ในเว็บนี้มีใครเป็นพระโสดาบันแล้วบ้างเอ่ย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หยากหลุดพ้น, 22 มกราคม 2008.

  1. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    อิอิ...ถ้ายายผีป่าบอกว่าตัวยายผีป่านี่บรรลุโสดาบันแล้ว เชื่อไหม?

    ก็ต้องมีหลายคนเชื่อ และบางคนเฉยๆ เพราะไม่เห็นว่าการบรรลุหรือไม่บรรลุของคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเค้าน่ะ

    บางคนยี้...น้ำหน้าอย่างนี้เหรอจะบรรลุโสดาบัน

    ดังนั้น เรื่องใครเป็นอะไร อย่างไร แค่ไหน มันไม่มีประกาศนียบัตรเน้อ ไม่มีหรอกที่ว่า เวลาเดินไปไหน จะมีไฟกระพริบที่หน้าผากว่า นี่สีนี้คือโสดาบัน สีนี้คือสกิทาคามี อะไรทำนองนี้

    ศีล ๕ และกรรมบท ๑๐ บอกตามตรงว่าสอบตกกันแทบทั้งน้าน แค่คำว่าคน ยังไม่ผ่านกองเซ็นเช่อร์เลยจ้า
     
  2. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    เงียบๆนิ่งดีกว่าครับคุณยายผีป่า เขาว่านิ่งๆเงียบๆหนะ ใช่ - -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2008
  3. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,763
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ bamrung [​IMG]
    ผู้บรรลุโสดาบัน ต้องผ่าน มรรคญาณ ผลญาณ จึงจะแจ้งภาวะไม่เกิดไม่ดับ แจ้งโลกุตรภูมิ จะต้องมีญาณรองรับสิ่งที่บรรลุ มิใช่คิดว่าตนเองไม่มีกิเลสคือบรรลุแล้ว มิฉะนั้นเป็นการละกิเลสที่เกิดจากการฝึกฝนเอาเท่านั้น ไม่สามารถละอัตตาได้จริง เพราะไม่แจ้งอนัตตาธาตุฯลฯ กิเลสทีละได้ขาดเป็นสมุทเฉทปหาน ฝึกเอาไม่ได้ ต้องอาศัย พลังแห่งมรรคญาณ



    คุณ bamrung เขาหมายถึงว่า มิใช่คิดว่าตนเองไม่มีกิเลสคือบรรลุแล้ว
    แต่ไม่ได้หมายถึง ต้องไม่มีกิเลส

    กิเลสที่ประหารไปในเหล่าพระอริยะ
    เปรียบเป็นสังโยชน์ เพื่อจะได้สื่อความได้ง่ายในการสื่อสารเข้าใจกัน

    โสดาบัน ละสังโยชน์สาม ยังไม่ละกิเลสแบบให้เบาบางก็จริง
    แต่มีปัญญาญาณ ที่ประหารกิเลสในสังโยชน์สามข้อแรกไปแล้ว คือจะไม่สร้างกิเลสอย่างหยาบอีก

    ละกิเลสแบบการฝึกตน เป็นอริยะไม่ได้ค่ะ

    แม้นแต่การ เข้าไปเห็นจิตแบบโลกียณาน คือข่มกิเลสไว้ ยังไม่ประหารกิเลส ก็ยังไม่ใช่อริยะนะ จึงมีคนคิดว่าตัวเป็นอริยะกันมาก ทั้งที่ไม่ได้เป็น
    ต้องเป็นโลกุตตระณานเท่านั้น


    (*)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2008
  4. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,763
    อริยมรรคมีองค์แปด ก็คือทางที่จะนำพาไปสู่ความเป็นอริยะ
    หากทำบ่อยๆ ไปบ่อยๆ จนชิน ก็รู้สึกว่าทำได้ไม่ยาก
    เปรียบไปก็คล้าย โสดาปัตติมรรค คือเป็นผู้รู้ทางอยู่

    แต่มรรคญาณ ยังไม่แจ้ง ง่ายๆ คือยังไปไม่ถึง

    หากทำต่อเนื่อง จนถึงทาง สุดทาง ก็จะเกิด มรรคญาณ ผลญาณ ตามมาค่ะ

    การดำเนินไปตามมรรค จึงเป็น โสดาปัตติมรรค แม้จะไม่ถึงวันนี้

    มันก็ต้องถึงได้สักวันค่ะ

    โสดาปัตติผล และสูงกว่า ย่อมบังเกิดกับผู้ที่เจริญ อริยมรรค (ศีล สมาธิ ปัญญา)


    (good)
     
  5. panuwat_cps

    panuwat_cps เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +433
    พระโสดาบัน โดยรวมคือผู้ที่สมบูรณ์ด้วย "อธิศีล" และมีกรรมบท 10 ร่วมอยู่ด้วย โดยอาศัย พรหมวิหาร 4 ในการรักษา เป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ อารมณ์ก็ต้องมีความระลึกในศีลเป็นปกติคือการทำอะไรจะระลึกเสมอว่าระเมิดศีลหรือเปล่า ใช่หรือเปล่าครับ ต้องไม่ลืมความตาย(อันนี้รวมถึงไม่กลัวตายด้วย) และเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ถูกต้องใหม ถ้าเป็นตามนี้ถือว่าบรรลุพระโสดาบันแล้วใช่ป่ะครับ อิอิแต่อย่าคิดว่าผมเป็นนะครับผมจำมาและก็สรุปย่อๆ เล่าให้กันฟังอ่ะ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วถือว่าบรรลุเป็นพระโสดาบันจริงกำลังใจถึงแล้ว ผมว่าถ้าเราทุกคนมาพยายามดำเนินตามวิถีทางนี้มันก็ดีนะครับถือว่าไม่ขาดทุนที่เกิดมาเป็นมนุษย์และเจอพระพุทธศาสนา อย่างน้อยเราก็พยายามดำเนินตามทางของ"โสดาปัตติมรรค" ถึงแม้นว่าจะไม่ถึงแต่ก็เป็นกุศลให้ไปเกิดในสุขติภูมิ และอาจจะมีโอกาสได้เจอพระพุทธเจ้าอีก 6 พระองค์สำหรับในกัปป์นี้ ยังไงเสียหากไม่ละความเพียรในการกระทำความดี "พระนิพพาน" ที่ทุกท่านรอคอยก็จะสำเร็จได้อย่างแน่นอน

    "ขอทุกท่านจงถึงซึ่งพระนิพพานโดยเร็วเทอญ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ"
     
  6. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,763
    โสดาบัน ละอกุศลกรรมบถ 10 ดังนี้ ค่ะ

    ใครไม่เข้าใจ คลิ๊กเข้าไปอ่าน กระทู้ ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา-หลวงปู่มั่น



    พระธรรมเจดีย์ : ถ้าเช่นนั้นพระโสดาบันท่านก็ละอกุศลกรรมบถ 10 ได้ เป็นสมุจเฉทหรือ ?

    พระอาจารย์มั่น : ตามความเห็นของข้าพเจ้า เห็นว่ากายทุจริต 3 คือ ปาณา อทินนา กาเมสุมิจฉาจาร มโนทุจริต 3 อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฎฐินี้ละขาดได้เป็นสมุจเฉท ส่วนวจีกรรมที่ 4 คือ มุสาวาทก็ละได้ขาด ส่วนวจีกรรมอีก 3 ตัว คือ ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาป ละได้แต่ส่วนหยาบที่ปุถุชนกล่าวอยู่ แต่ส่วนละเอียดยังละไม่ได้ต้องอาศัยสังวรความระวังไว้

    พระธรรมเจดีย์ : ที่ต้องสำรวมวจีกรรม 3 เพราะเหตุอะไร ทำไมจึงไม่ขาดอย่างมุสาวาท ?

    พระอาจารย์มั่น : เป็นด้วยกามราคะ กับปฏิฆะ สังโยชน์ทั้ง 2 ยังละไม่ได้

    พระธรรมเจดีย์ : วจีกรรม 3 มาเกี่ยวอะไรกับสังโยชน์ทั้ง 2 ด้วยเล่า ?

    พระอาจารย์มั่น : บางคาบบางสมัย เป็นต้นว่ามีเรื่องที่จำเป็นเกิดขึ้น ในคนรักของท่านกับคนอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขาทำความไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่ง จำเป็นที่จะต้องพูด ครั้นพูดไปแล้วเป็นเหตุให้เขาห่างจากคนนั้น จึงต้องระวัง ส่วนปิสุณาวาจา บางคราวความโกรธเกิดขึ้นที่สุดจะพูดออกไป ด้วยกำลังใจที่โกรธว่าพ่อมหาจำเริญแม่มหาจำเริญ ที่เรียกว่าประชดท่าน ก็สงเคราะห์เข้าใจผรุสวาจา เพราะเหตุนั้นจึงต้องสำรวม ส่วนสัมผัปปลาปนั้น ดิรัจฉานกถาต่างๆมีมาก ถ้าสมัยที่เผลอสติมีคนมาพูด ก็อาจจะพลอยพูดไปด้วยได้ เพราะเหตุนั้นจึงต้องสำรวม



    เหอๆๆ หมู่นี้ขี้เกียจมั่กๆ
    อ่านกันเองแล้วกัน

    (good)
     
  7. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    ไม่รู้จักทั้งนั้นหละครับ ถ้าเรียกแบบภาษาพระ
    ก็เหมือนขับรถไปหมอชิตไหม่ ถามว่าต้องวิ่งไปถนนเส้นไหนบ้างก็ตอบไม่ได้
    แต่ถ้าไห้ขับไปก็ไปได้ สบายๆ
    ถามว่าเคยไปสะพานพุธไหมก็อาจจะตอบว่าไม่เคยไป เพราะไม่รู้จัก ทั้งๆที่จริงๆ อาจจะเคยไปเดินบนสะพานพุธมาแล้ว
    จริตของผมเป็นแบบนี้ คือไม่ค่อยสนใจจำว่าเรียกว่าอะไร
    จริตคนละอย่าง คงไม่เข้าใจหรอก
    ปัจจัตตังละกันไม่ยุ่งดี
    พอละกระทู้นี้สำหรับผม
    ออ ผมยังเชื่ออีกอย่างนะครับว่า แม้นแต่คนเก็บของเก่าขายบางคนก็ยังบรรลุโสดาบันแล้วด้วยซ้ำไป แต่ถ้าไปถามภาษาพระกับเขาก็คงไม่เข้าใจเหมือนกัน

    ที่จริงแล้วกระทู้นี้ไม่ควรตั้งชื่อแบบนี้เลย เพราะผู้ตอบตอบไม่ตรงคำถามเลย

    ควรตั้งชื่อว่า พระโสดาบัน ดูอย่างไรมากกว่า
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านจงยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ไห้ถึงพร้อมเถิด(เอ. . . จำมาผิดไหมหนอ) สิ่งไดไม่เกิประโยชน์ก็อย่าทำเลย
    ถ้าทำแล้วเกิดประโยชน์ ก็ทำเถิด ไม่ไช่นิ่ง ๆ ๆ <<< เติมเอง - -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2008
  8. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    ไม่ว่าจะได้เป็นพระโสดาบันหรือยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน เราก็ควรมุ่งหน้าปฏิบัติธรรมทำความดีกันต่อไป อย่าพึงไปติดอยู่แค่นั้น สมมุติว่า เราขับรถมาจากเชียงใหม่ (สามัญชน) จะไปยังกทม.(พระนิพพาน) แต่ยังไม่ถึงกทม. ถึงแค่พิษณุโลก (โสดาบัน) เราจะหยุดแล้วหรือ เรายังต้องผ่านอีกหลายจังหวัด (สกิทาคามี , อนาคามี และอรหันต์) กว่าจะถึงกทม. ถ้าเราน้ำมันหมดหรือไม่พอ (บุญบารมีไม่มากพอ) ก็ไปหาน้ำมันเติมก่อน (สั่งสมบุญบารมีเพิ่มเติม)แต่ถ้าเรายังมีน้ำมันมากพอ(บุญบารมีมากพอ) เราไปต่อดีกว่า เพราะจุดมุ่งหมายปลายทางสูงสุดของเรา คือ กทม. (แดนทิพย์พระนิพพานบรมสุข)
    ................................................................................
    อนุโมทนา สาธุ ๆ กับท่านผู้ใฝ่ธรรมและปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหลาย ขอท่านจงบรรลุมรรคผลนิพพานในฉัพพลัน เมื่อบุญบารมีที่สั่งสมไว้ถึงพร้อมแล้ว
     
  9. casyrybacksed

    casyrybacksed Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +66
    ถูกต้องแล้วครับ มีแต่พระพุทธเจ้า และตัวตนของผู้บรรลุแล้วเท่านั้น ที่จะล่วงรู้ขีดขั้นความสำเร็จของตนเองได้ สิ่งนี้เรียก เป็น ปัจจัตตัง คือล่วงรู้ได้เฉพาะตน

    เหตุผลที่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ล่วงรู้ ขีดขั้นความสำเร็จของบุคคลอื่นได้ เพราะท่านอยู่นอกเหนือขอบเขต จำกัดทั้งมวล
     
  10. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    ว่าจะไม่โพสกระทู้นี้แล้วนะครับแต่เพราะคนอื่นอาจเข้าใจผิดว่าผมบอกว่าบรรลุโสดาบันแล้วเพราะเข้าใจผิดขอยืนยัยอีกทีละกัน
    ผมอะโสดาบันแล้วครับ!!
    (deejai) ไม่ต้องสนใจหรอกครับเรื่องเฉพาะตนไงคือ เรื่องของตน เรื่องของเรา!!!!!

    สร้างกรรมแล้วเรา เฮ้อ . . .ต่อไปนี้คงต้องพยามรักษาสติไห้มั่นคงกว่านี้จะได้ไม่ต้องมาโพสวนเวียนเวียนว่ายขุดๆๆอยู่ในกระทู้แบบนี้อีก - -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2008
  11. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,763
    อ้างอิง กังขา ณ ปลาย
    ละกิเลสแบบการฝึกตน เป็นอริยะไม่ได้ค่ะ


    อ้างอิง ขุนพล พลมณี
    การละกิเลสที่เกิดจากการฝึกฝน ไม่สามารถละอัตตาใด้ ผิด



    ดิฉันหวังว่า คงไม่ได้มีความหมายเหมือนกันนะ ? (deejai)
    ชั่วคราว น่าจะไม่มีปัญหา
    แต่โสดาบัน ก็ใช่ละอัตตาได้นะ ต้องอรหันต์ อะค่ะ



    ...


    อามาฝากจ๊ะ


    การดูพระอริยเจ้านั้นดูได้ยาก :
    พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ

    การดูพระอริยเจ้านั้น ส่วนมากจะสุ่มเดาตามกิริยาที่แสดงออกมาทางกายและวาจา การดูในลักษณะอย่างนี้ก็ยากที่จะถูกต้องได้ เพราะพระอริยเจ้ากับผู้ยังเป็นปุถุชนมีกิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจาเหมือน ๆ กัน ถึงท่านผู้นั้นจะได้บรรลุธรรมถึงขั้นเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม จะตัดนิสัยเดิมของท่านเองไม่ได้ นิสัยเป็นมาอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น เช่น พระสารีบุตรในชาติก่อนมาเคยเป็นลิง นิสัยลิงก็ยังติดตัวมา ฉะนั้น พระสารีบุตรจึงชอบกระโดดโลดเต้นอยู่เป็นนิสัย เห็นกิ่งไม้ใดพอจะกระโดดจับโหนตัวเล่นก็ต้องทำ หรือเห็นน้ำบ่อพอจะกระโดดข้ามได้ก็ต้องกระโดดไปมา จนพระองค์อื่นเห็นก็เกิดความแปลกใจ ทำไมพระสารีบุตรจึงแสดงในกิริยามรรยาทที่ไม่เหมาะสมอย่างนี้ ไม่สมศักดิ์ศรีที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระอรหันตสาวกข้างขวาของพระพุทธเจ้าเลย จึงมีพระองค์อื่นโจษขานกันขึ้นและเล่าเรื่องของพระสารีบุตรถวายแด่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิสัยเดิมของพระสาวกนั้นละไม่ได้ นิสัยเคยเป็นมาในอดีตมีอย่างไร การแสดงออกมาทางกายและวาจาก็ชอบแสดงออกมาอย่างนั้น ฉะนั้น

    จึงได้เปรียบนิสัยของพระอริยเจ้าและปุถุชนไว้ดังนี้
    ๑. น้ำลึกเงาลึก ๒. น้ำลึกเงาตื้น ๓. น้ำตื้นเงาลึก ๔. น้ำตื้นเงาตื้น
    ทั้ง ๔ ข้อนี้ เป็นวิธีตัดสินได้ยากมาก เพราะไม่มีญาณหยั่งรู้พิเศษเฉพาะตัว นอกจากจะสุ่มเดาไปเท่านั้น

    ข้อ ๑ คำว่า น้ำลึกเงาลึก หมายความว่า ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ในใจแล้ว และก็ยังมีนิสัยกิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจามีความสุขุมลุ่มลึก เป็นนิสัยเดิมของท่านเป็นมาอย่างนั้น ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็พอจะเดาถูกบ้าง

    ข้อ ๒ คำว่า น้ำลึกเงาตื้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ภายในใจแล้ว แต่กิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจาไม่มีความสำรวมเลย อยากแสดงตัวอย่างไร อยากพูดอย่างไร ก็เป็นในความไม่สำรวมทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ผิดในพระธรรมวินัย ไม่มีอกิริยาภายในใจ แต่เป็นเพียงกิริยาที่แสดงออกมาเท่านั้น ถ้าหากไปพบเห็นผู้ที่ท่านเป็นนิสัยอย่างนี้ ก็จะเดาภายในใจไปเลยว่า ท่านผู้นี้ยังเป็นปุถุชนทันที เพราะมีนิสัยไม่น่าเคารพเชื่อถือได้เลย

    ข้อ ๓ ส่วน น้ำตื้นเงาลึก หมายความว่า ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจ แต่กิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจานั้นมีความสุขุมลุ่มลึกมาก การสำรวมทางกาย การสำรวมทางวาจาน่าเลื่อมใส ใครได้พบเห็นแล้วจะเกิดความเชื่อถือเป็นอย่างมาก เพราะความบกพร่องในความชั่วร้ายในตัวท่านไม่มี ถ้าได้พบเห็นผู้ที่ท่านมีนิสัยอย่างนี้ ก็จะเดาไปว่าเป็นพระอริยเจ้าทันที

    ข้อ ๔ ส่วน น้ำตื้นเงาตื้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจเลย กิริยามรรยาทการแสดงออกทางกายทางวาจาไม่มีความสำรวมแต่อย่างใด ทำไปพูดไปตามใจชอบ ถ้าหากพบเห็นท่านผู้ใดมีกิริยาการแสดงออกมาอย่างนี้ ก็จะพอเดาถูกอยู่บ้าง

    ถ้าจะดูนิสัยน้ำลึกเงาตื้น หรือดูนิสัยน้ำตื้นเงาลึก คิดว่าท่านจะต้องเดาผิดอย่างแน่นอน ฉะนั้น การสุ่มเดาว่าใครเป็นพระอริยเจ้า และใครเป็นปุถุชนนั้น จึงยากที่จะสุ่มเดาให้ถูกทั้งหมดได้ ถึงพระอริยเจ้าด้วยกันก็ยังไม่รู้กันทั้งหมดได้ เช่น พระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบันก็ยังไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระสกิทาคามี พระอริยเจ้าขั้นพระสกิทาคามีก็ไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามีได้ พระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามีก็ไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระอรหันต์ได้ แม้พระอรหันต์องค์ที่ท่านไม่มีญาณพิเศษส่วนตัว ก็ไม่สามารถรู้ภูมิธรรมขององค์อื่นได้ แต่เมื่อได้สนทนาธรรมกันแล้ว ท่านจะรู้ทันทีว่า ท่านผู้นั้นมีภูมิธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ทันที ในบางกรณีพระอรหันต์ก็ย่อมรู้กันได้ หรือรู้ภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นอื่นได้ด้วย นั่นคือ เป็นผู้มีนิสัยเกี่ยวข้องกันมาในอดีต เคยสร้างบารมีร่วมกันมา และเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาหลายภพหลายชาติ ถ้าในกรณีอย่างนี้ก็พอรู้กันบ้าง ถึงจะรู้ท่านก็ไม่โฆษณา นอกจากว่าจะพูดเป็นนัย ๆ ให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดฟังบางโอกาสเท่านั้น เช่นว่า เพชรน้ำหนึ่งอยู่ที่โน้นที่นี้ หรือพูดว่า ท่านองค์นั้นมีสติดีแล้วนะ อย่างนี้เป็นต้น

    เมื่อศาสนาล่วงเลยมาจนบัดนี้แล้ว ความคิดเห็นของแต่ละท่านก็ย่อมมีความแตกต่างกันไป ดังได้ยินอยู่เสมอว่า ในยุคนี้สมัยนี้ ไม่มีพระอรหันต์เกิดขึ้นได้เลย เพราะหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว ส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจกันอย่างนี้ แต่ก็ยังมีผู้เชื่อว่าในยุคนี้สมัยนี้ยังมีพระอรหันต์อยู่ แต่ก็มีน้อยองค์ จะนับเป็นเปอร์เซ็นต์ออกมาไม่ได้ ดังคำว่า เมื่อใดยังมีผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอยู่ เมื่อนั้นจะไม่ขาดจากพระอรหันต์ ถึงจะมีพระอรหันต์หรือพระอริยเจ้าขั้นอื่น ๆ น้อยก็ตาม ก็ยังนับว่ายังมีอยู่นั้นเอง

    ถ้าหากมีคำถามว่า ในยุคนี้สมัยนี้ถ้าหากยังมีพระอรหันต์อยู่จริง ว่าใครเป็นพระอรหันต์ ก็บอกแล้วว่าดูยากมาก ถ้าหากจะดูจริง ๆ ก็ดูอัฐิของหลวงพ่อต่าง ๆ ที่ถูกเผาไปก็แล้วกัน ถ้าอัฐินั้นได้แปรสภาพเป็นเม็ดใสเหมือนกับเมล็ดงา หรือมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง หลักจากเผาไปแล้วไม่นานนัก นั้นแหละคือพระอรหันต์โดยแท้ ส่วนพระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน อัฐิยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพราะมีกิเลสภายในใจละยังไม่หมด บางท่านยังเข้าใจว่า อัฐิได้แปรสภาพเป็นพระธาตุตั้งแต่ภูมิธรรมพระโสดาบันขึ้นไป

    ความเข้าใจอย่างนี้ไม่มีประวัติในครั้งพุทธกาลเลย ถ้าเช่นนั้น พระโสดาบันผู้ที่จะไปเกิดอีก ๗ ชาติข้างหน้าโน้น แต่ละชาติภูมิธรรมก็ไม่ได้เสื่อมไปจากใจ เมื่อตายไปแต่ละชาติ อัฐิก็จะกลายเป็นพระธาตุทุกชาติไปอย่างนั้นหรือ บางท่านก็เข้าใจว่า การอธิษฐานให้อัฐิกลายเป็นพระธาตุก็เป็นได้ นี้ความเข้าใจของคนเรา จึงมีความแตกต่างกันไป ดังได้ยินว่า อัฐิของหลวงปู่องค์นั้นได้แปรสภาพเป็นพระธาตุขึ้นมาแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็สวนขึ้นมาทันทีว่า เรื่องไร้สาระหาวิธีหลอกประชาชนให้งมงาย คนประเภทนี้ก็มีอยู่ในโลก ไม่ยอมรับความจริงจากใคร ๆ ไม่ว่าในยุคนี้หรือครั้งพุทธกาล แม้พระพุทธเจ้าของเรา ก็ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง

    ฉะนั้น ในโลกนี้จึงเกิดลัทธิขึ้นมาเป็นกลุ่มเป็นคณะ แต่ละกลุ่มแต่ละหมู่ก็พยายามปกป้องในกลุ่มตัวเองและปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง โจมตีกันไปว่าฝ่ายโน้นไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ไป ในที่สุดก็เกิดสงครามน้ำลายกัน หรือมากกว่านี้ก็ใช้เครื่องทุ่นแรง มีปืน มีระเบิดเข้าถล่มกัน ล้มตายกันไปทั้งสองฝ่าย ลักษณะอย่างนี้นับวันจะเกิดความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่คือความแปรปรวนที่เป็นธรรมชาติของสัตว์โลกทั้งหลาย เมื่อถึงกาลเวลาแล้วจะต้องเป็นไปในตัวของมนุษย์เอง อาวุธทุกประเภทที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ก็เพื่อสังหารในหมู่มนุษย์กันเองมิใช่หรือ

    ฉะนั้น นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้ปัญญาชนผู้มีเหตุผลเป็นส่วนตัว ก็พอจะเข้าใจแล้วว่า การเปลี่ยนไปในสังคมโลก จะเบี่ยงเบนไปในทางทิศใด ถ้าหากเราจะพิจารณาย้อนหลังลงไปสัก ๕๐ - ๑๐๐ ปีที่ผ่านมาแล้ว มาเปรียบเทียบดูในสังคมยุคปัจจุบันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วให้คาดการณ์ล่วงหน้าไปอีกสัก ๑๐๐ - ๒๐๐ ปีข้างหน้า ก็จะรู้ว่าสังคมในหมู่มนุษย์ทั่วโลกย่อมมีการเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

    ฉะนั้น ขอนักปฏิบัติทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต บุญกุศลใดที่เราจะพึงทำในขณะนี้ก็รีบทำเอาเสีย เพราะไม่รู้ว่าชีวิตเราจะหมดไปเมื่อไร เมื่อถึงวันนั้นแล้วจะปรับตัวไม่ทัน ดังเราเห็นกันอยู่ในขณะนี้เอง และบุญกุศลที่ได้พิมพ์หนังสือประวัติหลวงพ่อทูลในครั้งนี้ ขอจงเป็นพลวปัจจัยให้ได้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมในชาติปัจจุบันนี้เทอญ.



    (deejai)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2008
  12. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ....ต้องการไปเชียงใหม่อย่างมุ่งมั่น....ไม่ได้สนใจข้างทาง ว่าถึงไหนแล้ว(เพราะยังไม่ได้หยุดเดินทาง)....พักกลางทางเมื่อไรก็เมื่อนั้น ถึงที่ไหนก็ที่นั่น(เพราะยังไม่ใช่เชียงใหม่ที่ต้องการ)....ไปต่อๆๆๆๆ ไม่รู้ถึงไหน รู้อย่างเดียว ..ยังไม่ถึงเชียงใหม่ที่ใฝ่ฝัน....ไม่ถึงวันนี้ ก็ วันหน้า ไปต่อๆๆๆไม่หยุดเท่าที่ไปได้ แค่ไหน แค่นั้น.............
     
  13. ma_nun_@

    ma_nun_@ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +18
    ขอนับถือ ยินดีในความดีทั้งหลาย
     
  14. ดาราจักร

    ดาราจักร ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,707
    ค่าพลัง:
    +10,091
    คิดมากไปทำไมน่ะครับ จะดูจริยาคนอื่นไม่ดีหรอก

    มาดูที่ใจตัวเราเองดีกว่า ว่าเมื่อไหร่เราจะได้เข้าใจธรรมอย่างถูกต้องบ้าง

    จะได้เดินในเส้นทางของความสุขสงบซักทีน่ะคับ

    อนุโมทนาทุกๆคนนะครับ
     
  15. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    ผู้ที่อยากได้ย่อมไม่ได้ ผู้ที่ไม่อยากย่อมได้ ธรรมมะคือธรรมชาติถ้าเข้าใจธรรมชาติก็จะเข้าใจธรรมมะ ขอน้อมนมัสการพระอรหันเจ้า และผู้เจริญในธรรมทุกท่าน และขออนุโมทนาบุญของท่านทั้งหลายด้วย เราว่าอย่ายึดติดกับสมมุติบัญญัติเลย สิ่งสุดท้ายที่ทุกท่านมุ่งไปคือความไม่มีตัวตนละตัวตน ถ้าไม่มีตัวตนก็ไม่มีทุก และไม่มีตัวตนก็ไม่มีกิเลส สุดท้ายก็เท่านี้เอง
     
  16. เด็กชายพชร

    เด็กชายพชร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +98
    บอก / ไม่บอก (ว่าใช่)
    ใครได้ และใครยังไม่ได้ (พระโสดาบัน)
    มีแค่ประโยชน์กับตัวเอง(เท่านั้นที่รู้) แต่ไม่มีประโยชน์กับผู้อื่น

    แต่วันนี้ดีใจที่มีผู้สนใจในพระพุทธศาสนากันมากขึ้น จากเว็บนี้ก็เยอะมากที่เจอมิตรธรรมหลาย ๆ ท่าน
    เราบอกกะพ่อว่า "พ่อนู๋จะตั้งใจทำความดีให้มากที่สุด จะนั่งสมาธิแล้วนะ พ่อเราไม่ต้องไปวัดไหนหรอก เข้า(วัด)ที่ใจของเราก็พอแล้ว" ....พ่อก็อมยิ้ม
     
  17. theerakiet

    theerakiet สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +13
    ประทับใจคำตอบของคุณโลกสมมติ มากครับ... เห็นด้วยอย่างยิ่ง

    ขออนุโมทนากับทุกท่านครับ
     
  18. thanatos hipnos

    thanatos hipnos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +26
    ไม่แน่นะครับท่านอาจเห็นว่าควรพูดแล้วจึงพูด
     
  19. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    เมื่อเลิกสงสัย

    เมื่อเลิกศึกษา

    เมื่อเลิกพยายาม

    และอยู่กับปัจจุบัน

    ให้ตนเป็นที่พึ่งเเห่งตน

    คนที่บรรลุธรรมเเล้ว คำว่าโกรธ เกลียด รัก ชอบ

    สำหรับพวกเขาเเล้วเป้นเพียงแค่ ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สักพักก็ดับไป

    ตัวตนที่แท้จริงของทุกสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์เป็นเพียงเเค่ความว่างเปล่า

    หากเรามนุษย์ สามารถอยู่ตรงกลาง เป็นเพียงแค่ผู้ดู

    ระหว่างสังขารและจิต เราก็จะเข้าใจว่า

    ร่างกายและอารมณ์ที่ปรวนแปรตลอดเวลานั้น

    แท้จริงมันก็เป็นเพียงแค่ ตัวละครหนึ่งที่เราได้ดู

    เพียงแต่เป็น ทีวี ที่มีระบบสัมผัสมากกว่า 2 มิติเท่านั้นเอง

    เพราะเราสามารถลิ้มรสและสัมผัสได้เหมือนจริงทุกประการ

    ตัวตนที่เเท้จริงของเรานั้น แท้จริงเเล้วเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า

    หรือที่นักวิทยาศาสตร์ เรียกว่า พลังงานนั้นเเหละ

    ทำไมเราถึงคิดว่า ร่างกายที่เราอาศัยกับสิ่งที่อยู่ภายนอกและภายใน

    คือ ตัวตนเราที่เเท้จริง
     
  20. LNS@BDZ

    LNS@BDZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,585
    ตอบเจ้าของกระทู้

    จะรู้มั้ยครับ แล้วจะรู้ไปเพื่ออะไรครับ ถ้าสมมติว่า L เป็นพระโสดาบันซะเอง ก็ไม่รู้จะบอกไปเพื่ออะไรล่ะครับ บอกไปมันก็ไร้ค่าครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...