ผีที่บ้านพัก

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้ไปเที่ยวป่าเป็นเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า เข้าพักในบ้านพักที่เจ้าหน้าที่จัดให้มีลักษณะเป็นบ้านไม้หลายห้องเรียงกันเป็นรูปตัวu คืนแรกที่นอน ปรากฏว่าไม่มีใครนอนหลับ(ไป3คน) ตัวเราเมื่อนอนไม่หลับจะใช้วิธีนอนหลับตาสวดมนต์ไปเรื่อยๆ นึกได้บทไหนก็สวด ส่วนใหญ่ก็เป็น อติปิโสฯแล้วก็มงกุฎพระพุทธเจ้า
ประมาณ ตี4 ได้ยินคนดุว่าสวดบทพวกนี้ทำไม เราก็สะดุ้งแต่นึกว่าฝันเพราะมันก็เริ่มจะง่วงเลยเปลี่ยนมาสวดแผ่เมตตาแล้วก็เลยหลับไป
ตอนตี 5 กลุ่มมาปลุกให้ไปซุ่มดูนกกันที่บึงแต่เราไม่ยอมไปเพราะง่วงและหนาวมาก เมื่อคนอื่นๆออกจากห้องไปแล้วก็ลุกไปล๊อกประตู บ้านทั้งบ้านมีเราอยู่คนเดียว กลับเข้ามานอนต่อก็ไม่หลับ ก็เลยคิดว่าอาบน้ำแต่งตัวรอดีกว่าเมื่อกลุ่มกลับมาจะได้ออกไปกินอาหารเช้ากันเลย
เมื่อกำลังจะอาบน้ำ จู่ๆก็มองทะลุประตูห้องน้ำทั้งๆที่ปิดประตูลงกลอนแล้วเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนมองเราอยู่หน้าประตูห้องน้ำ หน้าตาบึ้งตึงมากเหมือนโกรธเราด้วยเรื่องอะไรซักอย่าง เป็นผู้หญิงแต่งตัวเหมือนสาวชาวบ้าน คือนุ่งผ้าถุงยาวครึ่งน่อง ใส่เสื้อสีขาวมีลายดอกเล็กๆ ผมยาวแต่ไม่มากแสกกลาง นาทีนั้นรู้สึกกลัวมากขนลุกทั้งตัว ปกติเป็นคนไม่กลัวผี
เราบอกตัวเองว่าไม่จริงหรอกเราแค่มะโน แต่ถ้าเป็นจริงเราก็จะท่องพุทโธ เพราะเคยอ่านหนังสือหลวงปู่มั่นบอกว่าผีจะร้ายแค่ไหนก็แพ้พุทโธ คิดได้แค่นั้นก็ท่องเลย ท่องพุทโธได้ 2ครั้ง เสียงดังปังที่หน้าประตูห้องน้ำเหมือนมีคนเอากำปั้นทุบประตูห้องน้ำอย่างแรงประตูก็สั่นกึกๆเหมือนโดนทุบจริงๆ ช๊อกมาก ยืนตั้งสติหยุดทุกอย่าง ไม่เคยเจอการข่มขู่และคุกคามแบบนี้ คิดว่าจะออกมาเผชิญหน้าหรือว่าจะอยู่ในห้องน้ำแล้วรอให้ทุกคนกลับมาก่อน แต่ถ้าทุกคนกลับมาก็จะเข้าห้องไม่ได้เพราะเราล๊อคประตูไว้ ก็เลยตัดสินใจเป็นไงเป็นกันค่อยๆเปิดประตูห้องน้ำ ค่อยๆเปิดประตูห้องพัก ทำตัวเนียนประมาณว่าเราไม่กลัวน่ะ แต่พออกมาพ้นห้องได้แล้วไม่เข้าไปเลยละค่ะนั่งตากน้ำค้างรอจนคนอื่นๆกลับเข้ามา โดนครั้งนี้ทำให้เรารู้สึกกลัวและไม่เข้าใจผีเลยเธอโกรธฉันเรื่องอะไรกันนี่...

 

คุณคงไปสวดมมนต์บทไล่ดวงวิญญาณ ทำให้วิญญาณเขาร้อนรนไปทั่วทั้งกาย
และอีกอย่างคนคงไม่ได้สวดมนต์แล้วกรวดน้ำ ให้ดวงวิญญาณ เขาจึงมารบกวนคุณ

 

เราอาจจะคาดไม่ถึงครับ..เวลาเราไปยังสถานที่ต่างๆ..
โดยทั่วไปถ้าจะสวดมนต์หรือทำอะไรก็ตาม ควรเป็นการ
ทำเพื่อผูกมิตรไม่ว่าจะอุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาหรือ
การบอกกล่าวกันดีๆอะไรก็แล้วแต่ครับ...
แต่เราตั้งต้นด้วยการไปสวดมนต์อย่างนั้น.
เพราะเราทำมาจนเป็นความเคยชิน.พวกนั้นเค้าอยู่
บริเวณนั้นมานาน กำลังจิตเค้าไม่มากพอที่จะรับฟังบทคาถา
ต่างๆเหล่านั้นได้ และก่อนสวดเราก็ไม่ได้บอกเค้าก่อนว่า
ท่านใดที่ฟังไม่ได้ให้ออกไปก่อน แม้บอกเค้าก่อนบริเวณ
อื่นๆก็อาจมีท่านที่อยู่ก่อนแล้ว หรือเค้าก็ไม่มีกำลังจิตพอ
ที่จะไปที่ไหนได้ มันจึงกลายเป็นว่า เราไปรบกวน ทำร้าย
เค้าโดยที่เราคาดไม่ถึงครับ...ที่หน้าทีหลังนอนไม่หลับ
ก็ควรเปลี่ยนมาอุทิศส่วนกุศลก่อนครับ..หรือสวดมนต์
ในบทที่มันเป็นการผูกมิตรและแผ่เมตตา...
เวลาเราไปไหนมาไหน ภพภูมิเค้าก็จะมองเราเป็นมิตรครับ..
เราจะไปอยู่ได้ทุกที่ และเค้าก็อาจจะช่วยเราดูแลทรัพย์สิน
หรือแม้เวลามีภัยก็มาช่วยเตือนเราได้...
นี่ดีนะครับ.ที่เจอเป็นระดับที่กำลังจิตเค้าไม่สูง อยู่มานานเฉยๆ
ถ้าเข้าป่าลึกไปทำอย่างนี้ แล้วไปเจอพวกที่อยู่มานานตั้งแต่ก่อนยุค
พุทธกาล พวกมีฤิทธิ์ทั้งหลายที่มากบารมีที่ดูแลพื้นที่บริเวณนั้นๆอยู่
โอกาสที่เราจะคางเหลืองและเดี้ยงสูงครับ.
ในสมัยยุคที่ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพยังคงร่างกายอยู่ ท่านยังให้สาวก
ท่านท่องบทสวดที่เป็นการผูกมิตรเลยครับ..ขนาดยุคนั้นสาวกมีกำลัง
จิตมีฤิทธิ์กันมากมาย..
.และปัจจุบันนี้ขนาดห่มเหลืองที่ว่า
แน่ๆยังเปลี่ยนภพภูมิมาแล้วรายหลาย.
เพราะการเกิดมาแล้วมาสร้างฤิทธิ์ ยังไงๆมันก็สู้พวกที่จุติมา
แล้วมีฤิทธิ์โดยธรรมชาติไม่ได้ครับ
.กรณีนี้ถือว่าโชคดีแล้วครับ..และถือว่าดีที่ถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟัง
แต่เป็นไปได้ ก็ควรเปลี่ยนทัศนะคติใหม่ซะเนาะ
พวกระบบหายใจหรือโรคที่เราเป็นบริเวณคอทั้งหลายถ้าเราเป็น
อาการเราจะดีขึ้นและถ้าไม่เป็นเราก็ไม่มีโอกาศเป็น
และโรคเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร อยากทานมาก
จนทำให้จุกจนแน่นหน้าอก
ถ้าเราเป็นเราก็จะน้อยลงหรือไม่เคยเป็นก็จะไม่เป็น.
นี่เล่าให้ฟังเล่นๆครับ..
และคงไม่มาถามอีกนะครับ
ว่าเค้ามาโกรธเราเรื่องอะไรอีก
เพราะคงจะเข้าใจแล้ว..
ปล.ประมาณนี้ทั่วๆไปถือว่า ไม่มีอะไรครับ..

 

ขอบคุณค่ะ...มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้คิดถึงจริงๆ เพราะก่อนนอนก็ไหว้พระ และกล่าวขออนุญาตเจ้าที่ขอพักอาศัยชั่วคราว ถ้าการสวดมนต์ไปทำร้ายเขาก็ต้องขอโทษจริงๆไม่ได้ตั้งใจ
ปล.คุณนพฯค่ะแล้วอาการป่วยมันมีที่มาอย่างไงค่ะขอขยายนิดนึงขอบคุณค่ะ

 

อาการเจ็บป่วย ถ้าไม่นับเรื่องโภชนา เรื่องการดูแลสุขภาพ สภาพแวดล้อมรอบๆตัวต่างๆ
และการเสื่อมตามธรรมชาตินะครับ..จะเป็นในเรื่องของกระแส
พลังงานตกค้างครับ..หลักๆจะมีกระแส ๒ อย่างอย่างคือร้อนกับเย็น
ถ้ากระแสเย็นก็คือบุญ กระแสร้อนก็คือบาป แต่กระแสร้อนนี่
ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่ทำให้เรารู้สึก หงุดหงิด รำคาญ ไม่พอใจ โกรธ
พวกนี้จะเป็นกระแสฝ่ายร้อนได้หมดครับ.ซึ่งเหตุเกิดได้จากภายนอก
และภายใน...ที่นี้บางครั้งการที่เราเผลอ
ทำอะไรก็ตามให้ภพภูมิสะเทือนแบบไม่ได้ตั้งใจ หรือเราคาดไม่ถึง
ซึ่งส่วนมากก็เป็นกันเกือบทุกคนครับ..ทางฝ่ายภพภูมิก็เป็นพลังงาน
อย่างหนึ่ง เมื่อพลังงานรู้สึกร้อน ก็จะสร้างความร้อนขึ้นมา
ด้วยเหตุที่ การส่งไปกระทบมาจากตัวเราเป็นเหตุ มันจึงมีการเชื่อม
ระหว่างตัวจิตเรากับพลังงานภายนอกโดยอัตโนมัติครับ..
บางทีเราไม่รู้ตัว และไม่สนใจแล้ว แต่พลังงานภายนอกก็ยังเชื่อม
เรามาได้อยู่..กรณีที่ไปสวดมนต์..เค้าก็จะพยายามรบกวนไม่ให้
เราสวดมนต์ได้ทางใดทางหนึ่ง เช่นทำให้บริเวณคอมีปัญหา
หรือไม่ก็ทำให้ท้องไส้เรามีปัญหา เพื่อที่จะไม่ได้ไปสวดมนต์
และสร้างกระแสไปรบกวนเค้า หรือไม่ก็เป็นการเอาคืน
เพราะมันมีกระแสร้อนค้างอยู่ไงครับ..
ที่นี้ถ้าเค้าเกาะติดเรานานๆ ร่างกายบริเวณนั้นของเรามันก็จะบกพร่อง
เพราะธาตุของร่างกายเรามันเกิน
จากกระแสร้อนที่เพิ่มเข้ามานั้นหละครับ
จึงเป็นสาเหตุให้เราเจ็บป่วยได้ ในแบบที่ทานยา หาหมอแล้ว
ก็ไม่หาย ประมาณนี้หละครับ...ส่วนถ้าเป็นกระแสบุญ ซึ่งเป็น
กระแสเย็นมันไม่ค่อยมีปัญหากับร่างกายเท่าไรครับ..
บางทีบางคน ไปทำบุญแล้วอาการเจ็บป่วยหายก็มีครับ
เพราะว่าบุญเป็นกระแสเย็นที่มันสามารถเคลียร์กระแสร้อน
ที่มันเกิน ที่มันเพิ่มขึ้นในร่างกายเราให้ออกไปได้นั่นเองครับ..
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะแสเย็น หรือกระแสร้อน เราก็ต้องไม่อะไร
กับอะไรทั้งสิ้นครับ..เค้าก็จะรับแบบไม่อะไรๆกับเรา..
เราก็จะไม่ต้องมารับผลแห่งบุญในวาระสุดท้าย หรือบาปในวาระสุดท้าย
เพราะว่าไม่ว่าจะบุญหรือบาป มันมีที่รองรับการไปด้วยกันทั้งนั้น..
เพราะฉนั้นการทำบุญที่ดีที่สุด คือการทำแบบไม่อะไรกับอะไรครับ...
แต่ถ้าหวังผล มันก็จะเป็นอกุศลซ้อนในกุศลได้อยู่ครับ..
แต่ก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไปได้ครับ..บางครั้งก็จำเป็นครับ
สำหรับเรื่องผลบุญ ตรงนี้ก็สุดแล้วแต่เหตุและปัจจัยของแต่ละบุคคลครับ

 

อืมมม... รึจะเป็นผีต่างด้าวมั้งค่ะถึงฟังบทสวดไม่รู้เรื่องอ่ะค่ะ xx

 

เด่วจะเล่าอะไรให้ฟังนะครับ เผื่อว่าอาจจะมีประโยชน์กับหลายๆคนครับ.
ที่ เจ้าของกระทู้เอามาเล่าให้ฟังเนี่ย..เป็นผีไทยนี่หละครับ..
เพียงแต่ตอนที่มีชีวิตขาดการเคารพพระรัตนตรัยครับ..
ต้องเคยเผลอไปปรามาสเอาไว้ไม่ว่ากรณีใดกรณีหนึ่งและก็ปฏิเสธการเคารพ
เวลาตายไป อะไรที่เกี่ยวกับ พระรัตนตรัย ถ้ามาใกล้หรือเค้าได้ใกล้จะรู้สึก
ร้อนมากครับ เปรียบๆได้เหมือนเราโดนน้ำร้อนลวกนั่นหละครับ..
ไม่ว่าคำภาวนา บทสวด หรือแม้กระทั่งบุญที่เราอุทิศให้เค้าก็จะร้อนครับ...

ปกติบทสวดมนต์ถ้าเป็นระดับภูมิที่ดีขึ้นไปจะฟังได้ ไม่มีปัญหาครับ..
เผลอๆยิ่งตอนเป็นคนชอบสวดมนต์ ก็จะมานั่งสวดมนต์กับเราด้วยครับ.
แต่จะไม่สวดยาวมากครับ..กรณีนี้สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการตั้งกล้องวีดีโอ
แล้วเปิดการบันทึกเสียงไว้ด้วย..เปิดฟังดีๆจะได้ยินเสียงที่ไม่ใช่คนครับ
จะสวดทันทีหลังจากเราสวดมนต์เสร็จและเริ่มนั่งสมาธิครับและจะสวด
วนๆอยู่ที่บทที่สรรเสริญคุณพระพุทธฯนั่นหละครับ..
ส่วนตัวเคยอัดไว้อยู่ครับ.เพราะรู้สึกเหมือนมีพลังงานบางอย่าง
อยู่ใกล้ๆ(ลอกคนอวดผีมา)...เสียดายคือมันมีภาพตัวเองอยู่ครับ
กลัวว่าเอามาลงแล้ว คนจะนึกว่าเป็นคลิปผีแทนคลิปเสียงสวดครับ ๕๕๕๕

อืมๆๆส่วนกรณีถ้าเค้าเป็น ต่างถิ่นหรือต่างแดนหรือต่างด้าวนะครับ..
หรือพูดง่ายๆว่า ในสภาพสังคมหรือวัฒนธรรมเค้าไม่ได้นับถือพุทธศาสนา..
กลุ่มนี้ตอนที่เป็นคน เค้าจะไม่มีสัญญาในจิตเลยเกี่ยวกับทาง
พุทธศาสนาครับ.และก็จะปฏิเสธไม่ให้ความเคารพอยู่แล้วเป็นทุน...
ดูอย่างแม่น้ำ คงเค ที่ประเทศ อิน ตะ ระ เดีย
ขนาดพระอริยะท่านไปอุทิศส่วนกุศลให้
พวกนี้ยังเมินหน้าหนีไม่สนใจครับ
ไม่ต้องคิดเลยว่าฆารวาสอย่าง
เราๆเค้าจะสนใจครับ..

.เพราะฉนั้นเกี่ยวกับพระรัตน์ตรัยหรือบทสวด
มันจึงไม่มีผลกับตัวจิตของเค้าครับ เพราะไม่มีตัวสัญญาออกไปเชื่อม
อย่างบางทีห้อยวัตถุมงคงไป เผลอๆเค้าจะขอเช่าต่อก็มีครับ ๕๕๕
บางที่ถึงต้องพก คัมภีร์ ไปแทนประมาณนี้ครับ...
และต่อให้เราหวังดีอุทิศส่วนกุศลให้เค้าก็รับไม่ได้ครับ
เพราะติดวิบากกรรมเรื่องการปฏิเสธศาสนาอื่นๆครับ
ทุกๆศาสนาไม่ว่าเราจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม..
ถ้าปฏิเสธเลยจะคนที่ปฏิเสธจะติดผลกรรมตรงนี้ครับ
ซึ่งประเด็นนี้หลายๆคนอาจจะคาดไม่ถึงครับ...
..เพราะฉนั้นเพื่อไม่ให้มีวิบากตรงนี้
คนเค้าจะให้ความเคารพนับถือแต่ไม่ยึดถือ
แทนการปฏิเสธเลยครับ..

และการที่เราอยู่เมืองนอกเมืองนา ที่ศาสนาพุทธเข้าไม่ถึง ถ้าเรามีสัมพันธ์
กับบุคคลเหล่านี้ หรือสัมผัสวิญญานต่างๆเหล่านี้ได้ นอกจากการอุทิศ
ส่วนกุศล เราต้องพาเค้าขอขมากรรมในการปฏิเสธพุทธศาสนา หรือการ
ปฏิเสธศาสนาอื่นๆโดยมิให้ความเคารพนับถือก่อนที่เราจะอุทิศส่วนกุศลครับ..
ง่ายๆครับด้วยการสวดจะในใจหรือออกเสียงก็ได้ครับ
ด้วยบทนะโมฯ ๓ จบ แล้วตามด้วย พระพทฯ ๓ จบ
หลังจากนั้นขอบารมีพระพุทธฯให้ท่านเป็นองค์ประธานและเราก็พานำกล่าว
ขออโหสิกรรม หลังจากนันค่อยอุทิศส่วนกุศล


ผลการอุทิศส่วนกุศลถึงจะสำเร็จผล เหมือนๆที่เราอุทิศส่วนกุศสให้วิญญาน
ที่ต้องการบุญที่หลายๆคนเคยได้เจอแถวบ้านเราครับ..
จะได้ไม่มีผลตามมาว่า ทำไมเค้าถึงยังต้องมาให้เราเห็น
หรือมารบกวนเราได้อีกให้เรางงหรือสงสัยเล่นครับ..
ปล.ประมาณนี้ครับ...

 

มองในทางที่ดี ผีอาจแค่ปวดอึ อยากเข้าห้องน้ำ แต่คุณแม่กะเต้ยไม่ออกมาซักที เลยทนไม่ไหวจนต้องเคาะเรียกอะครับ -_-"

 

ปกติบทสวดมนต์ถ้าเป็นระดับภูมิที่ดีขึ้นไปจะฟังได้ ไม่มีปัญหาครับ..
เผลอๆยิ่งตอนเป็นคนชอบสวดมนต์ ก็จะมานั่งสวดมนต์กับเราด้วยครับ.
แต่จะไม่สวดยาวมากครับ..กรณีนี้สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการตั้งกล้องวีดีโอ
แล้วเปิดการบันทึกเสียงไว้ด้วย..เปิดฟังดีๆจะได้ยินเสียงที่ไม่ใช่คนครับ
จะสวดทันทีหลังจากเราสวดมนต์เสร็จและเริ่มนั่งสมาธิครับและจะสวด
วนๆอยู่ที่บทที่สรรเสริญคุณพระพุทธฯนั่นหละครับ..
ส่วนตัวเคยอัดไว้อยู่ครับ.เพราะรู้สึกเหมือนมีพลังงานบางอย่าง
อยู่ใกล้ๆ(ลอกคนอวดผีมา)...เสียดายคือมันมีภาพตัวเองอยู่ครับ
กลัวว่าเอามาลงแล้ว คนจะนึกว่าเป็นคลิปผีแทนคลิปเสียงสวดครับ ๕๕๕๕


อันนี้จริงค่ะ เราชอบใช้บทสวดแทนคำภาวนาแบบสวดในใจ สวดไป ๆ ได้ยินเสียงเค้าสวดด้วยแบบชัดเจนเลยค่ะ แต่เราก็เฉยไม่สนใจเราสวดของเรา เขาก็สวดของเขา แต่สวดพร้อม ๆ กับเรา ครบ 3 รอบแล้วก็ไป

 

catt3catt3

 

เคยอ่านจากบันทึกของพระลูกศิษย์ของพระเกจิชื่อดังแถวอุทัยธานี ขนาดว่าท่าน เข้าใจในหลัก ไสยศาสตร์ มีพลังจิต มีของดี มีอภิญญา ยังถูกเจ้าถิ่นเล่นซะอ่วมเลย

หรืออีกท่านแค่ ท้าทายกันเรื่องตั้งศาล เล่นเอารูจมูกหายใจไม่ออกไปวันละข้าง เกือบตาย

ถ้าเป็นคนธรรมดา จะเป็นไงล่ะเนี่ย ไม่อยากคิดส์ ขนลุก

 

แม่น แล้ว....มันจะแพ้ชนะกันตรงที่ความไวครับ..
ต่อให้เราจะโครตเก่งทางโลก ถ้าลองได้ยกกายทิพย์ออกไป
แบบชนิดที่เห็นร่างกายตัวเองนอนอยู่ก่อนนะครับ ไม่ใช่แบบนั่งสมาธิ
แล้วเกิดนิมิตร หรือแบบส่งไปแต่จิตนะครับ..หรือแบบนอนๆแล้วฝัน..
พวกนี้แค่คิดนิดเดียวหรือเกิดนิวรณ์หน่อยก็กลับเค้าร่างได้แล้ว..
และต่อจะให้เรามีความสามารถทางจิตอะไรก็ตามที่ฝึกมาดีแล้ว
และแถมให้มีอาวุธทิพย์พิเศษอะไรก็ตาม และต่อให้ใช้ได้แบบอัตโนมัติ
ก็ตาม อัตโนมัติเนี่ยหมายความว่า ในสภาวะปกติจะเร็วกว่าความคิด
ในส่วนโหมดกายทิพย์แบบสภาพแวดล้อมแบบโลกปกติ ก็จะเร็ว
กว่าความคิดเรา ยังไงๆ พวกนั้นก็เร็วกว่าเราอยู่ดีครับ
เค้าจะไวและมันจะไวยิ่งกว่าเสี้ยวของเสี้ยววินาทีอีกครับ....
เค้ากดอาวุธ กดพลังงานพิเศษเราได้หมดนั่นหละครับ...
และถ้าเค้าจะทำให้เรา ตาย(ไม่ได้หมายความว่าเสียชีวิตนะครับ)
ตายในที่นี้หมายความว่า ทำให้กายทิพย์เรามันกลับเข้าร่างกาย
เราไม่ได้ มันแสนง่ายมาก เค้าแค่จับหรือใช้อาวุธเค้าตัดสายใยทิพย์
ที่เชื่อมร่างกายเรา ที่มันออกจากบริเวณช่วงหลังกายทิพย์
เราก็เหมือน ตายทั้งเป็นแล้วครับ...เพียงแต่เค้าไม่ทำกันเฉยๆ
นี่หละครับ เป็นเหตุให้ในอดีต หลายท่านที่ มีฤิทธิ์มาก ได้อภิญญา
มีกำลังจิตทั้งหลาย เปลี่ยนภพภูมิอยู่ในป่า คือ กลับเข้าร่างกายไม่ได้
มาจนถึงทุกวันนี้ เพียงแต่เราเห็นว่าร่างกายท่านเน่าเปื่อย เราก็เลย
คิดว่าท่านตายไปแล้วนั่นเองครับ...
ปล.เพราะฉนั้นอย่างเราๆเป็นมิตรกับเค้าดีที่สุดครับและให้เค้าเห็นเราเป็นมิตร
นะดีที่สุดครับ..เผลอๆเจอท่านที่ใจดี บางทียังมาสอนเทคนิคเราก็มีครับ