เอารูป นิพพานมาไห้ดูกัน . . .

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุรีย์บุตร, 17 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    .....................................................................................

    ขออนุญาต เฮียปอ และคุณdamrong ขอร่วมวงเสวนา ครับ

    ผมเข้าใจที่ เฮียปอ ตำมะลึงชี้แจง แต่สงสัยว่าเมื่อจิตไม่มีกิเลสต่างๆ
    คือไม่มีความอยากแล้ว วางเฉยแล้ว ถ้าจิตแบบนี้ดับลงไป
    ที่ๆจิตแบบนี้จะได้เจอ มันจะเป็นยังไงนะ
    ก็ในเมื่อจิตมันเฉยๆแล้ว ไม่อยากใดๆแล้วมีแต่เฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย
    จิตแบบนี้ถ้ายังเป็นก็เหมือนเห็นนิพพาน แต่ถ้าตายหละ . . .

    คนเรา มีโอกาสที่จิต จะดีใจ เสียใจ และเฉย ๆ
    ที่คุณบอกว่า ไม่มีความอยากแล้ว วางเฉยแล้ว นั้น

    ต้องถามต่อไปอีกนิดหนึ่งวาง ไม่อยากแล้ว วางเฉยแล้ว
    สามารถดำรงคงอยู่ตลอดชีวิตไหม มันขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่แน่นอน ใช่ไหม
    อย่างนั้น มันเฉยก็จริง แต่ไม่สิ้นกิเลส

    กิเลสจะสิ้นได้ ต้องใช้ปัญญาบริสุทธิ์ เท่านั้น
    จึงจะละได้ วางจริง

    ออ ยังมีอีกอย่างหนึ่ง คืออย่างที่รู้ๆกันว่า ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์
    แล้วนิพพานไม่อยู่ใต้กฏนี้หรอกหรือครับ มันสงสัยๆๆ

    อันนี้ "พระ" ท่านก็บอกแล้ว ว่า....
    ใด ๆ ในโลกนี้ล้วนอนิจจัง ในโลกนี้ ล้วนอยู่ใต้กฏของไตรลักษณ์

    พระนิพพาน นั้น เป็น โลกุตรธรรม (เหนือโลก) อันละเมียด

    ปล.
    อย่ากล่าวโทษ ความรู้ ของ ป.2 ป.3 นะครับ (ถือเสียว่า คุยกัน)

    ผิดพลาดไป ก็ขอขมากรรม ตรงต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
    โปรดอดโทษ แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยเถิด

    ..................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2008
  2. รากแห่งธรรม

    รากแห่งธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    667
    ค่าพลัง:
    +3,173
    พระนิพพานนั้น ว่างจริงครับคือว่างจากกิเลสจากความเลวและความดีเหลือแต่ความว่างคือไม่ปรุงแต่ง บริสุทธิ์อยุ่แบบนั้น
    อุปมาพระนิพพานเป็นน้ำก้อคือน้ำเปล่าๆๆๆๆที่ไม่มีสี รสอันใด บริสุทธิ์อยู่แบบนั้น
    แล้วไม่ได้ว่างตรงที่ว่าสภาวะมีอยู่ ภาวะธรรมมีอยู่ จิตที่บริสุทธิ์ไม่ได้สูญไป พลังไม่ได้สูญ ยังคงมีอยู่
    เพราะฉะนั้นนิพพานเราว่าว่างก้อว่างที่จิตว่าง จะว่าไม่ว่างก้อตรงที่ มีสภาวะธรรม มีพลังงาน พี่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอรหันต์เจ้า
     
  3. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ผมเข้าใจตามที่คุณมหาหินอธิบายแล้ว แต่ว่า . . .ที่ว่า
    -
    เมื่อไม่เกิดฌาน ไม่มีญาณ จึงไม่สามารถเห็น สวรรค์ นรก
    ก็จะปักใจเชื่อว่า นรก สวรรค์ ไม่มี ได้โดยง่าย

    ----------------------------------------------------------------
    แปลว่าแม้จะเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ เชื่อเรื่องต่างๆโดยปัญญา
    แต่ไม่ได้เห็นด้วยฌานนั้นไม่พอ
    เพราะเมื่อไม่เห็นความเชื่อว่ามีว่าเป็น ก็จะลดและเสื่อมไป
    อันนี้ก็เห็นด้วยครับ

    ทุกวันนี้ผมทำสมาธิแบบเจริญสติ ทั้งแบบ นั่งหลับตาและแบบตามรู้ในเวลาทำงานปรกติ ทั้งสองแบบที่ทำอยู่ทำโดยไม่หวัง ฌาณ หรือญาณเลย
    แต่รู้ว่าสติเกิด ปัญญาก็เกิด กิเลสตัณหาต่างๆก็ลดลง ไม่ได้หมดไปนะครับ
    แต่ลดลงทุกอย่าง ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง มันมีน้อยลงไปทุกๆตัว
    ผมได้เข้าใจว่ามันยังไม่พอก็วันนี้หละครับ
    เพราะผมยังไม่เห็น นรก สวรรค์ ด้วยญาณ แต่เห็นจากแค่ปัญญา

    งั้นผมควรจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อไห้เกิดฌาณ หรือญาณหละครับ

    ควรเปลี่ยนวิธิปฏิบัติใช่ไหมครับ

    จิตผมตอนนั่งสมาธิแบบหลับตาและตอนปรกติ ไม่มีความรู้สึกเลยว่า อยากได้ฌาณ หรือญาณ ไม่มีความรู้สึก อยากได้ฤทธิ อภิญญาใดๆเลยมันเฉยๆ
    และมีความรู้สึกว่า ถ้าเราอยากเห็นที่เราได้เห็นมันจะเป็นแค่ภาพที่จิตมันสร้างขึ้นมาหลอกเราหนะสิครับ ผมเลยเฉยๆ คือเห็นก็ได้ ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร

    ผมเลยตั้งใจไปที่ไห้เกิดสติอย่างเดียว แล้วยังงี้ผมควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อไห้เกิดฌาณ หรือญาณ เพื่อจะได้เห็น นรก สวรรค์แบบของจริง
    ขอคำแนะนำอีกครับ :)

     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อานนท์ ! ก็วิหารธรรมนี้แล เราตถาคตได้รู้พร้อมเฉพาะแล้ว ในที่เป็นที่ตรัสรู้
    นั้น นั่นคือ ตถาคตเข้าถึงแล้วแลอยู่ ซึ่งสุญญตาวิหารอันเป็นภายใน เพราะ
    ไม่กระทำในใจซึ่งนิมิตทั้งปวง

    อานนท์ ในขณะที่ตถาคตอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ ถ้ามีผู้เข้ามาหา เป็นภิกษุ
    บ้าง ภิกษุณีบ้าง อุบาสกบ้าง อุบาสิกาบ้าง ราชอำมาตย์บ้าง เดียรถีย์บ้าง
    อานนท์ ในกรณีนั้น ตถาคตมีจิตที่ยังคงน้อมอยู่ในวิเวก โน้มอยู่ในวิเวกแนบ
    แน่นอยู่ในวิเวก อยู่นั้นเอง เป็นจิตหลีกออกจากโลกิยธรรม ยินดียิ่งแล้วใน
    เนกขัมมะ เกลี้ยงเกลาแล้วจากอาสวัฏฐานิยธรรมโดยประการทั้งปวง กระทำ
    ซึ่งกถาอันเนื่องเฉพาะด้วยการชี้ชวนในการออก(จากทุกข์)โดยส่วนเดียวเท่านั้น

    ( บาลี มหาสุญญตสูตร อุปริ ม. 14/236/346 ฆฏายศากยวิหาร )


    ความข้างบนนั้นจะแปลว่าอย่างไร ผมขอแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น จากวรรคแรก
    พระพุทธองค์รู้เฉพาะแล้วในที่เป็นที่ตรัสรู้นั้น ก็คือนิพพาน เมื่อรู้แล้วก็อยู่ใน
    วิหารธรรมนั้น เป็นสุญญาตาวิหาร(นิพพาน) อันไม่มีนิมิตทั้งปวง

    [ ตรงคำว่าไม่มีนิมิตทั้งปวงนั้นกินความแค่ไหน ? ]

    และทั้งที่น้อมอยู่ในวิหารธรรมนั้น(นิพพาน) ก็ยังแสดงกถาต่อผู้เข้าเฝ้าได้โดย
    ตลอด ไม่มีการเข้า และ ออก เพื่อการสนทานธรรมแต่อย่างใด ตรงนี้เองที่ทำ
    ให้การแสดงธรรมใดๆนั้น ปราศจากกิเลศแน่นอน ถ้าการสอนธรรมนั้นมีภาวะการ
    คอยตัดกิเลศที่ทำให้นิ่งเฉยนั้น คงไม่สามารถเอ่ยพระโอษฐ์ และแสดงถ้อยคำ
    สั่งสอนผู้เข้าเฝ้าได้

    นี่คือภาวะนิพพาน วิหารธรรมที่พระพุทธองค์อยู่โดยตลอด ไม่ต้องเข้าไม่
    ต้องออก ไม่ต้องขอตัวเข้าไปนั่งสมาธิเพื่อดูหรือตรวจย้อนจิตของผู้เข้าเฝ้า

    นิพพานของอริยะสงฆ์ ก็ควรเป็นเช่นนี้หรือไม่

    สำหรับผู้มีวสี คงน้อมเห็นสภาวะธรรมที่ได้อย่างเดียวกันในการทำสมาธิ
    สามารถเกิดขึ้นได้กับตัวตลอดเวลา แม้ยามเดินไปเดินมา หรือสนทนา
    กับใครๆ หรือแม้กระทั่งดูทีวี เล่นเน๊ท เราสามารถเข้าสู่สภาวะธรรมนั้น
    ได้โดยการน้อมเอาในจิต แต่สังขารนั้นยังคงเสวนาได้

    ขอชี้อีกครั้ง ถ้าคนที่กำลังฝึก ถ้าได้วสีในสภาวะธรรมหนึ่ง จะต้องเข้าใจ
    วิหารธรรมที่สามารถอยู่กับตัวได้ตลอด โดยไม่ต้องนั่งสมาธิอีก เป็นภาวะ
    ที่เรียกเฉียด ญาณ ดังนั้น ถ้าได้ ญาณ จะไม่ต้องน้อมอีกเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2008
  5. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ข้างบน ไม่ใช่นิพพาน
    ความว่างไม่ใช่นิพพาน
    นิพพานคือ จิตที่หลุดพ้น
    จิตที่หลุดพ้น เป็น สุญญตา(ว่าง)
    ข้างบนไม่ใช่จิตที่หลุดพ้น
    เป็นความว่างเฉยๆ
    จึงไม่ใช่นิพพาน
    จิตว่าง ฝึกเอาไม่ได้
    จิตว่างเป็นธรรมชาติของจิตที่หลุดพ้นแล้วเท่านั้น
    ขณะลุนิพพานนั้น ขันธ์5 ดับลงอย่างสิ้นเชิง
    เมื่อสมอง ความคิดดับ จึงไม่สามารถ ไปรับรู้ สิ่งนั้นได้
    จึงพูดไม่ออกว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไร จึงนิ่งเป็นใบ้
    พูดได้ก็แค่ อุปมา
    ............................................................
    โปรดอย่าเชื่อ แต่ถ้าจะนำไปขบคิดก็ไม่สงวนลิขสิทธ์ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2008
  6. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ..................................................................................

    ก็อย่างที่บอก แหละครับ ว่าผม มันแค่ ป.2 ป.3
    หากจะพูดอารมณ์พระนิพพานโดยตรง กันโต้ง ๆ

    นี่ ป.2 ป.3 อย่างผม.. จะเข้าใจ บรรดาศาตราจารย์ ไหมละนี่....

    ..................................................................................

    เอาเป็นว่า ขอคุย ประสา ป.2 ป.3 นะครับ

    คุณdamrong วางอารมณ์ ไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็น นั้น ถูกต้องดีแล้วครับ
    ขอน้อมโมทนา อย่างยิ่งยอด....

    หากเรานั่งสมาธิ ด้วยอยากจะพิสูจน์ คำสอน อยากเห็น นรก สวรรค์ ก็จริงอยู่

    แต่ถ้าตั้งอารมณ์แรกไว้ว่า.. อยากรู้ อยากเห็น อย่างนี้ ก็สูญเปล่า
    ท่านที่ฝึกสมาธิ แล้วจะให้เจริญ ก็จึงไม่เจริญ

    เนื่องด้วย กิเลส ความอยาก มาขวาง ตั้งแต่เริ่มต้น
    จึงไม่สามารถ สอบผ่านได้....

    เมื่อนั่งบ่อย ๆ นาน ๆ ก็ไม่มีผล เพราะจ้องจะรู้ จะดู จะเห็น....
    เมื่อไม่เห็น ไม่รู้ ก็คิดไปเองว่า ไม่จริง.. ไม่มีผล....
    ก็เลยเข้าสู่วังวล คิดเห็นผิดไป

    แต่ทีนี้ หากจะให้ผมสอน เรื่อง การเจริญพระกรรมฐาน นี่
    มันมีรายละเอียดมากมาย เดี๋ยวจะเก่งเกินหน้า ครูบาอาจารย์ ไป

    เอาเป็นว่า คุณ damrong โปรด PM ที่อยุ๋มาให้ผม นะครับ
    ผมจะส่งหนังสือ "คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน" และ "กรรมฐาน 40" มาให้

    ด้วยเพียงหวังอานิสงส์แห่ง "ธรรมทาน" ครับ

    ...................................................................................
     
  7. อาหลี_99

    อาหลี_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    744
    ค่าพลัง:
    +2,992
    ^ ^
     
  8. โอม อุดมชัย

    โอม อุดมชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    512
    ค่าพลัง:
    +2,527
    ว่าง
    วาง
    ไม่สงสัย
     
  9. chanoknon

    chanoknon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +776
    <TABLE class=tborder id=post983433 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- status icon and date -->[​IMG] 16-02-2008, 02:46 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>jinny95<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_983433", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 08:54 PM
    วันที่สมัคร: Oct 2007
    สถานที่: กรุงศรีอยุธยา
    ข้อความ: 127 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 219 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 304 ครั้ง ใน 102 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 46 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG] [​IMG]

    </TD><TD class=alt1 id=td_post_983433 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->ความหมายของคำว่านิพพาน
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    <TR><TD>ความหมายของคำว่านิพพาน
    <HR width="100%" color=#dddddd SIZE=1></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>


    ขอเรียนว่า..เรื่องนิพพานนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก...หยั่งรู้ตามได้ยาก..
    เมื่อไม่รู้ไม่เห็น..ก็ว่ากันไปต่างๆนาๆ...
    หากถือความเห็น...ซึ่งพอสรุปว่า มี 4 แบบ

    แบบที่ 1....แบบปฏิเสธ..

    บอกว่า...นิพพานเป็นอสังขตธรรม..ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง
    บอกว่า...นิพพานเป็นอชระ...ธรรมที่ไม่แก่
    บอกว่า...นิพพานเป็นอมตะ...ธรรมที่ไม่ตาย
    บอกว่า...นิพพานเป็นธรรมที่สิ้นราคะ...สิ้นโทสะ...สิ้นโมหะ


    แบบที่ 2 แบบไวพจน์..

    บอกว่า...นิพพานเป็นสันตะ..คือความสงบ
    บอกว่า...นิพพานเป็นปณีตะ...คือความประณีต
    บอกว่า...นิพพานเป็นสุทธิ...คือความบริสุทธิ์
    บอกว่า...นิพพานเป็นเขมะ..นิพพานคือความเกษม


    แบบที่ 3 แบบอุปมา...

    ...นิพพานเป็นเหมือนคนข้ามมหาสมุทรได้
    ...นิพพานเป็นเหมือนว่ายตัดกระแสน้ำข้ามถึงฝั่ง
    ...นิพพานเป็นเหมือนไฟดับไปเมื่อสิ้นเชื้อ
    ...นิพพานเป็นเหมือนภูมิภาคราบเรียบอันน่ารื่นรมณ์
    ...นิพพานเป็นฝั่งโน้นที่เกษมไม่มีภัย
    ...นิพพานเป็นอาโรคยะ...ไม่มีโรค..มีสุขภาพที่สมบูรณ์
    ...นิพพานเป็นเหมือนเมืองที่ไป เช่น อุดมบุรี...นิพพานนคร...อมตหมานครนฤพาน
    ...นิพพานเป็นเหมือนเมืองแก้ว
    ...นิพพานเป็นเหมือนที่พ้นภัย


    แบบที่ 4 บรรยายสภาวะโดยตรง....ดังศัพท์ตัวอย่างต่อไปนี้

    -วิสุทธิ....ความบริสุทธิ หมดจด
    -สัตตะ...สงบ ระงับ
    -วิราคะ...ความจางหายคลายติด
    -นิโรธ....ดับความทุกข์
    -อสังขต...ไม่ถูกปรุงแต่ง
    -อิสสริยะ...อิระภาพ..
    -อนุปาทะ...ความไม่เกิด
    -ตัณหักขยะ....ความสิ้นตัณหา
    -ปรมัตถ....ประโยชน์สูงสุด
    -บรมสัจจ์....ความจริงอย่างยิ่ง
    -อรูปะ...ไร้รูป...ไม่มีทรวดทรงสัณฐาน
    -นิจจะ...เที่ยงแท้แน่นอน
    -ปริโยสาน.....จุดสุดท้าย
    -ปหานะ....การละกิเลส
    -วูปสม...ความเข้าไปสงบ
    -สุญญัง...ว่างจากกิเลส
    -สุขัง....เป็นสุข
    ฯลฯ



    เหตุเพราะว่า..เป็นการอุปมา...แต่คิดว่าเป็นจริงเป็นจัง...
    ก็เลยแสดงความเชื่อออกมาอย่างนั้น..

    คนที่ไม่เคยเข้าเรียน...ก็กล่าวถึงนิพพานแบบรุ่มร่ามอย่างนั้น...
    เป็นเรื่องที่ไม่ระมัดระวัง...

    ผมยกเอามาแสดงทั้ง 4 แบบ
    เพียงเพื่อให้มองเห็นภาพกว้างขวาง..

    ซึ่งยังมีคนอีกมากไม่เข้าใจว่า...นิพพานเป็นสภาวะธรรม..
    เวลาอาจารย์...หรือนักเทศน์..แสดงแบบนั้น..ก็เชื่อกันตามๆกันไป...


    เป็นธรรมดาของคนไม่รู้....บางทีก็รู้ไม่จริง


    ความเห็น.....เป็นแบบอุปมา...ไม่ใช่ของจริง
    เป็นการกล่าวเปรียบ..แม้แต่ตัวเองยังไม่ทราบ..เห็นนิพพานเป็นภูมิหนึ่งไป...
    ไม่มีพุทธพจน์รองรับ....เป็นความเห็นส่วนบุคคล
    ซึ่ง..แน่นอน..ไม่ใช่สิ่งถูกต้อง.


    เจริญในธรรมครับ .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา : ธรรมะจาก.....อิทธิธโร ภิกขุ</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ผมเข้าใจที่คุณjinny95<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_983433", true); </SCRIPT> นำมาไห้ดูครับ แต่คิดว่า คนที่ปฏิบัติธรรมส่วนไหญ่ เมื่อถึงเวลาหนึ่ง ความส่งสัย มันก็คงมาเยือนเหมือนผมแน่ๆ
    ทั้งที่ความจริงเริ่มแรก ก็ไม่ได้สงสัยเรื่องนิพพานเลย
    ปฏิบัติไปเรื่อย ที่ต้องการก็มีแต่สติ เพื่อไห้เกิดปัญญา เพื่อไห้เข้าใจในค้ำสอนที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ สอนไว้ คงเป็นเพราะว่า ตัวปัญญามันมากเกินไป มันเลยเริ่มสงสัยหละมั๊งครับ :)

    ตอนนี้อาจจะถึงเวลา ที่ผมต้องหันมาสนใจพระกรรมฐานไห้มากกว่าเดิมแล้วก็ได้ ตามที่พี่มหาหินแนะนำ
    เพราะ เป็นที่เข้าใจแล้วว่า เมื่อไม่เห็น ความเชื่อว่ามีอยู่ย่อมเสื่อมไป เพราะเริ่มจากความ สงสัย แม้นทีแรกจะไม่สงสัยเลยก็ตาม แต่มันก็จะสงสัย ในที่สุด เพราะ ไม่เห็น . . นั่นเอง
    ผมเข้าใจแล้วว่า แค่เชื่อโดยปัญญาคิดไม่พอ เพราะถ้าเชื่อแค่โดยปัญญาคิดเอา ความหมายก็จะได้เหมือนที่ คุณjinny95<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_983433", true); </SCRIPT> ได้นำมาแสดงไว้ไห้ดูนั่นเอง

    วันนี้พอดีผมต้องเข้ากรุงเทพพอดี เดี๋ยวจะแวะห้างหาร้านหนังสือ
    "คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน" และ "กรรมฐาน 40" ที่พี่มหาหินแนะนำมาศึกษาซะหน่อย เพราะผมคงรอไห้ส่งมาไห้ไม่ไหวครับ :)

    อนุโมทนาทุกท่าน ขอบคุณครับ
     
  11. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ได้อยากรู้ความสุขจากนิพพานหรอกครับไม่มีอยากเลยครับ
    และที่ว่าเฉยๆ มันก็เป็นของมันเองในบางอารมณ์เท่านั้น ไม่ได้ไปบังคับจิต บังคับใจไห้เฉย มันเฉยๆเอง ยืนยันครับว่าไม่ได้อยากรู้ความสุขของนิพพานเลย แค่ความสงสัย เพราะมันคงถึงเวลาที่ต้องสงสัย เพื่ออะไร ก็แล้วแต่
    แต่คิดว่า คงเป็นเพราะ พระธรรมจัดให้ใงครับ :)
     
  12. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ขอความกรุณาอย่ามาทะเลาะกันที่นี่เลยครับ เป็นไปได้ ลบข้อความออกไปไห้ด้วยก็ดีมากเลยครับคุณkhajonsak9999 :(
     
  13. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ดูการเกิดดับให้เท่าทัน พิจารณาขันธ์ 5 รูป เวทนา ความจำ ความคิด การรับรู้ ผสมกับ โลภะ โทสะ โมหะ ตามให้ทัน ดักทางให้เจอ ว่า อะไรเกิดก่อน และอะไรเกิดตามมา สุดท้าย มันไป จบที่ตรงไหน แล้วเกิดใหม่ตรงไหน

    ภาษาพระคือ พิจารณา ขันธ์ กับ ฏิจสมุปบาท ให้คล่อง ให้แจ้ง ให้ท่องแท้
    คุณก็จะ มีสิทธิ์ได้พบ สิ่งที่ ไม่มีคำพูดใด อธิบายได้ ( แบบชั่วคราว ) ครับ

    และเมื่อคุณได้สัมผัส แล้ว คุณย่อมหมดสังสัย คำของพระพุทธ และไม่อยากที่จะได้สิ่งอื่น สิ่งใดในโลก ไปมากกว่า นิพพาน ( เข้ากับคำพระว่า มุ่งไปสู่ทางสายเอก หรือ โสดาบัน เป็นผู้ พ้นอบายภูมิ )
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    Dear ขันธ์,

    You have received an infraction at palungjit.org.

    http://palungjit.org/showthread.php?p=984354

    Reason: ใช้ภาษาไม่เหมาะสม
    -------
    นี่เว็บธรรมะนะครับ
    ไม่ใช่ห้องน้ำห้องส้วม
    จะมาเขียนอะไรก็ได้ตามใจชอบ
    -------

    This infraction is worth 1 point(s) and may result in restricted access until it expires. Serious infractions will never expire.

    All the best,
    palungjit.org
     
  15. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ส่วนในเรื่องของความสงสัย เป็น เรื่องธรรมดา เพราะเรา ศึกษามาเยอะ ศึกษามาหลาย ๆ ศาสตร์ แต่ ธรรม ที่พระพุทธเอามาสอน เป็น เรื่องที่ ดิ้นไม่ได้ ไม่มีช่องว่าให้ลอด เป็นปกติ เมื่อมีใครมาบอกอะไรเราตรง ๆ เราย่อมค้านอยู่ในใจ แรก ๆ ผม ก็ค้านมาตลอด แต่ต่อมาเมื่อ เผชิญกับความทุกข์
    ความผิดหวังอย่างแสนสาหัส เช่น ล้มละลาย พลัดพราก จากสิ่งที่รัก จึงเริ่ม
    ที่จะเห็นธรรม ที่พระพุทธได้สอนไว้
     
  16. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ...................................................................................

    หนังสือ ที่วางขายตามตลาดนี่ ก็เหมือนกับ ร้านขายข้าวแกง ครับ
    บางเล่ม ก็อร่อย ตรงจริต ตรงกับความเนื่องกันมา ของตัวของเรา

    บางเล่ม บางร้าน ก็อาจจะปรุงอาหาร ไม่สะอาด....
    อาจจะอร่อย.. แต่ไม่สะอาด ก็น่าคิด ผล.. จะเป็นอย่างไรหนอ....

    บางร้าน อาจะกินเหล้าไป ปรุงอาหารไป แต่งหนังสือธรรมะไป อย่างนี้ ก็มี

    หนังสือ ที่ผมจะมอบให้ ด้วยไม่ได้หวังผลสิ่งใด
    นอกจากอานิสงส์ให้ธรรมะ เป็นทาน

    ธรรมะ นี่ ต้องเป็น ธรรมมะ จริง ๆ จึงจะมีอานิสงส์สุดยอดเยี่ยม
    และหนังสือที่ผมแจ้งไว้นั้น อาจจะไม่มีวางขาย แบบข้าวแกง โดยทั่วไป ก็ได้

    ...................................................................................

    จิต ที่คุณdamrong บอกว่า เฉย ๆ ไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็น นี่....
    อาจจะเป็นแนวของ สุขวิปัสสโก....

    สุขวิปัสสโก มีกำลังฌาน ไม่เกิน ฌาน 3
    สามารถนำกำลังฌาน ที่ได้ มาฝึกเป็นกำลังของ "ปัญญาบริสุทธิ์"
    ตัดกิเลส เป็นสมุทเฉทปหาน มีผล ณ เบื้องปลาย ในที่สุด

    จึงอยากให้ศึกษา เพื่อการปฏิบัติ ด้วยตัวของท่านเอง

    ..................................................................................

    ขอขมาต่อพระรัตนตรัย ต่อคำที่ว่า "ปัญญาบริสุทธิ์" นั้น
    ในพระธรรม ก็มีเพียง คำว่า "ปัญญา" เท่านั้นเอง

    แต่ผมเติมคำว่า บริสุทธิ์ เข้าไป
    เพื่อให้เห็นความแตกต่าง กับ ปัญญา ที่พวกเราเข้าใจ

    การที่เรา เรียนเก่ง ท่องหนังสือแล้วจำแม่น จำได้มาก
    อ่านพระไตรปิฎกหลาย ๆ รอบ จนจำได้ทั้งหมด ทั้งเล่ม
    พิจารณา ใคร่ครวญ วิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างชำนาญ คล่องปาก
    อย่างนี้ เขาเรียกว่า "สัญญา" คือ "ความจำ" ดี

    ไม่ใช่ "ปัญญา" ดี

    คำว่า "ปัญญา" ที่แท้จริง มีความหมายเดียว
    คือ ความรู้ อันแท้จริง เป็นจริง สิ่งเดียว โดยไม่มีข้อที่จะคัดค้านได้
    อันเกินจาก ความสงบของ "จิต" จาก สมาธิ จากฌาน เกิดเป็น "ญาณ"
    (จิต ในที่นี้ คือ อทิสมานกาย คือ ตัวเราอันแท้จริงที่ไม่เนื่องด้วยขันธ์ต่าง ๆ)
    (ญาณ แปลว่า รู้ รู้จริง ไม่มีข้อคัดแย้ง)
    เกิดเป็น ปัญญา ที่แท้ จะรู้ได้จริง และไม่มีสิ่งสงสัย

    ท่านทั้งหลาย ที่ไม่ผ่าน "ปัญญา" ตรงนี้
    จึงอาจจะไขว่เขว่ เป๋ ไปบ้าง เป็นธรรมดา ตามบุญ กรรม และบารมี....
    แต่ทว่า สักวัน.. ทุกคน จะเข้าใจ ด้วยกันเอง....

    ผมจึงใช้ คำว่า "ปัญญาบริสุทธิ์" เพื่อให้มองเห็นความแตกต่าง
    ของบุคคลต่าง ๆ ที่เขาคิดว่า มี ปัญญา เลิศแล้ว

    ดังนั้น

    สัญญา คือ ความจำดี เรียนเก่ง สอบข้อสอบทางโลก ผ่านได้โดยง่าย
    ปัญญา มีไว้เพื่อหนทางแห่ง การตัดกิเลส เพื่อความรู้เหนือโลก หนีโลก เท่านั้น

    ...................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2008
  17. ฟ้าทะลายโจร

    ฟ้าทะลายโจร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +36
    นิพพาน ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน
     
  18. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    สาธุ นิพพาน มี ในไม่มี

    ใครจะรู้หรือไม่รู้

    คนปฏิบัติจึงรู้
     
  19. chanoknon

    chanoknon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +776
    เกรงใจเจ้าของกระทู้หน่อยครับเค้าบอกไม่ให้ทะเลาะกันเข้าใจไหมครับ
    คุณขจรศักดิ์ ช่วยกันหาสิ่งดีๆที่เป็นประโยชน์มาตอบดีกว่าครับ
    ผมยังชอบคุณใบไม้เลยครับแกยังกล้าแสดงจุดยืนของแก โดยการตั้งกระทู้แกเอง
     
  20. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    นิพพาน เป็นสภาวะทางจิต ที่ ดับกิเลศต่างๆอย่างหลวงพ่อฤษีลิงดำท่านว่าไว้
    ในทางความหมายอย่างหยาบๆนิพพานก็คือการบรรลุทางจิตขั้นสูงกว่า ศีล สมาธิ(ที่ปฏิบัติมา)จนเกิดเป็น"ปัญญา"นั่นเอง
    ผู้ได้อรหันต์คือได้นิพพาน และคือได้ ปัญญา นั่นเอง
    ปัญญานี้ หรือ จิตตัวนี้ เราไม่ทราบสถานะภาพว่ามีมิติอย่างใด
    พระอริยะสงฆ์ที่ได้อรหันต์เท่านั้นจึงรู้ได้ด้วยตนเอง
    ปัญญานี้เมื่อยังมีสังขารอยู่ก็มี
    เมื่อละสังขารไปแล้วก็มี
    มี คือ ยังคงอยู่ โดยไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
    ผมเรียกว่าเป็น จิตสมบูรณ์หรือพลังงานสมบูรณ์ จะพอเข้าใจกว่าทิพย์วิเศษทำนองนี้
    พลังงานสมบูรณ์นี้ไม่หมุนเวียนตามกิเลศที่ชักนำให้เกิดดับๆ
    แต่สามารถปรากฏร่างสมมุติได้ เช่น พระพุทธเจ้าและเณรอรหันต์มาปรากฏร่าง2500ปีที่เป็นร่างสมมุติ มาอนุโมทนาแก่พระอาจารย์มั่นฯตอนสำเร็จอรหันต์ได้
    ที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคตเป็นเช่นนี้เอง คือ ผู้สำเร็จอรหันต์ สามารถเห็นร่างสมมุติของพระพุทธเจ้าได้จริง แต่ผู้ที่ยังไม่สำเร็จ ไม่สามารถเห็นได้
    พลังงานสมบูรณ์หรือปัญญาสมบูรณ์นี้มีสถานะภาพอย่างไร อยู่ในมิติใด ยังไม่มีการบอกกล่าวกันทั้งทางโลกและทางธรรม
    เพราะผู้ที่ได้อรหันต์ ท่านก็เปรียบเทียบให้ดูแค่นั้น ไม่สามารถอธิบายให้มนุษย์อย่างเรารู้ได้ เพราะศาสนาพุทธท่านให้รู้โดยการปฏิบัติเอง รู้เองเป็นหลัก
    ก็แสดงว่า นิพพานนี่เป็น อจินไตย สติปัญญา สัญญา ความรู้ความจำของมนุษย์อธิบายให้รู้ไม่ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...