ทำยังไงไม่ให้หลงไปกับรูปร่างหน้าตาครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ฮาทณัฐพล, 10 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    กรรมฐานทุกข้อก็ช้วยเรื่อง คลายกำหนัด ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่เที่ยง ไม่ประกอบ
    เหมือนกันหมดหละครับ จะต่างกันแต่จริตเรา และอยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบฐานไหนมาใช้
    หากไม่ได้ถึงกับจะละทางโลกปลีกตัวออกจากกามเลยทีเดียว
    การที่เรา เป็นคนซื่อสัตย์ รักใครรักจริง รักคนเดียว ไม่โอนเอนไปหาคนอื่นได้ง่าย ไม่นอกใจคนรัก
    เท่านี้ก็ช้วยได้เยอะละครับ ถึงได้มีโอกาสอยู่กับหญิงสวยๆ แต่อยู่ไปเรื่อยๆมันก็ชินตา
    แต่หากนอกใจหญิง หรือชอบรักแบบเผื่อใจอันนี้ปัญหามันก็เยอะ
     
  2. goodus

    goodus สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +2
    ภาวนาเกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกศา ช่วยได้จริงจ้า ค่อยๆพิจารณาตามความจริง เน้นเหตุผล
     
  3. ต่อยว้าน้อ

    ต่อยว้าน้อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +135
    ผมพิจารณาว่าอีกหน่อยก็ต้องตายเหมือนๆ กัน ผมก็ต้องตาย ถ้าตายไปตอนนี้ก็ไม่ต้องเหนื่อยไปตามจีบ ได้มีเซ็กซ็นิดๆ หน่อยแต่ต้องเหนื่อยเยอะ คิดไปคิดมาก็ขี้เกียจ อีกก็คิดว่ามีแต่ความทุกข์ต้องไปคอยจีบ คอยรักษาให้อยู่กับเรา น่าเบื่อ
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,005
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระอนาคามีมรรค) ตัดกามฉันทะ
    พระอนาคามีมรรค
    ตัดกามฉันทะ (ต่อ)
    โอกาส นี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้พากันสมาทานพระรัตนตรัยแล้ว ต่อไปนี้ก็เป็นโอกาสที่จะสดับคำแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน สำหรับวันนี้ก็จะได้พูดถึงพระอนาคามีมรรคต่อ
    เมื่อวานนี้เรา ได้พูดถึงการระงับอารมณ์ของราคะ หรือ กามฉันทะ ได้แก่ความพอใจในกาม การที่จะทำลายกามฉันทะได้ก็ต้องอาศัยเหตุสองประการร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของสมถภาวนา ก็ต้องใช้ กายคตานุสติ พิจารณาร่างกายคือ อาการ 32 บวกกับ อสุภกรรมฐาน เห็นว่าร่างกายเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี มีแต่ความสกปรก เป็นของไม่น่ารัก เป็นที่น่ารังเกียจ นี่เป็นด้านสมถภาวนา
    ใน ด้านวิปัสสนาภาวนาก็บวกเข้ามา เห็นว่าร่างกายนอกจากจะเป็นของสกปรก เป็นของไม่น่ารัก เป็นของที่น่ารังเกียจแล้ว มันก็เป็นปัจจัยแห่งความไม่เที่ยง คือ ตัวมันไม่เที่ยง เพราะ อะไร มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็เสื่อมไป แปรปรวนไปเป็นปกติอยู่เสมอ ร่อยหรอไปทุกวัน แล้วในที่สุดก็มีการสลายตัว
    การที่เอาจิต เข้าไปยึดว่าร่างกายเป็นของสะอาด ร่างกายเป็นของสวย ร่างกายเป็นของเรา เป็นปัจจัยของความทุกข์ เพราะว่า สภาวะของร่างกายมันสกปรก สภาวะของร่างกายเป็นของไม่เที่ยง สภาวะของร่างกายมีการสลายตัวไปในที่สุด มันหาสภาพที่เป็นเรา เป็นของเราไม่ได้

    ร่างกายคือธาตุ 4 ได้แก่ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ รวมกันเข้าเป็นตัว แล้วก็มีอากาศธาตุบรรจุช่องว่าง มี วิญญาณธาตุ รับ รู้ในการสัมผัส เป็นเรือนร่างที่อาศัยของจิต จิตอาศัยการทรงอยู่ ขณะใดที่การทรงอยู่ขณะนั้นจิตก็ยังอาศัยอยู่ และจิตเป็นผู้บัญชาการทางด้านประสาท ให้ร่างกายพูด ตามกำลังของจิตที่สั่ง เมื่อร่างกายพังไปแล้ว จิตก็ต้องหาชาติภพเป็นที่เกิดต่อไป ถ้ายังไม่สิ้นกิเลส
    ทีนี้การหาชาติหาภพเป็นที่เกิดใหม่ หรือเกิดมาแล้วก็ดี ไม่มีอะไรเป็นสุข มันเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ ถ้าความผูกพันในร่างกายมีมากเพียงใด เราก็มีความทุกข์มากเพียงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามักจะเอาจิตเข้าไปยึดกายเป็นกำลัง ถ้าหากเราเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา สภาวะร่างกายเป็นของสกปรกจิตก็ตก จิตก็ตัดจากกามฉันทะ ความพอใจในเพศเสียได้ นี่เราพูดกันแต่เพียงคำแนะนำเป็นแนวทางเท่านั้น ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าถึงความจริง อย่าสักแต่ว่าฟัง ๆ แล้วก็ปล่อยให้เลยไป
    จิตของเราที่ยุ่ง วาจาของเราที่เสีย กายของเราที่ไม่สำรวม ก็เพราะอาศัยจิตไม่ดี ไม่ใช้ปัญญา ไม่ใช้สัญญา สัญญาจำไว้แค่นี้ ทำจิตให้เป็นสมาธิ ปัญญามันเกิด ปัญญาก็พิจารณาเห็น เห็นคนเมื่อไร เห็นสัตว์เมื่อไร มีความรู้สึกทันที ว่าร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหมดเต็มไปด้วยความสกปรก ความผูกพัน ความกระสันอยากจะได้ปรารถนาจะสัมผัส ไม่มีในจิต ให้จิตมันทรงสภาพเช่นนี้ เห็นคนเหมือนกับเห็นซากศพ เห็นคนเหมือนกับเห็นของเน่าเปื่อย เห็นคนเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาบรรจุอุจจาระ ปัสสาวะไว้เต็ม เท่านี้จิตก็จะมีความรังเกียจ
    เมื่อมันเป็นของสกปรก มันก็เป็นของไม่เที่ยง มีอนัตตา คือ สลายตัวไปในที่สุด จิตก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ผูกพันในรูปกายใด ๆ ทั้งหมด จะเป็นที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม เห็นว่าไม่เป็นสาระ หรือว่าไม่เป็นแก่นสาร มันมีแต่ความสกปรก เครื่องประดับที่แต่งกายเป็นของหลอกลวง ไม่มีอะไรดี ผ้าผ่อนท่อนสไบหามาแล้วอย่างดี สีสดสวยเดี๋ยวก็ทรุดโทรม ความจริงนึกว่าสะอาด มันก็สกปรก ก่อนที่จะใช้จะสวมกายก็ต้องชำระล้าง สวมแล้วก็เก็บ จะใช้ใหม่ก็ต้องซักฟอก นี่แสดงว่ามันสกปรกอยู่เสมอ ทีนี้อะไรมันเป็นของสะอาด เป็นอันว่าวัตถุก็ดี สิ่งที่มีชีวิตก็ดี มันก็ของไม่สะอาดทั้งหมด จิตคิดอย่างนี้ให้มันเป็นปกติ จิตก็จะตัดความรักเสียได้
    ความรักที่มันเกิด เราเข้าใจว่ามันสวย เข้าใจว่ามันสะอาด อารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของตัณหา ดึงไปอบายภูมิมีนรกเป็นต้น นี่พระทุกองค์ เณรทุกองค์ ฆราวาสทุกท่าน จงทำจิตอย่างนี้เป็นปกติ จะสังเกตไว้ ว่าใครสนใจหรือไม่สนใจ คนที่เขาสนใจเขาไม่สร้างความเดือดร้อนให้เกิดกับบุคคลอื่น เพราะอะไร เพราะต้องดูตัวไว้เสมอว่าเรามีจุดบกพร่องขนาดไหน อย่าปล่อยให้กิเลสมันล้นจากใจ ถ้าจะเลวอยู่แค่ในใจ ความรักจะพึงเกิดขึ้นในเพศก็อยู่แค่ใจ อย่าให้มันไหลมาทางตา อย่าให้มันไหลมาทางปาก อย่าให้มันไหลมาทางกายอย่างนี้ เขาเรียกว่าขังรัก เป็น แค่กำลังของสมาธิ เป็นสมถภาวนา แต่ทำลายอารมณ์รักภายในใจเสียได้ นี่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา เขาทำกันยังงี้นะ มีอารมณ์ให้ทรงอยู่เป็นปกติ
    ความ มีระเบียบวินัยเป็นสำคัญ คนที่เลวย่อมไม่รักษาระเบียบวินัย ไม่จำคำสั่งและคำสอน คือ คนใดก็ตามต้องมีอาการเตือนกันอยู่เสมอ ๆ นั่นจงรู้ว่าเลวเกินไปสำหรับการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะการเป็นมนุษย์เรามาจากความดี มาจากทานมาจากศีล มาจากภาวนา ถ้ามาถึงความเป็นมนุษย์แล้วทำเป็นคนไร้ศีล ไร้ทาน ไร้ภาวนา คือการเจริญปัญญา ก็แสดงว่าเรากลับเป็นสัตว์ของอบายภูมิใหม่ กายเป็นคน แต่ใจเป็นสัตว์ กายเป็นคน แต่ใจเป็นเปรต นี่เป็นวิสัยของคนที่ไม่รักดี ไม่รักงาม นี่เราฟังธรรมกันมาถึงขั้นความเป็นพระอริยะ แต่ว่าจิตใจของเรายังตกเป็นทาสของอบายภูมิอยู่ก็รู้สึกว่าจะเลวมากเกินไป
    ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ใช่การด่า เป็นการแนะนำตามที่เขาปฏิบัติกันมา เขาทำกันอย่างนี้ อัตตนา โจทยัตตานัง จง กล่าวโทษโจทย์ความผิดของตัวไว้เสมอ อย่าไปยุ่งกับคนอื่น คตินี้นักปฏิบัติทุกคนเขาจะประณามตัวเองไว้เสมอ อารมณ์ยุ่งอยู่กับกามราคะนิดหนึ่ง (วันนี้เราพูดกันถึงกามราคะ) เขาจะประณามว่าเลวทันที ของอะไรก็ดี ถ้าชมว่าสวย ชมว่างาม เมื่อรู้สึกขึ้นมาก็ รู้สึกว่าใจของเรามันเลวเสียแล้วรึ นี่แค่เขาตำหนิตัวเข้าแล้ว แล้วยิ่งไปเพ่งโทษของบุคคลอื่น ไปแสดงอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น ไปแสดงอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น ทำให้บุคคลอื่นได้รับความเร่าร้อน นั่นแสดงว่ากิเลส มันไหลออกมาทางกายและทางวาจา มันล้นออกมาจากใจ มันเลวเกินที่จะเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ นี่เราต้องประฌานอย่างนี้ แล้วทางที่ไปจะไปไหน เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังเป็นไม่ได้ ต้องไปขึ้นต้นมาจากนรก มันไม่เหมาะสำหรับเรา นี่เราต้องประณามตัวไว้เป็นปกติ อย่าเที่ยวประณามคนอื่นเขา
    เรื่อง ราวต่าง ๆ ที่มันมีความทุกข์ มีความเดือดร้อนก็เพราะ ว่าความเลวของจิต เราขาดการสำรวม เราขาดการระมัดระวัง การที่ทำความชั่วให้เกิด ทำความเดือดร้อนให้เกิด ประเภทนี้มันเป็นวิสัยของท่าน โลลุทายี หรือว่า เทวทัต ไม่ ใช่ของคนปกติธรรมดา หรือไม่ใช่ของพระศากยบุตรพุทธชิโนรส อันนี้ต้องรำพึงจำไว้เสมอ จำแล้วก็จงอย่าทำความเลว จงอย่าคิดความเลว นี่เป็นเรื่องของอนาคามีมรรคข้อแรก
    มาถึงอนาคามีมรรคข้อที่สอง ตรงนี้ท่านบอกว่า ตัดปฏิฆะ คำว่าปฏิฆะ ไม่ได้หมายถึงความโกรธ ความพยาบาท เรื่องความโกรธ ความพยาบาท มันเป็นเรื่องของพระสกิทาคามี ที่บรรเทาความโกรธ บรรเทาความพยาบาท คิดให้อภัยทาน ความโกรธเกิดขึ้น ความพยาบาทจองล้างจองผลาญ จองเวรจองกรรมเกิดขึ้น รู้สึกตัวขึ้นมา คิดให้อภัยแก่บุคคลผู้ทำความผิด ให้อภัยบุคคลที่ว่าเราให้อภัยบุคคลที่ด่าเรา ให้อภัยบุคคลที่กลั่นแกล้งเรา อารมณ์จิตก็มีความสุข สำหรับพระอนาคามี พระพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสว่า ตัดความโกรธกับความพยาบาท ให้ตัด ปฏิฆะ
    ปฏิฆะคืออารมณ์ที่ไม่พอใจเข้ามากระทบจิต อารมณ์ใดก็ตามที่คนเขาหาทางกลั่นแกล้งด้วยทางกายบ้าง แสดงโดยทางวาจาบ้าง แสดงโดยทางนิมิตบ้าง อันเป็นที่ไม่ชอบใจของเรา ทางวาจาก็ได้แก่ การนินทาว่าร้าย เสียดสีต่าง ๆ ทางกายก็ได้แก่การประทุษร้ายร่างกายบ้าง แสดงอาการออกทางร่างกายบ้างว่าเราเลว หรือว่า แสดงนิมิตต่าง ๆ ได้แก่การเขียนหนังสือ ทำรูปลักษณะเปรียบเทียบอย่างนี้เป็นต้น เป็นที่ไม่ชอบใจเรา คำว่าไม่ชอบ อาการทั้งหมดนิดหนึ่งในอารมณ์ของพระอนาคามีจะไม่มีเลย ไม่ถึงกับโกรธ ไม่ใช่ถึงกับโกรธ
    พระอนาคามีตัดอารมณ์ที่ไม่พอใจ อารมณ์ที่ไม่พอใจในของด้านกิเลส แต่ว่าไม่พอใจโดยธรรมไม่มี หมายความว่า พระองค์นี้ เณรองค์นี้ ฆราวาสคนนั้น ไม่ปฏิบัติอยู่ในศีลาจารวัตร ไม่เป็นที่ถูกต้อง อย่างนี้ไม่พอใจ ไม่สมาคมด้วย อย่างนี้เป็นการสมควร ไม่ถือว่าเป็นปฏิฆะข้อนี้ รู้ว่าพระภิกษุสามเณรไม่มีศีลาจารวัตร ก็เป็นสัตว์ในนรกเสียนี่ เรื่องอะไรที่เราเป็นผู้มีศีลาจารวัตรจะไปคบหาสมาคมด้วย นี่ไม่ใช่อำนาจความโกรธความพยาบาท เพราะอาศัยความเคารพในธรรม
    ที นี้สำหรับพระอนาคามี ตัวปฏิฆะ คือ อารมณ์ที่เข้ามากระทบจิต กระทบเพื่อความไม่พอใจ ตัวแรกนั่นตัดกามฉันทะ อารมณ์ที่พอใจ อยากจะได้เข้ามา ตัวปฏิฆะ อารมณ์ที่ไม่พอใจเข้ามากระทบทำให้เร่าร้อน
    ที นี้การที่จะตัดปฏิฆะทำยังไง เราก็รวบรวมกำลังพรหมวิหาร 4 ก็อภัยทานนั่นเอง ความจริงพรหมวิหาร 4 นี่เรามีกันมาตั้งแต่ เริ่มต้นเจริญพระกรรมฐานก่อน การที่นักปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานจะมีความดีทรงตัวอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยพรหมวิหาร 4 นักปฏิบัติจริง ๆ ขั้นเลวสุดเขามีพรหมวิหาร 4
    ที นี้พวกเรามีใครบ้างไหม ในอดีตใกล้ก็ดี ไกลก็ดี ที่ขาดพรหมวิหาร 4 มีอารมณ์คิดเป็นศัตรูกับคนอื่น คิดทำลายล้างบุคคลอื่น คิดอิจฉาริษยาบุคคลอื่น คิดลงโทษ คิดซ้ำเติมในความผิดของบุคคลอื่น มีบ้างไหม ในอดีตเริ่มตั้งแต่ย่างเข้ามาสู่สำนักนี้ อารมณ์จุดไหนมีบ้าง ถ้ามีอยู่ไม่รู้ตัวนี่เลวมาก หมายถึงว่าเป็นที่ไปแห่งอเวจีมหานรก ถ้าขณะใดเรารู้อยู่ว่ามี ในกาลนั้นพึงรู้ว่านี่เราเป็นสัตว์นรกเสียแล้ว ไม่ใช่แดนของอริยะ หรือไม่ใช่แดนของสมณะ ไม่ใช่แดนของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา นี่ความจริงพรหมวิหาร 4นี่ เราศึกษากันมาตั้งแต่ต้น ถ้าไม่มีในใจ ก็แสดงว่าเลวเกินไปสำหรับความเป็นมนุษย์ และก็เลวเกินไปที่จะต้องเกิดเป็นสัตว์ เป็นอสุรกาย หือเป็นเปรต ช่วงที่อยู่คือ อเวจีมหานรก เตือนใจเตือนตัวให้รู้ไว้ ความเลวประเภทนี้ไม่มีสังคมใดเขาต้องการ นี่ความรู้สึกอย่างนี้ต้องมีกับเราเสมอ
    ถ้าเรามีอารมณ์แค่ พรหมวิหาร 4 เราก็จงทราบว่านี่เราเลวมากเกินไป เพราะอะไร พรหมวิหาร 4 อันดับต่ำเราก็มีสิทธิแค่เกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น ถ้าพรหมวิหาร 4 อันดับกลาง หมายความว่า มีอารมณ์จิตทรงตัว มีความมั่นคงกระชับในความรักคนและสัตว์เสมอด้วยเรา ถ้าเรารักเขา เราไม่สามารถจะไปว่าเขา จะไปติเขา จะไปเสียดสีเขา จะไปกลั่นแกล้งเขา อันนี้ไม่มี คนที่เรารักเราก็มีกรุณา ความสงสาร เมื่อเราไม่กลั่นแกล้ง ไม่เสียดสี ไม่คิดทำลายมีความรัก ก็มีจิตเกื้อกูลจะสงเคราะห์ให้มีความสุข อารมณ์ใดที่มีความบกพร่องอยู่ กิจใดที่เขาบกพร่องเราเกื้อกูลให้เต็มขึ้นมา ไม่ใช่กล่าววาจาเสียดสี เป็นอาการไม่ดี
    วงกับข้าวกับปลา วงไหนอาหารไม่สมบูรณ์ บกพร่องไปเราเกื้อกูลด้วยอาหาร อาการอย่างใดที่เขาบกพร่อง กิจการใดที่เขาบกพร่อง ไม่สามารถจะทำได้ เราช่วยในกิจการนั้น ความรู้ใดที่เขาบกพร่องไม่สามารถจะทำได้ เราช่วยในกิจการนั้น ความรู้ใดที่เขาบกพร่องไม่สามารถจะมีได้ เราแนะนำด้วยเมตตาจิต ไม่ใช่เอาอารมณ์ความเลวทราม ความข่มขู่เข้าไปใช้
    แล้ว ก็มีอุเบกขา ความวางเฉยในอาการที่ปรากฏขึ้นกับจิตอันเป็นโทษแห่งความทุกข์ หมายความว่าใครเขาด่า เขาว่า เขาติเตียน ถือว่า ช่างมัน อารมณ์สบาย อารมณ์อย่างนี้ยังไม่ใช่ปัจจัยของพระอนาคามี ถ้าลงคำว่า ช่างมันได้ ก็เป็นปัจจัยของพรหมโลก
    นี่พรหมวิหาร 4 ที่เราจะทรงกันแต่เล็กแต่น้อย แต่เริ่มต้น ถ้ามีความมั่นคงอย่างนี้ จิตมีความรัก มีความเมตตาปราณี จิตครุ่นคิดในความสงสาร ปรารถนาในการสงเคราะห์ ไม่อิจฉาริษยาใคร วางเฉยในเมื่อกฎของกรรมเข้ามาถึง การกระทบกระทั่งเข้ามาถึง อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพรหมวิหาร และถ้าจะกล่าวกันไปก็อยู่ในขั้นของพระโสดาบัน
    มีพรหมวิหาร 4 ที่มีอารมณ์ละเอียดยิ่งกว่านี้ ก็ได้แก่มีความรักมากขึ้น สงสารมากขึ้น หวังดีมากขึ้น มีอารมณ์วางเฉยไม่หวั่นไหวมากขึ้น เป็นอภัยทาน ใครทำความผิดใด ๆ ก็มีความโกรธเกิดขึ้นกระทบกระทั่งจิตใจ รู้สึกตัวขึ้นได้ว่า อ๋อ นี่ควรให้อภัยเขา เขาทำไปด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมบังคับ เราไม่น่าจะโกรธ ให้อภัยแก่บุคคลผู้ทำความผิด นี่เป็นปัจจัยของพระสกิทาคามี
    ทีนี้ พระอนาคามีทำยังไง เร่งรัดพรหมวิหาร 4 ทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุเบกขาญาณ วิปัสสนาญาณตัวสุดท้าย มีอารมณ์ร่วมกัน สังขารุเปกขาญาณ มี ความวางเฉยในขันธ์ 5 หมายความว่าขันธ์ 5 มันมีสภาพยังไงรู้อยู่แล้ว ว่ามันมีความเกิดขึ้น มันมีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีอนัตตา มีการสลายตัวเข้าไปในที่สุด พัง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา โลกธรรมทั้งหมด ความมีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ รู้ตัวอยู่เสมอว่าช่างมัน มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน มันจะแก่ก็เชิญแก่ซี มันจะป่วยก็เชิญป่วย มันจะตายก็เชิญตาย ของที่ชาวบ้านเขารัก เขาหวงแหน มันพังสลายตัวลง ญาติตาย พ่อตาย แม่ตาย พี่ตาย น้องตาย คนรักตาย ของที่รักสูญหาย ชาวบ้านเขาก็เสียใจ เราเฉย ถือว่านี่มันเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องแก้ไขกันได้ ห้ามปรามกันได้ แก้ไขไม่ได้ เรื่องอะไรจะต้องไปเสียใจกระทบใจ มีอารมณ์วางเฉย มีจิตสดชื่นเป็นปกติ ถือว่านี่เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแล้ว ตรงที่พระพุทธเจ้าสอนว่าของจริงมันเป็นไปตามนี้
    อารมณ์วาจา ที่เขากล่าวให้ไม่เป็นที่พอใจ นินทาเกิดขึ้นเราถือว่าเป็นเรื่องเล็ก นายอยากจะปากเสียก็เสียไป ถือว่าถ้อยคำประเภทนี้เขาหลอกให้เราเป็นทาส เราไม่เอา หรือไม่โกรธ ไม่โกรธทั้งคนสรรเสริญและไม่โกรธคนนินทา แล้วก็ไม่ดีใจในคำสรรเสริญ ถือว่าเป็นเรื่องเหลวไหล
    ลาภเกิด ขึ้นถือว่าไม่ช้ามันก็หมด คนที่ร่ำรวยมาก ๆ ตายแล้วเอาไปไหนไม่ได้ ลาภเสื่อมสลายตัวไป มันสูญไป เพราะว่าเราต้องใช้ต้องสอย มีเหตุใด ๆ เกิดขึ้นก็ตาม ถือเป็นเรื่องธรรมดา ชาวบ้านเขาหมดมา เราเคยหมดไปแล้ว เคยหามาได้มากกว่านี้ หมดมากกว่านี้ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ชาวบ้านเขาหมดมากว่าเราก็มีเยอะแยะไป มันของปกติธรรมดา เราก็เฉย
    รวม ความว่าใช้สังขารุเปกขาญาณ เฉยทั้งอาการที่เข้ามากระทบกระทั่งจิตในด้านของโลกีย์วิสัย เฉยทั้งคำชม เฉยทั้งคำนินทา เฉยทั้งได้มา เฉยทั้งทั้งเสื่อมไป เฉยหมด ไม่มีอะไรสนใจ คำนินทาว่าร้าย เกิดขึ้นกระทบใจแผล็บ ปล่อยหลุดไปเลย ช่างมัน ฉันไม่ยุ่ง อารมณ์อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย จะป่วยไข้ไม่สบาย มันจะแก่ มันจะตายก็ช่างมัน แต่การรักษาพยาบาล การบริหารร่างกายเป็นธรรมดา ถือว่าทำตามปกติ
    ถ้าเขาจะถามว่า ถ้าทำจิตได้ยังงี้ ยังสูบบุหรี่ไหม ยังกินหมากไหม ยังจะต้องใช้ของที่เคยใช้กับร่างกายไหม ก็ต้องตอบว่าใช้ตามปกติ เขาไม่ได้ติด แต่ร่างกายต้องการ เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่เป็นพระพุทธเจ้า แล้วยังฉันภัตตาหาร เรื่องอะไรที่ประสาทต้องการ เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องบำรุงโดยประสาท เพื่อเราจะเอาไว้ใช้เป็นประโยชน์ เหมือนกับคนที่ลงเรือรั่วเพื่อหวังจะข้ามฟาก ถ้าขณะใดที่ยังอาศัยเรืออยู่ เมื่อน้ำมันรั่วขึ้นมาเราก็ต้องอุด มันผุตรงไหน ก็ต้องทำนุบำรุงซ่อมแซม ไม่ใช่ปล่อยให้มันรั่วให้มันพังไปจนกว่าเราจะขึ้นฝั่งได้
    นี่ อารมณ์ใจแค่นี้กิเลสมันยังไม่หมด ปรากฏว่ามันหมดไปเพียงแค่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะว่าอันนี้ถ้าทำได้ทั้งหมด ตัดกามฉันทะได้เด็ดขาด ตัดปฏิฆะได้เด็ดขาด จึงจะเป็นอนาคามีผล ยังไม่ถึงอรหัตผล ขอให้ท่านทั้งหลายจงทบทวนกำลังใจไว้ให้ดี มันเป็นของไม่ยาก
    ต่อไปนี้ขอทุกท่านตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา

    ****************************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  5. powerbeen

    powerbeen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2015
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +30
    ก็คิดสิครับ เดี๋ยวก็แก่ เดี๋ยวก็เหี่ยว เหมือนกันทุกคน
    ผมก็เป็นคนหนึ่งนะที่เห็นของสวยๆงามๆแล้วจะตื่นเต้น
    ชอบจัง คนสวยคนน่ารักเนี่ย
    จิตใจเตลิดเปิดเปิง แต่พอเริ่มจับสติที่มันเตลิดไปกลับมาได้บ้าง
    ก็จะกล่อมให้มันสงบด้วยคำว่า
    คนสวย คนน่ารัก เดี๋ยววันนึง มันก็เหี่ยว มันก็แก่
    ผิวหนังเต่งตึงน่าสัมผัส เดี๋ยววันนึงมันก็ยานเป็นถุงกาแฟ
    เท่านี้จิตผมมันก็สงบลงได้ครับ
     
  6. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    อืม..................
     
  7. ฮาทณัฐพล

    ฮาทณัฐพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +253
  8. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    หลงได้แต่อย่าไปละเมิดศีลข้อ 3ผู้ที่จะละกามคุณทั้ง5 รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ได้มีแต่พระอริยเจ้าอนาคามีเท่านั้น
     
  9. จันทลักษณ์

    จันทลักษณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +412
    เมื่อไหร่...ที่คุณเป็นเทพบุตร เธอก็จะเป็นนางฟ้า
    เมื่อไหร่...ที่คุณเป็นซาตาน เธอก็จะเป็นนางมาร

    เมื่อไหร่...เธอเป็นนางฟ้า เธอจะอยู่ข้างหลังคุณ
    เมื่อไหร่...เธอเป็นนางมาร เธอจะอยู่ข้างหน้าคุณ

    โลภะ โทษะ โมหะ สามนางนี้ โลภะร้ายมาก ร้ายลึก และร้ายที่สุด
    ถ้าคุณไม่ใช่ระดับอรหันต์ คุณไม่รู้หรอกว่าเธอยังอยู่กับคุณตลอด
     
  10. คะนึง

    คะนึง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +402

    เป็นธรรมดาคะ ถ้าเราเห็นคนสองคน อีกคนหนึ่งสวยงามน่าชม อีกคนหนึ่งหน้าตา
    ดูไม่ได้ เป็นธรรมดาที่ผู้มีหน้าตามงดงามย่อมเป็นที่ถูกตาต้องใจแก่ผู้อื่น เหตุเป็น
    เพราะผลกรรมที่เขาได้สร้างสมไว้ ทางกาย วาจา ใจ ที่ดีงามบันดาลให้เกิดมา
    ในชาติปัจจุบันจึงมีหน้าตาดี ที่พระพุทธองค์เรียกว่า กรรมชรูป กรรมบันดาลให้
    เกิดรูปร่างหน้าตาของแต่ละคนว่าเป็นอย่าง ถ้าสั่งสมบุญไว้ดีเป็น ผู้ที่มีจิตใจดีงาม
    ก็ส่งผลให้หน้าตางดงามหมดจด ผลบุญนั้นทำให้เป็นที่ต้องใจแก่ผู้อื่น เปรียบดัง
    คนที่นิสัยดีงามก็ย่อมอยากที่จะมีแต่คนอยากคบหา หรือเข้าใกล้ เหมือนดั่ง
    พระพุทธเจ้าที่สมบูรณ์ไปด้วยมหาสัปุริลักษณะ ก็ส่งบอกถึงใจที่บริสุทธิ์งดงาม
    อย่างหาที่เปรียบมิได้นั่นเอง

    ความแตกต่างระหว่างชายหญิง ผู้ชายจะถูกกระตุ้นความต้องการทางสายตา
    ซึ่งในขณะเดียวกันผู้หญิงจึงถูกกระตุ้นความต้องการทางสัมผัส ทำไมผู้หญิง
    จึงต้องแต่งตัว ทำไมผู้ชายจึงต้องเอาใจ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง

    จะมีวิธีอย่างไรที่จะไม่ให้หลงไหลในรูป โดยไม่มองข้ามทางด้าน จิตใจ เพราะ
    เราทุกคนเสมอกันด้วยจิตวิญญาณ แต่ต่างกันด้วยกรรม กรรมที่ทำโดยประมาท
    เนื่องด้วยความไม่รู้ และบางคนก็ถูกชะตาบ้าง ไม่ถูกชะตาบ้าง ก็เนื่องด้วยกรรม
    ในอดีตที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันมาว่าสร้างเหตุไว้ดีหรือไม่ดีนะคะ จึงส่งผลให้เกิด
    รูปร่างภายนอกจึงเป็นแค่เปลือกไม่จีรัง หากเรามองลึกเข้าไปภายในใจ
    เราจะพบคุณค่าอย่างแท้จริง

    วิธีการต่าง ๆ หลาย ๆ ท่านได้ตอบไว้คลอบคลุมแล้ว อันนี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือก
    เพื่อช่วยตัดสินใจคะ
     
  11. wildtrak

    wildtrak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +155
    ผมก็ชอบมองนะคนสวยๆ แต่ก็แค่มอง ไม่ได้คิดว่าอยากได้เป็นแฟน เพราะคิดแบบที่
    หลายๆท่านได้กล่าวมา หน้าสวย หน้าอกใหญ่ ผิวพรรณดี แต่นานปีไปก็เสื่อมเหมือนกันหมด อยู่เป็นโสดไม่มีภาระ มีเวลาดูแลแม่ได้เต็มที่ ถ้าเคยไปห้องดับจิตในโรงพยาบาล
    จะทำใจกับเรื่อง สวยๆงามๆพวกนี้ได้ดีขึ้นครับ นอนแข็งทื่ออยู่บนเตียงผิวขาวซีด
    จะรวยหรือจน หล่อสวยแค่ไหน ตายไปก็ซีดเหมือนกันหมด เอาแบงค์พันยัดใส่มือ
    ก็เอาอะไรไปไม่ได้ ดูศพแล้วจะปลงได้หลายเรื่องเลยครับ วันนึงเราก็นอนแข็งทื่อ
    เหมือนกัน เร่งทำบุญสะสมก่อนวันนั้นจะมาถึงครับ
     
  12. tahanlaoboy

    tahanlaoboy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2009
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +131
    วิธีที่หนึ่งคือบวชแล้วไปอยู่วัดป่า วิธีที่สองชนเลยเล่นไปจนเบื่อ วิธีที่สามดูภาพอสุภะมากๆ วิธีที่สี่ดูหนังโป๊แล้วหาความงามว่าอยู่ตรงใหนดูทุกคนที่ว่างาม วิธีที่ห้ารักษาศิลและฝึกสมาธิหรือมโนมยิทธิ วิธีที่หกพิจารณาร่างกายของเราเองโดยเฉพาะตอนเราป่วยเราทุกข์เพราะมีร่างกายเรามีร่างกายเพราะเรารักและพอใจในร่างกายของเราและคนอื่น วิธีที่เจ็ดพิจารณาดูประจำเดือนของเขาและตอนเขาใด้ลูกไปดูที่youtubeก็ใด้ ถ้าเราชอบผู้หญิงมากๆก็ต้องมาเกิดเป็นผู้หญิงและกะเทยอย่างแน่นอน
     
  13. tahanlaoboy

    tahanlaoboy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2009
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +131
    ให้ไปอ่านเรื่องในอรรถกถา กุณาลชาดก ว่าด้วย นางนกดุเหว่า
     
  14. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,651
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,019
    ต้องฝึกเจริญมรณานุสติกับเจริญอสุภะครับ คุณ momandboy ลอง search อ่านใน palungjit ดูครับ มีแน่นอนครับ ผมฝึกทุกวันตอนนั่งสมาธิและตอนนอน เช่น ตอนผมนั่งสมาธิอยู่ ผมก็จะนึกว่าตัวของผมเป็นซากศพ เป็นโครงกระดูก ไม่ก็นึกถึงภาพสุสานที่มีหลุมศพอยู่ และบางทีก็นึกเป็นภาพผู้หญิงสวย ๆ แต่ถูกผ่าศพออกมาแล้วอะไรแบบนี้ครับ หากฝึกทุกวัน คุณ momandboy จะเห็นว่า เราจะเบื่อและปลงเรื่องรูปรสกลิ่นเสียงลงเรื่อย ๆ ครับ ยังไงก็ลอง search อ่านดูและทําความเข้าใจดูครับ ขอเป็นกําลังใจให้นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2015
  15. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    สวยยังไง หล่อขนาดไหนเบื้องหลังก็คือ กระโหลก กระดูก ตากลวงโบ๋ทั้งนั้น
    (ของแบบนี้ อยู่ที่สติปัญญา ตัวใครตัวมันจะคิดออก คิดได้ มองขาดทะลุถึงสุดรอบขอบจักรวาล ประมาณนั้น)
     
  16. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    พิจารณาดูตนเองว่าเป็นของเน่า ไม่สะอาด ไม่น่าดู เวลาตายไปก็เน่า อึด เหม็น น้ำเลือด น้ำหนอง อุจาระ ปัสสาวะ เหม็นเน่า
    นานๆไปก็เหลือแต่โครงกระดูก
    จากโครงกระดูกก็กระจักกระจายเป็นท่อนๆ
    หาความสวยความหล่ออะไรไม่ได้
    ให้ใครฟรีๆก็ไม่มีใครเอา
    ขนาดยังไม่ตายเอานิ้วล้วงตูดตัวเองมาดมก็เหม็น
    ไม่มีอะไรน่ารัก น่าใคร่ ในร่างกายของเรา
     
  17. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    าคำแนะนำบางอย่างทำลายความโรแมนติคหมดสิ้น
    แต่เมื่อใดที่เราต้องการให้จิตเรา ปลอดจากโลภโกรธ
    หลง เราจำเป็นต้องใช้อุบายที่เป็นกุศลต่างๆ มาพิจารณา
    ให้ประจักษ์ในความเป็นจริงของสรรพสิ่งตัวตนเราเขา
    ให้ชัดเจนว่าเป็นสิ่งยั่งยืนหรือชั่วขณะ จึงจะสร้างจิตที่มา
    พลังต่อสู้กับอารมณ์ปรุงแต่งต่างๆได้

    การตัดตอนการปรุงแต่ง โดยการสกัดผัสสะ
    ด้วยการไม่มอง ไม่ฟัง หรือไม่ใช้อายาตะนะ
    ต่างๆไปสัมผัสสิ่งรอบกายต่างๆ ก็จะลดความ
    วุ่นวายได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ดีเท่าพิจารณาจนเห็น
    ความจริง
     
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ในวันหนึ่งๆที่ผ่านมาเราได้เห็นได้สัมผัสแต่สิ่งสวยๆ
    งามๆ ใหม่ๆ หอมๆ นุ่มๆ อ่อนโยน หรูหรา โอ่โถง
    อลังการ เหล่านั้นเป็นมงคลชีวิต นั่นเป็นผลมาจาก
    กุศลผลบุญของเราไม่ใช่หรือ??

    ตรงกันข้ามกับคนที่เผชิญแต่ผลของอกุศล
    จะได้พบได้เห็นแต่สิ่งที่ไม่น่ารื่นรมย์ต่างๆ
    ในทุกจังหวะชีวิต
    เจอแต่ขี่เหล่ เก่าๆ ผุๆพังๆ เน่าๆเหม็นๆ
    ล้วนเรียกว่าสิ่งไม่เป็นมงคล

    เป็นเราเจอแบบนั้นจะเป็นอย่างไร
    จะเป็นทุกข์หรือเป็นสุข

    ดังนั้น เมื่อพบเจอหญิงงามหรือสิ่งอื่นๆที่วิจิตร
    งดงาม
    แล้วยังไม่ให้ราคาก็ใช่ที่ถูกไหม?

    ที่ถูกก็ต้องชื่นชม ในบุญของเขา
    และบุญของเราด้วย
    เพียงแต่ชื่นชมด้วยความเข้าใจในความ
    ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนมาประกอบด้วย
    ก็จะไม่เป็นการเสริมกิเลสให้สิ่ง
    ที่เป็นล้วนเป็นมงคลเหล่านั้น
    กลายเป็นเครื่องเศร้าหมองในจิตใจเรา
    แทนที่จิตจะเบิกบาน กลับเป็นทุกข์กังวล
    เพราะใช้ปัญญามาปล่อยวางไม่เป็น
     
  19. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    โอย.....โอย..บ่องตงพรานจัดหนัก
    ลุงแมวอ่านแล้วเกือบเข้ากระแสโสดาบัน
     
  20. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    อีกทางเลือกหนึ่งที่จะไม่คลั่งไคล้กับ
    ความเย้ายวนของเพศตรงข้ามหรือ
    เพศเดียวกัน(กรณีตุ๊ด)คือพิจารณา
    ร่างกายตัวเราเองว่าเคยสัมผัสกับอะไรบ้าง
    ในร่างกายที่ไม่ได้อาบน้ำมา2 หรือ 3 วัน
    เราเขาก็จะมีสารพัดกลิ่นเช่นเดียวกันกับเรา
    ชำระล้างแล้วเดี๋ยวมันก็ออกอาการจะเน่าให้
    เชยชมเช่นเดิมเหม็นสาป เหม็นหืน ตั้งแต่หัว
    จรดเท้า

    หล่อสวยแค่ไหน 3 วันไม่ชำระล้างร่างกาย
    แล้วดมไม่ได้เลยเป็นธรรมดาของสัตว์
    ที่ไม่น่าหลงไหล....แค่นี้ก็เฉยหยุดปรุงแต่ง
    ให้ต่อเนื่องเป็นธรรมอารมณ์แล้วล่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...