อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ปู ท่าพระ, 26 ธันวาคม 2013.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,528
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC05930.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC05930.jpg" border="0" alt=" photo DSC05930.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC05935.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC05935.jpg" border="0" alt=" photo DSC05935.jpg"/></a>
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,528
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC05860.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC05860.jpg" border="0" alt=" photo DSC05860.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC05865.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC05865.jpg" border="0" alt=" photo DSC05865.jpg"/></a>
     
  3. sellcat

    sellcat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +6,706
    เตารีดรุ่นแรก ลพ.เกษม ตอกโค้ตหนู ปี 36
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  4. jamitcom

    jamitcom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2013
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ทักทายยามค่ำครับ วันนี้ฝนปรอยอากาศเริ่มเย็นสบายขึ้นมาหน่อย

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xNyOG7FuEJ9FkeSZ" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/e44/5QpB8q.jpg" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xNyOIXuWViyggZfl" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/438/KC7g7a.jpg" /></a>
     
  5. porpek

    porpek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +4,273
    เห็นคุณ MrCHAN และ คุณddd445 มากระทู้นี้เลยขอตามมาด้วยนะครับ คุณ ปู ท่าพระ
    เสือหลวงพ่อนก วัดสังกะสี จ.สมุทรปราการ
    นิยม มียันต์องค์พระ ๑ องค์ (ยันต์ตุ๊กตา) แกะจากเขี้ยวหมี

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    หลวงพ่อนก วัดสังกะสี จ.สมุทรปราการ

    หลวงพ่อนก วัดสังกะสี ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๙๒ ปีระกา
    ตรงกับ วันเสาร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๒ บ้านเกิดอยู่ที่ตำลงบางกระเจ้า อำเภอนครเขื่อนขันธ์
    (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอพระประแดง) จังหวัดสมุทรปราการ
    พ่อของท่านชื่อ นายนวล
    แม่ชื่อนางเคลือบ แม่ของท่านเป็นคนบางบ่อ จ.สมุทรปราการ

    เมื่อตอนท่านยังเด็ก พ่อและแม่ได้นำท่านไปฝากเรียนหนังสือที่วัดกับพระอธิการโต วัดบางบ่อ
    เมื่ออายุครบ ๑๕ ปี พ่อและแม่ของท่านได้พาท่านไปบรรพชาบวชเป็นสามเณร
    ณ วัดกองแก้ว ตำบลบางยอ อำเภอนครเขื่อนขันธ์ จังหวัดสมุทรปราการ
    ซึ่งเป็นบ้านเกิดของนายนวล โดยมี พระครูวิบูลย์ธรรมคุต เป็นพระอุปัชฌาย์
    ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัย หนังสือขอม หนังสือไทย จนอายุครบบวช ในขณะนั้นนายนวลพ่อของท่านได้เสียชีวิตลงแล้ว

    แม่ของท่านจึงได้พาท่านไปบวชพระที่บ้านคลองด่าน ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดบางเหี้ย
    ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดมงคลโคธาวาส ตำบลคลองด่าน อำเภอบางเหี้ย ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็นบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ
    โดยมีพระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ หรือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระอาจารย์ทอง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เรือน (วัดบางเหี้ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ท่านได้รับฉายาว่า “ธมฺมโชติ”

    เมื่อบวชเป็นพระแล้ว ท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัย สมถะวิปัสสนากรรมฐาน และพระเวทวิทยาคมต่างๆ
    จากหลวงพ่อปาน ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ด้วยความที่ท่านเป็นคนที่มีสติปัญญาดี มีไหวพริบไวเฉลียวฉลาด
    และมีความจำที่แม่นยำ ท่านจึงศึกษาเล่าเรียนความรู้และวิทยาคมต่างๆ จนแตกฉาน

    หลวงพ่อนก ท่านได้ติดตามหลวงพ่อปาน ออกธุดงค์ไปด้วยเป็นประจำ
    หลวงพ่อปานท่านได้สอนวิธีทำเขี้ยวเสือให้กับหลวงพ่อนก จนมีความชำนาญยิ่งและได้รับคำชมเชยจากหลวงพ่อปานว่า
    ทำได้ขลังและเหมือนท่านมากจริงๆ บางทีหลวงพ่อปานท่านก็ให้หลวงพ่อนก ท่านจารอักขระเขี้ยวเสือให้ด้วย
    หลวงพ่อปานท่านไว้วางใจหลวงพ่อนกเป็นอย่างมาก ยกย่องให้หลวงพ่อนกเป็นศิษย์เอกของท่านเลยทีเดียว

    หลวงพ่อนกท่านสามารถปลุกเสกเขี้ยวเสือให้กระโดดออกมาจากบาตรได้ และเรียกกลับมาได้
    คือลูกศิษย์หลวงพ่อปานหลายท่าน สามารถเสกเสือกระโดดออกจากบาตรได้ แต่ไม่สามารถเรียกให้กลับมาได้จึงไม่มีวาสนาทำเสือ


    ดังนั้นเขี้ยวแกะเสือหลวงพ่อนกจึงได้มีชื่อเสียงเลื่องลือและมีประสบการณ์เป็นอย่างมาก
    โดยหลวงพ่อนก จะจัดทำด้วยเขี้ยวหมีเป็นส่วนมาก มีเขี้ยวเสือบ้างแต่น้อย และจะจารยันต์ไม่เหมือนหลวงพ่อปานอาจารย์ท่าน
    เสือหลวงพ่อนก ถ้ามียันต์องค์พระ(หรือยันต์ตุ๊กตา) จะได้รับความนิยมกว่าไม่มียันต์องค์พระ


    จนมาวันหนึ่งท่านได้เดินธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่หมู่บ้านคลองพระยานาคราช ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ
    ได้มีขุนสำแดงเดชา ภรรยานามว่า นางนุ่ม ได้มีจิตศรัทธาถวายที่ดินให้สร้างวัด แล้วนิมนต์หลวงพ่อนกให้อยู่ดูแลวัดสังกะสี
    ซึ่งท่านเมื่อได้ปรึกษาหลวงพ่อปานแล้ว ก็ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดสังกะสีให้ตามคำอ้อนวอนของญาติโยม

    (มีเรื่องเล่าว่าตอนธุดงค์ได้พบกับหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก และทดสอบวิชากัน
    ต่างฝ่ายต่างเท่ากันเลยนับถือกันเป็นสหธรรมิก และแลกเปลี่ยนวิชากัน)

    และหลวงพ่อนกได้มาทะนุบำรุงวัดให้เจริญรุ่งเรือง ในปี พ.ศ.๒๔๓๐
    จนถึงวันที่มรณะภาพในวันพุธที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๕ ตรงกับแรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีวอก สิริรวมอายุได้ ๘๓ ปี
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,829
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    พระครูวิเวกวัฒนาทร (หลวงพ่อบุญเพ็ง กัปปโก)

    เจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรม ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
    พระนักปฏิบัติ ผู้มีศีลาจารวัตรที่งดงาม เป็นเนื้อนาบุญของชาวพุทธ ที่ควรแก่การสักการบูชา

    หลวงพ่อท่านมีนามก่อนอุปสมบทว่า บุญเพ็ง เหล่าหงษา ท่านถือกำเนิดจากโยมบิดาคือนายเอี่ยม โยมมารดาคือนางคง ในวันมาฆบูชา ปีมะโรง จ.ศ.๑๒๙๐ ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๗๑ ที่บ้านบัวบาน ตำบลกู่ทอง อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม มีพี่น้องร่วมท้อง ๗ คน เป็นชาย ๕ คน หญิง ๒ คน ได้แก่

    ๑. นางแถว

    ๒. พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม)

    ๓. นางสาย

    ๔. นายเลียบ

    ๕. นายเลี่ยม

    ๖. นายสำเริง และ

    ๗. พระอาจารย์บุญเพ็ง กัปปโก เป็นลูกหล้า คือ บุตรคนสุดท้อง

    ปัจจุบันพี่ของท่านมรณภาพ และเสียชีวิตหมดแล้ว

    ครอบครัวของหลวงพ่อมีอาชีพทำไร่ทำนาตามสภาพของคนในชนบท มีฐานะพอมีอันจะกินตระกูลหนึ่งในหมู่บ้านบัวบาน

    หลวงพ่อมีโอกาสศึกษาถึงชั้นประถมปีที่ ๔ ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยควบคุมดูแล การหลบลูกระเบิดสมัยสงครามอินโดจีน เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ตั้งแต่ท่านเป็นนักเรียนชั้นประถมปีที่ ๔ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้ที่มีความฉลาดเฉลียว และมั่นใจในตนเองมาตั้งแต่เด็ก

    ในการประกอบสัมมาชีพของท่านในแต่ละวัน ท่านก็ยังคิดเมตตาสงสารวัวควายที่ท่านใช้งาน และคิดสลดสังเวชการวนเวียนดำเนินชีวิตของผู้คนรอบข้างที่ทุกข์ยาก สู้ภัยธรรมชาติปีแล้วปีเล่า แม้ว่าหลวงพ่อท่านอยากจะบวช แต่ก็ต้องรับผิดชอบในการทำงานแทนบรรดาพี่ชายซึ่งบวชกันไปหมด จนกระทั่งท่านมีอายุได้ ๒๑ ปี จึงได้มีโอกาสบวช

    ก่อนออกบวชท่านก็ได้ทดแทนคุณบิดามารดา ด้วยการสร้างบ้านให้บิดามารดาและพี่น้องด้วยตัวท่านเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่หาไม้จนกระทั่งสำเร็จเป็นบ้านอยู่อาศัยได้

    มูลเหตุที่หลวงพ่อท่านมีความตั้งใจอยากจะบวชเป็นพระแทนการสร้างครอบครัวเฉกเช่นชาวบ้านอื่น ก็คงเป็นเพราะท่านเกิดมาในตระกูลที่ฝักใฝ่ในทางศีลธรรม ประกอบกับพี่ชายของท่านคือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) ก็ได้บรรพชาตั้งแต่หลวงพ่อท่านยังเป็นเด็ก จนได้เป็นพระกรรมฐานผู้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธบริษัทอย่างกว้างขวาง

    หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๑ หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม แม่ทัพธรรม พร้อมด้วยศิษยานุศิษย์หลายรูปได้เดินทางมาจากจังหวัดอุบลราชธานี มาธุดงค์กรรมฐานที่โคกเหล่างา (วัดป่าวิเวกธรรมในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นป่ารก เป็นป่าช้าผีดุ แล้วก็มีหลวงปู่เทสก์ หลวงปู่อ่อน หลวงปู่ภูมี หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่กงมา หลวงปู่คำดี ฯลฯ มาอยู่รับการอบรมธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่สิงห์

    พอออกพรรษาเข้าหน้าแล้ง บรรดาท่านเหล่านี้ก็พากันไปแสวงหาที่วิเวกภาวนา โดย หลวงปู่เทสก์ ก็ได้ไปแสวงหาที่วิเวกกรรมฐานทางทิศตะวันออกของเมืองขอนแก่น คือไปทางจังหวัดมหาสารคาม ท่านได้ไปพักอยู่ที่ป่าช้าหัวหนองตอกแป้น บ้านบัวบาน อำเภอเชียงยืน และได้อบรมหลักการปฏิบัติธรรมแก่ญาติโยมบ้านบัวบาน รวมทั้งโยมบิดา มารดา ของหลวงพ่อท่านด้วย

    โยมบิดา มารดาของหลวงพ่อมีความเลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่เทสก์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้มอบบุตรชายคนโตคือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) เป็นลูกศิษย์ติดตามหลวงปู่เทสก์ไปธุดงค์กรรมฐานตามสถานที่ต่าง ๆ จนกระทั่งได้อุปสมบท และ ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ภูมี วัดคีรีวัลย์ อำเภอท่าช้าง จังหวัดนครราชสีมา จนเกิดความมั่นใจในความรู้ความเข้าใจในธรรมะคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็นึกถึงญาติพี่น้องทางบ้าน จึงกลับมานำญาติพี่น้องบวช และได้มาจำพรรษาที่วัดเทพนิมิต บ้านบัวบาน ในปี ๒๔๘๕ เพื่อโปรดโยมบิดามารดาและญาติพี่น้อง

    ในขณะนั้นหลวงพ่อท่านมีอายุประมาณ ๑๔-๑๕ ปี จึงต้องรับภาระการประกอบอาชีพดูแลครอบครัวแทนบรรดาพี่ๆ ที่ออกบวชไป นี้จึงเป็นเหตุให้ท่านไม่เคยมีโอกาสบรรพชาเป็นสามเณร

    ในการประกอบอาชีพ หลวงพ่อท่านก็สามารถทำได้ดีกว่าชาวบ้านทั่วไป ท่านรู้จักประกอบอาชีพหารายได้นอกฤดูทำนา จนมีเงินทองมาจุนเจือครอบครัวอีกส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ หลวงพ่อยังมีพรสวรรค์ในการรักษาโรคโดยวิธีการพื้นบ้าน ตามที่โยมบิดาท่านสอนให้ เช่น รักษาตาต้อ คางทูม ฯลฯ เป็นเหตุให้ท่านสอนให้พวกลูกศิษย์ใช้คาถาและพลังจิตรักษาโรคมาจนกระทั่งปัจจุบัน ท่านบอกว่า เอาไว้ช่วยตนเองและสงเคราะห์คนอื่น ยามที่ไม่อาจรับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันได้

    หลวงพ่อท่านอุปสมบทในวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๙๒ ที่วัดศรีจันทร ์(ธรรมยุต) จังหวัดขอนแก่น โดยมี พระพิศาลสารคุณ เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูคัมภีรนิเทศ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาสุพจน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายา "กัปปโก" ซึ่งแปลว่า "ผู้สำเร็จ"

    เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาที่วัดเทพนิมิต บ้านบัวบาน เป็นเวลา ๒ ปี ในระหว่างนั้น โยมบิดาได้ป่วย และเสียชีวิต ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๓

    หลังจากจัดการฌาปนกิจศพโยมบิดาเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อจึงได้เดินทางมาศึกษาปริยัติธรรม และพำนักยังวัดสุทธจินดา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จนถึงเดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๙๔ โยมมารดาเสียชีวิต ท่านจึงเดินทางกลับมายังวัดป่าวิเวกธรรม เพื่อจัดการงานศพของโยมมารดา และท่านก็ไม่กลับไปศึกษาปริยัติธรรมอีก ขณะนั้นท่านได้วิทยฐานะเป็น นักธรรมโท

    ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๕ พระพี่ชายคือ พระครูศีลสารวิมล ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรม หรือวัดเหล่างา หลวงพ่อท่านจึงจำพรรษาที่วัดเทพนิมิต บ้านบัวบานเพียงองค์เดียว เป็นเวลา ๕ ปี ต่อมาจึงได้ติดตามพระพี่ชายมาจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม เมื่อปี พุทธศักราช ๒๔๙๙

    ระหว่างนั้นหลวงพ่อได้เดินทางไปธุดงค์ตามสถานที่ต่าง ๆ โดยไปทางโคราช และอรัญญประเทศ จนกระทั่งข้ามไปยังประเทศกัมพูชา

    ระหว่างทางท่านก็ได้ผจญกับสัตว์ร้ายและโรคภัยสารพัด และยังได้มีโอกาสช่วยเหลือรักษาโรคภัยให้แก่ชาวบ้าน

    หลวงพ่อเล่าว่าการเดินธุดงค์ส่วนมากใช้เท้าเปล่าและเอารองเท้าพาดบ่า เพราะรองเท้าตัดจากหนังควายแห้งใส่แล้วกัดเท้าเจ็บ แต่ถ้าเข้าป่ามีหนามจึงนำออกมาสวม
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

    จนกระทั่ง ปีพุทธศักราช ๒๕๐๒ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ซึ่งขณะนั้น ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสันติธรรม ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้เดินทางมายังจังหวัดขอนแก่นและแวะเยี่ยมพระครูศีลสารวิมล หลวงพ่อจึงได้มีโอกาสฟังธรรมจากหลวงปู่สิม เป็นเหตุให้ท่านมีโอกาสเข้าใจในเรื่องการภาวนาที่ลึกซึ้งมากขึ้น และหลวงปู่สิมได้ชวนหลวงพ่อให้ไปอยู่เชียงใหม่ด้วยกัน หลังจากหลวงปู่สิมเดินทางกลับไปแล้ว หลวงพ่อจึงตัดสินใจเดินทางติดตามไปโดยลำพัง หลวงพ่อเล่าว่าท่านขึ้นรถไฟเข้ากรุงเทพฯ ไปแวะพักค้างคืนที่วัดบรมนิวาส เชิงสะพานกษัตริย์ศึก แล้วนั่งรถไฟต่อไปถึงเชียงใหม่เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓

    หลวงพ่อได้รับการฝึกหัดอบรมกรรมฐานจากหลวงปู่สิม และได้ติดตามหลวงปู่สิมไปธุดงค์กรรมฐานที่ภูกระดึง จังหวัดเลย ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นป่าที่มีสัตว์ร้ายอยู่มาก แต่หลวงปู่สิมก็นำท่านบุกป่าฝ่าดงไปเพื่อแสวงหาโมกขธรรม โดยอาศัยความสงบของจิตและ "พุทโธ" เป็นเครื่องต่อสู้กับความทุรกันดาร และสัตว์ร้ายนานาชนิด

    ต่อมาหลวงพ่อยังได้มีโอกาสไปศึกษาธรรมะกับ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และได้สั่งสมความรู้ และไหวพริบปฏิภาณในการแก้ไขปัญหาธรรมะจากหลวงปู่ตื้อ รวมทั้งด้านอิทธิวิธีซึ่งหลวงปู่ตื้อท่านมีความเป็นเลิศ ยามว่างหลวงพ่อท่านจะเล่าให้บรรดาสานุศิษย์ฟังถึงความสงบเย็น ความมุ่งมั่น อดทน ความกล้าหาญ เมตตา และเสียสละของหลวงปู่สิม และปฏิภาณ ไหวพริบ อิทธิฤทธิ์ ของหลวงปู่ตื้อ ซึ่งหลวงพ่อท่านรับมาปฏิบัติจนเท่าทุกวันนี้

    หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม

    ในระหว่างนี้เป็นเวลาประมาณ ๔ ปี หลวงพ่อท่านได้ใช้ช่วงเวลาออกพรรษาในฤดูแล้ง ธุดงค์กรรมฐานไปตามป่าเขาในภาคเหนือตอนบน ได้ประสบกับสิ่งลึกลับมหัศจรรย์มากมาย และต้องต่อสู้กับภัยอันตรายนานัปการ ตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ของท่านได้ดำเนินไปก่อนแล้ว และระหว่างธุดงค์กรรมฐานท่านก็ยังได้สั่งสอนอบรมภาวนาให้พระภิกษุที่เดินทางไปด้วยกันอย่างสม่ำเสมอ

    จนถึงปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ หลวงพ่อได้ไปจำพรรษาที่วัดคำหวายยาง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นเวลา ๒ ปี เพื่อไปวิเวกภาวนา เนื่องจากวัดคำหวายยางเป็นวัดที่มีความทุรกันดาร และขึ้นชื่อเรื่องผีดุ ที่วัดนี้หลวงพ่อก็ได้อบรมภาวนาให้ลูกศิษย์หลายคนให้ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และบางคนยังใช้พลังจิตช่วยเหลือผู้คนที่ประสบปัญหาต่าง ๆ มาจนปัจจุบัน

    ในด้านการแสดงพระธรรมเทศนาอบรมพุทธบริษัท หลวงพ่อท่านพัฒนาเทคนิคเฉพาะตัวของท่านตั้งแต่ครั้งบวชใหม่ ๆ ซึ่งยังมีความประหม่าอยู่มาก แต่ก็ต้องเทศน์ตามโอกาสและประเพณีอย่างไรก็ตามจากไหวพริบปฏิภาณของท่าน และจากการฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์ในสมัยนั้น ซึ่งแสดงตามงานต่าง ๆ เกือบทุกคืน นอกจากนี้พระพี่ชาย คือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) ก็เป็นนักเทศน์ที่มีสำนวนโวหารไพเราะ จับใจ ญาติโยมเป็นอันมาก รวมทั้งจากการติดตามรับฟังการแสดงธรรม และการแก้ปัญหาธรรมะของครูบาอาจารย์ มี หลวงปู่สิม และหลวงปู่ตื้อ เป็นอาทิ ทำให้หลวงพ่อท่านมีความเป็นเลิศในการเป็นนักเทศน์ อีกประการหนึ่ง

    ในปี พุทธศักราช ๒๕๐๘ หลวงพ่อได้มีโอกาสไปร่วมงานศพพระเถระที่จังหวัดสงขลา และได้รับนิมนต์ขึ้นเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ทั้งที่อาพาธด้วยไข้หวัด แต่กระนั้นท่านก็เทศน์ได้ดีจนกระทั้งหลวงปู่สิม ซึ่งเป็นพระอาจารย์กรรมฐานของท่านเองออกปากชมว่าเทศน์ดี ญาติโยมจากวัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งไปร่วมงานในครั้งนั้นเกิดความประทับใจในปฏิภาณของท่านยิ่งนัก จึงกราบอาราธนาท่านไปจำพรรษาที่วัดอโศการามตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๐๙ ในระหว่างพรรษาท่านได้แสดงพระธรรมเทศนาอบรมพุทธบริษัทอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งท่านแสดงธรรมวันละ ๓ รอบ รอบละเกือบ ๒ ชั่วโมง เนื้อหาเผ็ดร้อน ตรงประเด็นเกี่ยวกับจิตตภาวนาล้วน ๆ ไม่มีจืด ไม่มีซ้ำ ลูกศิษย์รุ่นเก่าที่ได้รับการฝึกอบรมจิตตภาวนาในยุคนั้นยังมีปรากฏให้เห็นมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันหลายท่าน ในขณะนั้นหลวงพ่อท่านยังมีอายุไม่ถึง ๔๐ ปี ด้วยซ้ำไป

    ชื่อเสียงในการเป็นนักเทศน์ของหลวงพ่อขจรขจายมาจนถึงวัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน โดยมีอุบาสก อุบาสิกา นำมาเล่าให้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมมธโร) เจ้าอาวาสในขณะนั้นฟัง เมื่อสมเด็จฯ ท่านซักถามถึงชื่อเสียงก็ทราบว่ารู้จักกันอยู่ก่อน จึงให้พระเถระในวัดพระศรีฯ ไปรับมา แต่หลวงพ่อท่านก็ได้ผัดผ่อนไปก่อนเพื่อที่จะออกธุดงค์ไปวิเวกที่จันทบุรี เมื่อเข้าพรรษาในปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ หลวงพ่อจึงได้มาจำพรรษาที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน และได้อบรมจิตตภาวนาให้แก่ญาติโยมพุทธบริษัททางด้านนี้สลับกับที่วัด อโศการามเป็นเวลาเกือบ ๑๐ พรรษา โดยส่วนใหญ่จะจำพรรษาที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อพูดถึงสองวัดนี้ ท่านจึงพูดว่าเป็นวัดของท่านด้วยความคุ้นเคยอย่างยิ่งกับพระเณรและญาติโยมทั้งหลาย แต่ช่วงหลัง ๆ นี้ท่านเดินทางไปวัดอโศการามน้อยลง เนื่องจากมีปัญหาการจราจรติดขัด เดินทางไปไม่สะดวก ท่านจึงพำนักที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ทุกครั้งที่เดินทางมากรุงเทพฯ โดยในปัจจุบันท่านเจ้าอาวาสได้จัดกุฎิเฉพาะให้ท่านคือ กุฎิ กี ประยูรหงส์ ด้านหน้าศาลากลางน้ำ

    การแสดงพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อที่วัดอโศการามจะแสดงอบรมภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา บนวิหาร พร้อมกัน ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติของวัดอโศการาม จะมีการแสดงธรรมบนวิหารทุกคืน และในวันพระยังมีรอบเช้า และรอบบ่ายสาม แต่ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ตามปกติ สมเด็จฯ จะแสดงธรรมเอง อย่างไรก็ตามบางคราวสมเด็จฯได้นิมนต์ให้หลวงพ่อแสดงธรรมแทน โดยสมเด็จฯ นั่งฟังอยู่ด้วย

    สหธรรมิกของหลวงพ่อที่ติดตามกันไปอยู่ที่วัดพระศรีฯ คือ ท่านพระอาจารย์ไท (ไท ฐานุตตโม) ซึ่งติดตามกันตั้งแต่ครั้งธุดงค์ที่ภาคเหนือ และวัดอโศการามในแต่ละวันจะมีบุคคลต่าง ๆ โดยเฉพาะอาจารย์จากวิทยาลัยครู (สถาบันราชภัฏในปัจจุบัน) ด้านหลังวัดมากราบท่านพระอาจารย์ไท และบางครั้งก็มีการสนทนาธรรมกัน ซึ่งท่านเหล่านี้มีปัญหายาก ๆ มาถามอยู่เสมอ แต่หลวงพ่อท่านก็เอาอยู่ด้วยปฏิภาณอันเลิศของท่าน ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่งคือในปีพุทธศักราช ๒๕๑๑ ซึ่งสหรัฐอเมริกาส่งยานอพอลโล ไปบนดวงจันทร์ อาจารย์ที่สถาบันราชภัฏก็แสดงความกังขาว่าเมื่อเป็นเช่นนั้นแสดงว่าที่พระ พุทธเจ้าบอกว่ามีสวรรค์อยู่ข้างบนก็ไม่จริง เพราะยานอวกาศขึ้นไปบนดวงจันทร์แล้วก็ไม่เห็นมีสรรค์อยู่ข้างบนด้วยปฏิภาณ หลวงพ่อก็ตอบไปว่าถ้าอยากรู้ว่าจริงหรือไม่ก็ให้ลองตายดู อาจารย์ท่านนั้นงง หลวงพ่อจึงอธิบายต่อไปว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยบอกว่าสวรรค์เป็นที่ไปของผู้มีชีวิตอยู่ เมื่อตายไปแล้วต่างหาก ท่านจึงว่าไปสู่สุคติสวรรค์ อาจารย์ท่านนั้นจึงยอมจำนน

    และที่วัดพระศรีมหาธาตุนี้เองที่หลวงพ่อท่านเริ่มอบรมภาวนาให้กับอุบาสก อุบาสิกา กลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งติดตามท่านมาหลังจากการนั่งฟังธรรมบนโบสถ์ ท่านก็ได้ใช้ใต้ถุนกุฏิเป็นที่อบรม ทั้งที่ยุงชุมมาก แต่ผู้อบรมและผู้รับการอบรมก็ไม่ย่อท้อ การอบรมกลุ่มเล็กนี้จะได้ผลดีมากกว่ากลุ่มใหญ่ และท่านเรียกลูกศิษย์รุ่นนั้นของท่านว่า "เหรียญรุ่นแรก" บางท่านก็ได้ติดตามอุปฐากและเป็นลูกศิษย์มาจนปัจจุบัน บางท่านเสียชีวิตไปแล้ว แต่ลูกหลานเหลนก็ยังตามมาเป็นลูกศิษย์อยู่ก็มี เคยมีลูกศิษย์ "เหรียญรุ่นแรก" มากราบหลังจากหายหน้าไปนาน เมื่อหลวงพ่อถามถึงการปฏิบัติจิตว่าเสื่อมหายไปหรือไม่ เพราะติดภาระครอบครัวไม่อาจนั่งภาวนาได้บ่อยครั้งเหมือนแต่ก่อน ลูกศิษย์ท่านนั้นตอบสมกับเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ว่า นามธรรมเสื่อมหายไม่ได้หรอก

    แนวทางการอบรมภาวนากลุ่มเล็กเช่นนี้ หลวงพ่อท่านดำเนินตามรอยพระพุทธเจ้า ท่านว่า ครั้งพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงสั่งสอนลูกศิษย์คราวละไม่กี่คน และให้นั่งภาวนาไปด้วย และก็ฟังเทศน์ไปด้วย ท่านบอกว่า มัวนั่งฟังเทศน์สวดมนต์จนปวดขา แล้วจึงมานั่งภาวนาก็พาลจะนั่งไม่ได้ บางคนเข้ามาถามคำถามเกี่ยวกับการภาวนา ท่านไม่ตอบ แต่ให้นั่งไปเลย และก็ได้เลย เลยไม่ต้องถามอีก ท่านเรียกลูกศิษย์เหล่านี้ว่า "ลูกศิษย์ลอยมา" ซึ่งส่วนใหญ่จะนั่งได้ ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์มา ๒ ปีเศษ ได้รู้จักกับลูกศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่เข้ามาฝึกอบรมกับท่าน สำหรับผู้ที่ตั้งใจจริงจังและไม่เคยไปฝึกภาวนาที่อื่นมาก่อนก็มักจะได้กันทุกคน พวกเราพึ่งตนเองได้ในการปฏิบัติ ส่วนจะก้าวไปไกลเพียงใดหรือทางใดก็แล้วแต่อุปนิสัยของเขาแต่ละคนหลวงพ่อไม่ส่งเสริมให้ลูกศิษย์ "บวชก่อนได้" แม้กระทั่งลูกศิษย์ที่เป็นชาย ถ้าอยากบวชท่านก็จะฝึกหัดภาวนาให้มีพื้นฐานดีก่อนจึงให้บวช ส่วนลูกศิษย์ฝ่ายหญิงซึ่งมีมากกว่าฝ่ายชาย ท่านก็ให้ปฏิบัติภาวนาไปและใช้ชีวิตแบบปุถุชน อีกทั้งยังสอนให้นำหลักธรรมและความสงบซึ่งเป็นผลจากการภาวนาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันอีกด้วย

    ในช่วงจำพรรษาที่วัดอโศการาม และวัดพระศรีมหาธาตุ เมื่อเข้าสู่ช่วงออกพรรษาหลวงพ่อท่านมักจะไปเที่ยวธุดงค์กรรมฐานบริเวณป่าเขาภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคอีสาน จนมีความชำนาญภูมิประเทศของป่าเขาในประเทศไทยแทบทั้งหมด ยกเว้นภาคใต้เท่านั้นที่หลวงพ่อท่านไม่ค่อยได้ไป ดังนั้น เมื่อเดินทางไปตามจังหวัดต่าง ๆ ที่มีฎีกานิมนต์ไปแสดงธรรม แม้จะเป็นวัดที่ท่านไม่คุ้นเคย แต่ท่านมีแผนที่อยู่ในสมองของท่าน จึงไม่ค่อยพลาดเรื่องเส้นทางเดินทาง หลังจากสมเด็จพระมหาธีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) มรณภาพในปีพุทธศักราช ๒๕๑๗ และเสร็จงานศพในราวเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๘ แล้วหลวงพ่อจึงได้เดินทางกลับไปจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม จังหวัดขอนแก่นอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากพระพี่ชายของท่าน (พระครูศีลสารวิมล) อาพาธและลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรม เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ๒๕๑๘ ขณะที่ท่านมีอายุได้ ๔๘ ปี และได้รับแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นที่พระครูวิเวกวัฒนาทร เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๒๔ อายุ ๕๔ ปี

    ดังได้กล่าวถึงในตอนต้นแล้ว วัดป่าวิเวกธรรม เดิมเป็นป่าช้าโคกเหล่างา ในปี พุทธศักราช ๒๔๗๑ หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโมเดินทางจากจังหวัดอุบลราชธานีมาธุดงค์กรรมฐานทีโคกเหล่างา ด้วยเห็นว่าเป็นป่ารกชัฎมีต้นไม้ใหญ่นานาชนิดหนาแน่น มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากทั้งห่างไกลจากบ้านผู้คน ท่านจึงปักกลดบำเพ็ญภาวนา โดยต่อมาเมื่อมีลูกศิษย์ติดตามมาอีกหลายองค์ ท่านจึงได้สร้างเสนาสนะเป็นวัดเหล่างา หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า ในครั้งแรกชาวบ้านบางคนไม่พอใจเพราะหวงสถานที่ถึงขนาดลอบยิงหลวงปู่สิงห์ แต่ยิงไม่ออก

    ตรงข้ามกับวัดป่าวิเวกธรรมหรือวัดเหล่างาเป็นโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ซึ่งจะมีคนไข้จากจังหวัดใกล้เคียงกับจังหวัดขอนแก่นเข้ารับการรักษา เมื่อเสียชีวิตลง ญาติจะไม่สามารถนำศพกลับไปยังบ้านเกิดได้ก็จะนำมาฝังในวัดนี้ บางครั้งศพมีจำนวนมากการฝังก็ไม่เรียบร้อย สุนัขก็จะคุ้ยศพลากเศษอวัยวะออกมา หลวงพ่อเล่าว่าบางครั้งพระลงศาลาฉัน สุนัขก็จะลากอวัยวะศพผ่านไปเป็นที่อุดจาดตา ท่านจึงพยายามรวบรวมปัจจัยจากลูกศิษย์ลูกหาในกรุงเทพฯ ก่อสร้างเมรุเผาศพขึ้นมา ทำให้ปัญหาดังกล่าวลุล่วงไปได้ และบริเวณป่าช้าก็มีการใช้ประโยชน์น้อยลง พอดีกับวิทยาลัยเทคนิคฯ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดขาดสถานที่ที่จะก่อสร้างสนามฟุตบอล จึงมาขอเมตตาหลวงพ่อท่าน ซึ่งหลวงพ่อท่านก็เมตตาด้วยเห็นแก่เยาวชนซึ่งต้องการสถานที่ออกกำลังกาย ท่านบอกดีกว่าให้เข้าไปติดยาเสพติด ดังนั้นในปัจจุบันมุมด้านตะวันออกของวัดมีสนามฟุตบอลอยู่ เด็กที่มาเล่นฟุตบอลส่วนใหญ่คงไม่ทราบว่าข้างใต้นั้นมีซากศพกองอยู่จำนวนมาก !!
    ที่วัดป่าวิเวกธรรม หลวงพ่อก็ยังคงอบรมภาวนาให้แก่พระเณร และบุคคลทั่วไปทุกค่ำคืน ตั้งแต่ ๒ ทุ่มถึง ๓ ทุ่ม และสนทนาตอบปัญหาจนถึงสี่ทุ่มเศษ กุฎิของหลวงพ่อสร้างให้มีห้องโถงสำหรับการนี้โดยเฉพาะ ปัจจุบันแต่ละคืนจะมีคนมานั่งเต็มจนล้น ผิดกับตอนที่ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์ ใหม่ ๆ เมื่อ ๒ ปีก่อน ทุกวันที่ข้าพเจ้าไปฝึกภาวนาจะต้องคอยกังวลว่าวันนี้จะมีเพื่อนไหมหนอ อย่างมากก็ไม่เกิน ๑๐ คน ลูกศิษย์ของท่านมีความหลากหลาย ตั้งแต่ข้าราชการ ชั้นผู้ใหญ่ นักธุรกิจ นักการธนาคาร อาจารย์มหาวิทยาลัย คนทำงานหาเช้ากินค่ำ และคนไม่มีงานทำ มีอายุตั้งแต่ ๑๐ ขวบ ถึง ๗๐ ปี แต่หลวงพ่อให้ความสนใจลูกศิษย์เสมอกัน ใครภาวนาได้ดี และท่านสามารถช่วยให้ดียิ่งขึ้นได้ ท่านก็จะให้ความสนใจเป็นพิเศษและในห้องภาวนา พวกเราไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ มีแต่ผู้ที่ภาวนาเก่ง จะได้รับการยกย่องชมเชย สนใจจากผู้อื่นมากกว่า คนที่ปวดขา เจ็บไข้ได้ป่วยหรือมีปัญหาบางประการ หลวงพ่อก็จะให้คนที่ภาวนาได้และใช้พลังจิตได้ดีช่วยเหลือกัน แต่พวกเราก็หลีกเลี่ยงที่จะไปแสดงภายนอกสถานที่ที่เรารวมตัวกัน หลวงพ่อสอนให้พวกเรารู้จักใช้พลังจิตในการช่วยเหลือผู้อื่นได้ตามกาลโอกาสอันเหมาะสม บางคนอาจบอกว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง พวกเราแต่ละคนโดยเฉพาะพวกที่มีตำแหน่งหน้าที่การงาน และสถานภาพทางสังคมในระดับสูงก็จะอายไม่อยากให้ใครรับทราบ และเกรงว่าจะถูกรบกวนมาก ก็เลยไม่ค่อยยอมใช้ประโยชน์จากพลังจิต แต่ข้าพเจ้ามาไตร่ตรองดูจากการปฏิบัติของตนเอง ที่มีระยะหนึ่งซึ่งการภาวนาเริ่มอยู่ตัว และจิตสามารถใช้งานได้แล้วเมื่อนำมาใช้ในการดูพลังของพระเครื่องก็ดี รักษาโรคก็ดี การกำหนดรู้ในสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบัน อดีต และอนาคตก็ดี ก็เหมือนกับเป็นการฝึกฝนให้จิตมีความชำนาญในการเข้าการออก เพราะสภาวะที่ใช้งานจิตนั้นเป็นการกำหนดลงไปเลย ซึ่งยิ่งทำก็ยิ่งชำนาญ พอมาเดินจิตทางวิปัสสนาจึงเห็นคุณประโยชน์ของการที่หลวงพ่อท่านฝึกให้เรามีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ เพราะทำให้สามารถพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน และรวดเร็ว บางครั้งเมื่อรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ แม้ด้วยอาการปกติไม่ต้องหลับตาก็สามารถกำหนดจิตรู้ความเป็นมาเป็นไปของสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และช่วยแก้ไขได้ทันท่วงที ในการอบรมภาวนาสำหรับฆราวาส หลวงพ่อจะเน้นให้ดำเนินความสงบเพื่อความสุขสบายในความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน บางคนปวดศีรษะเนื่องจากความเครียด หรือไมเกรน บางคนวุ่นวายกับปัญหาเศรษฐกิจ บางคนวุ่นวายกับปัญหาส่วนตัว บางคนประสบปัญหาในการทำงาน บางคนถึงขนาดสติไม่ค่อยจะดี เมื่อมารับการอบรมภาวนาจากท่านปัญหาต่าง ๆ แม้ยังคงอยู่ แต่ด้วยจิตที่ได้รับความสุขสงบเข้าไปแทนที่ ท่านเหล่านั้นก็มีความพร้อมในการต่อสู้ และรับกับสภาพปัญหาได้ ศีรษะที่เคยปวด หนักทึบก็โล่งไปหมด และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ท่านไม่เคยบังคับให้ถือศีล นุ่งขาวห่มขาว หรือควบคุมกริยาความประพฤติต่าง ๆ แต่เมื่อจิตสู่ความสงบแล้ว ท่านเหล่านั้นก็เห็นผลเสียของการดำรงตนนอกกรอบศีลธรรมประเพณี และค่อย ๆ ปรับปรุงตนเองไปทีละน้อย การตำหนิลงโทษผู้อื่นก็ค่อยลดน้อยลงไปเพราะท่านสอนให้ "โอปนยิโก" คือ น้อมเข้าหาตัว เมื่อเห็นกิเลส เห็นผิดของตนเอง เขาก็ค่อยปรับปรุงตนเองให้ถูกต้อง และเมื่อผู้อื่นทำผิดก็คิดได้ว่าเราก็เคยผิดเช่นนี้ ก็เลยให้อภัยกันไปได้ ศีลธรรม-เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็เกิดขึ้นไปโดยอัตโนมัติ เป็นศีลแท้และธรรมแท้ที่เกิดขึ้นในใจ

    ท่านสอนให้พวกเราดำรงความสงบไปก่อน เพราะยังมีภาระในชีวิตประจำวัน มีภาระครอบครัว ท่านมักกล่าวทีเล่นทีจริงอยู่เสมอว่า อย่าให้สำเร็จเร็วนัก เดี๋ยวลูกเต้าก็จะร้องไห้ตามหากัน และท่านยังมุ่งให้พวกเราปฏิบัติอยู่ที่สำนักในใจ อย่าไปเที่ยวค้นหาสำนักตามป่า ตามเขา ตามถ้ำ เพราะถ้าใจสงบไม่ได้แล้ว จะไปยังสถานที่วิเวกเพียงใดก็ไม่เกิดประโยชน์ หนำซ้ำยังจะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เพราะพ่อบ้านแม่บ้านเอาแต่ไปตะลอนตามสำนักต่าง ๆ และทิ้งลูกหรือสามีภรรยาให้มีปัญหาอยู่ที่บ้าน และพอกลับถึงบ้านก็เกิดความรู้สึกว่าดีกว่าผู้อื่นเพราะไปปฏิบัติธรรมมา เลยเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ท่านมักกล่าวทีเล่นทีจริงอยู่เสมอว่า อย่าให้สำเร็จเร็วนัก เดี๋ยวลูกเต้าก็จะร้องไห้ตามหากัน และท่านยังมุ่งให้พวกเราปฏิบัติอยู่ที่สำนักในใจ... เพราะถ้าใจสงบไม่ได้แล้ว จะไปยังสถานที่วิเวกเพียงใดก็ไม่เกิดประโยชน์ หนำซ้ำยังจะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เพราะพ่อบ้านแม่บ้านเอาแต่ไปตะลอนตามสำนักต่าง ๆ และทิ้งลูกหรือสามีภรรยาให้มีปัญหาอยู่ที่บ้าน

    ดังนั้น การอบรมภาวนาฆราวาสโดยทั่วไปท่านจึงให้มาฝึกกับท่านวันละประมาณ ๑ ชั่วโมง เพียงไม่กี่ครั้ง เมื่อเข้าใจแล้วก็นำเทปกลับไปปฏิบัติเองต่อที่บ้าน และนาน ๆ ครั้งก็โทรศัพท์สอบถาม หรือเดินทางมาสอบถามรายงานความก้าวหน้าด้วยตัวเอง ซึ่งหลวงพ่อท่านก็จะเมตตาแก้ไขให้ทุกรายไป นี่คือเหตุที่หลวงพ่อท่านมีโทรศัพท์มือถือติดตัวและเปิดไว้เสมอ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติภาวนาหากแก้ไขไม่ได้ทันท่วงทีก็จะเกิดผลเสียหายได้ บางรายถึงกับเป็นบ้าไปก็มี แต่ลูกศิษย์ที่หลวงพ่อสอนทุกคนไม่เคยปรากฏว่ามีใครเป็นบ้าเพราะการภาวนา เพราะท่านจะสอนดักไว้หมดแล้วความกลัวจึงไม่มี ความสับสนก็ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว และเกิดความมั่นใจในการก้าวเดินต่อไปตามแต่ความพร้อมของแต่ละคนหลวงพ่อสอนว่าอย่าตำหนิกิเลส เพราะมีกิเลสเราจึงได้เกิดเป็นคน อยากทำบุญ อยากได้บุญ อยากรักษาศีล อยากภาวนา อยากพ้นทุกข์ อย่าคิดว่าจะทำลายกิเลสได้ เพราะกิเลสเป็นของประจำโลก ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่ทำลายกิเลส แต่ท่านใช้วิธีหนีหนีโลก หนีกิเลส ดังนั้น คนที่มีกิเลสหนา คนที่ฟุ้งซ่านวุ่นวาย คนที่ไม่มีความรู้ในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจึงมีสิทธิ์เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อได้อย่างเต็มที่ ท่านว่าถ้าไม่มีกิเลสก็ไม่ต้องมาหาท่าน ถ้าไม่วุ่นวาย ไม่ฟุ้งซ่านก็ไม่ต้องมาหาท่าน ถ้ารู้ดีแล้วก็ไม่ต้องมาปฏิบัติให้เสียเวลาอีก นี่คือหลวงพ่อ ผู้ซึ่งไม่เคยปิดกั้นโอกาสในการปฏิบัติธรรมของผู้ใดเลย ท่านยกตัวอย่างพระสาวกในครั้งพุทธกาลว่ามีใครบ้างที่ดีมาก่อนที่จะมาพบพระพุทธเจ้า ส่วนใหญ่ก็มากับกิเลส มากับความวุ่นวาย มากับความรำคาญ มากับโมหะจริต ทั้งสิ้น พวกเราที่เป็นลูกศิษย์ก็ได้แก่ซึมซับเอาแนวทางของหลวงพ่อไปใช้ในชีวิตประจำวัน คือ ให้โอกาสผู้อื่น และเชื่อว่าคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงจากไม่ดีเป็นดีได้
    หลวงพ่อยังสอนให้พวกเรามีเมตตาสงสาร สงเคราะห์ผู้ที่ยากไร้ เวลาท่านรับบิณฑบาตอาหารแห้งและเครื่องอุปโภคบริโภค นอกจากท่านจะให้นำไปทานตามสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ แล้ว ท่านยังให้นำไปสงเคราะห์นักโทษที่เรือนจำอีกด้วย เวลาแม่ค้าขายของไม่ได้ ท่านก็จะเมตตาให้ช่วยซื้อจำนวนมาก เวลานั่งรถไปตามท้องถนนท่านก็จะชี้ให้เห็นความทุกข์ยากของตำรวจซึ่งต้องยืนตากแดดตากฝน และคอยเตือนไม่ให้พวกเราทำผิดกฎจราจร หรือทำผิดแล้วก็ให้ยอมรับผิดและรับการลงโทษเพื่อไม่ให้สร้างปัญหาหนักใจแก่ตำรวจ บางครั้งท่านก็จะแจกวัตถุมงคลให้ตำรวจเป็นกรณีพิเศษ แต่ละวันจะมีคนที่ไม่มีค่าโดยสารรถกลับบ้าน พ่อค้า แม่ขาย เข้ามาขอรับความเมตตาจากท่านจำนวนมาก ซึ่งท่านก็จะให้ความเมตตาอยู่เสมอ การได้อยู่รับใช้หลวงพ่อและได้เน้นความเมตตาของท่านทำให้พวกเราเริ่มมองเห็นและเข้าใจความทุกข์ยากลำบากของผู้อื่น และ "ติดดิน" โดยไม่รู้ตัว การเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ สำหรับหลาย ๆ คนจึงเป็นการเปลี่ยนชีวิตใหม่อย่างสิ้นเชิง...ยังทำให้เราสิ้นสงสัยในคำสรรเสริญองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "โย อิมัง โลกัง สะเทวกัง สะมาระกัง สะพรัมมะกัง สัสสะมะนะ พราหมณิงปะชัง สะเทวมนุสสัง สะยังอภิญญา สัจจิกัตวาปะเวเทสิ...ก็ในเมื่อแม้สงฆ์สาวกที่เกิดขึ้นตามหลังถึงเกือบสามพันปี เช่นพระอาจารย์หลวงพ่อบุญเพ็ง กปปโก ก็ยังเจริญรอยตามพระองค์ท่านได้ไม่ผิดเพี้ยนเช่นนี้

    การเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ สำหรับหลาย ๆ คนจึงเป็นการเปลี่ยนชีวิตใหม่อย่างสิ้นเชิง ด้วยความยินยอมพร้อมใจ และโดยอัตโนมัติ ดังนั้นการได้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ นอกจากจะทำให้พวกเราเข้าใจธรรมะคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาที่ตรงแท้แน่นอนแล้ว ยังทำให้เราสิ้นสงสัยในคำสรรเสริญองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "โย อิมัง โลกัง สะเทวกัง สะมาระกัง สะพรัมมะกัง สัสสะมะนะ พราหมณิงปะชัง สะเทวมนุสสัง สะยังอภิญญา สัจจิกัตวาปะเวเทสิ ทรงสอนโลกนี้ พร้อมทั้งเทวดา มารพรหม และหมู่สัตว์ พร้อมสมณพราหมณ์ ให้รู้ตาม" ก็จะสงสัยได้อย่างไรเล่า ในเมื่อแม้สงฆ์สาวกที่เกิดขึ้นตามหลังถึงเกือบสามพันปี เช่นพระอาจารย์หลวงพ่อบุญเพ็ง กปปโก ก็ยังเจริญรอยตามพระองค์ท่านได้ไม่ผิดเพี้ยนเช่นนี้
    คัดลอกบางตอนจาก

    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography
    /lp-boonpeng-kappako-hist.htm

    พระครูวิเวกวัฒนาทร (หลวงพ่อบุญเพ็ง กัปปโก)
    ชัยยันโต โตยันชัย ชัยโตยัน ยันโตชัย....หันหน้าไปทางประตูให้โรคออกไปทางประตู(เป่า๓ครั้ง)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2015
  7. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326


    ยินดีต้อนรับครับคุณporpek โพสได้เต็มที่เลย ผมเคยตามพี่โญไปดูที่อุดร108 เห็นคุณporpek โพสพระสวยๆและข้อมูลดีๆอยู่ ขอบคุณที่มาแบ่งปันเรื่องราวดีๆกันครับ
     
  8. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326

    แจ่มๆทั้งนั้นคุณอาณัติคล้องทีเดียวทั้ง ๙องค์เลยรึเปล่าครับหรือสลับกัน
     
  9. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326


    ดีคร๊าบบน้องนิก พระของหลวงพ่อฤาษีมีโอกาสก็หาเก็บๆไว้บ้าง ติดบ้านติดเรือนไว้ก็ยังดี แม้รุ่นใหม่ที่หลวงพ่ออนันต์สร้างก็มีประสบการณ์กันมากมาย(ราคาถูกด้วย) ส่วนตัวพี่เองก็บูชาสมเด็จองค์ปฐมรุ่น๕(ไม่ทันหลวงพ่อ)อยู่ เหมือนกันครับ หลวงพ่ออนันต์ท่านได้รับการครอบครูจากหลวงพ่อฤาษีอย่างเป็นทางการ พระที่หลวงพ่ออนันต์ท่านทำตามพิธีที่หลวงพ่อฤาษีแนะนำ ก็คือหลวงพ่อฤาษีท่านลงมาทำให้เองคร๊าบบ
     
  10. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    [​IMG]


    สวัสดียามเช้าครับพี่วรรณ พี่ตี๋ พี่โญ พี่กูน พี่ชาญ น้องเอ็ม คุณวุฒิ น้องนิก คุณกันตปัญโญ คุณsellcat คุณjamitcom คุณอาณัติ คุณsupatorn คุณporpex คุณหมอ พี่รัก พี่รุ่ง คุณบอย น้องโอ๊ต น้องกานต์ น้องแพน น้องนาย และพี่ๆน้องๆทุกท่าน ขอบคุณทุกภาพสวยๆและเรื่องราวดีๆจากทุกท่านครับ
     
  11. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    [​IMG]


    [​IMG]



    ปกิณกะเรื่องเล่าเหรียญตานใช้ หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา

    จาก fbหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา (คณะศิษรุ่นหลัง) ศิษย์สามครูบาเจ้า

    คุณSuwit Chobchai ได้เล่าว่า ท่านผ.อ.เกรียงศักดิ์เคยสัมผัสพลังขอเหรียญรุ่นนี้ท่านบอกว่าสุดยอดมากเป็นเหรียญที่มีพลังที่พิเศษมากเพราะเหมือนกับเป็นเหรียญที่มีชีวิตจริงๆ
    และท่านก็ห้อยเหรียญรุ่นนี้อยู่ในสร้อยคอตั้งแต่ปี2535ตราบถึงทุกวันนี้

    ท่านผ.อ.บอกว่าปรกติพระของหลวงปู่จะเป็นพลังสีเขียวมรกตพุ่งออกมาจากองค์พระ
    แต่เหรียญรุ่นนี้เป็นสีรุ้งวิ่งไปวิ่งมารอบๆเหรียญตลอดเวลา

    ท่านผ.อ.เกรียงศักดิ์คือผู้ที่สร้างรูปหลวงปู่ที่อนุสาวรีย์หน้าร.พ.ลี้
    และรูปครูบาศรีวิชัยที่อนุสาวรีย์บนเขาลี้ครับ




    [​IMG]



    ท่านผ.อ.บอกว่าพลังของหลวงปู่จะเป็นสีเขียวมรกตคล้ายๆกับพระแก้วมรกตจำลองของหลวงปู่รุ่นนี้ครับ

    แต่เหรียญตานใช้ตานแทนจะแปลกไปคือจะเป็นสีรุ้งและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ท่านผ.อ.จึงบอกว่าเหมือนมีชีวิตเลย

    เคยเรียนถามท่านผ.อ.ว่าเวลาอธิษฐานขอให้พระของหลวงปู่ช่วยแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป
    ท่านผ.อ.บอกว่าบางทีเทพที่หลวงปู่ท่านได้เชิญมาตอนที่ท่านอธิษฐานจิตวัตถุมงคลท่านช่วยได้ท่านก็สงเคราะห์ให้เลยบางเรื่องก็ไม่ต้องถึงมือหลวงปู่หรอกแค่เทพที่หลวงปู่ท่านเชิญมาก็ศักดิ์สิทธิ์แล้ว
    ท่านผ.อ.บอกว่าตอนหลวงปู่ท่านอธิษฐานจิตท่านจะอธิษฐานอาราธนาบารมีตั้งแต่บารมีพระพุทธเจ้า,บารมีพระธาตุฯลฯรวมทั้งจะอัญเชิญเทพขอให้ท่านช่วยปกปักรักษาและที่สำคัญจะมีท่านพระฤาษีอยู่ในพิธีด้วยหลายท่านมากๆ

    ในสร้อยของท่านผ.อ.จะมีพระของหลวงปูสามองค์
    1.พระเชียงแสนที่เสด็จมาตอนหลวงปู่เททองหล่อพระประธานหน้าตัก108นิ้ว
    2.พระรอดที่เสด็จมา
    3.เหรียญตานใช้ตานแทน


    พระเชียงแสนองค์นี้ท่านผ.อ.รักมากที่สุดเพราะเป็นพระที่เสด็จมาในขณะที่หลวงปู่กำลังเททอง
    ท่านผ.อ.เคยให้ท่านครูบากฤษดาพิจารณา
    ท่านครูบากฤษดาบอกว่าพระองค์นี้มีเพียงองค์เดียวในโลก



    คุณพ่อ แม่ ลูก ได้เล่าว่า รุ่นนี้ขลังครับคนงานมารับจ้างที่สวนลำไยตกจากต้นลำไยหัวดิ่งลงมาอีกคืบเดียวหัวจะกระแทกหินพอดีกางเกงไปติดที่กิ่งลำไยกิ่งก็ไม่ใหญ่นะคับเท่าหัวแม่มือ ผมถามพี่ห้อยพระรึเปล่า เขาบอกว่ามีและเอาออกมาให้ดูเป็นเหรียญครูบาวงศ์รุ่นนี้แหละคับ


    ขอขอบคุณ คุณ Suwit Chobchai และคุณ พ่อ แม่ ลูก กับเรื่องราวดีๆของครูบาวงศ์ครับ


    ทุกวันนี้ภัยพิบัติต่างๆก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในอดีตครูบาอาจารย์ผู้ทรงคุณหลายต่อหลายองค์ก็เคยทำนายความสูญเสียครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นมา พร้อมได้อธิษฐานจิตวัตถุมงคลขึ้นเพื่อการณ์ในอนาคต ซึ่งหากไม่เกินกฏแห่งกรรมคุณพระก็จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ที่เบาก็มลายหายสิ้นไป

    โดยส่วนตัวผมแล้วนอกจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี พระของครูบาวงศ์เป็นอีกหนึ่งครูบาอาจารย์ที่ผมเชื่อมั่นว่าท่านอธิษฐานจิตวัตถุมงคลของท่านเพื่อการณ์นี้เช่นกันครับ
     
  12. PraKhoonPhan

    PraKhoonPhan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    881
    ค่าพลัง:
    +6,624
    ที่บ้านก็มีสมเด็จองค์ปฐมรุ่น5เหมือนกันครับ
    เมื่อปีที่แล้วได้ไปเช่าผ้ายันต์เกราะเพชรกับยันต์พิชัยสงครามมาเหมือนกันครับ
     
  13. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448



    ;aa44
    เยี่ยมเลยครับท่านปลัด
    กระทู้นี้จะมีสีสันสดใสน่าติดตามอีกหลาย ๆ
    เพราะปลัดสะสมของหาชมก็ยาก ยิ่งได้เป็นเจ้าของก็ยิ่งยาก
    อีกทั้งนำเสนอพร้อมความรู้ประหนึ่งศึกษาก่อนสะสม ทุก ๆ รายการเลย
    ที่เคยลงแล้วในที่อื่น ๆ นำมาลงให้กระทู้นี้ด้วยนะครับ รอติดตามชมครับ...
    :cool::cool::cool:
     
  14. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448
    แจมครับ
    เหรียญตานใช้ ตานแทนหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา​



    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1180584c.jpg
      P1180584c.jpg
      ขนาดไฟล์:
      389 KB
      เปิดดู:
      874
    • P1180575c.jpg
      P1180575c.jpg
      ขนาดไฟล์:
      353.4 KB
      เปิดดู:
      846
  15. tanman

    tanman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +17,392
    สวัสดีครับ พี่ปู พี่โญ พี่ตี๋ และสมาชิก " อัลบั้มพระ " ทุกๆท่าน

    .....ไม่ได้เข้ามาซะนานเลยครับ ทุกท่านสบายดีกันน๊ะครับ ^^




    เหรียญตัวอย่าง " ลองพิมพ์ " พระพุทธพิชัยนิมิตร ( หลวงพ่ออุดม วัดพิชัยสงคราม )

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • page.jpg
      page.jpg
      ขนาดไฟล์:
      249 KB
      เปิดดู:
      897
    • page12.jpg
      page12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      230.5 KB
      เปิดดู:
      966
  16. tanman

    tanman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +17,392
    มีดหมอ หลวงพ่ออุดม วัดพิชัยสงคราม


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2015
  17. tanman

    tanman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +17,392
    พระกริ่งพระเจ้าตากสิน " รุ่นชนะศึก " ( กริ่งชิตังเม )


    [​IMG]
     
  18. tanman

    tanman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +17,392
    รวมๆเครี่องราง หลวงพ่ออุดม วัดพิชัยสงคราม


    [​IMG]
     
  19. tanman

    tanman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +17,392

    [​IMG]
     
  20. porpek

    porpek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +4,273
    ของดีราคาถูก
    พระปิดตาจินดามณีเพชรกลับอาจารย์อภิชาติพิมพ์ใหญ่ตะกรุดทองคำ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    อาจารย์อภิชาติ ชินะโชติ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    พระปิดตารุ่นนี้ อ.อภิชาติได้ใส่มวลสารผงพุทธคุณศักดิ์สิทธิ์และวัตถุอาถรรพณ์
    ซึ่ง อ.อภิชาติได้เก็บรวบรวมไว้ทั้งหมดประกอบด้วย


    ๑.เนื้อผงสมเด็จจิตรลดา ๒. เนื้อผงสมเด็จวัดระฆัง ๓.เนื้อผงหลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ
    ๔.ผงสมเด็จหลวงพ่อแป้น วัดอัมพวา ๕.เนื้อผงหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ
    ๖.เนื้อผงจินดามณี บดขึ้นเองตามตำราวัดกลางบางแก้ว ๗.เนื้อผงอิทธิเจ ๘. ผงมหาราช
    ๙.ผงปัถมัง ๑๐.เกษรดอกไม้ ๑๑.ไคลเจดีย์ ๑๒. ไคลเสมา ๑๓. ดินป่า๗ป่า
    ๑๔.ดินโป่ง๗โป่ง ๑๕.ดินท่า๗ท่า ๑๖.ต้นไม้ไม่รู้นอน๗อย่าง
    ๑๗.ตะลุงช้างน้ำ ๑๘.ตะลุงช้างบก ๑๙. ฝอยลม (ลอยมาตามลม)
    ๒๐. หัวลิง และ หัวค่าง (ตายตามธรรมชาติ) ๒๑.ปูนเปลือกหอย
    ๒๒.เจ้าน้ำเงิน ๒๓.เจ้าน้ำทอง ๒๔.ว่านเพชรหึง
    ๒๕. ว่านเพชรกลับ ๒๖. ว่านกาสลัก ๒๗.อบเชยญวน
    ๒๘.เสน่ห์จันทร์แดงและขาว ๒๙.แผ่นทองคำเปลวลงนะร้อยแปด บดเป็นผง

    มวลสารทั้งหมด ใช้น้ำมันตั๊งอี้ว และกล้วยน้ำว้าเป็นตัวประสาน
    มี ๒ พิมพ์คือพิมพ์เล็กกับพิมพ์ใหญ่
    และยังแยกเป็น ๓ แบบคือ
    ๑.แบบธรรมดา
    ๒.แบบฝังตะกรุดทองแดง
    ๓.แบบฝังตะกรุดทองคำฝังแขน ตามตำราหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ มีจำนวนน้อยมาก

    พระปิดตาจินดามณีเพชรกลับตามตำราอ.อภิชาติบอกไว้ว่า
    อุปเทห์คือ

    " เป็นพระวาสนา เลิศล้ำตำราในโลกแดนดิน
    ผู้ใดสมจินต์สวัสดิโสภิณกว่าคนทั้งหลาย
    พัสดุเงินทองจะพูนนองกว่าโลกหญิงชาย
    นำมาบูชาอภิวาท์อย่าวาย ระงับอันตรายทั้งสี่อิริยา
    โทษหนักเท่าหนักถึงจักมรณา
    กลับน้อยถอยคลาเคลื่อนคลายหายสูญ "


    องค์นี้ฝังตะกรุดทองคำ หลวงพ่อคูณร่วมปลุกเสก ๔ ชั่วโมง
     

แชร์หน้านี้

Loading...