กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ขอบคุณที่ตอบครับ แต่ผมฝืนสุดแรงจนหงายหลังเลยยังไปไม่ถึงปากอุโมงค์ทางออก
    แสดงว่า น่าจะดีกว่า ออกไปจากอุโมงค์ ไช่มั้ยครับ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,435
    ค่าพลัง:
    +35,016
    ใช่ครับ ออกไปก็เสียทั้งเวลานั่งเวลาฝึกครับ เข้าไปได้ออกมาแล้ว
    ตัวจิตก็ไม่เกิดความสามารถหรือเครื่องรู้อะไรขึ้นมาซักอย่าง
    มีแต่จะท่องเที่ยวไปเรื่อยตามเรื่องตามราวครับ..
    อย่างที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ครับ..
    สิ่งที่เราต้องทำคือ รักษาระยะห่างของจิตให้ได้ ต้องหาระยะนี้ด้วยตัวเอง..
    แล้วมองที่นิมิตรนั้นแล้วบังคับมันให้ได้ครับ.โดยปกติแล้วเราจะบังคับ
    ได้จิตเราต้องอยู่ในมุมสูงกว่านิมิตรแบบมองเฉียงๆลงมานะครับ
    เหมือนเรายืนตรงระเบียงตึกชั้นสองแล้วมองลงมาที่พื้นถนนครับ.
    ถ้าตรงกันหรือเข้าใกล้ส่วนมากเราจะเสร็จนิมิตรครับและ
    ถึงจะมีประโยชน์ครับ.ต้องทนหน่อยครับ..กำลังจิตตรงนี้
    ถ้าได้แล้วมันได้เลยครับ มันไม่เสื่อมเหมือนร่างกายครับ..
    ส่วนสภาวะอารมย์ที่มันดูดเรา หรือเราเข้าไป พวกนี้มันมีขึ้นๆ
    ลงๆแปรฝันได้ตลอดเวลาไม่เหมือนกำลังจิตระดับใช้งานได้ครับ...

     
  3. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    อุโมงค์ที่ผมเคยทะลุทะลวงไปนั้น เร็วมากเลยนะครับ พอผมมาดูหนังเรื่อง อวตาร เหมือนกันเด๊ะ เวลาที่เขาย้ายจิตจากร่างหนึ่งไปอีกร่างหนึ่ง การที่ผมฝืนสุดขีด เพราะผมไม่อยากไป ภพภูมิอื่นนั่นเองครับ ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกมั้ยครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,435
    ค่าพลัง:
    +35,016
    เข้าใจถูกแล้วครับ..ไอ้ตัวที่เราฝืนๆนั่นหละครับ คือตัวกำลังสติทางธรรมครับ..
    ตอนที่เราทะลุไปมันเร็วกว่าจะนับได้เป็นวินาทีอยู่แล้วครับ เรื่องปกติครับไม่แปลก...
    และถ้าส่วนตัวได้พูดว่าปกติแล้ว..ให้คุณคิดเอาไว้เลยว่า เป็นเรื่องธรรมดามาก
    และไม่ต้องไปให้ความสนใจในประเด็นนี้ เพราะไม่มีใครที่ผ่านตรงจุดนี้มา
    ไม่เคยเจอครับ. และไม่ต้องเก็บมาคิดให้เสียเวลาอะไรครับ.มันไม่มีประโยชน์ครับ..
    ไอ้ที่มันดูดได้เพราะจิตเราเข้าไปใกล้มากเกินไปครับ..และมันก็เหมือนในหนังนั่นหละครับ...
    จะเล่าอะไรให้ฟังนะครับ..พวกภาพนิมิตรตรงนี้ ในขณะที่มันกำลังจะหมุนนั้น
    มันจะทำหน้าที่เสมือนประตูมิติครับ..ซึ่งประตูมิตินี้ โดยปกติจะสามารถดูดพลังงาน
    ต่างๆ รวมทั้งการส่งผ่านพลังงานต่างๆข้ามเข้าไปได้ และจะก้าวข้ามพ้นเรื่องมิติและเวลาด้วยครับ..
    โดยปกติแล้ว..ประตูตรงนี้เราสามารถที่จะเปิดมันได้อยู่แล้ว หากว่าเราพอมีกำลังจิตบ้าง
    และสามารถเปิดได้ในขณะที่ลืมตาปกตินี่หละครับ...

    แต่ในขณะที่เรากำลังทำการฝึกนั้น..ตัวจิตเรามันจะตัดออกจากร่างกายในระดับที่เลย
    การควบคุมของระบบประสาทแล้ว มันจึงเหลือแต่ดวงจิต ที่กลายเป็นเสมือนเหลือแต่
    พลังงาน..เพราะฉนั้นเราจึงต้องอาศัยกำลังสติทางธรรมเพื่อฝืนตรงนี้ และอาศัยกำลัง
    สมาธิสะสมเพื่อต้านไม่ให้ ดวงจิตของเราตรงนี้เข้าไปใกล้มัน เพราะไม่งั้นมันจะดูดไม่ว่า
    พลังงานอะไร หรือแม้กระทั่งดวงจิตเราเข้าไปได้นั่นเองครับ.แต่สิ่งที่เราจะได้กลับมา
    หากว่าเราบังคับมันได้ก็คือเรื่องของกำลังจิตนั่นเองครับ.....
    ที่เรายังสามารถกลับมาได้นั่นก็เพราะว่า..ดวงจิตของเรานั้นยังมีสายใยทิพย์บางๆ
    เชื่อมโยงกับร่างกายของเราอยู่ เราจึงสามารถกลับมาที่เดิมบนโลกได้แบบปกติครับ...

    ส่วนมนุษย์ภูมิอื่นๆจะมีวิวัฒนการตรงที่สามารถย้ายวัตถุทะลุประตูตรงนี้ไปได้..
    ซึ่งมีความสามารถคล้ายๆห่มเหลืองบางท่าน ที่สำเร็จระดับจิตธาตุ ที่สามารถจะย้าย
    ทั้งร่างกายก้าวข้ามประตูพวกนี้ไปได้..ที่เราเรียกกันง่ายๆว่า หายตัวได้นั้นหละครับ..
    แต่ท่านๆจะต้องนึกปลายทางก่อน แล้วเชื่อมกับต้นทางที่ท่านอยู่ถึงจะไปปรากฏอีกที่
    หนึ่งได้ครับ เรียกว่าการเชื่อมประตูมิติ...

    เหมือนอดีตหลวงปู่ มีชื่อย่อ ด ที่ล่วงลับไปแล้ว.ที่ท่านนั่งอยู่ในกุฏิตอนที่ทำพิธีปลุก
    เสกวัตถุมงคลแต่ให้เตรียมที่นั่งให้ท่านนั่นหละครับ...
    ในสมัยพุทธกาลก็เคยมีอดีตห่มเหลืองมีชื่อ หลงประตูมิติแบบนี้ได้ เพราะท่านมีความ
    สามารถยกไปได้ทั้งกาย จึงไม่เหลือสายใยทิพย์อะไรที่จะเชื่อมโยงกายหนึ่งไว้.ที่เป็นเสมือนจุดดึง
    ตัวให้กลับมาได้..ท่านจึงได้หลงมิติหลงเวลานั่นเองครับ...
    อย่างการปรากฏตัวของครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิ.ที่ทำให้เราเห็นได้ด้วยตาเปล่า.
    เหมือนๆว่าท่านเป็นมนุษย์ที่เดินได้ปกติ..ก็มีหลักการคล้ายๆที่เล่าให้ฟังมานี่หละครับ..

    นี่หละครับ เป็นข้อดีของเราตรงนี้ ที่สามารถทำให้เราฝึกได้..เพราะถ้าเราไม่มี
    ร่างกายแล้ว ๑.เราจะสร้างกำลังสติทางธรรมเพื่อฝืนแบบนี้ไม่ได้..
    ๒.เราจะรักษาระยะห่างเพื่อสร้างกำลังจิตไม่ได้.เนื่องจากเรามีข้อดีตรง
    เรายังมีสายใยทิพย์เชื่อมตำแหน่งที่ร่างกายเราอยู่.
    .และเราจะไม่หลงมิติหลงเวลาไปอยู่อีกมิติหนึ่งแบบที่หาทางกลับได้ยากนั่นเองครับ..
    ปล.พอจะเข้าอะไรเพิ่มมากขึ้นแล้วนะครับ..
     
  5. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ขอบคุณที่ยังตอบนะครับ นึกว่าท่านจะหยุดปีใหม่ซะอีก

    งั้น สำหรับคนที่ฝึกสติมาไม่ดีพอ ก็กลายเป็นว่า เขาจะถูกดูดจิตวิญญาณไปอยู่อีกมิติหนึ่ง แล้วถ้าสติไม่ฝึกมาดีพอ เขาก็จะกลับร่างคืนสู่มิติเดิมในโลก ได้หรือไม่ได้ครับ

    เช่นนี้ แบบนี้ จะตายมั้ยครับ แล้วแบบนี้ ก็ตกค้างในมิติอื่นงั้นหรือครับ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,435
    ค่าพลัง:
    +35,016
    ตอบให้อยู่ครับถ้าถามผมนะและถ้าตอบได้นะครับ..
    ปีใหม่ส่วนตัวรอให้ดึกกว่านี้หน่อยครับ..
    ส่วนตัวชอบไปเดินป่าช้าคนเดียวหลังเที่ยงคืนครับ
    เมื่อคืนก็พึ่งไปเดินมาตอนตีหนึ่งกว่าๆ
    ถ่ายรูปแปลกๆมาลงให้เพื่อนดูเล่นๆอยู่ครับ.
    สนุกดีนะครับคุณลองดูก็ได้นะครับ ๕๕๕..

    สติที่นี้หมายถึงสติทางธรรมนะครับ ไม่ใช่สติแบบที่เรารู้ เราเข้าใจทางโลกนะครับ
    สติตัวนี้ก็คือ ผู้รู้ตัวใหม่ นั่นหละครับ เป็นนามธรรม โดยพื้นฐานเค้าจะเป็นธาตุรู้
    และเป็นผู้รู้ครับ ส่วนตัวจิตเราจะเป็นธาตุรู้ครับ..ซึ่งสติทางธรรมตรงนี้เราต้องมาสร้าง
    ด้วยการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ด้วยวิธีอะไรก็ได้ครับขอให้มีฐานอยู่ที่กาย
    ส่วนถ้าเราสามารถสังเกตุได้ทันตั้งแต่ความคิดมันจะไม่รวมกับจิต หรือตั้งแต่ขันธ์ ๕
    นามธรรมมันกำลังจะไปรวมกับจิตได้อย่างไร มันถึงจะแยกออกเป็น ๓ ส่วนเราก็จะ
    เห็นการเกิดดับของจิตเราได้ จะรู้กิริยาของจิต และรู้ว่าอะไรคือความคิดที่เกิดจากจิต
    อะไรคือความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมครับ..ตรงนี้สำหรับบางคนที่แยกได้
    นะครับ เวลาเราไปออกกำลังกายเหนื่อยๆหัวใจเรามันจะเต้นแรงสำหรับทั่วๆไปนะครับ
    แต่คนที่เค้าแยกได้..มันจะไปเต้นที่ตัวจิตตรงกลางลิ้นปี่แทนชนิดที่ว่าคนภายนอกมา
    จับก็จะรู้สึกได้ครับ..จุดนี้เอาไว้เป็นหลักสังเกตุตัวเองได้ครับ...
    ที่นี้ตัวสติทางธรรมตัวนี้ มันก็จะเหมือนตัวคอยควบคุมจิตเรา ถ้าเปรียบตัวจิตเราเป็นวงกลม
    สติทางธรรมก็จะเหมือนฝ่ามือที่ใหญ่กว่าตัวจิตเรานั่นหละครับ..การที่เราพยายามดึงพยายาม
    รั้งไม่ให้จิตเราเข้าไปในอุโมงค์ มันก็คือตัวที่คล้ายๆฝ่ามือหรือสติทางธรรมตัวนี้นี่หละครับ
    ที่มันพยายามดึงตัวจิตเราอยู่ครับ...

    ด้วยการที่มันเป็นทั้งธาตุรู้และผู้รู้.จึงทำให้มันสามารถพัฒนาจนเข้าใจในนามธรรมต่างๆ
    หรือสิ่งที่เห็นต่างๆได้นั่นเองครับ..และการที่จิตเป็นธาตุรู้เช่นกัน หากมีกำลังสติทางธรรม
    คอยควบคุมให้จิต ปราศจากความคิด ปราจากอารมย์ ปราจากความยึดมั่นถือมั่น จนจิต
    เข้าสู่สภาวะเป็นกลาง สติทางธรรมตัวนี้ก็จะทำหน้าที่ควบคุมตัวจิต ให้จิตซึ่งเค้าเป็นธาตุรู้
    เค้ารับรู้ตามความเป็นจริง ณ เวลานั้น จึงเกิดเป็นปัญญาทางธรรมขึ้นมาได้นั่นเองไงครับ...
    ที่นี้ถ้าเรามีแต่ตัวจิตอย่างเดียวในกรณีที่เราสามารถนั่งสมาธิจนจิตแยกกับกายได้เด็ดขาด
    ชั่วคราว..มันก็จะมีแต่ตัวจิตที่เป็นธาตุรู้ ซึ่งมันจะมีนิสัยท่องเที่ยวเป็นปกติ จิตตรงนี้มันออกไป
    มันก็จะเกิดแต่อาการอยากจะรู้ อยากจะเห็น อยากจะเข้าให้ให้ได้..แต่มันไม่สามารถที่จะเข้าได้
    เนื่องจากว่า ไม่มีตัวผู้รู้ที่เป็นตัวสติทางธรรมนั้นเอง..บุคคลที่ไม่มีตรงนี้.เลยจะไปวนเวียนอยู่
    กับการอยากรู้ อยากเห็นที่จิตได้สัมผัสมา.พอออกมาด้วยความรุ้ทางสมมุติที่ดูเหมือนว่าจะไม่ยึด
    แต่มันก็ยังเป็นกิเลสธรรมอย่างหนึ่งอยู่ เมื่อจิตไปรวมกับความคิดที่เกิดจากจิตแล้ว
    จึงเป็นเหตุให้ไม่สนใจการเจริญสติ เพื่อเป็นฐานสำหรับการเดินปัญญาไงครับ..
    และถ้าไม่ใช่การฝึกกสิณนะครับ..การที่จิตมันไปโน้นไปนี่ ในลักษณะที่ว่า ไปถึงแล้วถึงทราบ
    หรือว่าไปถึงแล้วก็ยังไม่ทราบ นี่ก็คือการที่กำลังสติทางธรรมยังไม่พอเช่นกันครับ..
    ถ้ากำลังสติทางธรรมเราดีพอ ไม่ว่าจิตจะไปไหนยังที่ไหนๆแห่งใดก็ตาม มันจะตามตัวจิต
    ไปแบบชนิดที่ว่าไปไหนไปด้วย..กำลังสติทางธรรมตรงนี้จะทำให้เราสามารถเห็นตัวจิต
    ของเราได้ในขณะที่มันกำลังเดินทางภายในเสี้ยววินาทีนั่นหละครับ..อ่านมาถึงตรงนี้คง
    พอเข้าใจ แต่ส่วนมากเรามักจะเผลอหลงคิดไปว่าเราเก่งที่เราสามารถไปตรงโน้นตรงนี้ได้
    เลยเป็นเหตุให้เกิดอัตตนตัวตนขึ้นมาได้อย่างเราคาดไม่ถึงครับ...

    กรณีที่เราออกไปข้างนอกได้อย่างปลอดภัยหลายๆครั้ง แสดงว่าเราพอมีอะไรคอยป้องกัน
    ตัวเราเองอยู่ครับ ไม่ว่าจะครูบาร์อาจารย์หรือเทพเทวดาประจำตัวที่เราอาจจะยังมองไม่เห็น
    ที่จะทำหน้าที่คอยดูร่างกายเราและตามควบคุมเราในขณะที่จิตเราออกไปข้างนอก...
    ส่วนถ้าจะทำให้เราเสียชีวิตได้ ก็คือ การที่เรายกกายออกไป.ในขณะที่ยกออกไปนั้น
    มันจะยังมีสายใยที่เชื่อมกายทิพย์กับร่างกายเราอยู่..ตรงนี้ถ้ามีดวงจิตมีฤิทธิ์มาจับให้มัน
    สะเทือนเราก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติได้ยากครับ..หรือถ้าเราเจอพวกที่เค้ามีอาวุธทิพย์
    แล้วมาตัดสายใยทิพย์ตรงนี้ของเราได้..เราก็จะกลับเข้าร่างกายเดิมไม่ได้ครับ เพราะมัน
    เหมือนกับการตัวจิตของจากธาตุที่มารวมเป็นร่างกายเราครับ.ซึ่งความสามารถในการ
    ตัดนี้ระดับเทพพรหมมีฤิทธิ์ท่านทำได้หมด แต่ปกติจะไม่ทำกันครับ..
    แต่เราจะมาใช้ในกรณีที่ตัดสายใยวิญญานที่เข้ามาแฝงร่างกายมนุษย์แทนครับ..
    ส่วนเราจะตกค้างในมิติอื่นๆได้ ก็ต่อเมื่อเราสามารถสลายร่างกายในปัจจุบันนี้ให้
    หายไปได้.แล้วกลับมารวมเป็นร่างใหม่ได้ครับ หรือพูดง่ายๆว่าสำเร็จระดับจิตธาตุครับ
    ความสามารถระดับนี้เป็นปฏิสัมภิทาญานขึ้นไปแล้วครับ..อย่างพระอาจารย์ในดง..
    อย่างหลวงปู่ ด หลวงปู่ ส ในอดีตนั้นหละครับ.หรืออีกหลายๆท่านที่หายตัวได้ทั้งหลายนั่นหละครับ
    ..เพราะฉนั้นถ้าเรายังมีกายอยู่ ไปแต่ตัวจิต
    จะปลอดภัยครับ ถ้ายกกายออกจะสุ่มเสี่ยงมาก ถ้าเราไม่มีพันธมิตร
    ทางภพภูมิพาเราไปนะครับ..พวกที่เค้าไปฝึกวิชาพิเศษจึงต้องขอบารมี
    พระก็เพื่อช่วยคุ้มครองยังไงนั่นหละครับ..
    ถ้าเราไปแต่จิตยังไง ร่างกายเรานี้มันก็มีสายใยโยงกันอยู่ แค่เราคิดมันก็กลับมา
    แล้วครับภายในเสี้ยววินาที..ถ้าเราไม่ได้คิดว่าจะต้องไปมีส่วนร่วมอะไรในเหตุการณ์
    การไปดูเฉยๆไปแต่ตัวจิตจะปลอดภัย..แล้วค่อยพัฒนามาเป็นการส่งแต่จิตไปใน
    ขณะที่ยังลืมตาอยู่ และพัฒนามาเป็นการส่งจิตไปและขึ้นเป็นภาพให้เราทราบ
    ต่อไปซึ่งค่อยว่ากันอีกทีภายหลังครับ...เอาตรงนี้ให้ได้ก่อนครับ..
    สร้างกำลังจิตให้ได้ก่อน ยังไม่ต้องไม่สนใจเรื่องอื่นๆครับ เอาตัวเรา
    เองให้มันได้ก่อนดีที่สุดครับ
    ..
    ปล.ประมาณนี้ครับ.
     
  7. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ขอบคุณที่ตอบอีกครับ บรื๋อ คุณนพไม่คบกับคนแล้วหรือครับ ถึงต้องไปคบกับผีแทน
    หรือหาคนดีดีใคบไม่ได้ อิอิ ล้อเล่นครับ

    ตอนนี้ผมก็ไม่ได้ฝึกอะไรแล้วครับ เหมือนกับว่า มันมีแค่กายใจ ส่วนความคิดก็แค่ความคิดแค่จิตที่จะปรุงหรือไม่ปรุง เท่านั้นครับ เหมือนมันก้อ อยากหายตัว อยากเหาะได้ แต่ผมว่ามันคงจะ เกินความเป็นมนุษย์ไปแล้วน่ะสิ หรืออยากมีตาทิพย์เห็นเวรกรรมมั่ง ก็ไม่น่าเห็นจะดีกว่ามั้ยนะ

    คุณนพว่า ถ้าเราอยากช่วยคนอื่น คุณนพว่าเราควรช่วยอะไรดีที่สุดครับ ซักอย่างนึง
     
  8. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    เรื่องผีผี ผมขอเห็นในความฝันดีกว่าครับ ไม่อยากเห็นด้วยตา ตัวเอง เพราะ กลัวหลอน เป็นคนขี้ตกใจน่ะ แต่ยอมรับนะครับว่าเคยเป็นโรคกลัวผีกลัวความมืดเอามากๆ ตอนสมัยเป็นเด็ก

    แต่ตอนนี้ก็กลัว นิดๆ แต่ในฝันผมก็ยังกลัว ไต้น้ำ กลัวพญานาคไต้น้ำ อยู่ครับ
    ถ้าเป็นบนบกในฝันจะไม่กลัวครับ บางครั้งในฝัน ก็กลัวการเหาะที่ออกไปไกลจากโลก เหมือนกัน ผมนี่ ยังกลัวอยู่เลย ผมเลยถือโอกาส เป็นข้อดี ของผมครับ ว่า เป็นการรักษาตนเองให้สงบ ดีกว่า ออกไปหาเรื่องน่ะครับ เดี๋ยวถ้าเกิดไม่กลัวอะไรเลย มันจะกลายเป็นคนไม่กลัวบาป ไม่กลัวกรรมชั่วไปซะหมด แล้วอาจคิดเข้าข้างตนเองว่า เหมือนใครบางคนที่เขาเคยบอกว่าเขาลอยบุญลอยบาป ทำอะไรก็ไม่มีกรรม ไปจนไม่ต้องแยกแยะดีชั่ว กลัวเกรงบาปกรรมอะไร เพราะคนแบบนี้ ผมก็เคยเจอมาครับ คิดแล้วก็ น่าสงสารนะครับ
     
  9. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    สวัสดีปีใหม่ ทุกๆท่านด้วยนะครับ ขอให้มีสุขสมหวังในสิ่งดีงามที่ประสงค์นะครับ
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,435
    ค่าพลัง:
    +35,016
    แห๋มๆคบคนซิครับก็อยู่ร่วมกับคนอยู่นะครับ...แต่ว่าผีก็เป็นมิตรครับ.๕๕๕..
    คือถ้าได้อยู่ใกล้ๆ.แล้วได้ถ่ายรูปให้นะครับ..บางทีคุณจะเห็นได้
    ด้วยตาเปล่าตั้งแต่ในกล้องแล้วครับ.ไม่ว่าจะภูมิไหนนะครับ..
    ล่าสุดเนี่ยประเภทมานั่งไหว้พระด้วยกันก็มีครับ.๕๕๕
    ซึ่งคนที่ถ่ายรูปให้เนี่ยเจอทุกคนครับ.
    คือกลุ่มนี้เค้าทำให้เราเห็นได้เค้าก็จะได้ประโยชน์จากการ
    ที่เราอุทิศส่วนกุศลให้เค้าด้วยไงครับ.เค้าต้องการกำลังบุญ
    จากตรงนี้มากกว่าครับ..เพราะฉนั้นจึงเปรียบเสมือนการ
    พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน..
    .
    เอาเป็นว่าอยู่ร่วมกันจนเป็นปกติทั้งคนทั้งผีนั่นหละครับ..
    พันธมิตรส่วนตัวมีที่เก่งๆเยอะครับ..ไปไหนปลอดภัยดีครับหมายถึงกับ
    ภพภูมินะครับ..แต่ถ้ากับคนเนี่ยตัวใครตัวมันนะครับ ป้องกันเอาเองครับ..๕๕๕
    ส่วนตัวถามว่าถ้าเจอตอนนี้แบบจังๆเลยจะกลัวไหม ก็มีบ้างครับ แต่ก็ไม่นาน..
    เพราะตอนเด็กๆเห็นภูมิเจ้าที่ ภูมิเทวดาด้วยตาเปล่าจนชินพอดีไม่รู้เฉยๆครับ
    ว่าเป็นผี(ถ้ารู้คงวิ่งป่าราบไปแล้วครับ ๕๕)..
    ตอนโตก็เจอนะครับภูมิสูงๆแบบตาเปล่า.แต่ไม่รู้สึกกลัวนะครับ
    แค่สงสัยว่ามาให้เห็นอะไรทำไมประมาณนี้หละครับส่วนมาก
    จะมารู้วัตถุประสงค์ภายหลังก็นานพอสมควรครับ
    เนื่องด้วยกำลังสติอ่อนแอ ๕๕
    ส่วนการที่เราจะช่วยคน.เราช่วยด้วยอะไรก็ได้ครับ ไม่ว่าแรงกาย แรงใจ
    แรงสมอง..หรือกำลังทรัพย์และการช่วยโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่คิดเล็กคิดน้อย
    ไม่คาดหวังผลที่จะได้รับมันได้ทั้งนั้นครับ..แต่ถ้าเราจะช่วยใครแล้วเราต้อง
    สกดคำว่าอุเบกขารับรู้ให้เป็นด้วยครับ..ทุกคนมีวาระเวลาของเค้าอยู่..
    ต้องปล่อยให้เป็นไปตามวาระตามกรรมตามเวลาของเค้าด้วยครับ
    ถ้าวาระมาถึงเด่วเราก็ได้ช่วยเค้าเองนั้นหละครับ..
    แต่ในทางนามธรรมนั้นการที่เราจะไปช่วยคนได้.เราก็ต้องมีทุนเดิมอยู่ก่อน
    พอสมควรครับ.เปรียบเสมือนเราขึ้นเรือพายข้ามแม่น้ำ.
    เราสร้างสมจนมีกำลังพอจะซื้อเรือซื้อพายเป็นของเรา
    ให้ได้ก่อนครับ..แม้ว่าเราจะมีพาย

    มีเรือแล้ว..แต่เราก็ต้องว่ายน้ำเป็น รู้วิธีในการช่วยคนจมน้ำ
    ตลอดจนการใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆที่จะช่วย..
    ในขณะเดียวกันเราก็ต้อง
    สร้างเพื่อนที่ชอบนั่งมาเป็นเพื่อนกับคนอื่นๆที่กำลังจะพายเรือข้ามแม่น้ำ
    เพื่อนกลุ่มนี้หละครับ จะคอยช่วยดูซ้าย ดูขวาและคอยระวังภัยให้เราครับ

    และในหลายเรื่องเค้าก็มีความชำนาญมากกว่าเรา เค้าก็อาจจะสอนเราได้.
    เพราะเราก็ไม่อาจทราบได้ว่า ขณะที่เราพายเรืออยู่จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา
    อาจมีพวกที่จะแอบมาจมเรือเราก็ได้ หรือ มาดึงเราให้ตกน้ำเราก็ต้อง
    มีกำลังพอที่จะต้านทานพวกนี้เป็นทุน.และก็มีเพื่อนๆคอยช่วยไล่ คอยป้องกัน
    ภัยของเรือทางฝั่งอื่นๆตลอดจนช่วยพายเรือให้เราร่วมด้วยครับ...
    สำคัญตรงที่ว่า เราสร้างเรือพายนี้แล้วหรือยัง เรามีไม้พายแล้วหรือยัง
    เราว่ายน้ำเป็นไหม รู้หลักและวิธีในการช่วยคนไหม และเรามีคนคอยช่วยพาย
    ใช้ดูต้นทาง ช่วยดูปลายทางไม่ให้หลงทางหรือยัง ตรงนี้เราต้องสร้างด้วยตัว
    ราเองครับ ไม่มีใครมาสร้างให้เราได้ พอเราถึงปลายทางก็ขึ้นอยู่กับว่าเพื่อน
    ของเราเค้าจะขึ้นฝั่งไปกับเราหรือไม่ หรือเค้าจะพายเรือกลับไปรับคนอื่นๆ
    แบบเราก็เรื่องของเค้าครับ..เพราะเมื่อถึงฝั่งแล้วไม่มีใครที่จะแบกเรือขึ้น
    ไปบนฝั่งด้วยหรอกครับ...
    ประมาณนี้ครับ..
     
  11. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    แสดงว่าคุณนพก็เข้าใจ จุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ร่วมกันเพื่อความเข้าใจในกันและกันดีสินะครับ เพราะการช่วยให้คนอื่นเกิดความเข้าใจ นั้น ถือว่ายากที่สุดแล้วนะครับ ในความเข้าใจของผม

    แต่ผมยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ เท่านั้นแหล่ะครับ ผมถือว่าผมยังเป็นเด็กๆเริ่มต้นกับชีวิตใหม่
     
  12. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ละราคะกสิณสีเหลือง ละโทสะกสิณสีแดง ละโมหะกสิณสีขาว อภิญญากสิณไฟครับ
     
  13. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    สวัสดีปีใหม่นะคะทุกท่าน ดิฉันไม่มีคำอวยพรใดๆนอกไปจาก ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป และขอให้ทุกท่านมีความสุข หากมีอยู่แล้วก็ขอแผ่ความสุขนั้นให้กันและกันนะคะ ให้ "เพื่อน" ร่วมวัฎฎะแห่งนี้

    ขออย่าให้โลกใบนี้เหือดแห้งจนเกินไป ....

    ด้วยอำนาจพระรัตนตรัย ขอให้ทุกคนมีความสุข

    ;aa41;aa45;aa44


     
  14. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ในวันที่ฝนตกปรอยๆ ... ก็ยังได้เห็นแสงพระจันทร์ (มันเป็นไปแล้วจริงๆ)

    ในคืนที่มืดมน ... ก็คงยังมีแสงหิ่งห้อย (อันนี้คิดเอา)

    ในคืนที่ "หลง" ในวังวน ... ยังคงมีเพื่อนที่คอยบอกทาง

    แด่ ... สหายธรรมทุกท่านค่ะ



    .....................................................................


    แต่งกลอนไม่เป็นกับเขานะคะ ๕๕๕๕๕๕

    รายงานตัวค่ะคุณนพ อ้อ ไม่ใช่แค่ตัวนะคะ เอาหัวมารายงานด้วย ...๕๕๕๕
    มันยังอยู่ค่ะ เหอๆๆๆๆ จะรักษาหัวไว้ให้นานๆๆๆ อย่าหายไปไหน ๕๕๕๕๕๕ (มันมีข้อแม้อยู่นะคะ อันนี้เก็บไว้กับตัวให้รู้ตัวเอาไว้)

    สองคืนนี้จิตมันชุ่มชื่นโลดแล่นเหมือนจะเหาะได้ ไปโน่นนนเลย เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆค่ะ ตามกำลังใจ ++++

    ช่วงนี้คิดถึงคำพูดใครสักคนที่ว่า การวิ่งหรือตีลังกาไปบนฝ่ามือพระยูไล (ทั้งๆที่ก็รู้ๆกันว่ามันพ้นไหม) เปรียบเหมือนกับธรรมะในข้อใด ???? ...

    นั่นสิคะ คือธรรมะข้อไหนกันเนี่ย...

    มันคงสมควรแก่เวลา

    Let's Face Destination !!!!

    :cool::cool::cool:
     
  15. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    หนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีความจริงของตนเองไม่ได้ ความจริงมีเอาไว้ให้ยอมรับและเผชิญหน้าด้วยปัญญาน่ะครับ


    ความจริงในอดีต ยิ่งห้ามหนี เราเกิดมาเพื่อชำระสะสาง กรรม ทั้งอดีตและปัจจุบัน
     
  16. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ฝ่ามือ ยูไล มี ลุงชื่อ กะลามัง "ขันธ์" คว่ำ อธิบายไว้ว่า

    ฝ่ามือ ยูไล ที่มี 5 นิ้ว ก็คือ ขันธ์5

    การหนี จากฝ่ามือ ยูไล ก็คือ การบัญญัติ สิ่งใดสิ่งหนึ่งว่า มีเกินขันธ์5

    เช่น บัญญัติจิตเที่ยง นิพพานเป็นบ้านเป็นเมือง บ้านเมืองนั้นไม่ได้ประกอบขึ้นจากขันธ์5
    และ จิตที่เข้าไปยังทิพย์สถาณด้วยอาการต่างๆ ไม่ได้อาศัย ขันธ์5

    แท้จริงแล้ว พระพุทธองค์ตรัสบอกว่า ธรรมชาติอันเป็นที่สุดที่เป็นส่วนประกอบของสรรพสิ่ง
    ล้วนแต่ อาศัย ขันธ์5 ทั้งหมด เว้นจากขันธ์5 แล้ว ไม่มี ธาตุอย่างอื่นที่จะปรุงโน้นนั่นนี่
    ให้ก่อตัวขึ้นมาได้

    ทีนี้

    ขันธ์5 เที่ยงหรือไม่เที่ยง วิญญาณเที่ยง หรือไม่เที่ยง สังขารเที่ยงหรือไม่เที่ยง แล้วถ้า
    ทุกอย่างต้องอาศัยขันธ์5 เพื่อแสดงตัวให้สิ่งอื่นเห็น แต่ ขันธ์5 ไม่เที่ยงเสียแล้ว ควร
    แล้วหรือที่จะ บัญญัติว่า มีตัว มีตน

    คนที่ พยายามเป็น ลิง บัญญัติสิ่งที่เหนือกว่า ขันธ์5 ก็คือ ลิงที่พยายามหนีฝ่ามือ ยูไล


    พูดอีกแง่คือ " บัญญัติธรรมที่พระพุทธองค์ไม่ได้บัญญัติ " ก็คือสำนวน " พญาลิงหนีฝ่ามือยูไล "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2015
  17. Dhamma T-PO

    Dhamma T-PO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +184
    เรียนถามคุณ นพ
    ผมนั่งสมาธิ แล้วมีนิมิตรเห็นรูปพระสงฆ์นั่งห้อมล้อมกันอยู่ด้านหน้า
    นั่งต่อไปอีกซักครู่หนึ่งก็เห็นเป็นรูปธรรมจักรแต่เป็นสีน้ำเงิน นิมิตรที่เห็นนี้มีความหมายอย่างไร
    เป็นนิมิตรหรือจิตปรุงแต่งไปเองครับ ขอบพระคุณมากครับ
     
  18. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เพื่อความสัมมบูรของ ข้อมูล

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,435
    ค่าพลัง:
    +35,016
    เป็นนิมิตรของจิตที่เด่นมาทางอภิญญาจิตภายใน
    ที่ควบคู่มากับการเห็นอกเห็นใจบุคคลอื่นๆและการพยายามรักษา
    ความดีเป็นทุน
    พร้อมกับสภาวะที่จิตเริ่มตกกระแสธรรมครับ..หรือสัมมาทิฐิเรื่อง
    ความเห็นชอบเปิดทางให้..ปกติถ้าดวงจิตใดมีนิมิตรประมาณนี้
    จะเริ่มเข้าสู่การเดินปัญญาลด ละ กิเลสได้ และจะก้าวไปสู่การพัฒนา
    เมตตาที่ออกจากภายในไปสู่ภายนอกได้ต่อไปครับ..

    ปล.ขอบคุณภาพประกอบ **หมายเหตุส่วนตัวตอบได้ในระดับที่
    ยังถือว่าหยาบๆอยู่นะครับ ควรฟังหูไว้หูครับ**
     
  20. Dhamma T-PO

    Dhamma T-PO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +184
    ขอบพระคุณครับ ผมนั่งสมาธิ ต้องปฏิบัติอย่างไรครับ จะเดินปัญญาต่อ ผมบริกรรมพุทโธ จนตัวหาย ลมหายใจหาย แล้วผมคิดพิจารณาว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ปฎิบัติมาอย่างนี้ตลอดคับ ถ้าไม่รบกวนขอคุณนพช่วยแนะนำกรรมฐานให้ผมหน่อยครับ จริตผมจะเหมาะกับกสิณกองไหนคับ ขอบพระคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...