปลี่ยนเป็นสีขาว.........หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงอาหารทั้งหมดก็ เป็นพิษ เพื่อที่จะหนีออกมาจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ ชะล้างตัวพวกเขาและเครื่องไม้เครื่องมือของพวกเขาด้วย

    นี้เขาบรรยายมหาภารตะหรือบรรยายเรื่องมหาสงครามนิวเคลียร์นี้!!

    และดูเหมือนว่ามหากาพย์มหาภารตะจะเป็นเรื่องจริงซะ ด้วย เพราะว่ามีการค้นพบอุโมงค์ในซากโบราณสถานในเมืองโมเฮ็นโจดาโร เมื่อศตวรรษที่แล้ว พวกเขาพบโครงกระดูกหลายศาก บางโครงนอนกุมมืดอยู่บนหน้าอกด้วยความกลัว ราวกับมีหายนะครั้งใหญ่ นอกจากนี้เขายังพบสารกัมมันตรังรังสีค้างอยู่ในตัวด้วย

    เมื่ออาณาจักรแอตแลนตีสกับรามาล่มสลายด้วยอาวุธนิวเคลียร์หรืออะไร ก็เถอะ โลกก็เริ่มเข้าสู่ยุคหิน และประวัติศาสตร์สมัยใหม่ก็ดำเนินต่อไปอีกนับพันปี แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวของจานบินวิมานยุคโบราณจะไม่สูญหายไปไหน เพราะมันปรากฏอีกทีก็บันทึกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์บุกโจมตีอินเดียเมื่อสอง พันปีก่อน มีบันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งกองทัพของพระองค์ถูกโจมตีโดยโล่บินได้ที่ทำให้รถศึกและกองทัพของ พระองค์ต้องหวั่นเกรงไปตามกัน

    ว่า กันว่า สมาคมลึกลับที่เรียกตัวเองว่า ภราดรภาพ(Brotherhoods) ได้เก็บยานวิมานกับยานไวลิกซี่ไว้ในถ้ำลึกลับที่ไหนสักแห่งในทิเบตหรือเจ กลางเอเซียรวมทั้งทะเลทรายลอปนอร์(Lop Nor Desert) ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของจีน ที่มีคนกล่าวขวัญกันมากที่สุดว่าเป็นศูนย์กลางของลึกลับ UFO

    ในช่วงปี ค.ศ.1930 พรรคนาซีของฮิตเลอร์เคยส่งนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีไปยังอินเดียเพื่อ เก็บเรื่องราวลึกลับและวิทยาการในสมัยโบราณที่พวกเขาเชื่อว่าเคยมีอยู่จริง พวกเขาเชื่อว่าอารยธรรมในอดีตนั้นมียานบินต่างๆ และรวมไปถึงอาวุธทำลายล้างที่พวกเขาเคยใช้ในอดีต

    นักโบราณคดีเยอรมันได้ถอดความสันสกฤตโบราณและอักขระโบราณเหล่านี้ ว่ามีการบรรยายถึงเหตุการณ์ที่มียานบินผ่านอยู่บนฟ้า โดยมีผู้สังเกตการณ์อยู่ในทวีปอเมริกาใต้, อาฟริกา, แถบแปซิฟิก และอื่นๆ เกือบทั่วโลก และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังคงได้ศึกษาวิจัยต่อจากประเทศอเมริกาและโซเวียตให้ การสนับสนุน

    นอก จากนี้ยังมีทีมงานของจีนก็เคยทำการสืบค้นอักขระภาษาสันสกฤตทั้งในทิเบตและ อินเดียเหมือนกัน และทางจีนเคยยืนยันแล้วว่าข้อมูลจากแหล่งโบราณเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้ใน โครงการสำรวจอวกาศของพวกเขา

    ทาง ด้านอเมริกาเองก็เคยทำการสืบสวนในเรื่องนี้เมื่อปี ค.ศ.1947 เหมือนกัน แต่น่าเสียหลักฐานต่างๆถูกทำลายจนหมดสิ้น เช่นห้องสมุดอเล็กซานเดรีย(The Great Lirary of Alexandria)ที่ถูกทำลายเพราะกองทัพโรมัน และทำให้หลักฐานต่างๆ ถูกเผาทำลายจนหมด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นกุญแจไขความลับเรื่องยานบินยุคโบราณให้เราทราบได้

    ปิดท้ายด้วย OOPARTS ที่เกี่ยวข้องกับยานบินยุคโบราณนะครับ

    คาน ติดเพดานอายุกว่า 3000 ปี ในวิหารอาบิดอส โบราณทางใต้ของไคโร ของอียิปต์ บริเวณที่ราบสูงกิ ซา มีภาพประติมากรรมยานลึกลับปรากฎอยุ่

    จาก

    และ http://www.mythland.org/v2/viewthread.php?tid=75

    http://www.mythland.org/v2/thread-30-1-1.html
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    :cool:
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    :cool:
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    นาซีกับแอตแลนติส


    เรื่องราวลึกลับนี้เริ่มขึ้น เมื่อจิตรกรรมและประติมากรรมในโบราณสถานหลายแห่งที่เปนรูปแสดงถึงวัตถุ ประหลาดซึ่งมีลักษณะคล้ายยานบินหรือแม้กระทั้งยานอวกาศ

    เป็นไปได้ไหมว่า ในอดีตนั้นเราเคยมียานที่บินได้ โดยมนุษย์จากนอกโลกเป็นผู้นำมา และเป็นที่กำเนิดยาน UFO??

    หลักฐานชิ้นแรกในประวัติศาสตร์คือในสมัยพระเจ้า อโศกมหาราช(Ashoka) พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดียมีคำร่ำลือว่าพระองค์เป็นผู้ริเริ่มก่อ ตั้งแหล่งวิทยาการ “สมาคมลับของบุรุษนิรนามทั้งเก้า”(Secret Society of the Nine Unknown Men) ซึ่งปราชญ์อินเดียในสมัยนั้นต่างกระหายที่จะเรียนรู้วิทยาการเหล่านี้ แต่พระเจ้าอโศกกลับงานวิทยาการต่างๆ ของพวกเขาเป็นความลับ เพราะกลัวว่าวิทยาการเหล่านั้นถ้าเผยแพร่ไปอาจเกิดเหตุนองเลือดขึ้นได้ เพราะพระองค์เองเคยใช้วิทยาการเหล่านั้นทำสงครามมาแล้ว พระองค์จึงเน้นทำนุบำรุงศาสนาพุทธแทน

    “บุรุษนิรนามทั้งเก้า(The Nine Unknown Men) หมายถึงหนังสือเก้าเล่มที่พระเจ้าอโศกทรงนิพนธ์ขึ้นมา เล่มหนึ่งมีชื่อว่า “ความลับของแรงโน้มถ่วง(The Secrets of Gravitation) เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณ เนื้อหาในหนังสือเป็นคนละแบบกับ “กฎของแรงโน้นถ่วงของนิวตัน” และหนังสือเก้าเล่มนี้อาจเก็บอยู่ในห้องสมุดที่ไหนสักแห่งในอินเดียหรือ ทิเบต(หรือแม้แต่ในอเมริกา)

    เมื่อไม่นานมาแล้ว ชาวจีนได้ค้นพบแท่งหินอักขระจารึกเป้นภาษาสันสกฤตในเมืองลาศา(Lhasa) ในทิเบต และส่งแท่นหินเหล่านี้ไปศึกษาค้นคว้าที่มหาลับชานดริการ์ ดร.รูท เรย์นา อาจารย์ประจำมหาลัยกล่าวว่า แท่งหินอักขระพวกนี้บ่งบอกถึงวิธีการสร้างยานอวกาศที่สามารถเดินทางไป มาระหว่างดวงดาวได้!!

    ส่วนวิธีการขับเคลื่อนนั้น ด็อกเตอร์เรย์นาอธิบายว่าจากอักขระว่า เป็นแรงต่อต้านโน้นถ่วง ในชื่อที่พวกเขาเรียกว่า ลากิมะ(Laghima) ซึ่งเป็นแรงที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เกิดมาจากพลังจิตของมนุษย์ โดยมีหลักการว่า แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง(Centrifugak Force) จะมีกำลังมากพอที่สามารถต่อต้านแรงดึงดูดของโลกได้ และจากความรู้ทางฮินดูโบราณ(Hindu Yogis)แรงหรือ พลัง ลากิมะนี้สามารถยกมนุษย์ให้ลอยขึ้นฟ้าได้

    ดร.เรย์ยังอธิบายอีกว่าสำหรับตัวเครื่องจักรหรือยานพาหนะนี้พวกเขา เรียกว่า “แอสทรา(Astras)” ซึ่งเป็นยานที่สามารถต่อต้านแรงดึงดูดของโลกและมีหลักฐานที่เกี่ยวกับ เทคโนโลยีชนิดนี้ว่ามีใช้กันในอินเดียสมัยโบราณหรือในสมัยที่ยังมีอาณาจักร ของพระรามอยู่ อาณาจักรของพระรามอยู่ อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอินเดียและปากีสถาน ได้ก่อตั้งมานาน 15,000 ปีแล้วในทวีปอินเดียซึ่งตอนนั้นยังแยกออกมาจากทวีปเอเซียอยู่และดำรงมาควบ คู่กับอาณาจักรแอตแลนติสที่อยู่กลางมหาสมุทรแอนแลนติกมาก่อน

    อาณาจักรพระรามปกครองโดย “สังฆราชาผู้สำเร็จ”(Enlightened Priest-Kings) เรียกชื่อเมืองหลวงทั้งเจ็ดเมืองว่า เมืองฤษีทั้งเจ็ด(The Seven Risni Cities)

    ตามหลักฐานของชาวอินเดียโบราณ ผู้คนในสมัยนั้นใช้ยวดยานพาหนะที่สามารถบินได้ชื่อ วิมาน(Vimanas)

    แท่งอักขระ ได้บรรยายรูปร่างลักษณะของยานวิมานว่า

    “มันเป็นยานที่มีสองชั้น รูปร่างค่อนข้างกลม มีท่อไอเสียอยู่ด้านล่าง และในห้องผู้โดยสารด้านบนมีรูปร่างคล้ายโดม”

    จากข้อความดังกล่าว ทำให้เราจิตนาการว่ามันคือจากบินหรือเปล่านี่!!

    ยานวิมานบินด้วย “ความเร็วที่ยิ่งกว่าสายลม(Speed of The Wind)และมีเสียงที่ดังมาก ยานนี้มีรูปร่างที่ต่างๆ กันถึงสี่แบบ มีรูปร่างคล้ายกับจานบินบ้าง หรือไม่ก็มีรูปร่างคล้ายกระบอกยาวๆ บ้าง (หรือมีรูปร่างคล้ายซิการ์ดังเช่น UFO)

    ชาวอินเดียโบราณผลิตยานเหล่านี้ด้วยตัวพวกเขาเอง และพวกเขาได้เขียนวิธีควบคุมยานบินทั้งสี่แบบเหล่านี้ไว้ซะด้วย!!

    <center> <table border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    </center><center>
    <table border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody><tr><td valign="top"><table bgcolor="#dddddd" border="0" cellspacing="1" cellpadding="0"><tbody><tr><td bgcolor="#222244" valign="top"><table align="center" border="0"><tbody><tr><td>ในปี ค.ศ.1875 มีการค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับยานชนิดนี้ในวัดแห่งหนึ่งในอินเดีย เป็นหลักฐานที่มีอายุออยู่ในช่วงศตวรรษที่สี่ก่อนคริสต์ศักราช ในหลักฐานนั้นบ่บอกถึงวิธีการควบคุมยานวิมาน รวมถึงการบังคับเลี้ยว การระมัดระวังในการเดินทาง การป้องกันยานจากพายุและสายฟ้า และยังบอกวิธีการขับเคลื่อนโดยการใช้แสงอาทิตย์ที่คล้ายๆ กับ “แรงต่อต้านแรงโน้นถ่วง”

    นอกจากนี้ หลักฐานชิ้นนี้ยังบอกวิธีการสร้างยานวิมานอย่างละเอียดถึงชิ้นส่วนของยาน 31 ชิ้น และวัสดุที่ใช้สร้างอีก 16 อย่าง ซึ่งวัสดุพวกนี้มีคุณสมบัติที่ดูดซับแสงและความร้อนได้ และนี่คงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างยานที่สามารถขับเคลื่อนไปบนฟ้าได้

    เป็นไปได้ว่ายานวิมานจะต้องใช้พลังบางอย่างที่สามารถต่อต้านแรงโน ถ่วงได้อย่างแน่นอน มันออกตัวในแนวดิ่งจากพื้นดิน และยังสามารถลอยอยู่บนฟ้าได้ราวกับเฮลิคอปเตอร์หรือยานบินในสมัยนี้ซะอีก

    ในด้านพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนนั้นหลักฐานกล่าวไว้ว่า ยานวิมานใช้ของเหลวสีขาวอมเหลือง(Yellowish white liguid)เป็น สารประกอบที่คล้ายกัยปรอท ดูเหมือนว่าบางทีของเหลวสีขาวอมเหลืองนี้อาจเป็นสารที่คล้ายๆ กับน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือเครื่องยนต์ไอพ่นก็ได้

    นอกเหนือจากหลักฐานแท่งอักขระแล้ว ก็ยังมีเนื้อเรื่องบางส่วนในมหากาพย์มหาภารตะกับรามายณะที่บรรยายลักษณะของ ยานวิมานว่ามีรูปร่างเป็นทรงกลมและขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าสายลม โดยใช้ปรอทเป็นตัวขับเคลื่อน การขับเคลื่อนคล้ายกับ UFO ไม่มีผิด เพราะสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงในแนวดิ่ง ถอยหลังหรือเดินเท้าได้ตามที่นักบินต้องการ และระบุว่ายานวิมานเป็นเครื่องจักรกลที่ทำด้วยเหล็ก เชื่อมติดกันอย่างดีและเรียบร้อยสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยใช้ปรอทพ่นออกมา จากข้างหลังของตัวยานในรูปแบบของเปลวไฟคำราม(Roaring Flame)


    นักวิทยาศาสตร์ชาว โซเวียตได้ค้นพบสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เครื่องมือในยุคโบราณที่ใช้ระบบนำร่องของยาน” ในถ้ำแห่งหนึ่งของประเทศตุรกีและในทะเลทรายโกบี มันเป็น “อุปกรร์” ที่เป้นรูปทรงครึ่งวงกลมที่ทำมาจากแก้วเหมือนถ้วบชาม โดยส่วนปลายสุดจะเรียวเล็กลงเป้นรูปกรวยและมีสารปรอทอยู่ภายในด้วย หลักฐานบ่ชี้ว่าชาวอินเดียในสมัยโบราณเคยใช้พาหนะนี้บินผ่านทั่วเอเชียมา แล้ว และอาจจะเคยบินผ่านทวีปแอตแลนตีสมาแล้วด้วย

    นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงรถศึกเพลิงกัลป์(Fiery Charot)ไว้ ในมหากาพย์มหาภารตยุทธว่า “ภีมะขับรถของเขาบินสู่ฟากฟ้า ลุกสว่างราวกับแสงอาทิตย์ เสียงดังราวกับฟ้าผ่า ราชรถที่อยู่บนฟ้า ลุกสว่างราวกับเปลวเพลิงที่ส่องสว่างฟากฟ้ายาวค่ำคืนของฤดูร้อน มันบินโฉบไปราวกับผีพุ่งใต้ ราวกับมีพระอาทิตย์สองดวงกำลังส่องแสงอยู่กระนั้น และสวรรค์ทั่วทั้งชั้นฟ้าก็สว่างขึ้นบัดดล”


    คัมภีร์พระเวท(Vedas)หลัก ฐานทางฮนดูโบราณที่เก่าแก่ที่สุดก็คือกล่าวถึงยานวิมานว่า “อนิโหตระวิมาน(Ahnihotra-Vinana)เป็นยานที่มีสองเครื่องยนต์, วิมานรูปช้าง(Elephant VimanaX,มีเครื่องยนต์มากกว่านั้น และระบุชื่อยานวิมานรูปแบบอื่นๆ ที่ตั้งชื่อเป็นสัตว์ต่างๆ

    ชาวแอตแลนติสเคยใช้ยานบินที่เรียกว่า “ไวลิกซี(Vaillxl)” มีรูปร่างคล้ายกับเครื่องบินในสมัยนี้ หลักฐานของอินเดียว่าคนทวีปนี้ต้องการจะใช้ยานของเขาเพื่อครอบครอง โลก(ติดตามได้ในเมื่อนาซีค้นหาแอตแลนตีส)

    ยานของแอตแลนตีสเรียกว่า “อัศวิน(Asvins)และยังบอกว่าชาวแอ ตแลนตีสมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าของอินเดียและยังเป็นที่ชื่นชอบการทำ สงครามด้วย แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกถึงยานบินวืมานก็ตาม แต่ก็มีข้อมูลบางอย่างอยู่บ้าง เช่นว่า รูปร่างคล้ายซิการ์และสามารถแทรกตัวลงใต้น้ำได้ดีพอๆ กับการบินผ่านชั้นบรรยากาศหรือนอกโลก

    <center><table border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    เอกลัล เกศนะ ผู้แต่งหนังสือชื่อ The Ultimate Frontier พิมพ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1966 กล่าวว่าวิมานสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ 20000ปีก่อน ในทวีปแอตแลนติส และส่วนใหญ่มีรูปร่างคล้ายๆ จานแบนๆ ภาคตัวยานตัดขวางรูปสี่เหลี่ยมคางหมู มีเครื่องยนต์รูปครึ่งวงกลมสามตัวติดตั้งอยู่ส่วนล่างของยาน...พวกเขาใช้ อุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้นถ่วงที่ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ที่มีกำลังประมาณ 30,000แรงม้า

    บาง ตอนในมหากาพย์รามายณะกับมหาภารตะก็เคยกล่าวถึงสงครามมหาประลัย ครั้งนั้นว่า

    “อาวุธที่เคลื่อนที่เป็นวิถีโค้งปลดปล่อยพลังของเอกภพมาอย่างมหาศาล เปลวเพลิงและควันที่ลุกโซติช่วงราวกับมีพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่นับพัน ดวง...พายุสายฟ้ากัมปนาท ผู้ส่งสารแห่งความตาย ที่นำมาซึ่งขี้เถ้า เผ่าพันธุ์ทั้งปวง........ซากศพกลับถูกเผาไหม้ จนจำหน้าตาไม่ได้ ผมและเล็บก็หลุดร่วงออกมาเครื่องดินเผาต่างๆ กลับแจกหักโดยไม่รู้สาเหตุ และนกก็เปลี่ยนเป็นสีขาว.........หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงอาหารทั้งหมดก็ เป็นพิษ เพื่อที่จะหนีออกมาจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ ชะล้างตัวพวกเขาและเครื่องไม้เครื่องมือของพวกเขาด้วย

    นี้เขาบรรยายมหาภารตะหรือบรรยายเรื่องมหาสงครามนิวเคลียร์นี้!!

    และดูเหมือนว่ามหากาพย์มหาภารตะจะเป็นเรื่องจริงซะ ด้วย เพราะว่ามีการค้นพบอุโมงค์ในซากโบราณสถานในเมืองโมเฮ็นโจดาโร เมื่อศตวรรษที่แล้ว พวกเขาพบโครงกระดูกหลายศาก บางโครงนอนกุมมืดอยู่บนหน้าอกด้วยความกลัว ราวกับมีหายนะครั้งใหญ่ นอกจากนี้เขายังพบสารกัมมันตรังรังสีค้างอยู่ในตัวด้วย

    เมื่ออาณาจักรแอตแลนตีสกับรามาล่มสลายด้วยอาวุธนิวเคลียร์หรืออะไร ก็เถอะ โลกก็เริ่มเข้าสู่ยุคหิน และประวัติศาสตร์สมัยใหม่ก็ดำเนินต่อไปอีกนับพันปี แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวของจานบินวิมานยุคโบราณจะไม่สูญหายไปไหน เพราะมันปรากฏอีกทีก็บันทึกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์บุกโจมตีอินเดียเมื่อสอง พันปีก่อน มีบันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งกองทัพของพระองค์ถูกโจมตีโดยโล่บินได้ที่ทำให้รถศึกและกองทัพของ พระองค์ต้องหวั่นเกรงไปตามกัน

    ว่า กันว่า สมาคมลึกลับที่เรียกตัวเองว่า ภราดรภาพ(Brotherhoods) ได้เก็บยานวิมานกับยานไวลิกซี่ไว้ในถ้ำลึกลับที่ไหนสักแห่งในทิเบตหรือเจ กลางเอเซียรวมทั้งทะเลทรายลอปนอร์(Lop Nor Desert) ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของจีน ที่มีคนกล่าวขวัญกันมากที่สุดว่าเป็นศูนย์กลางของลึกลับ UFO

    [​IMG]
    ในช่วงปี ค.ศ.1930 พรรคนาซีของฮิตเลอร์เคยส่งนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีไปยังอินเดียเพื่อ เก็บเรื่องราวลึกลับและวิทยาการในสมัยโบราณที่พวกเขาเชื่อว่าเคยมีอยู่จริง พวกเขาเชื่อว่าอารยธรรมในอดีตนั้นมียานบินต่างๆ และรวมไปถึงอาวุธทำลายล้างที่พวกเขาเคยใช้ในอดีต

    นักโบราณคดีเยอรมันได้ถอดความสันสกฤตโบราณและอักขระโบราณเหล่านี้ ว่ามีการบรรยายถึงเหตุการณ์ที่มียานบินผ่านอยู่บนฟ้า โดยมีผู้สังเกตการณ์อยู่ในทวีปอเมริกาใต้, อาฟริกา, แถบแปซิฟิก และอื่นๆ เกือบทั่วโลก และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังคงได้ศึกษาวิจัยต่อจากประเทศอเมริกาและโซเวียตให้ การสนับสนุน

    นอก จากนี้ยังมีทีมงานของจีนก็เคยทำการสืบค้นอักขระภาษาสันสกฤตทั้งในทิเบตและ อินเดียเหมือนกัน และทางจีนเคยยืนยันแล้วว่าข้อมูลจากแหล่งโบราณเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้ใน โครงการสำรวจอวกาศของพวกเขา

    ทาง ด้านอเมริกาเองก็เคยทำการสืบสวนในเรื่องนี้เมื่อปี ค.ศ.1947 เหมือนกัน แต่น่าเสียหลักฐานต่างๆถูกทำลายจนหมดสิ้น เช่นห้องสมุดอเล็กซานเดรีย(The Great Lirary of Alexandria)ที่ถูกทำลายเพราะกองทัพโรมัน และทำให้หลักฐานต่างๆ ถูกเผาทำลายจนหมด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นกุญแจไขความลับเรื่องยานบินยุคโบราณให้เราทราบได้

    หลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้สิ้นสุด เยอรมันเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ตอนนั้นสัมพันธ์มิตรเข้าค้นห้องของมือขวาคนสนิทของฮิตเลอร์นาม ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ เมื่อปีค.ศ.1945 พวกเขาได้พบหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์ลึกลับเล่มหนึ่งที่รวบรวมไว้เป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้นมีเล่มหนึ่งชื่อ “ทฤษฎีน้ำแข็งโลก(The World Lce Theory) โดยเอิร์นสต์ เฮอร์บิเกอร์ ผู้แต่งอ้าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์ดีเลิศนั้นมาจากอวกาศมาลงที่เกาะแอตแลนตีส และคนพวกนั้นได้สร้างอารยธรรมที่ล้ำยุคกว่าอารยธรรมอื่นขึ้นที่นั่น แต่แล้ว แผ่นน้ำแข็งที่เกิดจากอากาศหนาวเย็นได้ผลักดันให้พวกเขาต้องอพยพหนีไปอยู่ ที่อื่น และคนพวกนี้ได้เป็นผู้ถ่ายทอดอารยธรรมให้อียิปต์และกรีก
    ดู เหมือนว่าฮิมม์เลอร์จะเชื่อเรื่องในหนังสือเรื่องนี้มากๆ และยังเชื่ออีกว่าชาวแอนแลนตีสที่อพยพมานั้นได้สืบเชื้อสายกลายมาเป็นชาว เยอรมันในปัจจุบัน ส่วนสายอื่นๆ กระจัดกระจายไปทั่วโลก ในสายตาของเขา”ชาวอารยัน”นั้นเป็นสายพันธุ์มนุษย์ที่เลิศกว่ามนุษย์อื่นๆ เสมือนพระเจ้าเลยทีเดียว และความคิดของฮิมม์เลอร์จึงได้สร้างสายเลือดใหม่คือหน่วยเอสเอส(SS)องค์กรที่แนน่ากลัวของนาซีเยอรมัน

    [​IMG]




    <table border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody><tr><td valign="top"><table bgcolor="#dddddd" border="0" cellspacing="1" cellpadding="0"><tbody><tr><td bgcolor="#222244" valign="top">
    </td></tr></tbody></table><table align="center" border="0"><tbody><tr><td>และ เพื่อเป็นการพิสูจน์ทฏษฎีของเขาเป็นเรื่องจริง ฮิมม์เลอร์ได้ส่งคนออกไปสำรวจที่ไอซ์แลนด์ กรีนแลนด์ อเมริกากลาง รวมทั้งธิเบตด้วย เพื่อจะค้นหาหลักฐานทางโบราณคดีและเผ่าพันธุ์ของสายเลือดที่ล้ำมนุษย์ที่ได้ กระจัดกระจายไปจากแอตแลนตีสและอาวุธมหาประลัยของอารธรรมโบราณ นอกจากหนังสือของเฮอร์บิกอร์แล้ว ยังมีชาวออสเตรีย ชื่อ เฮอร์เบิร์ต วิลลีกุต ซึ่งฮิมม์เลอร์นับถือเป็นอาจารย์ที่ช่วยเสริมความเชื่อเรื่องเผ่าพันธุ์ที่ เหนือคนอื่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
    คา ร์ล โวลฟ์ นายทหารคนสนิทของฮิมม์เลอร์เป็นผู้แนะนำคนผู้นี้กับฮิมม์เลอร์ โดยบอกว่า “เขาเคยเป็นนายพันเอกในกองทัพบกออสเตรียมาก่อน เขาได้รับชื่อใหม่จากเรา(หน่วยเอสเอส)ว่าไวส์ธอร์....”ธอร์”เป็นเทพเจ้ายิ่ง ใหญ่ของเยอรมัน และ “ไวส์”หมายความว่า เขามาจากครอบครัวผู้ฉลาด และเขารับผิเดชอบการปลุกสำนักในคติโบราณก่อนสมัยคริสเตียน เขาแลเห็นว่าหน้าที่ในชีวิตของเขาก็คือการถ่ายทอดวามรู้และประสบการณ์ของเขา แก่ชาวเอสเอสผู้ซึ่งในอนาคตจะเป็นผู้ถูกเลือกให้เฝ้าอาณาจักรไรซ์พันปี”
    ระหว่าง ปี 1933-39 วิลลีกุต หรือไวส์ธอร์อยู่ในหน่วยเอสเอสและได้รับมอบหมายให้ทำงานค้นคว้าเรื่องราว ก่อนยุคประวัติศาสตร์ เหตุที่เขาทำหน้าที่นี้ ก็เพราะเขาอ้างว่าตนเองสืบเชื้อสายจากนักปราชญ์เยอรมันในยุคก่อนประวัติ ศาสตร์ และยังอ้างอีกด้วยว่าเขาสามารถระลึกชาติเห็นเหตุกาณณ์ในอดีตของเผ่าพันธุ์ ของเขาได้ไกลนับพันปี ดังนั้นเขาสามารถประกอบพิธีกรรมตามแบบฉบับชาวเยอรมันได้
    “เขา เป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว”โวลฟ์พูดถึงวิลลีกุต “เขาเป็นคนชี้ให้ผมดูสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนเยอรมันที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เลยและเขาอธิบายเรื่องเหล่านี้จนตลอดสัญลักษณ์และอักขระโบราณต่าองๆให้เรา ได้ฟัง”
    มี อยู่ครั้งหนึ่งฮิมม์เลอร์ต้องการปราสาทสำหรับหน่วยเอสเอส ในปี 1933 เขาได้อาศัยความรู้ของวิลลีกุดเพื่อหาที่อยู่ จนพบปราสาทที่ถูกโฉลก โดยเขาบอกว่ามีพลังมหาศาจเพราะมันอยู่ใจกลางของเยอรมันพอดี เป็นอันว่าปราสาทแห่งนี้ก็กลายเป็นที่อยู่ของฮัศวินเอสเอสของเขาทันที

    [​IMG]

    ฮิมม์เลอร์เป็นผู้สนใจโบราณคดีมาก เขาจึงได้ก่อตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่ในปี 1935 เรียกว่า อานน์เบอ(Ahnerbe) หรือกรมมรดกบรรพชน ประกอบด้วยคณะทำงานที่เป็นคนของเขาทั้งสิ้น คนเหล่านี้มีหน้าที่ออกสำรวจด้านโบราณคดีทั่วโลก

    ใน ปี 1934 กาบรีเลอ วิงเคลอร์ ผุ้ช่วยของวิลลีกุตที่ทำงานอยู่ในกรุงเบอร์ลิน เกิดไปพบหนังสือเล่มหนึ่งเรื่องอัศวินกับจอกศักดิ์สิทธิ์(The Crusade Against the Grail) หนังสือเล่มเขียนโดยเด็กหนุ่มอายุ 28 ปี ชื่อฮ็อตโต ราน เป้นหนังสือเล่มหนาเล่าถึงพวกนิกายคาธาร์ในยุคกลาง คนพวกนี้เป็นอัศวินเยอรมันที่ยึดถือคติความเชื่อของชนเผ่าเยอรมันสมัยโบราณ อย่างเหนียวแน่น และเป้นพวกเก็บรักษาจอกศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่ปราสาทของพวกเขาบนภูเขาปีเรนีสทาง ตอนใต้ของฝรั่งเศสจอกนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ เพราะเป็นจอกที่พระเยซูใช้ดื่มเหล้าองุ่นก่อนที่พระองค์จะถูกจับตรึงกางเขน

    เพราะ หนังสือเล่มนั้นเอง รานจึงถูกเชิญไปเบอร์ลิน และดำเนินแผนการค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตามคณะของรานก็ไม่ได้จัดคณะค้นหาจอกนี้ แต่รานได้ออกไปสำรวจสถานที่อื่นที่ฮิมม์เลอร์คิดว่าสำคัญกว่า คือ ย่านอาร์ติก ในไอซ์แลนด์และกรีนแลนด์เพื่อค้นหาหลักฐานโบราณคดีเกี่ยวกับแอตแลนตีสและต้น กำเนิดของชาวอารยันตามทฤษฏีน้ำแข็งของพวกเขาแต่ก็ไม่พบอะไรเลย

    ต่อ มาฮิมม์เลอร์ก็ได้ทราบข่าวว่าเอิร์นสต์ แชฟเฟอร์ นักไต่เขาชาวเยอรมันจะนำคณะไปธิเบตในปี ค.ศ.1938 เขารีบติดต่อแชฟเฟอร์และรับเอาเข้าพวกทันที และได้ติดต่อกับรัฐบาลอังกฤษเพื่อออกหนังสือรับรองการเดินทางเขาธิเบตทันที ซึ่ง หลังจากนั้นแชฟเฟอร์ได้เข้าร่วมกองทัพอเมริกันภายหลังสงคราม เขาบอกว่าฮิมม์เลอร์ขอร้องให้เขาช่วยตามหาร่องรอยอารยันในยุคน้ำแข็ง แต่ตัวเขาสนใจสัตว์ป่ามากกว่า
    แช ฟเฟอร์กลับจากธิเบตในปี 1939 ในตอนนั้นเกิดเรื่องวุ่นๆ ในหน่วยอานแนร์เบอ เหตุเพราะวิลลีกุตสร้างความอับอายขายหน้าโดยเขาเอาแต่ดื่มสุราเมามาย และมีการสืบทราบว่าเขาเคยเป็นโรคจิต(น่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าบ้านะเนี้ย) ฮิมม์เลอร์ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากส่งเขาไปเก็บตัวไว้ที่ชนบทมีคนคอยดูแลใกล้ชิด วิลลีกุตอยู่นั่นได้ไม่นานก็ถึงแก่กรรม

    อ็อต โต ราน ยิ่งแย่กว่านั้น เขาถูกจับได้ว่ามีพฤติกรรมร่วมลักรักเพศ ซึ่งนาซีเยอรมันถือว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรง รามจึงถูกส่งไปทำงานในค่ายกักกันที่ดาเซา ต่อมารานได้เขียนจดหมายถึงฮิตเลอร์เพื่อจะขอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน แต่ฮิตเลอร์ตอบกลับว่า “ฉันไม่สามารถปกป้องเธอได้อีกแล้ว” รานจึงยิงตัวตายที่ลานหิมะเชิงภูขาแอลฟ์เมื่อฤดูหนาวปี 1939 ถือว่านี้เป็นทางออกที่มีเกียรติของหน่วยเอสเอส

    เมื่อสงครามเริ่มขึ้นเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ขึ้นกับอานแนร์เบออีกครั้ง คราวนี้พวกบ้าๆ บอๆ ตำแหน่งใหญ่ๆ ถูกเบียดตกขอบ และนักโบราณคดีแท้ๆ เข้ามาแทนที่ ทั้งนี้เป็นเพราะนักโบราณคดีแท้ๆ เหล่านี้ยอมเข้าหน่วยเอสเอสก็เพื่อจะสามารถทำงานของตนต่อไปได้โดยไม่มีการ เมืองเข้ามาแทรกแซง อีกทั้งมีเหตุผลประจวบเหมาะในตอนนั้นพวกเขาได้ขุดพบเครื่องดินเผายุคก่อน ประวัติศาสตร์ที่มีลวดลายสวัสดิกะในโปแลนด์และรัสเซีย เยอรมันจึงทึกทักเอาไว้นั้นเป็นเครื่องปั้นดินเผาของชาวเยอรมันโบราณทำไส้ ซึ่งเยอรมันเคยครอบครองดินแดนแห่งนี้มาก่อน เยอรมันจึงมีสิทธิ์จะเอาดินแดนพวกเขาคืน

    ความจริงแล้ว เครื่องหมายสวัสดิกะเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณทั้งฮินดูและ พุทธ มิใช้ชนชาติเยอรมันหรือนาซีมาแต่เดิม นาซีเพิ่มรับเอาใช้ในที่หลัง สวัสดิกะเป็นเครื่องหมายแห่งความโชคดี มาจากคำว่า “สุ” และ “อัสดิ”
    การ ค้นหาแอตแลนตีสของนาซีประสบความล้มเหลว เพราะไม่เคยหาพบและฮิมม์เลอร์ได้ฆ่าตัวตายเมื่อเยอรมันเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ส่วนนักโบราณคดีของอานแนร์เบอทั้งตำแหน่งสูงและต่ำยังคงทำงานในสายอาชีพของ ตนต่อไป หลายคนได้กลายเป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วเยอรมัน

    แต่ น่าแปลกตรงที่แม้ฮิมม์เลอร์จะตายไปนานแล้ว แต่ความคิดของเขาไม่ได้ตายไปด้วย ซ้ำยังกับกลายเป็นทฤษฏีแก่คนหลายๆ กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนชอบเรื่องยูเอฟโอที่เชื่อว่าเรามาจากต่างดาว อารยธรรมอียิปต์และมายาอาจได้รับการช่วยเหลือจากโลกที่ห่างไกล, หรือแม้กระทั้งแก๊งค์นีโอนาซีและแก๊งอารยันที่ได้รับทฤษฏีว่าเราคือมนุษย์ ที่เลิศล้ำในโลกใบนี้อย่างไม่เสื่อมคลาย

    บรูโน เบเกอร์(bruno beger)
    นักมนุษยวิทยาที่เข้าร่วมคณะค้นหาต้นตออารยันที่ธิเบต

    [​IMG]

    ขอขอบคุณ Pantip.com

    นาซีกับแอตแลนติส - thenoah.bth.cc

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>​
    </center>
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  9. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    นักวิทยาศาสตร์ไทย ช่วยกันคิดทำดูบ้างสิ...
    ทำจานบินได้จริง ๆ ก็ดี จะได้ไม่ต้องเปลื้องงบไปสร้างถนน..
    การเดินทางคงรวดเร็วกว่านี้เยอะ
    ยิ่งน้ำมันแพง ๆ กันอยู่ด้วย รีบๆ สร้างมาใช้กันสักทีเถอะ...สาธุ ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2014
  10. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,578
    :cool::cool::cool:ขอบคุณจขกท.ที่นำข้อมูลและหลักฐานรูปถ่ายมาแบ่งปันให้ได้รับรู้ และเชื่อครับว่าเป็นไปได้สูง:cool:(k)({):cool:
     
  11. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    จริงๆแล้ว ยานบินแบบ UFO นั้นมีจริงครับ มีสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดย พรรค Nazi นี่แหละ แต่องค์ความรู้ไม่ได้เอามาจากไหน มาจากตำราของพวกฮินดู ที่กล่าวถึงสงครามและอาวุธ ของ 2 ทวีป คือ ชมพูทวีป และแอตแลนติสซึ่งในตำรานั้นกล่าวรวมถึงอาวุธทันสมัยหลายชนิด แล้วนักวิทยาศาสตร์ของเยอร์มันนั้นเห็นว่า มันมีโอกาสเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ และมันอาจเกิดขึ้นจริงมาแล้ว จึงใช้ทั้งนักวิทยาศาตร์ และประวัติศาตร์ในการไขข้อมูลความลับนี้ อาวุธ V 1 นั้นก็คือสิ่งที่เป็นผลจากองค์ความรู้เหล่านั้น แม้แต่นิวเคลียร์ ซึ่งมีกล่าวไว้ในตำราโบราณของพวกฮินดูเหล่านั้น ซึ่ง Nazi ได้ทำการสร้างเตาปฎิกรณ์ และได้ทดลองทำแล้ว แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร โครงการได้ถูกยุติลง เรื่องนี้มันน่าแปลกมาก ที่ประเทศที่ทันสมัยจากเทคโนโลยีที่สุดในโลก(สมัยนั้น) กลับสนใจประวัติศาสตร์ ตำราโบราณเพื่อนำมาพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์

    ลืมอ่านคอมเม้นข้างบนให้หมด ปรากฎว่ามีคนเอามาเขียนอธิบายให้จนหมดแล้ว ว้า... แย่จัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2014
  12. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    ผมอ่านประวัติไอน์สไตน์ฉบับละเอียด ..

    เนื้อเรื่อง ไอน์สไตน์ กล่าวว่าไม่น่าเชื่อว่า นักวิทยาศาสตร์เก่งๆของ นาซี ซึงมีความสามารถเพียงพอ แต่กลับมองข้ามไม่สามารถคิดประดิษฐ์นิวเคลียร์ก่อนได้

    โดยผู้ที่ผลิตได้ก่อนคือนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในอเมริกาครับ(แต่ไม่น่าจะใช่คนอเมริกัน) โดยทำการตั้งสมมุติฐานปฏิกิริยาลูกโซ่ ซึ่งจะเกิดได้แต่เฉพาะสารที่มีมวลอะตอมขนาดใหญ่มากพอที่จะยิงโปรตอนไปโดนอะตอมให้ถึงนิวเคลียส์แล้วแตกตัวเป็นกิริยาลูกโซ่ได้ (เพราะปกติอะตอมจะมีขนาดเล็กมาก การยิงโปรตอนไปให้ถูกนิวเคลียส์ของอะตอม ตอนนั้นหากใครกล่าวถึงเรื่องนี้ ยังเป็นเรื่องไร้สาระมาก .. จุดสำคัญนั้นคือธาตุหายาก ซึ่งน้อยคนนักจะได้ทดลองกับธาตุเหล่านี้ และจึงไม่มีผลการทดลองมาก่อนหน้านี้เลย)

    และเมื่อการทดลองเริ่มมีแนวโน้มเป็นไปได้จริง ทางนักวิทยาศาสตร์ได้ส่งข่าวกันภายใน ให้ทำการขัดขวางการครอบครองแร่ธาตุ ยูเรเนียมและพลูโตเนียม ของนาซี ซึ่งจะมีพบได้ในประเทศอะไรสักอย่างจำไม่ได้แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2014
  13. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    เห็นในสารคดีของ BBC หรืออะไรสักอย่างกล่าวว่าโครงการ "The Bell" ของนาซีหลังจากที่มีทีท่าว่าจะแพ้สงคราม ก็เผาเอกสารทิ้งหมด เหลือแต่สถานที่ทดลองคือ พื้นที่ที่ทำตั้งเสาเหล็กวางแนวแบบเดียวกับสโตนเฮนจ์ โดยอาศัยพยานเป็นชาวบ้านแถวนั้นเล่าว่ามีเรื่องประหลาดอะไรเกิดขึ้นบริเวณนั้นบ้าง และนายทหารที่รับผิดชอบโครงการนี้หายตัวไปอย่างลึกลับไม่พบร่องรอยใดๆ จึงสันนิษฐานว่าอาจใช้ The Bell หนีไปที่อื่น

    จะว่าไปทางนาซีนั้นใช้ทุนในการผลิตอาวุธหลายอย่าง อย่างเช่นเครื่องบินไอพ่นความเร็วสูงที่เร็วกว่าเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรถึง 3 เท่า แต่ได้ออกใช้งานจริงในสมรภูมิแค่ครั้งเดียวก่อนจบสงคราม และยิงเครื่องบินขับไล่ของฝ่ายพันธมิตรตกหลายลำ ส่วนเรื่องปรมณูผมเห็นสารคดีเอกสารลับว่าในสมัยนั้นทางนาซีก็กำลังคิดค้นพลังงานปรมณูเหมือนกัน แต่ความคืบหน้าล่าช้ากว่า เข้าใจว่าเพราะทุ่มคนและทุนไปพัฒนาหลายโครงการ และแต่ละโครงการนั้นเป็นสิ่งที่ชาวโลกในสมัยนั้นเขาคิดว่าไม่น่าจะมีได้อีกต่างหาก

    จะว่าไปเรื่องของนาซีนี่ก็มีอะไรแปลกๆและน่าสนุกอยู่เยอะเลยทีเดียว เมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน ตอนนั้นยังไม่รู้ว่านาซีจะมีเทคโนโลยีล้ำหน้าขนาดนี้ เคยฝันว่าตัวเองเป็นสายลับอังกฤษแล้วดำน้ำไปซุ่มพักในบ้านของชาวบ้าน แล้วก็ดำน้ำต่อเข้าไปในในเยอรมันเข้าไปใต้หุบเขาฐานลับนาซี ในฝันเข้าไปสิ่งแรกที่เห็นคือแท่งกระบอกอะไรไม่รู้เหมือนกระบอกปืนใหญ่เรียงอยู่ในคลัง และถัดต่อมาเป็นอะไรสักอย่างรูปร่างคล้ายดาวเทียมซึ่งมีอยู่เป็นร้อย สงสัยว่าตอนนั้นท่าจะเพ้อเจ้อหนักแต่ก็ดันใกล้เคียงความจริง 55+
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    :cool:
     
  15. phataravudh

    phataravudh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +2,440
    เยอรมันนี่ไม่ธรรมดา ดูแล้วฮิตเลอร์นี่ท่านไม่ธรรมดานะครับ คงจะพุทธภูมิมาเหมือนกัน
    ว่าแต่ว่าในเขา และใต้ถนนซ่อนอะไรไว้นะ 55
     

แชร์หน้านี้

Loading...