ความปกติของใจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ฐาณัฏฐ์, 9 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ขณะฝันก็รู้ว่าฝัน ก่อนลืมตาตื่นก็รู้ ช่วงตื่นจิตมันไม่เต็มก็ตามดูไป
    ช่วงหลังๆกำลังหัดแซกแซงจิตอยู่ ครับ
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    เอ....ฟังดูแปลกๆนะ ถ้ายังมีเลือกได้ เด่นๆ นี้ ทำให้ผมเข้าใจผิดได้นะ
    ว่าจงใจดู จ้องดู หรือไปสร้างมันขึ้นมาดู เพราะถ้าทำถูกต้องนี้จะไม่
    มาคำว่าเด่นๆ จะมีแต่ตามทัน กับไม่ทัน ถ้าตามทันนี้ขยับอะไรก็ตามหมด

    อะไรเกิดขึ้นเป็นอารมณ์ขึ้นมาก็ตามหมด แต่ตั้งมั่นไหมนั้นอีกเรื่อง คือจะ
    รู้สึก กับ รู้ละว่าเผลอไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้อินังขังขอบ ก็เรื่อยๆไป พอมันจำ
    ของมันได้ จะเห็นละว่า สติ เกิดเอง ถ้าสมาธิเกิดตาม ปัญญาเกิดตามก็จะ
    ดับได้เร็วในส่วนของกิเลส ส่วนเรื่องอื่นๆ เราไม่พูดถึงเรื่อง สมาธิ ปัญญา
    คือ ปล่อยๆไป ดูไปเรื่อยๆ ดูเล่นๆให้ได้
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    เก่งขนาดนั้นเลยเหรอ ฝันรู้ว่าฝัน เอ...อันนี้ไปถาม อ.ขันท์ดีกว่า ผมไม่ถึงขั้น
    แค่รู้ว่าหลับไม่เต็ม เลยเห็นว่ามันคิดอะไรของมันไปเรื่อย แต่ถึงขั้นฝันอยู่
    แล้วจิตแยกออกมาเห็นว่าฝันนี้ไม่เคยแหะ ไม่เข้าใจ

    แล้วมีแซกแซงจิตด้วยเหรอ ทำอะไรหว่า ไปแกล้งมันทำไมอะ ตกลงจะทำ
    สมถะหรือเปล่า เดี๋ยวอดเห็นไตรลักษณ์ของจิตนะ
     
  4. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ที่แซกแซง คือ ช่วงตื่นนอน อารมณ์มันสลึมสลือ จิตก้เข้าไปดู แล้วจำเอาอารมณ์ช่วงจิตสดชื่น เบิกบานมาใช้ เมื่อได้ที่ก็ลืมตาตื่น

    ส่วนแยกจิตดูฝันนั้น ยังไม่ถึงครับ แค่รู้ตัวว่าเราฝัน แล้วก็บังคับฝันได้บางขณะ

    ส่วนอาการเคลื่อนไหวนั้น ตามทันอยู่ เกือบๆจะไปพร้อมกัน ช่วงหลังเคลื่อนไหวเร็วบ้างช้าบ้าง ก็ตามทันนะ กินข้าวก็อร่อย อาบน้ำก็รู้สึกถึงน้ำไหลกระทบทั่วตัว(พูดมากเดี๋ยวว่าโม้)
     
  5. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,763
    (good)


    พระอาจารย์มั่น :
    ศีล สมาธิ ปัญญา ของผู้ปฏิบัติในภูมิกามาพจร รูปาพจร อรูปาพจร นี่แหละเป็นโลกีย์ที่เรียกว่าวัฏฏคามีกุศล เป็นกุศลที่วนอยู่ในโลก
    ส่วนศีล สมาธิ ปัญญา ของท่านผู้ปฏิบัติตั้งแต่โสดาบันแล้วไป เรียกว่าวิวัฎฎคามีกุศล เป็นเครื่องข้ามขึ้นจากโลก นี่แหละเป็นโลกุตตระ


    เรียกว่า ศีลในอริยะนั้น เป็นวิวัฏฏคามีกุศล

    ศีล ในปุถุชน เป็น วัฏฏคามีกุศล ยังไม่พ้น วัฏฏะ แต่ก็เป็นไปเพื่อความดี เพื่อต่อสู้กับกิเลส

    แต่จะให้เข้าสู่ การตัด สีลพตปรามาส อย่างอริยะ นั้น ยังยากอยู่ แต่อย่างน้อย ก็มีความระวัง ความสำรวม แต่ไม่ขาดอย่างผู้ที่ตัดสังโยชน์ข้อนี้ได้


    ส่วนจะว่ากันให้ลึก
    สีลัพตปรามาส ก็มีหลายระดับอีกในพระอริยะ พระโพธิสัตต์ (สายนี้ต้องรู้เยอะหน่อย)

    พระพุทธองค์นั้น เคารพธรรม (กฎธรรมชาติ) ยอมรับธรรม และสอนให้สรรพสัตว์เห็นความจริงนั้น

    ธรรมนั้น ก็มีเพียง โลกียธรรม และโลกุตตระธรรม
    (ความจริงสองประการ สมมุติสัจจะ แล ปรมัตถสัจจะ)

    ใครปฏิเสธสมมุติ ก็เห็นจะเพี้ยนไปแล้ว
    เพราะมีแต่เพียงผู้แจ้งในสมมุติ จึงจะเข้าสู่ปรมัตถ์ได้


    (*)

    ถ้าเป็นเรื่องอภิธรรมกลายๆ คำสอนของหลวงปู่มั่น
    ชัดเจนแจ่มกระจ่าง เรียบง่ายลึกซึ้ง ไม่อ้อม ไม่กำกวม
    เพราะจริตของท่าน เป็นพุทธภูมิมาก่อน จึงลึกซึ้ง ชัดเจน แจ่มแจ้ง
    เรียกว่า ปัญญาและฤทธิ์ มีครบ

    หาอ่านได้จากหลายเว็บค่ะ
    ไปที่เว็บ 84000 ฯ ที่นั่นก็มี มีของท่านธรรมปิฎกด้วย และพระอริยะสายหลาย

    ลองไปดูนะ



    (*)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2008
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    กังขา หายไปนาน ไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะ มาคราวนี้พูดจาเป็นธรรม ดีนี่
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    เรื่อง รู้ตัวในความฝันนี่ ทางฝรั่งเขาบอกว่า มีจริง
    แต่ในทางพุทธแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่เป็นจริง

    เวลาเราฝัน แต่เรารู้ตัวว่าเราฝัน มันก็มี ผมก็เคย แต่ไม่ได้เป็นตัววัดความมีสติ
    เพราะการระลึกรู้ตัวว่าฝันนั้น ก็ซ้อนอยู่ด้วยความฝัน คือ ไม่มีสัมปชัญญะ

    เพราะว่า ความฝันนั้น คือ การตกภวังค์ มันจึงฝัน มันเป็นธรรมชาติของมัน
    ถ้าระลึกรู้ตัวขึ้นมาจริงมันต้องตื่น แต่นี่มันไม่ตื่น มันก็ยังอยู่ในภวังค์นั่นแหละ

    สติที่ดีคือ รู้อารมณ์ รู้ใจ ไม่จำเป็นต้องรู้ตัวในความฝัน
    เพราะถ้าสังเกตให้ดี รู้ตัวในความฝันมัน ดับทุกข์อะไรไม่ได้ มันหลอกเอา
     
  8. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    สำหรับ
    1. สักกายทิฏฐิ ความยึดมั่นว่าเป็นตัวตน
    2. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
    3. สีลัพตปรามาส การปฏิบัติ หรือ ยึดมั่นศีลพรต

    หากเราเห็นตัวใดตัวหนึ่ง แล้วละได้ ตัวอื่นก็จะถูกละตามโดยอัตโนมัต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2008
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ก็ อาจจะใช่หรือไม่ใช่ เพราะถ้าใช่เช่นนั้นเสมอไป ก็เป็น สักกายทิฎฐินะสิครับ
    การละได้ไม่ใช่เพราะ เหตุคือละตัวหนึ่งได้ แต่ละได้ด้วยปัญญา ที่มองเห็น

    ทีนี้มันอาจจะ ละตัวหนึ่งได้ แต่ต้องใช้ปัญญา พิจารณาตัวอื่นต่อไปอย่างยิ่งยวดกว่าจะละได้
    หรืออาจจะละได้ทันที แล้วแต่วาสนาครับ
     
  10. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ครับ ดังที่อาจารย์ว่ามา

    สมมุตติ เราเห็น
    สีลัพตปรามาส เราก็คลาย สงสัย
    เมื่อคลายวิจิกิจฉา ก็จะถอน ความยึดมั่น(สักกายทิฏฐิ)


    เป็นไปตามภูมิ ญาณ หรือปัญญา
    เป็นลำดับบ้าง ก่อนหลังบ้าง หรือพร้อมกันบ้าง แล้วแต่วาสนา
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    แหม อ.ขันท์ มาแนวนุ่มนวล

    เรื่องสังโยชน์ 3 ตัวนั้น โดยความเห็นส่วนตัวนี้ รู้สึกว่าไม่ได้เกี่ยวเนื่อง
    หรือเป็นปัจจัยกันเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับความแจ่มในการเห็นครั้งแรก ถ้าแจ่ม
    มากๆ ก็เห็นทางของตนแน่นอน อันนี้ก็ละ 3 ตัวรวด

    แต่ส่วนใหญ่จะไม่แจ่ม ดังนั้นตัวที่ 3 ยังต้องคลำทางก่อน เช่น บางคนเห็น
    แล้วว่าหนทางอยู่ที่จิต แต่ยังคงไปนั่งสมาธิเพื่อเอาอภิญญา อันนี้ก็ต้องถือว่า
    ออกนอกทางนิดหน่อย คือ ยังงก อย่างที่ผมบอก ถ้าไม่งก และใจถึงนี้ ก็เดิน
    ทางตรงสายเดียวเลย การยึดศีลแบบผิดๆ เพื่อฐานะนั้น ฐานะนี้ หรือ ลูบๆคลำ
    จะไม่มีอีก
     
  12. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    งั้นการละทีเดียว 3 ตัวรวด ย่อมเป็นไปได้

    ถ้าเราให้น้ำหนักกับ สีลัพตปรามาส อย่างท่อแท้

    กล่าวคือ สีลัพตปรามาส ละด้วยปัญญา นำไปสู่ศรัทรา(สิ้นสงสัย)
    คือ ปัญญาเสมอศรัทรา ไม่มากกว่ากัน หรือน้อยกว่ากัน
    เมื่อสองอย่างเสมอกัน ก็มองเป็นเหตุเป็นผล เป็นของจริงแท้ คือคลายยึดมั่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2008
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    แหม สุ่มเสี่ยงแล้ว โยนให้ท่าน อ.ขันท์ดีกว่า

    แต่ดูๆ นี้คุณฐานัฏฐ์จับตัว ไตรสิกขา แน่นเชียว เหมือนท่าน ป.อ.ประยุต
    ท่านย่อ ขยายธรรมด้วย ไตรสิกขา จะเป็นครูสอนกะเขาด้วยหรือเปล่า

    แต่ถ้าเป็นพระที่ผมเคยไปถามนี้ เดาเอาว่าท่านจะพูดว่า ตอนนี้หลงรู้ไหม
    -- พาเดินอย่างเดียวเลย -- :)
     
  14. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ทางศัพท์พระ ท่านเรียก ปรับอินทรีย์
    แต่ผมก็ไม่แน่ใจครับ ว่ามีอะไรบ้าง
    เรื่องแข็งๆหย่อนๆอะไรเนี่ยและ ครับ
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ไม่ต้องคิดอะไรมาก ว่าเป็นอย่างไร ดูจิตดูใจไปเรื่อยๆ พอเต็มภูมิ มันจะเกิดญาณเอง คือ ญาณนี้เกิดเมื่อมัน เต็มแล้ว มันเข้าใจเต็มรู้ชัดในตัวมันเอง

    ถ้ายังไม่รู้ชัด มันก็ยังแฝงด้วยอวิชชา

    ละได้ มันละได้ที่ใจ มันไม่ต้องคิดอะไร มันเห็นแล้วมันปล่อยเอง
    แรกๆ ที่เราดูนั่นดูนี่ มันก็ยังคิด พอได้แล้วมันไม่ต้องคิด

    อย่าไปคาดเอาก่อนนะ ว่านี่เราได้ หรือ ไม่ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็น ติดไปเสีย
    ทำมันแบบไม่ต้องการอะไร ทำมันตามความเป็นจริง ที่ไม่ใช่เราได้ แต่ตามเหตุตามผล นั่นแหละ
     
  16. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    การปรับอินทรีย์ให้เท่ากันคือ ปรับสัทธากับปัญญาต้องไปคู่กัน ถ้าสัทธามีมากกว่าปัญญา ก็จะทำให้เชื่อง่าย งมงาย ขาดการพินิจ ถ้ามีปัญญามากกว่าสัทธา คือฉลาดมากแต่ไม่เชื่ออะไรเลย ก็จะทำให้หัวแข็ง ดื้อ เชื่อมั่นตัวเองสูง เป็นอุปสรรคสำคัญเพราะคิดว่าตัวเองฉลาดแล้วจึงไม่ยอมสอบถามใคร ทำให้ไม่ได้ความรู้ที่ถูกต้อง หรือเป็นมิจฉาทิฐิได้ง่าย หรือถ้ามีวิริยะมากกว่าสมาธิ ก็จะทำให้ฟุ้งซ่าน เร่งทำความเพียรเพื่อให้สำเร็จ จิตใจก็จะกวัดแกว่งซัดส่ายไม่นิ่ง ถ้ามีสมาธิมากกว่าวิริยะ ก็จะถูกความเกียจคร้านรุกรานครอบงำได้ง่าย ดังนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นการปรับอินทรีย์ 2 คู่นี้ให้มีเท่า ๆ กัน จึงจะได้ประโยชน์
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ทำไปเรื่อยๆ มองตัวหยาบ ตัวละเีอียดให้เห็น วันนี้เห็นอะไรเกิดขึ้นมากกว่าก่อนหรือไม่ ในจิต เห็นอะไรละเอียดขึ้นหรือไม่
    นั่นแหละ มันจะบอกความก้าวหน้า

    พอเห็น มันก็รู้ขึ้นมาทันทีว่า นี่เราเห็นละเอียดขึ้นนี่ เห็นไปเรื่อยๆ จนมันเต็มพอที่จะ ถอน ได้ มันก็ถอนของมันเอง นั่นแหละ ทั้งสัมมาทิฎฐิ มรรค มันอยู่ตรงที่ มอง รูปนาม ละเอียดขึ้นนั่นแหละ ไม่ต้องไปคิดอะไร ตามตำรา เอาตามเหต ตามผล ที่แท้จริง มันเป็นไปเอง ถ้าเอาปัญญา เอาตำราไปคาด มันจะ บิดเบือน หรือ บัง
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ให้สำรวจใจ ตนเองว่า กระเพื่อมไหม เจอโลกธรรม นี้ยังกระเพื่อมไหม นั่นแหละ
    เจอเหตุการณ์ ไม่พอใจ ใจนี้กระเพื่อมมากน้อยแค่ไหน

    ถ้ามันไม่กระเพื่อม จิตเบิกบานได้ ไม่ขึ้นๆลงๆ ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรผ่านเข้ามา
    นั่นแหละ ตัววัด ว่าภูมิธรรมนี้ก้าวหน้า

    ตามธรรมดาปุถุชน นี้ วันหนึ่งขึ้นๆ ลงๆ ไม่รู้กี่ครั้ง แต่ถ้าพระอริยะ นี่ จะเบิกบานตลอด ทุกข์เข้ามาไม่ถึง พอทุกข์เข้ามา มองเห็นเป็นอนัตตาทีเดียวสลายไป มันก็ไม่มีอะไร

    ก็ปฎิบัติไปจนไม่ต้องสนใจตามตำรา ให้มันเป็นเหตุเป็นผลในตัวของมันเอง สำคัญที่สุด แล้วเอาสิ่งที่ผมพูดเป็นตัววัด

    สำคัญคือ อย่าหลงว่าเราได้ แต่ให้ฟัดกับกิเลเสโดยไม่ต้องไปสนใจ ภูมิธรรม เพราะผลที่ได้มัน ได้ที่ใจ ไม่ต้องมีใครมารับรอง

    เราสบายใจของเราได้ เราเบิกบาน อย่างกับเด็ก เล่นขายของนั่นแหละ ดี

    งานหนักแค่ไหน เหนื่อยแค่ไหน เราไม่รู้สึกที่ใจ ดับทุกข์ตัดทุกข์ได้ ไม่ทันมากระทบ
     
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    ตามความ 37 ก็ได้นะ แต่ถ้ามาคุยกันในฐานะที่ผ่านการเห็นอริยสัจจรอบแรกนี้

    คำว่า ศรัทธา นี้ไม่ผิดแล้วนะ ไม่ผิดทั้งการเกิดศรัทธา ไม่ผิดทั้งวิธีการศรัทธา
    และก็ไม่ผิดทั้งผลของการศรัทธา จะมีแต่ศรัทธาที่ถูกต้อง ดังนั้น การมี
    ศรัทธามาก หรือ น้อยตอนนี้จะไม่พาผิดทาง ไม่ต้องปรับอะไรเลย มีแต่ได้

    จุดนี้ก็เอาไปดูได้ ใครมีศรัทธามาก แต่ออกแนวงมงายให้เห็นนี้ ชี้แล้วเถียงอีก
    แปลว่ายังไม่ได้ศรัทธาตัวจริง ยังเป็นศรัทธาที่ต้องปรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2008
  20. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ที่กล่าวมาทั้งหมด มิได้อ้างตำราครับ เพียงแต่ตั้งข้อสังเกต

    สรุป คือถ้าเรามั่นใจว่ามาถูกทาง ก็ไม่ต้องสนใจ อะไรจะเกิด ลุยมันไปเรื่อยๆสบายๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...