ปัญหา "ตกภวังค์" ขณะนั่งสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย จิตอิสระ, 8 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. จิตอิสระ

    จิตอิสระ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +21
    อาการ ตกภวังค์ เป็นอย่างไรคะ และจะมีวิธีแก้อย่างไร

    เวลานั่งสมาธิ บางทีจะมีอาการ เหมือน ฝันๆน่ะค่ะ แล้วก็กลับมารู้สึกตัว สลับไปมา บางที่ก็ง่วงมากมาก ร่วมด้วย

    และบางที่เรื่องราวที่เหมือนฝันๆนั้น ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ เราจินตนาการไปเอง หรือ ฝัน หรือ อะไรกันแน่ เพราะบางที่ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องที่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เช่น เป็นคน เป็นเด็ก เป็นสัตว์ ที่หน้าตาก็ไม่คุ้น ไม่ใช่เพื่อน และ ไม่ใช่ตัวเราค่ะ

    อย่างนี้เรียกว่า ตกภวังค์ หรือเปล่าคะ และจะแก้อย่างไรดีคะ
     
  2. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +3,069
    เป็นอาการตกภวังค์ และอุปาจารขั้นเกิดนิมิตครับ

    ตกภวังค์ต้องแก้กัน คือ อาจเป็นเพราะความเพลียของร่างกาย หรือต้องมีสติให้มาก ไม่ทิ้งคำภาวนา ว่างเมื่อไหร่ทำทันทีๆ ถ้ายังตั้งเวลาอยู่ล่ะก็ยังใช้ไม่ได้

    ส่วนนิมิตนั้นมาเอง อย่าไปยึดมันเลย มันจะพาให้เราติดอยู่กับมัน อยากเห็นมัน คราวนี้ก็ติดแหงกอยู่ที่อยากเห็นนิมิต ซึ่งเป็นสมาธิเพียงอุปาจาร เฉียดฌานเท่านั้นเอง เราต้องเอาโน่นฌาน 4

    แรกจับสมถะ ต้องจับให้ได้ฌาน 4
    แรกจับวิปัสนา ต้องจับให้ได้พระโสดาบัน
    ทั้งสองอย่างที่ว่ามานั้น เป็นแค่จุดเริ่มแรก !

    สมถะ ใครจะเอากี่กองก็ว่ากันตามอุปนิสัย(หมายความว่าต้องได้ฌาน 4 คล่องทุกกองที่อยากได้นะ)
    วิปัสนาต้องหมายยอดไว้คือ ความเป็นพระอรหันต์ มีนิพพานเป็นที่สุด

    เสริมนิด
    - อยากได้วิชา3 ก็ฝึกกสิน ไฟ แสงสว่าง สีขาว สีเหลือง สีแดง น้ำ แก้ว หรือจับภาพพระ(เว้นสีดำ)
    - อยากได้อภิญญา 6 ก็ ฝึกกสิน 10 มี ธาตุ 4 (ไฟ ดิน ลม น้ำ) สี 4 (ขาว เหลือง แดง เขียว) แสงสว่าง และอากาศ
    - อยากได้ปฏิสัมภิทาญาณ 4 ก็ต้องฝึกกรรมฐานทั้ง 40 กอง (ทั้งรูปฌาน และ อรูปฌาน) และต้องเป็นพระอรหันต์ด้วยปฏิสัมภิทาญาณจึงจะเกิด

    คุณชอบแบบไหนล่ะ เลือกเอาครับ เหอะๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2008
  3. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    ผมเคยหลงอยู่หลายเดือนเลยนะภวังคจิตเนี่ย ทีแรกนึกว่ามาถูกทางแต่พอมาพิจารณาพบว่าปัญญาไม่เกิดเลยจึงเข้าใจได้ว่ามาผิดทาง
    แต่ก็เอาละ นักปฏิบัติทางจิตอย่างเราก็ไม่ย่อท้อ หลังจากทำสมาธิต่อก็มาพบทางออกว่าสติเราอ่อนไป หมายถึงเราจับอารมณ์ได้ไม่แนบแน่บ
    พอมีอาการเผลอภวังคจิตจึงเกิดขึ้น ทีนี้พอเราทำสติให้บริบูรณ์แนบแน่นเบา ๆ ไปกับลมหายใจเข้าออก ตามรู้ตลอดทุกขณะที่หายใจ ตามรู้เบา ๆ ตามรู้เฉย ๆ ไม่มุ่งไม่หวัง มีแต่ความแนบแน่น เรารู้ว่านิวรณ์หมดไปจากใจแล้วองค์ของฌานทั้ง 5 ก็ปรากฏต่อจิตทันที
    พอละองค์ฌานไปเรื่อย ๆ ก็เข้าสู่เอกคตารมณ์หรือฌาน 4 ได้
    นิมิตที่เกิดในภวังคจิตเชื่อถือไม่ค่อยได้หรอกครับ เหมือนเราฝันไปอย่างนั้น แต่ก็อาจมีนิมิตที่จริงเกิดขึ้นได้ ถ้าอยากมีนิมิตที่ถูกต้อง ไปดูนิมิตจากฌานดีกว่าครับ
    แต่ไม่ใช่ทางหลุดพ้นนะครับ บางทีผมถามครูบาอาจารย์ท่านว่าเอาเพลินเหมือนเราไปเที่ยวพักผ่อนก็ได้ แต่อย่าติด ถ้าอินทรีย์เราแข็งพอจึงค่อยเล่น
     
  4. pom980095

    pom980095 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2008
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +181
    เมื่อก่อนดิฉันก็ตกภวังค์บ่อย ถ้าไม่เห็นนิมิตรก็นั่งหลับ คนที่นั่งสมาธิใหม่ๆมักจะเป็นแบบนี้ จะเริ่มจากจิตหลุดจากคำภาวนาก่อน แล้วก็เห็นนิมิตร หรือไม่ก็ฟุ้งซ่าน บางก็เกิดความสุข เห็นแสงสว่าง จนจิตเผลอไปจับอาการเหล่านี้ เมื่อจิตติดอาการเหล่านี้หลุดจากคำภาวนาก็จะเกิดตกภวังค์ นั่งหลับซะส่วนมาก วิธีแก้ที่เคยทำก็คือ ถ้ารู้ตัวว่าเผลอไปต้องดึงจิตกลับมา แล้วภาวนาต่อ อาจจะกำหนด รู้หนอๆๆที่ลิ้นปี่ก่อน 6 ครั้ง แล้วภาวนาต่อ หรือถ้าง่วงมากก็กำหนดง่วงหนอๆๆที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วทั้งสอง( จุดอุณาโลม ) จนกว่าจะหายง่วงแล้วภาวนาต่อก็ได้ แต่ถ้ามันเดี๋ยวหลับเดี๋ยวภาวนาวนเวียนไปมาแบบนี้ขอแนะนำให้ไปพักผ่อนนอนหลับดีกว่า แล้วตื่นมาตี 5 มานั่งทำใหม่ พอนั่งสมาธิบ่อยๆอาการเหล่านี้จะหายไปเอง ต้องอดทนอย่ารีบร้อน
     
  5. BEST2822

    BEST2822 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +64
    การที่เป็นนักปฏิบัติ ทาให้อาจารย์อุปัชฌาย์กับอาตมารู้สึก มีความสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ เวลาเข้าไปปฏิบัติรับใช้ ต้มน้า ชงชาให้ท่าน บางทีก็นวดให้ท่าน ซึ่งเป็นประเพณีนิยมกันมา ท่าน ก็มักถามว่า การปฏิบัติของอาตมาเป็นอย่างไร ใครแนะนามาก่อน หรือ ก็ได้เรียนความจริงให้ท่านทราบว่า ยังไม่มีใครแนะนา มันรู้ เองเป็นเอง อยากปฏิบัติมาตั้งแต่ ๓ ขวบ และก็ได้ปฏิบัติเรื่อยมา
    ท่านก็บอกว่า ​
    "เป็นบุญวาสนาของเณร ติดต่อสืบเนื่องมาแต่ อดีต ชาติก่อนคงปฏิบัติค้างอยู่ ชาตินี้จึงมาเกิดปฏิบัติต่อ ขอให้ พากเพียรพยายามให้มาก จะได้พ้นทุกข์ในชาตินี้ เณรจะมีประโยชน์ แก่พระพุทธศาสนามาก"

    ตอนหนึ่งท่านถามว่า ​
    "เห็นโยมผู้ชายของเณรเล่าให้ฟังว่า เณร รู้เห็นอะไรมาตั้งแต่เด็กๆ เดี๋ยวนี้ยังรู้เห็นอยู่หรือไม่"

    "​
    ยังรู้เห็นอยู่ขอรับ ตอนยังไม่ได้บวชเณร มีคนมาให้ช่วยอยู่ เสมอ บางครั้งก็ราคาญ พอบวชเณรแล้ว กระผมจึงไม่ต้องการให้ ใครรู้ บางครั้งเห็นเหตุการณ์จะเกิดขึ้น ก็ไม่กล้าบอก เพราะรู้แล้ว ไม่มีเวลาปฏิบัติ กระผมเห็นว่า การรู้เห็นนั้น ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์"

    "​
    ถูกต้องแล้วเณร การปฏิบัติธรรมกรรมฐานนั้น ต้องตัดช่อง น้อย เอาตัวให้รอดเสียก่อน ดูพระบรมศาสดาเป็นตัวอย่าง พระองค์ ตรัสรู้แล้ว จึงสอนคนอื่น เณรมาได้ไกลแล้วนะ พยายามให้มากเข้า เออเรามาทดสอบกันดูซิตอนนี้ท่านมหาจาเริญกาลังทาอะไรอยู่"

    อาตมายกมือพนมขึ้น เรียนท่านไปว่า ​
    "ท่านมหาจาเริญ กาลัง ไม่สบายใจมาก"

    "​
    ไม่สบายใจเพราะอะไร"

    "​
    เพราะโยมพ่อมาบอกว่า น้องสาวคนเล็กถูกคนฉุดเอาไป ยัง ตามไม่พบ ตอนนี้พอสรงน้าเสร็จ จะมาปรึกษาหลวงพ่อว่าควรทา อย่างไร"

    "​
    เออ!เก่งจริง แล้วน้องสาวคนเล็กจะเป็นอะไรไหม"

    "​
    ปลอดภัยแล้วขอรับ ตอนนี้กาลังอยู่บนโรงพัก เจ้าคนฉุด สองคนก็ถูกจับได้"

    "​
    ทาไมจึงถูกจับ"

    "​
    ไปเจอตารวจสายตรวจกลางทาง น้องสาวท่านมหาร้องให้ช่วย"

    พูดเพิ่งจะจบ ก็เห็นท่านมหาจาเริญ เดินขึ้นมาบนกุฏิ เข้ามา นั่งกราบท่านอาจารย์อุปัชฌาย์ แต่ยังไม่ทันจะพูด ท่านก็ยิ้ม ละมัย บอกว่า​
    "​
    ท่านมหาไม่ต้องวิตก สั่งให้ใครไปบอกโยมที่บ้าน ให้ไปรับ น้องสาวที่สถานีตารวจเร็วเข้า"

    "​
    เอ๊ะ ท่านอาจารย์รู้ได้อย่างไร"

    "​
    อย่าเพิ่มถามตอนนี้ รีบๆไปเดี๋ยวจะดึกดื่น"

    ท่านมหาลุกขึ้นกราบ แล้วลงกุฏิไป แต่ท่านไม่ได้ให้ใครไปบอก ท่านไปด้วยตนเอง สั่งโยมพ่อให้ชวนพรรคพวกไปสถานีตารวจ ที่ อาเภอ แล้วก็นั่งรออยู่ จนกระทั่งโยมพ่อพาน้องสาวกลับมาถึงบ้าน เอาใกล้สว่าง
    กลับมาถึง ท่านมหาก็ตรงมาที่กุฏิท่านอาจารย์อุปัชฌาย์ กราบ ท่านแล้วกล่าวว่า​
    "​
    หลวงพ่ออาจารย์รู้เรื่องน้องสาวผมไปอยู่ที่โรงพักได้อย่างไร?"

    ตอนนั้น อาตมาก็อยู่ในที่นั้นด้วย เพราะไปเตรียมบาตรสาหรับ ท่านอุปัชฌาย์ออกบิณฑบาตตามกิจวัตร ที่ท่านไม่เคยขาดเลย นับ เป็นธุดงค์ข้อหนึ่ง ท่านชายตายิ้มๆมาที่อาตมา แล้วพูดขึ้นว่า​
    "​
    ท่านมหาเอาแต่ทางปริยัติ ไม่เอาทางปฏิบัติด้วย เห็นจะเอาตัว ไม่รอด อย่ามาสนใจว่า รู้ได้อย่างไร จงไปคิดดูว่า ทาอย่างไรถึง จะรู้ได้ดีกว่า บวชเข้ามาสู่เพศสมณะแล้ว ต้องพยายามให้ครบศีล สมาธิ ปัญญา จึงจะยั่งยืนในพระศาสนานี้"

    พูดจบท่านก็ลุกขึ้น เตรียมครองจีวรเพื่อไปบิณฑบาต ตอนนั้น ท่านมหาก็หน้าสลดลง ลุกขึ้นกราบแล้วลงจากกุฏิไป
     
  6. ธรรมมะชนะอธรรม

    ธรรมมะชนะอธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +30
    ของผมนั่งๆอยู่แล้วหลับทุกครั้งเลยครับ โดยเฉพาะถ้าจิตยิ่งว่างก็จะหลับเร็วมากครับ อันนี้ควรทำอย่างไรดีครับ
     
  7. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,763
    ตามหลักอภิธรรม จิตตกภวังค์ตลอด เพราะ ภวังค์ ภว หรือภพ นั้น จิตที่ยังไม่ทำลายกิเลส ย่อมตกอยู่ในภพ


    แต่ที่มาคุยกันว่า ตกภวังค์ นี่ ไปหมายถึง จิตยุติการคิดไปชั่วขณะ

    เช่น นั่งเรียนอยู่แล้วเผลอ วูบไป คล้ายตกเหว

    หรือนอนหลับ ช่วง หลับลึก จิตไม่ฝัน ไม่มีนิมิต
    คืออยู่ในภาวะ หยุดทำงานทางสังขาร

    การหลับฝันนี่ ไม่ต่างจากการตื่น มีการทำงานของเบญจขันธ์ คือสร้างภพชาติตลอดเวลา

    แต่จะมีบางช่วง ที่จิตยุติการทำงาน
    ไปอ่านบทความทางวิทยาศาสตร์ เอาเองนะ ขี้เกียจหา


    การนั่งสมาธิ จะมีช่วงสติอ่อนลงไป ทำให้เกิดนิมิต
    ไม่ได้หมายถึง สมาธิน้อยนะ แต่เป็นสมาธิไม่น้อยนี่แหละ
    แล้วสติก็ไม่น้อยนะ เพียงแต่ สติอ่อนลงกว่าสมาธิ
    สมาธิ นำสติ ในช่วงอุปจารสมาธิแบบอ่อน ก็จะมีนิมิต
    ถ้าอ่อนมาก ก็ผสมผสาน กับความคิดแทรก เป็นนิมิตไม่ค่อยแม่น
    ถ้าสมาธิสูง ก็จะเกิดนิมิตค่อนข้างแบบเข้าไปรู้กระแสของอดีตและอนาคต

    ถ้าเบลอๆ กำลังสมาธิไม่ดี นิวรณ์ก็จะกลับมา พวกถีนมิทนะ ก็จะรบกวน

    ก็จะง่วง หลุดจากสมาธิไป

    คนสมาธิอ่อน ก็จะฝันเลอะเทอะ ผสมความคิด

    แต่การหลับแบบสมาธินี่ จะมีบางครั้ง ที่จิตตื่น(สติ) สมาธิมีพอควร
    ก็จะเกิดนิมิต แบบจิตเข้าไปรู้ หรือมีนิมิตจากมิติอื่นมาสื่อสารให้รับรู้


    (||)
     

แชร์หน้านี้

Loading...