อย่าพยายามฝืนที่จะมีเมตตา!

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย หัวมัน, 19 กันยายน 2015.

  1. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    ถาม -- เจอหน้าคนที่ไม่ชอบทีไร จะเผลอชักสีหน้าออกไปทั้งๆที่อยากเก็บอาการ ทำอย่างไรถึงจะมีใจเมตตาต่อเขาได้มากขึ้นคะ?

    ดังตฤณตอบ :

    อย่าพยายามฝืนที่จะมีเมตตา
    เพราะความฝืนที่จะมีเมตตา
    จะทำให้เรายิ่งรู้สึกว่าเขาเป็นภาระหนัก

    การที่เรารู้สึกว่าใครเป็นภาระหนัก
    จะเพิ่มความเป็น ‘สภาพลบ’ ในตัวเขาขึ้นมาทุกครั้งที่เห็น
    เราจะรู้สึกหนักอึ้ง
    เราจะรู้สึกว่าต้องฝืนใจทำอะไรบางอย่าง

    .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

    ทางที่ดีที่สุด ให้ ‘ยอมรับไปตามจริง’
    ยอมรับตรงๆกับตัวเองเลยว่าเกลียด
    ให้คะแนนความรู้สึกไปเลยว่า
    เกลียดมาก เกลียดน้อย หรือเกลียดกลางๆ

    จากนั้นให้ดูว่าอารมณ์เกลียดนั้น
    ถ้าหากเรารู้สึกถึงมันแล้วนะครับ
    มันจะฝังอยู่เป็นอารมณ์มืด
    เป็นอารมณ์ลบไปได้นานแค่ไหน?
    ให้ยอมรับไปตามจริง

    ถ้าหากว่าคนที่เราไม่ชอบในระดับที่มากหน่อย
    ก็จะมีความรู้สึกขุ่นมัว มีความรู้สึกแย่ไปมากๆ
    อาจจะใช้เวลานาน อาจจะกินเวลาเป็นสิบนาที
    กว่าที่ความรู้สึกตรงนั้นจะเจือจางลง

    .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

    แต่ประโยชน์อยู่ที่ตรงนี้แหละ
    ไม่ว่ามันจะนานแค่ไหน
    คุณจะได้เห็น ‘ความไม่เที่ยง’
    ของอารมณ์เกลียด อารมณ์มืด
    ความรู้สึกที่มันแน่นๆอยู่ ความรู้สึกที่มันขุ่นๆอยู่
    ขอให้ยอมรับไปตามจริงว่า มันอยู่ได้นานแค่ไหน

    ในที่สุดแล้วคุณจะพบว่า
    การที่เราไม่ต้องฝืนใจแผ่เมตตาให้เขา
    แต่เอา ‘อารมณ์เกลียด’ ที่ได้จากเขา
    มาเป็น ‘ตัวฝึก’ ที่จะเจริญสติเห็นอนิจจัง
    เห็นความไม่เที่ยง
    ตรงนี้นะ พอความไม่เที่ยงมันแสดงตัว
    ความเกลียดมันจะทำให้เรารู้สึกว่า
    แม้แต่อารมณ์ลบมันก็หายไปเองได้
    ถ้าเราไม่ไปยุ่งกับมัน

    ขอให้รู้มันไปเฉยๆ ในที่สุดนะ..
    ถ้าเราได้เห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์เกลียด
    ตัวเขาจะกลายเป็น ‘เครื่องหมายบวก’ ขึ้นมาสำหรับเราทันที
    เพราะว่าเขาเป็นแบบฝึกหัดให้เราได้เห็น
    มันเห็นชัดที่สุดนะ อารมณ์เกลียด อารมณ์ที่ไม่ชอบ
    มันเห็นชัดยิ่งกว่าอารมณ์ที่เป็นสุขเสียอีก

    เพราะอารมณ์ที่เป็นสุข
    เราไม่อยากทำอะไรนอกจากจมไปกับมัน
    แต่อารมณ์ที่เป็นลบ
    เราอยากทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งกับมันอยู่แล้ว
    ก็ขอให้ทำในแบบที่ไม่ต้องเหนื่อยก็แล้วกัน
    และทำในแบบที่จะทำให้เกิด ‘ปัญญาทางจิต’
    เห็นความไม่เที่ยงได้

    .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

    ทุกครั้งนะครับ
    ที่คุณเห็นความไม่เที่ยงของความเกลียด
    จำไว้เลยนะ!
    มันจะมีความรักแบบอ่อนๆเกิดขึ้นมา
    เป็นความรักในแบบรักมนุษย์
    เป็นความรู้สึกที่อยากให้ตัวเองเป็นสุข
    แล้วตัวเขาก็เป็นสุข
    จากการเห็นธรรมะแบบนั้นนะครับ

    ________________

    ฟังเสียงตอบทางยูทูป : youtu.be/yYp_ZAraFZo
    ที่มา : รายการดังตฤณวิสัชนาออนแอร์ ๒๕๕๕
     
  2. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    ลองฝึกปฏิบัติด้วยวิธีนี้มาระยะหนึ่ง (หลายปีแล้ว) ได้ผลตามความที่ท่านดังตฤณว่าไว้จริงๆ
    เลยอยากแบ่งปัน
     
  3. noawarat pakdee

    noawarat pakdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +682
    เห็นหัวข้อกระทู้แล้วสะดุดสายตามากๆ
    ตอนนี้กำลังเกลียดคนมากๆคนหนึ่ง พยายามอยู่ห่างๆ
    ก็จะลองดูนะ ไม่รู้จำทำได้ไหม..
     
  4. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    ใช่ ฝืนกันไม่ได้หรอกค่ะ ฝืนแล้วพอมีอะไรมาจุดประทัดทีเดียว เกลียดยิ่งกว่าเดิมไปเลยค่ะ จะมีความรู้สึกว่า อุตส่าห์เมตตาให้อภัยแล้วนะ จะเอาอะไรกันนักกันหนา
     
  5. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ใช่ๆ เพราะการฝืนเป็นการปรุงแต่งสังขารใหม่! มันไม่เป็นธรรมชาติ แต่เราฝึกได้โดยใช้สติรู้ทันผลของมันที่เกิดจากการกระทบคืออารมณ์(ฝึกเห็นของหยาบๆไปก่อนเดี๋ยวจะเริ่มเห็นละเอียดได้เองภายหลังเมื่อปัญญาแก่รอบ) ถ้าเห็นอารมณ์เกิดดับบ่อยๆได้จะเป็นวิชชา คือความรู้เท่าทันสังขารจนเกิดเป็นทักษะความชำนาญ แล้วปัญญาจะค่อยๆพัฒนาขัดเกลาจิตไปเรื่อยๆ เกิดเป็นอุเบกขาขึ้นโดยธรรมชาติ นั้นเพราะว่าจิตมันเกิดขบวนการเรียนรู้แล้วมันจะมีบทสรุปในตัวของมันเอง เช่น จะไปยินดียินร้ายอะไรนักหนากับเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาเกิดขึ้นแล้วดับไป, ดีใจก็เท่านั้นเสียใจก็เท่านั้นล้วนเป็นเหตุให้จิตข้องกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงไม่เป็นอิสระ...เมื่อจิตเป็นอุเบกขาโดยธรรมแล้วมันจะมีเมตตาในเพื่อนผ่องสรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า อยากให้เขาเหล่านั้นพ้นจากทุกข์ มีจิตสงบร่มเย็นฯลฯ ประมาณนั้นครับ

    อันนี้ตามความเข้าใจส่วนตัวเพราะฝึกมาแบบนี้ซึ่งก็ได้รับผลดีในระดับนึงครับ ^_^
     
  6. กฮ

    กฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +415
    พอฝนตกหญ้าก็ยิ่งงอกเขียวชอุ่มยิ่งกว่าเดิม
     
  7. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    ประมาณว่า . อย่าฝืนใจตัวเอง?

    แล้วถ้ากรณีไปชอบคนมีเจ้าของ ควรจะฝืนใจตัวเองหรือไม่ครับ
     
  8. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    จะต้องฝืนใจตัวเองด้วยเหตุอันใด
    หากความรักนั้น ไม่ประกอบด้วย ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น
    ผู้รักหรือถูกรักมิได้ถูกเบียดเบียนด้วยความทุกข์อันใด และไม่ได้มีมลทินอันเป็นบาปใดๆ เกิดขึ้น ด้วยเหตุแห่งรักนั้น
    ไม่รู้คุณ Thevsionmind ถามใคร
    อาสาตอบให้ละกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2015
  9. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ไม่ว่าจะเกลียด ชอบ ไม่ชอบ ล้วนเป็นอารมณ์ที่เกิดจากผัสสะ เวทนา ไม่ว่าจะเกิดแบบไหนล้วนต้องตามมาด้วยกิเลสคือเอาเข้าผลักออก รึตามเหจุปัจจัย
    การฝืนคือการบังคับมันได้ชั่วคราว การเกิดอารมณ์นั้นก็ชั่วคราวเช่นกัน แต่สัญญามันทำหน้าที่เก็บขัอมูลและเมื่อจิตหวลกลับคือนำสัญญาที่เก็บไว้ขึ้นมาสังขารมันก็ทำหน้าที่ปรุงแต่งตามเวทนานัันๆที่เคยเกิด มันจะสนองตอบทุกครั้งที่นึกขึ้นมา. การบังคับก็แค่กด ทับ ข่ม ไว้ไม่ให้มันฟุ้งเท่านั้น แต่ถ้าเรามีเมตตาตามความเป็นจริง เมื่อเห็นเค้าเราเกลียดขี้หน้าก็หาเหตุแห่งการเกลียดนั้นให้พบว่ามีเหตุปัจจัยอะไรทำให้เราเกลียดหากไม่มี รึมี ก็ตาม". จงยอมรับมันด้วยเหตุปัจจัยนั้นๆ เช่นเราไม่รู้จักเค้ามาก่อนเลย เห็นก็เกลียดขี้หน้าแล้ว. เหตุปัจจัยมันอยู่ที่เรา นั้นคือเวทนาในเรา คือชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ และสังขารมันปรุ่งแต่งไปตามมโนในตน จงทำจิต จงมั่นมีสมาธิมีสติอย่าให้จิตมันไหลไปตามอารมณ์จงเบรคจิตด้วยกำลังแห่งสติและใช้ปัญญาพิจารณา มันจะพบว่าเราคิดไปเองเค้าไม่รู้ไม่ชี้อะไรกับเราด้วยเลย เค้ากับเราล้วนตกอยู่ในวัฏสังสารด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่คือการมีเมตตาจิตที่แท้จริง มิได้ฝืนมันออกมาจากจิตเองตามธรรมชาติ ท่านจะเลิกเกลียดเค้าไปชั่วชีวิตทันที สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2015
  10. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอนุรุทธว่า ดูกรอนุรุทธ นันทิยะ และกิมิละ อ. พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์มีความดำริอย่างนี้ว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนพรหมจรรย์เห็นปานนี้ ข้าพระองค์ เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตาในท่านผู้มีอายุเหล่านี้ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เข้าไปตั้งวจี- *กรรมประกอบด้วยเมตตา ... เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตาในท่านผู้มีอายุเหล่านี้ ทั้งต่อหน้า และลับหลัง ข้าพระองค์มีความดำริอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราพึงเก็บจิตของตนเสียแล้ว ประพฤติ ตามอำนาจจิตของท่านผู้มีอายุเหล่านี้ แล้วข้าพระองค์ก็เก็บจิตของตนเสีย ประพฤติอยู่ตามอำนาจ จิตของท่านผู้มีอายุเหล่านี้ กายของพวกข้าพระองค์ต่างกันจริงแล แต่ว่าจิตดูเหมือนเป็นอันเดียวกัน.              แม้ท่านพระนันทิยะ ... แม้ท่านพระกิมิละ ก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส แม้ข้าพระองค์ก็มีความดำริอย่างนี้ว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้ว หนอ ที่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนพรหมจรรย์เห็นปานนี้ ข้าพระองค์เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วย เมตตาในท่านผู้มีอายุเหล่านี้ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ... เข้าไป ตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตาในท่านผู้มีอายุเหล่านี้ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ข้าพระองค์มีความ ดำริอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราพึงเก็บจิตของตนเสียแล้ว ประพฤติตามอำนาจจิตของท่านผู้มีอายุ เหล่านี้ แล้วข้าพระองค์ก็เก็บจิตของตนเสีย ประพฤติอยู่ตามอำนาจจิตของท่านผู้มีอายุเหล่านี้ กายของพวกข้าพระองค์ต่างกันจริงแล แต่ว่าจิตดูเหมือนเป็นอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าข้า พวก- *ข้าพระองค์ ยังพร้อมเพรียงกัน ชื่นบานต่อกัน ไม่วิวาทกัน ยังเป็นเหมือนน้ำนมกับน้ำ แลดูกัน และกันด้วยจักษุอันเป็นที่รักอยู่.
     
  11. เปาชุนไหล

    เปาชุนไหล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +2,240

    จริงครับ บารมีเราๆท่านๆ ยังอ่อนอยู่
    ยังไม่แกร่งกล้าพอที่จะเมตตาให้กับคนที่โกรธ , ไม่พอใจ , หรือ ถึงขั้นเกลียดได้
    โดยเฉพาะคนที่ทำงานนี่ตัวดี ต้องเจอกันทุกวัน จิตไม่แข็งพอเมตตาลำบากเหมือนกัน


    วันนี้ก็สดๆร้อนๆเลยครับ
    ตอนดึกๆขี่รถจะกลับ เจอมอเตอร์ไซค์ปาดหน้ามาชะว๊าป ไม่นึกว่าจะกล้าขี่มาอย่างนี้ ในใจตอนนั้น ความคิดพุ่งปริ๊ดเลย กุจะพุ่งชนมรึงให้ได้ ผ่านไป 1วิ ดึงสติกลับมาได้ ทนเอาก่อน ทนๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ในใจ อดไว้



    แล้วก็พยายามทำใจให้วางเฉยพยายามไม่ไปคิดถึงเรื่องนั้น
    ถ้าเกิดมันคิดขึ้นมาก็ให้พิจารณาอย่างอ่อนๆ ว่า ถ้าเราเจตนาพุ่งไปชนเขา เกิดตำรวจมาดูรูปการณ์เราน่าจะประมาทร่วม เพราะมาตัดหน้าเราก็จริง แต่เราไม่มีรอยล้อเบรคเลย เราก็โดนอ่วมเหมือนกัน


    พิจารณาอย่างกลางคือ เอาเถอะวะ ช่างมัน ไม่อยากมีปัญหา
    ไม่อยากสร้างเวรกรรมต่อกัน กลัวการจองเวรกันไม่รู้จักจบสิ้น ชาติหน้าชาตินุ้น

    พิจารณาอย่างผู้มีบุญคือเรายังเมตตาไม่พอ เขาอาจจะรีบกลับไปหาลูกเมียเขาก็ได้ เมื่อเขากลับอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว
    หรือพิจารณาว่า ตัวเราก็ไม่อยากเจ็บ ตัวเขาก็ไม่อยากเจ็บ
    ถ้าเราพุ่งชนเขา เขาก็เจ็บ
    ในเมื่อตัวเราไม่อยากโดนเช่นไร ก็ไม่ควรปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นนั้น
    ไม่ต้องมีเหตุผลว่าทำไมเราต้องให้อภัย
    นี่หลักธรรมมันเหนือเหตุและผล
    หรืออาจจะคิดว่าชาติก่อนเราอาจจะเคยไปทำกับเขาแบบนี้ ชาตินี้เขาจึงมาเอาคืน ชาตินี้ เราเลิกอาฆาตพยาบาทต่อกัน ชาติหน้าก็ไม่ต้องมาจองเวรกัน


    พิจารณาอย่างสูงคือ ความโกรธไม่เที่ยง อารมณ์นี้มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วมันก็ดับไป ไม่มีอะไรให้ยึดได้เลยกับความโกรธ
    ถ้าเราไปใส่ไฟมัน อารมณ์ชั่ววูบ เท่ากับเรายอมแพ้กิเลส
    เอาเถอะถึงเราจะเหมือนถูกเอาเปรียบว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่เราก็ชนะกิเลสตัวร้ายที่มันคอยจ้องจะให้เราอาฆาตมาดร้าย คอยทำลายผู้อื่น
    นั่นทำให้ตัวเราได้รับความทุกข์ไม่รู้จักจบสิ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...