กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    มีอะไรมาให้ดูครับ.เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่สืบเนื่องถึงผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย
    .ส่วนตัวได้พระธาตุมาจากพี่ท่านหนึ่ง..
    เลยเอามารวมกับของเดิมที่ตัวเองมี..


    ผ่านมาประมาณ ๓ สัปดาห์ลองไปเปิดดูวันที่ ๒ เมษายนพอดี
    คงไม่ต้องบอกว่าวันอะไรคือภาพด้านซ้ายล่าง

    ..และเมื่อวานวันพระก็เลยนำผอบมาวาง
    บนมือแล้วนั่งสมาธิดูประมาณ ๑๕ นาที

    ดูภาพขวาล่างของเรานะครับ..องค์เดิมของตนเอง
    จะเป็นองค์สีขาวที่ติดกับองค์สีออกแดงขนาดกลาง
    ส่วนองค์สีขาวที่ติดกับองค์สีส้มใหญ่เป็นของพี่สาว
    ส่วนองค์สีขาวใสใหญ่ที่ติดกับองค์สีดำปนน้ำเงิน
    ออกสามเหลี่ยมคือที่เสด็จมาเพิ่ม..

    และใสๆจิ้วทางขวามือที่ติดกับสีม่วงเล็กและทองเล็ก
    คือที่มาเพิ่มเมื่อคืน....ส่วนที่เห็นองค์เล็กๆสีแดงจะขนาด
    เล็กที่สุดและเล็กมากเมื่อก่อนก็เป็นสีแดงอย่างเดียว
    ก็เชิญพิจารณาดูได้ด้วยตัวเองครับ...

    ปล.ถือว่าพักดูรูปพักผ่อนสายตาไปก่อนนะครับ..
    และอาจไม่มีอะไรอาจเป็นเพราะแสงก็เป็นได้ครับ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2015
  2. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    มีคำถามค่ะ .คืออ่านมาหลายโพสค่ะ ที่คุณนพบอกไว้ว่า ให้ทำจิตให้โปร่ง โล่งสบาย เพื่อไม่ให้มีสัญญาจรมาเกาะ และเพื่อให้หากเสียชีวิตจะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ทีนี้มันต่างจากที่พระท่านสอนยังไงคะ คือท่านสอนว่า ให้นึกถึงพระนิพพานเข้าไว้ ซ้อมตายเข้าไว้ จิตจะเกาะพระนิพพาน จะได้เข้าแทนพระนิพพาน หากตายขึ้นมา ทำไมสองส่วนนี้ดูต่างกัน แต่ให้ผลเหมือนกันคะ รบกวนช่วยอธิบายที แบบว่ายังงงๆอยู่ค่ะ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ๕๕๕๕...ที่พระท่านสอนนะไม่แตกต่างกันหรอก
    ..มันต่างตรงที่การใช้ภาษาในการถ่ายทอด
    เรื่องพวกนี้ให้ดูที่กิริยาที่เกิดกับจิต.
    .อย่าไปใช้ความคิด อย่าไปใช้ความเห็น
    ตลอดจนไปใช้ความเห็นในการตีความ....
    เด่วพวกนี้มันจะกลับกลายเป็นว่าเป็นตัวเรา
    เพราะมันจะซึมเข้ามาอยู่รวมกับตัวจิตของเราได้..

    เป็นไปได้วางความเห็นทั้งหมดไว้ แล้วไปปฏิบัติให้รู้
    ให้เข้าถึง เข้าใจ รู้แล้วค่อยละ ละแล้วเด่วมันก็วาง
    วางแล้วมันถึงจะว่างได้ เข้าสู่สภาวะความไม่มีอะไรได้..
    เราไม่ใช่คนป่วย ไปยืนดูไปวิเคราะห์
    หรืออ้างโน้นอ้างนี้ อ้างตำราระดับจักรวาลให้ตายเราก็ไม่รู้หรอก
    ว่าเค้ามีอาการอย่างไร ถ้าเราไม่ได้ป่วยเหมือนเค้า..
    จิตเกาะพระนิพพานที่พระท่านสอน ที่เราๆไปอ่านมา
    นั้นคือท่านแนะนำในช่วงของการฝึกวิชาพิเศษเฉพาะ..
    ในความหมายก็คือว่า ให้ตั้งอารมย์จิต
    หรือซ้อมอารมย์จิตให้เกาะกะแสนิพพานเอาไว้
    ท่านถึงให้เน้นวิปัสสนาบ่อยๆร่วมด้วย(แต่โดยมาก
    มักจะไปติดการรู้เห็น แล้วสร้างเหตุก่อกระแสจรเพิ่มเติม
    ก่อภพก่อชาติไปเรื่อย)
    เพื่อให้ตัวจิตนี้มันตัดร่างกายได้จริงๆในอนาคต
    .ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการฝึกซ้อมและทำ
    ให้สม่ำเสมอเป็นปกติจึงเป็นที่มาในการ
    ให้พิจารณาความตายเป็นอารมย์นั้นเอง
    เพราะถ้าเราได้เคยเข้าไปสัมผัสในสายวิชาพิเศษจะพบว่า
    .ถ้าไม่มีการขอบารมีพระฯท่านส่งเสริม
    .สภาวะจิตมนุษย์ธรรมดาต่อให้เก่งถอดจิตยกกายทิยพ์อย่างไรก็ตาม
    ความสามารถสูงสุดมันจะไปได้ไม่เกินชั้นพรหม
    ..เพราะฉนั้นการฝึกให้นึกถึงนิพพาน
    จึงเสมือนเป็นกุศโลบายเพื่อให้ตัวจิตมันมี
    ความสามารถในการก้าวข้ามชั้นพรหม
    นี้ไปให้ได้อย่างมีนัยยะ..
    แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องตั้งเป้าว่า จะต้องไปนิพพานเพราะการไปตั้งเป้า
    มันจะเป็นการใช้ตัณหาในการนำพาจิต..ซึ่งมันก็จะติดอยู่ที่ตัว
    ตัณหาตรงนี้ทำให้เข้าไม่ได้..มันต้องไม่อะไรกับอะไรเลย..

    ยิ่งจิตทิ้งร่างกายได้เท่าไรก็จะไปได้ไกลขึ้น เพราะตัวจิต
    มันจะตัดตัวขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมคือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญานได้.
    ซึ่ง ๔ ตัวหลังนี้หละที่มันเป็นตัวก่อภพก่อชาติ
    ที่ปกติธรรมดาเราต้องมาเจริญสติ
    มาเดินปัญญาเพื่อตัดตัวพวกนี้.

    เพราะพวกนี้หละที่มันทำให้จิตเรามันเกิดอยู่ทุกวัน
    เพราะตัววิญญานมันไปรับรู้ จากเรื่องราวในอดีต(สัญญา)
    มันเลยมาปรุงแต่ง(สังขาร)
    ให้เกิดเป็นความรู้สึกต่างๆ(เวทนา)ตัด
    ร่างกายนี้..พูดง่ายว่าให้จิตมันคุ้นเคย
    แต่ว่าจะใช่นิพพานแบบที่ไหนก็ได้แต่
    ตัวจิตไม่มีการเกิดจริงๆหรือไม่นั่นอีกประเด็น
    เพราะอย่างน้อยก็ยังถือว่าไปดีแวะไปพักผ่อน..
    .แต่อย่าลืมว่า มันยังมีทั้ง สติ สมาธิ ปัญญา
    ตบะ ฌาน ญาณ ปฏิฆะ กาม ตลอดจนตัวกิเลสละเอียด ฯลฯ
    พวกนี้ซึ่งท่านก็ได้สอนเหมือนกันว่าให้วาง
    แต่เราอาจจะอ่านมาไม่หมด.เพราะเราอาจจะดูในส่วนของ
    การฝึกวิชาพิเศษแล้วเอามาตีความเองตามความเข้าใจของตน...
    ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นอย่าทำ..
    ในเน้นปฏิบัติ.เพื่อให้จิตมันคลายความคิดออกจากจิต
    คลายออกจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมให้ได้ก่อน..
    มันถึงจะไม่เผลอใช้ความคิดใช้ขันธ์ ๕ นามธรรม
    ไปปรุงร่วมกับจิตโดยที่เราแยกแยะไม่ได้..
    มันจะทำให้ความเข้าใจนามธรรมเราจะไม่ดี..
    .
    .คุ้นๆไหมที่เค้าเรียกว่า สังโยชน์ ๑๐ นั้นหละ
    ต้องเอาตามตัวนี้จิตมันถึงจะเข้าสู่สภาวะที่ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดได้อีก.
    เพราะว่ามันถึงจะตัดตัวที่ยังหลงเหลือ ตัวก่อเชื้อต่างๆ
    ที่มันยังสามารถเกาะกับจิตเราได้ ซึ่งมันจะขวาง
    ตัวจิตที่จะเข้าสู่สภาวะนิพพานได้....
    หลักการที่บอกว่าให้ทำวางๆทั้งหลายแหล่.ทั้งสติ สมาธิ ปัญญา
    ตะบะ ฌาน ญาณ ฯลฯ .เพื่อให้จิตมันคุ้นเคยกับการตัดเรื่องพวกนี้
    ซึ่งมันถูกสร้างมาเกาะกับตัวจิตของเราอยู่..เพื่อเอาพวก ฯลฯ เนี่ย
    มันออกให้หมด ถึงได้บอกว่า อะไรก็ตามที่มัน ระลึกขึ้นได้ รู้สึกได้
    คิดได้ ปรุงแต่งได้ ต้องเคลียร์ให้หมดเกลี้ยง ไม่ต้องไปอะไรๆกับมัน
    เพื่อที่ให้จิตมันได้เข้าถึงสภาวะเดิมๆของมัน
    แบบที่ไม่เคยมีอะไรมาเกาะไม่ว่าอะไรก็ตาม..
    ให้มันคุ้นเคยเอาไว้ ในสภาวะลืมตาปกตินี่หละครับ..

    อย่าลืมว่า เวลาเราจะตายร่างกายมันจะพัง เราจะโดนเวทนา
    มันเล่นงาน ไหนคนที่ไม่เคยวางมาก่อน ก็จะเจอสัญญาจร
    ที่จะมาในรูปแบบต่างๆ มันเลยทำให้จิตไปติดตรงสัญญาจร
    ที่จะเข้ามาตรงนี้..ถ้าเราไม่เคยเข้าถึงสภาวะที่จิตไม่มีอะไร
    มาเกาะเลยในสภาวะลืมตาปกติ..มันจะเป็นไปได้ไหมที่มนุษย์ๆ
    ธรรมดาอย่างเราจะเข้าถึงสภาวะนิพพานได้โดยที่ไม่มีกระแส
    จรเข้ามา แม้มีกระแสจรเข้ามาแม้ว่าดีหรือไม่ดีมันก็ยังไม่พ้น
    เพราะมันมีที่รองรับอยุ่..อย่างห่มเหลืองท่าน สภาพแวดล้อม
    ท่านมันเอื้อ.และสิ่งที่ท่านทำผ่านมาในอดีตมันก็คอยหนุน
    ท่านตัดได้ของท่านอยู่แล้วปกติ และจิตท่าน
    ก็คลายอยู่เกือบตลอดเวลาทั้งวัน ท่านก็รอจนธาตุขันธ์พังไป
    เองโดยธรรมชาติ อยู่ทำหน้าที่ของท่านโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอก
    สุดท้ายร่างกายท่านพัง..ตัวจิตท่านก็จะกลับสู่ธรรมชาติเอง เพราะแม้
    ว่าจะมีร่างกายอยู่มันก็แทบจะอยู่ในสภาวะธรรมชาติในตัวเอง
    ของมันอยู่แล้วทั้งวัน คือไม่มีการเกิดนั่นหละ..

    ปล.ประมาณนี้..
     
  4. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    คนธรรมดาขอบารมีครูบาอาจารย์จริง ลำพังส่วนตัวคงทำได้ยาก และส่วนมากคนเราเมื่อเกิดทุกข์หรือเวทนาต่างๆก็อาจไปคิดหาสาเหตุแล้วก็คิดปรุงแต่งไปต่างๆนานา สุดท้ายอาจไปอบายเพราะว่ามันไปง่ายมาก แค่พิจารณาธาตุที่ประกอบมาเป็นรูปก็อยากลำบากน่าเบื่อหน่ายแล้ว พอเข้าอสุภะเพื่อให้รู้ว่ามันแค่ธาตุมาประชุมให้กลายเป็นรูปยังงแล้วงงอีก กว่าจะเข้าใจก็ย้ำกันซะหลายรอบ(ว่ากันในส่วนรูปธรรม) ส่วนนามธรรมที่คุณนพกล่าวถึงมันก็ต้องฝึกกันขั้นต่อๆไป ถ้าทำได้ก็ถือว่าละขันธ์ห้าได้จริง สักวันหนึ่งพวกเราก็ต้องทำให้ได้ ตอนนี้ก็พยายามกันไปก่อน เคลียร์กระแสจรของแต่ละวัน อย่าไปหลงปรุงแต่งอย่าไปยึดกับมัน
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ใช่ครับ คุณ กิ่งสน ครับเราเคลียร์กระแสในแต่ละวันก็พอครับ..
    เพราะถ้าเราเผลอไปชน ไปเพ่งแล้ว แค่เราคิดได้
    มันก็จะกลายเป็นว่าเราไปเชื่อมที่ส่งออกจากจิตเราเป็น
    ตัววิญญานการรับรู้ไปเชื่อมกระจรภายนอกจนกลายเป็นวิบาก
    คือมันวนมาเรื่อยๆ..ตรงนั้นโดยที่เราไม่รู้ตัวครับ
    ที่นี้พอมันไม่วาง แล้วเราไปพยายามที่จะทำให้มันวาง ก็จะกลายเป็น
    ว่าเราไปสร้างตัวพยายามซ้อนตัววิญญานตรงนี้เข้าไปอีกโดยที่เราไม่รู้ตัวครับ..
    เพราะฉนั้นให้เราเฉยๆไปเลยครับ กับกระแสจรทุกๆเรื่อง ไม่ต้องไปรู้
    ว่าม้นเป็นเรื่อง Q A B C เพื่อตัดการปรุงแต่ง ตัดตัวเข้าไปรู้ตรงนี้
    เรียกว่าตัดรากถอนโคนตัววิญญานรับรู้ไปเลยครับ ไม่งั้นตัววิญญานรู้
    ตรงนี้มันก็จะมาบิดบังตัวจิตเราอย่างคาดไม่ถึง.
    มันจะขวางไม่ให้จิตเราโล่งโปร่ง กลับสู่ธรรม กลับสู่เนื้อหา
    เดิมแท้ของจิตเราครับ....ยิ่งเราฝึกเจริญสติมา
    เรายิ่งจะรับรู้ได้เร็ว แต่เรามักจะเผลอไปรู้ว่ามันคืออะไร มันเลยปรุงไป
    เรียบร้อยโรงเรียนจีนไงครับ...เพราะฉนั้นไม่ต้องสนตัดอย่างเดียว
    ตัดบ่อยๆ เฉยๆบ่อย เพื่อดับมันบ่อยๆ ต่อไปเรื่องนั้นๆมันก็ไม่มีกำลัง
    ทางด้านตัววิญญานในการที่จิตเรามันจะเชื่อมได้เองนั่นหละครับ...

    ปล.เราก็ทำจนกว่าจิตเราจะไม่มีอะไรมาเกาะได้
    เหมือนๆห่มเหลืองมีชื่อทั้งหลายในอดีตและหลายๆท่าน
    ในปัจจุบันนี้นั่นหละครับ..
     
  6. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    เวปฯพลังจิต เป็นเวปฯที่แปลกอยู่อย่างนะคะ เป็นเวปฯที่หลายคนประกาศลา แต่ก็แอบเข้ามากันเรื่อยๆ บางคนแอบอ่านแต่ติดตามทุกก้าว บางท่านก็สมัครชื่อเข้ามาใหม่ บางคนใช้หลายๆยูสฯ ...
    บางคนก็ไม่ใช่คนพุทธ(หรือเปล่า) โดนแบนแล้วแบนอีก ขนาดบางกระทู้โดนล๊อค ก็ไปตั้งในเวปฯอื่นแล้วก๊อปความคิดเห็นตัวเองลงไป ตั้งกระทู้ล่อเป้าให้คนเข้ามาลงความเห็นกันเยอะๆ ทั้งๆที่ไม่ใช่จะมาหาความรู้ หรือเข้ามาหาความเห็นอะไรหรอก เพราะมีจุดประสงค์เดียวตั้งแต่แรกแล้ว ...
    ดิฉันเห็นตั้งหลายปีแล้วนะคะ เห็นหลายทีแล้วด้วย ตอนที่มาตั้งกระทู้ใหม่ๆดิฉันก็ไม่อยากเสียบเข้าไป ปล่อยให้คนในนี้เขารู้กันบ้าง ...
    ผ่านไปกี่ทีก็เหมือนเดิม เอาไปแปะเวปฯนั้นเวปฯนี่ และให้คนเขาเข้ามาด่า ....
    คนเรานี่ หาความสุขด้วยวิธีแปลกๆนะคะ นาาาานนนน นาน เอาสักทีก็ยอม ...

    พระพุทธเจ้าสมัยพุทธกาลดิฉันจำได้ว่าท่านส่ง"ฆ่า" ภิกษุบางท่าน แต่ฆ่าในที่นี้คือไม่ให้ใครพูดด้วย ทำไรด้วย ไม่ให้ยุ่ง ให้เหมือนกับว่าคนนั้นไม่มีอยู่ในโลกนี้ และต่อมาก็ได้ผล เพราะกลับใจได้ในท้ายที่สุด การที่พระองค์จะสั่งฆ่าใครเพราะคงเห็นแล้วว่ายังพอช่วยได้
    แต่บางคนในโลกนี้นั้น ดิฉันเห็นว่าไม่ฆ่าก็ดีเหมือนกัน ตายก็ตายไม่ได้ อยู่อย่างทรมานในวังวนสังขารของตัวเขาเองไปเรื่อยๆอย่างทรมาน ... เพราะรายแบบนี้ คงหมดหนทางช่วยเสียแล้ว...

    บ่นค่ะคุณนพ ... ขอโทษด้วยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2015
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คริ คริ พอทราบครับแต่พูดตรงๆไม่ได้ครับ
    พูดไปเด่วเค้าก็รู้ตัวจิครับ ๕๕๕
    ส่วนตัวก็ใช้คำว่าไม่ควรไปเสวนาด้วยครับ
    ถ้าไม่เชื่อจะเจอและรู้เองได้ในไม่ช้า
    เอาว่าจะพยายามโน้มน้าวด้วยกุศโลบาย
    ตามแต่ที่ตนถนัด พวกนี้ถึงจะต้อง
    พยายามอุปโลกน์สร้างภาพตัวเองไม่ว่า
    ทางใดทางหนึ่งเพื่อยกตนขึ้นมา.
    แต่สังเกตุง่ายๆว่าถ้าเป็นงานฟรีงานสาธารณะ
    งานเพื่อประโยชน์ทางธรรม เพื่อประโยชน์คนอื่นๆ
    เนี่ยจะไม่แวะไปใกล้และไม่ทำ. พอสิ้นท่าก็จะให้ดูที่ๆตนตั้งเป้าไว้
    เช่น ตำราบางอย่าง. สำนักบางที่ กลุ่มเฉพาะบางกลุ่ม สถานที่บางแห่ง
    อะไรก็ตามที่เจาะจง นั่นหละครับ.
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังเชื่อในบารมี ของห่มเหลืองที่ท่าน
    เป็นเหตุที่ริเริ่มให้เป็นผลได้สร้างได้เกิดเวปนี้ครับ
    ว่าไอ้พวกอุปโลกน์ จอมลวงโลกสร้างภาพในสิ่งที่ไม่ใช่ตนทั้งหลาย.
    พวกสร้างแต่อกุศลกรรมทั้งหลาย
    พวกทำเพื่อตัวเองฝ่ายเดียวทั้งหลาย
    พวกที่หมายจะทำลายพุทธศาสนาทั้งหลาย
    พวกที่อวดรู้อวดในสิ่งที่ไม่มีในตนทั้งหลาย
    พวกที่ไม่ได้เน้นเพื่อประโยชน์ทางธรรมทั้งหลาย
    แต่เน้นอุปโลกน์ตัวเองทั้งหลาย
    จะพ่ายแพ้ภัยตัวเองตัวเอง และสุดท้าย
    ก็จะไม่มีที่ยืนในสังคมตรงนี้ หรือต้องอยู่
    แบบหลบๆซ่อนๆ. คุณก็เห็นตัวอย่าง
    พวกอุปโลกน์แบบนี้มาแล้ว
    หลายกรณีแล้วนิครับในอดีต
    บางคนเก่งมากระดับโลก. บรรลุเป็นระดับโน้นนี่
    เป็นพระอรหันต์ก็มี. ถ้าตอนนี้ไม่เพี้ยน
    ก็หาออกราตรีร่ำสุราอยู่เป็นนิจ
    ผิดศีลกาเมเป็นกิจ ๕๕๕
    ปล.นึกแล้วก็ถือว่าเป็นสีสัน และฮาไปอีก
    แค่เล่าให้ฟังไม่ได้บ่นนะครับ. ๕๕๕
     
  8. THE_NOP

    THE_NOP Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +33
    ขอร่วมสนทนาด้วยคนนะครับ(หาเรื่องคุย)
    เกี่ยวกับนิมิตกสิณที่ผมเห็นมีสองดวงสีขาวนวล1,สีเหลืองส้ม1 ตามที่คุณnopphakanเคยบอก จะเห็นเยื้องทางด้านขวา ก็รู้ว่าเป็นนิมิตกสิณแล้วก็ละ ไม่ได้สนใจ แต่ว่ามันมีอยู่ดวงนึ่งสีขาวนวลมาทางด้านบนหรือว่าเป็น
    เพราะผมชอบเพ่งหลังคาเล่นๆเวลาเข้าห้องน้ำหรือเปล่า
    และก็ขออนุโมทนาเรื่องพระธาตุเสด็จกับคุณnopphakanด้วยครับ ผมเคยไปรับพระธาตุจากวัดสังฆทานมา23องค์ก็ยังเท่าเดิมไม่เพิ่มไม่ลด แต่มีความรู้สึกว่ามีอยู่3องค์ที่เพิ่มขนาดขึ้น(ไม่รู้มโนไปเองหรือเปล่า)ขอเล่าเรื่องที่ไปรับพระธาตุให้ฟังนะครับ คือตอนที่รับพระธาตุหลวงพ่อท่านถามผมสองครั้ง แต่ผมได้ยินว่า"การเล่น สนุกมั้ย" ผมก็คิดว่าเล่นอะไร?งง?ก็เลยไม่ได้ตอบอะไร แต่พอกลับถึงบ้านก็คิดทบทวนดูคิดว่า"ท่านคง
    ถามว่า ฌานเล่น สนุกมั้ย" แน่ๆเลย นึกแล้วเสียดาย
    ไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไรด้วย ถ้าได้ยินชัดผมคงจะฝากตัวไปแล้ว
    ปล.ที่เล่ามานี้ไม่ได้หมายความว่าผมได้ฌานนะครับ เพียงแค่เล่าสู่กันฟัง
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ขอบคุณครับ ผมก็จะขอสนทนาด้วยเพื่อหาเรื่องเล่าให้ฟังต่อ
    เพื่อว่าจะมีประโยชน์ครับ..ที่สีขาวนวลกลม มีแสงส่องสว่างแต่ว่าไม่เย็น
    มาทางด้านบนนั้นที่เยื้องในมุมสูงเฉียงไปทางขวานั้น
    และมุมเดียวกันนี้ก็จะสามารถได้ยินเสียงได้ด้วยเป็น
    เสียงของท่านๆที่มาสอนเรานั่นหละครับ..
    เราสามารถเห็นได้แม้ขณะลืมตาก็ได้ จะปรากฏแสงสว่าง
    รอบๆตัวเราแม้ว่านั่งอยู่ในที่มืด เป็นโหมดการฝึกอย่างหนึ่ง
    ที่กำลังสมาธิระดับนั้นจะเริ่มเข้าปฐมฌาน สามารถฝึกต่อยอด
    ไปได้ถ้ายังสามารถลืมตาและรักษาอารมย์ต่อได้ แต่โดยมาก
    มักจะเจอกระแสจรทางด้านความคิดเข้ามาขวางครับ..
    เพื่อป้องกันกระแสที่มาขวางตรงนี้นี่หละครับ
    จึงจำเป็นที่ในระหว่างวันเราจะต้องเดินปัญญาลดละกิเลส
    ต่างๆไปด้วย และฝึกเจริญสติให้มันต่อเนื่องทั้งวันเอาไว้
    เพื่อให้ผ่านตรงนี้ให้ได้ ไม่งั้นมันจะแข่อยู่อย่างนั่นไม่ไปไหนครับ
    ส่วนตัวเรียกว่าโหมดวิญญานกสิณ หรือโหมดวิญญานธาตุครับ
    เพราะว่ามันการฝึกต่อยอดโดยที่ใช้แสงนำพา มันจะตัดเรื่อง
    ของการขึ้นรูปด้วยภาพแบบกสิณกองอื่นๆ ระดับการพัฒนา
    ของขั้นตอนนี้ตัวจิตจะไต่ระดับขึ้นไปอรูปฌานเลย
    สิ่งที่ไม่ได้ก็คือเรื่องของกำลังจิต แต่จะไปได้เรื่อง
    ของการยกระดับสมาธิแทนครับ
    ให้เราสังเกตุ
    จากแสงที่สว่างรอบตัวรอบห้องจะค่อยๆมืดลง และก็จะค่อยๆกลับ
    สว่างมาเหมือนเดิมครับ ถ้าทรงอารมย์ที่แสงมันย้อนมากลับสว่าง
    รอบตัวรอบห้องได้เหมือนเดิมเราจะไปได้ผลตรงเรื่องของการตัด
    การยึดตึดต่างๆครับ ซึ่งส่วนตัวไม่ได้มีความชำนาญและกำลังเพียง
    พอที่จะเข้าสู่อารมย์สุดท้ายได้นาน จึงได้แค่เพียงเล่าให้ฟังได้เบื้องต้นครับ
    และแสงสว่างแบบเดียวกันก็ยังสามารถมาได้อีกตอนที่เราหลับตา
    หรือตอนที่เรานอนแต่จะมาทางด้านซ้ายบริเวณเหนือหน้าฝากเป็น
    กรณีของดวงจิตของผู้ที่เป็นครูบาร์อาจารย์ของเราเองครับ ถ้าเรา
    สามารถทรงอารมย์ต่อได้เราจะสามารถมองเห็นท่านได้ในขณะที่
    เรายังหลับตาอยู่ได้ครับ..
    คำว่าได้ฌานหรือทรงฌาน ปกติหมายความว่า เราสามารถทรงอารมย์
    ในขณะนั้นเพื่อที่จะใช้งานในชีวิตประจำวันเราได้หรือไม่ โดยปกติบุคคล
    ทั่วๆไปมักจะเข้าถึงสภาวะนี้ได้โดยธรรมชาติโดยที่ไม่รู้ตัวอยู่แล้วครับ
    แต่นำไปใช้เพื่อหน้าที่การงานต่างๆ ในสภาวะนี้จะปรากฏเป็นในลักษณะ
    ที่สมาธิมั่นคงต่อเนื่องโดยที่จิตไม่ได้เป็นทิพย์นั่นเองครับ...
    ต่อมาคำว่าได้ฌานหรือทรงฌานสำหรับผู้ที่จิตสามารถทำงานได้หรือมีความเป็นทิพย์ได้
    ไม่ว่าจะทำงานได้ด้วยการเห็นแสงนำ หรือ เห็นสีนำก็ตาม หรือเห็นเป็นความ
    รู้สึกคล้ายภาพที่แสดงออกจากจิตแล้วส่งออกมา
    ตรงตาที่ ๓ แบบภายในหรือเป็นภาพออกไปภายนอก
    (คือมีแสงสีนำรวมกับสัญญาที่สร้างเป็นภาพ)
    หมายความว่า ถ้าจะใช้งานอะไรก็ตามเกี่ยวกับจิต
    คือสามารถใช้ได้ภายในเสี้ยววินาที ทุกที่ ทุกขณะจิต
    โดยที่ไม่ต้องตั้งท่าในสภาวะลืมตาปกติครับ....
    เรื่องสุดท้ายเรื่องพระธาตุเสด็จก็ถือว่าเป็นเรื่องเหนือวิสัยที่คาด
    การณ์ได้ โดยส่วนตัวก็ไม่ได้เข้าใจและทราบอะไรตรงจุดนี้มากครับ..
    จากที่เมื่อ ๒ ปีก่อนเสด็จมา ๗ สีแล้วเพิ่มมาอีก ๒ สีภายหลัง
    แต่ ๒ สีที่เพิ่มก็ได้มีการนำมาจากที่อื่นๆก่อน ถึงมีการเสด็จมาเพิ่ม
    และก็ตามด้วย สีใส และสุดท้ายสีบางองค์ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเงิน..
    โดยส่วนตัวเคยได้พอทราบพิธีการแบบเป็นทางการว่าจะต้อง
    ทำอย่างไรเพื่อขอแต่ก็ลืมๆไป และคิดไม่ออกว่าจะทำเพื่ออะไรครับ...
    แต่ด้วยหลักการของการนั่งสมาธิในโหมดวิญญานธาตุนั้นก็น่า
    จะพอนำมาประยุกต์ใช้งานในเรื่องเกี่ยวกับพระธาตุเสด็จได้.
    อีกอย่างก็อยากจะทดสอบตัวเองดูด้วยครับ.แต่ก็ไม่ได้จะเป็น
    เครื่องชี้วัดว่าตัวเองดีหรือไม่ดีนะครับ แค่อยากจะดูว่าตัวจิต
    เรามันสามารถเข้าถึงตรงนี้ได้ไหม เลยเป็นเหตุแห่งการนำ
    ผอบ.มาลองวางไว้บนมือขวาและวางพระเครื่องมือชื่อของ
    ห่มเหลืองมีชื่อท่านหนึ่งไว้อีกมือ แล้วลองเชื่อมกระแสจิต
    ตนเองกับพระธาตุที่มีอยู่ในผอบ วันแรกผลที่ได้ยังไม่มีการ
    เสด็จมาเพิ่มครับ แต่พบว่ามีการเปลี่ยนสีของพระธาตุบางชิ้น
    และวันถัดมาก็เป็นวันพระพอดีคงไม่มีอะไรเสียหาย เลยลอง
    ทำเหมือนเดิมครับ.ใช้เวลาไม่เกิน ๑๐ นาที
    ไม่ใช่ว่าเก่งนะครับ แต่เพราะว่ามันนั่งได้แค่นั้นครับ ๕๕๕
    ก็ผลก็เป็นอย่างที่ได้นำภาพมาลงให้ชมนั่นหละครับ..
    แต่ก็ลองทำอีกแต่ก็ยังไม่มีผลนะครับ เพราะมันติดเรื่อง
    ความอยากที่จะให้พระธาตุเสด็ดเข้ามาอย่างไม่รู้ตัวครับ
    ช่วงนี้ก็เลยเฉยๆไปก่อนครับ ไม่ได้อะไรกับอะไรครับ..


    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ
     
  10. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    เรื่องการรับพลังงานภายนอกเค้ามาก็เรื่องธรรมดาครับ.และด้านซ้ายมันจะ
    รับได้ดีกว่าด้านขวาปกติครับ พลังงานพวกนี้เป็นคลื่นกระแสไฟฟ้าไงครับ.
    เส้นเลือดดำด้านหลังขวาเรามันมีธาตุเหล็กเยอะครับ..ก็คล้ายแม่เหล็กดูด
    คลื่นนั่นหละครับ มันพอมีระยะทางในการดูดเราเลยพอรู้สึกได้ดี.
    ถ้ามาทางด้านขวาเราจะรู้สึกเหมือนกันแต่จะไม่มากเท่าด้านซ้าย
    ส่วนเราจะทราบได้ยังไงว่าเป็นกระแสพลังงานแบบไหนนั้น.
    เราต้องมาเทียบดูจากจักระของเรา
    และเทียบความรู้สึกที่ผิวดูร่วมด้วยครับ




    ................

    จากกระแสพลังงานที่รับเข้ามาทางนิ้วซ้ายคล้ายโดนไฟฟ้าช๊อตนะคะ จากการสังเกตุดู หากรับเข้ามาคืนนี้ และเข้านอน พอเช้าตื่นขึ้นมาจะรู้สึกว่ามันรวมกลุ่มกันเป็นก้อนๆที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ค่ะ คุณนพฯ มันเหมือนจะเป็นเนื้อแข็งๆ เวลาที่เราบีบมือเราก็ไม่เจอค่ะ แต่เรารู้ว่ามีบางอย่างอยู่ในมือเราค่ะ แข็งๆ เวลากำมือหรือเวลาที่เดินจะรู้สึกได้

    เมื่อกี่วันก่อน ลองปล่อยพลังงานจากฝ่ามือ โดยไม่ได้ลงไปสนามหญ้า แต่นั่งอยุ่ในบ้านหลังสวดมนต์ค่ะ (ประมาณว่าดราก้อนบอลประมาณนั้นค่ะ แต่ใช้มือเดียว ฮ่าๆๆ) ปรากฎว่ามีลมออกจากฝ่ามือค่ะ ดิฉันแอบเห็นแว๊บๆว่าเป็นสายขุ่นๆ(สีไม่ใส) แต่เห็นไม่ชัดค่ะ แค่แว่บๆหางๆตา

    ..................................................................

    เข้ามารายงานผลค่ะ คุณนพฯ

    สวัสดีปี๋ใหม่เมืองค่ะ ทุกท่าน


     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040

    ดีแล้วครับ. นั่นหละครับอาการและกิริยาปกติครับ.
    แสดงว่าจิตมันเริ่มคุ้นเคยและสามารถทำงานได้
    เด่วที่เห็นแบบนั้น ในลักษณะพลังงานแบบนั้น
    ต่อไปก็จะพัฒนาออกมาได้ทั้งตัวครับ
    ถ้ายังมีสีขาวคล้ายควัน แสดงว่ามันกำลัง
    ปรับธาตุร่างกายบางส่วนของเราอยู่
    ตอนนี้ถ้าจะเห็นอีก ช่วงที่นั่งสมาธิลอง
    ลืมตาดู. มันจะสามารถออกได้ทั้งตัวขึ้นข้างบนด้วยครับ
    ถ้าเราโบกมือไปมา เส้นสายก็จะไหลตามเหมือนๆในหนังจีนประมาณนั้น
    พูดแล้วบางที่มันไม่น่าเชื่อนะครับ ยากที่คนจะเข้าใจ
    บางที่เราทำได้ บางคนก็ว่าเราในทางอกุศลก็มีครับ
    ถ้าไม่ได้เข้าถึงหรือสัมผัสได้ด้วยตัวเองนะครับ
    นี้หละครับ คือการเริ่มต้นเข้าสู่โหมดวิญญานธาตุ
    ซึ่งเป็นขั้นที่ ๖ จาก ๗ ขั้นของวิชาเดินธาตุแบบในดง
    ซึ่งเป็นพื้นฐานปกติที่เบสิกมากๆที่จิตดวงใดก็ถาม ที่เข้าสู่โหมดนี้ได้
    จะต้องปรากฎเกิดขึ้น และเห็นได้ด้วยตาเปล่าๆนี้หละครับ
    และไม่มีทางที่จะไม่เกิดแบบนี้ครับ
    ถ้าจะบอกว่าถึงโหมดวิญญานธาตุนะครับ
    ซึ่งถ้ามาทางสายบารมีก็ทำได้ครับ ด้วยการสวดบทพระคาถาพระ จ..
    แต่จะไม่ได้เรื่องพลังงานกสิณใช้งาน เพราะมันจะข้ามกสิณ
    ดิน น้ำ ลม ไฟ ไปเลย และเข้ากับอากาศ พรวดเป็นโหมดวิญญานเลย
    แต่ถ้าร่างกายไม่พร้อม กำลังสมาธิสะสมไม่พอ
    ก็มีสิทธิส่งผลกระทบกับร่างกายได้ อาจทำให้ธาตุร่างกายปั่นป่วน
    แต่จะไปได้การเข้าถึงครูบาร์อาจารย์ที่ตนนับถือได้โดยตรงแทน
    ด้วยการเชื่อมในโหมดวิญญานแทนครับ และทำอะไร
    ก็จะสายตรงกับครูบาร์อาจารย์เลย. ยกเว้นว่าถ้าจะเอาไว้
    เคลียภพภูมิไม่ดีจำเป็นต้องมีฐานกสิณก่อน. พวกนี้นะครับ
    ถ้าเราทำได้ เราจะสามารถพาคนอื่นๆทำแบบเราได้ด้วยครับ
    มีที่เคยแนะนำไปลองพาคนอื่นทำและสัมผัสได้ก็มีแล้วนะครับ
    ถ้าเชื่อมได้แล้วจนกระแสมันใส ถือว่าร่างกายเราเริ่มปกติครับ
    เอาไว้ประยุกต์รักษาตัวเองได้ครับ ประยุกต์ไว้ช่วยคนที่เราจะรู้เอง
    ว่าสมควรช่วยเหลือได้ โดยเราเชื่อมตรงข้างบนไปเลย จะผ่านเราหรือ
    กำหนดให้ผ่านเค้าก็ได้. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ช่วยแล้วก็แล้วไป ไม่อะไรกับอะไร
    เพื่อให้จบเป็น ดับเป็น ส่วนในเวลาปกติเราก็วางมันไปเลยครับ.
    เด่วถึงเวลาที่ควร มันถึงจะเป็นอัตโนมัติของมันเอง.
    และไม่ตะกุกตะกั๊ก
    ช่วงนี้ถือว่าช่วงทดลองงาน ก็ลองกับตัวเอง กับบุคคล
    ใกล้ชิดไปก่อนครับ เด่วเทคนิคการนำไปใช้งาน
    หรือลูกเล่นต่างๆไว้คุณ Rungdao ทำให้คล่องๆก่อนจะมาแนะต่อให้เองครับ
     
  12. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คุณนพฯคะ พลังงานมันออกมาเองทางนิ้วมือตอนที่เราไปยืนอยู่ที่สนามหญ้า (เมื่อสักพักนี้) ? ...
    ดิฉันยังไม่ได้กำหนดจิตเลยนะคะ แค่ไปยืนบนหญ้าเดินไปเดินมาสักพัก จากนั้นดิฉันก็ยกมือขึ้นมาระดับหน้าอก แต่ยื่นไปข้างหน้าค่ะ นิ้วจะเกิดความรู้สึกบางอย่าง ตอนแรกดิฉันนึกว่าเป็นการรับแรงสั่นสะเทือนจากข้างนอก เช่น เสียงรถ ฯลฯ แต่พอไม่มีรถผ่านก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมค่ะ อันนี้ไม่แน่ใจเลยเข้ามาถามค่ะ ... ถ้าใช่ คราวหน้าเดินผ่านสนามหญ้าก็ได้ใช่ไหมคะ

    ส่วนกระแสร้อนๆที่ออกจากร่างกายของเรา บางทีออกจากใต้รักแร้ บางทีออกทางด้านหลังตรงเหนือบ่าทั้งสองข้างใกล้ๆท้ายทอย อันนี้ทราบว่าก็ไม่ต้องไปสนใจอีกตามเคย แต่อยากเล่าให้ฟังค่ะ ...

    ปล. ตอนสวดมนต์จะมีความรู้สึกเดียวกันกับที่ไปยืนบนหญ้าและสั่นสะเทือนออกจากนิ้วมือ แต่ตอนนั่งสวดมนต์ไปรับรู้ที่ก้นกบแทนค่ะ โดยรู้สึกจากทางส้นเท้าที่เรานั่งทับค่ะ

    ใช่ไม่ใช่ยังไงทั้งหมดนี้รอคุณนพมาขยายความค่ะ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ใช่แล้วครับ พอเราทำการถ่ายเทบ่อยๆจิตมันก็มีความคุ้นเคยขึ้นมา
    เองของมันครับ เข้าเรียกว่าเป็นไปตามเนื้อหาเดิมของจิต ควันๆอะไร
    กระแสอะไรทั้งหลายมันก็จะเป็นไปเองอัตโนมัติครับ..ไอ้ตัวอัตโนมัติ
    แบบนี้หละครับ ที่อนาคตเราจะต้องพัฒนาเอาเอง คุ้นไหมครับ
    ว่าถ้าเราจะอยู่ในที่ถือว่าใช้งานได้ เรื่องพวกนี้มันจะเกิดก่อน
    ที่เราจะคิดได้อยู่แล้วครับ...สังเกตุได้คือเราไม่
    ได้คิดไม่ได้อะไรหรอกครับ พอเจอสภาวะสภาพแวดล้อมมันก็เกิดขึ้นเองได้..
    ถ้าเราเตรียมพร้อมก็เกิดขึ้นได้ แต่เราจะไปติดตรงตัวที่เรียกว่าวิตก คือ
    ไปรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างในขั้นก่อนๆที่เคยแนะให้ เช่น ทำไม้ ทำมือ
    อะไรอย่างโน้นอย่างนี้นะ นี่หละคือตัววิตก คือตัวตั้งท่า
    แต่มันก็มีความจำเป็นในช่วงแรกครับ
    เพื่อให้จิตมันคุ้นเคยในความสามารถตรงนี้..พวกความรู้สึกและกิริยาต่างๆที่คุณเล่า
    ให้ฟังมาถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ จำได้ไหมครับ ที่เคยบอกไปว่า เด่วต่อไป
    มันจะเชื่อมได้ทั้งตัวนั่นหละครับ แต่เราจะเห็นจะรู้สึกชัดตรงไหนก่อน
    ก็แล้วแต่บุคคลครับ..ถ้าร่างกายส่วนไหนเรามันพร่องอยู่ ตรงจุดนั้น
    มันก็มักจะชัดเจนกว่าจุดอื่นๆเป็นเรื่องปกติครับ..
    .

    ตอนสวดมนต์ต่อไปแค่พนมมือยังไม่ทันสวดนะโมฯก็เกิดแล้วครับ
    คอยสังเกตุได้ด้วยตัวเองในอนาคต ถึงจะถือว่า ok ใช้งานได้..
    และก็พัฒนาความหนาแน่ของพลังงานเอาเองตรงนี้ตัวใคร
    ตัวมันครับเพราะส่วนตัวก็พัฒนาอยู่..
    ไม่สามารถแนะอะไรได้มากกว่า การที่สามารถ
    ทำให้จิตมันคลาย โปร่ง โล่งได้นานแค่ไหนในระหว่างวัน
    หมายถึงสภาวะลืมตาปกติทั่วๆไปนะครับ..
    ถ้าจิตคลายได้นานขึ้นเท่าไร ความหนาแน่ของเส้นสาย
    มันก็จะมากขึ้นตามลำดับนั้นหละครับ.
    ซึ่งตรงนี้เราจะสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองครับ..
    .
    ปล.ของคุณอีกไม่นานครับ พอเชื่อมได้ทั้งตัวแบบใสๆ
    ก็ถือว่าเริ่มต้นเข้าสู่ระดับใช้งานได้แล้วครับ..
     
  14. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คุณนพคะ ถ้าเราไม่ผ่านกสิณใช้งานแล้วข้ามไปหมวดวิญญาณธาตุเลย ร่างกายจะปั่นป่วน ดิฉันอยากทราบว่าจะเป็นอันตรายมากไหมคะ
     
  15. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731

    ดิฉันกลัวเป็นแบบนี้ค่ะ
    หัวใจดิฉันเคยเต้นผิดปรกติมาสองครั้งแล้วค่ะ แต่เป็นมาก่อนฝึกกับคุณนพนะคะ
    อิอิ ขอยืมภาพเขามาค่ะ ไม่อยากให้คุณนพเครียด

    อ้อ .. คำถามตกไปอยู่หน้าที่ผ่านมาค่ะ คุณนพย้อนไปอ่านนิดนึงเด้อค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2015
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ๕๕๕๕๕ คุณเขียนไม่ผิดครับ ร่างกายปั่นป่วนครับ แต่เป็นไปในทางที่ดีขึ้น..
    ถ้ามาถึงวิญญานธาตุได้นะครับ ..
    ถ้ามันเป็นอันตรายมาก ป่านนี้ ห่มเหลืองทางสายบารมี
    ท่านคงไม่นำพระคาถามีชื่อ ออกมาให้ลูกศิษย์ลูกหาท่องกันหรอกครับ..
    และคนที่มาทางสายบารมี สายบุญฤิทธิ์
    ที่เค้าสวดพระคาถาชื่อดังที่ขึ้นต้นด้วย จ. หรือแม้แต่นั่งกำพระสวดมนต์
    คงจะตายก่อนวัยอันควรและป่วยก่อนวัยอันควรไปหมดแล้วหละครับ ๕๕๕๕
    เป็นคนละประเด็นกันเลยครับคุณ rungdao ไม่ต้องคิดอะไรเลยครับ...๕๕๕๕
    ส่วนเรื่องกฏแห่งกรรมมันไม่มีใครหนีพ้นอยู่แล้วครับ.


    ประเด็นแรกถ้าเราไม่ผ่านเรื่องกสิณใช้งานจากทางภาคส่วนภพภูมิแล้ว
    แม้ว่าเราจะฝึกได้ สัมผัสได้ แต่การใช้งานมันจะถูกจำกัดเช่น อาจต้อง
    ทำเป็นชั่วโมง แต่ใช้งานได้แค่นาที หรือถูกจำกัดให้ใช้ได้แค่บางกอง
    กำลังจิตน้อย ไม่เพียงพอต่อการต้านทานพวกไม่ดีทั้งหลายภายนอก
    หรือแม้กระทั่งนำไปใช้งานจริงๆไม่ได้ และที่สำคัญ
    โอกาสที่จะหลงตัวเองและคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด
    หรือคิดว่าตัวเองบรรลุคุณธรรมขั้นสูง
    หรือคิดว่าตัวเป็นผู้วิเศษวิโส มันจะสูงครับ..
    และมันไม่ใช่ว่าจะสอบผ่านกันง่ายๆด้วยครับ..
    ถ้าง่ายป่านนี้คงเต็มบ้านเต็มเมืองแล้วครับ..
    คิดดูคุณแค่ได้กสิณดินแค่กองเดียว แล้วมีคน
    มาด่าคุณ คุณแค่กำหนดกสิณดินกองเดียวใส่เส้น
    เลือดในสมองคนนั้นก็เป็นอันตรายแล้วครับ
    หรือคุณกำหนดไปที่ส่วนอื่นๆของร่างกายเค้าก็ปวดแล้ว
    เพราะฉนั้นประกันได้ว่า กว่าจะผ่านได้จิตใจเราต้องดีในระดับหนึ่ง
    ไม่ว่าต่อเรื่องอะไรนะครับ....


    เพราะการผ่านไม่ผ่านจากภาคส่วนนั้น มันขึ้นอยู่กับ
    ความฉลาดในการประยุกต์ใช้งานในโหมดทดสอบ
    (แต่ถ้าผ่านเราได้ต่อไปเราจะมีเครื่องรู้ในการใช้
    งานแบบอัตโนมัติของมันเอง)
    และการที่เรายอมตายในโหมดทดสอบ
    โดยที่ไม่ใช้ความสามารถอะไรเลย
    (โดยมากจะพลาด เพราะในนิมิตรมันใช้ได้
    พอเรากลัวหรือมีภัยเรามักจะพลาดที่จะใช้
    เพื่อป้องกัน ต่อให้ป้องกันตัวก็ถือว่าสอบตกครับ.
    และแม้ว่าเราจะรู้ว่าต้องยอมตาย ฝ่ายทดสอบ
    ท่านก็รู้ครับ ๕๕๕ )

    และเรื่องเจตนาในการนำไปใช้งานที่เป็นประโยชน์ทางธรรม
    ต่อบุคคลซึ่งตรงนี้ ทั่วๆไปเรามักจะทำเพื่อตัวเอง ทำได้นิดๆหน่อยๆ
    เห็นอะไรได้เล็กน้อย ก็หลงตัวเองเยอะแยะครับ ตัวอย่างก็มีให้เห็น
    และก็เรื่องเมตตาที่ออกจากจิตที่ต้องทราบด้วยตนเองว่า
    วาระผู้นั้นมาถึงหรือยังว่าใครควรจะช่วยหรือไม่ช่วย
    ต้องอุเบกเป็น ปล่อยวางในระหว่างวันเป็นด้วยครับ...


    และที่สำคัญก็ต้องดูเนื้อหาเดิมของจิตเราด้วยครับ ว่าอนาคต
    ข้างหน้ารูปแบบการใช้ชีวิตเราจะไปยุ่งเกี่ยวกับการใช้พลังงาน
    ตรงนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนอื่นๆไหม..อย่าง ญ คนหนึ่ง
    ในญานทิพย์ เค้าก็ได้กสิณกองเดียว เค้าก็รักษาคนได้
    นั่นเพราะวาระเค้ามาถึง คือทางโลกต้องคลาย วิบากต้องคลาย
    และถึงเวลาให้ช่วยเหลือ พอจะช่วยใคร ถึงเวลา ท่านที่มีชื่อ
    ที่มาทางแพทย์ ท่านก็มาส่งเสริมมาช่วยสนับสนุนอะไรทำนองนี้ครับ..


    ถ้าจะถามว่าเป็นอันตรายไหม ในเรื่องการฝึกกสิณ ตอบว่าอันตรายครับ
    ยกตัวอย่างเช่น ถ้าใช้กสิณไฟได้แบบไม่สามารถนำกสิณน้ำมารวมได้จริงๆ
    มันไม่ใช่ว่าจะร้อนที่ร่างกายนะครับ มันร้อนถึงตัวจิตครับ..
    ร้อนนี้จะส่งผลให้เราบ้าพลังห้าว และกว่าจะดับตัวจิตไม่ให้ร้อนได้
    ใช้เวลาหลายวันครับ ขนาดใช้งานครั้งเดียวนะครับ..
    และถ้าเราไม่สร้างสติมาก่อน หรือละกิเลสมาในระดับหนึ่ง หรือเคยสร้าง
    บารมีมาก่อนบ้าง และไม่รู้จักการถ่ายเทพลังงานตกค้างๆต่างๆทุกๆกรณี
    ก็จะทำให้เราอายุสั้น ตายเร็ว อย่างพวกที่นั่งสมาธิเด้งๆได้ หาคนอายุ
    เกิน ๔๐ ปีนับได้เลยครับ และคนที่ไม่รู้จักการถ่ายเทพลังงาน
    สังเกตุคนที่เป็นร่างทรงผีดูซิครับ ไม่กระดูกนิ้วมือ นิ้วเท้าบวม
    ก็เป็นมะเร็ง เป็นโรคที่สารพัดที่ทำให้ตายทั้งนั้นหละครับ..
    เพราะฉนั้นถ้าจิตเรามันพลิกขึ้นมาโหมดวิญญานธาตุได้
    เราจะไม่เกิดตรงนี้ นี้คือประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับตัวเราได้..
    ไม่ใช่ว่าจะมาแนะมาบอกว่า ทำได้แล้วจะเป็นอมตะหรือไม่ตาย
    มันคนระเรื่องคนและประเด็นครับ..และถ้าปฏิเสธเรื่องการถ่ายเทแล้ว
    บอกว่าเป็นโรคแล้วป่วยก็ทานยาและปฏิเสธเรื่องการถ่ายเทพลังงาน
    แทนที่จะนำพลังงานพวกนี้มาช่วยเพื่อปรับสมดุลย์ร่างกายตนเอง
    ในโหมดวิญญานธาตุ เพื่อให้ร่างกายปรับสมดุลย์ของมัน
    เองตามสภาพที่ควรจะเป็นในปัจจุบัน ไม่ใช่สร้างขึ้นมาใหม่นะครับ
    นั้นมันผู้สำเร็จระดับจิตธาตุ..และเด่วซักพักก็จะได้
    ตายจริงๆก่อนไว้อันควรครับ ไม่สังเกตุหรือครับว่าโรคบ้างโรค
    ต่อให้ทานยาเท่าไรหมดเงินไปเท่าไรมันก็ไม่หายครับ..
    เพราะพวกนี้มันเป็นพลังงานสะสมและมันตกค้างได้
    มันเป็นเรื่องการรับรู้ได้ถึงพลังงาน ทั้งที่สร้างจากภายในตนเอง
    ที่มันมีผลมาจากอดีตก็มี เราสร้างสะสมให้เกิดขึ้นเองก็มีและพลังงาน
    ที่รับมาจากภายนอกไม่ว่าจะเครื่องใช้ไม่สอยต่างๆ ที่มีคลื่นต่างๆ
    ซึ่งพลังงานภายนอกมันก็มีของมันอยู่ปกติแล้ว
    ในธรรมชาติของมันเอง ที่เรารับเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
    หรือคาดไม่ถึงนั้นหละครับ...


    บางคนผมเสียดายนะ ไปเล่นเรื่องกสิณได้หลายกองด้วย แต่ดันปฏิเสธ
    เรื่องการถ่ายเทพลังงาน บอกให้เป็นไปตามกฏแห่งกรรม ปล่อยไปตาม
    ธรรมชาติ ก็เป็นกฏแห่งกรรมจริงๆนั้นหละครับที่ปฏิเสธเรื่องนี้
    และก็มีเหตุให้เปลี่ยนภพภูมิก่อนวัยอันควรอย่างน่่าเสียดาย
    แทนที่จะพลิกพลังงานตรงนี้มาใช้ในโหมดวิญญานธาตุ
    รักษาตัวเองก่อนให้ดี เพื่อที่จะรักษาธาตุร่างกายไว้
    ร่างกายที่ดี มันจะรักษาจิตเราไว้ ให้สร้างประโยชน์
    ในอนาคตต่อบุคคลอื่นๆได้มากมายไม่รู้ตั้งเท่าไรครับ..
    แต่อย่างว่าหละครับ พูดมากก็ไม่ได้ เค้าก็ว่าเค้าเก่งหละ..
    บอกเค้าตอนนั้นเราก็โดนด่าอีก..
    เราก็เลยต้องอุเบกขาไว้ครับ...และยิ่งไปบอกหลังจากเค้าตายไปแล้ว
    เด่วจะโดนสาวกเค้าตามมาด่าเราอีก..พูดแล้วก็ปลง..
    อย่าลืมว่าสุดท้ายทุกคนก็ต้องตาย..แต่ไม่ใช่ต้องมาตายเพราะการที่เรา
    ไปสร้างเหตุให้ตายก่อนวัยอันควรอย่างที่เราคาดไม่ถึงพอเข้าใจนะครับ..


    แม้แต่ตัวเองถ้าไม่ได้ข้างบนมาช่วยเรื่องถ่ายเทพลังงานป่านนี้คง
    ตายไปแล้ว ประสบการณ์ตรงนี้โดนเกือบสองปี แต่เอามาเขียนให้
    คุณอ่าน มาแนะนำคุณ แค่เพียงไม่กี่นาทีเองคุณก็เข้าใจหลักการ
    แล้วครับ.พอคุณไปลองๆทำก็เริ่มสังเกตุได้ เข้าใจได้ เห็นผลได้
    เพราะฉนั้นก็ไม่ต้องไปกังวล ไปห่วงอะไรมาก เราไปของเรา
    เรื่อยๆ รู้จักปล่อยวางในสภาวะลืมตาปกติให้เป็นก็พอ รู้จักเคลียร์พลังงาน
    ส่วนเกินต่างๆ ทั้งจากภายนอกที่เราไปรับมาอย่างไม่ตั้งใจเช่น
    เราไปรู้ว่าคนนั้นคนนี้เค้าเป็นโน้นเป็นนี้ พอเราไปเชื่อม ไอ้ที่เป็นโน้น
    เป็นนี้จากเค้าก็จะตามติดมาเป็นที่เราทันทีไม่ว่าเรื่องอะไร..เพราะฉนั้น
    การฝึกให้จิตมีกำลังจิตใช้งาน เพื่อนำมาหนุนเรื่องการปล่อยวาง
    เรื่องการคลายมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญอย่าเห็นว่าเล็กๆน้อยๆครับ..
    เพราะถ้ากำลังจิตเราดี กิเลสเรื่องอื่นๆมันก็ทำให้เราตัดได้ง่าย
    วางได้ง่ายด้วยไงครับ เรียกว่ามันก็มีผลดีในหลายๆส่วน..
    ปล.พอเข้าใจเนาะ...
     
  17. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    แสดงว่าดิฉันคิดถูกที่ถาม 55555
    ส่วนเรื่องอื่นๆๆ บลาๆๆๆไปค่ะ คงจะไปให้ใครอะไร ทำไม เป็นไปได้ ก็เอามาดูแล้วก็ย้อนมาสอนตัวเองค่ะ ถ้ามันบรรลุธรรมกันได้ง่ายๆ ป่านนี้... เอ้อ... อออ

    แต่ดิฉันต้องนับ 1 ในกองกสิณใหม่เสียแล้วสิ 5555555
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อืมๆๆๆ คิดถูกแล้วที่ถามครับ แต่ว่าจะปฏิบัติถูกหรือเปล่าอ่านก่อนนะครับ...
    มีอย่างหนึ่งครับ ถ้าจิตเรามันข้ามขึ้นไปโหมดวิญญานธาตุแล้ว..
    หมายถึงเห็นเส้นสายอย่างหนึ่ง หรือ เห็นสีได้อย่างหนึ่ง
    หรือเห็นได้ทั้งเส้นสายและสี ได้ด้วยตาเปล่าในสภาวะลืมตาปกติ
    และถ่ายเทพลังงานได้แล้ว..ปรับธาตุรักษาอาการตัวเองได้แล้ว.
    ..ไม่จำเป็นต้องมาฝึกกสิณอีกแล้วนะครับ..
    ถ้าเป็นส่วนตัวจะบอกว่าไม่ต้องฝึกอีกครับ..

    ให้เน้นการปล่อยวางในชีวิตทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน
    ให้ได้มากที่สุดแทนนะครับ.ไม่งั้นตัวเราอาจจะกลายพันธ์ได้ครับ.
    และถ้าตัวจิตเรามันมีเนื้อหาในเรื่องกสิณมาก่อน
    เด่วมันจะขึ้นมาให้เราสัมผัสได้เอง ตามแต่ระยะเวลา ที่เราสามารถ
    ปล่อยวางได้นานที่สุดในชีวิตประจำวัน แต่อย่าใจร้อนนะครับ
    เพราะมันจะค่อยเป็นค่อยไปครับ..และพลังงานต่างๆที่ได้
    แม้ว่าเราจะยังไม่เกิดกำลังจิตอะไรชัดเจน.แต่มันจะค่อยๆพัฒนาได้เอง
    และโหมดวิญญานธาตุเราจะไปได้ในเรื่องของบารมี
    ในส่วนของการอุทิศส่วนกุศลให้ทุกๆภาคส่วนโดยไม่มีการ
    แยกแยะอะไรทั้งนั้นรวมทั้งการรู้จักอโหสิกรรม

    คือพลังงาน กำลังจิตพวกนี้ต่อไปเราจะได้จากการเชื่อม
    ตรงจากครูบาร์อาจารย์ข้างบนแทนในช่วงแรกๆ
    จนกระทั่งจิตเราจะไวกว่าเสี้ยววินาทีเสมือนกับ
    ว่าตัวเราเนี่ยเชื่อมกับครูบาร์อาจารย์อยู่ตลอดเวลา
    จึงเสมือนว่าเราจะมีภูมิป้องกันภายนอกต่างๆ
    ตลอดจนกระทั่งความคิดอะไรต่างๆที่ดีโดยอัตโนมัติครับ
    ส่วนภูมิป้องกันเราจะระดับไหน ขึ้นอยู่ตัวการกระทำตัว
    ของเราด้วยครับ.เช่น ถ้าศีล ๕ เรามั่นคงมานานอย่างน้อย
    เรามีเพื่อนเป็นเทวดาแน่นอนคือเค้าคบเราเป็นเพื่อนแน่ๆ..
    ถ้าเราดีได้มากกว่านี้ เค้าก็จะให้ความเครารพและช่วยเหลือ
    เราได้ในหลายๆเรื่องที่มีประโยชน์ครับ.ฯลฯ.

    ไม่งั้นถ้าย้อนกลับมาฝึกแล้ว ตัวจิตมันจะไปตั้งท่าที่จะเอา
    กำลังจิตให้ได้ หรือแม้แต่เราฝึกได้มันก็จะตั้งที่จะใช้งานตลอด
    เป็นเหตุทำให้ตัวจิตเรามันไม่คลายครับ..

    เพราะฉนั้นถ้าขึ้นวิญญานธาตุแล้ว ให้มันเป็นไปจนกระทั่งเราเชื่อม
    ได้ทั้งตัวและกระแสที่เชื่อมมันใสและให้การเชื่อมสามารถเกิดได้
    ก่อนที่เราจะคิดได้..หลังจากนั้นก็ให้ปล่อยวางทุกเรื่องระว่างวัน
    ให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ตัวจิตมันเข้าสู่สภาวะโล่งๆ โปร่งๆให้ได้นาน
    ที่สุดในระหว่างวัน เพื่อให้มันกลับคืนสู่เนื้อหาเดิมแท้ของมันให้ได้
    นานที่สุด และไม่ต้องหวังผล หรือตั้งเป้า พอเราเชื่อมได้ปกติแล้ว
    เด่วพลังงานกสิณอะไรก็ตาม เราก็จะทำได้เองและจะมีตัวรู้ได้เอง
    ว่าจะทำอย่างไรครับ..พอเข้าใจนะครับ...

    การจะเข้าสู่ระดับที่เลยโหมดวิญญานธาตุได้นั้น..
    ไม่ใช่การไปสร้างกำลังจิต ตบะ ฌาน ญาณอะไรทั้งนั้นครับ..
    มันขึ้นอยุ่กับความสามารถในการปล่อยวางทุกๆอย่างที่มี
    ให้จิตเรามันโล่ง โปร่ง คลาย ด้วยการอุทิศส่วนกุศลการอโหสิกรรม
    เพื่อให้จิตมันอะไรมีอะไรพวกนี้มายึดและมันกลับสู่เนื้อหาเดิม
    ตามธรรมชาติของมันได้นานที่สุดเท่าไรในระหว่างวันครับ...

    ปล.อ่านนัยยะที่ผมเขียนให้อ่านดีๆนะครับ มันมีอะไรมากกว่านี้อยู่
    ครับแต่เอาประมาณนี้ให้ได้ ก็จะเริ่มเข้าสู่โหมด
    พลังงานแบบอัตโนมัติแบบดำริใช้งานได้ครับ
     
  19. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    อ่านแล้ว มีหลายฟังก์ชัน กับอีกหลายโหมด...ต้องอ่านหลายรอบเลยครับ...
    โดยเฉพาะโหมดวิญญาณ ยังงงๆ...

    ขอเอาเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดไปอาทิตย์ที่แล้ว มาเล่าสู่กันฟังครับ เผื่อว่าคุณนพฯจะช่วยวิเคราะห์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นอย่างไรบ้าง อาจจะทำให้ผมหายงงได้นิดนึง...

    อาทิตย์ที่แล้วเกิดอาการอาหารเป็นพิษ ถ่ายไปหลายรอบ อาเจียนไปกว่าสิบรอบ ระหว่างที่อาเจียนอยู่ก็ยังอุตส่าห์เชื่อมกระแสพลังไปข้างบน
    แต่เนื่องจากอยู่ในอาการก้มหน้า กระแสการเชื่อมพลังไปข้างบนจึงออกจากข้างหลัง ฝั่งตรงข้ามกับกลางอก พุ่งออกไปเป็นลำขนาดสักเท่าถังน้ำ แต่พอพุ่งไปได้สัก 2 เมตรก็หมดกำลังไปอย่างนั้นครับ เพราะสภาพร่างกายมันเหมือนใจจะขาดรอนๆ...

    ร่างกายอ่อนแรงหายใจไม่ค่อยไหวเสียแล้ว แต่ว่าก็ยังฝึกอยู่ตลอดเวลา สังเกตตัวเองอยู่นะครับ ไม่ได้ว่างเว้น เผื่อว่าตายขึ้นมาจริงๆ จะได้ไม่เสียทีที่เกิดมากะเขา...

    ลองเชื่อมต่อพลังออกไปอีก2-3ครั้ง ไปได้สัก2เมตรก็ดับไปอีก เหมือนร่างกายจะไม่ไหวแล้ว แต่เมื่อตัดกายไปแล้วกระแสจิตจะไปถึงครูบาอาจารย์ข้างบนได้เลยทันที เพียงแต่จะมองไม่เห็นเส้นสายพลังงานต่างๆที่จะเชื่อมจากร่างกายมายังครูบาอาจารย์อีก มันมีเพียงจิตหนึ่ง จิตเดียวที่อยู่กับครูบาอาจารย์ สภาพโล่งๆ เบาๆ ไม่มีอะไร

    อ้อ..สุดท้ายนี้ก็ยังไม่ตายครับ ยังมานั่งพิมพ์เหยงๆอยู่นี่ได้ เพียงแต่ว่ามันแยกแยะไม่ได้ว่าเป็นโหมดไหน อะไร ยังไง น่ะครับ...ได้แต่เดาเอาเองว่า พลังเรานี่เสื่อมเวลาร่างกายมันใช้การไม่ได้หรือเปล่า? หรือว่าฝึกมายังไม่พอ?
    ..........................................................

    เรื่องถ่ายเทพลังงานนั้น ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ครับ เพียงแต่ว่าที่ผ่านๆมา จะอาศัยยืนเท้าเปล่าบนพื้นดินพื้นหญ้า แล้วดึงพลังจากธรรมชาติทั้งหมดผ่านผิวหนังและฝ่าเท้าฝ่ามือ เข้ามาในร่างกาย ในจังหวะหายใจเข้า เวลาหายใจออกจะปล่อยเป็นพลังงานที่เสีย จากเซลต่างๆภายในร่างกาย ความร้อนในกาย ในใจ(อารมณ์ที่ตกค้างในจิต) ออกไปทางลมหายใจด้วย ทางฝ่ามือ ฝ่าเท้าด้วย แต่ที่มือมักจะออกทางง่ามนิ้วนะครับ

    พลังงานเสียๆนี่ออกทางตา ทางหู ทางจมูก ง่ามมือ ฝ่าเท้าเป็นส่วนใหญ่ ออกทางผิวหนังเป็นส่วนน้อย แต่พลังงานที่ดี จะเข้าทางผิวหนังทั่วตัว ฝ่ามือและฝ่าเท้าเป็นส่วนใหญ่ครับ ซึ่งไม่รู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องการถ่ายเทพลังอย่างที่คุณนพฯเล่ามาหรือเปล่า...
    เวลาทำก็ลืมตา เจริญสติ สัมปชัญญะ และทรงสมาธิเอาไว้ด้วย ผมทำอยู่แค่นี้เองครับ ไม่ทราบว่าผิดถูกยังไงบ้างครับ?
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตอบ เรื่องเข้าและออกพลังงานตามที่เล่าไปแล้วครับ....
    กิริยาตอนทำก็ดีแล้วครับ..ขอเพิ่มนิดเดียวก็คือว่า พอทำเสร็จแล้ว
    ให้วาง สติ วางสมาธิด้วยครับ.เพื่อให้มันดับเป็นจบเป็นตอนนั้นครับ
    .ไม่งั้นเด่วมันจะตั้งต้นคอยที่จะทำ
    เรื่อยๆครับเด่วพอมีการรับพลังงานเด่วมันจะคอยถ่ายอยู่อย่างนั้น
    มันจะกลายเป็นว่าเราไปแช่อยู่ตลอด จิตเราจะไม่คลายตัว ไม่โปร่ง ไม่โล่ง
    ไม่กลับคืนเนื้อหาเดิม เพราะมีตัว สติ ตัวสัมปฯ ตัวสมาธิ มันคอย
    คลอบคลุมเอาไว้อย่างที่เราคาดไม่ถึงครับ...เด่วพอจะใช้งาน
    เราค่อยดำริขึ้นมาใช้งานครับ ใช้แล้วก็แล้วไป
    มันจะไหลรื่นกว่าครับ และเป็นอัตโนมัติกว่า
    และมันจะเป็นไปเองได้ของมันเองพอถึงเวลาจะปรับธาตุ
    ซึ่งมันจะเร็วกว่าที่เราจะคิดด้วยครับ.. ถ้าเราวาง
    มันได้ในเวลาปกติก่อนนะครับ.อืมๆตรงนี้ ป๋า อาจจะทำได้แล้ว
    ในบางครั้งแบบไม่รู้ตัวมาก่อน..
    แต่ก็ขอเขียนเอาไว้ก่อนกันลืมนะครับ...
    โดยรวมไม่น่ามีปัญหาอะไรนะครับ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...