ก่อนจะมาเป็น พระปรางค์วัดอรุณฯ! จากเจดีย์วัดเล็กๆ

ในห้อง 'วัดและศาสนสถาน' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 1 กันยายน 2021.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,297
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,273
    ค่าพลัง:
    +9,528
    0b8a1e0b8b2e0b980e0b89be0b987e0b899-e0b89ee0b8a3e0b8b0e0b89be0b8a3e0b8b2e0b887e0b884e0b98ce0b8a7.jpg
    คนทั่วโลก ถ้าเห็นพระปรางค์วัดอรุณฯ ก็รู้ว่านี่คือประเทศไทย เช่นเดียวกับที่เห็นอนุสาวรีย์เทพีสันติภาพ ก็รู้ว่าเป็นสหรัฐอเมริกา เห็นหอนาฬิกาบิ๊กเบน ก็รู้ว่าเป็นกรุงลอนดอน เห็นหอไอเฟล ก็เป็นกรุงปารีส ฝรั่งเศส

    วัดอรุณฯเป็นวัดเก่าสร้างมาสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่เดิมเรียกกันว่า “วัดมะกอก” สันนิฐานว่าสมัยก่อนนั้นวัดเล็กๆไม่มีชื่อ ก็เรียกตามตำบลที่วัดตั้งอยู่ ว่า “วัดบางมะกอก” เช่นเดียวกับ “วัดบางลำพู” “วัดปากน้ำ” ต่อมาก็เรียกกันสั้นๆว่า “วัดมะกอก”

    มีตำนานเล่ากันว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยาแล้ว มีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานีลงมาตั้งที่กรุงธนบุรี ซึ่งมี “ป้อมบางกอก” ที่สร้างตามวิทยาการตะวันตกมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อเสด็จทางชลมารคมาถึงวัดมะกอกรุ่งแจ้งพอดี จึงเสด็จขึ้นไปนมัสการพระปรางค์ที่อยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งขณะนั้นสูงเพียง ๘ วา หรือ ๑๖ เมตร และในระหว่างที่ปรับปรุงป้อมบางกอกเป็นที่ประทับ ก็ทรงประทับแรมที่ศาลาการเปรียญวัดมะกอก ต่อมาได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดนี้และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดแจ้ง”

    แต่ใน “เพลงยาวหม่อมภิมเสน” กวีเอกในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ได้กล่าวถึงตอนเดินทางโดยเรือจากกรุงศรีอยุธยาจะไปเมืองเพชรบุรี ได้มาจอดพักค้างคืนที่หน้าวัดแจ้ง ก่อนจะเข้าคลองบางกอกใหญ่ ออกคลองด่านไปมหาชัย เป็นหลักฐานว่ามีวัดแจ้งมาก่อนกรุงแตกแล้ว

    อีกทั้งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เคยทูลสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ไว้ว่า เคยเห็นแผนที่เมืองธนบุรีที่ฝรั่งเศสทำไว้ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีระบุชื่อวัดเลียบและวัดแจ้งไว้แล้ว ซึ่งผู้ที่ทำแผนที่นี้ก็คือ เรือเอกเชวาเลียร์ เดอ ฟอร์มัง หนึ่งในคณะทูตของลาลูแบร์ ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์ทรงขอตัวไว้ให้ช่วยราชการ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ออกพระศักดิสงคราม เจ้าเมืองบางกอก และเป็นผู้สร้างป้อมบางกอกนั่นเอง เป็นการยืนยันว่ามีวัดแจ้งมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

    เรื่องราวของวัดอรุณฯชัดเจนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จมาประทับที่พระราชวังเดิม ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่ทั้งวัด แต่ไม่ทันเสร็จก็สิ้นรัชกาลที่ ๑ เมื่อทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงบูรณะวัดแจ้งต่อ และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม” แต่ขณะที่รื้อพระปรางค์องค์เดิมออก ขุดดินเพื่อวางรากฐานใหม่ ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ดำเนินการก่อสร้างต่อ โดยเสด็จฯวางศิลาฤกษ์พระปรางค์องค์ใหม่ในวันที่ ๒ กันยายน ๒๓๘๕ ใช้เวลาถึง ๙ ปีจึงแล้วเสร็จในปี ๒๓๙๔ และทรงนำมงกุฎที่หล่อเตรียมเป็นเครื่องทรงของพระประธานวัดนางนอง เขตจอมทอง ที่ทรงบูรณะถวายเป็นพระราชกุศลสมเด็จพระศรีสุลาลัย หรือเจ้าจอมมารดาเรียม พระราชมารดา มาเป็นยอดนภศูลพระปรางค์ใหม่ของวัดอรุณฯด้วย

    ในรัชกาลที่ ๔ ได้โปรดเกล้าฯให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชธารามอีก และอัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาประดิษฐานไว้ที่พระพุทธธรรมมิศราชโลกธาตุดิลก พระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงปั้นพระพักตร์ และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวปั้นพระวรกาย พระราชทานนามใหม่เป็น “วัดอรุณราชวราราม”

    ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เกิดไฟไหม้บ้านข้างวัด และลามมาถึงบรรดากุฏิพระสงฆ์ จนใกล้พระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาบัญชาการดับไฟด้วยพระองค์เอง และโปรดเกล้าฯให้บูรณะวัดอรุณราชวรารามครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเงินที่พระบรมวงศานุวงศ์ร่วมกันบริจาคเหลือจากการบูรณะ ก็โปรดเกล้าให้นำไปสร้างโรงเรียนที่บริเวณกุฏิเก่าที่ไฟไหม้ พระราชทานนามว่า “โรงเรียนทวีธาภิเศก” เนื่องจากในปีนั้นทรงครองราชย์มาเป็นระยะเวลา ๒ เท่าของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงบำเพ็ญพระราชกุศลธวีธาภิเษกถวายพระอัยกาธิราช

    จนถึงรัชกาลที่ ๙ พระปรางค์วัดอรุณฯได้รับการปฏิสังขรณ์อีกหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเริ่มในเดือน ๒๕๕๖ เป็นการบูรณะครั้งใหญ่ จนแล้วเสร็จจัดงานสมโภชในวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ เป็นเวลา ๑๐ วัน ๑๐ คืน ซึ่งก็คือพระปรางค์วัดอรุณฯที่เห็นกันอยู่ในวันนี้

    พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ถือได้ว่าเป็นศิลปกรรมที่สง่างามและโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ในความเป็นไทย แสดงถึงความรุ่งเรืองทางศิลปะและวัฒนธรรม ถูกจัดให้เป็น ๑ ใน ๑๐ ของสถานที่ทางพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงที่สุด และเป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยเฉพาะเป็นความภูมิใจของคนไทยที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ให้

    8a1e0b8b2e0b980e0b89be0b987e0b899-e0b89ee0b8a3e0b8b0e0b89be0b8a3e0b8b2e0b887e0b884e0b98ce0b8a7-1.jpg

    8a1e0b8b2e0b980e0b89be0b987e0b899-e0b89ee0b8a3e0b8b0e0b89be0b8a3e0b8b2e0b887e0b884e0b98ce0b8a7-2.jpg

    8a1e0b8b2e0b980e0b89be0b987e0b899-e0b89ee0b8a3e0b8b0e0b89be0b8a3e0b8b2e0b887e0b884e0b98ce0b8a7-3.jpg

    ขอขอบคุณที่มา
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000086342
     

แชร์หน้านี้

Loading...