ขโมยเงินพระ อาจจะมองว่าเป็นการขโมยเงินที่ตัวบุคคลก็ได้ หรือไม่ว่าจะเป็นการขโมยของสงฆ์เช่นจากตู้บริจาคก็ตาม...
ผู้ติดสุรามิใช่คนชั่ว เพียงแต่พฤติกรรมหลังจากมึนเมาขะทำให้เป็นคนชั่วได้ สติต้องมี ชาวพุทธในไทยที่เข้าวัด ก็ดื่มเหล้ากันเกินครึ่ง...
บาปบุญขึ้นอยู่กับการยึดมั่นถือมั่น ส่วนผลกรรมนั้นเกิดจากการกระทำครับ เป็นคนละส่วนกันไปเลย บาปบุญเราควมคุมที่ความคิด อยู่ที่เจตจำนงค์ทางความคิด...
ถ้าคิดว่าบาปมันก็จะบาป เป็นบาปจากความยึดมั่นถือมั่น
ชาวพุทธรุ่นหลัง ๆ นี่แหละ อาจเป็นพวกภิกษุเสียด้วย น่าจะเกิดจากการเข้าใจผิดของคำว่าอัตตา ที่ไปคิดกันว่าแปลว่าตัวตน และจับมาโยงกับอนัตตา...
ตัณหาคือชีวิต มีชีวิตก็มีตัณหา จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ว่าจะไปยึดไว้แน่นขนาดไหน ถ้าไม่มีตัณหา ก็คือไม่มีอวิชชา จิตก็ไม่มีเชื้อ...
ก็แค่ปรากฏการณ์นึงของการฝึกสมถภาวนาครับ มันคือนิมิตในปฐมฌาน ใช้จิตใช้ความคิดไปทรงอารมณ์วิตกวิจารที่นิมิตนั้นเล่นบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ละมันไปได้ครับ...
บารมีคือความดีงาม ถ้าคิดว่าตนเองมีความดีงาม ก็เท่ากับมีบารมี บารมีไม่ได้มีขึ้นมีลงตามวาทะกรรมของใคร มีเท่าไรอยู่ที่ใจเรารู้เองครับ หากหวังวิมุตติ...
อาการของผู้ที่เริ่มต้นฝึกสมาธิแบบสมถภาวนาครับ จิตที่ไม่เคยสงบนิ่งเลยจะดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้เราเลิกที่จะบีบบังคับมันให้นิ่ง ต้องอดทนและอย่ากลัว...
ทุกคู่ชีวิตย่อมเหมือนลิ้นกับฟัน มีทะเลาะกันให้ปวดหัว มีการทำให้เสียใจมาก ๆ ต่อกัน การที่หมอดูทำนายว่าจะมีคนเข้ามาเป็นคู่กรรมคู่เวร...
ก็ทุก ๆ คนที่ผ่านเข้ามาให้เราได้มีความสุข ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ล้วนบุญสัมพันกันมา เคยเป็นคู่กันมาก่อนทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าใครจะดำเนินชีวิตไปทางใด...
ความคิดฟุ้งซ่านอัตโนมัติเกิดกับนักปฏิบัติใหม่ทุก ๆ คนครับ ต้องฝึกไปเรื่อย ๆ ให้ชินคุ้น และเลิกหวังจะได้นั่นได้นี่...
มันคือปีติ อาการของจิตที่ไม่อยากหยุดนิ่ง มันจะดิ้นหาทางทำให้เกิดนิวรณ์ และฌานถดถอย วิธีก้าวผ่านพ้นคือต้องทำให้ชิน...
ไม่ต้องห่วงครับ บุญไม่มีวันหมดครับ เพราะเป็นสิ่งสมมติ ไม่เคยมีอยู่ จึงหมดไปไม่ได้ มีเพียงความสุขในใจที่เป็นของที่มีอยู่และสัมผัสได้
ที่ยังไม่นิ่งสงบเพราะยังติดอยู่กับนิวรณ์ครับ อาการที่เกิดนั้นคือปีติถูกต้องแล้ว แต่เพระมีความยึดติดหลงไหลหรือแม้แต่สงสัยในปีตินั้น จึงทำให้ฌานถอย...
ที่ทำให้คิดได้นั้นคือเทวทูต ๔ รูปแบบครับ คนปรกติที่ไม่รู้จักคิด ไม่มีเมตตา ไม่สงสารใคร ถ้าเป็นกษัตริย์ ยังไงก็ไม่รู้จักคิด เสพสุขยันตาย...
คุณมีนิสัยอย่างนั้นอยู่แล้วครับ ไม่ได้เป็นเพราะการฝึกสมาธิครับ วิธีแก้ไขไม่มีครับ มันไม่ใช่ข้อเสีย
ถ้าเราฝึกนู่นนี่นั่นไป เช่น ทำสมาธิ วิปัสสนา แล้วถึงจุดที่เกิดเมตตาสงสารสัตว์ขึ้นมา เราจะอดเนื้อสัตว์ได้เองตามธรรมชาติครับ...
ค้นพบและมองเห็นเป้าหมายที่แท้จริง เมื่อเห็นแล้วทัศนคติความคิดความอ่านก็ถูกยกระดับ ไม่ได้กลายเป็นผุ้วิเศษ แต่เป็นคนธรรมดา อยู่กับปัญหาอย่างเดิม ๆ...
คนเราก็คือผู้เข้าใจผิด คิดว่ามีเรา ตัวเรา ของเรา อยู่จริง แต่จริง ๆ แล้ว แม้กระทั่งความคิดก็ไม่ใช่เราที่เป็นผู้คิดเอง...
แค่ทำความเข้าใจว่ามันไม่ใช่คุณไสยอย่างที่คิดกันไป มันไม่มีจริง อาการมันก็หายไปเอง ทำสมาธิลดการฟุ้งซ่าน เสริมกำลังจิต...
พระพุทธเจ้าเพียรผิด ๆ มา 6-7 ปีเลยครับ การปฏิบัติที่ถูกต้อง ปฏิบัติเพื่อเข้าใจธรรมชาติ ยอมรับธรรมชาติ ไม่พยามฝืนธรรมชาติ อยากงดเนื้อสัตว์เป็นของดี...
ใช่ครับ แต่อย่าไปวิตกกับกิเลสที่หลงในสุขจากฌาน ให้มันเป็นไป ไม่มีใครห้ามความติดสุขนั้นได้เลย มีแต่เสะบ่อย ๆ จนเบื่อหน่ายและมองว่ามันธรรมดาไปแล้ว...
อาการหลงทิศเพราะว่าเข้าสมาธิถึงระดับอัปปนาสมาธิแล้วถอนออก ห้วงเวลาที่ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยกายหายไปในขณะหนึ่ง ห้วงความคิดหยุดนิ่งไปขณะหนึ่ง...
จิตใต้สำนึกมันดิ้น เพราะมีการยัดเยียดความสงบให้กับมัน มันจะทำทุกทาง การหลอกหลอนทางจิตจะเกิด ทั้งยามหลับและยามตื่น...
คำบริกรรมคือเครื่องช่วยฝึก หากคล่องแล้วคำบริกรรมก็ไม่จำเป็น ฝึกใหม่ ๆ ฟุ้งซ่านมาก มากจนท้อ หากอดทนจนผ่านไปได้ อาการฟุ้งซ่านนั้น ๆ จะไม่เกิดอีกเลย...
หากการปฏิบัติแล้วเสร็จถึงขั้นแยกรูปแยกนามได้ จะเข้าถึงความเป็นจริง และจะล่วงรู้ว่าทุกสรรพสิ่งมีกำหนด มีเวลาของมันครับ...
ครับผม เรื่องของสิ่งที่เหนือสามัญสำนึกคนทั่วไป ที่ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ก็คือ จิต หรือ ใจ กายนั้นเป็นบ่าว...
"ไร้ตัวตน" ทุกคนมีปัญญาเท่า ๆ กันหมด ไม่มีอะไรที่ไม่รู้ สามารถรับรู้ได้ สื่อสารกันได้ทุกภาษา สามารถตอบโจทย์เลขต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องคิดนาน...
"ฉลาดในการสร้างกรรม" ขึ้นชื่อว่ากรรมแล้วไทร้ ทำอะไรไป ย่อมมีผล แต่ผลลัพธ์นั้นอาจไม่ตายตัว ว่าจะเห็นผลเร็วหรือช้า...
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค เช่น พลังจิต, พุทธศาสนา