บำเพ็ญบารมีแบบวิริยาธิกะกับวิริยาธิกะพิเศษต่างกันอย่างไร?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 15 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    ขอบคุณที่ช่วยเตือนสติครับ
     
  2. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
  3. ปราบปลิง

    ปราบปลิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +180
    งั้นผมไม่ขอต่อความแล้วนะครับ สรุปคือ ความเชื่อของใครของมันก็แล้วกัน ดีกว่าพูดกันไปยาวๆแล้วทะเลาะกัน ขอบคุณครับ
     
  4. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เรื่องระยะเวลาในการสั่งสม ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า อย่างน้อยหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เรียกว่านิยต คือมีความเที่ยงแท้แน่นอนแล้วว่าจากนี้ไปอีกเท่านั้นเท่านี้อสงไขย ท่านผู้นี้จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า...... หากเป็นฝ่ายปัญญาธิกะ ใช้เวลาอย่างน้อยสี่อสงไขยกับอีกแสนกัป
    ฝ่ายสรัทราธิกะอย่างน้อยแปดอสงไขย กับอีกแสนกัป
    ฝ่ายวิริยาธิกะ สิบหกอสงไขย กับอีกแสนกัป จึงจะได้บรรลุอภิเษกพระสัมมาสัมโพธญาณตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าอย่างน้อย


    ส่วนอย่างมากท่านไม่ได้บอกไม่ได้กำหนดนี่นา หรือว่าพระองค์ท่านตรัสรับสั่งกับใครมาว่า ลูกคนใหนใครก็ตามหากว่าเรียนเกินกว่าหลักสูตรแล้ว พ่อไม่ให้เข้าบ้าน ไม่ให้เข้าพระนิพพาน ไม่ให้ไปสวรรค ไม่ให้ไปพรหม ตัดออกจากการที่เรียกว่าศากยบุตรพุทธชิโนรส ไล่ออกจากการที่เรียกกันว่าเป็นหน่อเนื้อบรมพงศ์โพธิสมภาร การปรารถนาพระโพธิญาณถือว่าเป็นโมฆะ ถือว่าเป็นลูกที่ชั่วชาติบัดซบที่ดันทุรังใช้เวลาเรียนนานเกินไป ก็ว่ามา

    เอาละสมมุติว่าผมจะเรียนปริญญาตรีสักเจ็ดปีมันจะเป็นอะไร ทั้งที่ชาวบ้านเขาประมาณสี่ปี จะต่อโทอีกห้าปีครึ่ง ต่อปริญญาเอกอีกสักสิบปี แล้วต่อสาขาอื่นเล่นโก้ๆ โชวสาวซะก็ยังได้อีก ประสาคนอยากจะเรียนปริญญาหลายๆใบนี่มันจะเป็นอะไรไป สมมุติว่าจะเรียนเล่นโก้ๆไปเรื่อยๆถึงเวลาปลายปีมีการสอบผมก็เผ่นไปขับรถเล่น แอบไปช่วยสาวๆทำไร่ไถนา ไม่เข้าห้องสอบแล้วพอเริ่มเรียนใหม่ก็มานั่งเรียนกับคุณน้องปีหนึ่งบ้างปีสองบ้างมันก็เท่นะผมว่า ทุนค่าเล่าเรียนมันเป็นทุนของผม ไม่ได้ไปขอทุนขอสตางค์ใครมาเรียนสักกะหน่อยนี่นา เวลาที่เสียไปกับการศึกษาเล่าเรียน แลกกับความรู้ความสามารถที่เรียนซ้ำแล้วซ้ำอีกสิ่งที่ได้มา สำหรับผมนี่ ผมว่ามันคุ้มค่ามาก วิริยาธิกะไม่มีคำว่าสุกเอาเผากิน ไม่มีคำว่าแค่นี้ก็พอแล้ว สำหรับผมและหมู่คณะ มีแต่คำว่าทำให้ดีกว่านี้ได้มั๊ย ให้มันสวยสดงดงามกว่านี้ได้มั๊ย ให้มันทนทานกว่านี้ได้มั๊ย ให้มันใช้ประโยชน์สูงกว่านี้ได้มั๊ย ละเอียดกว่านี้ได้มั๊ย ให้มันปราณีตกว่านี้ได้มั๊ย อย่างนี้เป็นต้น นี่ผมว่าของผมประสรางานด้านวิศวะกรรม หัตถกรรม และอีกสารพัดกรรมสาตร์ที่ประยุกต์นำไปใช้กับทุกเรื่อง
    ความจริงน่ะไม่อยากลากยาวอะไรเลย อยากเรียนจบตั้งแต่อนุบาลยันปริญญาเอก แถมได้รับปริญญาสักสิบใบ ภายในสองปีครึ่งหรือหนึ่งปี หรือจบแค่อายุสิบขวบด้วยซ้ำไปแต่ว่ามันสุดวิสัย แล้วก็ยังไม่เห็นมีใครทำให้ดูเป็นเยี่ยงอย่างได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กุมภาพันธ์ 2016
  5. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    คนที่เก่งแต่ในตำรากับคนที่เรียนรู้และประสบด้วยตนเอง เถียงกันไปก็เท่านั้น บางทีคนรู้เขาไม่ได้เรียบเรียงเป็นตำราขึ้นไว้ ไม่รู้จะไปหาอ่านจากที่ไหน อันนี้ก็ถือว่าสุดวิสัย แต่ตำรานั้นมีอยู่มากมาย อ่านมาเพียงร้อยเล่มสองร้อยเล่ม ที่เหลืออีกบานเบอะยังอ่านไม่ครบ แล้วบอกว่าตำราไม่มี อันนี้ไม่รู้จะเรียกอะไรดี

    ผมแค่นำประสบการณ์ของผมมาเป็นธรรมทาน ถ้าไม่ตรงจริตท่านใด ก็ผ่านไปเถิดครับ อย่าสร้างกรรมให้แก่ตนเองเลย
     
  6. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    วิชาความรู้บางอย่างก็หาตามตำราไม่ได้ ไม่ต้องไกล เอาใกล้ตัว เอาที่มองเห็นสักอย่าง วิชาการเคาะรถยนต์ ที่ยังไม่มีใครเขียนเป็นตำราว่าด้วยการซ่อมรถยนต์ ที่เกิดอุบัติเหตุพังยับเยิน แล้วนำกลับมาซ่อมมันใหม่ ด้วยการทุบการตี การดึงขึ้นรูป ดันขึ้นรูป ทั้งดัดด้วยวิธีต่างๆ ทั้งหมดนี้เรียกว่าเคาะ คนที่ทำของที่ยับเยินอย่างในรูปที่ยืมเขามาให้ดูนี้ เรียกกันว่าช่างเคาะ วิชาการนี้ไม่มีในตำราเรียน ถึงเขียนขึ้นเป็นตำรา อ่านให้ตาย ก็ไม่เข้าใจ แม้ว่าดูคนที่เขาทำให้ดู ดูอย่างเดียวไม่ลงมือปฏิบ้ติตามเขาอีกแสนชาติก็ไม่มีวันทำได้

    นี่แค่วิชาช่างเคาะตามอู่ซ่อมรถยนต์ข้างถนนอย่างเดียวเท่านั้น แล้ววิชาความรู้อีกนับไม่ถ้วนที่ไม่ใช่แค่รู้ ถึงเรียนรู้แล้วก็ไม่ใช่สักแค่ว่ารู้ รู้แล้วต้องเข้าใจ เมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านั้นอย่างถ่องแท้แล้วเรียกว่าปัญญา ตัวเข้าใจนี่แหละที่ครูบาอาจารย์ของผมท่านสอน ท่านสั่ง ท่านอธิบายขยายความให้เข้าใจว่าความเข้าใจนั้นคือตัวปัญญา

    อีทีนี้ผมเองบังเอิญเกิดมาดันเป็นช่างแล้วก็ดันเป็นเอาซะหลายอย่างแต่ละอย่างต้องใช้เวลาในการเรียนรู้แล้วฝึกฝน แล้วกว่าจะชำนาญ ต้องใช้เวลามาก กว่าจะรู้ กว่าจะชำนาญ กว่าจะเข้าใจ อย่างช่างเคาะรถยนต์สมัยเมื่อสาม-สี่สิบปีที่แล้ว กว่าจะได้รับความไว้วางใจให้เคาะรถยนต์ที่มีราคาแพงได้ อายุงานประสพการณ์เกินกว่าสิบห้าปีขึ้นไป นี่เขาใช้เวลากันขนาดนี้ ช่างพ่นสีก็เหมือนกัน อายุงานต้องสิบห้าปีขึ้นไปจึงจะพ่นสีในห้องอบสีได้ พวกนี้ต้องฝึกต้องหัดกันมาตั้งแต่เด็ก

    อีกหลายต่อหลายอย่างมากที่ต้องใช้ประเภทวิริยะ ไม่งั้นความเพียรไม่ถึง ความทรหดอดทนไม่ถึง เจอยากๆ เจอลำบากมากๆเข้าก็เผ่นอ้าว นี่ว่ากันในสาขาวิศวะกรรมเป็นส่วนมาก แล้วคนที่เผ่นอ้าวนี่แหละ ก็กลับไปมองว่าพวกที่เขาทำงานหนักอยู่นั้นมันปัญญาน้อย ใช้เวลาในการฝึกฝนจึงช้ากว่าพวกฉลาดหลักแหลม นี่ว่ากันเข้าไปนั่น ทั้งที่คนที่ว่านี้ก็เพิ่งหนีงานหนัก หนีงานที่จำเป็นต้องใช้เวลาในการฝึกฝนเรียนรู้นาน เผ่นอ้าววิ่งเข้าหาร่มก่อน ไอ้ที่ผมพบมันมักจะเป็นประเภทนี้

    ใครที่ว่าแน่ๆปัญญาดีลองหัดฉาบปูนให้ได้ภายในสามวันให้ดูสักคน ลองหัดเคาะรถยนต์ให้ได้ภายในสามวัน พ่นสีแห้งช้ารถยนต์ให้ได้ภายในสองวัน หรือช่างอีกหลายต่อหลายแขนง

    วิริยาธิกะเติมความเป็นพิเศษอย่างผมและพรรคพวกอีกหลายต่อหลายคนมาก เราผ่านการฝึกฝนเรียนรู้มาไม่น้อย ตามตำราบอกว่ากว่าเราจะบอกใครว่าเราปรารถนาในพระโพธิญาณ เราก็ใช้เวลาหลายอสงไขย เราใช้ความวิริยะพากเพียร ใช้ขันติ กับโสรัจจะ ไปในทางที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ ไม่ได้พิเศษแล้วชาวบ้านเขาเดือดร้อนสักกะหน่อย


    เอ หรือว่าเดือดร้อนหว่า เพราะเมื่อใดที่อานิสงค์พิเศษส่งผลเมื่อไร แค่เรื่องสวยอย่างเดียวด้วยความที่สั่งสมหนักไปแต่ความเป็นพิเศษ แล้วเผลอไปสวยกว่าชาวบ้านเขา แล้วพวกเราดันเผลอกันทั้งคณะไม่ใช่เผลอแค่คนสองคน โดยฉะเพาะอย่างยิ่งแก้วเล็กของผมเองนี่แหละ แกบอกว่าแกจะเป็นคนพาแก้วๆของผมจะกี่แก้วก็ตาม พากันมีรูปร่างทรวดทรงที่สวยสะอาดหมดจดงดงามสมบูรณ์บริบูรณ์ไปด้วยประการทั้งปวงไม่เป็นสองรองใครในทุกที่ทุกสถานอีกต่อไปด้วยตัวเขาเอง




     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กุมภาพันธ์ 2016
  7. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พุทธภูมิและพระโพธิสัตว์
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (ยกบางตอนมาจากหนังสือ"พ่อสอนลูก")



    ปรารถนาพุทธภูมินี่เหนื่อย ฉันเคยเป็นพุทธภูมิมาก่อน ฉันรู้ว่าพุทธภูมิสู้ทุกอย่าง งานทุกอย่าง ถ้าลาพุทธภูมิปั๊บอารมณ์ตัด ถ้าตัดก็ไม่ได้ทิ้งงานนะ แต่อารมณ์ต่างกันแต่เสริมขึ้น อารมณ์มุ่งเข้าตัดกิเลสตรง เพราะพุทธภูมิไม่ตัดกิเลส พุทธภูมิทรงฌานมากกว่า หนักไปในเรื่องฌาน พอใช้วิปัสสนาญาณมากเข้าอารมณ์มันเบาลง มันต่างกัน

    พระโพธิสัตว์นี่ พระอรหันต์ไม่ยอมนั่งหน้านะถ้ารู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ ถ้าอารมณ์เข้มปั๊บพระอรหันต์ไม่นั่งหน้า แม้พวกนั้นบวชหนึ่งวัน พระอรหันต์บวช ๑๐๐ วัน เขาไม่นั่งหน้าพระโพธิสัตว์ เขารู้ค่า

    คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องปฏิบัติเลยอรหันต์ พระสาวกปกติบำเพ็ญบารมี ๑ อสงไขยกับแสนกัปเท่านั้น พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ๔ อสงไขยกับแสนกัป ถ้าจิตของเขาถึงปรมัตถบารมี เขาเลยอสงไขยสองอสงไขยมาแล้วต้องเป็นอสงไขยที่ ๔ จึงจะเป็นปรมัตถบารมี

    พระโพธิสัตว์เหมือนพวกเรียนวิชาครู เรียนมาเพื่อเป็นครู จะต้องเข้มแข็ง ถ้าไปโดนศรัทธาธิกะ ต้องหวด ๘ อสงไขย ถ้าวิริยาธิกะ ๑๖ อสงไขย

    ฉันนี่วิริยาธิกะ ทำงานทุกอย่าง สบายไม่มี สาวกภูมิก็พุ่งจริตอย่างเดียว แต่สาวกภูมิสำหรับพวกฉันนี่ เป็นวิริยาธิกะหมด พวกตามเป็นวิริยาธิกะ เฉพาะลูก ๘๐,๐๐๐ กว่าแล้ว พวกไม่คิด เป็นกองทัพใหญ่เลย ถ้ายกมารวมกันนี่หลายแสน กองทัพนะ ลูกฉันน่ะมีบ้าทุกคน ตีฉิบหายหมด บ้าเหมือนพ่อมัน

    เมื่อกี้นั่งคุยกับแม่ศรี อยู่พักหนึ่ง เขาทำภาพเก่าๆคือว่า คนนี้เขาต้องดึงภาพเก่ามาให้เห็นนะเพื่อเป็นการสั่งสอนแนะนำคน โยมท่านพูด บอก

    "เออ...ลูกคุณ ลูกกับพ่อก็เหมือนกัน แม่พ่อก็แบบเดียวกัน ลูกก็แบบพ่อกับแม่"

    เราก็ไม่รู้ว่าท่านพูดว่ายังไง แม่ศรีก็ทำตาม บอก

    "ดูซิ ลูกผู้หญิง ลูกผู้ชายมันบ้าเหมือนพ่อ มันบ้าเหมือนแม่หมด"

    พ่อแม่มันชอบรบใช่ไหม พ่อแม่คว้าดาบเข้าไป ลูกจะคว้าอีโต้ได้ไง ก็ไปตามเข้าป่าไป ก็รบกันแหลกมานาน พวกนี้จึงต้องใช้พวกวิริยาธิกะ นี่ต้องผ่านหนักทุกอย่างหมด ไม่มีอะไรเบา งานทุกอย่างเต็มไปด้วยความลำบาก

    พวกเราที่นั่งๆอยู่ที่นี่ทั้งหมด ท่านถึงพูดได้ว่าไปหมด เพราะกำลังเลย กำลังนี่เลยแล้ว แต่ว่าจุดใดจุดหนึ่งที่จะเข้าถึงมันยังขาดอยู่นิดเดียวเพราะอารมณ์ไม่ถึง ทุกอย่างมันเลยหมด มันเต็มหมด อย่างพวกเรานี่ขาดอันเดียว คือ ขาดอารมณ์ตัดสิน ทำไมจึงขาดอารมณ์ตัดสิน ขาดเพราะว่าอารมณ์เวลานั้นมันยังไม่ถึง เพราะที่ผ่านมานี่ การรบก็ดี การบริหารก็ดี มันมีกรรมบังอยู่หนุนอยู่ พอถึงจุดนั้นปั๊บตัด ๒ เดือนมันหลุดเลย ง่ายนิดเดียว ฉันรู้แล้วว่ามันง่าย

    พระโพธิสัตว์จริงๆ เวลานี้มีเกือบแสนที่เต็มอัตรา เต็มอย่างพระศรีอาริย์น่ะ เต็มคอยคิว นั่งยิ้มอยู่ชั้นดุสิต ปรารถนาพุทธภูมิ ยังไม่พบพระพุทธเจ้าพยากรณ์ ยังไม่ถือว่ามีคติแน่นอน ต้องพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์น่ะ มีคติแน่นอน ถ้าเป็นปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีต่อไป ๔ อสงไขยกับแสนกัป ศรัทธาธิกะ ๘ อสงไขยกับแสนกัป วิริยาธิกะ ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป สบายมาก อยากเป็นไหมเป็นสาวกภูมิก็พอแล้ว รีบไปดีกว่า แต่อย่าไปขัดคอกันนะ ถ้าคนที่เขามีวิสัยพุทธภูมิอยู่ก็พูดกันไม่รู้เรื่องเหมือนกัน

    ผู้ปรารถนาพุทธภูมิไม่มีความเป็นพระอริยะ มีแต่ฌานโลกีย์เพื่อคุ้มครอง จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องพิสูจน์ทุกอย่าง ตั้งแต่อเวจีขึ้นมาต้องรู้หมด

    หมายความว่า ถ้าบารมียังต่ำขั้นฌานโลกีย์ ยังคุมไม่ถึงฌานขั้นต้น ฌานก็ไม่มั่นคง ยังมีโอกาสพลาดลงอบายภูมิ ถ้ามีบารมีเป็นอุปบารมี ก็ปลอดบ้างไม่ปลอดบ้าง ถ้าเป็นปรมัตถบารมีนี่ปลอดหมด กว่าจะเลื้อยแต่ละบารมีนี่ โอ้โฮ ฉันลองดูแล้ว

    สำหรับท่านที่บำเพ็ญตนปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องสร้างกำลังใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นการก้าวเข้าสู่ฐานะพุทธภูมิจะไม่มีผล การปรารถนาพุทธภูมิเป็นของดี แต่จะต้องทำความรู้สึกไว้เสมอว่า เราปฏิบัตินี้เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก เราต้องการซื้อสัตว์ขนสัตว์ที่มีความทุกข์ให้มีความสุข จิตจะต้องคิดอยู่เสมอว่า ทุกข์ของตนไม่มีความหมาย แต่ทุกข์ของชาวประชาทั้งหลายเป็นภาระของเรา เขาทำกำลังใจกันแบบนี้



    นี่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านพูดให้ลูกหลานฟังว่าสาวกที่ติดตามท่านนี่วิริยาธิกะหมด ไม่มีอย่างอื่นนี่นา แล้วอันนั้นมายังไง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กุมภาพันธ์ 2016
  8. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    แรกๆ ผมคิดว่าจะไม่ตอบคำถามของคุณ แต่มาคิดๆ ดูอีกที หากนิ่งเฉยก็จะทำให้อีกหลายๆ คนที่เข้ามาอ่านทีหลังพลอยเข้าใจผิดไปด้วย

    ประการแรกคุณต้องศึกษาและทำความเข้าใจก่อนว่า องค์พระอวโลกิเตศวรกับพระแม่กวนอิมนั้นเป็นคนละองค์กัน

    ประการที่สอง คุณเชื่อเรื่องการนิรมาณกายของพระมหาโพธิสัตว์หรือไม่ ถ้าเชื่อ เราก็พอจะคุยต่อกันได้ แต่ถ้าไม่เชื่อ ก็ควรยุติการสนทนาไว้เพียงเท่านี้

    .
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เหตุที่องค์โพธิสัตว์อวโลกิเตศวรกลายเป็นเจ้าแม่กวงอิม
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    งั้นแสดงว่าเรื่องต่างๆ ที่ลงไว้พวกนี้ ที่กระจายเต็มไปหมด

    เป็นเรื่องไม่ได้เป็นจริง หรือครับ ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2016
  12. ปราบปลิง

    ปราบปลิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +180
    ว่าจะไม่ต่อแล้ว แต่ผมสงสัยนะครับว่า ถ้าท่านสร้างบารมีมาเป็นพันอสงไขยขนาดนั้น ท่านก็สร้างมาเยอะกว่าพระพุทธเจ้าหรอครับ ผมอยากทราบผลงานท่านครับ ว่ามีอะไรบ้าง
    ท่านช่วยสัตว์โลกยังไง ช่วยวิญญาณบาปในนรกยังไง หรือท่านทำอะไรอย่างอื่นอีกบ้าง ผลงานที่คนรู้จักคือท่านช่วยอะไรใครยังไง ประมาณนี้นี้อ่ะครับ แล้ววิญญาณที่กำลังรับโทษ ท่านช่วยได้หรอครับ คนที่ไปทำผิดมา อันนี้ไม่รู้ว่าผมจำท่านใดผิดมาบ้างนะครับ แต่คล้ายๆว่าได้ยินมาแนวนี้คือ ช่วยสัตว์(คน สัตว์)ที่ตกนรก แล้วคือว่าทำไม พวกที่มีญาณมีอะไรต่างๆ ไม่เห็นเล่าเลยครับว่าเคยเจอท่าน(มีก็มีไม่กี่คน) ทำไมพวกที่ตกนรกไปที่อ่านจากของหลวงพ่อ ก็ไม่เห็นมีท่านมาช่วย หรือท่านที่มีญาณทิพย์ขึ้นไปดูบนสวรรค์ทำไมผมไม่เคยได้ยินว่าเจอท่านเหล่านี้เลย ทั้งๆที่ท่านอยู่มาเป็นพันอสงไขย ถ้าบำเพ็ญมาขนาดนั้น ทำไมยังช่วยใครไม่ได้ล่ะครับ หรือช่วยได้นิดๆหน่อยๆ เพราะไม่เห็นว่าท่านจะดึงใครเข้านิพพานได้นะ ไม่เคยได้ยิน หรือว่าที่บำเพ็ญมาเยอะๆกะเอาเข้าไปทีเดียว แต่คือจะเอาเข้าไปหมดได้ยังไงครับ ดวงจิตเกิดใหม่มาเรื่อยๆ แล้วทำบาปไปทุกวันๆ ตกตลอดเวลาไม่ใช่หรือ

    ปล.หลักๆก็อยากรู้ผลงานท่านที่ชัดๆอ่ะครับ แล้วบำเพ็ญเพื่ออะไรพันอสงไขย แล้วทำไมไม่มีเรื่องราวท่านแบบเด่นชัดในพวกตำราของไทย(ซึ่งมีศาสนาพุทธที่แข็งแกร่งและตรงที่สุดแล้วตอนนี้) ทำไมไปปรากชัดในพวกที่ศาสนาพุทธไม่เจริญรุ่งเรืองแล้วและชอบพาคนไปผิดทาง เช่นในตำราจีน แล้วพระท่านที่เป็นพระสุปฏิปันโนในไทย ทำไมไม่เห็นพูดถึงว่าท่านมีบารมีล้นจักวาล
    ทำไมมีแต่คนที่ไม่ใช่พระสุปฏิปันโนกลับพูดถึงแทน ซึ่งญาณทัศนะก็ไม่ได้แจ่มใสถึงขนาดพระอยู่แล้ว แล้วไปรู้จักท่านได้ยังไง อันนี้แหละสงสัยจริงๆ
     
  13. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ดีๆ ช่างสงสัยอย่างนี้ คงต้องเรียนรู้อีกนาน

    ขอแนะนำว่า เมื่อไม่รู้ ไม่เชื่อ และปฏิบัติยังไม่ถึง ก็ฟังให้มากๆ อ่านให้มากๆ และพิจารณาไปเงียบๆ อย่าเที่ยวไปวิพากษ์วิจารณ์และปรามาสในสิ่งที่ตนเองยังไม่เคยประสบพบเห็น กรรมจากการปรามาสพระพุทธเจ้า พระมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ หรือครูบาอาจารย์สายอื่น สำนักอื่นนั้น จะทำให้การปฏิบัติของเราต้องล่าช้าออกไปโดยไม่จำเป็น ดีไม่ดีต้องลงไปเบื้องล่างก็จะเสียเวลาการบำเพ็ญบารมีไปเปล่าๆ

    คำถามที่ถามไว้ทั้งหมด ขอให้ไปหาอ่านศึกษาเอาเองนะครับ มีตำราที่กล่าวถึงมากมาย ถ้าไม่ศึกษาด้วยตนเองก็จะไม่เข้าใจ ได้คำตอบจากผมไปก็ยังไม่จุใจเท่ากับศึกษาเอาเอง

    ศาสนาพุทธไม่ได้มีนิกายเถรวาทเพียงนิกายเดียวในโลกนี้ เปิดใจให้กว้าง ศึกษาให้มากๆ ครับ

    .
     
  14. ปราบปลิง

    ปราบปลิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +180
    คุณตั้มศักดิ์ ข้างบนนั่นเรียกปรามาสหรือครับ ผมแค่เชื่อในสิ่งที่เป็นไปได้มากกว่า ผมอ่านมาก็ไม่ได้น้อยนะ แต่เพิ่งได้ยินมาจากคุณนี่แหละที่ว่าบำเพ็ญมาพันอสงไขย แล้วก็ไม่เคยได้ยินจากพระที่ท่านปฏิบัติจริงๆเลยเรื่องพระอวโลกิเตศวร หรือ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ หลวงปู่มั่น หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพี่เล็ก หลวงปู่ดู่ ไม่เคยบอกไว้ ท่านก็ระดับที่เหนือกว่าปุถุชนทั้งนั้น ทำไมท่านไม่เจอ แล้วทำไมพระจีนที่ไม่ได้มีบารมีถึงระดับท่านถึงไปเจอ 2 องค์นี้ได้อย่างไร ประมาณนั้น

    คือผมเข้าใจนะว่า เมื่อเกิดการนับถือ สิ่งที่ตามมาก็คือ ปาฏิหาริย์ เช่นนับถือพระศิวะ เขาก็เกิดปาฏิหาริย์ แต่พระศิวะมีจริงหรือ ได้ยินว่าสร้างโลก แต่ไม่เคยเห็นหน้า แต่ยังมีร่างทรงได้ ช่วยบางคนได้ ทั้งๆที่ไม่มีตัวตนจริง และมีอีกที่ไม่น่าเชื่อเลยเช่น พระพระพิฆเนศ เกิดปาฏิหาริย์ได้ทั้งๆที่ไม่มีตัวจริงเหมือนกัน อาจะมีเทพอื่นๆช่วยดลให้คนที่อธิษฐานถึงสมหวัง หรือเมื่อกำลังใจรวมตัว กำลังด้านสมาธิก็มีอำนาจบรรดาลให้เป็นจริงตามนั้น อันนี้ไม่แปลกทั้งมีบุญเก่าด้วยแหละ
     
  15. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ถ้าไม่เคยทราบ และอยากทราบ อยากรู้เรื่องของทั้งสองพระองค์นี้ "พระอวโลกิเตศวร" และ "พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์" ลองศึกษาหรือหาอ่านดูจากในห้องพุทธภูมินี้ก็พอหาได้อยู่ครับ ถ้าจะให้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้นก็ต้องไปหาอ่านจากตำราของสายมหายานนั่นแหละครับ จะได้เลิกสงสัยเสียที
     
  16. Tanakorn

    Tanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,537
    พระอาจารย์สามารถ ที่วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า มีพระองค์อื่นแซวท่านว่า อยู่มา 80 อสงไขยแล้ว ยังไม่เบื่อรึ?
     
  17. ข้าผู้น้อย

    ข้าผู้น้อย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +81
    อยากรู้ความเป็นจริงคะ

    ในความเห็น เอาตามความใกล้เคียงความเป็นไปได้นะคะ หนูคิดว่าการบำเพ็ญที่เป็นพันอสงไขยนั้น น่าจะเป็นดวงจิตที่แบ่งออกมาก่อนบรรลุเป็นพระอริยโพธิสัตว์นานแล้ว แล้วอธิษฐานขอให้ดวงที่แบ่งออกมานั้น บำเพ็ญเพียรโปรดสัตว์แทนตัวเอง
    ซึ่งพระอริยจะแบ่งดวงจิตมาเกิดอีกได้ไง ในเมื่อบรรลุแล้ว
    ซึ่งหมายความว่าพันอสงไขยที่บอกนั้น ไม่ใช่พระอวโลกิเตศวรเลย
    คงอาจจะเหมือนกันกับพระพุทธเจ้า ที่มาตรัสรู้มีชื่อซ้ำๆกันตามหลักเถรวาทนะละ

    พระสูตรมีมาจากหลายที่มา ผู้เขียนผู้เรียบเรียงก็ไม่เหมือนกัน พิสูจน์ได้อย่างไรว่าจริง หนูขอใช้หลักกาลามสูตรนะคะ

    หากจะมีผู้ใดในโลกธาตุนี้มีคุณสมบัติญาณหยั่งรู้โดยแท้เป็นความจริงได้ ขอได้โปรดเมตตาให้ข้าพเจ้าและผู้ใดที่มีสงสัย ได้หลุดพ้นจากความสงสัยนี้พบกับความเป็นจริงนี้เถิด
     
  18. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    อันที่จริง จำนวนอสงไขย น่าจะนับตั้งแต่เริ่มสร้างบารมีนะครับ

    อย่างเราๆท่านๆ ถ้านับรวมทั้งหมดก็ต้องนับชาติไม่ถ้วน
    ถ้าว่านับถ้วนก็แสดงว่า การเกิดของวิญญาณมีอยู่ และเริ่มต้นไม่พร้อมกัน น่ะสิครับ
     
  19. ข้าผู้น้อย

    ข้าผู้น้อย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +81
    ที่ว่าธิกะพิเศษๆ

    พระพุทธเจ้ามี 3 ประเภท 9 ระดับปกติ และ 3 ระดับพิเศษ ตามหลักเถรวาท

    พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภทคือ

    – ปัญญาธิกะ
    – สัทธาธิกะ
    – วิริยาธิกะ

    มีระดับอยู่ ๙ ระดับดังนี้

    ปัญญาธิกะที่ ๑ มีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี
    ปัญญาธิกะที่ ๒ มีอายุ ๕,๐๐๐ ปี
    ปัญญาธิกะที่ ๓ มีอายุ ๑๐๐ ปี

    สัทธาธิกะที่ ๑ มีอายุ ๔หมื่น ปี
    สัทธาธิกะที่ ๒ มีอายุ ๓หมื่น ปี
    สัทธาธิกะที่ ๓ มีอายุ ๒หมื่น ปี

    วิริยาธิกะที่ ๑ มีอายุ ๑แสน ปี
    วิริยาธิกะที่ ๒ มีอายุ ๙หมื่น ปี
    วิริยาธิกะที่ ๓ มีอายุ ๘หมื่น ปี

    ส่วนพระพุทธเจ้าแบบพิเศษ มีอยู่ ๓ ระดับ

    ชั้นตรี ๒๕ องค์ มีได้ ๑ องค์ ที่ทำให้โลกสว่าง
    ชั้นโท ๓๖ องค์ มีได้ ๑ องค์ หมดเดียรถีย์
    ชั้นเอก ๕๐ องค์ มีได้ ๑ องค์ (กุฏีนิมิต,กุฏินิรมิต) ไปในอากาศ
    และหมดเดียรถีย์

    เรื่องราวของจำนวนสาวกขององค์พุทธะ
    ตามคำบอกเล่าของหลวงปู่จาม มหาปุญโญ จากหนังสือเล่มเดียวกัน มีดังนี้นะครับ

    ปัญญาธิกะที่ ๓ – ๒๐ ล้าน ๘ แสน ๕ หมื่น องค์
    ปัญญาธิกะที่ ๒ – ๒๕ ล้าน ๘ แสน ๕ หมื่น องค์
    ปัญญาธิกะที่ ๑ – ๓๐ ล้าน ๘ แสน ๕ หมื่น องค์

    สัทธาธิกะที่ ๓ – ๓๕ ล้าน ๘ แสน ๕ หมื่น องค์
    สัทธาธิกะที่ ๒ – ๔๐ ล้าน ๘ แสน ๕ หมื่น องค์
    สัทธาธิกะที่ ๑ – ๔๕ ล้าน ๘ แสน ๕ หมื่น องค์

    วิริยาธิกะที่ ๓ – ๙๐๐ ล้าน ๘ แสน ๕ หมื่น องค์
    วิริยาธิกะที่ ๒ – ๑,๐๐๓ ล้าน ๘ แสน ๕ หมื่น องค์
    วิริยาธิกะที่ ๑ – ๑,๐๐๖ ล้าน ๘ แสน ๕ หมื่น องค์

    องค์พุทธะที่มีจำนวนภิกษุสงฆ์มากกว่าภิกษุณีสงฆ์
    ตามคำบอกเล่าของหลวงปู่จาม มหาปุญโญ จากหนังสือเล่มเดียวกัน มีดังนี้นะครับ

    ในอดีต
    ๑ พระพุทธเจ้าสุมังคโล
    ๒ พระพุทธเจ้าสุมโน
    ๓ พระพุทธเจ้าปทุมมุตตโร
    ๔ พระพุทธเจ้าธมฺมทสฺสี
    ๕ พระพุทธเจ้าวิปสฺสี
    ๖ พระพุทธเจ้ากกุสันธะ
    ๗ พระพุทธเจ้ากัสสปะ

    ในอนาคต
    ๑ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๘
    ๒ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๐
    ๓ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๕
    ๔ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๖
    ๕ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๒๑

    องค์พุทธะที่มีจำนวนพระอรหันต์มากกว่าพระอริยะ ๓ ชั้นต้น
    ตามคำบอกเล่าของหลวงปู่จาม มหาปุญโญ จากหนังสือเล่มเดียวกัน มีดังนี้นะครับ

    ในอดีต
    ๑ พระพุทธเจ้าสุมังคโล
    ๒ พระพุทธเจ้าธัมมทัสสี
    ๓ พระพุทธเจ้าวิปัสสี
    ๔ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ

    ในอนาคต
    ๑ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๘
    ๒ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๕
    ๓ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๖
    ๔ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๒๑

    และเรื่องราวของผู้ชายเกิดมากกว่าผู้หญิง
    ในสมัยขององค์พุทธะที่จะมาตรัสในอนาคต

    ๑ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๘
    ๒ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๐
    ๓ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๕
    ๔ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๖
    ๕ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๗
    ๖ พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๒๑

    ****************************

    จำนวนพระปัจเจกพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ในอนาคต ตามยุคสมัยกัปก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัส

    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑ ๒๐๐,๐๐๐ องค์ (นับองค์ที่ ๑ คือพระศรีอาริยเมตไตรย์ )
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๒ ๓๐๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๓ ๔๐๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๔ ๒๐๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๕ ๒๐๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๖ ๒๐๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๗ ๒๐๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๘ ๗๐๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๙ ๒๐๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๐ ๙๕๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๑ ๓แสน องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๒ ๗๕๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๓ ๕๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๔ ๕๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๕ ๖๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๖ ๑,๑๕๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๗ ๒๕,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๘ ๓๕,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๙ ๑๐๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๒๐ ๒๕๐,๐๐๐ องค์
    พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๒๑ ๓๐๐,๐๐๐ องค์

    พระพุทธเจ้านั้นมีอยู่ 3 ประเภท 9 ระดับปกติ และ 3 ระดับพิเศษของหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ

    จากหนังสือที่ทางวัดพิมพ์
    หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ
    วัดป่าวิเวกวัฒนาราม หมู่๙บ้านห้วยทราย
    ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    https://please19.wordpress.com/2012/03/01/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B5-3-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97-9-%E0%B8%A3%E0%B8%B0/

    เพิ่มเติมhttp://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=594

    สำหรับหนูขอตัวTOPสุดคะ เป็นคนมีจริตปัญญา
    ประเภทปัญญาธิกะ
    ระดับที่1 อายุ 10,000 ปี
    แบบพิเศษชั้นเอก ๕๐ องค์ มีได้ ๑ องค์ (กุฏีนิมิต,กุฏินิรมิต) ไปในอากาศ
    และหมดเดียรถีย์
    จำนวนสาวกปัญญาธิกะที่ ๑ – ๓๐ ล้าน ๘ แสน ๕ หมื่น องค์

    ชัดเจน แจ๋มแจ้งนะคะ ขอบคุณคะ เจือนเจี๋ยวเหนียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2016
  20. ข้าผู้น้อย

    ข้าผู้น้อย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +81
    วิริยาธิกะ พิเศษ

    พุทธภูมิมีหลายแบบ ดังนี้ครับ

    1. แบบปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมีปลายประมาณ 4 อสงไขย
    2. แบบศรัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมีปลายประมาณ 8 อสงไขย
    3. แบบวิริยธิกะ บำเพ็ญบารมีปลายประมาณ 16 อสงไขย

    4. แบบวิริยะธิกะพิเศษ แยกย่อยดังนี้ ( ปรารถนาเป็น สมเด็จพระสิกขีทศพล ในเว็บนี้มีหลายท่าน )

    - พระสิกขีทศพล บารมีปลาย 148 อสงไขย
    - พระพุทธเจ้าต้นกัปใหญ่ บารมีปลาย 100 อสงไขย ขึ้นไป
    - พระพุทธเจ้ากลางกัปใหญ่ บารมีปลาย 80 อสงไขย ขึ้นไป
    - พระพุทธเจ้าปลายกัปใหญ่ (หัวข้อนี้ไม่แน่ใจครับ)
    - พระพุทธเจ้าอนุกัป บารมีปลาย ไม่ทราบครับ ตัวอย่างเช่น พระพุทธกกุสันโธ พระศรีอริยเมตตรัย

    ความต่างมีดังนี้ ครับ

    1. กายทิพย์ใหญ่ ต่างกันแน่นอน
    - สมเด็จองค์ปฐม พระสิกขีทศพลที่ 1 กายทิพย์ใหญ่ที่สุด ประมาณ 1 หมื่นโยชน์
    - พระสิกขีทศพล ต่างๆ กายทิพย์ใหญ่ ประมาณต้นพระศอ(คอ)ของสมเด็จองค์ปฐม
    - พระพุทธเจ้าต้นกัปใหญ่ กายทิพย์ประมาณ ไหล่ หรือ หน้าอก ของสมเด็จองค์ปฐม
    - พระพุทธเจ้ากลางกัปใหญ่ กายทิพย์ประมาณ ท้อง ของสมเด็จองค์ปฐม
    - พระพุทธเจ้าปลายกัปใหญ่ ไม่ทราบ
    - พระพุทธเจ้าอนุกัป ไม่ทราบ
    - พระพุทธเจ้าแบบทั่วไป ไม่ทราบ

    2. จำนวนบริวาร แตกต่างกันแน่นอน การบำเพ็ญบารมีมาก ย่อมมีบริวารตามมากเป็นธรรมดา

    3. วิมานที่พระนิพพานขนาดแตกต่างกันตามบารมี

    สิ่งที่เหมือนกัน คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้พระธรรม และสอนเหมือนกันทุกพระองค์
    การได้พบเจอพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด ถือว่า ประเสริฐแล้วครับ

    ปล.วิริยะธิกะพิเศษ คือ ปรารถนาเป็นสมเด็จพระสิกขีทศพล ณ. ขณะนี้บนพระนิพพานมีอยู่ ๕ พระองค์

    เครดิตคลิก>>>พุทธภูมิมีกี่แบบครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...