ข้อเขียนที่เก็บไว้ส่วนตัว แต่อยากให้อ่านกัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย tidti2005, 25 สิงหาคม 2011.

  1. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เรียนท่านผู้มีศรัทธาธรรมและเผอิญเปิดเข้ามาอ่าน ธรรมวิพากษ์(ข้อเขียน)ของตัวกระผม ตัวผู้เขียนรู้สึกมีความยินดีที่ท่านได้เปิดเข้ามาและอ่านหรือจะก็ อบปี้ก็ไม่ว่ากัน ข้อเขียนที่จะอ่านด้านล่างนี้ เป็นข้อเขียนส่วนตัวของกระผม และเป็นข้อเขียนที่เป็นส่วนหนึ่งในอีกหลายๆส่วนที่ได้เขียนไว้ก่อนหน้านี้เพื่อจะนำลงใน Block Mail ส่วนตัวของกระผม จึงมีความเสียดายที่จะเก็บไว้เป็นส่วนตัว จึงเปิดเสรีให้กับผู้ที่สนใจที่จะอ่าน ที่จะเผยแพร่ต่อหรืออะไรก็ตามแต่ที่คิดว่าทำไปแล้วมีประโยชน์ทั้งจากตัวท่านเองและผู้อื่น

    ส่วนหนึ่งและอีกหลายๆส่วนที่ตัวผู้เขียนได้พยายามเรียบเรียงขึ้นมาเอง เพื่อให้อ่านง่าย เข้าใจง่าย และเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติสมาธิ ภาวนา- กรรมฐาน - วิปัสนา ตามลำดับ ข้อเขียนนี้จึงไม่ใช่ทั้งหมดที่ได้เขียนลงไว้ในบล็อคเมล์ เพราะได้เขียนและลงไว้ก่อนหน้านี้อีกหลายตอน แต่ละตอนจึงมีจุดที่น่าสนใจต่างๆกัน ที่บางคนอาจจะยังไม่ทราบในวิธีปฏิบัติอย่างละเอียด บางท่านมาอ่านแล้วอาจจะงงกับข้อเขียนที่อยู่ๆมาโผล่ปุบปับ ไม่ปะติดปะต่อเป็นเป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน เพราะตัวผู้เขียนจะพิมพ์เจาะเอาไปลงในบล็อคเป็นตอนๆไปและบางตอนจะพิมพ์เพื่อตอบเมล์ที่ถามปัญหาธรรมมา และจะลบต้นฉบับที่พิมพ์ออกไปเรื่อยๆหากว่าเนื้อหามากจนเกินไป หากว่าอ่านแล้วมีความสงสัย ติดขัดประการใด หรือว่าดูแล้วผิดหลักคำสอนหรือจรรยาบรรณ์ ก็ขอกราบประทานอภัยให้ด้วย และยินดีลบข้อเขียนทั้งหมดออกจากเวปนี้ทันที

    ตัวผู้เขียนเองได้พยายามเรียบเรียง ค้นคว้า จากหนังสือธรรมมะหลายๆเล่ม รวมทั้งใน INTERNET จากหลายๆเวปไซด์นำมาประยุกต์และรวมกัน บางเล่มมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน แต่บางเล่มเนื้อหาต่างกันบ้าง ก็พยายามที่จะหาจุดโฟกัสมาลงให้เข้ากันได้ ซึ่งบางเล่มเนื้อหาลึกเกินไปที่จะเอามาลงให้อ่านและหากลงไปคนอ่านก็คงสับสนไม่เข้าใจ เพราะบางคนไม่ได้มีพื้นฐานมาก่อน ตัวผู้เขียนเองก็อ่านไม่ค่อยเข้าใจเพราะมีภาษาบาลี และสังสกฤตปนอยู่ด้วย

    จึงนับว่ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง และถือเป็นกุศลที่ดีแก่ตัวท่าน ที่ท่านได้เผอิญเปิดเข้ามาเปิดเจอและอ่านเพื่อสืบทอดพระศาสนาต่อๆไป นี่คือเจตนาที่แท้จริงของตัวผู้เขียนเท่านั้น

    บุพเพสัญญานังคือ คำอธิษฐานตั้งแต่อดีตชาติหรือหลายภพหลายชาติที่ล่วงมาแล้ว หรือเคยเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวดองกันมาหลายภพหลายชาติ บางชาติอาจจะได้สมประสงค์(คือได้อยู่ด้วยกัน มีความสัมพันธ์กัน)แต่บางชาติอาจจะไม่ได้พบหรือเกี่ยวดองกันเลย ดังนี้ถือว่าเป็นบุพเพสัญญานัง มีหลายคนที่เข้าไปข้องเกี่ยวกับบุพเพดังที่ว่า และมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งดังกล่าว จนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมสิ่งถูกผิดหรือไม่พยายามลดละว่ามันเป็นอนัตตา คือความไม่มีตัวตน ไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดเหนี่ยวยึดถือเป็นสรณะ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีความเสื่อมไปตามสภาพ ไม่สามารถหยัดยืนได้คงทนถาวรณ์ แต่คนส่วนมากก็ยังหลงยึดถือเอาเป็นหลัก มากกว่าคำสอน

    กายและวิญญานสามารถแยกออกจากกันหรือบังคับให้แยกออกจากกันได้ หากบุคคลคนนั้นมีความสามารถพิเศษมากกว่าคนปกติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า กายและวิญญานจะติดตามกันไปได้ทุกที่ กายอาจจะอยู่กับที่ แต่วิญญานอาจจะไปอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งบางครั้งกายอาจไม่ได้มีความรับรู้ในวิญญานนั้น หรืออาจจะรับรู้ในบางครั้งหรือตามช่วงจังหวะที่สามารถรับรู้ได้ ส่วนที่เรียกว่าความฝันนั้น คือวิญญานแยกออกไปโดยไม่สามารถบังคับได้ อาจจะไปสถานที่หนึ่งที่ใดก็แล้วแต่ อันนั้นเรียกว่าความฝัน
    ความสามารถพิเศษนี้ต้องอยู่ระดับญานหรือโสดาบันหรือมากกว่าเป็นอย่างต่ำ ที่จะสามารถบังคับจิตหรือวิญญานนี้ได้ เปรียบเสมือนคนที่ตายแล้ว ร่างกาย
    (กายหยาบ)ไม่มี ไม่มีตัวตน อันนี้เรียกว่าวิญญานหรือวิญญานังโดยที่ยังมีจิตบังคับอยู่(จิตวิญญาน)

    มนุษย์ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นกำเนิด คือได้รับผลของกรรมมาตั้งแต่เกิดหรือกำเนิด การกำเนิดขึ้นมาจึงเปรียบเสมือนการชดใช้ผลของกรรมที่ได้กระทำไว้ตั้งแต่อดีตชาติ ผลของกรรมนั้นอาจจะมีมากบ้างน้อยบ้างตามแต่ละบุคคลที่ได้สร้างผลของกรรมมา กรรมนี้ไม่สามารถถ่ายโอนให้กับใครหรือผู้หนึ่งผู้ใดได้และอาจจะเพิ่มขึ้น หากว่าบุคคลที่ถือกำเนิดมานั้นประกอบผลกรรมเพิ่ม กรรมนั้นไม่สามารถลบ ล้าง เลิก ได้ แต่ลดน้อยลงได้ หากว่าบุคคลนั้นไม่ประกอบกรรมเพิ่มขึ้นอีก การที่มีพิธีการล้างกรรม จึงไม่มีความเป็นไปได้ กลับจะก่อให้เกิดกรรมเพิ่มด้วยซ้ำไป หากว่าในพิธีการนั้นมีการฆ่าสัตว์เพื่อบวงสรวงหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นการเบียดเบียน

    คนๆหนึ่งมีความรู้สึกว่า ชาตินี้ทำไมมีกรรมมาก(เยอะ)จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ไม่ประสพผลสำเร็จเท่าที่ควร หรือไม่ประสพสมหวังในสิ่งที่ตั้งใจ จึงเกิดการท้อแท้และต่อต้าน ในการจะประกอบกรรมดี ทำบุญเท่าไหร่ๆก็ไม่เห็นส่งผลดีขึ้นมาเลยมีแต่กลับจะแย่ลงไปอีกหรือทำบุญตั้งเยอะแล้ว ก็ไม่เห็นผลว่าจะมีอะไรดีขึ้น การประกอบกรรมดีนั้น ค่อนข้างยากกว่าการประกอบกรรมชั่ว การประกอบความชั่วหรือบาปกรรม เพียงแค่ชั่วขณะคิดก็ส่งผลให้เพิ่มกรรมชั่วได้แล้ว หากว่าบุคคลนั้นไม่ได้เรียนรู้ในเชิงการบังคับจิตหรือการฝึกกรรมฐานมาก่อน หรือถึงฝึกแล้วแต่เพียงระดับต้นๆพื้นฐาน จึงไม่สามารถบังคับจิตได้ จึงปล่อยให้ความคิดหรือจิตพาไป คิดในสิ่งที่ไม่ดีงามหรือในทางอกุศล สำหรับผู้ที่ผ่านการฝึกมาแล้ว อาจจะหยุดหรือดึงกลับสภาพจิตในขณะนั้นได้ ก็ย่อมระงับผลของกรรมนั้นได้ในชั่วขณะ

    ผลของกรรมนั้น บางคนมีน้อย บางคนมีมากต่างกัน การที่สร้างกรรมดีแล้วไม่ส่งผลทันทีทันใดนั้น มีหลายปัจจัยหลายสาเหตุแตกต่างกันไปของแต่ละคน บางคนสร้างกรรมมามากตั้งแต่อดีตชาติจวบจนปัจจุบัน ตั้งหน้าตั้งตาประกอบแต่ผลกรรม กรรมนั้นจึงเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆแม้จะพยายามประกอบกรรมดีช่วยเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่สามารถลดทอนหรือหยุดการส่งผลของกรรมลงได้ เรียกได้ว่าประกอบกรรมดี10 แต่ประกอบกรรมชั่ว20 ผลของกรรมจึงส่งผลมากกว่าผลของบุญ จึงเป็นที่มาของการเข้าสมาบัติของอาริยะบุคคล คือการหยุดผลของกรรมลงอย่างสิ้นเชิง หยุดคิด(แต่เจริญวิปัสนาแทน)หยุดการกระทำที่จะเพิ่มกรรม(แต่ปฏิบัติสมาธิภาวนาแทน)ดังนี้ คือการหยุดผลของกรรมที่จะเพิ่มขึ้น (แต่ไปพิจารณาผลของกรรมแทน)


    คำว่ากรรมคือการกระทำ แบ่งเป็น2ปัจจัย คือ กุศลกรรมและอกุศลกรรม การที่จะหยุดอกุศลกรรมได้ ต้องหมั่นสร้างกรรมดีหรือกุศลกรรมให้มากกว่า เพื่อให้ตัวกุศลกรรมเป็นตัวนำ สิ่งที่จะได้รับจากกุศลกรรม อาจจะไม่ทันทีทันใด บางครั้งกว่าจะส่งผลอาจต้องใช้ระยะเวลาเป็นเดือน เป็นปี หลายๆปี หรือภพภูมิหน้า อยู่ที่ว่ากุศลกรรมที่ทำนั้นมากน้อยแค่ไหนหรือตัวกุศลกรรมเป็นตัวนำมากแค่ไหน

    สิ่งที่ชาวพุทธหรือพุทธมามะกะหรือนักปฏิบัติพึงปฏิบัติคือการหมั่นสร้างกรรมดี รักษากาย วาจา และใจ ให้มีความเป็นปกติ เพราะหากกายและใจไม่ปกติแล้ว ไฉนเลยจะสามารถสร้างกรรมดีได้

    ภควัณตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2011
  2. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    การปฏิบัติ
    การทำบุญนั้น ไม่มีแบ่งแยก อย่าไปคิดว่า เรามาทำกับคนที่ไม่ชอบแล้วต้องไปเกิดไปอยู่ด้วยกันกับคนนั้นคนนี้ เวรกรรมของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน หากเราเอากิเลศคือความไม่ชอบทั้งหลายทั้งปวง ไปจับอยู่แต่ตรงนั้น จนลืมนึกถึงสิ่งที่เรากำลังจะทำตรงหน้า บุญนั้นย่อมได้น้อยลง อย่าลืมว่า การทำบุญ ไม่ว่าจะตักบาตร ทำทาน หรือถวายของ ล้วนแต่เป็นอุบายทำเพื่อให้กิเลศเบาบางลง ลดการตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ใช่ไปเพิ่มกิเลศ กิเลศที่ว่านี้คือ รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหลายทั้งปวง หากทำแล้วยังไม่สามารถลดลงได้บ้าง ก็สู้อย่าทำซะเลยดีกว่า เพราะทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์มากนัก มัวแต่ไปจ้องจับผิด มัวแต่จะเป็นทุกข์ มัวแต่คอยหวาดระแวง
        
    การอวดอ้าง หรืออะไรก็แล้วแต่ว่าสามารถติดต่อคนนั้นคนนี้ได้ สามารถติดต่อเจ้ากรรมนายเวรให้ยกโทษได้นั้น หากว่าทำได้จริง ป่านนี้เจ้ากรรมนายเวรคงไม่มีเหลือแล้ว อย่าลืมว่า กรรมเวรที่ทำ บางทีก็ไม่ได้เกิดจากชาติภพเดียว มันสะสมมาตั้งแต่กี่ภพกี่ชาติแล้วก็ไม่รู้ เพราะส่วนมากจะท้อถอย พอพบอุปสรรคเข้าหน่อย ก็ไม่สู้ต่อ ยอมแพ้ง่ายๆ แล้วก็ไม่ปฎิบัติต่อ มันก็เบรกอยู่เพียงแค่นั้น พอไปเกิดชาติใหม่ภพใหม่ ก็จะเป็นเช่นเดิมอยู่เรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด เพราะยังไม่ได้พยายามแก้ไขอะไรเลย การพบอุปสรรค คือการที่เจ้ากรรมนายเวรสนองต่อหรือตอบสนอง บางครั้งการสนองต่อหรือตอบสนองค่อนข้างรุนแรง จนคนที่ปฎิบัติยอมแพ้เอาดื้อๆ
         หากเจ้ากรรมนายเวรยอมยกโทษให้ง่ายๆ ป่านนี้ คนก็คงทำกรรมชั่วกันเต็มบ้านเมือง เพราะเดี๋ยวเจ้ากรรมนายเวรก็ต้องยกโทษให้ อย่าลืมว่า บางที คนบางคนก็กระทำกรรมโดยไม่รู้ตัว ส่วนผลสนองนั้น อาจจะไม่ส่งผลในปัจจุบัน แต่อาจจะส่งไปถึงอนาคต ต่อลูกหลาน ต่อญาติ ต่อวงศ์ตระกูลไปโน่นเลย คนบางคนทำกรรมไม่ดีไว้ กรรมนั้นอาจส่งผลให้กับรุ่นลูกรุ่นหลานไปโน่นเลย หากกรรมนั้นสามารถยกโทษให้ง่ายๆ สามารถประนีประนอมกันได้ ป่านนี้คงไม่มีนรกภูมิแล้วหล่ะ แต่ที่เห็นมา มีแต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด คำพูดของคนสามารถไถ่ถอนหรือยกโทษกันได้ แต่ในอีกมิติหนึ่ง มันไม่สามารถยกโทษหรือไถ่ถอนกันได้
         
    การนั่งสมาธิ ที่ต้องมีการสวดมนต์หรือสมาทานศีลก่อนเพราะ จะทำให้ใจเรานิ่ง มีสมาธิในการปฎิบัติกรรมฐาน หลังจากที่ใจเราอาจจะไม่สามารถรวมไปในครั้งเดียวได้ เพราะภารกิจประจำวันทั้งหลายทั้งปวง แต่หากว่าใจเรานิ่งพอ สามารถรวมได้อย่างรวดเร็ว สมาธิจดจ่อกับสิ่งที่จะทำได้เร็ว ก้ไม่จำเป็นต้องสวด ในที่นี้หมายถึง สามารถตัดสิ่งทั้งหลายทั้งปวงออกจากจิตและใจได้อย่างรวดเร็ว สามารถรวมสมาธิได้เร็ว การสวดมนต์เหมือนเป็นอุบายให้ใจสงบ เลิกคิดถึงสิ่งต่างๆเท่านั้น ส่วนการสมาทานศีลก็คงอยู่ที่ตัวเราว่า สามารถรักษาศีลได้แค่ไหน และการยอมรับเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ
         
    การทำสมาธิต่างจากการปฎิบัติกรรมฐาน การทำสมาธิคือการทำจิตและใจให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อจิตและใจสงบแล้ว ก็ถึงจะเป็นการปฎิบัติกรรมฐานต่อไป  จึงต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วย คือไล่ไปตามลำดับ 1-2-3-4 ไม่ใช่ไล่ลงมา 4-3-2-1  เพราะภาคต่อจากปฎิบัติกรรมฐานคือ การวิปัสสนากรรมฐาน ตัวนี้คือการรู้แจ้งเห็นจริงไล่ไปตามลำดับ แต่เมื่อถึงลำดับปฎิบัติกรรมฐานแล้ว อย่าเอาความอยากมาร่วมด้วยเชียว เพราะจะไปต่อไม่ได้ ความอยากคือกิเลศทั้งหลายทั้งปวง เช่นอยากเห็น-อยากเป็น-อยากมี การปฎิบัติจะไม่เกิดผล แล้วก็ต้องวนเวียนฝึกสมาธิอยู่อย่างนั้น ไม่ไปไหน ซึ่งคนส่วนมากก็จะเบรกแค่ตรงนี้ แล้วก็เลิกราไปเอง เพราะไม่มีความอดทนต่อความอยาก ให้ความอยากมาเป็นตัวนำ แทนที่เราจะเป็นตัวนำความอยาก ก็อยากจะบอกว่า อยากโน่นอยากนี่ ตายไป จะสามารถเอาความอยากไปด้วยได้หรือเปล่าล่ะ หรือดิ้นกระแด่วๆจะตาย ยังจะนึกถึงความอยากกันอยู่หรือเปล่า ข้อคิดก็มีเพียงแค่นี้ หรือความคิดแค้น จงเกลียดจงชัง ไม่ชอบหน้าใครบางคน รู้สึกไม่ถูกชะตาและอีกมากมาย เมื่อก่อนจะตาย ยังจะมัวมีเวลามาคิดแค้นดังว่านี้อยู่อีกหรือ
           
    การทำบุญ/ ทาน ไม่ได้ช่วยให้การปฎิบัติกรรมฐานได้เร็วแต่อย่างไร มันคนละเรื่องไม่เกี่ยวกัน จะมีส่วนอยู่บ้างตรงที่ ให้ใจเราปลดเปลื้องลดละเลิกการก่อกรรมหรือกิเลศให้น้อยลงเท่านั้น การปฎิบัติกรรมฐานอยู่ที่ตัวเรา ต้องทำเอง ไม่มีสิ่งใดมาเป็นตัวช่วยได้ เช่น เธออยากไปเที่ยวต่างประเทศ แต่ไม่ขวนขวายที่จะเก็บเงินทองเพื่อจะซื้อตั๋วเครื่องบินไป เธอว่าเธอจะได้ไปไหม เหมือนคนอยากเห็นสวรรค์ เพราะได้ฟังจากปากคนอื่นหรืออ่านมา ก็แค่ได้ยินได้ฟัง แต่ตัวจริงๆไม่ได้ไปเอง แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าที่เราอ่านที่เราได้ยินได้ฟังมานั้น มันเป็นจริงหรือเปล่า หากว่าไม่พยายามไปดูเอาเอง ประมาณนั้น
       
    เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราควรฝึกแนวไหน หรือกรรมฐานแบบไหนนั้น พึงกำหนดเอาสักแนวที่คิดว่าตัวเองถนัดหรือเมื่อทำแล้ว เรารู้สึกดี สบายกายสบายใจ สบายกายในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่านั่งสบายนอนสบายนะ แต่หมายถึง เมื่อเรารู้สึกไม่เกร็ง ไม่เครียด เมื่อทำไปแล้วรู้สึกไม่ดีก็เปลี่ยนลองไปทำแนวอื่นดูบ้าง หากว่าของเดิมดีกว่า ก็กลับมาทำของเดิม เพราะจุดหมายที่สุดแล้วคืออันเดียวกัน อยู่ที่ว่า มีความเข้าใจในการฝึกมากน้อยแค่ไหน บางคนเข้าใจง่ายเพราะมีพื้นฐานมาบ้าง แต่บางคนเข้าใจยาก เพราะไม่มีพื้นฐาน หรือได้รับพื้นฐานมาจากที่อื่น เลยมาแย้งในตัวเอง หาจุดโฟกัส หาจุดลงเอยไม่ได้ 
    ภควัณตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2011
  3. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    มีหลายแนวนะครับ ติดตามอ่านไปเรื่อยๆก่อน เริ่มแรกๆจะขอกล่าวอารัมภบทก่อนครับ อย่าพึ่งเบื่อกันก่อนล่ะ (สำหรับคนชอบอ่านๆๆๆๆ อาจจะไปโดนใจใครบางคนเข้าบ้างก็ได้)

    ภควัณตัง
     
  4. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    สอนและตอบและเปิดกรรม
    มันก็เป็นเรื่องแปลก ที่จะไม่สามารถมองเห็นกรรมของคนที่ตนเองรักได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือเพื่อนสนิท ถ้าจะเห็นก็โดยบังเอิญหรือเป็นบางครั้งเท่านั้น

    ที่เป็นอย่างนั้นตามการวินิจฉัยเพราะคนเราย่อมมีกิเลศ พอมีความรักใครหรือชอบพอใครเป็นพิเศษหรือสนิทสนม การมองดูกรรมก็จะเต็มไปด้วยกิเลศส่วนตัว ต้องการที่จะช่วยไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ การที่มองไม่เห็นกรรมของคนที่เรารักเหล่านี้ ก็เพื่อจะให้รู้จักการวางอุเบกขา หรือการวางเฉย ปล่อยกรรมที่จะเกิดกับแต่ละคน ให้เป็นไปตามวาระ ถ้าช่วยได้ก็ช่วย หากช่วยไม่ได้ก็จำเป็นต้องวางเฉย

    มนุษย์เราทั้งหลายที่เกิดมาในโลกใบนี้ ล้วนแต่มีกรรมเป็นผู้สร้างผู้กำหนด หากทำกรรมดีเอาไว้ในอดีตภพ กรรมดีนั้นย่อมส่งผล ให้เกิดมาเป็นผู้เจริญด้วย รูป ทรัพย์ ปัญญา แต่หากเคยทำกรรมชั่วเอาไว้ ย่อมส่งผลให้เกิดมาขาดแคลน ในปัจจัยทั้งหลายแหล่ มนุษย์จึงควรหมั่นถือศีล ทำความดี ละเว้นความชั่ว เพื่อบุญกุศลจะช่วยบันดาล ให้ชีวิตสำเร็จสมหวัง ทั้งในภพนี้ไปจนถึงภพหน้า
    การไปสัญญิงสัญญา ไปสาบทสาบานกับใครเอาไว้ อำนาจของคำสาบาน หรือคำอธิฐานด้วยตัวเองนี่แหละ ที่จะผูกมัดตัวเองไว้ ไม่ให้หลุดจากกรรม โดยเฉพาะเรื่องของความรัก

    คนที่สาบานว่า จะขอรักเธอไปจนตลอดชีวิต เกิดชาติหน้าฉันท์ใด ก็จะขอรักแต่เธอคนเดียว พึงเข้าใจด้วยว่า คนเราเกิด จะเกิดชาติใหม่เป็นหญิงหรือชาย เกิดช้าหรือเร็ว ก็แล้วแต่กรรมของตัว ถ้าบังเอิญเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่คู่สาบานยังไม่ได้มาเกิด หรือยังตกค้างอยู่ เป็นวิญญาณเร่ร่อน ด้วยอำนาจคำสัญญานั้น จะทำให้ไม่มีโอกาส สมหวังเรื่องคู่ครอง เรื่อยไปจนกว่าจะถึงภพชาติที่ได้เกิดมาเจอกัน

    ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของจิตใจ ต่างจากศาสนาอื่นๆที่ให้ยึดถือแต่จากคัมภีร์หรือคำสอน อำนาจของจิตใจนั้น มีพลังมากกว่าที่เราคิด แม้แต่พระพุทธองค์ ท่านสำเร็จฌานสมาบัติ บรรลุอรหันต์ ผลก็เป็นไปด้วยดวงจิต ที่ได้ตั้งสัจจะอธิฐานเอาไว้ ดังนั้นจึงควรระวัง ในการที่จะอธิฐานสิ่งใด

    การลงทรง(เข้าทรง)พอจะแบ่งออกเป็น3ลักษณะคือ ทรงจริง/ทรงเทียม/ทรงเก๊ การทรงจริงนั้นจะหาได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย ส่วนใหญ่แล้วเทพระดับสูง ที่มีกายละเอียด จะไม่ค่อยลงมายังโลกมนุษย์บ่อยๆตามที่เข้าใจ เพราะโลกมนุษย์เต็มไปด้วยไอของกิเลศจากตัวมนุษย์เอง หากเทพหรือพรหมองค์ใด ลงมาโลกมนุษย์แล้ว เมื่อรัศมีจากกายละเอียดหรือกายทิพย์นั้นต้องตัวมนุษย์ รัศมีจะขุ่นมัวลงไป เพราะมนุษย์มีกิเลศมาก ทั้งโลภ โกรธและหลง เมื่อกลับสู่พรหมโลก ก็จะต้องชะล้างคราบมัวหมองอีกหลายเวลา

    เหตุที่ต้องลงมา เพราะตราบใดที่โลกมนุษย์ ยังมีการสวดมนต์ เช้า-เย็น ก็ต้องลงมาอนุโมทนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อที่จะน้อมรับส่วนบุญส่วนกุศลนั้นๆ

    แค่โดนไอจากตัวมนุษย์ยังเสื่อมราศี แล้วอย่างนี้เทพที่ไหนจะกล้าลงมาประทับทรงในร่างมนุษย์ เพราะร่างมนุษย์เป็นกายหยาบ เต็มไปด้วย ราคะ โกรธะ โมหะ กิเลศ คงไม่สามารถลงมาทรงบ่อยๆได้ เพราะบารมีจะเสื่อม นอกจากมีเหตุจำเป็นบางอย่าง นานๆครั้ง และก็จะต้องมีข้อแม้ด้วยคือ


    <DIR><DIR>1. มนุษย์คนนั้นต้องมีการปฏิบัติธรรมเป็นประจำ</DIR><DIR></DIR><DIR></DIR><DIR>
    2.มนุษย์คนนั้นมีจิตผูกพันกัน เป็นเชื้อสายที่สืบต่อมาจากท่าน
    3. มนุษย์คนนั้นมีจิตผูกพันกัน มีบุพเพสันนิวาสร่วมกัน หรือความเกี่ยวพันกันในชาติภพก่อน เป็นต้น


    </DIR></DIR>ส่วนการทรงเทียมคือ การที่ดวงจิตเร่ร่อน หรือดวงวิญญาณเทพชั้นล่าง ซึ่งมีบารมีธรรม แต่ใกล้หมดบุญแล้ว มาสร้างบุญกุศลเสริมแก่ตนเอง ระหว่างรอเกิดยังภพใหม่ จึงมาอาศัยร่างบุคคล ที่มีการปฏิบัติธรรมดี หรือกระแสจิตต้องกัน เป็นสื่อกลางในการช่วยเหลือมนุษย์ โดยที่ร่างนั้นอาจจะไม่สามารถ รับรู้ได้ว่าเป็นดวงจิต ดวงวิญญาณ หรือเทพองค์ไหน เพราะจะดลบันดาลให้นึกเป็นพระนามอื่นไป จิตเหล่านี้จึงอาศัยพระนาม ของเทพชั้นสูง ผู้ปฏิบัติธรรมหรือพระมหากษัตริย์องค์ต่างๆ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์แทนตัวเอง ตัวคนทรงก็ได้บุญ คนทรงแผ่เมตราไป จิตเหล่านี้ก็ได้บุญ พระนามต่างๆที่ถูกยกยืมมา ก็ได้บุญตามกันไป ดังที่ตัวเธอเองได้เคยพบเห็นหรือรู้จักมาก่อนหน้านั้น ก็ล้วนเป็นการทรงประเภทนี้ แต่ก็ไม่ได้นับรวมที่ทรงโอปาติกะ เพราะพวกหลังนี้ จะชอบเครื่องเซ่นสังเวย ทั้งในทางตรงและทางอ้อม แต่ในทางกลับกัน ถ้าคนทรงนั้นไม่ยึดมั่นในศีล หวังลาภ สักการะ ปฏิบัติไม่ชอบ ทั้งร่างทรงและดวงจิต ที่มาประทับทรง ก็จะถูกลงโทษด้วยกรรมนี้ร่วมกัน คือการดำเนินชีวิตของร่างทรงนั้น ก็จะตกต่ำลงเรื่อยๆ เป็นไปตามผลกรรมที่ได้รับ


    เทพไม่ว่าชั้นใดๆ ไม่มีโอกาสสร้างบุญด้วยตัวเอง เพราะมีกายทิพย์ ต่างจากมนุษย์ที่มีสังขาร คือกายหยาบ สามารถสร้างบุญกุศลได้หลายวิธี การที่เทพจะรับบุญได้ก็ต่อเมื่อ มีผู้อุทิสหรือแผ่บุญให้ แม้จะมีอิทธิฤทธิ์ สามารถดลบันดาลสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้กับมนุษย์ บุญบารมีก็จะลดลง ของฟรีไม่มีในโลก ฉันท์ใดฉันท์นั้น แม้แต่ในทางธรรมก็เช่นเดียวกัน ต้องมีสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนเสมอ นั่นคือถ้าเรามีบุญสะสมไว้มาก เทพก็อาศัยพลังจากบุญเรานั่นแหละ เป็นปัจจัยมาช่วยเหลือตัวเรา ลำพังตัวเทพทั้งหลาย ไม่มีองค์ไหนเอาบุญส่วนตัวมาแจกจ่ายให้กับมนุษย์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์และสัตว์ในโลก จึงควรเข้าใจว่า เราโชคดีแค่ไหน ที่สามารถสั่งสมบุญ ได้ดังใจตัวเอง

    บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป เราทำบาปไว้ ผลของบาปก็ย่อมตอบสนองตามธรรมชาติ เขากำหนดให้เราเกิดมารับผลของกรรม เราก็ต้องทนรับผลกรรมนั้นไป ที่บอกว่าทำบุญล้างบาปนั้น มันล้างไม่ได้ ขอแค่อย่าสร้างกรรมไม่ดีขึ้นมาใหม่ กรรมเก่าเราไม่สามารถย้อนเวลาไปแก้ไขได้แล้ว ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตา ขออโหสิกรรมไปเรื่อยๆ ชีวิตที่เหลืออยู่ให้รีบสร้างบุญกุศลให้มากๆ เพราะจะเอาบุญมาตัดทอนกรรม เราก็ไม่มีทางจะรู้เองว่า เจ้ากรรมนายเวรของเรา เขาจะยอมรับบุญแค่ไหน จะบรรเทากรรมลงได้มากน้อยแค่ไหน

    เหมือนเราเป็นหนี้อยู่แสนบาท แต่พึ่งหาเงินมาได้ 1000 บาท จะยกให้เจ้าหนี้ทั้งหมด โดยไม่กินไม่ใช้เลย มันก็เป็นไปไม่ได้ ส่วนหนึ่งเราจำเป็นต้องเอาไว้กินไว้ใช้ ส่วนหนึ่งถูกหักเป็นเงินประกันสังคม ที่เหลือก็แจกเจ้าหนี้รายเล็กรายน้อยไปก่อน สมมุติว่าเราเหลือเงินสัก 500 บาท เราเอาไปให้เจ้าหนี้รายใหญ่ เขาก็คงไม่เอา มันเป็นเศษเงิน เขาจะเอาเป็นก้อน กรรมมันก็เหมือนดูกับว่า ไม่ลดลงเลย เป็นดังนี้ แต่เราก็ต้องไม่ท้อถอยหมั่นสร้างบุญเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

    เราต้องรีบสร้างสะสมผลบุญ ด้วยการดีต่อตัวเอง ดีต่อผู้อื่น ดีทั้งกายภายในและภายนอก ดีทั้งวจีกรรม(คำพูด)มโนกรรม(ความคิด)กายกรรม(การกระทำ)ดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง เมื่อเราดีจนถึงที่สุด ถึงจุดที่เจ้ากรรมนายเวร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะรับรู้กรรม จึงจะสามารถบรรเทาลงได้ มันก็จะเป็นเช่นนี้ เรื่องบางเรื่องมันยังไม่ถึงกำหนด มันก็คงจะทำอะไรไม่ได้มากนัก

    พระจี้กงสำเร็จอรหันต์หรือไม่ ถ้าตอบแบบกวนหน่อยก็จะบอกว่า ไม่ทราบครับ เพราะเกิดมาไม่ทัน555 การปฏิบัติธรรมไม่ได้มุ่งเน้นให้มีความอยาก เช่น อยากรู้ อยากดู อยากเห็น อยากเป็น อยากมี เพราะความอยากเป็นตัวลดทอนการปฏิบัติ เป็นตัวกิเลศ แต่ได้มุ่งเน้นไปในทางหลุดพ้นจากกองกิเลศทั้งหลาย การจะทราบว่าท่านนั้น ท่านนี้ องค์นั้น องค์นี้ สำเร็จหรือไม่ ไม่ใช่วิสัยที่นักปฏิบัติธรรม จะเก็บเอามาใส่ใจ พึงยึดตัวเราเอง ให้ลด ละ เลิก กิเลศ แต่เพียงอย่างเดียว ใครจะเป็นอย่างไร จะทำอะไร จึงไม่ควรเก็บเอามาใส่ใจ และเป็นข้อกังขา อีกอย่างหนึ่งคือ เป็นข้อห้ามสำหรับนักปฏิบัติ หรือผู้ที่บรรลุธรรม ไม่เว้นแม้แต่สมณะ ชีพาหมห์คือ การอวดอุตริมนุษสธรรม อุตริมนุสธรรม มีความหมายว่า ธรรมอันยิ่งยวด ที่สำเร็จแก่ได้มนุษย์ ซึ่งคนทั่วไปจะเข้าถึงได้ยาก ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาบัติ มรรคและนิพพาน คือห้ามไม่ให้อวดตัวเองว่าสำเร็จธรรม มีอิทธิ์ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เพื่อให้คนเลื่อมใสศรัทธา ถ้าเป็นพระอวดอุตริ ก็ต้องอาบัติปาราชิก (พ้นสภาพจากการเป็นพระ)ถ้าสำเร็จจริง แต่อวดตัวเองให้คนเลื่อมใส ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ดังนั้นคนที่สำเร็จธรรมชั้นสูง จึงไม่ค่อยบอกกับใคร ว่าตนเองสำเร็จอะไรบ้าง

    และดังที่ได้เคยบอกมาครั้งก่อนๆแล้วว่า การที่จะสามารถไปรับรู้ในสิ่งที่สูงกว่า ย่อมเป็นไปได้ยาก เปรียบเหมือนเด็กชั้นประถม จะไปรับรู้เด็กชั้นปริญญาตรีนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน ดังนี้ ไม่ใช่ไม่อยากบอก แต่บางเรื่อง ก็สุดปัญญาที่จะรับรู้เหมือนกัน คงต้องไต่ระดับให้เท่ากันหรือสูงกว่า เมื่อนั้นคงจะบอกหรือตอบได้โดยตรงจ๊ะ

    มาครั้งนี้เลยแสดงธรรมเป็นภาพรวมๆ จากที่ไม่ได้ส่งให้อ่านมานาน เพราะบางครั้งก็จะยุ่งๆ และต้องพิมพ์ส่งทางเมล์บล็อคเป็นประจำและเป็นบทๆไป แต่ก็คงจะจบหลักสูตรพื้นฐานแต่เพียงเวลานี้ สิ่งที่คนฟัง(อ่าน)ได้รับ ก็คงจะมีพอประมาณ เพราะไม่ว่าจะมีการสอนแนวไหนๆ สุดท้ายก็มาบรรจบที่เดียวกัน คือการสอนให้คนเป็นคนดี ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่แก่งแย่ง ชิงดี รู้จักคิด และไตร่ตรอง ทั้งในอาชีพการงาน และการดำรงชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น หลายสิ่งหลายอย่างเชื่อว่าสำนักปฏิบัติบางที่ไม่ได้สอน หรืออาจหลงลืม แต่หากว่าเคยได้ฟัง ได้อ่านมาแล้ว ก็คิดเสียว่าเป็นการทวนความจำก็แล้วกัน หากว่าพยายามอ่านให้เข้าใจและรู้จักปรับเปลี่ยนแปลงหรือนำมาประยุกต์คิดก็จะเกิดผลดีบ้างไม่มากก็น้อย แต่หากว่าอ่านเอาแค่สนุก หรือผ่านๆเลยไป ก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใดมากนัก หากว่ารู้สึกว่าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามมาได้ จะตอบเท่าที่ตอบได้ มีบางอย่างที่อาจจะตอบไม่ได้ ก็เพราะยังไม่รู้จริงๆเหมือนกัน การตอบส่งเดช ไม่เกิดผลที่ดี การเรียนรู้ในหลักธรรมและการปฏิบัติมีขั้นตอนค่อนข้างละเอียดและเยอะมาก ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ตัวเราเองก็ยังคงเรียนรู้ได้ไม่หมด หากเปรียบเทียบก็คือ แค่เพียงชั้นระดับอนุบาลเท่านั้น การเรียนรู้ยังต้องเรียนอีกมาก ถึงจะสามารถขึ้นไปเทียบชั้นสูงๆได้ การสอบให้ผ่านในแต่ละขั้น(ชั้น)ตอน คือการสอบอารมณ์ของนักปฏิบัติ มีขั้นตอนหลายอย่างมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2011
  5. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    อ่านมาถึงตอนนี้ เสนอแนะ ติชมกันมาได้ครับ หากไม่สบอารมณ์คนอ่าน ก็จะหยุดเขียนต่อครับ หากชอบอ่านเรื่อยๆ ก็จะต่อครับ อาจจะมีหลายตอนหน่อย

    ภควัณตัง
     
  6. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631

    รูป-เวทนา-สังขาร-วิญญาน-สัญญา

    สิ่งหนึ่งที่มีเมล์ถามกันมามากก็จะขอตอบและเล่าให้เธอฟังเพื่อจะได้รับรู้และเป็นอุทาหรณ์คือ เรื่องการรับขันธ์ หากว่าใครก็ตามที่ทักเราว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ตัว แนะนำให้ไปรับขันธ์ที่โน่นที่นี่ ชีวิตจะเจริญก้าวหน้าแล้วละก็ คราวแรกๆที่รับก็ดีอยู่หรอก เพราะอุดมไปด้วยเครื่องเซ่นสังเวยที่เราอาจให้หรือคอยกินหรืออาศัยบุญกุศลเราแต่ระยะหลังอาจจะแย่หรืออาจมีปัญหาอื่นๆตามมา เพราะบุญกุศลเราอาจจะลดลงไปโดยไม่รู้ตัว หรือเพราะอาจเป็นว่าเราไม่ได้สร้างบุญเพิ่มเติมมานัก
    พวกขันธ์(ผี)พวกนี้ก็จะเนรคุณ คือจะส่งผลให้กับตัวเราในทางที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
    เรื่องรับขันธ์นี่มีเยอะมาก ส่วนใหญ่จะมาลักษณะเดียวกันคือ ถ้าเป็นพิธีรับขันเฉยๆ ก็ไม่สู้เป็นอะไรมาก ก็เป็นแค่ศรัทธาของแต่ละคน แต่ถ้าไปจับเอาวิญญาณเร่ร่อนมาบังคับ ให้สิงกับตัวคนรับขันธ์ ก็จะน่าสงสารมาก ทำให้เขา(ผี)ไม่มีโอกาสไปผุดไปเกิดตามเวลา คนที่เรียกเข้าก็เป็นคนมีวิชาอาคม มีพลังสมาธิ บังคับวิญญาณพวกสัมภเวสีได้ อาจจะมาอยู่เพื่อที่จะบังคับจิตคนๆนั้น ให้เกิดศรัทธา ให้เอาสักการะมาให้ ถ้ามีขันธ์อะไรพวกนี้ สมควรที่จะไปถอดออกเสียให้ถูกต้อง แต่ถ้าทำไม่ถูกต้อง ก็จะมีผลเสียกับทั้งคนถอดและคนถูกถอด ไปรับมาจากไหน ก็ไปถอดออกที่นั่น
    เรื่องรับขันธ์ ไม่จำเป็นต้องไปรับจากที่ไหนหรอก พระพุทธองค์ท่านสอนเอาไว้ว่า ขันธ์ 5 มันก็คือ รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญาของพวกนี้ มันติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดแล้ว บางคนรับมาเป็น 10 ขันธ์ เต็มแท่นโต๊ะหมู่บูชา แต่เมื่อเราเพ่งมองดูแล้ว ล้วนแต่ไม่ใช่เทพทั้งสิ้น เป็นแต่พวกสัมภเวสีหรือพวกโอปาติกะเท่านั้น แต่ก็คงไม่ได้ไปขัดขวางอะไร เพราะไม่ข้องเกี่ยวกัน ทางใครทางมัน

    ภควัณตัง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2011
  7. AFIKLIFI๋

    AFIKLIFI๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    869
    ค่าพลัง:
    +78
    ดีครับ..................
     
  8. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    การทำบุญ

    จะขอกล่าวเรื่องการทำบุญ ให้สหายมิกธรรมได้รับรู้และรับทราบ เพื่อให้ได้รับรู้และเข้าใจในสิ่งที่ตัวเราเองได้ทำ เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นในการจะเจริญสติกรรมฐานหรือฝึกปฎิบัติกรรมฐาน

    เพราะก่อนที่จะดำเนินการสิ่งใด เราเองต้องเรียนรู้ในสิ่งที่เราเองยังไม่รู้ยังไม่ทราบ ให้ได้มีความเข้าใจกันก่อน มิใช่สักแต่ว่า ต้องการฝึกปฎิบัติเพียงอย่างเดียว มีหลายๆสถานที่ ที่ไม่ได้ปูพื้นฐาน/ดูพื้นฐานหรือ จริต คนที่มาฝึกก่อน อยู่ๆก็ให้ฝึกปฎิบัติกันเลย ปล่อยเลยตามเลย นั่งสอนกันเลยเป็นจริงเป็นจัง บางคนรับได้ เพราะมีพื้นมาก่อนหรือมีบุพกรรมมาแต่อดีตชาติ แต่บางคนรับไม่ได้ เพราะยังไม่มีความรู้เรื่องแบบนี้มาเลย เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานไม่เท่ากัน มีความรู้ไม่เท่ากัน มีบุพกรรมไม่เท่ากัน

    บางท่านเคยเข้าๆออกๆหลายสถานที่ แต่ก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไรก้าวหน้า บางสถานที่ก็จะสอนไม่ทั่วถึง อาจจะเป็นด้วยสาเหตุหลายๆอย่างและความพร้อมของสถานที่ ความพร้อมทั้งคนสอน ความพร้อมของสมาธิจิต บางที่ผู้สอนไม่เข้าไปตรวจสอบจริตของแต่ละคนว่าเป็นเช่นไร อาจจะเป็นเพราะมีคนมากเข้าไม่ถึง หรือคนสอนยังมีภูมิไม่เพียงพอ ไม่สามารถตรวจสอบได้ หรือแค่สอนเพียงเพื่อ ระงับ ดับกิเลศแค่นั้น

    ทุกสถานที่ล้วนมีดีไปคนละแนว อยู่ที่ว่า เราต้องการระดับไหน แค่ไหน ก้ต้องถามใจตัวเราเองก่อนว่าต้องการแค่ไหน ยังไง มิใช่ว่าต้องพบกับแสงสว่างทุกคนพบกับสิ่งที่หวังทุกคน บางคนตั้งความหวังไว้มาก แต่เมื่อไม่ได้ดังหวังก็หมดกำลังใจที่จะทำ ที่จะปฎิบัติ เพราะไม่ตรงแนวกับที่ตั้งความหวังไว้ บางคนตั้งไว้ว่า ต้องสำเร็จระดับโสดาบัน มีหูทิพย์ ตาทิพย์ กายทิพย์ สามารถรอบรู้ได้ทุกอย่าง เราจะขอกล่าวว่า ผู้ที่ตั้งความหวังแบบนั้น ไม่ใช่นักปฎิบัติที่ดีและยากที่จะเข้าถึงได้ เพราะไม่ใช่แนวทางที่เราจะสอน สมควรที่จะต้องหาคนสอนใหม่ เพื่อจะได้พบกับสิ่งที่ต้องการ สิ่งต่างๆที่ต้องการล้วนเป็นนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงแท้ แม้จะได้มาโดยบังเอิญก็ตาม ล้วนเป็นผลพลอยได้ทั้งสิ้น ผู้ที่หลงอยู่ในอุบายดังกล่าว ย่อมไม่ส่งผลดีต่อตัวเองและผู้อื่น การปฎิบัติมีแต่ทางเสื่อมและถดถอยลงทุกขณะ จึงไม่ควรใส่ใจและยึดติดในเรื่องดังกล่าว เพราะอาจถึงขั้นร้ายแรงถึงเสียสติได้ หากว่าหลงกับสิ่งนี้มากจนเกินไปและไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราเอง ไม่มีระดับอรหันต์ท่านไหนที่สามารถผลักดันให้คนๆหนึ่ง สำเร็จ มรรค ผล นิพพานได้ กรรมเราเป็นผู้ก่อ เราต้องรับผิดชอบในผลกรรมนั้น จะไปโยนให้คนอื่นมารับผลกรรมแทนเราเองไม่ได้ เราทำดี กาย/วาจา/ใจ ดี เราย่อมได้รับผลของกรรมดี แม้จะไม่ใช่ผลของในรูปความสำเร็จ สมหวัง ร่ำรวย แต่เป็นในส่วนที่จะทำให้เราเข้าถึงความเย็นกาย เย็นใจ สิ่งต่างๆก็จะทยอยตามเรามาเองในภายหลัง แต่หากว่าเราร่ำร้อนในกายและใจ สิ่งที่เราตั้งความหวัง ความต้องการไว้ ก็เหมือนจะยิ่งออกห่างไปเรื่อยๆ ยากนักที่จะเข้ามาประสพพบเจอ คนส่วนมาก เมื่อไม่ได้สิ่งที่ตัวเองปรารถนามักจะโทษโน่นโทษนี่ น้อยนักที่จะโทษตัวเอง ว่า ตัวเราเองอาจจะยังทำได้ไม่ดีพอก็เป็นได้

    การทำบุญ ทำกุศลทั้งหลายนั้น มิใช่ว่าจะให้บุญนั้นพาไปที่อื่น ทำเพื่อระงับดับกิเลศได้เพียงอย่างเดียว อย่าเข้าใจว่า ทำบุญกุศลแล้ว บุญกุศลนั้นจะยกเอาตัวเองไปสู่พระนิพพานเช่นนั้นหามิได้ ทำเพื่อจะระงับกิเลศตัณหา แล้วจึงไปพระนิพพานได้ กิเลศตัณหานั้นมีอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราไม่ทำให้ดับหรือเบาบางลง ใครจะมาช่วยเราดับได้ ต้นเหง้าเค้ามูลของกิเลศตัณหาอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราดับไม่ได้ก็ไม่ถึงซึ่งความสุขในพระนิพพาน

    ความรักทั้งปวงนั้นเป็นกองกิเลศทั้งสิ้น ถ้าห้ามใจให้ห่างจากกองกิเลศได้ จึงจะได้รับความสุข ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ถ้าหากใจยังพัวพันอยู่ในกองกิเลศแล้ว ถึงแม้จะได้รับความสุขสบาย ก็เพียงชาตินี้เท่านั้น เบื้องหน้าต่อไปไม่มีทางที่จะได้เสวยสุข มีแต่เสวยทุกข์โดยฝ่ายเดียว

    บุคคลทั้งหลายที่ออกจากโลกถึงที่สุดแล้ว ให้รู้โลกให้เห็นโลก ออกจากโลกได้แล้ว จึงเชื่อว่าถึงพระนิพพาน และรู้ตนว่าเป็นผู้พ้นจากทุกข์แล้ว และอยู่อย่างสุขสำราญบานใจทุกเมื่อ จะหาความเร่าร้อนหรือโศกเศร้าเสียมิได้ ถ้าผู้ใดยังไม่เห็นรู้ถึงที่สุดโลก ยังออกจากโลกไม่ได้ตราบใด ก็ชื่อว่า ยังไม่ถึงพระนิพพาน จะต้องทนทุกข์น้อยใหญ่ทั้งหลาย เกิดๆตายๆกลับไปกลับมา หาที่สุดมิได้อยู่ตราบนั้น บุคคลทั้งหลายเป็นผู้ต้องการนิพพาน แต่หารู้ไม่ว่า พระนิพพานนั้นเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน การปฎิบัติ ในทาน/ศีล/สมาธิ/ปัญญา อันเป็นทางไปสู่พระนิพพานนั้นก็ไม่เข้าใจ เมื่อไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจ การไปสู่พระนิพพานนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร

    เรามีตัวอย่างยกให้ฟังว่า คนๆหนึ่งมีความเดือดเนื้อร้อนใจ ตั้งจิตอธิฐานว่า ในเมื่อชาตินี้ ไม่ประสพผลในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ มีความเดือดร้อนใจ วุ่นวายใจ ตั้งจิตว่า ชาติหน้าขอไปเกิดในยุคพระศรีอารยเมตรัย เพื่อที่จะอาจจะได้พบกับสิ่งที่หวังที่ตั้งใจ และจะบำเพ็ญบุญบารมี เราขอบอกว่า ก่อนจะถึงยุคนั้น ยุคปัจจุบันเป็นเช่นไร แล้วยุคที่ตั้งใจไปเป็นเช่นไรตอบเราได้ไหม ทำไมเราต้องรอเพื่อไปเกิดในยุคนั้น ทำไมยุคนี้เราไม่เพียรสร้างความดี ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับลงมาเกิดอีก ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่คิดไม่ถูกต้องนัก เปรียบเหมือนคนที่คิดฆ่าตัวตาย เพื่อที่ตั้งความหวังไว้ว่า ชาติหน้าชาติใหม่อาจจะดีกว่าเดิม โดยที่ยังไม่ทราบว่า ชาตินี้ชาติเดียวที่จะได้เกิดอีก ชาติหน้าเราอาจจะไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกก็ได้ อาจจะได้ไปเกิดเป็นอย่างอื่นที่ไม่สามารถบำเพ็ญบุญบารมีได้เลย อาจไปเกิดเป็นสัตว์เดรฉาน มด-ปลวกหรืออาจต้องตกนรกหมกไหม้ อยู่ในนรกอเวจีหลายชั่วอายุขัย ทำไมเราไม่ตั้งความหวังกันแต่ในชาตินี้ที่สามารถทำได้ก็ไม่ทราบ ชาตินี้ยังไม่สามารถปฎิบัติดีปฎิบัติชอบได้ ไม่สามารถบำเพ็ญบุญบารมีได้ อย่าหวังว่าชาติหน้าจะสามารถทำได้เลย

    การไม่รู้แต่อยากได้ ย่อมเป็นทุกข์มากนัก เปรียบเหมือนบุคคลอยากได้วัตถุสิ่งหนึ่ง แต่หากไม่รู้จักวัตถุสิ่งนั้น ถึงแม้ว่าวัตถุสิ่งนั้นจะมีอยู่จำเพาะหน้า ก็ไม่อาจถือเอาได้เพราะไม่รู้ จึงเป็นการทุกข์ยิ่งนัก ผู้ปรารถนาพระนิพพานแต่ไม่รู้จักพระนิพพาน ก็เป็นทุกข์เช่นกัน

    การเป็นผู้ไม่รู้แจ้ง ไม่เข้าใจไม่รู้เห็นในพระนิพพาน ไม่สมควรสั่งสอนพระนิพพานแก่ผู้อื่น เพราะจะพาผู้อื่นหลงทาง เป็นบาปเป็นกรรมแก่ตนเองและผู้อื่นที่ได้รับถ่ายทอด ควรจะสั่งสอนแต่เพียงทางมนุษย์สุคติ สวรรค์สุคติ ส่วนความสุขในกุตตรนิพพานนั้น ผู้ใดต้องการจริง ต้องรักษาศีล5ศีล10 ศีลพระปาติโมกข์เสียก่อน จึงมีโอกาสที่จะได้ถึงซึ่ง โลกุตตรพระนิพพาน

    ผู้แสวงหาพระนิพพาน จำเป็นที่จะต้องแสวงหาครูที่ดี ที่อยู่เป็นสุขสบายมิได้ประมาท มีความรอบรู้เชี่ยวชาญ สามารถแป็นที่ปรึกษาได้ในยามที่เราต้องการสอบถามไขข้อข้องใจในสิ่งที่เราปฎิบัติ แต่หาใช่ว่าต้องคอยดูแลเราทุกอย่าง สามารถควบคุมอารมณ์ จิต ในตนเองและผู้อื่น เพราะพระนิพพานไม่เหมือนของสิ่งอื่น อันของสิ่งอื่น เมื่อผิดไปแล้วก็กลับแก้ตัวได้ หรือไม่สู้เป็นอะไรนัก เพราะไม่ละเอียดสุขุมมาก ส่วนพระนิพพานนั้นละเอียดสุขุม ถ้าผิดแล้วก็เป็นเหตุให้ ได้รับความทุกข์ ทำให้หลงโลกหลงทาง ห่างจากความสุข ทำให้เสียประโยชน์ เสียเวลา เป็นต้น

    ทั้งนี้ทั้งนั้น เราจะบอกกับทุกท่านว่า ทุกสิ่งอยู่ที่ใจของเราเป็นสำคัญ ใจเราดีเราก็ก้าวหน้า แต่หากใจไม่ดี ก้นับแต่ว่าจะถอยหลังไปเรื่อย มันไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย หากว่าเรามาปฎิบัติแล้วไม่พยายามฝึกใจและกาย ให้เป็นผู้ที่พร้อมที่จะรับ

    ภควัณตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2011
  9. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    การให้
    การให้ เมื่อจิตคิดในทางกุศล ก็ถือว่าได้ทำดีแล้ว กุศลผลบุญที่ทำก็จะย้อนกลับมาตอบสนองเองไม่ในปัจจุบันชาติก็ในอนาคต จึงอย่าคิดกังวลในสิ่งที่ทำไป ไม่ว่าใครจะเอาไป ก็ถือว่าเราได้ทำกุศลแล้ว ให้คิดเสียว่า อาจจะยังมีคนอื่น นอกจากคนที่เราคิดจะให้ต้องการอีก ถือว่าแบ่งๆกันไป ดีเสียอีกจะได้อนุโมทนาบุญได้2สิ่งเลย คือทางพุทธศาสนาและคนยากไร้ที่ต้องการปัจจัยสิ่งของ

    การมองเห็นใครสักคน ไม่เคยทำบุญทำทานเลย แต่เหตุไฉนมีความสุขและยังเสวยสุขอยู่อย่างสุขสบายตามความคิดและเห็นของเรา แบ่งออกได้หลายประเด็น หากมองในทางพุทธ ก็จะตีความหมายออกไปว่า คนผู้นั้น เมื่ออดีตชาติ อาจจะทำทานมาเยอะ มาชาตินี้จึงมาเสวยทานที่ได้เก็บสั่งสมเอาไว้ จึงอาจจะมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบายตามที่เรามองเห็น ในเมื่อเราเห็นแบบนั้น ไฉนเลยเราจึงไม่ทำตามอย่างที่เขาทำมาในอดีตชาติบ้างเล่า ไม่คิดทำได้แต่มองดูเขา เอาความอิจฉาเข้าไปครอบงำ โดยการนึกและคิดได้เท่านั้นหรือ หากจะมองในทางปฎิบัติโดยไม่มองในทางศาสนา ก็อาจจะเป็นว่า คนๆนั้นใช้ความอุตสาหะในงานการ และอาชีพที่ทำ จึงมีความเป็นอยู่สุขสบายขึ้น คือมองได้หลายมุมมอง อยู่ที่คนๆนั้นดำเนินชีวิตแบบไหน อย่างที่เคยบอกไว้ว่า การมองคนสักคนเพื่อเอามาวิพากษ์ หาใช่มองแค่ตาเห็นเท่านั้นแล้วเอามาสรุปว่า คนนั้นดี คนนี้เลว คนนั้นรวย คนนี้จน คนนั้นมีความสุข ตราบใดที่เรายังไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด ก็คงยังเอามาสรุปไม่ได้ คนๆนั้นอาจจะไม่ได้สุขอย่างที่เราเห็นก็เป็นได้ เพียงแต่อาจจะมีฐานะดีกว่าเรา มีบ้านหลังใหญ่ มีข้าวของ บริวารทรัพย์สินมากกว่าเรา ก็ตีความหมายว่ามีความสุขแล้ว ก็คงไม่แน่เสมอไป บางครั้ง ขอทานข้างถนนยังมีความสุขมากกว่าเศรษฐี1000ล้านซะด้วยซ้ำไป เมื่อขอทานเสร็จก็กลับบ้านนอนกับลูกกับเมีย ไม่ต้องมีอะไรมาให้ต้องคิดมากกมาย แต่เศรษฐีบางครั้งอาจจะไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะต้องคิดวางแผนการงานในธุรกิจที่ตัวเองทำ เพราะมีความห่วงในเรื่องการเป็นอยู่และทรัพย์สมบัติมากกว่าห่วงตัวเอง

    อย่าลืมว่า คนทุกคนล้วนเริ่มจาก 1 เมื่อดำเนินชีวิตอยู่จนกระทั่งวาระสุดท้ายก็จะกลับไป 1 อีกครั้ง วนกลับไปเหมือนเดิม เราเกิดมาลืมตาดูโลก เราไม่ได้มีอะไรติดตัวมาเลยสักอย่าง เมื่อโตพอสามารถดำเนินชีวิตกิจการงาน อาจจะมีฐานะร่ำรวย แต่สุดท้ายก็จะกลับไป 1 เหมือนเดิม คือไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยเช่นกัน

    มีญาติของผู้เขียนคนหนึ่ง ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ทำงานมาตลอดชีวิต มีสวนผลไม้หลายไร่ ตระหนี่ถี่เหนียวมาก จนมีฐานะค่อนข้างรวย ตามสายตาคนทั่วไป สุดท้ายเมื่อลูกๆโตจนมีครอบครัวก็แยกออกไปหมด แถมไม่ได้สนใจ ใส่ใจ ญาติคนนี้เลยทั้งๆที่เป็นพ่อแม่ตัวเอง จะสนใจหน่อยก็ตรงที่แวะเวียนมาถามว่าจะแบ่งที่ดินแบ่งสมบัติให้เพิ่มอีกเมื่อไหร่เท่านั้น เจ็บป่วยแทบตายก็ไม่มีลูกๆมาดูแล ทั้งๆที่มีลูกหลายคน จนปัจจุบันเมื่ออายุมากเข้า ก็ไม่คิดอยากได้อยากดี เข้าวัดฟังธรรม ลูกๆที่มีอยู่ก็หวังพึ่งพาไม่ได้สักคน มีแต่จะมาเอาเพิ่ม จึงดูได้ว่า การมีสมบัติมาก เมื่อถึงวาระสุดท้ายก็จะรู้เองว่า มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเสมอไป มันเป็นความสุขที่ตัวเราเองสมมุติขึ้นมาเองทั้งสิ้น มันเป็นสุขที่ไม่จีรังยั่งยืนตลอดไป

    การอยู่ในคนหมู่มาก คนยิ่งเยอะ ความสงบก็ลดน้อยลง การปฎิบัติธรรมก็ไม่ดีเท่าที่ควร ความวุ่นวายก็จะตามมา หากไม่รักษาศีลอย่างเคร่งครัด จะไม่มีเทวดาลงไปฟังการสวด ข้อติเตียนและรังเกียจมนุษย์ของเทวดาคือ เหม็นกลิ่นกายของมนุษย์จะไม่พยายามเข้าใกล้ หากว่าคนๆนั้นยังกินเนื้อสัตว์ทุกประเภท จะมีก็แต่เพียงวิญญาณร่อนเร่และโอปาติกะเท่านั้นที่เข้าใกล้ได้ จึงมีข้อแม้ง่ายๆ ตามที่เราได้เคยปฏิบัติมาคือหากต้องการสวดมนต์ให้เทวดาลงมาฟัง ต้องทานอาหารเจ.งดทานเนื้อสัตว์ทุกประเภท

    การบริจาคอวัยวะ เขาว่าได้กุศลนะ หากว่าคนๆนั้นมีร่างกายสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ในทางการแพทย์ยกย่องให้เป็นถึงระดับอาจารย์เลย กุศลที่ว่านี้คือ ภพใหม่จะมีร่างการสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยทั้งมวล ตลอดจนมีทรัพย์สมบัติ หาประมาณมิได้ ตามนี้ การบอกบุญหาใช่เป็นการบังคับหรือยุยงให้ทำ คนที่ทำต้องมีใจศรัทธาด้วย ผลบุญจึงเกิด หากทำโดยไร้จุดหมายไม่มีความศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส การจะได้บุญก็จะได้น้อย การบริจาคทานจึงอยู่ที่ใจ บริจาคไปแล้วมีความสุขในสิ่งที่กระทำลงไป นั่นคือการได้เข้าใกล้สวรรค์ แต่หากทำแล้วจิตใจหดหู่ ไม่ใส่ใจ จิตใจก็ไม่เป็นสุข ก็ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร การบริจาคทานคือการลดความตระหนี่ของตน ถือเป็นการลดกิเลศความอยาก หากว่าบอกแล้วไม่สนใจหรือใส่ใจ ก็ควรอยู่เฉยดีกว่า เมื่อถึงเวลาก็จะรู้ด้วยตนเอง

    บางทีการชวนใครก็ตาม ให้ทำบุญกับทางวัด เช่นชำระหนี้อะไรทั้งหลายทั้งปวง หนี้สาธารณะ หนี้ในปัจจัย หนี้กับทางวัดถือเป็นการอุปโลกน์เอาเอง บางครั้งต้องใช้วิจารณญานในการให้เหมือนกัน บางครั้งอาจจะจริงหรือเท็จ หรืออาจเป็นหนี้ส่วนบุคคล(สงฆ์) บทสรุปคือการให้ทานนั่นเอง
    การปฎิบัติสมาธิ ไม่ใช่การที่จะต้องนั่งหลับตา และหาที่สงบเท่านั้น คนที่มีความเข้าใจในแก่นแท้ของการปฎิบัติสมาธินั้น ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถแบบไหนก็สามารถสงบจิตใจในการเข้าสมาธิได้ การฝึกปฎิบัติบ่อยๆก็จะสามารถทำได้เอง ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ยืน นั่ง นอน หรือในทุกอิริยาบถที่เราปฎิบัติภารกิจประจำวัน การฝึกสมาธิคือการรู้เท่าทันสภาวะที่กระทำอยู่ เช่นเดินก็ให้กำหนดรู้ว่าเดิน ก้าวเท้าไหนก่อนหลัง ต้องออกแรงมากน้อยแค่ไหน จับสภาวะนั้นได้ในทุกอิริยาบถ จับสภาวะของลมหายใจเข้า-ออก และการไม่เอาจิตไปคิดฟุ้งซ่านออกนอกการควบคุมของใจเรา กำหนดกฎเกณฑ์ในความคิด ทำบ่อยๆก็จะเกิดความเคยชินและสามารถทำได้ง่าย

    ภควัณตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2011
  10. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เทพสักการะ

    ขึ้นชื่อว่าเทพ การกระทำในสิ่งต่างๆที่ไม่ถูกทำนองครองธรรมถือว่าผิด แม้จะรับปากว่าจะช่วยหรือจะบันดาลให้สมปรารถนาก็ตาม หากว่าไม่เป็นในสิ่งที่ถูกต้อง เหมือนกับไม่มีจรรยาบรรณ์ของเทพและเป็นการผิดศีล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เทพมีหลายระดับ มีตั้งแต่ระดับล่างถึงระดับบน การถือศีลกฎข้อบังคับต่างๆก็ต่างกัน เทพบางองค์ถือแค่ศีลแปดหรือศีลห้าก็มี อยู่ที่ว่ามีบุญวาสนาเก่ามาเอื้อ จึงได้เป็นเทพ แต่เทพพวกนี้ก็มีวันหมดบุญ เมื่อไหร่ที่หมดบุญก็ต้องลงมาเกิดในโลกมนุษย์ อาจจะเป็นสัตว์หรือคน อยู่ที่ผลกรรมที่เคยทำกันมาก่อน

    สิ่งที่เทพทำผิดกฎและผิดศีลมากที่สุด ส่วนมากจะเป็นผลพวงมาจากมนุษย์ที่พยายามร้องขอ/ทวงขอ/ติดสินบน และอะไรต่างๆนาๆ ขอในสิ่งที่เป็นไปได้ก็เสมอตัว แต่หากว่าขอในสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ ฝืนชะตาลิขิต ฝืนกฎแห่งกรรม สิ่งที่เทพประทานให้กลับกลายเป็นการผิดกฎสวรรค์ ผิดกฎชะตาชีวิต ผิดกฎแห่งกรรม และหากทำผิดก็เหมือนกับบั่นทอนระยะเวลาเสวยสุขของตัวเองให้น้อยลงไปด้วย บางองค์ถึงขนาดต้องจรรี ตกลงมาเกิดเพื่อชดใช้กรรมในโลกมนุษย์ก็มี ที่เขาเรียกว่า เทวดาตกสวรรค์

    ดังนั้นสิ่งที่ร้องขอ บางคราวอาจจะได้หรือไม่ได้ก็ไม่ใช่จะคิดว่า มาหลอกกินแล้วไม่ประทานให้ แต่มีสาเหตุว่า สิ่งที่ขอไม่สามารถให้ได้เพราะหากฝืนให้ก็จะผิดกฎดั่งที่บอก/ ไม่สามารถให้ได้เพราะบารมีไม่พอที่จะประทานให้/ ไม่สามารถให้ได้เพราะสิ่งที่ขอเกินกำลังที่จะให้/ ไม่สามารถให้ได้เพราะเป็นเทพชั้นต่ำ/ ไม่สามารถให้ได้เพราะมีเทพองค์อื่นคัดค้านหรือเจ้ากรรมนายเวรคัดค้าน
    ทั้งหลายทั้งมวลย่อมต้องมีลิมิตของการให้ ไม่ใช่ว่าเทพทุกๆองค์จะมีความสามารถประทานในสิ่งต่างๆที่ร้องขอได้ทั้งหมด จึงขอชี้แจงให้ได้รับรู้

    บางทีกลับกลายเป็นว่า สิ่งที่พยายามอุทิศให้ ติดสินบนให้หรือให้โดยหวังผลตอบแทน อาจกลายเป็นดาบ2คมไปเลยก็มี หากว่าเทพองค์นั้นไม่สามารถให้ได้ แต่คนให้พยายามทวงถามในสิ่งที่ตัวเองอยากได้หรือต้องการ แทนที่เทพจะรักษาเมตตาและคอยให้ในโอกาศที่เมื่อถึงเวลา กลับไม่ช่วยหรือไม่ให้ซะเลย เป็นแบบนี้ก็มีมาก

    ดังนั้นสิ่งที่เราทำบุญสิ่งที่เราให้สิ่ง ที่เราบริจาค ไม่อยากจะให้คิดว่า เพื่อจะหวังผลตอบแทน เพราะหากคิดแบบนั้น สิ่งที่ให้อาจจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แทนที่จะทำบุญ กลับกลายเป็นทำบาปแทน สิ่งที่คิด สิ่งที่ต้องการ อาจจะห่างไกลออกไปอีกโดยไม่รู้ตัว เพราะเทพบางองค์ มิจฉาทิฐธิยังไม่หมดไปจากใจทั้งหมด ยังมี รัก โลภ โกรธ หลงอยู่ในกมลสันดาลเหมือนเช่นเดียวกับคนทั่วไป เทพบางองค์รักษาศีล แต่ก็มีเทพบางองค์ที่ไม่รักษาศีล สิ่งที่ส่งให้มาจุติหรือเกิดเป็นเทพ มาจากผลบุญเก่าที่สร้างสมหรือสะสมไว้แต่ชาติที่ผ่านมา

    ภควัณตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2011
  11. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    สถานที่

     
    การสอนการฝึกปฎิบัติสมาธิภาวนากรรมฐาน ที่ไหนๆก็สอนได้แต่ถามว่าทำไมที่ๆเคยไปร่ำเรียน ที่ๆเคยไปฝึกการปฎิบัติจึงไม่ก้าวหน้า หรือว่าไปไม่ถึงไหน ทุกสิ่งล้วนมีต้นเหตุและปลายเหตุเสมอ ทั้งนี้ทั้งนั้นหลักใหญ่สำคัญคือ ความพร้อมของผู้ปฎิบัติที่จะเลือกปฎิบัติแบบไหน ยังไง ทุกที่จะสอนเหมือนๆหรือคล้ายๆกัน จุดหมายจุดเดียวกัน คือ ความหลุดพ้น การดับทุกข์ การสงบในกายและใจ

    ส่วนมากผู้ปฎิบัติที่เข้ามาปฎิบัติจะฝืนความรู้สึก จึงไม่สามารถก้าวล่วงเข้าไปได้ ที่บอกว่าฝืนความรู้สึกคือ กายปฎิบัติ แต่จิตไม่ได้ปฎิบัติตาม จิตฟุ้งซ่านทั้งเรื่องงาน เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว เรื่องภาระกิจประจำวัน เอาจิตไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนรัก ในสิ่งที่ตนปรารถนา และความอยาก ทั้งอยากได้ อยากมี อยากเป็น จนไม่สามารถเอาดวงจิตมาร้อยรวมเป็นหนึ่งเดียวได้

    คนที่มีพื้นดวงจิตที่ขวัดแขว่งรุนแรงแบบนี้ ต้องใช้ความพยายามและใช้พื้นความรู้ความเข้าใจค่อนข้างสูง ที่จะบังคับให้โอนอ่อนหรือคล้อยตาม ต้องปฎิบัติพื้นฐานก่อนคือ สมาธิการบังคับดวงจิตให้ได้เสียก่อน เฉกเช่น การบังคับม้าที่พยศ ไม่ยอมให้ขี่ดีๆ อาจจะใช้ทั้งกำลังกายและใจ เพื่อต้อนให้ม้านั้นจนมุมและยอมให้ขี่ ฉันใดฉันนั้น การควบคุมจิตก็เช่นเดียวกัน

    สมาธิที่นิ่งเฉยอยู่ชั่วขณะ อย่าพึ่งดีใจว่า ฝึกสำเร็จแล้ว เพราะไม่ใช่สมาธิที่ประสพผลสำเร็จเสมอไป เพราะจะกลับมาขวัดแขว่งอีกเมื่อไหร่ก็ได้ พึงสังวรว่า หากว่าเมื่อไหร่ที่คิดเข้าสมาธิโดยทันทีทันใด แล้วจิตไม่สามารถคล้อยตามได้หรือมีพลังจากสภาพแวดล้อมภายนอกเข้ามาภายในจิต ถือว่า ยังไม่ประสพผลสำเร็จ เพราะจิตพร้อมจะขวัดแขว่งออกไปได้ตลอดเวลา ยังไม่สามารถเรียกได้ว่า ใจพร้อม สมาธิพร้อม หรือเข้าข่ายเข้าไปถึงระดับญาน เพียงแต่อาจจะอยู่แถวๆปฐมสมาธิเท่านั้น ผู้ฝึกปฏิบัติจึงต้องหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอๆ

    การจะสอนคนๆหนึ่งให้ได้ญานหรือมีความพิเศษ จึงไม่สามารถทำได้ มันอยู่ที่ปัจจัยทั้งทางตรงและทางอ้อม อยู่ที่บุญวาสนาที่จะช่วยค้ำชู บางคนอาจจะไปได้เร็ว แต่บางคนอาจจะไปได้ช้า บางคนอาจจะไปไม่ได้เลย เหมือนการเรียน มีทั้งสอบผ่านและสอบไม่ผ่านและมีสอบตกซ้ำชั้น เฉกเช่นเดียวกัน เพราะพื้นฐานของแต่ละคนไม่เท่ากัน ไม่มีอาจารย์หรือศาสดาคนใด สามารถสอนให้คนๆหนึ่งมีฤทธิ์เดชได้ และแนวทางพุทธศาสนาไม่ให้ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ พุทธศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี สอนให้รู้จักการควบคุมอารมณ์เพื่อธุรกิจการงาน สอนให้เน้นในทางหลุดพ้น ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในกาย/ในตน ไม่ได้สอนให้มีความพิเศษทั้งหูและตาทิพย์ จึงบอกกล่าวให้ได้เข้าใจ สิ่งต่างๆเหล่านี้ จะมาเองเมื่อตัวเองปฎิบัติจนสามารถบรรลุได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็คงไม่ต้องมาถามกันไปกันมา ว่าสิ่งต่างๆที่ต้องการรับรู้รับทราบ มีจริง ไม่มีจริงอีก

    การเรียนสมถะกรรมฐานที่ถูกต้อง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีครูบาอาจารย์ หรือบุคคลที่สามารถดูแล ควบคุมตัวเราได้ หาใช่จะไปนั่งฝึกเอาเองตามแบบอย่างการฝึกสมาธิ ขอให้เข้าใจให้ถูกต้องด้วย มันมีรายละเอียดที่ต่างกัน การฝึกสมาธิคือการกำหนดลมหายใจเป็นเบื้องต้น แต่การเรียนกรรมฐานมันสูงกว่านั้น คือภาคต่อจาก การเจริญสมาธิ จึงต้องมีคนควบคุมดูแลและสอนในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะบางเรื่อง บางสิ่ง บางอย่าง ตัวผู้ฝึกเองจะไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ จึงต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะเป็นที่ปรึกษา เป็นแนวทางการปฏิบัติ


     
     
    การสวดมนต์

    การสวดมนต์ จริงๆแล้วเป็นอุบายเพื่อให้คนสวดมีสมาธิ ไม่ได้สวดเพื่อที่จะต้องการให้ใครมาฟังหรือสรรเสริญเยินยอว่า สวดได้ หรือเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งส่วนมากจะเข้าใจผิดคิดว่า เมื่อได้นั่งสวด ต้องได้กุศลเยอะแน่ๆ ความเป็นจริงนั้น หากคนสวด ไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา ก็เหมือนกับ นกแก้วนกขุนทองที่ท่องจำ ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสก็เฉกเช่นเดียวกัน

    ดังนั้น การที่เรานั่งสวด อาจจะไม่มีใครมาฟังเลย หากว่าคนๆนั้น ไม่มีสมาธิในการสวด เหมือนกับเรานั่งอ่านหนังสือนั่นเอง และคนที่สวดหากว่ามีสมาธิ ตั้งใจจริง มีศีลธรรม ลดละเลิกกิเลศได้หรือมีเจือจาง หากว่าสิ่งศักสิทธิ์หรือเทวดาผ่านมาได้ยินเข้า ก็อาจจะเข้ามาร่วมอนุโมทนา ในการสวดสาธยายยกย่องสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า หาใช่มานั่งฟังอย่างที่คิดไม่ หากว่าสามารถลดละเลิกกิเลศได้มาก พวกเทวดาฟ้าดินต่างก็จะยกย่องสรรเสริญแล้วบอกต่อๆกันไป ไม่ใช่สวดเพื่อให้เทวดามาฟัง เพราะเทวดาอย่างที่บอกไปแล้วว่า ไม่อยากเข้าใกล้มนุษย์มากนัก เพราะมีกลิ่นตัวแรง กลิ่นตัวในที่นี้คือ ชอบกินเนื้อสัตว์ ทำให้เกิดกลิ่นตัว ซึ่งเทวดาไม่ชอบ เพราะเทวดาจะกินแต่มังสะวิรัต คงจะเข้าใจความหมายนะ

    ส่วนคนกินเจบางคนศีลไม่ครบ ก็คงไม่มีเทวดามาฟังหรอกนะ อาจจะแวะเวียนผ่านมาเจอ แล้วก็ผ่านไป คือไม่เป็นที่น่าสนใจเท่าที่ควร ไม่ใช่จะเป็นทุกคนไป เปรียบเหมือนเราเดินผ่านคนๆหนึ่ง หากคนๆนั้นเป็นที่น่าสนใจเราก็อาจจะหยุดดู หยุดฟัง ว่าคนๆนั้นทำสิ่งใด แต่หากว่า คนๆนั้นไม่เป็นที่น่าสนใจ เราก็คงเดินผ่านเลยไป เฉกเช่นเดียวกันนั่นเอง

    สิ่งที่สัมผัส บางคราวอาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ เทวดามีหลายชนชั้น หลายภพภูมิ อย่างพระภูมิเจ้าที่ นางไม้ อะไรพวกนี้ ก็นับว่าเป็นเทวดาเหมือนกัน แต่อาจจะอยู่ภพภูมิที่ต่ำกว่า แต่ก็มีอิทธฤทธิที่จะสามารถทำได้หลายๆอย่าง เพื่อสื่อให้ได้รับรู้รับทราบ หรือมาอนุโมทนาบุญ ประมาณนี้
    เมื่อมีสมาธิขั้นสูง เขาเรียกว่า ญานสมาบัติ พวกฤาษีจะชอบเข้าบ่อย แต่ไม่ให้ยึดติดในญาน เพราะเมื่อได้ญานระดับนี้แล้วจะวางเฉย ไม่รู้ร้อนหนาว ไม่รู้หิว ไม่รู้โลกภายนอก และไม่รับรู้อะไรเลย ทำให้ไม่เกิดปัญญาญาน แต่สามารถเข้าไปท่องเที่ยวในภพภูมิอื่นๆได้ บางคนเพลิดเพลินจนลืมกายหยาบไปเลย กว่าจะกลับมาอีกที กายหยาบก็แข็งทื่อ หมดลมไปแล้ว ไม่สามารถอาศัยร่างกายเดิมได้

    เหมือนพวกที่อยู่ตามถ้ำ ตามป่า ตามเขา ที่เข้าญานสมาบัติจนเสียชีวิตไปเลย คือ ไม่กลับเข้าร่างอีกเลย ทิ้งร่างกายหยาบไปโดยถาวรณ์ แต่พวกนี้หาใช่จะสำเร็จมรรคผลนิพพานไม่ เพียงแต่ไปเสวยสุขอยู่ในวิมานชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหมดบุญก็จะกลับลงมาเกิดอีก เพราะยังไม่หมดอาสวะกิเลศ ดังนั้นบุคคลหรืออารยะบุคคลที่สามารถเข้าถึงญานสมาบัติได้ ก็ใช่ว่าจะเข้าถึงมรรคผลนิพพานไม่ เพียงแต่สามารถหยุดกิเลศได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

    ภควัณตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2011
  12. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    หากคราวหน้ามีโอกาศ จะมาพูดกันถึงเรื่องนรก-สวรรค์ ว่าเป็นอย่างไร มีกี่ชั้นกี่ขั้น เทพองค์ไหนอยู่ชั้นอะไร ทำอย่างไรจึงจะสามารถขึ้นไปสู่นรก-สวรรค์ได้ หรือปฏิบัติตัวอย่างไร จึงจะสามารถขึ้นไปเยี่ยมชมได้ชั่วคราว ในนรกสวรรค์มีอะไรให้ดูบ้าง ที่บอกว่าสัตว์หิมพาน ตัวเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง แล้วมีความเป็นอยู่อย่างไร แล้วแดนหิมพานอยู่ตรงไหน กินรี กินนร เหมือนคนหรือไม่ต่างกันอย่างไร

    กริ่นนำ


    ก่อนจะเริ่มเขียนเรื่องนรก-สวรรค์ต่อ เรา(ผู้เขียน)ขอย้อนเล่าประสพการณ์ ที่ได้เคยพบเจอมา ก่อนหน้านี้ก่อน เพื่อประมวลผลหรือการเชื่อมต่อกับการที่จะเล่าเรื่องอื่นๆต่อไป ซึ่งจากประสพการณ์ที่ได้เคยเจอะเจอมา เป็นเรื่องยากที่จะสรุปหรืออธิบาย ซึ่งตัวผู้เขียนเอง บางครั้งก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากเหตุการ์ที่พบเจอกับตัว และหาคำอธิบายไม่ได้ ในยุคดิจิตอลแบบนี้ อาจจะเป็นเรื่องของปัจจัตตัง คือรับรู้ได้ด้วยตัวบุคคลเอง ไม่สามารถอธิบายได้ ไม่มีข้อพิสูจน์ หากไม่ได้ประสพหรือพบเห็นเอง

    บางครั้งตัวผู้เขียนเองก็เก็บเอามาคิดซ้ำไปซ้ำมาในภายหลังอยู่บ่อยๆ โดยพยายามตั้งการสันนิษฐานต่างๆนาๆว่า เท่าที่พบเจอมาเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ หรือว่าตัวเราเสียสติหรือเพ้อเจ้อไปหรือเปล่า ซึ่งต้องยอมรับว่า ตัวผู้เขียนเอง เป็นคนที่ไม่ค่อยจะเชื่อ เรื่องที่ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ หากไม่ประสพด้วยตัวเองแล้ว ก็คงเป็นแค่นิยาย หรือการเล่าบอกต่อๆกันมาเท่านั้นเอง เพราะหาบทสรุปไม่ได้ หรือ พิสูจน์ไม่ได้

    หรืออาจจะเป็นความสามารถพิเศษ หรือจิตสัมผัส ของตัวผู้เขียนเอง มากกว่าคนอื่น ก็อาจเป็นไปได้ จึงสัมผัสหรือพบเจอในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้สัมผัสหรือพบเจอบ่อยๆ ได้ในระดับหนึ่งหรืออาจจะด้วยตัวผู้เขียนเองปฏิบัติกรรมฐานอยู่เป็นเนืองๆ จึงสามารถมีจิตสัมผัสในอีกมิติหนึ่งก็อาจจะเป็นได้ เพราะเท่าที่ฝึกปฏิบัติมาถ้านับรวมๆกันแล้วก็หลายปีอยู่ ทำเท่าที่มีโอกาศทำได้ แต่คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่านานแค่ไหน

    ภควัณตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2011
  13. ยัย fame

    ยัย fame เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2011
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +104
    รออ่าน...ด้วยคนนะ...ได้ความรู้ดี
     
  14. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เพื่อนๆญาติธรรม

    เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ขอความคิดเห็น เสนอแนะหน่อยก็ดีนะ จะติหรือชม ก็จะรับไว้พิจารณาว่าจะเขียนเล่าต่อ หรือหยุดเพียงแค่นี้ดี

    สิ่งที่ลงไปผู้เขียนมิใช่พหูสูตร และไม่ได้อวดเก่งว่าตนเองเป็นผู้รอบรู้ไปหมดทุกเรื่อง ในสถานที่แห่งเวปนี้ มีคนเก่งกว่าผู้เขียนเยอะ จากที่ได้ติดตามอ่านเรื่องของคนอื่นๆมาเยอะ เช่นของพรานป่า และอีกหลายๆท่านที่มิได้เอ่ยนาม ข้อมูลมีเยอะจริงๆ แล้วก็อีกท่านหนึ่งจำชื่อไม่ได้ ซึ่งหายไปเลย ที่พยายามหาหลักฐานอ้างอิงว่า พุทธศาสนากำเนิดในไทย ในแคว้นสุวรรณภูมิ ก็ได้ติดตามอ่านอยู่บ่อยๆ สงสัยกำลังหาข้อมูลอยู่กระมัง ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆท่านแล้วกันนะ

    บางสิ่งบางอย่างต้องการความสงบ หรือจบสิ้นไป แต่มนุษย์เราเกิดมากับความอยาก อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากมี จนบางสิ่งอดรนทนไม่ได้ ก็ต้องปรากฎออกมาให้ได้รู้ ให้ได้เห็น แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตาม เพื่ออะไร......เพื่อให้มนุษย์อย่างเราๆ ให้เกิดความศรัทธานั่นเอง

    ภควัณตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2011
  15. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    สัมผัสคนเมืองลับแล

    เมื่อประมาณต้นปี 50 ผู้เขียนได้มีโอกาศไปกับภรรยาที่วัดๆหนึ่ง วัดนี้ตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอแกลง มาทางสายบ้านบึง-แกลงประมาณ6-7 กม. วัดนี้ตั้งอยู่บนเขาค่อนข้างสูง ภายในบริเวณวัด นอกจากมีศาลา กุฏิสงฆ์แล้ว บนยอดเขายังมีรอยพระพุทธบาทจำลองด้วย

    ซึ่งต้องเดินตามบันไดขึ้นเขา ห่างจากกุฏิ และศาลาธรรม ขึ้นไปอีกประมาณ 199 ขั้น ซึ่งหากบุคคลทั่วไป ที่ไม่ชินกับการเดินขึ้นเขาแล้ว คงต้องพักเหนื่อยเป็นระยะๆ เพราะบันไดจะมีความชันเป็นบางช่วง สองข้างทางเป็นป่าค่อนข้างสมบูรณ์ ศาลาที่ครอบรอยพระพุทธบาท มีสภาพค่อนข้างชำรุด(ขณะผู้เขียนไป)คาดว่าสร้างมานานพอสมควร รอยพระพุทธบาทชัดเจนดี มีปิดทองประปราย
    สาเหตุที่ไปวัดนี้เพราะ มีพระที่ตัวอำเภอแกลง ที่รู้จักและสนิทพอสมควรกับภรรยาผู้เขียน(ภรรยาชอบไปวัดทั่วๆไป ) ได้ย้ายจากตัวอำเภอ มาประจำรับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดแห่งนี้ เมื่อทราบข่าว ผู้เขียนกับภรรยา จึงได้ชักชวนกันไปเพื่อเยี่ยมเยียน ตามปกติวิสัยของการสนิทสนมคุ้นเคยกันและแสดงความยินดี

    วัดแห่งนี้ บริเวณศาลา และกุฏิ อยู่สูงกว่าบริเวณที่จอดรถ ซึ่งหากขับรถขึ้นไป ต้องไปจอดอยู่ด้านล่างอีกชั้นหนึ่ง แล้วก็เดินตามทางไปขึ้นบันไดอีกชั้นเพื่อไปสู่ศาลาและกุฏิตามลำดับ ซึ่งจากระยะที่จอดรถกับศาลาและกุฏิก็ไกลพอประมาณ(200-300เมตร) มีพระจำพรรษาอยู่เพียง 2 รูป คือพระ1 รูป กับเจ้าอาวาส1รูป(ที่ย้ายไป)

    เมื่อไปถึงครั้งแรก สิ่งที่สัมผัสได้คือ ความร่มเย็นมากกว่าปกติ อาจจะเป็นเพราะอาณาบริเวณวัดแห่งนี้ มีต้นไม้สูงๆปกคลุมอยู่ค่อนข้างเยอะ จึงทำให้บรรยากาศเย็นสบาย ไม่ร้อน แม้จะอยู่บนที่สูง

    วันนั้นเป็นวันธรรมดาที่ผู้เขียนไป บริเวณวัดจึงเงียบสงบ ไม่มีญาติโยมหรือคนอื่นๆมา รอบๆบริเวณจึงมีแต่เสียงจิ้งหรีดและจั๊กจั่นร้องดังระงมไปทั่วบริเวณวัด ประกอบกับมีต้นไม้หนาแน่น ทำให้ซึมซาบถึงความเย็นและความสงบ สถานที่แบบนี้น่าจะเรียกได้ว่า เป็นที่สัปปายะ คือ สถานที่สงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ห่างไกลจากสิ่งยั่วยุทั้งมวลทั้งปวง ผู้ปฏิบัติธรรมจึงต้องพยายามเสาะแสวงหาในสถานที่แบบนี้ เพื่อเป็นแรงส่งให้การปฏิบัติธรรม พบกับความสงบได้โดยเร็วกว่าปกติ
    เมื่อไปถึงผู้เขียนและภรรยาก็ได้ขึ้นไปนมัสการเจ้าอาวาส(พระที่ย้ายมารับตำแหน่งตามที่บอก) ได้พูดคุยกันตามปกติ ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบเป็นเวลานานพอสมควร ผู้เขียนเห็นว่าภรรยากำลังคุยเพลินเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาธรรมกับท่านเจ้าอาวาส(สมัยก่อน ก่อนที่จะมารับตำแหน่ง เคยเดินธุดงค์มาก่อน)เพลินอยู่ ผู้เขียนจึงขอตัวกลับลงมานอนพักที่รถ สตาร์ทเครื่อง เปิดแอร์ เปิดเพลงฟัง คิดว่าอีกสักครู่ ภรรยาคงจะกลับลงมาเองเมื่อคุยเสร็จ(เหตุที่ขอตัวกลับมาก่อนเพราะ รู้สึกง่วงนอน ออกกะดึกมา) ครั้งแรกคิดว่านอนเล่นๆคงจะไม่หลับ เพราะเป็นคนหลับยาก ยิ่งต่างสถานที่ด้วย ยิ่งไม่หลับ แต่นอนไปนอนมา หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัว มาตกใจตื่นอีกครั้งเมื่อ........


    ปกติรถของผู้เขียน จะเป็นรถกระบะ4ประตู4W ด้านกระบะติดหลังคาแคร์รี่บอย ติดกันชนหน้า-หลังครบ มาตกใจตื่นอีกครั้งเมื่อรถสะเทือนทั้งคัน ทั้งซีกซ้ายซีกขวาหน้าหลัง เอียงวูบวาบ และโยกซ้ายขวากระเด้งกระดอน ลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เห็นเมื่อมองออกไปภายนอกโกรธจนหูชาคือ ฝากระโปรงหน้า มีเด็ก2-3 คน อายุราว3-4ขวบ กำลังเดินเล่นอยู่บนฝากระโปรง ส่วนด้านซ้ายมือมีอีก2คนกำลังกระโดดเย่อรถบนบันไดด้านซ้าย เท่านั้นยังไม่พอ อีก2คน กำลังกระโดดเย่อรถบนบันไดข้างขวา ทั้งหมดอายุไล่เลี่ยกัน ด้วยความโมโหผู้เขียนเลยเปิดประตูออกไปยืนข้างๆรถแล้วรีบตะโกนเสียงดังว่า ไปๆออกไป รถกูพังหมดพอดี มาจากไหนกันวะเนี่ย

    ทั้งหมดหยุดเล่น ยืนมองเงียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้เขียนลองมองและสำรวจความเสียหายคร่าวๆ พบว่า บนฝากระโปรงมีแต่รอยเท้าเด็กเต็มไปหมด และเหมือนจะมีบุบเป็นรอยบุ๋มด้วย กวาดสายตามองรอบๆเพื่อหาผู้ใหญ่ เพราะในความคิดของผู้เขียนคิดว่า น่าจะมีพ่อแม่เด็กที่มาวัดอยู่บริเวณนี้ แต่ไม่มี และก็พึ่งสังเกตุว่า เด็กพวกนี้ทั้งหมดไว้ผมจุกบนหัว และมีบ้างที่ไว้ผมถักเปีย นุ่งโจงกระเบนผ้าดอกลายไทย บางคนใส่เสื้อขาว แต่บางคนไม่ใส่ ตามความคิดก็คือ เด็กพวกนี้อาจจะไปแสดงตามงานที่ไหนสักแห่งแล้วแวะมาเที่ยวที่วัด เหมือนกับงานวันเด็กที่ให้เด็กแต่งตัวแล้วพาไปแสดงตามงาน

    ต้องขอโทษคุณพี่ แทนเด็กๆด้วยค่ะ เด็กๆชอบรถคุณพี่เป็นพิเศษ เลยเล่นกันเพลินไปหน่อยค่ะเล่นเอาผู้เขียนขณะนั้นใจหายวาบเลย อยู่ๆโผล่มาจากไหน มาพูดอยู่ข้างหลังพอดี เท่าที่หันไปดู เป็นผู้หญิงสาว อายุราวๆ14-15 ปี ใส่ชุดสไบเฉียง สีเขียวสด มีสร้อยข้อมือสีเงินเป็นพวง ที่คอแขวนสร้อยประดับเป็นพวงสีเงินเช่นกัน และไม่ใช่มีแค่คนเดียว มีคนแก่ถือไม้เท้าอีก2-3คน แต่ทั้งหมดเป็นผู้หญิงไม่มีผู้ชาย ทั้งหมดแต่งตัวคล้ายกัน เหมือนกับจะไปแสดงที่ไหนสักแห่ง

    ในขณะนั้นผู้เขียนยังรู้สึกโกรธไม่หาย จากที่เด็กเล่นรถ จึงตอบไปว่า ขอโทษได้ไง เดี๋ยวรถบุบขึ้นมาจะให้ใครรับผิดชอบ ดูแลเด็กกันยังไงคนผู้หญิงที่พูดเมื่อครู่จึงตอบว่า รับรองค่ะคุณพี่ หากรถคุณพี่บุบตรงไหน เราจะชดใช้และซ่อมให้ค่ะผู้เขียน จะซ่อมยังไง แล้วจะไปตามตัวได้ที่ไหนกันผู้หญิง รับรองค่ะคุณพี่ เมื่อคุณพี่กลับไป รับรองว่าจะตามไปชดใช้ให้ถึงที่บ้านเลยค่ะในใจผู้เขียนขณะนั้นคิดว่า ยังไงเสียก็ช่างวะ นิดหน่อย ถือว่าเราหลับเพลิน ไม่ดูเอง อีกอย่างหากเสียเยอะ(บุบ)ก็เข้าเครมประกัน ก็แล้วกัน

    ทั้งหมดเมื่อพูดจบก็พากันยกมือไหว้ลา ทั้งเด็กทั้งผู้หญิงทั้งคนแก่ เล่นเอาตัวผู้เขียนรีบยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน ทั้งหมดพากันเดินไปยังท้ายรถทีละคนๆจนหมด(ท้ายรถผู้เขียนติดหลังคาแครี่บอยตามที่บอก จึงมองไม่เห็นว่าเดินไปทางไหน) ผู้เขียนสูดลมหายใจ 2-3 นาที พยายามมองดูฝากระโปรงหน้ารถ เพื่อสำรวจความเสียหาย แล้วเดินไปท้ายรถเพื่อหวังจะเดินไปตามภรรยา เมื่อมาถึงท้ายรถ สิ่งที่พบคือความว่างเปล่า มองซ้าย มองขวา ชะโงกดูใต้ท้องรถ ..........................

    ไม่มี คน10กว่าคนเมื่อครู่ หายไปไหนหมด จะว่าเดินเร็วก็คงจะเกินไป เพราะแค่เวลา 2-3 นาที จะเดินไปได้ไกลแค่ไหนกัน และไม่ใช่มีแค่คนหรือสองคน นี่10กว่าคน จะว่าวิ่งหนีไป ก็เกินไป เพราะเห็นอยู่ว่า มีคนแก่รวมอยู่ด้วย ยังไงก็ต้องมองเห็นคนหลังๆหรือคนสุดท้ายบ้าง และบริเวณที่จอดรถก็ไม่ได้เป็นป่ารกชัดซะที่ไหน ถึงจะมีต้นไม้ใหญ่ๆขึ้นอยู่ แต่พื้นก็เตียนโล่งมองไปได้ไกลพอสมควร

    ขนบนตัวพลันพร้อมใจกันลุกทั้งหมด ความหนาวยะเยือกเข้าจับหัวใจ เมื่อสักครู่เราคุยกับใคร แล้วคนพวกนี้ไปไหน คิดดังนี้แล้ว พลันสองเท้ารีบเดินอย่างเร็วขึ้นไปศาลาและกุฏิที่ภรรยาคุยอยู่กับเจ้าอาวาสทันที

    เมื่อไปถึงจึงรีบยกมือไหว้เจ้าอาวาส แล้วบอกลาเพื่อตัดบท ซึ่งมองดูสีหน้าภรรยาแล้วยังไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ หลวงพ่อ(เจ้าอาวาส) จึงยิ้มๆเหมือนกับจะรับรู้ว่าตัวผู้เขียนไปประสพพบเจอกับอะไรมา (หลวงพ่อหรือเจ้าอาวาสรูปนี้ ก่อนที่จะมารับตำแหน่งที่นี่เป็นพระกรรมฐาน เดินธุดงค์มาก่อน ตัวผู้เขียนและภรรยาจึงมีความศรัทธาค่อนข้างมาก และเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานตามที่ต่างๆมาพอสมควร) จึงกล่าวกับภรรยาผู้เขียนว่า

    กลับได้แล้วโยมผู้หญิง โยมผู้ชายคงอยากจะพักผ่อนแล้วละ

    พอพูดจบท่านก็ยิ้มๆ ภรรยาของผู้เขียนจึงต้องกราบลาโดยไม่ค่อยเต็มใจนัก เรื่องนี้มาทราบภายหลัง หลังจากผู้เขียนไปวัดนี้อีก2-3ครั้งว่า ท่านเจ้าอาวาสทราบดี และกล่าวกับผู้เขียนว่า

    การทำดีนั้นไม่ต้องรอให้คนมาชม ตัวเราเอง ทำดี คิดดี ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ถึงคนจะไม่เห็น แต่เทวดานางฟ้าหรืออีกมิติหนึ่งก็จะชมก็จะเห็นเอง การทำดี จึงไม่ต้องมารอให้คนมาชมก่อน การพบเจอหรือเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เพราะ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเหมือนกับการเปิดทางให้โยมได้รับรู้หรือสัมผัสในโลกอีกมิติหนึ่ง ว่ามีจริง ไม่ได้เป็นสิ่งสมมุติขึ้นแต่ประการใด เพื่อให้การปฏิบัติธรรมแล้วมีผลตามมาในทางที่ดี ก็จงหมั่นศึกษาและเจริญธรรมต่อๆไป

    ผู้เขียน แล้วสิ่งที่ผมเห็นล่ะหลวงพ่อ

    สิ่งที่โยมเห็นนั้น เหมือนกับมาปรากฏให้โยมได้รับรู้ว่า ยังมีสิ่งที่โยมยังไม่เห็นไม่รับรู้ ยังมีอีกมากนะและเหมือนเป็นการบอกโยมว่า สิ่งที่โยมเห็นนั้น ยังมีอีกมิติหนึ่งที่ซ่อนอยู่ ซึ่งคนทั่วๆไปอาจจะไม่เคยเห็นหรือสัมผัสได้ พูดง่ายๆก็คือ มาปรากฏกายให้โยมได้เห็นนั่นเอง

    เรื่องคงยังไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะหลังจากผู้เขียนขับรถกลับมาถึงบ้าน ก็เข้าห้องนอนทันที เพราะรู้สึกง่วงมาก หลังจากหลับไปจนถึงประมาณช่วงเย็น(4-5โมงเย็น) ก็มีเสียงโทรศัพย์ดังปลุกให้ตื่น ผู้เขียนลุกออกจากที่นอนเพื่อรับโทรศัพย์ เสียงตามสายมา

    เฮ้ย.....ทำอะไรอยู่ โทรตั้งนานไม่ยอมรับสายเป็นเสียงพี่สาวผู้เขียนเอง
    ออกกะมา หลับว่ะผู้เขียนตอบไป
    นี่กูโทรมาจากสิงคโปร์นะ จะกลับวันนี้ มึงมีตังส์ใช้หรือเปล่า มาเที่ยวนี้ได้กำไรหลายบาทว่ะ เดี๋ยวกูกลับไปจะโอนเงินให้นะ พรุ่งนี้สายๆลองไปกดดู

    ผู้เขียนก็รับคำว่า เออ เออ แล้วก็วางสาย
    พี่สาวผู้เขียน ช่วงขณะนั้นแกบินไปสิงคโปร์บ่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องค้าน้ำมันหรืออะไรสักอย่างนี่แหละผู้เขียนก็ไม่ได้สนใจกับอาชีพที่แกทำมากนัก รับรู้แต่เพียงคร่าวๆว่านอกจากเรื่องค้าขายน้ำมันแล้ว แกยังมีอาชีพเป็นนายหน้า ค้าที่ดินอีกด้วย ซึ่งแต่ละครั้งก็ได้เงินมากโขอยู่ บ่อยครั้งที่แกชวนให้ไปทำ(นายหน้า)กับแก แต่ผู้เขียนก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจมากนัก เพราะไม่ค่อยถนัดกับอาชีพนี้สักเท่าไหร่
    สายวันรุ่งขึ้น ผู้เขียนลองไปกดตังส์ดู พบว่าพี่สาวโอนเงินให้จริงๆ20000บาท กลายเป็นว่าเงินจำนวนนี้ อดทำให้คิดย้อนกลับไปถึงเรื่องราวเมื่อวานว่า มันเป็นไปได้ยังไง หากคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องที่ประจบกันพอดี มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ หรือพอดิบพอดีขนาดนั้นนี่นา

    เรื่องดังกล่าวนี้ จึงเป็นสิ่งที่บอกตั้งแต่ต้นว่า สรุปไม่ได้ ไม่สามารถอธิบายให้มันเกี่ยวพันกันได้ และไม่อยากบอกหรืออธิบายให้ใครได้ฟัง ได้แต่เก็บไว้ในใจตลอดมาจวบจนปัจจุบัน


    …............................ภควันตัง.....................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2011
  16. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    มาติดตามอ่านครับ :cool:

    ถ้าทำย่อหน้า หรือเว้นบรรทัด จะทำให้อ่านง่ายขึ้นครับ
     
  17. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    กำลังพยายามศึกษาเรื่องการโพสครับ แบบว่ามือใหม่หัดขับครับ ไม่เคยไปโพสลงที่ไหนเลย ที่นี่ที่แรกครับ พิมพ์กันแบบรวดเร็วเลยครับ
    จะพยายามแก้ไขครับ ขอบคุณมากครับที่ติชมมา
     
  18. engporn

    engporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +796
    ขออนุโมทนาบุญกับ จขกท ด้วยนะคะ เเละขออนุญาตนำไปเผยเเพร่ให้ผู้ที่กำลังเริ่มปฏิบัติ เพราะให้ความกระจ่างในหลายประเด็นเเละคนทั่วไปก็ยังมีความเข้าใจไม่ถูกต้องค่ะ
     
  19. king938

    king938 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +1,103
    สุดยอด อ่านแล้วเพลิน ลึกซึ้งชวนให้ติดตาม ขออีกครับ

    กราบอนุโมทนาบุญกับธรรมดีๆด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  20. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    สามารถกดแก้ไขกระทู้ที่โพสไปก่อนหน้านี้ได้ครับ
    อยากอ่านอีกรอบ เพราะก่อนหน้านี้อ่านผ่านๆครับ
    เพราะอ่านยาก มันปวดตาครับ อิอิ :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...