หลวงปู่โง่น ค้าน[dispute] ข้อธรรมว่าด้วยวิญญาณเดิมแท้เป็นประภัสสรขัดอิทัปปัจจะยะตา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย dearestguardian, 21 กันยายน 2007.

  1. พลนิวัฒน์ เทินส

    พลนิวัฒน์ เทินส สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +10
    520

    ผมเชื่อและศัทธาศาสนาพุทธครับ เพราะสอนให้รู้จักทุกข์อะไรคือทุกข์เหตุผลที่เกิดทุกข์ สอนให้รู้จักสุข สอนมนุษย์ให้มีศีล 5 ศีล 8 มีคุณธรรม สอนให้รู้จักขันธ์ 5 ว่าไม่ได้เป็นของเรา เราไม่ได้มีขันธ์ 5 ความตายเป็นของเที่ยงแท้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีเกิดและก็มีดับไปตามธรรมชาติ บาปบุญเท่านั้นที่จะติดตัวไปได้ ใครทำดีได้ดี ใครทำชั่วก็ได้ชั่ว
     
  2. น.ส สุภาภรณ์

    น.ส สุภาภรณ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +19
    ข้อธรรม

    <DD>ข้าพเจ้า<WBR>ขอ<WBR>ค้าน<WBR>ว่า ใน<WBR>หลัก อิทัปปัจ<WBR>จะ<WBR>ยะ<WBR>ตา ว่า อ<WBR>วิชา ปัจ<WBR>จะ<WBR>ยา<WBR>สังขารา สังขารา ปัจ<WBR>จะ<WBR>ยา วิญญาณนัง ฯลฯ ทุกขะ<WBR>โท<WBR>มะนัส<WBR>สะ รวม<WBR>ความ<WBR>ใน<WBR>พระ<WBR>อภิธรรม<WBR>ข้ อ<WBR>นี้<WBR>ว่า อ<WBR>วิชา<WBR>ความ<WBR>โง่ ความ<WBR>มืด<WBR>บอด เป็น<WBR>เหตุ<WBR>ให้<WBR>เกิด<WBR>สังขาร คือ<WBR>ความ<WBR>คิด ความ<WBR>ปรุง<WBR>แต่ง สังขาร<WBR>เป็น<WBR>เหตุ<WBR>ให้<WBR>เกิด<WBR>วิญญาณ วิญญาณ<WBR>เป็น<WBR>เหตุ<WBR>ให้<WBR>เกิด<WBR>นาม<WBR>รูป นาม<WBR>รูป<WBR>เป็น<WBR>เหตุ<WBR>ให้<WBR>เกิดผัส<WBR>สะ ผัส<WBR>สะ เป็น<WBR>เหตุ<WBR>ให้<WBR>เกิด<WBR>เวทนา เวทนา<WBR>เป็น<WBR>เหตุ<WBR>ให้<WBR>เกิด<WBR>ตัณหา ตัณหา<WBR>เป็น<WBR>เหตุ<WBR>ให้<WBR>เกิด<WBR>อุปาทาน คือ<WBR>ความ<WBR>ไป<WBR>ยึด<WBR>มั่น ถือ<WBR>มั่น อุปาทาน เป็น<WBR>เหตุ<WBR>ให้<WBR>เกิด<WBR>ทุกข์ (glass)(b-ahh)(nogood)(b-no)</DD>
     
  3. วัชรี ประชุมศรี

    วัชรี ประชุมศรี สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +2
    ปุโง่น

    ในความคิดของดิฉัน(b-glass) ฉันคิดว่าบ้างครั้งก็ดีและบางครั้งก็ไม่ดีฉันคิดว่าหลวงปู่ไม่น่าจะค้านเลยนะคะสิ่งผิดก็มีบ้างแหละด้วยธรรมและวิณญาณในการคานมันก็ไม่ดีหลอกค่ะธรรมและวิณญาณอีกทางก็ไม่ดีเหมือนที่หลวงปู่ว่าก็ได้นะคะอยากบอกให้ทุกคนได้อ่านคิดวิเคราะห์สาระดีความคิดอยากเชิญอ่านเด้อค่ะ(555)
     
  4. www.guging369

    www.guging369 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +30
    ก็ดีเห็นด้วยค่ะ(ping)
     
  5. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    ข้อวิพาก"จิตเดิมแท้สว่าง สงบและเป็นปรระะภัสสร และไร้อัตตา"

    สมมุติฐานข้อที่ 1 หากนิทานจุไรท่องดวงดาวของหลวงพ่อฤๅษีเป็นความจริง มนุษย์ถือกำเนิดจากอรูปพรหม อันเป็้นพรหมไม่มีรูปแต่มีจิต จิตของอรูปพรหมยังมีอวิชชาอยู่ ดังนั้น

    การหมุนวนของปฎิจจสมุหปาทจึง valid

    ถ้า "จิตเดิมแท้สว่าง สงบและเป็นปรระะภัสสร และไร้อัตตา"
    ย่อมหมายถึง จิตที่ล่วงพ้นการหมุนวนแห่งสังงสารวัฎ นั่นย่ออมตีความได้ว่าจิตที่เข้าสู่พระนิพพานจะสามารถวนกลับมาเกิดได้อีกหรือ
    ซึ่งมันผิดจากพุทธะโอวาทอย่างแรง เพราะพระพุทธองค์ทรงประกาศว่า"พระนิพพาน คือการล่วงพ้นการหมุนวนแห่งสังงสารวัฎ อันดับไม่เหลือเชื้อ สิ้นภพสิ้นชาติ สิ้นปัจจัยแห่งการเกิดได้อีก
    ดังนั้น จิตที่ยังวนอยู่ในสังงสารวัฎเป็้นจิตที่กอรปด้วย อวิชชา
    เป็นจิตที่โง่เขลา เราจึงต้อองวนอยู่ตามหลักปฎิจจสมุหปาทดังพระพุทธดำรัส

    ดังนั้น " จิตเดิมที่เป็นปััจจัยแห่งการเกิดจึงเปป็นจิตที่กอรปด้วยอวิชชา"


    ____________________________________________________-
    *****ชุดแรกเป็นพรหม พรหมที่หมดบุญวาสนาบารมีในการเป็นพรหม คือว่าหลังจากที่ไฟไหม้หมดแล้วไฟดับฝนก็ตก ทำน้ำในมหาสมุทรให้เต็ม น้ำในคลองบึงหนองเต็มหมด ดินก็ชุ่มชื้นไปด้วยน้ำ พืชพันธุ์ธัญญาหารบางอย่างเริ่มเกิดขึ้น
    ตอนนั้นพรหมที่หมดบุญวาสนาบารมีหาพ่อแม่เกิดไม่ได้ ก็อยากจะกินง้วนดิน ลงมากินง้วนดินเพราะดินหอมจากไฟเผา ร่างกายก็เลยหนักมีเนื้อมีหนังขึ้นมา ในระหว่างตอนแรกพรหมพวกนี้ยังไม่มีเพศ ยังไม่มีความเป็นผู้หญิง ยังไม่มีความเป็นผู้ชาย พระอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฏในเวลานั้น ไม่ทราบพระอาทิตย์หายไปไหน

    จุไรก็ถามว่า “พระอาทิตย์ตั้ง ๗ ดวงหายไปไหน” ท่านก็บอกว่า “ ๖ ดวงสลาย ตัวดวงเดิมที่ปรากฏก็จะอยู่ห่างมาก ยังลอยเข้ามาไม่ใกล้กัน ดวงเดิมนี่ทรงตัวไม่ได้สลายตัวไปด้วย ดวงที่สลายตัวก็ไม่ได้แตก เพียงแต่ว่าความร้อนกระแสไฟภายในดับมีความเยือกเย็นตามเดิมแต่ว่าดวงเก่านี่ก็มีกระแสไฟอ่อนลง มีความร้อนแต่น้อยลง ฉะนั้นยังไม่เผาผลาญโลกให้บรรลัย ไม่เหมือนเก่า”
    หลังจากนั้นบรรดาพรหมทั้งหมด ที่มาเกิดเป็นคน มากินง้วนดินก็กลายเป้นคนมีเนื้อมีหนังขึ้นมา อาศัยที่บุญบารมียังมีอยู่ยังไม่มีเพศ ยังไม่มีการเสพกาม ตัณหาอุปทาน ยังไม่ปรากฏ แสงสว่างจากตัวก็ยังมี ไปที่ไหนก็มีแต่แสงสว่าง เหมือนกับมีพระอาทิตย์ตอนฟ้าสางตอนเช้า แล้วก็สว่างมาก แต่ไม่มีดวงอาทิตย์ไม่มีความร้อน มีความสุขเพราะอาศัยบุญยังมีมาก อาหารการบริโภคที่ปรากฏก็เป็นอาหารสำเร็จรูป
    รวมความว่ากินง้วนดินกันมาเรื่อยๆ ต่อไปง้วนดินความสุขค่อยๆสลายตัว พืชก็เกิดขึ้นที่เป็นอาหาร ข้าว เกิดขึ้นข้าวก็เป็นเม็ดข้าวสาร เพราะบุญ เก็บข้าวมาแล้วก็มาหุงมาต้มได้ทันทีทันใด กับที่จะพึงกินก็ไม่ต้องหา นึกอยากจะกินอะไรอย่างนั้นก็เกิดเพราะบุญเก่า รวมความว่าหลังจากนั้นมาโลกก็มีความเยือกเย็น ต่อมาภายหลังความเป็นเพศปรากฏขึ้น คือมีเพศหญิงเพศชาย ก็อยากจะมีสามีภรรยามีผัวมีเมียอารมณ์อย่างนี้ เกิดขึ้น แสงสว่างในกายก็ดับ เมื่อแสงสว่างในกายดับ โลกก็ดับแสงสว่างในโลกก็ดับเกิดความมืด
    บรรดาคนทั้งหลายเหล่านั้นก็ตกใจว่ามืดเสียแล้ว ต่อจากนั้นไปแสงอาทิตย์ก็ปรากฏ ความสว่างปรากฏขึ้นเธอก็ดีใจ แต่พระอาทิตย์เกิดขึ้นไม่นานตอนเย็นก็ลับหายไป พวกเขาก็ตกใจว่าโลกจะมืด ต่อนั้นมาพระจันทร์ก็ปรากฏ เป็นแสงอ่อนๆนวลมีความเย็นสว่างเธอก็ดีใจ พระจันทร์เดิมทีเดียวเขาเรียกว่า “ฉันทะ” แปลว่า “ดีใจ พอใจ” แต่ตอนหลังเรียกเพี้ยนกันมาว่า เป็น จันทระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2007
  6. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    ร่วม [​IMG] ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ [​IMG] สาธุ
     
  7. ครับผม๘

    ครับผม๘ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +2
    หลวงป่โง่น ค้านข้อธรรมว่าด้วยวิญญาณ

    ตัวทุกข์นั้นที่ทำให้เราเป็นทุกข์ทรมานเราจึงหาทางดับทุกนั่นก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป(555) (ping)
     
  8. piuokh

    piuokh สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +4
    ร่วม [​IMG] ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ [​IMG] สาธุ(ping) (ping)
    (555) หวัดดีค่ะ bye bye(evil2) (evil2)
    (b-glass)
     
  9. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,518
    ค่าพลัง:
    +27,187
    อะไรที่ยังฝึกไม่ถึงไม่ต้องไปคิด
    เด๋วก็บ้าหรอก
     
  10. เพชราวลัย

    เพชราวลัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +45
    เห็นด้วยค่ะ
     
  11. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,763
    คิดว่า มีข้อจำกัดทางภาษา และการถ่ายทอดหลายชั้น ในกรณีกระทู้นี้

    แล้วอีกอย่าง คุยเรื่องอจินไตย กันขึ้นมา<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จิตเดิม (1) อันบริสุทธิ์นั้นมีอยู่ หากถูกอวิชชาครอบ การกลับสู่จิตเดิมตัวนี้ คือทำลายอวิชชา<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แต่จิตเดิม (2) อีกอย่าง.. จิตที่เริ่มมาจากมีความไม่รู้ คือเริ่มเกิดตัวตนขึ้น และตกอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิด ขึ้นสวรรค์ลงนรกนี่ ที่มีปัญหาว่า เริ่มต้นมาจากไหน ..ถ้าเริ่มมาจากจิตเดิม (1) คงไม่ใช่แน่ เพราะจิตเดิมที่สิ้นกิเลสย่อมหลุดจากการเกิด <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แล้วจิตเดิม (2) ที่เป็นจุดเริ่ม.. จะเริ่มมาจากพรหมหรือไม่ ?? (เราอาจเคยได้ยินแต่มนุษย์มาจากพรหม แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่า จิตที่เริ่มจากความไม่รู้ ..เริ่มมาจากพรหม ..)<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ถ้ามีคำถามแบบนั้น ก็อาจมีคำถามต้องถามต่อ แล้วก่อนเป็นพรหม จิตนั้นเป็นอะไรมาก่อน ปัญหานี้มีมานานแล้วนะ กับความสงสัยที่ว่า ..จิตเริ่มแรกที่ไม่รู้ นี่เริ่มมาจากตรงไหนแต่ยังไม่เคยใช้คำว่าจิตเดิม.. มาก่อน .. หรือมีใช้แล้วก็ไม่ทราบ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในที่นี้ จิตเดิม (2) หากถือว่าเป็นจิตเริ่มจากการเกิดที่ยังไม่มีความรู้ ถ้าเอามาเป็นจิตเดิม (1) ก็คงเถียงกันตายไปอีกหลายสิบชาติ... เพราะงงว่า ตกลงจิตมีปัญญาหรือไม่มีปัญญากันแน่<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สิ่งมีชีวิตบนโลก อาจมีสมมุติฐานหลายอย่าง ว่าคนมาจากลิง หรือสัตว์พัฒนามาจากสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ แต่จิตนี่ ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสรรพสิ่งทั้งปวงในเชิงศาสนา เริ่มมาอย่างไร ?? ถ้าเริ่มมาจากจิตเดิม (อันบริสุทธิ์) ก็ไม่รู้จะนิพพานกันไปทำไมนะ..
    <O:p</O:p
    <O:p



    เออ .. เค้ากำลังคิดเรื่อง ทฤษฎีของสรรพสิ่งอยู่ ถ้าคุณ จขกท. ชอบคิดๆๆๆ อะไรแบบนี้ ไปแจมที่นั่น ดีกว่าไหมคะ..<O:p</O:p

    เชิญ..ประกาศ..ทฤษฎีสรรพสิ่ง..ตามความคิดของท่านhttp://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=92691


    :d ​
     
  12. afaps_new

    afaps_new เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +154
    ปรมัตล้วนๆครับ เถียงกันไม่จบไม่สิ้น แต่การปฏิบัติสิมันจบนะครับ
    ...โมทนาครับ
     
  13. -๑ไร้IดีeJสา๑-

    -๑ไร้IดีeJสา๑- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,436
    อนุโมทนาครับ...

    ...ผู้มีสติเป็นผู้อยู่ใกล้นิพพาน...
     
  14. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,763


    ตอนแรกที่ดิฉันงง ก็เพราะไม่รู้ สรรพนาม ใครเป็นใคร
    หนังสืออะไรเป็นเล่มอะไร เลย ไม่ค่อยเข้าใจ


    หลังดิฉันได้เข้าไปอ่านกระทู้นี้
    ตำนาน พระสุพรรณกัลยา
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=9633&page=2


    ด้วยความงง กับบทความนี้ เพราะไม่เคยอ่านงานของปู่โง่นมาก่อน
    จึงพอจะหาย งง ไปได้บ้าง

    และวิเคราะห์ตามนี้ว่า


    หลวงปู่โง่น ได้พบกับรอยต่อของชาติภพ และเชื่อมั่นในกฏกรรม ชาติอดีตและชาติปัจจุบัน อนาคต ความนับถือของหลวงปู่ ต่อ พระพุทธองค์ จึงมีมาก


    เมื่อผู้เขียน (หลวงปู่โง่น) ไปพบหนังสือ SUFFERING AND NO SUFFERING เขียน<WBR>ขึ้น<WBR>ด้วย<WBR>พระ<WBR>สงฆ์<WBR>ไทย เล่ม<WBR>ใหญ่ ถึง<WBR>ห้า<WBR>ร้อย<WBR>กว่า<WBR>หน้า

    ท่านจึงไม่พอใจ เนื้อหาในนั้นอย่างมาก

    และมีเหตุให้ ข้อความในหนังสือนั้นส่วนหนึ่ง คือ






    <DD>วิญญาณ<WBR>เดิม<WBR>นั้น เป็น<WBR>อิสระ ว่าง<WBR>เปล่า สว่าง และ<WBR>ไม่<WBR>ทุกข์
    "the original Mind is luminous; it is tarnished due to the presence of visiting





    <DD>defilement. The Original Mind is luminous; it is untarnished due to the absence of visiting defilement". วิญญาณ<WBR>เดิม<WBR>สว่าง มัน<WBR>ถูก<WBR>ทำ<WBR>ให้<WBR>มัว<WBR>หมอง เพราะ<WBR>ต้อง<WBR>มลทิน และ<WBR>จะ<WBR>ไม่<WBR>มัว<WBR>หมอง หาก<WBR>ไม่<WBR>ต้อง<WBR>มลทิน P.27 Nature of the Original Mind is Luminous,...


    ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งเนื้อหา ในหนังสือของ SUFFERING AND NO SUFFERING ไม่เป็นที่น่าพอใจไปด้วย เพราะโยงเข้ากับการปฏิเสธิชาติภพ

    ทำให้หลวงปู่โง่น ต้องยกหลักอิทัปปัจจยตา (ว่าด้วยปฎิจจฯ) มาแสดงให้เห็นชัด





    วิญญาณเดิมในหนังสือนั่น

    <DD>หลวงปู่โง่น ไม่ได้คิดไปว่าเป็นเรื่องจิตเดิม ไม่ใช่เรื่องจิตเดิม อย่างที่เซนพูดกัน

    <DD>

    แต่เป็นวิญญาณเดิมในหนังสือ SUFFERING AND NO SUFFERING ที่หลวงปู่โง่นเห็นว่า (เหล่า)พระที่เขียน เข้าใจไม่ถูก




    หากข้าพเจ้า อ่านอะไรขาดสติ จับอะไรไม่ถ่องแท้ มั่วเกินไป
    ขอหลวงปู่โง่น อโหสิกรรม ให้ด้วยค่ะ


    (b-deejai)


    โดยส่วนตัวดิฉัน เอาเจตนามาก่อน เพื่อโยงไปถึงเหตุจริงๆ สื่อจริงๆ ของผู้สื่อที่ต้องการจะสื่อ

    <DD>(ไม่ติดภาษา แต่เข้าใจไปถึงใจผู้สื่อ)

    และแม้จะยังเป็นเรื่องจิดเดิมก็ตาม (ถ้าวิญญาณเดิมของพระที่เขียน SUFFERING AND NO SUFFERING พูดเรื่องจิตเดิมก็ตาม)
    แต่ก็เพื่อเอาเรื่องวิญญาณเดิม ไปอ้างข้อความที่ผิดที่ตนอยากแสดงว่า God ยิ่งใหญ่เท่านั้น



    <DD>ส่วนหลวงปู่โง่น เจตนาของท่าน ก็เพื่อยืนยัน เรื่องกฏกรรม มาจากเจตนาที่ดีงาม


    เรื่องรายละเอียดจากนั้น เป็นคนละประเด็น คนละกรณี

    <DD>ไปตามกันเอาเอง ..



    ท่าหลวงปู่โง่น จะไม่พอใจหนังสือเล่มนี้อย่างมากๆๆๆ อ้างอิง...
    </DD>ก็<WBR>เห็น<WBR>ว่า ผู้<WBR>เขียน<WBR>ได้<WBR>ประยุกต์<WBR>เอง เอา<WBR>คำ<WBR>สอน<WBR>ของ<WBR>พระ<WBR>พุทธ<WBR>เจ้า<WBR>เรา เข้า<WBR>ไป<WBR>อยู่<WBR>ใน<WBR>ความ<WBR>รู้ ความ<WBR>เห็น<WBR>ของ<WBR>ตัว<WBR>เอง<WBR>ทั้ง<WBR>หมด แล้ว<WBR>ยัง<WBR>กด<WBR>ดัน<WBR>ความ<WBR>ยิ่ง<WBR>ใหญ่ ของ<WBR>พระ<WBR>บรม<WBR>จอม<WBR>ไตร ศาสดาสัม<WBR>มาสัม<WBR>พุทธ<WBR>เจ้า ของ<WBR>ชาว<WBR>พุทธ ให้<WBR>อยู่<WBR>ใน<WBR>ระดับ บุตร<WBR>ชาย<WBR>ของ<WBR>พระ<WBR>เป็น<WBR>เจ้า<WBR>ของ<WBR>เขา และ<WBR>เป็น<WBR>เพียง<WBR>โฆษก ของ<WBR>พระ<WBR>เป็น<WBR>เจ้า<WBR>เท่า<WBR>นั้น


    ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2007
  15. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,763
    ขออนุโมทนา ในบุญกุศลที่งามพร้อมแล้ว ในหลวงปู่โง่น

    และการเผยแพร่ ธรรมแท้ โดยไม่กลัวเกรงใคร



    (b-deejai)
     
  16. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    โมทนาครับ...สาธุ...สาธุ...สาธุ...
    ปัจจัตตัง...รู้ได้เฉพาะตน...
    ปฏิบัติภาวนาทำสมาธิ...ฝึกดูจิตกันในชาตินี้ภพนี้...
    ก็จะเห็นเอง...รู้ได้เอง...
     
  17. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,763
    ตอนนี้ฟัง ท่านเสถียรโพธินันทะอยู่ค่ะ

    ท่านอธิบายว่า
    จิตเดิมเป็นประภัสสร นั้น หมายถึง จิตเดิม ที่ยังไม่มีกิเลสรบกวน
    อุปกิเลส 16 ยังไม่ก่อกวน
    จึงมีความสดใส เป็นประภัสสร

    แต่ไม่ใช่จิตที่ทำลายกิเลสแล้วก็ได้

    คือหมายถึง จิตที่ ยังไม่ถูกอาคันตถกะ หรือ กิเลส รบกวนนั่นเอง

    ฟังแล้ว คิดไปถึง ธรรมชาติเดิมของจิต คือมีความสงบ (ว่างไปจากโลก)
    หรือ นิพพานชั่วคราว หากยังไม่สามารถทำลายกิเลสได้

    ดังนั้น เราสามารถสัมผัสจิตเดิมได้ ด้วยฌานก็ดี
    หรือขณิกะสมาธิ โดยสติกำหนดอยู่มให้ปลอดไปจากกิเลส ในขณะนั้น

    http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=4754


    (kiss)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2008
  18. นาย บุญน้อย

    นาย บุญน้อย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2008
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +19
    (sing) จิตเดิมเป็นประภัสสร แล้วมันจะมีหมู หมา กา ไก่ และนายบุญน้อย มาเกิดใด้งัย ไม่เข้าไจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2008
  19. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,763
    เรามักจะตีความว่า จิตเดิมเป็นประภัสสร คือเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสแล้ว
    ที่จริง ไม่มีกิเลสจริงในตอนนั้น แต่ไม่ได้หมายถึงว่าจะประหารกิเลสได้หรือไม่

    เท่าที่ฟัง อ.เสถียรฯ

    คำว่าประภัสสรนี่ คือจิตเดิม ไม่มีกิเลสเจือปน

    แต่ไม่ได้หมายถึง ตัดขาดจากกิเลส (ถ้าคนนั้นยังเป็นปุถุชนอยู่)
    เพียงแต่ขณะนั้น ไม่มีการปรุงด้วยอุปกิเลส

    ใครว่างจากการปรุง ย่อมเห็นธรรมชาติของตัวมันเองปรากฎอยู่
    คือหากขณะนั้น ว่างจากกิเลส ...ก็จะเห็นเองว่าจิตเดิมเป็นเช่นไร

    ถ้าขุ่น ขึ้นมาด้วยกิเลส จะมีสภาวะหลุดจากจิตเดิมอย่างไร


    สรุปง่ายๆ
    แม้แต่..คนที่เข้าไปเห็นจิตเดิมสว่างไสว ด้วยอำนาจฌานสมาธิ
    แต่หากยังเป็นโลกียฌาน ไม่ใช่โดยโลกุตตระฌานที่ประหารกิเลส
    เท่ากับยังไม่สามารถประหารกิเลสได้ ก็ยังไม่ใช่อริยบุคคล
    แม้จะเห็นแสงเห็นสี แล้ว ถ้าคุณประหารกิเลสไม่ได้ ก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ ยังเวียนว่ายตายเกิดไปตามอำนาจกรรม
    จิตเดิม แบบ นี้ มี หมู หมา กา ไก่ แน่นอน เพราะยังตัดกิเลสไม่ได้ค่ะ

    (sing) ใครสงสัย ไปฟังเทปตามลิงค์นะ หรือหาอ่านเพิ่มได้

    ส่วนสุญญตา ไม่ได้หมายความว่าว่างเปล่า แต่ว่างไปจากโลก
    ดิฉันตีความว่า ว่างไปจากกิเลส คือดับกิเลสไป โลกก็ดับไป

    ลองไปฟังกันเองก้แล้วกันน้า..

    (})
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2008
  20. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    แหม ยอมรับว่าผมต้องอ่านหลายรอบพอสมควรกว่าจะเข้าใจ

    อ่านทีแรกเกือบจะปรามาสหลวงปู่โง่นท่านซะแล้ว

    แต่พออ่านเข้าใจแล้ว

    ผมก็ทราบแล้วว่าหลวงปู่โง่นท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่งครับ

    เป็นสงฆ์ที่สมควรแก่การกราบไหว้

    ส่วนหนังสือที่ชื่อว่า"SUFFERING AND NO SUFFERING" นี่ดูๆไปคล้ายกับแนวทางที่ ท่าน "เตชปัญโญ ภิกขุ" ชอบนำมาอ้างเลยแฮะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...