ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    พี่ธรรมชาติคะเมื่อคืนกลางดึก เหมือนกายทิพย์จะออกคือหนูนอนอยู่ไม่ได้ตั้งใจ แขนกับขาจะออกแต่ตัวมันไม่ออกและที่สำคัญมีคนมาช่วยดึงด้วยเยอะๆมากๆๆๆๆๆ หนูมั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเอง ทั้งเสียงดังมากๆ เสียงเซอร์ราวรอบตัวเลย โลกวิญญาณนี่ ไม่รู้มาจากใหนกัน คือไม่ใช่เสียงมนุษย์เลยกลัว สารพัดบทสวดยกมาเพราะกลัว แต่เค้ากลัวดึงอยู่นั่นแหละ นานมากสุดท้ายทำอะไรไม่ได้เลยปล่อยคิดว่ามันจะออกก็ปล่อยให้ออกไปมีอย่างเดียวคือไม่กล้าลืมตา สักพักนึงจึงเลิกดึง หลอนจริงค่ะ มาเล่าให้ฟัง
     
  2. สัมภิทา

    สัมภิทา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +77
    ความรู้สึกทั้งตัว ผมทำได้แล้ว แต่ เพิ่ม-ลด-ตรึง-แช่-อยู่-ขอเวลาฝึกดูก่อนครับ
     
  3. สัมภิทา

    สัมภิทา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +77
    ช่วงนี้ผมรู้สึกได้ถึงชีพจรหรือเลือดสูบฉีดไปถึงปลายมือปลายเท้าได้ถือว่าอยู่ช่วงไหนครับ
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ผู้ที่ "อยู่" กับกายเวทนาจนพอเป็นนิสัยได้แล้ว เวลานอน "กายในกาย ตัวข้างใน" บางทีมันก็จะออกมาข้างนอกบ้าง ตรงนี้เป็น "เรื่องปกติ"

    +++ ที่สำคัญที่สุดคือ "การออกครั้งแรก" นั้นสำคัญที่สุด หลาย ๆ คน จะมีภพภูมิมาปรากฏ "ช่วยดึงบ้าง ช่วยเชียร์ให้กำลังใจบ้าง" ช่วยกันลุ้น ต่าง ๆ นา ๆ ตรงนี้ถือเป็นเรื่อง "มาตรฐาน" ทุกคนมี "กองเชียร์" แฟนคลับ ส่วนตัวอยู่แล้ว (เขามาเชียร์ มาให้กำลังใจเรา) ดังนั้น "ไม่ต้องกังวล" อะไร

    +++ ทุกคนที่ฝึก "กายเวทนา" ก็สามารถนับได้ว่า เป็นนักกีฬา "ทีมชาติ" ของศาสนาพุทธ ดังนั้น "กองเชียร์" ย่อมมีมาเอง แบบพวกที่ชอบฟุตบอล ดูไปดูมา ก็อดเชียร์นักฟุตบอลไม่ได้ ก็แบบเดียวกันกับภพภูมิ ที่ชอบดูคนฝึก กรรม-ฐาน ดังนั้น ดูไปดูมา ก็อดเชียร์ไม่ได้ พออาการ "ถอดกายแบบ ตัวเองออกมาจากตัวเอง (รูปฌาน 4)" กำลังจะปรากฏ พวกกองเชียร์ก็จะออกมา "ลุ้นและเชียร์" กันแบบสุดตัว เพราะตรงนี้เป็น "การฝ่าด่าน กรรม-ฐาน ด่านใหญ่" แบบเดียวกันกับ "รอบชิง" ของนักกีฬานั่นแหละ

    +++ การได้ยินแบบ "เสียงเซอร์ราวรอบตัว" นั้น ก็เหมือนกับ เสียงเซอร์ราวรอบตัว ในสนามฟุตบอลนัดดวลสำคัญนั่นแหละ จะมีกองเชียร์มากันสนั่นเต็มสนามเลย หากเรา "ถอดกายได้สำเร็จ" พวกกองเชียร์ก็จะได้รับ "ความเบิกบานใจ" ยิ่งกว่า "การแผ่ส่วนบุญใด ๆ ในโลก" พวกเขาจะได้ "ปิติ อันเกิดจาก ภายในจิตของพวกเขาเอง" และนี่คือ "บุญจากการปฏิบัติ" และเป็นเรื่องของ "คนดีผีคุ้ม" ตรงนี้แหละ ที่เป็น "ต้นเหตุ" ที่ภพภูมิ มาสนับสนุนแบบเต็มใจ

    +++ ส่วนพวกที่ต้องการให้้ "ภพภูมิมาเกรงใจนั้น" ไม่นาน ภพภูมิก็หนีหมด เพราะมันไม่มีความสุขความเจริญใด ๆ ที่ต้องมานั่งเกรงใจใครต่อใคร ตรงนี้เป็นเรื่องของ "บุคลมิจฉาทิฐิ"

    +++ เมื่อสามารถ "ทำความเข้าใจตรงนี้" ได้แล้ว "คราวหน้า" ไม่ต้อง "สวดมนต์" อะไรอีก เพราะเหมือนกับ "นักกีฬา ด่า กองเชียร์" ไม่นาน กองเชียร์ก็อาจหันมา "ด่านักกีฬา" เอาได้เช่นกัน แบบ "อะไรว่ะ อุตส่าห์มาเชียร์ แล้วยังโดนด่าอีก" อะไรทำนองนั้น

    +++ ส่วนพวกที่ "ไม่ปรากฏกองเชียร์" นั้น ไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่พวกกองเชียร์จะปรากฏเฝ้าดูห่าง ๆ "ไม่ปรากฏและส่งเสียงรบกวน" ตรงนี้มักเป็นของ ผู้ที่ฝึกกายเวทนาได้แบบ ผนึกเป็นเนื้อเดียวกันทั้งตัว เสมอภาคกัน ไม่มีส่วนใด แน่นกว่าหรืออ่อนกว่า เป็น "เนื้อเดียวกันทั้งตัว ทั้งแท่ง" เวลาถอดมักจะ "ลอยออกมาทั้งตัว" ไม่ได้ออกมาแบบเป็นส่วน ๆ

    +++ ดังนั้นให้ฝึกทบทวน "กายเวทนา" จนมีความเป็น "เนื้อเดียวกันทั้งตัว" ด้วย ตรงนี้เป็น "เคล็ดสำคัญ" ของคำศัพท์ในคำว่า "อยู่"

    +++ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การ "เข้า-ออก-เพื่ม-ลด-ตรึง-แช่-อยู่" ตรงนี้ แม้ว่าจะไม่ "ชำนาญจนถึงที่สุด" ก็ตาม แต่ถ้าหาก "ยังพอทำได้บ้าง" ก็ถือว่า "พร้อม" ในรอบ 27 ธันวา นี้แล้ว เพราะ "การฝึกในทุกรอบ" จะต้องมีการ "ทบทวนการ เข้า-ออก-เพื่ม-ลด-ตรึง-แช่-อยู่" ทุกครั้ง อย่างมาก "ไม่เคยเกิน 2 ชั่วโมง" ก็มักจะพร้อมกันทั้งคณะ ยกเว้นแต่ผู้ที่ไม่เคยซ้อมมาก่อนเท่านั้น ที่จะ "หลุด" ออกจากวงจรการฝึกไปเลย เพราะ "การฝึก คือ การเดินจิตล้วน ๆ" ไม่ใช่ "การ lecture แบบในห้องเรียนทั่วไป" ทุกขั้นตอนจะเป็นการ "เดินจิตเข้าสู่อาการ (โอปนยิโก)" ทุก steps นะครับ
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตรงนี้ "ตรึง-แช่-อยู่" กับความรู้สึกตัว "นานไปหน่อย" จึงไปตกอยู่ใน "รอยต่อ" ระหว่าง ฌาน 1 กับ 2 หาก "อยู่" ตรงนี้อีกสัก 5- 10 นาที จะเกิดอาการ "เพลิน" (ฌาน 2 ปิติ) แล้วกลายมาเป็น "สบายใสเป็นแก้ว" (ฌาน 3 สุขสบาย) ซึ่งจะเป็นการฝึกในขั้นตอนของ "จิตเปล่งรังสี" ซึ่งเป็น "บทที่ 2" ดังนั้น ตรงนี้ถือว่า "ข้ามขั้นไปนิดหน่อย" (แต่ไม่ควร)

    +++ ควรกลับมาสู่การ "เพิ่ม" ความรู้สึกตัว "ให้เข้มข้นมากขึ้น" โดยไม่ต้องมีการ "ถอนจิต" แต่อย่างใด เพราะไม่งั้นจะ "เดินวสี" ในระดับ "เอกัคตา สู่ เอกัคตา" ไม่ได้ และจะทำให้การฝึก "จิตเปล่งรังสี" ล้มเหลว และจะส่งต่อผลลัพธ์ให้ทำการ "อยู่-ย้าย" ไม่ได้เลย ซึ่งก็จะทำให้ "อด" การฝึกในภาค "มหาปัฏฐาน (เหตุปัจจโย)(ภาคของการใช้ขันธ์)" ไปด้วย

    +++ ยังมีเวลาอยู่ 6-7 วัน ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร (ให้ระลึกหวลย้อนกลับไปดูเมื่อ 6-7 วันที่ผ่านมาว่า ระดับความก้าวหน้า สามารถพัฒนาไปได้ด้วยความเร็ว ขนาดไหน)

    +++ หลัก ๆ อยู่ที่ "เข้า-ออก" ให้ได้ก่อน จากนั้นจึง "เพิ่ม-ลด" จน "พอคุ้นเคย" จากนั้นจึง "ตรึง-แช่-อยู่" และในขณะที่ "อยู่" นั้นก็ใช้ "เพิ่ม-ลด ในขณะ อยู่" ไปด้วยกัน ตรงนี้จึงเป็น "วสีในการเดินจิต" ซึ่งจำเป็นต่อการใช้ "การเดินจิต ข้ามรอยต่อระหว่าง เอกัคตาสู่เอกัคตา รวมทั้ง ไป-กลับ ระหว่าง รูป-อรูป" เมื่อทำได้แล้วก็จะเป็นพื้นฐานของการ "อยู่-ย้าย ระหว่างขันธ์ต่าง ๆ" จนถึงระดับ "อยู่-ย้าย ระหว่าง ผู้รู้ (ตัวดู) กับ สภาวะรู้" ได้

    +++ ให้ทบทวน "ตามลิ้งค์ข้างล่าง" ในระดับที่เพียงแค่ "พอคุ้น ๆ" ก็พอทันกับการฝึกในชุดนี้้ได้ นะครับ

    http://palungjit.org/8438824-post7.html
     
  6. jadeprawit

    jadeprawit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +117
    สวัสดีค่ะอาจาร์ย

    เวลาจิตสงบลองสังเกตุลมหายใจเข้าออก จะรู้สึกถึงลมที่อยู่ช่วงท้อง ไม่รู้สึกถึงลมเข้าออกที่จมูกเลยเหมือนพอหายใจปุ๊ปรู้สึกแค่ที่ท้องอย่างเดียว เวลารู้สึกไม่พอใจอะไร ก็จะแน่นๆที่ท้องมาถึงหน้าอก เห็นความรู้สึกต่างๆได้เร็วขึ้นเหมือนความรู้สึกที่กำลังจะเกิดมันช้าลงจนเราเห็นได้ทันค่ะ
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อือม์.. ตรงนี้ตามภาษา ท่านเรียกมันว่า "จิตสงบ ที่เกิดจากการทำความรู้สึก ในบริเวณเดียว (เพ่ง)" แต่ภาษาของผมเรียกว่า "ฐานหด" เพราะมันหดเหลือแค่ "ส่วนท้อง" เท่านั้น ไม่ได้ "อยู่แบบเต็มทั้งตัว" แต่ไม่เป็นไรหรอก หากได้มาฝึกต่อหน้า ตรงนี้แก้ได้ไม่ยาก ไม่เกิน 30 นาทีก็ใช้ได้แล้ว แต่จะอธิบายให้เป็นที่ "พอเข้าใจ" ดังนี้

    +++ อาการนี้เกิดจากการ "อยู่" นานไปหน่อย แล้ว "ตัวดู" เกิดการ "ดู (เพ่ง) ลงไปที่บริเวณท้อง" แล้ว "อยู่ที่นั่น" เพียงอย่างเดียว

    +++ เมื่อ "ตัวดู" ทำการ "ดู (เพ่ง) ที่ไหน มันก็จะไป อยู่และรู้ เฉพาะส่วนนั้น" ส่วนที่มัน "ไม่ครอบคลุม ก็เลย ไม่รู้" ตรงนี้แหละที่เป็น "ต้นเหตุ" ที่รู้เฉพาะ "ที่ท้อง" แต่เพียงอย่างเดียว ตรงนี้เท่านั้นที่เป็น "บริเวณรับรู้" ส่วนนอกนั้นเป็น "บริเวณบอด หรือ รู้ไม่ได้" นั่นแหละ เพราะ "อาการดู คือ อาการเพ่ง" ซึ่งเป็นอาการที่ "จำกัดขอบเขต" แห่งการรับรู้ของมันเอง

    +++ วิธีแก้ ก็คือ "ขยาย หรือ แผ่" ให้ความรู้สึก "ขยายและกระจาย" ออกให้ได้ทั้งตัว แล้ว "อยู่ทั้งตัว" อย่างนั้น

    +++ พอ "จิตสงบ" อีกครั้งในคราวนี้ให้ "ลองสังเกตุลมหายใจ" ใหม่อีกทีโดย "อยู่กับความรู้สึกทั้งต้ว" เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    +++ อาการที่จะได้ก็คือ "เมื่อลมหายใจ ยาว ก็รู้ว่าลมหายใจ ยาว" "เมื่อลมหายใจ สั้น ก็รู้ว่าลมหายใจ สั้น" "รวมทั้ง รู้อาการของ ลมหายใจทั้งหมด" (ตรงตาม อานาปานสติสูตร ไม่มีผิด)

    +++ เมื่อ "อยู่กับความรู้สึกทั้งตัว" เช่นนั้นต่อไป ก็ย่อมจะ "เห็น" ได้เองว่า "ลมหายใจ ไม่ใช่ตน และ ถูกแยกออกไปจาก ตน" ได้เอง (แยกขันธ์เบื้องต้น)

    +++ แต่ทั้งหมดที่อธิบายมานั้น ยังไม่ต้องไปกังวลกับมันหรอก ให้ฝึกซ้อมการ เข้า-ออกทั้งตัว เร่ง-ผ่อนทั้งตัว และการ ตรึง-แช่-อยู่ทั้งตัว ให้คุ้นเคยให้ได้ก่อน เพราะเมื่อได้ "ฝึกต่อหน้า" แล้วจะได้ "ไม่หลุด" ออกจากการเดินจิต นะครับ
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    แจ้งข่าวล่าสุด เกี่ยวกับเรื่องการฝึกครับ

    วันเวลา จะเป็น วันเสาร์ที่ 27 ถึง วันอังคารที่ 30 นี้
    สถานที่จะเป็นวิหารแก้วพระโพธิสัตว์กวนอิม ฉะเชิงเทรา

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    เว็บไซต์จังหวัดฉะเชิงเทรา - วิหารแก้ว โพธิสัตว์กวนอิม

    การเดินทาง โดยรถยนต์ส่วนตัว วิ่งจากกรุงเทพ ออกไปทางมีนบุรี ไปทางฉะเชิงเทรา พอเจอ Makro ฉะเชิงเทราอยู่ทางขวา ก็กลับรถ วิหารแก้วจะอยู่ในซอยก่อนถึง Makro ครับ

    แผนที่

    สถานที่ฝึกกว้างขวาง สถานที่พักเป็นสัดส่วน แยกตึกระหว่างหญิง-ชาย ครับ

    การเตรียมตัว
    - ชุดสุภาพ หากมีเสื้อขาว หรือ ชุดขาวก็ดี แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรครับ
    - ของใช้ส่วนตัว
    - เสื้อกันหนาว
    - ไฟฉาย

    การปฏิบัติตัว ไม่ได้มีกฎการปฏิบัติเคร่งครัดตายตัวครับ แต่ขอความร่วมมือในเรื่องของอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ไม่ให้นำเข้ามาในพื้นที่วิหารแก้ว ส่วนใครรับประทานมังสวิรัติ ก็สามารถรับประทานที่วิหารได้เลย หรือใครจะรับประทานอาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติ ก็สามารถออกไปข้างนอกได้ แต่ไม่นำกลับเข้ามาเท่านั้นครับ

    ติดต่อเรื่องการเดินทาง/สถานที่/การฝึก ทาง PM ได้เลยครับ
     
  9. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ มีเรื่องจะสอบถามอีกแล้วค่ะ จากกรรมฐานที่ใช้ คือ การดูอารมณ์(ยินดี ไม่ยินดี เฉยๆ)เมื่อเกิดผัสสะ โดยเมื่อเข้าไปดูอารมณ์เมื่อเกิดผัสสะตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมันจะมีความรู้สึกว่ามีพลังบางส่วนจะถูกส่งไปเก็บไว้บริเวณหน้าผาก เมื่้อดูไปเรื่อย ๆ พลังตัวนี้ก็จะมากขึ้นจึงทำให้เกิดความรู้สึกตึงบริเวณหน้าผากหากมันมีความตึงเต็มที่เสมือนกับว่าสามารถนำพลังตัวนี้เปลี่ยนไปเป็นลมหมุนไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้แล้วก็สามารถนำพลังลมตัวนี้ออกไปหมุนนอกร่างกาย วนรอบกายเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ หรือส่งไปที่ต่าง ๆ ได้ มันคืออะไรค่ะ แล้วอีกคำถามหนึ่งใช้หลักการดูอารมณ์ในผัสสะเหมือนกันแต่ในการดูแต่ละครั้งจะใช้ความรู้สึกผ่อนคลาย การคลายแผ่ขยายออกในการดูแต่ละครั้ง มันจะรู้สึกถึงความสบาย แล้วเป็นพลังเก็บสะสมไว้บริเวณหน้าผาก มันจึงไม่รู้สึกว่ามันตึงบริเวณหน้าผาก เมื่อทำไปเรื่อย ๆ มันจะเกิดความรู้สึกว่าง่วง เมื่อเข้าไปดูในความรู้สึกว่าง่วงมันก็จะรู้สึกถึงความสบาย เมื่อตรึงความรู้สึกว่าสบายไว้ก็จะรู้สึกถึงความสบาย มันคืออะไรค่ะ
     
  10. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    รอเรื่องเล่าจากท่านสมาชิกที่ไปฝึกปฎิบัติจริง
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    จากกรรมฐานที่ใช้ คือ การดูอารมณ์(ยินดี ไม่ยินดี เฉยๆ)เมื่อเกิดผัสสะ

    +++ จริง ๆ แล้ว แม้ขณะที่ยังไม่มี "ผัสสะ" ก็ควร "รู้จิตตน" อยู่ด้วยเสมอ

    โดยเมื่อเข้าไปดูอารมณ์เมื่อเกิดผัสสะตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

    +++ ดูที่ไหน ย่อมรู้สึกที่นั่น เหตุเพราะ "ตัวดู" คือ "ตัวพลังจิต" "ตัวอวิชชา" เมื่อมันดู ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มันก็ย่อมเกิดผัสสะตามส่วนของร่างกาย เป็นธรรมดา

    มันจะมีความรู้สึกว่ามีพลังบางส่วนจะถูกส่งไปเก็บไว้บริเวณหน้าผาก

    +++ มันไม่ได้ส่งไป "เก็บ" แต่ในขณะที่ "ดูในบริเวณหน้าผาก" มันก็ย่อม "รู้สึกที่หน้าผาก" เป็นธรรมดา

    เมื่้อดูไปเรื่อย ๆ พลังตัวนี้ก็จะมากขึ้นจึงทำให้เกิดความรู้สึกตึงบริเวณหน้าผาก

    +++ ใช่ แต่ "เหตุ" เกิดขึ้นเพราะ "ดู" ให้สังเกตุให้ละเอียด ก็จะรู้ได้เอง

    หากมันมีความตึงเต็มที่เสมือนกับว่าสามารถนำพลังตัวนี้เปลี่ยนไปเป็นลมหมุนไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้แล้วก็สามารถนำพลังลมตัวนี้ออกไปหมุนนอกร่างกาย วนรอบกายเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ หรือส่งไปที่ต่าง ๆ ได้ มันคืออะไรค่ะ

    +++ มันคือ "การดูเพื่อสร้างความรู้สึก" จากนั้นก็เป็นการ "เคลื่อนย้ายและเปลี่ยนแปลงความรู้สึก" ให้เป็นไปตามที่ "ตนปรารถนา" ตรงนี้เปรียบเหมือน "เด็กได้ของเล่น" ดู ๆ แล้วก็ "ให้เล่นได้" แต่ต้องคอยเตือนเด็กอยู่เสมอ ๆ ว่า "ให้เล่นได้ แต่ อย่าหลงของเล่น" ก็แล้วกัน

    แล้วอีกคำถามหนึ่งใช้หลักการดูอารมณ์ในผัสสะเหมือนกันแต่ในการดูแต่ละครั้งจะใช้ความรู้สึกผ่อนคลาย การคลายแผ่ขยายออกในการดูแต่ละครั้ง มันจะรู้สึกถึงความสบาย

    +++ ให้สังเกตุให้ดีว่า "การดู ในขณะจิต ที่ดู" จะเป็น "การเพ่ง" เสมอ และในขณะที่ กำลังเพ่ง จะเกิด "ความเครียดเสมอ" นี่คือนิยามของ "ดู" ในกระทู้นี้

    +++ ให้สังเกตุให้ดีว่า "การรู้ ในขณะจิต ที่รู้" จะเป็น "การแผ่" เสมอ และในขณะที่ กำลังแผ่ จะเกิด "ความสบายเสมอ" นี่คือนิยามของ "รู้" ในกระทู้นี้

    +++ ทั้งหมดให้ สังเกตุปฏิกิริยาอาการของ การเดินจิตและผลลัพธ์ของมัน ก็จะรู้และ "ใช้ภาษาให้ตรงตามอาการ" ของมันได้เอง

    แล้วเป็นพลังเก็บสะสมไว้บริเวณหน้าผาก มันจึงไม่รู้สึกว่ามันตึงบริเวณหน้าผาก เมื่อทำไปเรื่อย ๆ มันจะเกิดความรู้สึกว่าง่วง เมื่อเข้าไปดูในความรู้สึกว่าง่วงมันก็จะรู้สึกถึงความสบาย เมื่อตรึงความรู้สึกว่าสบายไว้ก็จะรู้สึกถึงความสบาย มันคืออะไรค่ะ

    +++ มันคือ "ผลลัพธ์" ที่แสดงออกมาจากความแตกต่างของอาการ "ดู VS รู้" นั่นเอง ให้ลองอ่านทวนดูอีกที และค่อย ๆ ตรวจสอบไปเรื่อย ๆ ก็จะรู้ชัดเจนขึ้นเอง นะครับ
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    พรปีใหม่ 2558

    +++ สำหรับนักปฏิบัติ +++

    +++ ทุกเหตุ ทุกปัจจัย ที่สามารถหล่อหลอมรวมตัวกัน แล้วนำพาผลลัพธ์ให้ออกมาเป็น "ความสุข" ได้ ก็ควรพยายาม "อยู่" กับความสุขนี้ ในชีวิตประจำวัน จนกลายเป็น "วิหารธรรม" ทางจิต จนกลายเป็นเรื่องปกติ หากทำได้ "พรปีใหม่" ก็จะประสพความสำเร็จ และได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างไปจากปีอื่น ๆ และ วิหารธรรมตรงนี้เป็น "อพรหมะจริยา" อันเป็น วิหารธรรมของ "นักบวช นักปฏิบัติ"

    +++ ผู้ที่ "ทำได้" ก็คือ ผู้ที่สามารถ "รับพรได้สำเร็จ" ตามความเป็นจริง สำหรับ "ผู้ที่เข้ารับการฝึกที่ผ่านมา" ย่อมมีขีดความสามารถที่จะ "เดินจิต" เข้าสู่ "สภาวะ เพลิน-สุข" ตรงนี้ได้ และ สามารถใช้เป็น "เครื่องอยู่ หรือ วิหารธรรม" ในการดำรงค์ชีวิตประจำวันได้โดยไม่ยาก

    +++ ส่วนในเวลาที่ "ปลอดจากภาระกิจ" ก็สามารถ "ทบทวนการปฏิบัติ" ไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็จะสามารถเห็น "กิริยาจิต" และ "ต้นกำเนิดการกระทำทางจิต (มโนกรรม)" ได้ จนถึงระดับ "อยู่-ย้าย" ออกจาก "มโนกรรม" นั้นได้เป็นผลสำเร็จ

    +++ ให้ "วาระดิถึ เริ่มต้นปีใหม่ 2558 นี้" เป็น จุดเริ่มต้นใน "การเดินทางของจิต" จนกว่าจะ "หลุดพ้นจากพันธนาการของ สังคตะธรรม ทั้งมวล" ด้วยวิถีทางของ "สติ สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุติ" และ ลุล่วงความสำเร็จ ด้วยวิถีของ "อิทธิบาท 4" อันประกอบด้วย "ตั้งใจ ลงมือทำ (สันทิฐิโก) ฟันฝ่าอุปสรรค จนรู้แจ้ง" ทุกประการเทอญ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การปฏิบัติในยกนี้ จบลงที่ประมาณ 20.30 ของ 4 Jan 2015 เป็นการปฏิบัติที่ "ทุกคนได้ผลลัพธ์ แบบเฉพาะตน ทุกคน" แม้กระทั่งผู้ที่ "ไม่น่าจะฝึกได้" (ไม่ใช่คนในเวปนี้) ก็ยังสามารถเข้าสู่ "สภาวะของ การแยกเวทนา" ได้ใน "ยกสุดท้าย ของวันสุดท้าย" จนได้ จึงกล่าวได้ว่า "ได้ทุกคน" ในช่วงการฝึก "ข้ามปีใหม่" นี้

    +++ ส่วนการ "เล่าผลลัพธ์" ที่เกิดจากการฝึกนั้น คงต้อง "รอ" จนกว่านักปฏิบัตินั้น ๆ จะ "เรียบเรียงภาษา ที่สามารถสื่อสารกันเข้าใจได้" ให้เรียบร้อยเสียก่อน

    +++ การฝึก เมื่อเทียบกันกับ การใช้ภาษาที่จะ "อธิบายให้รู้เรื่อง" นั้น "การฝึกถือว่าเป็นเรื่อง เนื้อหมู" แต่การอธิบายให้เข้าใจได้นั้น "เป็นกระดูกหมู เลยทืเดียว" ดังนั้นต้องใช้เวลาเรียบเรียงกันพอสมควร

    +++ ส่วนผู้ที่เรียบเรียงนั้น ให้ใช้การระบุ step ก่อน-หลัง ในการอธิบาย จากนั้้นให้ "เดินจิต" ตามที่ตนเขียนมานั้นก่อน ก็จะพบได้เองว่า "ภาษาหรือขั้นตอนตรงไหน ไม่สมบูรณ์" ก็ค่อย ๆ ปรับไปเรื่อย ๆ และเดินจิตตามที่ตนอธิบายไปเรื่อย ๆ จนกว่า "การเดินจิตจะไม่สะดุด" ราบรื่นเมื่อไร จึงค่อยโพสท์ลงมา นะครับ
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ให้วาง "ตารางการฝึก" ของคุณ Apinya17 อย่าง "คร่าว ๆ แต่เนิ่น ๆ โดยประมาณ"แล้ว PM ให้คุณ อินทรบุตร ทราบ เพื่อ "วางตารางการฝึกร่วมกัน"

    +++ ตารางการฝึก ควรกำหนดแบบ 3-4 วัน หรือ 7-10 วัน แบบรวดเดียว โดยไม่มีการ "ข้ามวัน" จะได้ผลดีกว่าแบบ ข้ามหรือเว้น วันไปมา โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ต่างประเทศ ปีหนึ่ง ๆ อาจมาได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จึงควรฝึกในลักษณะ "ต่อเนื่อง" จึงจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า นะครับ
     
  15. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ
    มาอธิบายต่อหน่อยสิคะ ที่พี่บอกว่า "กิริยาจิตเป็นสัญญาก็ได้ ไม่ได้เป็นสัญญาก็ได้" นะคะ
     
  16. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023

    ขอบคุณค่ะ จะหลังไมค์ไปหาคุณอินทรบุตรค่ะ 7-10 วันก็ได้ค่ะ
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อันดับแรก "กิริยาจิต" เกิดมาจาก "การขยับตัวของจิต"

    +++ ไม่ว่า "จิตจะขยับตัว" อย่างไรก็ตาม มันจะแฝง "เจตนาในระดับ 1 วาระจิตละเอียด" เสมอ

    +++ ตรงนี้คือ "อาการของ ตัวจะ"

    +++ "ตัวจะ" จะมีอาการเพียงแค่ "ขยับตัว แล้ว ดับไป" (เกิด-ดับ ใน 1 วาระจิต)

    +++ อาการที่ "ตัวจะ" ขยับตัวนั้น ไม่สามารถระบุว่า เป็นสัญญา หรือ ไม่เป็นสัญญา ได้เลย

    +++ การขยับตัวของตัวจะ จะทิ้งร่องรอยของมันออกมา คือ "กิริยาจิต"

    +++ ดังนั้นจะระบุว่า "กิริยาจิต" เป็นสัญญา ก็ไม่ได้ และจะระบุว่า ไม่ใช่สัญญา ก็ไม่ได้ อีกเช่นกัน

    +++ อาการนี้ ตรงกับ "เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน" ที่ระบุกล่าวไว้ในพระไตรปิฏก

    +++ ผู้ที่ฝึกจนได้ "สติทรงอรูปฌาน" จนถึงระดับของ "ตัวจะ" เท่านั้นจึงจะ "เห็น" (ญาณทัศนะ) ได้ด้วยตน

    +++ เมื่อฝึกจนถึง "การหยุดจิตตนได้สนิท" แล้ว "กิริยาจิตรวมทั้ง ตัวจะ" ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และ "อยู่" ที่ตรงนี้ ก็จะเรียกได้ว่าเป็น "นิโรธสมาบัติ" และจะไม่มี "ร่องรอยใด ๆ ทางจิต" หลงเหลืออยู่ได้เลย ตรงนี้คือ "หยุดการทำงานของ ตัวดู โดยสิ้นเชิง" แต่ ตัวดูยังมีอยู่ ดังนั้นจึงแตกต่างออกไปจาก "วิมุติญาณทัศนะ" ซึ่งเป็นอาการ "แยกตัวดู" ออกไปและพ้นจาก "ความเป็นตน" โดยสิ้นเชิง นะครับ
     
  18. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    มาเล่าผลการปฏิบัติค่ะ ตามที่อาจารย์มอบหมาย จริงๆไม่อยากเล่าค่ะ แต่อาจารย์บอกว่าเพื่อเป็นพยานธรรม ส่วนเรื่องอื่นรอท่านอื่นมาเล่าค่ะ อยากฟังเหมือนกัน

    ######เรื่องแรกการดูดาวนพเคราะห์เคลื่อนตัว ต้องเข้าฐานความรู้สึกทั้งตัว แล้วปรับการมองเป็นระดับสามคือมองกวาดไปทั้งหมดไม่เพ่งจุดใดจุดหนึ่ง อย่าส่งจิตออกนอกให้กำหนดจิตอยู่ที่ใบหูทั้งสองข้าง จะเห็นออร่าของขอบดวงอาทิตย์ เส้นขอบฟ้า และเห็นการเคลื่อนตัวของมัน เหมือนมันยกตัวขึ้นดันตัวขึ้น ที่สำคัญตึกที่อยู่จะอยู่ชั้นสาม บางครั้งเราจะเห็นความสวยงามของออร่าสรรพสิ่ง อาจารย์บอกว่าในขณะนั้นเราไม่ได้อยู่ในภูมิของมนุษย์ แต่ทำนานๆไม่ค่อยได้ค่ะเพราะจิตมันจะเอาแต่ส่งออก และที่สำคัญเมื่อมองปรับจิตดีๆตัวเราจะเคลื่อนไปตามแรงดันและจะเซล้มถ้าไม่จับหรือทรงตัวให้ดีจะถูกดันไปทางด้านซ้าย

    ######เรื่องที่สอง การทำจิตเปล่งรังสี (ส่วนตัวเองยังทำไม่ได้) อาจารย์ก็ไล่ทีละ step ต้องเข้าฐานกายเวทนาให้เต็ม เข้าจนพอใจแล้วแช่อยู่อย่างนั้น รู้สึกตัว รู้ เฉย โล่ง ว่าง ตื่น ตื่นอย่างยิ่ง (จริงๆตรงนี้อาจารย์ได้เคยเขียนไว้แล้วค่ะ)แล้วจะเข้าจิตเปล่งรังสี โดยส่วนตัวหลุดตรงนี้ ความเข้าใจของตนเองคิดว่าเข้าฐานกายเวทนาไม่แน่นพอเลยทำไม่ได้ จะได้ตรงที่เหมือนตัวเรานั่งอยู่ความรู้สึกมันเบิกออก บานออก เหมือนเรานั่งอยู่ในดอกบัวที่ตูมแล้วเหมือนดอกบัวที่กำลังบานออก แล้วเรานั่งอยู่บนแท่นอะไรซักอย่างที่มันบานออกนั้น มันสูงมากเหมือนอยู่ในอากาศที่สูงๆ แต่อาจารย์บอกว่าตัวเราเป็นพุทธเกษตร คือ พุทธภูมิแบบหนึ่งในนิกายมหายาน โดยส่วนตัวงงมากๆไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นเพราะไม่ค่อยใช่นิสัยสักเท่าไหร่ จะต้องลาพุทธภูมิต่อหน้าพระธาตุของพระพุทธเจ้า แต่ไม่แน่ใจว่าจะลาสำเร็จรึเปล่า (ตรงนี้กำลังใจหุบเลย เพราะไม่อยากเกิดอีกแล้ว แอบอิจฉาเล็กๆน้องคนที่ทำจิตเปล่งรังสีได้ 5555)

    #####อาจารย์คะ ตามที่ใช้จิตเคลื่อนร่างลองทำวันแรก เมื่อกลับมาถึงบ้านก็นั่งลงได้ทันทีเลย อันนั้นไม่เหนื่อย แต่วันนี้ พอนั่งลงได้ครั้งแรกไม่ขัดสมาธิ เลยลองนั่งครั้งที่สอง พยายามให้ขัดสมาธิ มันขัดขาเข้ามาหากันค่ะ แต่ยังนั่งตัวตรงไม่ได้ ยังยื้อยุดกันอยู่มือก็เข้ามาประสานกันแล้วนะคะแต่ยังไม่สวย เหมือนจะนั่งให้งามแต่ยังไม่ได้นี่ถือว่าทำครั้งแรก เหนื่อยก่อนเหนื่อยมากๆเหงื่อเต็มตัวเลยค่ะ (โดยส่วนตัวคิดว่าทำจิตเคลื่อนร่างง่ายมากๆเพราะทำแป๊บเดียวได้แต่อย่างอื่นทำไมยากจัง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2015
  19. jadeprawit

    jadeprawit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +117
    มาเล่าเรื่องการฝึกค่ะ

    การฝึกวันที่ 3 มค

    ฝึกเข้าสติทั่วร่าง เข้าสบาย เพลิน รู้ อยู่กับรู้ รู้สึกตัวว่ากายอยู่ส่วนกายไม่ใช่เรา เสียงสรรพสิ่งรู้อยู่ แต่ไม่มีกายเป็นเพียงอะไรสักอย่าง ไม่มีค่าความหมาย นกร้องก็รู้ว่าเสียงนก รถวิ่งผ่านก็รู้ว่าเสียงรถ แต่ไม่ใช่ตัวนึง หรือคันนึง

    ซึ่งอาการนี้ที่อาจาร์ยบอกว่าเป็นอาการของสรรพสิ่งถูกรู้ทั้งหมด แต่ละสิ่งเป็นมิติใครมิติมัน แต่ละมิติไม่เกี่ยวกันเลย ตัวที่พูดว่าเป็นเราเป็นเขาก็ไม่ใช่เรา ทุกสิ่งแยกส่วนกันทั้งหมดส่วนเรารู้อยู่

    อาจาร์ยให้สังเกตุตัวส่งออก เช่น ให้นึกถึงบ้านพอนึกถึงบ้าน เหมือนเห็นอาการพุ่งออกไปทิศทางเดียวกับที่บ้าน เหมือนมันพุ่งไปที่เดียวแคบๆ เหมือนเราเป็นใส้เทียนจิตส่งออกคือเปลวเทียนที่ไหวไปที่บ้าน

    พอฝึกก็จะเห็นอาการที่อาจาร์ยบอกว่า รู้เหมือนเห็น เป็นอย่างนี้เอง ตอนนั่งอ่านอย่างเดียวมันไม่เข้าใจ ต่อเมื่อได้ทำแล้วจริงๆเท่านั้นเมื่อเห็นอาการแล้ว จึงเข้าใจในที่อาจาร์ยเขียนบอกไว้ ค่ะ
     
  20. jadeprawit

    jadeprawit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +117
    วันที่ 5 มค 58

    ขับรถออกมาจากวัดสังฆทาน ช่วงนี้มีจราจรติดขัดไปจนถึงแยกแครายค่ะ เลยทำความรู้สึกตัวทั่วร่างไปด้วย สักพักสังเกตุเวลาที่เราเบรคเป็นระยะๆ พอเหยียบเบรคตัวเราจะเอนไปทางด้านหลังทุกๆครั้งพอปล่อยเบรคจะโน้มไปด้านหน้า ต่อมารู้สึกเป็นอาการเพลินๆ มีอาการคล้ายตัวเราไม่มี รถก็ไม่มี เหมือนมีแค่รอบๆตัวรถที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้า เรากับรถโปร่งๆว่างๆ ตัวที่เป็นความรู้สึกเหมือนอยู่เหลื่อมไปด้านหลัง เห็นตัวเรากับรถเคลื่อนไปพร้อมกันจนกระทั่งรถติดรอสัญญานไฟ เริ่มรู้สึกสนุกกับการฝึกแล้วค่ะ

    พอไฟเขียว รถเราจอดเป็นคันแรกก็พุ่งออกไปเลย ข้างหน้าถนนว่างไม่มีรถ เลยเยียบคันเร่งพุ่งไป (ยังทำสติทั่วตัวอยู่ตลอดค่ะ) ลองมอง ระดับ 3 ไปด้วย ตอนนี้สนุกมากขึ้นเหมือนขับรถอยู่ในเกมส์ขับรถ ด้านซ้ายมือและขวาเหมือนโค้งๆ ไม่เป็นแผ่นพื้นราบเหมือนเมื่อก่อน ด้านหน้าก็โค้งลงไป เหมือนที่มองสุดขอบฟ้า รถที่พุ่งเหมือนพุ่งไปข้างหน้า
    ตรงสุดสายตามันโค้งลงตลอดที่รถวิ่ง

    นึกถึง พีท ทองเจือ ที่ได้สมาธิตอนขับรถนี่ เป็นการเข้าสมาธิแบบมอง 3 ระดับหรือเปล่า จะคล้ายแบบนี้มั้ยนะ


    ตอนบ่ายนั่งกินก๋วยเตี๋ยว เจ้าของร้านก็คุยกับเพื่อน 3-4 คน
    เรื่องหวย เรากินไปก็ได้ยินตลอดแต่ไม่ได้ให้ความสนใจ
    เค๊าคุยกันด้านขวามือเรา ด้านหน้าเป็นตู้ก๋วยเตี๋ยว เราได้ยิน
    เป็นเสียงผู้ชายคุยกับใครไม่รู้ เราก็นึกว่าเค๊าคงเปิดวิทยุไว้
    สักพักได้ยินอีก แต่ไม่ได้ตั้งใจฟังว่าเค๊าคุยอะไร พอเรียกเค๊าเก็บตังค์ ลองถามเค๊าดูว่าเปิดวิทยุไว้หรือเปล่า เค๊าบอกไม่มีวิทยุ อ้าว เราก็บอกได้ยินเสียงคนคุยกันนึกว่าเปิดวิทยุ
    เจ้าของร้าน(รู้จักกัน) บอกว่าไม่มี แล้ว ขำๆ พูดว่าร้านนี้ไม่มีผี
    ไม่มีผีหลอก ถ้าจะมี ก็มีแต่คนนี่แหละหลอกกันเอง แล้วก็หัวเราะ ขำกัน ตกลงอะไรคะ ตัวพูดมาก จิตส่งออก หรือชุมสายอะไรคะ อาจาร์ย
     

แชร์หน้านี้

Loading...