ถามเรื่องการสวดมนต์

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย The eyes, 26 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    สวดบทจักรพรรดิ์มาได้ 3 ปี แล้ว ตั่งแต่ตอนนั้น มีอาการคล้ายกันค่ะ สบายดี
    ปล. เรื่องสัมผัสพอได้รับอนิสงฆ์จากบทสวดบ้าง จะรู้สึกไม่ดีเวลามีดวงจิต รึ กระแสร้อนมาใกล้ๆ บางครั้งถึงขนาดนอนไม่หลับ หงุดหงิดรำคาญมาก ก็จะนอนภาวนาไปตามประสาจนคลาย นี่คืออานิสงฆ์อย่างหนึ่งในการฝึกสมาธิ...
     
  2. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    มาอ่านต้องบอกขอบคุณ ...

    ปล.แต่ในเจตนาดีนั้นมีอะไรเคลือบแฝงรึไม่ อันนี้ต้องรอการพิสูจน์ อย่าใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือในการทำลายกัน ในเมื่อทราบว่าเฟส ว่ากลุ่มไลน์ของเขา ของคนที่คิดว่าเป็นกลุ่มเขากะลา เป็นมิติมืด มีใครบ้าง... ใยผู้พิทักษ์จักรวาล(ตามที่คุณเคยบอกไว้ในหลายกระทู้)อย่างคุณ ไม่ไปจัดการ ละคะ
    และการก่อกวนจิตคนอื่นนั้นมันดีแล้วรึคะ??? ในเมื่อ ประกาศตัวว่าทำพฤติกรรม แอบเชื่อมจิตคนอื่น ก็ไม่แปลกที่จะโดนเจ้าของบ้านไล่ ไม่ต้อนรับ ... แต่คุณกลับคิดว่า มันเกิดเพราะฝ่ายมืด ดิฉันเลยไม่รู้จะคิดกับคุณยังไงดี
    ปล.แล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกายใจของดิฉันตอนนี้ ดิฉันถือว่ามันเกิดเพราะคุณ เรื่องพลังงานส่วนเกินที่ส่งผลต่อร่างกายมันทำให้เกิดผลกระทบอย่างไร คุณคงรู้ คงจะไม่ทำพฤติกรรมดังว่าอีกนะคะ
    ขอบคุณที่ห่วงใย
     
  3. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    รับทราบและขอบคุณอีกครั้งค่ะ ^_^
    ปล.อุตส่าห์ไม่สงบ แต่เห็นขยันเตือน เลยต้องบอกให้เข้าใจ...
    แล้วใครกันหนอเขียน ว่า " จิตของคุณ ผลักเราออกตลอด "
    อย่างนี้จะให้เข้าใจอย่างไรคะ ??? ประโยคนี้ของคุณคือ เชื่อมจิต , สิงจิต, , ลอบมอง รึ เดาเอา >>>โปรดให้ความกระจ่าง จะได้เลิกเข้าใจคุณผิด
     
  4. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    แหมๆๆ งั้นก็ช่วยเขียนให้เคลียร์ซิคะ อย่ามั่วเขียน แต่ถึงกระนั้นมันก็คือส่วนหนึ่งของจิตดิฉัน (ไม่ขอขยายความ) อย่าเผลอคิดว่ามันคือ ฝ่ายมืดต่างมิติอีกละ ดูให้ดี เขียนให้ดีก่อน และขอจบการสนทนาเพียงแค่นี้ กระทู้นี้เป็นกระทู้ถามเรื่องการสวดมนต์ นะจ๊ะ
     
  5. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +218


    ลักษณะนี้คือเหมือนกับที่เาทำตาเขใช่หรือเปล่าคะ พยายามมาสองวันแล้ว ยังไม่ได้แต่แปลกใจวันแรกจิ้งจกร้องทักระงมหรือว่าสงสัยจะคิดไปเองขอโทษด้วยคะรออะไรหรือคะรอจนมันใส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 เมษายน 2016
  6. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ขยายความเป็นความรู้พิเศษ : ตอนหมองูตายเพราะปาก ^_^ อุตะ!!มีด้วยรึ???
    ขอขยายความใน(....) ที่ว่าจะไม่ขยาย...
    การที่ใครซักคนมาบอกว่า "จิตคุณผลักผมออกตลอด" ต่อมา บอกว่า " ไม่ได้เชื่อมจิตคุณ แต่คุณมีแฝง ที่พยายามผลักผม ไม่ต้องการให้ผมช่วยคุณ "
    ถาม: ก็ถ้าใครก็ตาม ไม่คิดจะเชื่อม แอบดู รึยุ่ง กับคนๆนั้น มีรึจะมาโพสคำพูดพวกนี้ ???
    และการที่ใครซักคนจะไม่พอใจกับคนที่แอบกระทำการใดๆโดยไม่บอกกล่าว ถามว่า มันผิดปกติไหม ???
    ถ้าหลายท่านอ่านโพสบนๆของดิฉัน ดิฉันได้พยายามบอกความนัยแบบอ้อมๆแล้วว่า พอสัมผัสเรื่องพลังงานได้ ..การที่วางเฉยไม่พูดตรงๆก็ใช่ ว่า จะไม่ทราบว่ามีสิ่งใดมากระทบบ้าง (ท่านให้ปล่อยวางซะ )
    ตามความหมายของ แฝง คือ มีดวงจิตอีกดวงแนบติดอยู่กับดวงจิตเจ้าของร่างกายนั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเจ้ากรรมทีร่วมกรรมกันมา มีทั้งดีและไม่ดี ตั่งแต่พวกสัมภเวสีมีฤทธิ์จนถึงเทพพรหมณ์ ฉะนั้น ไม่ว่าจะพบดวงจิตใด ก็ให้ความหมายว่า คนคนนั้นมีการพยายามแทรกแซงจิตของผู้อื่น โดยผู้อื่นไม่รู้ รึ ยินยอม ฉะนั้น ข้ออ้างด้านบน จึงถือว่าไม่สมเหตุสมผล

    และการที่มองแล้วไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นพวกฝ่ายมืดต่างมิติ รึเป็นเจ้ากรรมที่อยู่ร่วมกันมากับคนนั้น(บางดวงจิตไม่อนุญาตรึไม่ต้องการให้คนอื่นเห็น ก็จะเห็นเป็นเพียงเงาดำๆ) แล้วคิดจะช่วย โดยการพยายามส่งจิตมา ย่อมจะทำให้พลังงานที่สมดุลย์ ที่ร่างกายมี(สมดุลย์เพราะอยู่ด้วยกันมานาน) เกิด อาการพร่อง เกิน ได้...และหลายๆคนคงรู้ว่ามันจะส่งผลอย่างไรกับเจ้าของร่าง

    ปล.ข้อมูลนี้คงมีประโยชน์ ต่อท่านผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ การอยากช่วยเหลือผู้อื่นก็ดีอยู่ แต่หลักของการช่วยเหลือก็จำเป็น หมอไม่ถามอาการคนป่วย แต่ยัดยา อันนี้ก็อันตรายเหมือนกัน
    ปล.ปกติไม่ชอบโต้คารมณ์กับใคร เพราะไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าไม่บอก ผู้หวังดีก็คงจะโพสอีกหลาย
    ปล.2 และการที่ออกมาโพสนี้จนเกิดการโต้วาทีนี้ ไม่เกี่ยวกับบุคคลที่ 3 เลย
    จบจริงๆแระ เขียนจบก็ปล่อยวาง ...
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ตานิ่งๆครับ..คือเราโฟกัสแค่ที่เหนือปลายนิ้วชี้ที่มือจุดเดียวครับ...ส่วนที่รอจนมันใส เด่วลองอ่านย้อนดูนะครับ ไม่เข้าใจ
    ตอนนี้ไม่เป็นไร เด่วพอเห็นได้จะเข้าใจเองครับ
    ด้วยตาปกติ ที่ไม่ต้องทำตาเขนี่หละครับ....
    ปล.ที่ใสคือให้สังเกตุการเปลี่ยนแปลงของมวลอากาศรอบๆตัว... (^_^)
     
  8. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    เอาเป็นว่าในครั้งนี้ ถือว่าจบประเด็นกันไป ดิฉันไม่ติดใจสงสัยอะไรในตัวคุณ เพียงแต่รสนิยมในการสื่อสาร เข้าถึง ต่างกัน ขอบคุณในน้ำใจที่คิดจะช่วยเหลือ และถ้ามีโอกาสสนทนากันในคราวต่อไป ขอแบบน้ำผึ้งแล้วกันนะคะ คือไม่ชอบน้ำหมักน้ำมอม เปรี้ยวไป เผ็ดไป มันไม่ดี ขอบคุณอีกครั้งและจะพิจารณาตนเองตามที่คุณเตือนค่ะ...
     
  9. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ

    มีคำตอบดี ๆ จากหลายท่านแล้วเนาะ ถ้างั้นเราแจมประสบการณ์โดนรุมแล้วกันนะ ปกติชอบสวดบทพุทธคุณ บทอื่น ๆ ก็แล้วแต่บางอารมณ์ ยาวเกินไปก็ขี้เกียจนิ
    เวลาโดนทีก็เป็นร้อยมา เราก็สู้สุดใจขาดดิ้นนะแหละ ทีนี้มันเยอะเกิน เริ่มหาวิธี ก็สวดมนต์ สวดทีก็กระเด็นออกไปที ขอบอกว่าว่าสวดมนต์ต้องทรงอุปจาระขึ้นไปเป็นอย่างน้อยนะ ไม่งั้นจะไม่มีผลอะไรเลยจริง ๆ นะ

    ทีนีเราก็กังวลไหนจะต้องระแวดระวังตัวระหว่างต่อสู้ ไหนจะต้องแบ่งจิตมาสวดมนต์ สมาธิก็ตกบ้างอะไรบ้าง รวบรวมสมาธิมาสวดมนต์ทีก็กระเด็นออกไปที แล้วก็กลับมาใหม่ แต่เข้ามาใกล้เราได้ไม่เกินรัศมี ๑ เมตร จำได้ว่าเราสวดไล่ประมาณ ๒๐ - ๓๐ ครั้งนี่แหละ เหนื่อยมากขอบอก ใจมันคิดแต่จะฟัดเขาลูกเดียว สอบตกเรื่องเมตตาเต็ม ๆ TT

    พึ่งมีครั้งนี้นะดีใจมาก ๆ สวดคาถาเงินล้านจนหลับไป เห็นวงกลมจากตาที่สาม แต่ภาพไม่ชัด เราเลยวิปัสสนาแบบด่วน แป๊บหนึ่งก็สว่างชัดเจนเหมือนกลางวัน แล้วก็เหาะ ดีใจควบคุมการเหาะได้ ไปเจอยายแก่ ๒ คน เราก็ยิ้มให้แก แกก็ยิ้มกลับให้ดีอยู่ แต่ไฉนยาย ๒ คน จึงคิดฆ่าเรา

    ซึ่งครั้งนี้เรายอมให้แกฆ่าอย่างง่ายดายแต่โดยดี ไม่กลัวตายเลยสักนิด ยายสองยายเอาดาบจะแทงเรา แต่เราดั๊นกลัวเจ็บขึ้นมาซะงั้น ยายแกก็กระไร อาไร้เหมือนแกจะรู้ แกก็แกล้งเราใหญ่ เอาดาบมาจิ้ม แหย่ ๆ ไม่ฆ่าเราซักที แล้วมันเจ็บจริง ๆ เหมือนแทงกายเนื้อเลยนะ เลยสอบตกอีกแล้วเรา เขาถึงว่า แค่เรื่องเมตตาเรื่องเดียวก็อย่าได้คิดว่ามันจะผ่านไปได้ง่าย ๆ เหมือนยาย ๒ ยายจะสบตากันแล้วยักคิ้วใส่กันด้วยนะ แพ้แกตามเคย TT แต่ก็ดีใจเป็นครั้งแรกที่ยอมให้เขาฆ่า ถึงแม้จะยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม

    โชคดีมีชัยและปลอดภัยรับปีใหม่ไทยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2016
  10. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    หายไปนานเลยนะคะ คุณทองชมพู >>> สวัสดีวันสงกรานต์ค่ะ
    ถูกต้องเลยนะคะกับเรื่องที่แชร์นี้ มันหลุดจริงๆ สบายเนื้อตัวขึ้นด้วย
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ใช่เรื่องเมตตาถ้าไม่มีประสบการณ์ในนิมิตมาจริงๆ
    จะไม่รู้เลยว่ามันผ่านยากจริงๆ...
    ถ้าจะผ่านได้จริงๆ ต้องยอมตายไปเลย ห้ามใช้
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามี ที่เราทำได้ในนิมิต และที่สำคัญคือต้อง
    ยอมด้วยความเต็มใจ เพราะบางทีเรารู้ว่าต้องยอมตายถึงจะผ่าน
    พวกที่มาทดสอบเค้าก็รู้ทันเราเช่นกัน ถ้าใครพอผ่านได้
    ตัวจิตจะผลิกเมตตาจากภายในเปลี่ยนออกมาเป็น
    เมตตาที่ขยายจากตัวจิตเราออกไปภายนอกได้..
    ถ้าทำได้ ที่นี้ต่อไป ไม่ว่าเราไปที่ไหนก็ตาม
    เกือบทุกภพภูมิเค้าจะนับเราเป็นมิตรครับ...

    แต่ไม่ใช่จะผ่านกันได้ง่ายๆ
    ดังคำว่า สอบได้เรื่องตลก สอบตกเรื่องธรรมดา...
    และการทดสอบเรื่องเมตตาต่อไป ซึ่งจะเกี่ยวพันธ์ถึงความ
    สามารถในการใช้งานทางจิตเราแบบพิเศษๆ
    ในสภาวะลืมตาปกติด้วยครับ ซึ่งจะมีมาทดสอบ
    เรื่อยๆ ตามความสามารถทางจิตที่เราทำได้
    นะขณะช่วงเวลานั้นๆด้วย ถ้าผ่านได้ตัวจิตก็จะสามารถ
    พัฒนาพลิกจาก การใช้งานได้เฉพาะในนิมิต
    เห็นได้แต่ในนิมิต รู้ทำได้อยู่คนเดียว....
    ให้สามารถ ใช้ได้จริงแม้ในขณะลืมตา บุคคลอื่นๆ
    จะสามารถรับรู้ สัมผัสได้ และทำให้เห็นเหมือนเราได้..
    และเราจะสามารถนำมาใช้งานได้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง
    ตามระดับกำลังสมาธิใช้งานของบุคคลนั้นๆ
    ส่วนพระสงฆ์ที่มีชื่อต่างๆ ท่านก็เจอบททดสอบ
    เหมือนกัน แต่ว่าท่านจะเจอของจริงๆ ตัวจริงๆ
    ไม่เหมือนเราทั่วๆไป ที่มักจะเจอแต่ในนิมิต
    และก็จะสอบตกกันเป็นเรื่องปกติ
    ประมาณนี้ครับ
     
  12. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    ถามคุณ noppakan ที่เคยบอกว่าอุทิศบุญด้วยกำลังตัวเองออกไปให้ไกลที่สุด เราต้องกำหนดยังไงครับ คือไม่แน่ใจในรายละเอียดของวิธีการ ว่าเป็นการตั้งใจว่าจะแผ่ไปให้ไกลเฉยๆ หรือว่าต้องกำหนดภาพ-ขอบเขตอะไรด้วยหรือเปล่า

    อยากให้ขยายความตรงนี้หน่อยครับ พอดีมาถามตรงนี้น่าจะดีกว่าเผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วยครับ
     
  13. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +218
    ตานิ่งๆครับ..คือเราโฟกัสแค่ที่เหนือปลายนิ้วชี้ที่มือจุดเดียวครับ...ส่วนที่รอจนมันใส เด่วลองอ่านย้อนดูนะครับ ไม่เข้าใจ
    ตอนนี้ไม่เป็นไร เด่วพอเห็นได้จะเข้าใจเองครับ
    ด้วยตาปกติ ที่ไม่ต้องทำตาเขนี่หละครับ....
    ปล.ที่ใสคือให้สังเกตุการเปลี่ยนแปลงของมวลอากาศรอบๆตัว... (^_^)

    สงสัยตัวเองถ้าจะมีปัญหาเพราะเวลาจ้องที่นิ้วชี้จะเกิดอาการเหมือนตาจะเหล่และเริ่มมีอาการปวดกระบอกตา และทำให้การสวดมนต์ไม่เป็นสมาธิ มีแบบอื่นที่ทดสอบง่ายๆกว่านี้ไหมคะ และถ้าเราฟังบทสวดตามไดร์และเรากำหนดจิตสวดตามไปด้วยจะเป็นสมาธิได้หรือไม่ เพราะตัวเองสวดมนต์มานานแต่ปล่อยบทสวดไม่ได้ ถ้านั่งนิ่งๆจะต้องฟุ้งสร้านตลอดเวลา ถ้าเราสวดตามไดร์และจิตเรากำหนดไปด้วยเราจะมีโอกาสทำสมาธิได้ไหม และทุกวันนี้ปัญหาชีวิตมันเยอะนอนไม่หลับ ก็ใช้บทสวดมาเปิดฟังก็หลับได้ มีอะไรก็ช่วยแนะนำด้วยนะคะ เพราะสนใจทางด้านนี้มาก แต่ก้าวหน้าช้ามาก แต่ก็แปลกใจว่าถ้าตัวเองไม่มีวาสนาแต่ถ้าตั้งใจจะสวดบทอะไรก็จะจำได้ง่าย ไม่เท่าไรก็ท่องได้โดยไม่ต้องดูกนังสือเลย แต่มีปัญหา 2 อย่างเท่านั้น คือ ทำสมาธิโดยนั่งนิ่งๆไม่ได้ กับไม่เคยพบเห็นอะไรดังที่เขาบอกกันมา ช่วยแนะนำด้วยนะคะ
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เด่วจะพูดรวมๆหลายวิธีเลยแล้วเนาะ ถนัดแบบไหนก็ใช้แบบนั้น...


    แต่ขอพูดในรูปแบบการทำบุญต่างๆก่อน เด่วเทคนิคจะพูดตอนท้ายๆ


    หรือถ้ายาวไปก็อีก #Rep แล้วกัน
    ๑.ทำบุญกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลทันที หลังจากทำบุญตักบาตร หรือ ถวาย
    สังฆทาน บริจาคค่าโน้นนี่นั้น ร่วมทำบุญโน้นนี่นั่นฯลฯ นี่แบบที่เห็นได้ทั่วๆไป...
    ๒.แผ่นเมตตาอุทิศส่วนกุศลก่อนและหลังนั่งสมาธิ..สำหรับกรณีที่สวดมนต์
    ไม่นานและนั่งสมาธิต่อในระดับที่สงบ...หรือกรณีจะฝึกกรรมฐานอะไรก็สุดแล้วแต่
    ๓.ทำบุญอุทิศส่วนกุศลทันที หลังจากที่สัมผัสรับรู้ได้ ทางตา หู จิต กาย จมูก
    กรณีนี้ รวมทั้งสัมผัสได้แบบลืมตาเห็นๆ หรือแว๊บๆ หรือในนิมิต ในฝันและกึ่ง


    หลับกึงตื่นคล้ายฝัน หรือ ขณะที่สัมผัสนั้นรบกวนจนไม่สามารถนั่งสมาธิหรือฝึกกรรมฐานต่อได้
    ๔.ทำบุญอุทิศส่วนกุศลทันที หลังจาก ระลึกได้ นึกขึ้นได้ คิดขึ้นได้ ผุดขึ้นมาได้รวมทั้งกรณีที่ปรุงแต่งร่วมไปแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม..
    ๕.ทำบุญอุทิศส่วนกุศลทันที ไม่ว่าจะเจอข้อ ๑ สอง สาม หรือ ข้อ ๔ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด
    ๖.ข้อสุดท้ายเท่าที่พอทราบตอนนี้ คือ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลก่อนทันทีแล้วก็ทิ้งจิต
    ทิ้งตัวรู้ เพื่อให้มันเป็นไปเองอัตโนมัติโดยที่ไม่มีตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้อง วิธีนี้เรียกว่าการใช้บารมี บ้างก็เรียกว่า อานุภาพ แต่ควรต้องผ่านเกือบทุกข้อมาก่อนถึงจะเริ่มทำได้เพราะวิธีการนี้ไม่สามารถใช้ความสามารถพิเศษ. ใช้กรรมฐานใดๆมาช่วยได้ เป็นบารมีที่ต้องสร้างและสะสมเองมา. จากข้อที่. ๑ ถึง ๕.


    วิธีการอุทิศส่วนกุศล....


    ๑.ขี้นด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตน์ตรัย ก่อน แล้วจะอุทิศอะไรก็สุดแล้วแต่. ฯลฯ
    วิธีนี้ไม่มีหลักเกณฑ์เทคนิคอะไร. เตรียมใจหน่อย. แล้วก็พูดๆหรือนึกในใจ
    ก็ว่าไปสุดแล้วแต่ชอบ


    ๒..ขี้นต้นเหมือนข้อ. ๑..แต่ให้พูดหรือคิดว่า. ขอให้บุญที่ทำแปรสภาพเป็นอะไรก็ตามสุดแล้วแต่ที่ท่านต้องการและขอให้เป็นของท่านดังปรารถนาเถิด
    ป้องกันเหตุคาดไม่ถึงก็คือ ดวงจิตดวงวิญญาน. รับบุญด้วยรูปแบบปกติไม่ได้
    ไม่ว่าจะเหตุจากกำลังจิตน้อยไป. วิบากกรรมต่างๆ. ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เราเข้า
    ใจไปว่า. ทำบุญแล้วทำไมยังไม่ไปไหน. ทำไม่เรายังเห็นแบบเดิมๆ. ทำไม่ยังมากวนเราเป็นต้น. ฯลฯ
    ๓..ขึ้นเหมือนข้อหนึ่ง. แต่ให้ดึงบารมีพระรัตนตรัย. ครูอาจารย์ทั้งหลายที่เราเคารพให้มารวมเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่. ณ เบื้องหน้าข้าพเจ้า.
    และให้ดึงบารมีของเราตั้งแต่ชาติต้นยันชาติปัจจุบันขอจงได้โปรดมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันกันบารมีของท่านทั้งหลายเหล่านั้นเถิด.


    มาถึงข้อนี้จะเริ่มเกี่ยวข้องกับที่ถามแล้วเด่วมาว่ากันในเรื่องเทคนิคคอลเทอมกันต่อไปใน. ##Rep ต่อไปนะครับ. ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงขั้นการใช้บารมีหรืออานุภาพต่อไปในอนาคตครับ


    ปล.สวัสดีคุณ Oldman. ที่แวะมาทักทาย. สวัสดีปีใหม่สำหรับผมด้วยครับ



















     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    มาต่อกันครับ...ในข้อ ๓ นี่หละครับ ที่สำคัญ ก่อนที่จะพูดเรื่องเทคนิคคอลเทอม
    ที่เป็นเรื่อง แต่เรื่องวงบุญหรือกำลังบุญของเรา ที่จะทำให้เข้าใจเรื่อง การขยายวงบุญ
    เรื่องวงสมาธิ เรื่องของกำลังบุญของเราที่จะส่งไปยังสถานที่ๆใดๆก็ตาม.ไม่ว่าจะภพภูมิ
    ระดับไหนๆหรือว่าในโลกนี้ หรือนอกโลก ได้หมดครับ..
    คำว่า วงสมาธิ ในทางกิริยาก็คือความสามารถที่จิตเดินทางไปได้ถึง ดังนั้นเราจะเห็นว่า
    ทางสายบุญฤิทธิ์ ของหลวงปู่ ด.มีชื่อในอดีต กับหลวงตา ม. องค์ปัจจุบันนั้น เวลาจะอุทิศ
    ส่วนกุศลท่านถึงได้เน้นเรื่องวงสมาธิของเราในระดับพื้นฐานก่อน ด้วยการให้ระลึกนึกถึง
    ระดับภพภูมิต่างๆที่เราจะอุทิศส่วนกุศลไปให้ถึง ก็เพื่อเป็นกุศลโลบายในการขยายวง
    บุญของเรา ซึ่งวงสมาธินั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ที่ไม่ควรใส่ใจมากกว่าการขยายวงบุญ
    ของเราว่าออกไปได้ไกลเท่าไร....ครั้งหนึ่งเคยพูดหลักการนี้ในเวบหนึ่งที่เป็นพันธมิตร
    กับเวปพลังจิตแห่งนี้..ก็ได้รับการแนะนำจากอดีตหลวงพ่อท่านหนึ่ง สายวิชาพิเศษ
    ท่านได้มาแนะนำต่อให้ ผ่านลูกศิษย์คนหนึ่งว่า...ในขณะที่ตั้งวงบุญข้างหน้าได้แล้วนั้น
    โดยปกติแรกๆเราจะไม่เห็นอะไร พอทำไปนานๆแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นสีขาวชัดเจนและจะ
    ขยายใหญ่ขึ้นทันทีในขณะที่เรารวมบารมีของเราเข้าไปก่อนที่จะทำการอุทิศส่วนกุศล
    ท่านแนะว่า ให้พยายามระลึกหรือจะนึกอะไรก็สุดแล้วแต่ให้คลอบคลุมและให้ขยาย
    กว้างที่สุดเท่าที่เราจะนึกได้ เพราะว่าจิตจะมีความสามารถที่จะทำได้..แต่จะทำอย่างไร
    จะนึกคิดอย่างไรนะหรือมาดุเทคนิคคอลเทอมกันต่อไปครับ......
    เทคนิค..ข้อ ๑.หลังจากที่เรารวมบารมีพระรัตนตรัยกับบารมีของเราเรียบร้อยนะครับ..
    อ่านดีๆนะครับไม่ต้องรีบร้อน...ให้เราระลึกถึงสถานที่ บุคคล. ภพภูมิ ระดับไหนๆ
    ที่ไหนๆก็ตาม ให้ระลึกผ่านเหนือระหว่างคิ้วของเราครับ ให้เสมือนเห็นที่ๆใดหรือบุคคล
    ใดๆก็ตามผ่านระหว่างคิ้วเราออก และให้ไปปรากฏอยู่บนกลางอากาศในมุมสูงเหมือน
    มุนที่เรายืนอยู่ที่พื้นแล้วเรามองระเบียงชั้น ๒ ของบ้านครับ...โดยที่เราไม่ต้องสนใจว่า
    จะเห็นอะไร หรือไม่เห็นอะไร ไม่ใช่ประเด็นหลักครับ...แต่เพียงเท่านี้ไม่ใช่ว่าไม่ดี
    แต่ยังสามารถทำได้ดีกว่านี้อีกครับ...ถ้าทำวิธีแรกจนชำนาญแรกๆอาจจะเหนื่อยหน่อย
    พอชินแล้ว เราจะเริ่มสัมผัสรับรู้อะไรได้ดีขึ้นเอง...

    ๒.เริ่มเหมือนวิธีการแรกครับ..แต่ให้กำหนดการนึกถึงสถานที่ต่างๆ ออกจากกลางลิ้นปี่
    ของเราร่วมด้วย ในขณะที่ทำวิธีที่หนึ่งครับ...เพราะอะไรนั่นหรือครับ..เพราะว่าวิธีที่หนึ่ง
    หากเราทำได้ในระดับหนึ่ง เราจะสัมผัสได้ว่า เหมือนมีกระแสวงบุญขยายเป็นวงคล้าย
    กรวยจราจร จากเล็กๆ และขยายเป็นวงกว้างออกไปข้างหน้าครับ..เป็นการส่งกำลังบุญ
    ไปทางด้านหน้าของเรานั้นเอง ส่วนจะถึงหรือไม่ อยู่ที่การระลึกถึงสถานที่ บุคคลที่เรา
    สามารถระลึกได้ครับ...
    ส่วนการที่ให้กำหนดออกจากกลางลิ้นปี่ร่วมด้วยนั้น..จะช่วยพลิกให้กระแสบุญ(กระแสเย็น)ของเรานั้น
    พลิกกลับแกน มาเป็นขยายออกรอบๆตัวของเราได้ครับ..เรียกว่าเป็น
    การขยายได้ทุกทิศทุกทาง หรือ พูดง่ายๆว่า ขยายได้ไม่กำหนดขอบเขต ไปได้ทุกๆทาง
    โดยมีตัวเราเป็นศูนย์กลางในการขยายวงบุญ(หรือกระแสเย็น)นั้นเองครับ...
    และ ๒ วิธีนี้สามารถทำได้ทุกคน เพียงแต่ว่า ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับ
    ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้กับ ทุกรูปแบบการทำบุญ ใน #Rep 105 ก่อนหน้านี้ข้อที่
    ๑ ถึงข้อที่ ๔ ได้หมดครับ

    และถ้าผ่าน เทคนิคมาแล้วทั้ง ๒ ข้อ ก็มาดูอีกวิธีการหนึ่ง..ก็คือการกำหนดอุทิศส่วนกุศล
    ให้ออกจากกลางจิตเราออกไปเลย ซึ่งกระแสเย็นๆ ก็จะออกจากรอบๆตัวของเรา..แต่วิธี
    การนี้โดยมาก ผู้ที่ทำมักจะถูกกระแสภายนอก บ้างก็เรียกว่า วิบากกรรม บ้างก็เรียกว่า
    กระแสภายนอกที่เราไปเชื่อมเข้ามา หรือ กระแสที่เราไปรับรู้ว่ามี ทำให้ตัวจิตเรามันเกิด
    พูดง่ายๆว่า ตัวจิตเรามันจะไม่นิ่ง เป็นเหตุให้ขวางการสร้างกระแสเย็นออกจากตัวเราได้
    ดังนั้น หากพบว่า เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ตรงกลางลิ้นปี่เรามัน รู้สึกเต้นได้ หรือเรารู้สึกอึดอัด
    หรือแน่น หรืออาการอะไรก็ตามที่ทำให้ตรงกลางลิ้นปี่เรามันร้อน
    ไม่นิ่ง แน่น อย่างใดอย่างหนึ่งนั้น
    ให้เรากำหนดคำว่า อโหสิ และลากเสียง สิ ให้ยาวๆ เพื่อเป็นอุบายใน
    การพลักเหตุหรือกระแส หรืออะไรก็ตาม ที่ทำให้จิตเราตรงกลางลิ้นปี่มันไม่นิ่งครับ
    และควรทำประมาณ ๓ ถึง ๔ ครั้ง จะพบว่า ตรงกลางลิ้นปี่มันจะเริ่มนิ่ง ในบางกรณี
    บางคนทำไป ๓ ถึง ๔ ครั้งแล้วมันไม่นิ่ง แนะนำให้ไปกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลก่อน
    เพื่อให้น้ำนั้นซึ่งเปรียบเสมือนเส้นทางในการส่งกระแสเย็นของเราผ่านน้ำลงสู่ดิน
    เพราะบางคน ที่ทำบุญบ่อยๆ เวลาไปไหน ดวงจิตวิญญานที่กำลังไม่มากชอบมาเกาะ
    เพื่อขอส่วนบุญ แต่เราอาจรับรู้ไม่ได้ เป็นเหตุให้ต้องกรวดน้ำ เพราะวิญญานกำลังจิต
    ต่ำไม่มีความสามารถในการรับบุญหรือกระแสเย็นโดยตรง จึงต้องอาศัยความเย็น
    ของน้ำเป็นเสมือนตัวเชื่อมครับ บางคนอาจรู้สึกได้ เช่น รู้สึกว่า หน่องเหมือนมีลมหมุน
    รอบๆหน่อง บางคนก็จะรู้สึกว่า ที่ต้นแขนรู้สึกเหมือนมีลมหมุนได้ บางคนมากหน่อย
    ก็อาจจะรู้สึกว่ามีลมหมุนรอบๆบริเวณช่วงก้น ถ้าเป็นอาการต่อไปนี้แนะนำให้กรวดน้ำ
    ก่อนแล้วค่อยมาทำวิธีที่ ๓ ครับ...
    .

    ซึ่งวิธี ๓ ก็เช่นเดียวกัน เรานึกถึงไหนได้ กระแสเย็น
    ก็จะไปถึงที่นั่นๆได้เช่นกันครับ..ก็ค่อยๆทำไปครับ ไม่ต้องรีบร้อนครับ ควรทำทุกครั้ง
    ที่ ระลึกขึ้นได้ นึกขึ้นได้ คิดได้ ปรุงแต่งได้ ครับ .....
    หลังจากผ่านวิธีที่ ๓ แล้วใครสามารถทำวิธีที่ ๔ ได้ก็มาว่ากันต่อครับ..
    แต่โดยมาก วิธีนี้ ผู้ที่เคยใช้จิตทำอะไรพิเศษๆมาก่อนจะได้เปรียบครับ..
    แต่ไม่ว่า จะเคยใช้หรือไม่เคยใช้มาก่อน ก็สามารถทำกันได้ทุกคนครับ..
    วิธีนี้เรียกว่า การใช้บารมี หรือการใช้อานุภาพ หลักการก็คือ การทิ้งตัวจิต
    โดยที่ไม่มีเรา ไม่มีตัวรู้ เข้าไปกระทำหรือแทรกแซง ปล่อยให้เป็นไปโดยธรรมชาติ
    ตามแต่บุญ บารมีที่เราได้สะสมมาครับ....
    วิธีการนี้ ก็ต่อเนื่องจากวิธีที่ ๓ ครับ..พอเราทำวิธีที่ ๓ แล้วหลังจากที่กระแสเย็น
    ขยายไปรอบๆตัวเราแล้ว ให้เราเฉยๆ นิ่งๆไว้ครับ ไอ้ตอนที่เราเฉยๆ นิ่งๆ ไม่คิด
    ไม่อะไรเลยนี่หละครับ ตัวรู้ เครื่องรู้พิเศษ ความสามารถพิเศษที่เราฝึกมาต่างๆนั้น
    ตัวจิตจะตัดพวกนี้ออกไปจนหมด ไม่เหลือเชื้อ ไม่มีพวก ตัวรุ้ เครื่องรู้ ความสามารถ
    อะไรต่างๆมาเกี่ยวข้องครับ..และก็จะไปเองแบบอัตโนมัติครับ..วิธีการนี้ต้องค่อยๆ
    เป็นค่อยๆไปนะครับ แรกๆถ้าเราทำได้ ซักวินาที สองวินาที ก็ถือว่าดีมากแล้วครับ
    แล้วค่อยๆพัฒนาเป็นหลายๆวินาที จนถึงนาที ตามเหตุและปัจจัยแห่งตนครับ....
    วิธีการสุดท้ายนี่หละครับ ที่หลวงปู่ มีชื่อในอดีต หลวงตามีชื่อในปัจจุบัน สายบุญฤิทธิ์
    ท่านเกิดโดยธรรมชาติครับ เวลาเราเข้าไปอยู่ใกล้ๆท่าน เราถึงรู้สึกได้ถึงเมตตา รู้สึกว่า
    อยู่ใกล้ท่านแล้วเย็น รู้สึกปลอดภัย นั่นหละครับ....
    ปล.หวังว่า ที่เขียนมาจะมีประโยชน์นะครับ และทุกๆคนก็สามารถพัฒนาตัวเอง
    ให้ไปถึงระดับ ท่านที่มีชื่อเสียงได้ทุกๆคนเช่นกันครับ.
    .
    (^_^). _/\_ สวัสดีครับ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ทุกคนทำได้หมดครับ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องวาสนาครับ..อยู่ที่หลักการณ์และวิธีการใดจะเหมาะสมกับเราเท่านั้นเอง วิธีการที่เหมาะสมก็คือเรารู้สึกชอบ
    และวิธีการนั้นสามารถพัฒนายกระดับจิตใจของเราให้ดีขึ้นได้ ถือว่าดีหมดครับ
    เช่น โกรธน้อยลง มีเมตตาเพิ่มขึ้น เห็นอกเห็นใจคนอื่นๆมากขึ้น มีน้ำใจเอื้ออารีย์
    ต่อบุคคลอื่นๆมากขึ้น. รู้จักยินดีกับบุคคลอื่นๆมากขึ้น. อิจฉาริษยาน้อยลง ทำอะไรไม่หวังผลตอบแทนมากขึ้น อยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างแยบยลยิ่งขึ้น ห้องนอนสะอาดขึ้น บ้านช่องสะอาดขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น พูดๆง่ายรวมๆว่า ดีขึ้น ทั้งกายวาจาใจ
    ความคิดและพฤติกรรม ซึ่งกรรมนั้นรวมทั้ง วิจีกรรม มโนกรรม. กายกรรม
    ที่จะบอกได้ว่า เราเป็นคนมีธรรมะหรือไม่ครับ


    ถ้าปวดกระบอกตาแสดงว่าไปเพ่งมากเกินไปครับ. โดยหลักการณ์คือล้าก็พัก
    ส่วนวิธีการที่เคยทำมาในอดีตนั้น. เป็นการทำให้ตัวจิตเราเกิดอย่างคาดไม่ถึงครับ
    ซึ่งต่อให้เก่งแค่ไหนก็ตาม. ไม่ว่าจะกี่ปีก็ตาม. ตัวจิตจะไม่มีทางพัฒนาเกินระดับ
    ปฐมฌานได้ครับ. และที่ตัวจิตไม่เกิดความเป็นทิพย์. เพราะในขณะที่สวดมนต์
    เหมือนเมื่อก่อนจิตเรามันออกจากฐานคือกลางลิ้นปี่. พูดง่ายๆว่า. มันทำงานอยู่ตลอดเวลา. มันจึงไม่สามารถสงบได้. (จิตจะสงบได้ คือ ต้องนิ่งๆไม่คิดอะไรครับ )
    ปกติจิตจะเป็นเป็นทิพย์ได้. มันต้องสงบและว่างจากความคิดหรือว่างจากการเกิด
    หรือการที่จิตก่อตัวครับ. เป็นเหตุให้เหมือนขาดกำลังสมาธิสะสม.ที่จะใช้เพื่อวางเรื่องราวในอดีตที่ผ่านและระหว่างวันลงได้. แต่มีกำลังสติระลึกรู้ ระลึกจำเรื่องราวระหว่างวันได้ดีเหตุเพราะ. ต้นทุนด้านความจำดีมาก. หากใช้ทางด้านหน้าที่
    การงานจะถือว่าดีที่สุด. แต่พอระลึกจำได้. ชอบเผลอคิดวนเวียนในสมองเป็นเหตุให้นอนไม่หลับ. ส่งผลต่ออารมย์.รู้สึกหงุดหงิดรำคาญตัวเองได้ในระหว่าง
    ที่ระลึกเรื่องราวในอดีตขึ้นมาครับ. โดยส่วนตัวถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ
    ไม่มีอะไรน่ากังวลครับ


    วิธีการคือ. จะสวดมนต์หลับตามหรือลืมตาแล้วแต่ชอบครับ. เพียงแต่ว่า
    ให้สวดมนต์ไปเรื่อยๆนะครับ. ไม่ต้องเอาจิตไปตามบทสวดมนต์ครับ.
    ให้ทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมกระทบที่ปลายจมูก. ย้ำว่าปลายจมูกครับ


    พูดง่ายๆคือ หายใจเข้าลมหยุดที่ปลายจมูก. แต่ให้ลมลึกถึงท้องคือท้องพอง
    พอหายใจออกก็ให้ลมหยุดที่ปลายจมูกและท้องยุบครับ. ส่วนบทสวดเราก็สวด
    ไปเรื่อยๆ. เด่วจะรู้สึกว่า บทสวดจะขึ้นไปอยู่ใต้กระโหลกศรีษะเราเองครับ
    ค่อยๆทำ. ไม่ต้องหวังผลว่าจะเกิดอะไรขึ้นครับ.
    ให้เพิ่มเติมด้วยการขอขมาพระรัตนตรัยก่อนตามด้วยอุทิศส่วนกุศลก่อนสวด
    และหลังสวดให้ทำอีกทีครับเพื่อช่วยส่งเสริมให้จิตโปร่งคลายตัว. ลิ้นปี่เบาขึ้น


    ต่อมาสำคัญมาก เพราะมีผลต่อการวางเรื่องราวในอดีตที่ผุดขึ้นมาครับ
    ก่อนจะนอนให้พิจารณาว่า. เราทำอะไรมาบ้าง. เรื่องที่เราทำควรหรือไม่ควร
    เรา. คิด. พูด. กระทำดีหรือไม่ดี. เราพลาดตรงไหนเรื่องอะไรบ้าง. ที่เกี่ยวกับอารมย์. ความคิด. คำพูดการกระทำครับ.
    และตอนเช้าขณะรู้สึกตัวอย่าพึ่งลืมตาครับ ก็ให้พิจารณาซ้ำอีกรอบหนึ่งเหมือนตอนก่อนนอนครับ. ตรงนี้จะเป็นแนวทาง. ช่วยหนุนลดเรื่องราวที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ. ช่วยส่งเสริมให้จิตใจเกิดความสงบได้ในอนาคตง่ายขึ้นครับ


    ปล..ประมาณนี้ครับ ค่อยๆอ่านนะครับ. ไม่ต้องรีบ. ((^^_^^))
     
  17. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +218
    รู้สึกว่าจะเริ่มเข้าใจอะไรได้มากขึ้นแต่ก็จะค่อยๆทำความเข้าใจ ถ้าคืบหน้าอย่างไรจะเรียนให้ทราบนะคะ และขอบคุณในนำ้ใจที่ช่วยอธิบายให้รับรู้มากขึ้นสาธุๆ
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เรื่องการปฏิบัติมันเป็นไปตามวาระครับ...คุณ ป๋า Oldman
    ทุกคนหละครับ ถ้าหากวิบากทางสมมุติมันยังไม่คลาย...
    เช่น ห่วงโน้นนี่นั้น ภาระรับผิดชอบโน้นนั่นนี่ ฯลฯ
    ก็ยากที่จะปฏิบัติได้..ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องปกติครับ...
    ส่วนใครจะเป็นอย่างไร ส่วนตัวก็ถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลไม่ขอก้าวก่าย
    ส่วนตัวเราเป็นอย่างไร เรานั้นเองที่รู้ดีที่สุดครับ...
    เพราะสุดท้าย ที่เราบอกว่ามี มันก็จะไม่มี
    และที่เราบอกว่าไม่มี มันก็ไม่มีเช่นเดียวกันครับ..
    จากสวดมนต์ มาเป็นเรื่องงูสวัดซะแล้ว...๕๕
    ถ้าบังเอิญๆว่าเป็นที่ด้านขวาตามแนวชายโครงด้านหน้า
    ประมาณช่วงกลางๆลำตัวเลยขึ้นมาผ่านหน้าอกมาหน่อยนะครับ..
    แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นแบบอ่อนๆที่หลังฝั่งขวาที่เลยก้นกบมาด้วยไหม
    ตรงนี้อยู่ถัดจากกระดูกสันหลังออกไปเล็กน้อย ถ้าเป็นประมาณนี้
    ก็ให้รอดูอาการไปก่อนนะครับ ให้สังเกตุหลังจาก
    ที่ได้ย้อนมาเห็นข้อความนี้ รวมทั้งอาการที่ท้องฝั่งตรงข้าม
    ด้านที่เป็นและอาการตึงๆหลังช่วงกลางที่ลามให้รู้สึก
    ขยับแขนขวาไม่สะดวกเท่าไร ทั้งหมดนี้ว่า มันดีขึ้นไหม
    ถ้าได้เข้ามาอ่าน..ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยด้วยครับ..
    วิธีการรักษา
    ยังไงๆ ท่านให้เอาใบเสลดพังพอน ๑ กำมือ นำมาล้างน้ำ
    ให้สะอาดแล้วก็ตำให้ละเอียด ผสมกับ สุรา(เหล้าขาว) และให้
    ใช้ขนไก่ป้ายทาบริเวณที่เป็นครับ...
    สูตรจาก พระครูพุทธฉายภิบาล วัดพระพุทธฉาย สระบุรี
    ประมาณนี้ครับ ข้อควรระวังก็คือ ถ้าแห้งหายแล้ว..
    ให้ระวังความคิดดีๆอย่าใจร้อนเพราะจะปวดศรีษะด้านซ้ายช่วงบน
    ซึ่งเป็นผลกระทบ จากโรคที่จะหาย.อาการจะคล้ายๆเป็นโรคประสาทได้ครับ.
    ส่วนท้องไส้ที่มันไปปั่นป่วนด้านตรงข้ามที่เป็นงูสวัด เป็นอะไรที่
    มันคล้ายๆว่าจะมาพร้อมกันกับงูสวัดซึ่งเป็นเรื่องปกติครับ...
    ปล.ประมาณนี้ครับ..
     
  19. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    แม่ว่า ขนไก่กับงูสวัดมันแพ้ทางกัน เคยถามแม่ค่ะ ว่าทำไมต้องเป็นขนไก่ ขนนกได้ปะ555
    ปล.ที่บ้านก็มีสูตรรักษางูสวัดเช่นกัน ได้มาจากยายที่เสียแล้ว
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เรื่องแทรกซ้อนจากนามธรรมภายนอกไม่มีครับ..
    เพราะพอมีตัวที่คอยต้านทานอัตโนมัติอยู่แล้วครับ
    ซึ่งจิตมันจะไม่รับนามธรรมที่ไม่ดีทุกรูปแบบอยู่แล้วของมันเอง
    เพราะมันจะแยกแยะได้เองว่าอะไรดีหรือไม่ดีครับ.....

    ที่มันเกิดมีได้ตอนนี้มาจากความคิดย้ำของเราเอง
    ที่มันจะสร้างกระแสหมุนวนในศรีษะแล้วผ่านไป
    ดึงกับส่วนความทรงจำในอดีตใต้ท้ายทอยของเราครับ..
    มันก็เลยทำให้เกิดความลังเลสงสัยตลอดจนความกังวลขึ้นมาได้
    วิธีแก้ ให้ปรับระบบหายใจใหม่ครับแบบที่เคยอ่านๆผ่านมา..
    และให้ลืมและเลิกคิดเรื่องนามธรรมต่างๆ ที่เคยผ่าน
    ที่เคยสัมผัสมาก่อนหน้าพวกนั้นไปเลยครับ..
    ประหนึ่งว่ามันไม่เคยมีเกิดขึ้นในโลกนี้
    เพื่อเป็นอุบายในการตัด ไม่ให้เกิดการระลึกขึ้นได้
    นึกขึ้นได้ คิดขึ้นได้ ปรุงแต่งขึ้นได้
    จำเอาไว้เลยครับ แม้เห็น สัมผัสได้แบบลืมตาเห็นๆ
    ถ้าจิตเราตัดไม่สนใจ ก็จะไม่มีผลอะไรกับเราครับ...
    ให้ความเคารพนับถือ แต่ว่าไม่ยึดถือครับ..

    ปล.ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นมายา กลจิต เป็นมายาจิตชนิดหนึ่ง
    อย่าให้มายาจิต มาอยู่เหนือปัญญาของเราได้ครับ..(^_^)
     

แชร์หน้านี้

Loading...