ข้อเขียนที่เก็บไว้ส่วนตัว แต่อยากให้อ่านกัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย tidti2005, 25 สิงหาคม 2011.

  1. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ***เข้าสู่วันที่เจ็ด จากการมาบวชปฏิบัติธรรมที่นี่ วันนี้จึงเป็นวันสุดท้ายที่ผู้เขียนจะได้อยู่ปฏิบัติธรรมที่นี่ วันนี้จึงไม่ขอขึ้นไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิบนเขาเหมือนที่ผ่านมา ใช้เวลาแทบทั้งวันหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ช่วยกันกับพวกที่มาด้วยกัน ปัด กวาด เช็ด ถู บริเวณวัด เพื่อให้เป็นประโยชน์กับทางวัดบ้างไม่มากก็น้อย

    ***ดีกว่าที่มาอาศัยอยู่แล้วไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับทางวัดเลย ผู้เขียนเคยเห็นบางวัดมีผู้คนไปถือศีลบวช3วัน 5วัน 7วันมากมายหลายคน วันๆได้แต่ปฏิบัตินั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิ กิน แล้วก็นอน ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับทางวัดบ้างเลย เช่นปัด กวาด เช็ด ถูบริเวณวัด ล้างห้องน้ำ ห้องส้วม เมื่อถึงกำหนดระยะเวลา ก็ขอลาศีลกลับออกไป

    ***เหมือนกับมาเปลี่ยนสถานที่พักผ่อนหลับนอนแค่นั้น ทางวัดไม่ได้สิ่งตอบแทนบ้างในการเข้ามาปฏิบัติธรรมเลย ทั้งๆที่สิ่งตอบแทนนั้น ไม่ต้องใช้เงินหรือทรัพย์สิ่งของเสมอไป เพียงแต่ใช้สามัญสำนึก จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเท่านั้น

    ***ช่วงค่ำท่านอาจารย์เจ้าอาวาสได้เรียกพระทั้งหมดที่มีอยู่ให้มาสวดมนต์เย็นร่วมกัน จากที่ผ่านมาจะมีเพียงแค่1-2รูปที่ลงมาสวดมนต์เย็นร่วม ก่อนจะแยกย้ายขึ้นไปปฏิบัติธรรมด้านบนเขา นับว่าพระที่อยู่ที่นี่ ปฏิบัติธรรมขั้นอุกฤษฏวัตร คือการปฏิบัติอย่างเข้มงวด ไม่มีการหลับการนอนทั้งวันทั้งคืน วันคืนแทบหาตัวไม่เจอ จะเจอพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้งในช่วงเช้าหรือช่วงออกบินฑบาตร เสร็จจากฉันเช้าแล้วก็จะแยกย้ายไปปฏิบัติตามถ้ำต่างๆ จึงพบเจอตัวยาก

    ***การที่ท่านเจ้าอาวาสเรียกพระทุกรูปที่มีอยู่มาร่วมสวดมนต์เย็นด้วยกันในครั้งนี้ เหมือนเป็นการให้ศีลให้พรก่อนที่โยมที่มาปฏิบัติธรรมจะกลับออกไป หรือไม่ได้เจอหน้าค่าตากันอีก และเป็นการสนธนาธรรม ช่วงค่ำนี้จึงมีพระรูปอื่นๆที่ผ่านมาไม่ค่อยได้เห็นมาร่วมทำวัตรเย็นร่วมกัน5-6รูปตามที่มีจำพรรษาหรือมาปฏิบัติอยู่ที่นี่

    ***หลังจากสวดมนต์เย็นและได้พูดคุยทักทายกันสมควรแก่เวลาแล้ว ล่วงเลยมาประมาณ21.00น.หรือประมาณ3ทุ่ม ท่านอาจารย์จึงกล่าวทิ้งท้ายว่า

    ***“อาตมารู้สึกยินดีที่มีญาติโยมสละเวลามาร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกัน อาตมาไม่ชอบสะสมวัตถุ เลยไม่มีสิ่งใดจะมอบให้ไว้เป็นกำลังใจ มีแต่ด้ายสายสิญจน์จะให้ไว้เป็นที่ระลึกก็แล้วกันนะ”

    ***กล่าวจบ ท่านอาจารย์ก็คลี่สายสิญจน์ที่เป็นก้อนออก คลี่ออกพอประมาณ แล้วดึงให้ขาดออกจากกัน แล้วนำมากำไว้ในมือ สายตาเพ่งไปที่มือที่กำสายสิญจน์นั้น ท่องมนต์คาถากำกับสักครู่จึงแบมือออก แล้วเรียกให้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมเข้าไปผูกที่ข้อมือให้เอง ทีละคนๆจนครบหมดทุกคน

    ***เสร็จแล้วจึงกล่าวต่อว่า

    ***“เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยลาศีลนะ คืนนี้โยมคนไหนอยากจะพักผ่อนก็ออกไปพักผ่อนตามสบายนะ โยมคนไหนอยากจะนั่งสมาธิต่อที่นี่ก็นั่งต่อได้เลย คืนนี้อาตมาจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนสักระยะหนึ่ง ก่อนจะขึ้นไปบนถ้ำ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าโยมที่ไปพักผ่อนได้เจอกันอีกรอบหนึ่ง”

    ***ทุกคนต่างแยกย้ายขยับที่ทาง บางคนก็กราบลาพระแล้วพากันเดินออกไปพักผ่อนยังศาลาใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างจากโพรงถ้ำด้านล่างที่ทำวัตรสวดมนต์เมื่อสักครู่ไม่ไกลมาก สามารถมองเห็นหลังคาศาลาอยู่ไม่ไกล แต่ผู้เขียนสมัครใจขอนั่งสมาธิต่ออีกสักพักเพราะยังรู้สึกไม่ง่วงมากนัก
    โพรงถ้ำด้านล่างนั้น ตามที่ผู้เขียนเคยได้อธิบายไว้ในตอนแรกมีลักษณะคือ คล้ายอุโมงค์ มีน้ำไหลผ่านตลอดแนว สร้างเป็นแผ่นกระดานยกสูงขึ้นเหนือน้ำสูงประมาณ2เมตร กว้างประมาณ4-5เมตร ยาวประมาณเกือบๆ10เมตร จากหัวสุดของอุโมงค์จนถึงปลายสุดจุดที่ทำพื้นยกสูงเหนือน้ำไว้สำหรับสวดมนต์เช้าเย็นหรือที่สำหรับพระนั่งฉันยาวประมาณ20กว่าเมตร

    ***โพรงถ้ำนี้ผู้เขียนเคยเดินสำรวจตั้งแต่มาวันแรก เดินไปจนสุดโพรงด้านบน พบว่าจุดที่น้ำไหลออกมาเป็นซอกหินที่ไม่สามารถมุดเข้าไปดูได้เพราะทั้งแคบและลึกพอสมควร ผู้เขียนเคยสอบถามพระที่อยู่ที่นี่ว่า น้ำมันไหลออกมาจากไหน ไหลมาจากบนเขาหรือเปล่าหรือไหลมาจากข้างๆเขา

    ***พระท่านเล่าว่า ตอนมาอยู่(จำพรรษา)ใหม่ๆ มีชาวบ้านแถวนั้นบอกว่า น้ำที่ไหลออกมาเพราะด้านในซอกหินนั้นมีบ่อน้ำผุด ผุดขึ้นมาตลอดเวลาแม้แต่ช่วงหน้าแล้ง ก็ไม่มีแห้ง ตาน้ำ(ต้นน้ำ)น่าจะมาจากด้านในภูเขา ชาวบ้านเชื่อกันว่าน้ำผุดขึ้นมาจากวังบาดาลใต้เขาลูกนี้ และไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปดูได้ เพราะซอกหินทับถมกันแคบและลึก ผู้เขียนถึงกับทึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของน้ำ

    ***พื้นกระดานที่ทำขึ้นสามารถจุคนขึ้นไปนั่งได้หลายสิบคนมีน้ำไหลผ่านด้านล่างออกไปสู่ที่โล่งด้านหน้าวัดและไหลออกไปตามชายเขา
    บนพื้นสร้างเป็นแท่นเพื่อไว้วางพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พื้นที่ทำขึ้นมาจึงรู้สึกถึงความแข็งแรงพอสมควร ไม่ต้องกลัวว่าจะหักหล่นลงไปด้านล่าง
    น้ำด้านล่างมีปลาพลวงหรือปลาที่เราเห็นตามน้ำตกใหญ่ๆอยู่เยอะพอสมควร

    ***มีทั้งตัวใหญ่ขนาดปลาช่อนตัวเขื่องๆเท่าแขนผู้ใหญ่และตัวเล็กๆขนาดปลาซิวปลาสร้อย หากโยนอาหารหรือข้าวเหลือก้นบาตรลงไป จะผุดขึ้นมากินมากเต็มไปหมด ผู้เขียนชอบแหย่เท้าลงไปแช่ จะมีพวกปลาเล็กๆมาตอดคันๆดี แต่พอเห็นตัวใหญ่ๆว่ายมา ก็ต้องหดเท้าหนี เพราะกลัวมันงับนิ้วขาด

    ***ภควัณตัง***

    มีต่อ***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 ธันวาคม 2016
  2. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    *****รอบคืนนี้มีฆราวาสที่เป็นพราหมณ์สมัครใจขอนั่งสมาธิต่อเพียงแค่2ท่าน คือผู้เขียนและคณะที่ไปบวชด้วยกันอีก1คน ท่านอาจารย์จึงกล่าวกับผู้เขียนและพราหมณ์ที่นั่งอยู่ด้วยว่า

    *****“ในการปฏิบติสมาธิในครั้งนี้ ถือว่าเป็นบารมีที่จะเกิดแก่โยมมากทีเดียวนะ เพราะจะมีความพิเศษอยู่นิดหนึ่งนะโยมทั้งสอง พยายามดึงจิตดึงใจให้เป็นสมาธิให้ได้มากที่สุด พยายามอย่าเอาจิตไปผูกกับเรื่องอื่น ได้ยินได้เห็นสิ่งใด ขอให้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิเพียงอย่างเดียว จิตใจอย่าวอกแว่กสับส่ายหรือมีความสงสัยประการใด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วน อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มีอนัตตา ความไม่มีตัวตน ให้เรายึดถือคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่ตั้งของจิต ย่อมไม่เกิดความระแวงสงสัยประการใด ยึดสมาธิเป็นที่ตั้งนะโยม”

    *****เสร็จแล้วท่านจึงนำกล่าวขอสมาทานปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน แล้วจึงเริ่มปฏิบัตินั่งสมาธิเงียบๆ ได้ยินเพียงเสียงน้ำไหลลอดใต้พื้นที่ทำขึ้นเป็นระยะๆตามกระแสลมที่พัดพาน้ำเป็นละลอกน้อยๆกระทบเสาพื้นและขอบฝั่งด้านข้าง นานๆจะได้ยินเสียงปลาผุดขึ้นมาฮุบเหยื่อหรือหายใจสักครั้ง เป็นความเงียบที่ได้ยินแม้กระทั่งลมหายใจของตนเอง นับว่าเรียกสมาธิได้ดีระดับหนึ่งทีเดียว

    *****ผู้เขียนคาดคะเนว่าระยะเวลาการนั่งสมาธิประมาณ2-3ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ สมาธิดิ่งวูบเข้าจับเป็นหนึ่งเดียว ลมหายใจแผ่วลง ...แผ่วลง....จนแทบไม่ได้ยินเสียงลมหายใจ และเลิกจับลมหายใจ รับรู้ถึงความเย็นสบายทั่วตัว ตัวเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ โดยปราศจากน้ำหนักกดทับหรือแรงดีงจากพื้นผิวโลก

    *****“โครม......ซ่า.....ซ่า.....ซ่า.....ตูม....ตูม...........”

    ***** จิตตกวูบลงมาทันทีที่เกิดเสียงดังปานโพรงถ้ำถล่ม เสียงน้ำแตกกระจายจนกระเซ็นมากระทบผิวกายผู้เขียน เหมือนการโยนท่อนซุงขนาดใหญ่ๆลงไปบนพื้นน้ำ ทำให้น้ำนั้นแตกกระจายไปรอบทิศทาง

    *****“คึก....คึก....โครม....โครม....ซ่า....”.

    ***** เสียงแรกคือเหมือนมีอะไรมากระแทกเสาพื้นด้านล่างที่ผู้เขียนนั่งอยู่ จนรู้สึกสะเทือนเหมือนกับจะพังทลายลงไปกองอยู่ด้านล่างทั้งหมด ต่อมาจึงเป็นเสียงกระแทกพื้นน้ำจนน้ำแตกกระจายอยู่ด้านล่างใต้พื้นที่นั่งสมาธิกันอยู่ พร้อมๆกับละอองน้ำกระจายออกไปรอบทิศทาง

    *****“ฟืด..ฟืด..ฟู่....ฟู่...ฟู่...ฟู่.....”

    *****ตามด้วยเสียงสูดอากาศหรือสูดน้ำเข้าเสียงดังน่ากลัว เหมือนมีเครื่องสูบน้ำซักร้อยเครื่องพร้อมใจกันสูบพร้อมๆกัน เสร็จแล้วพ่นเข้าใส่แบบชนิดที่เรียกว่า เหมือนลมพายุเจาะจงพัดกระแทกเข้ามาในอุโมงค์เพียงจุดเดียว จากต้นอุโมงค์ยันท้ายอุโมงค์ ทะลุออกไปทางหน้าวัด สิ่งที่เหมือนลมพายุพัดหอบเอามาด้วยเป็นฝอยละอองของน้ำจำนวนมหาศาล แตกกระจายกระทบตัวจนรู้สึกหนาวเข้าไปในขั้วหัวใจ

    *****“ซ่า....ซ่า....ซ่า....”

    *****ลักษณะคล้ายคนโยนท่อนซุงขนาดใหญ่ พลิกไปมา จนเกิดแรงกระแทกของน้ำไปฝั่งซ้ายและขวา จากรุนแรงค่อยๆลดระดับความแรงลง ...ลดลง....ลดลง จนเงียบเสียงไปในที่สุด

    *****ใช้เวลาประมาณ2-3นาที เหตุการณ์จึงค่อยๆกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ในสภาวะเช่นนี้ผู้เขียนอดที่จะหลุดออกจากสมาธิไม่ได้ เพียงแต่ไม่ยอมลืมตามองหรือเหลียวดูเท่านั้น ทำได้แค่เพียงนั่งหลับตา ภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ อยู่แค่นั้น เพราะหากลืมตามองหรือเหลียวดู ผู้เขียนก็ไม่ทราบว่าจะอดตระหนกตื่นเต้นตกใจกับสิ่งที่ปรากฏเมื่อสักครู่ได้หรือเปล่า หากไม่ได้ จะเป็นเช่นไร ผู้เขียนไม่อยากจะนึกต่อเพราะย่อมรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า สิ่งที่อยู่ๆปรากฏตัวโดยที่ยังไม่ได้ตั้งท่ารับมือนั้น มันคืออะไร

    *****เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างสงบเป็นปกติ สักครู่ท่านอาจารย์จึงลืมตาขึ้น หันหลังมามองผู้เขียนและเพื่อนอีกคน เมื่อเห็นว่าลืมตาออกจากสมาธิกันแล้ว จึงกร่าวนำขอสมาทานออกจากพระกรรมฐาน เสร็จแล้วจึงพูดยิ้มๆกับผู้เขียนว่า

    *****“เป็นอย่างไรบ้างโยม เข้าสมาธิสบายดีกันอยู่หรือเปล่า”

    *****ท่านถามพลางชำเลืองมองมาทางผู้เขียนและเพื่อนอีกคนอย่างคนอารมณ์ดี

    *****“โอ้โห....อาจารย์ มาแรงแบบไม่ทันตั้งตัวเลย ผมหลุดออกจากสมาธิเลย”

    *****ผู้เขียนตอบแบบสั่นๆยังประหวั่นพรั่นพรีงไม่หาย จากประสบการณ์ที่ได้ยินและพบเจอเมื่อสักครู่

    *****“ไม่มีอะไรหรอกโยม เขาไม่ได้มาทำร้ายหรอกโยม เขามาอวยพรให้ ต่อไปโยมก็โชคดีแล้วล่ะ เดี๋ยวโยมก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนนะ คงไม่นั่งต่อแล้วละมั้ง อาตมาก็จะขอตัวแยกขึ้นเขาไปแล้วกัน”

    *****กล่าวจบ ท่านอาจารย์ก็หันไปดับเทียน แล้วเดินดูความเรียบร้อย ก่อนจะแยกตัวเดินฝ่าความมืดออกไป ปล่อยให้ผู้เขียนกับเพื่อนนั่งตั้งสติอยู่กับที่สักครู่ ก่อนที่จะผู้เขียนจะลุกขึ้นทำท่าจะเดินไปพักผ่อนยังศาลาใหญ่ที่อยู่ถัดไป

    *****“อ้าว.....จะนั่งสมาธิต่อเหรอ..”

    *****ผู้เขียนหันมาถามเพื่อนพราหมณ์ที่นั่งอยู่ด้วยกัน เมื่อเห็นนั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จา และไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นเดิน

    *****“ลุกไม่ได้ มาช่วยพยุงที ขาไม่มีแรง”

    *****เสียงนั้นสั่นเครือ น้ำหูน้ำตาไหลอาบแก้ม แม้กระทั่งผู้เขียนช่วยพยุงขึ้นยืน ก็รู้สึกถึงอาการสั่นไปทั้งตัว

    *****ภควัณตัง*****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 ธันวาคม 2016
  3. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ..........จากประสพการณ์หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมา ทำให้ผู้เขียนพิจารณาว่า ในโลกใบนี้ยังมีสิ่งที่เร้นลับ ที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ยังมีอยู่อีกมากมาย อาจจะอยู่รอบๆตัวเราโดยที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

    .........เป็นมิติที่ทับซ้อนกันไปมา ยากที่จะอธิบายหรือชี้นำให้เห็นด้วยตาเปล่าได้ มิติต่างๆอาจจะหลายมิติ หลายภพ หลายชาติ มันถูกวางซ้อนๆกันอยู่ เป็นมิติที่ต้องเห็นด้วยตัวของตัวเอง ไม่สามารถพาไปให้เห็นได้ มีวิธีเดียวคือ ต้องเจริญพระกรรมฐานให้ได้รู้ได้เห็นด้วยตัวของตัวเอง

    .........การดำเนินชีวิตไม่ว่าจะทำดีหรือทำไม่ดี จึงไม่จำเป็นต้องไปบอกกล่าวโอ้อวดแก่ใคร เพราะมิติที่ทับซ้อนกันอยู่รอบๆตัว ล้วนรู้เห็นและเป็นพยานให้ได้เสมอ ว่าปัจจุบันท่านปฏิบัติภาระกิจดำเนินชีวิตเป็นเช่นไร

    .........อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนสรุปจากประสบการณ์ต่างๆที่ประสพพบเจอมากับตัวหลายครั้งนั่นคือ คำว่าเทพ

    .........ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกาขึ้นไป การสื่อสารไม่จำเป็นต้องใช้ภาษากายหรือใช้ปากพูด คำว่าภาษาเทพนั้นไม่มีจริง เพราะหากเป็นเทพจริงๆจะใช้พลังจิตในการสื่อสารเท่านั้น ไม่ว่าจะสื่อสารภาษาใดๆในโลก จะใช้พลังจิตในการสื่อให้เข้าใจได้เสมอทุกชาติทุกภาษา

    ........บุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นเทพแล้วใช้ภาษาเทพอะไรนั่น ผู้เขียนขอยืนยันว่า ไม่มีภาษาเทพในหมู่เทพ ภาษาที่พูดออกไปล้วนเป็นภาษาที่อุปโลกน์เอาเองแทบทั้งสิ้นหรือเป็นภาษาที่คิดค้นกันขึ้นมาเอง ส่วนเทพจริงๆตามที่บอกคือ ไม่ต้องใช้ภาษาใดๆ จะใช้พลังจิตในการสื่อสารเท่านั้น เว้นแต่ต่ำกว่าเทพ(เสนอตัวว่าเป็นเทพ)จึงต้องใช้ภาษากายหรือปาก ในการสื่อสาร ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่ตัวท่านเองว่า ต้องการจะสื่อสารกับเทพแบบไหน เทพแบบจริงๆหรือเทพแบบต้องการเป็นเทพ..... เท่านั้น

    .........ต่อเนื่องจากมิติหลายมิติที่ซ้อนทับกันอยู่ ทำให้ผู้เขียนสามารถสรุปได้ว่า

    ........นาคไม่สามารถมาว่ายน้ำเล่นโชว์ตัวโครมๆต่อหน้าได้ จากมิติที่อยู่คนละมิติกัน เว้นแต่สามารถจำแลงกายเป็นภาพจำลองได้ โดยการซ้อนมิติเข้ามา แต่ก็สามารถอยู่ได้เพียงขีดจำกัด ไม่สามารถอยู่ได้เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี ก็จะต้องรีบแทรกมิติกลับไปสู่มิติตนเองเหมือนเดิม

    ........การแฝงร่างออกจากมิติตนเอง แฝงเข้าสู่มิติอื่น เป็นการทำผิดศีลข้อ อวดอุตริเป็นอย่างมาก หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ นาคจะไม่ทำไม่ว่ากรณีย์ใดๆ เพราะนาคไม่สามารถปลงอาบัติตัวเองได้เหมือนพระภิกษุ

    ........การผิดศีลจะทำให้เสื่อมจากเดชะบารมีที่บำเพ็ญเพียร จะมากหรือน้อยอยู่ที่การกระทำผิด ดังนั้นการปฏิบัติที่ไม่ถูกไม่ควร นาคจะพยายามหลีกเลี่ยงและไม่กระทำ

    ........การบำเพ็ญเพียรของนาคมี2ทางเลือกคือ เข้าสู่ชั้นจาตุมหาราชิกา(สวรรค์ชั้นแรก)หรือเลือกเกิดเป็นมนุษย์ แต่ต้องบำเพ็ญเพียรถึง 5,000 ปี ถึงจะได้เกิดเป็นมนุษย์ และไม่สามารถสำเร็จขึ้นชั้นพรหมหรือสูงกว่าชั้นจาตุมหาราชิกาได้ เหตุเพราะเป็นสัตว์เดรัชฉานโดยสันดาน มีลำตัวขนานกับพื้น

    ........แต่ก็ยังมีมนุษย์จำพวกหนึ่ง พยายามบนบานศาลกล่าว อ้อนวอนขออยากเกิดภพใหม่ชาติใหม่ขอเกิดเป็นนาคผู้เขียนก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงคิดแบบนั้น ในเมื่อนาคนั้นอยากเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์กลับอยากเป็นนาค

    ........สาเหตุหนึ่งที่นาคอยากเป็นมนุษย์นั้น เพราะมนุษย์นั้นสามารถทำได้ทุกอย่าง ทั้งใส่บาตร ทำบุญ บริจาคทาน สั่งสมบารมี แม้กระทั่งการปฏิบัติจนสามารถเข้าถึงนิพพาน ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ผิดกับนาคที่ไม่สามารถทำได้อย่างมนุษย์ ทำได้แค่บำเพ็ญเพียรอย่างเดียว และใช้เวลายาวนาน

    ***ภควัณตัง***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ธันวาคม 2016
  4. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ........เมื่อพูดถึงเรื่องพญานาค มีบางท่านอยากรู้ลึกเข้าไปอีกว่า นาคนั้นลักษณะเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน มีพื้นเพลักษณะที่อยู่อาศัยแบบไหน ยังไง ทำไมถึงเกิดเป็นนาค และมีกี่จำพวก เพื่อให้หายข้องใจ ก็ขอต่อเรื่องนาคให้จบครบกระบวนความดังนี้ เพื่อจะได้หายสงสัยกันไปเลย

    ........ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันแต่พื้นฐานคือ มีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี


    ........บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี ๗ สี และที่สำคัญคือ ตระกูลธรรมดำองค์ท่านจะมีเศียรเดียว แต่ถ้ำตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมี ๓ เศียร ๕ เศียร ๗ เศียร และ ๙ เศียร พญานาคจำพวกนี้องค์ท่านจะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของ องค์ พระวิษณะนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร

    ........อนันตนาคราช เล่ากันว่าองค์ท่านจะมีกายที่ใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มี ๑๐๐๐ เศียร ท่านเกิด ทั้งในน้ำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ และท่านสามารถจะแปลงร่างเป็นเทพบุตรหรือเทพธิดารูปร่างสวยงาม กล่าวว่า ทางฝั่งไทยและฝั่งลาวต่างมี กษัตริย์แห่งนาคราช หรือ นาคาธิบดี แยกปกครองดูแล

    ........ฝั่งลาว คือ พญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล) เป็นกษัตริย์พญานาค ฝั่งลาว มี ๗ เศียร
    ฝั่งไทย คือ พญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) เป็นกษัตริย์พญานาค ฝั่งไทยมี ๑ เศียร พญาศรีสุทโธ ท่านชอบจำศีลบำเพ็ญเพียร และปฏิบัติธรรม มีนิสัยอ่อนโยน มีเมตตา ไม่ชอบการต่อสู้ ชอบมาปฏิบัติธรรมที่พระธาตุพนม โดยมอบหมายให้เหล่าตัวแทนดูแลในระหว่างที่หลบมาจำศีลภาวนา

    ๑. พญาจิตรนาคราช ท่านรักสวยรักงาม มีเขตแดนปกครองของตน ตั้งแต่ตาลีฟู ถึงจังหวัดหนองคาย ตามแนวแม่น้ำโขง โดยมีที่สุดแดนอยู่วัดหินหมากเป้ง

    ๒. พญาโสมนาคราช มีเขตแดนปกครอง ตั้งแต่วัดหินหมากเป้งมาจนถึงวัดพระธาตุพนม สุดเขตแดนที่แก่งกะเบา พญาโสมนาคราชมีอุปนิสัยคล้ายพญาศรีสุทโธนาคราช คือชอบปฏิบัติธรรม จึงเป็นที่ไว้วางใจและโปรดปรานแก่พญาศรีสุทโธนาคราช

    ๓. พญาชัยยะนาคราช มีเขตแดนจากแก่งกะเบา เรื่อยไปจนสุดแดนที่ปากแม่น้ำโขง ลงทะเลในเขมร ท่านนี้มีฤทธิ์เดชมาก ชอบการรณรงค์ ทำสงคราม คือ ชอบการต่อสู้เป็นนิสัย

    พญานาค เป็นราชาแห่งงู จัดเป็นเดรัจฉานด้วย เพราะมีลำตัวไปทางขวางและไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ก็จัดอยู่ฝ่ายสุคติภูมิ อยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

    นาคแบ่ง ออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือพญานาคเกิดได้ทั้ง 4 แบบ คือ

    - เกิดแบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที ผุดเกิดสำเร็จเป็นตัวเป็นตน เช่น พรหม เทวดา เปรต หรือสัตว์นรกทั้งปวง

    - เกิดแบบสังเสทชะ เกิดในสิ่งที่หมักหมมในเปลือกในตม ในที่ชื้นแฉะหรือด้วยเหงื่อไคลโดยไม่อาศัยฟองไข่ และครรภ์ของมารดา
    คือเกิดนอกครรภ์ เช่น หนอนหรือเชื้อแบคทีเรีย

    - เกิดแบบชลาพุชะ เกิดจากครรภ์ อย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม

    - เกิดแบบอัณฑชะ เกิดจากฟองไข่

    พญานาคชั้นสูงเกิดแบบโอปปาติกะ เป็นชนชั้นปกครองที่อยู่ของพญานาคมีตั้งแต่ในแม่น้ำหนอง คลอง บึงต่างๆ ในอากาศจนไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

    ........ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะหรือมีจิตผูกพันกับแม่น้ำและพญานาค หรืออธิฐานจิตขอเกิดเป็นพญานาค

    ........(ถึงแม้ทำบุญมามากแค่ไหนพอที่จะไปเกิดสวรรค์ชั้นสูง ๆ กว่านี้ได้ แต่ถ้ามีจิตผูกพัน ยึดติดกับอะไรตายไปก็จะไปตรงนั้น)
    ดังนั้นควรยึดถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุดเพราะเป็นสรณะอันประเสริฐที่สุดเพียงหนึ่งเดียว

    .........พวกพญานาคอยู่ ในการปกครองของท้าววิรูปักษ์ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ

    ........ประเภทของพญานาค นาคแบ่งลำดับชั้นตามหน้าที่ไว้เป็น 4 พวกคือ

    1.) นาคสวรรค์ มีหน้าที่เผ้าวิมานเทพ และเทวดา

    2.) นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลมให้ฝน

    3.) นาคโลกบาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำลำคลอง

    4.) นาครักษาขุมทรัพย์

    .......เมื่อรวมนาคทั้ง 4 พวกแล้ว จะมีพญานาคทั้งสิ้นประมาณ 512 ชนิด
    และแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภทคือ

    1.) กามรูปีพญานาค พญานาคที่เสวยกามคุณ

    2.) อพามรูปีพญานาค พญานาคที่ไม่เสวยกามคุณ

    ........พญานาคบางพวกมีอายุสั้น บางพวกก็มีอายุยืน อาจจะมีอายุยาวนานเป็นกัลป์ก้ได้ อย่างพญานาคตัวหนึ่งชื่อพญานาคกาละ มีอายุยืนยาวมาก ตั้งแต่พระพุทธเจ้ากุสันธะจนถึงพระสมณโคตมะ และจะมีอายุไปจนถึงพระศรีอาริยะเมตไตรย์ ตามปกติพญานาคจะกลัวพญาครุฑ
    พญานาคที่พญาครุฑไม่สามารถกินเป็นอาหารได้ มีอยู่ 7 พวกด้วยกันคือ

    1.) พญานาคที่มีชาติกำเนิดที่ละเอียดกว่า และภพภูมิสูงส่งกว่าพญาครุฑ

    2.) กัมพลสัตรพญานาคราช

    3.) รตรัฐพญานาคราช

    4.) พญานาคราชที่อาศัยอยุ่ในมหาสมุทรสีทันดรทั้งเจ็ดสมุทร

    5.) พญานาคราชที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน

    6.) พญานาคราชที่อาศัยอยู่ในภูเขา

    7.) พญานาคราชที่อาศัยอยู่ในวิมาร พญานาคที่กล่าวมานี้ เป็นพญานาคที่มีปรากฏอยู่ในชาดกทางพุทธศาสนา
    พิษของพญานาค

    ..........พญานาคเป็นพญางู เมื่อนึกถึงงูก็ต้องนึกถึงพิษของงู ความน่าเกรงขามของพิษพญานาคใน "คัมภีร์ปรมัตถโชติกพมหาอภิธรรมมัตถสังหฏีกา"

    .........ปริเฉทที่ห้า จัดหมู่ของนาคไว้ตามชนิดของพิษแบ่งเป็น 4 จำพวกคือ

    1.) พญานาคมีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วร่างกายจะแข็งไปหมดทั้งตัว อวัยวะต่างๆจะยืดหรืองอ หรือเหยียดออกไปไม่ได้จะปวดทรมานมาก

    2.) ปูติมุขพญานาคนี้มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วแผลจะเน่าเปื่อยมีน้ำเหลืองไหลออกมาตลอดเวลา

    3.) อัคคิมุข พญานาคนี้มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วจะเกิดความร้อนไปทั้งตัวและรอยแผลที่ถูกกัดเป็นริ้วรอยคล้ายถูกไปไหม้

    4.) สัตถมุข พญานาคนี้มีพิษชนิดหนึ่ง ซึ้งผู้ใดโดนกัดแล้วก็เหมือนกับถูกฟ้าผ่า

    ........พญานาคทั้งสี่ประเภทนี้ มีวิธีที่จะทำอันตรายด้วยวิธีที่แตกต่างกันดังนี้

    1.)ใช้เขี้ยวพิษขบกัด แล้วพิษค่อยแผ่ซ่านไปทั้งตัว

    2.) ใช้ตามองดูแล้วพ่นพิษออกมาทางตา

    3.) มีพิษไปทั่วร่างกาย เพียงแต่ใช้ร่างกายกระทบเข้า ก็เป็นพิษแผ่ออกมาได้

    4.) ใช้ลมหายใจพ่นเป็นพิษออกมาและพิษนั้นจะแผ่ซ่านออกไปทั่วร่างกาย

    .........องค์นาคาธิบดดีทั้ง 9 พระองค์ (แต่ละเศียร) นั้นคือกษัตริย์แห่งเมืองบาดาลที่ปกครองวังนาคินทร์ต่างๆ ซึ่งแต่ละพระองค์เป็นพญานาคที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ในศีลในธรรมแล้วทั้งสิ้น

    .........องค์นาคาธิบดีทั้ง 9 พระองค์ (แต่ละเศียร) มีพระนามดังต่อไปนี้

    1. พญาอนันตนาคราช

    2. พญามุจลินท์นาคราช

    3. พญาภุชงค์นาคราช

    4. พญาศรีสุทโธนาคราช

    5. พญาศรีสัตตนาคราช

    6. พญาเพชรภัทรนาคราชหรือพญาเกล็ดแก้วนาคราช

    7. พญานาคด าแสนศิริจันทรานาคราช

    8. พญายัสมันนาคราช

    9. พญาครรตระศรีเทวานาคราช

    ..........องค์นาคาธิบดี เทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดิน, กษัตริย์ องค์นาคาธิบดีศรีสุทโธ แต่เดิมเป็นนาคธรรมดาสังเกตุได้จากที่มีเศียรเดียว
    แต่ได้ความดีความชอบเป็นองค์นาคาธิบดี(กษัตริย์แห่งนาค)ฝั่งไทย เพราะพระอิศวรประทานให้เนื่องจากได้ทำความดีความชอบในการค้นหาโคศุภราชของพระอิศวร

    .........เมื่อตอนโคศุภราชหนีมาเที่ยวบนโลกมนุษย์ โดยองค์นาคาธิบดีศรีสุทโธเป็นผู้ค้นพบ แล้วนำกลับไปให้พระอิศวร
    พญานาคราช พญานาคิณี มีตำแหน่งเทียบเท่านายกรัฐมนตรี,หรือรัฐมนตรี นาคนาคี เทียบเท่า ผู้ว่าราชการจังหวัด,ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นาคผู้-นาคเมีย เทียบเท่าประชาชนทั่วไปที่ถือว่าเป็นคนมีศีล

    ..........งูตัวผู้-งูตัวเมีย เทียบเท่าประชาชนทั่วไปที่ทำดีได้-ทำชั่วได้ ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก พญานาคจะไม่ทำร้ายใคร

    ****ภควัณตัง****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ธันวาคม 2016
  5. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    *****************เปรตงู******************
    ............อันว่าเปรตงู หลายท่านอาจจะไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่ามันคืออะไร ลักษณะเป็นแบบไหนตามตำราคัมภีร์โลกบัญญัตเรียกว่า อชครังคเปรต(อะ-คะ-ชะ-รัง-คะ-เปรต)หรืออหิเปรต(อะ-หิ-เปรต)ตามตำราบอกว่าลักษณะเหมือนสัตว์ประหลาด บางครั้งก็กลายร่างเป็นงู แต่มีหัวเป็นคน บ้างก็มีร่างเป็นคนแต่มีหัวเป็นงู


    ............ถูกเปลวไฟนรกเผาไหม้ทั้งตัว มีร่างเป็นงูเฉพาะเวลากลางคืน สามารถมองเห็นหัวใจของเปรตชนิดนี้ได้ มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อเล็กๆในร่างกาย เวลากลางวันจะกลายร่างเป็นสัตว์ ออกหากินเหมือนเปรตกินซากศพ
    คนที่เกิดเป็นเปรตชนิดนี้เพราะเคยก่อกรรมทำเข็ญขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น ทำลายศาสนสมบัติของศาสนา เมื่อชดใช้กรรมในนรกแล้ว จำต้องลงมาเกิดเป็นเปรตงู รับทุขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนเองได้ทำเอาไว้

    ............เมื่อประมาณปี2557 ผู้เขียนได้มีโอกาสได้ไปทำงานยังจังหวัดหนึ่งแถวภาคกลาง คือจังหวัดเพชรบูรณ์ การไปทำงานในครั้งนี้ต้องค้างคืนในต่างอำเภอของจังหวัดหลายวันกว่าจะทำงานเสร็จ จึงจำเป็นต้องไปเช่าที่พักลักษณะเป็นรีสอร์ท ซึ่งอยู่ห่างจากตัวอำเภอแยกซ้ายเข้าไปประมาณ4-5กิโลเมตร การจะหาที่พักค้างคืนในต่างอำเภอต่างจากการหาที่พักในตัวเมือง

    ............ซึ่งบางครั้งที่พักที่จะหาให้ใกล้ตัวอำเภอหรือในเขตชุมชนนั้น ค่อนข้างหายาก ส่วนมากจะมีห่างออกไปไม่น้อยกว่า2-3กิโล และหากมีที่พัก ราคาก็อาจจะแพงนิดหนึ่ง การไปทำงานร่วมหลายคน จึงจำเป็นต้องหาที่พักที่ประหยัดงบประมาณและสามารถเข้าพักได้หลายๆคน

    ...........ลักษณะรีสอร์ทของที่นี่(ที่ผู้เขียนกับพวกที่ไปด้วย5-6คนเข้าพัก)เป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้หลังใหญ่1หลัง และบ้านแบบน็อคดาวน์เล็กๆสามารถพักได้3-4คนอีก2-3หลัง นับว่าเป็นรีสอร์ทที่ไม่ได้โอ่โถงมาก รอบๆพื้นที่รีสอร์ทลักษณะเป็นป่าไม้เบญจพรรณค่อนข้างรก มีต้นไม้ใหญ่2-3คนโอบอยู่บ้างประปราย ภายในรีสอร์ทปลูกต้นไม้ต่างๆไว้ร่มครี้มแทบมองไม่เห็นแดดตอนกลางวัน

    ...........อาศัยว่ารีสอร์ทที่นี่มีร้านอาหาร แต่เปิดปิดเป็นเวลา ทำให้ไม่ต้องเดือดร้อนนักกับเรื่องอาหารการกิน ช่วงเย็นก็จะมีคนคอยดูแลอยู่2-3คน ช่วงค่ำจะมีแค่คนเดียว เข้าใจว่าเจ้าของไม่ได้อยู่ดูแลที่นี่ จ้างให้คนงานชาวพม่าซึ่งพอพูดไทยได้ให้เป็นผู้ดูแลแทน ทั้งเรื่องการเข้าพักและเรื่องอาหารการกิน

    ...........คืนแรกที่เข้าพัก โดยที่ผู้เขียนกับญาติอีก2คนผัวเมีย เข้าพักในบ้านที่เป็นแบบบ้านน็อคดาวน์ มีห้องนอน1ห้องเล็กๆ ผู้เขียนจึงขออาสานอนด้านนอก ที่เป็นเหมือนรับแขกในตัว โดยจัดเก้าอี้เล็กๆ2-3ตัว ยกเอาแอบไว้ด้านหนึ่ง จึงมีพื้นที่ปูผ้านอนได้ ส่วนคนอื่นๆที่ไปด้วย เข้าพักบนบ้านหลังใหญ่ ดังที่ได้บอกในตอนแรก เพราะสามารถนอนได้หลายคน ทำให้ประหยัดค่าเช่า

    ...........หลังจากจัดที่หลับนอนกันเรียบร้อย ด้วยความที่เพลียเรื่องงานกันมาทั้งวัน จีงพากันหลับอย่างสบาย โดยไม่มีเหตุการณ์อย่างไรเกิดขึ้น

    ...........วันที่สอง หลังจากทำภารกิจส่วนตัวกันเสร็จ ก็ออกเดินทางไปทำงานกัน โดยที่ไม่ได้เก็บสัมภาระไปด้วย เพราะคิดว่าต้องค้างอยู่อีกไม่ต่ำกว่า4-5คืน กว่างานสำรวจท้องที่จะเสร็จ

    ..........วันนั้นหลังจากผู้เขียนออกไปทำงานได้สักประมาณเที่ยง รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว จากที่ต้องเดินตากแดดมาครึ่งวัน จึงบอกกับทีมงานว่า ขอตัวกลับไปพักก่อน เพราะรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ ร้อนๆหนาวๆ จึงให้ทีมงานขับรถกลับมาส่งที่รีสอร์ทก่อน เมื่อรถมาส่งผู้เขียนเสร็จ ก็ขับกลับไปทำงานต่อโดยทิ้งให้ผู้เขียนนอนพักอยู่เพียงลำพัง

    ..........เมื่อกลับมาถึงเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนจึงกินยาพาราแล้วลงนอนพักหลับไป หลับไปนานเท่าไหร่ผู้เขียนก็ไม่ทราบได้เพราะรู้สึกงัวเงียจากพิษไข้ มารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งเมื่อ
    ............"ตึง......ตึง.....ตึง”
    ...........เสียงเกิดจากเหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบเสาบ้านที่ผู้เขียนนอนอยู่ ทำให้บ้าน(น็อคดาวน์)ทั้งหลังสั่นสะเทือน หลังคาที่เป็นแผ่นไม้เหมือนกับจะยุบลงมาทั้งหลัง

    ...........ผู้เขียนสะดุ้งตกใจ ทำให้ต้องลุกงัวเงียแล้วเดินมาดูตรงบริเวณชานหน้าบ้านพัก ก้มลงดูใต้พื้น ที่ยกตัวบ้านห่างจากพื้นดินประมาณเมตรเศษ ก็ไม่มีอะไร ลงบันได4-5ขั้นมายืนดูด้านล่างพยายามมองหารอบๆว่ามีใครมาทำอะไรหรือเปล่า.....ก็ไม่มีใคร
    เมื่อผู้เขียนพยายามมองดูแล้วไม่มีใครมาทำอะไร จึงคิดไปเองว่า หรือเราจะฝันไป หรืออุปปาทานไปเอง ทั้งๆที่ไม่มีใครมาทำอะไรแถวนี้ จึงเดินขึ้นด้านบน แล้วลงนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ............“คึก...คึก...คึก...”

    ............“เฮ้ยยยย”

    .............เมื่อผู้เขียนเอนกายลงนอนไม่ทัน5นาที เหมือนแผ่นดินด้านล่างยกตัวสูงขึ้น ทำให้ตัวบ้านโคลงเคลง สูงต่ำไม่เท่ากัน ลักษณะคล้ายนั่งบนลูกโป่งสูบลม แล้วด้านหนึ่งจะยุบด้านหนึ่งจะแฟบ ส่วนอีกเสียงคือเสียงของผู้เขียน ที่อุทานอย่างตกใจ นึกว่าเกิดแผ่นดินไหวกะทันหัน

    .............เมื่อเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ ทำให้ผู้เขียนต้องลุกจากที่นอน เดินลงมาดูด้านล่างเป็นรอบที่สอง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
    สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ......ทุกอย่างปกติ ไม่มีคนหรือใครอยู่ในบริเวณนี้สักคน ก้มลงมองดูดินใต้ถุนด้านล่าง ก็เรียบเสมอ ไม่มีวี่แววว่ามันจะยุบ จะผลุบหรือจะโผล่ มาให้เห็น ทุกสิ่งรอบตัวเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

    .............เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผู้เขียนงุนงงมาก เราฝัน-ละเมอ-คิดไปเอง คนเดียวหรืออย่างไร มันฝันทั้งๆที่ยังไม่ทันจะหลับเลยหรืออย่างไร หรือเป็นโรคประสาทไปแล้ว

    .............เมื่อนอนก็นอนไม่ได้ แถมยังมีอะไรก็ไม่รู้พยายามไม่ให้นอน ก็เลยตัดสินใจ ไม่นอนก็ได้ เลยถือโอกาศเดินเล่นๆดูรอบๆรีสอร์ทก็ดีเหมือนกัน

    .............หลังจากเดินเล่นพลางสำรวจไปกลายๆรอบๆรีสอร์ทจนครบรอบ ผู้เขียนก็มาสะดุดสายตาตรงด้านหน้ารีสอร์ทที่พัก ซึ่งอยู่ตรงกับบ้านหลังที่ผู้เขียนเช่าอยู่นั่นเอง

    .............จากตัวบ้านตรงไปยังเขตขอบรั้ว ซึ่งไม่มีรั้วใช้รั้วธรรมชาติคือมีหญ้าคาปกคลุมหนา ระยะทางประมาณ15-20เมตรจากตัวบ้าน(ที่พัก) มีต้นมะขามขนาดใหญ่2-3คนโอบ ลักษณะยืนต้นตายเพราะมีแต่กิ่งแห้ง ไม่มีใบเหมือนต้นอื่นๆ ด้านล่างมีจอมปลวกขนาดใหญ่ขึ้นคลุมโคนต้นมะขามทั้งหมด ความสูงจากพื้นดินสูงขึ้นไปประมาณ3-4เมตร ซึ่งผู้เขียนคาดเดาว่าเพราะมีปลวกขนาดใหญ่ขึ้นคงจะทำให้ต้นมะขามขนาดใหญ่นี้ตายได้นั่นเอง

    .............ด้านโคนจอมปลวก มีธุปเทียนและเศษใบตองลักษณะคล้ายกระทง วางอยู่4-5จุด นอกนั้นเป็นพื้นรกๆ สิ่งหนึ่งที่เหมือนเป็นสัญชาตญานส่วนตัวของผู้เขียนบอกตัวเองว่า.... จอมปลวกนี้มันไม่ธรรมดาแน่

    ******ภควัณตัง*****

    *******มีต่อ*****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 ธันวาคม 2016
  6. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    .........ช่วงเย็นทุกคนกลับมาจากทำงานพร้อมหน้าพร้อมตา ส่วนมากไถ่ถามผู้เขียนว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง ผู้เขียนก็ตอบว่า รู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อตอนกลางวันเพราะยาพาราที่กินเข้าไปและได้นอนพักผ่อน หลังจากนั้นก็คุยถามไถ่กันถึงเรื่องงานของวันนี้ ผู้เขียนไม่ได้เล่าเหตุการณ์ของวันนี้ที่เกิดกับผู้เขียนให้ใครฟัง รวมถึงพี่สาวกับพี่เขยที่นอนบ้านหลังเดียวกับผู้เขียน

    .........จวบจนค่ำ หลังจากอาบน้ำอาบท่ากันเสร็จ วันนี้เลยเปลี่ยนบรรยากาศออกไปหาอะไรกินข้างนอกรีสอร์ทบ้าง(ในตัวอำเภอ)ซึ่งห่างจากรีสอร์ทที่อยู่ประมาณ4-5กิโลเมตร ดังที่เคยเล่าไว้ในตอนต้น เพราะร้านอาหารในรีสอร์ทรสชาดไม่ค่อยถูกปากนัก ก็จะให้ถูกปากได้ยังไง แม่ครัวเป็นคนพม่า 2 คนผัวเมีย อาหารที่ทำออกมาจึงออกแนวต่างประเทศซะมากกว่า

    ........ประมาณ 4 ทุ่มเศษ คณะทั้งหมดจึงเดินทางกลับมาพักยังรีสอร์ทเหมือนเดิม เสร็จแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไปนอนที่ใครที่มัน
    คืนนี้ผู้เขียนรู้สึกไม่ค่อยง่วงมากนัก อาจจะด้วยตอนกลางวันได้กลับมานอนงีบก่อนใคร ช่วงหัวค่ำจึงรู้สึกเฉยๆไม่ง่วงมากเหมือนทุกวัน ส่วนพี่สาวกับพี่เขยที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน เมื่อมาถึงอาบน้ำอาบท่าแล้วก็ปิดไฟเข้านอนในห้อง ปล่อยให้ผู้เขียนนั่งเปิดทีวีดูอยู่ด้านนอก(ที่ผู้เขียนนอน)เพียงลำพัง เพียงแต่หรี่เสียงไม่ให้เสียงดังมาก

    .........ประมาณ 5 ทุ่มเศษ ผู้เขียนเห็นว่าดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องออกไปทำงานต่อ จึงปิดทีวี ปิดไฟ แล้วล้มตัวลงนอน จำไม่ได้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่ไม่น่าจะเกิน1-2ชั่วโมงเป็นแน่

    ........“ตึก.....ตึก.....ตึก”

    .........เสียงก้องกังวานหนักแน่น ที่มาพร้อมๆกับบ้านน็อคดาวน์สั่นกระพือทั้งหลัง ไฟในห้องนอนพี่สาวกับพี่เขย เปิดสว่างพรึ่บ ตามมาด้วยเสียง

    .........“เฮ้ย......อะไรวะ ใครมาทำอะไรวะ .........ลงไปดูทีซิ ว่าใครมาทำอะไร”

    ..........เสียงพี่สาวแว๊ดออกมาจากห้อง ตามด้วยเรียกชื่อผู้เขียนให้ลงไปดูว่าเกิดอะไร ผู้เขียนสะดุ้งตื่น พร้อมๆกับลุกเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ โดยที่ไม่ลืมคว้าประคำหลวงพ่ออุตตมะ ที่เป็นประคำประจำตัวสวมคอ แล้วก้าวเท้าออกจากที่นอน ลงบันไดไปยังพื้นด้านล่าง
    เหตุที่หยิบโทรศัพท์ติดมือมาด้วย เพราะผู้เขียนไม่มีไฟฉายติดตัว จึงต้องใช้แสงไฟฉายจากโทรศัพย์แทน

    ..........ผู้เขียนใช้แสงไฟฉายจากโทรศัพท์ ส่องดูใต้ถุนบ้าน ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีคนหรือตัวอะไรที่ทำให้เกิดเสียงหรือไปกระแทกเรือนให้สั่นไหว เหตุการณ์เหมือนกันกับเมื่อตอนกลางวันไม่มีผิด หลังจากตรวจสอบแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรอยู่ใต้ถุนเรือนแน่ผู้เขียนจึงเดินส่องสำรวจบริเวณรอบๆเรือน

    ..........“แกร็ก.....”

    ..........เสียงเหมือนมีคนเหยียบใบไม้แห้ง หรือมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดผ่านใบไม้แห้ง จึงทำให้เกิดเสียงดัง ประกอบกับเป็นช่วงเวลากลางคืนที่เงียบ เสียงจึงชัดเจน มีสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนนึกแปลกใจตั้งแต่มาอยู่คืนแรกแล้วว่า รีสอร์ทที่นี่ อยู่ล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ แต่แปลกตรงที่ไม่มีเสียงจิ้งหรีด หรือเสียงจักจั่นเรไรร้องซักตัว มันเงียบจนน่าแปลกใจ เพราะปกติทั่วไป พื้นที่ป่าหรืออยู่ใกล้เขตป่า ตามที่ผู้เขียนเคยผ่านๆมา ย่อมต้องมีเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องกันระงม ในช่วงเวลากลางคืน แต่ที่นี่เงียบสนิท ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินซักเสียง จึงดูค่อนข้างแปลกกว่าที่ควรจะเป็น
    ..........ผู้เขียนหันไฟฉายจากโทรศัพท์ไปตามเสียงที่คาดว่าอยู่ไม่ห่างจากตัวผู้เขียนมากนัก พร้อมๆกับสาวเท้าเดินตามไปตามเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่

    ..........สิ่งที่ผู้เขียนเห็นแว๊บๆจากแสงไฟที่ไม่สว่างมากนัก เป็นเหมือนท่อนไม้ดำมะเมื่อม ผลุบหายไปทางต้นมาขามใหญ่ตายซาก ที่ผู้เขียนเคยเดินสำรวจมาเจอเมื่อตอนกลางวันนี้ ผู้เขียนจึงก้าวเท้าตามไปอย่างอยากรู้ว่าอะไรกันแน่ จนมาประชิดขอบแดนรีสอร์ท

    ..........“พรึบ.......ซ่า.....”

    ...........เสียงแรกคือมีสิ่งหนึ่งโผล่พรึบขึ้นมา ทำให้ดงหญ้าคาที่รกแตกเป็นวงกว้าง เสียงที่สองเป็นเสียงต้นมาขามใหญ่แห้งที่ผู้เขียนเห็นเมื่อตอนกลางวันสั่นไหวทั้งต้น กิ่งแห้งด้านบนจึงสะเทือนทำให้เกิดเสียง

    ............อะไรก็ไม่เท่ากับสิ่งที่อยู่ๆโผล่พรวดห่างจากตัวผู้เขียนไปไม่น่าจะเกิน10เมตรนั้น มันน่าสนใจกว่าเยอะ

    ******ภควัณตัง******

    *****มีต่อ****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 ธันวาคม 2016
  7. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ...........สิ่งที่อยู่ๆโผล่พรวดออกมานั้น มันแปลกพิสดารพันลึกมากกว่าสิ่งไหน จากแสงไฟหน้ารีสอร์ท(หน้าบ้านพัก)ที่สาดมาถึงจางๆ จึงพอมองเห็นลักษณะท่าทางของสิ่งที่ปรากฏนั้นว่า ครึ่งท่อนบนตั้งแต่หัวลงมาจนถึงเอวเป็นคน จากเอวลงไปเป็นท่อนกลมลักษณะคล้ายลำตัวงูใหญ่ ทอดยาวจากเอวลงไป เห็นเป็นเกล็ดสีดำมะเมื่อม

    .......... ร่างกายท่อนบนที่เห็นเป็นคนนั้น เปรียบเหมือนคนรูปร่างใหญ่หนากว่าตัวผู้เขียนมากกว่าเป็นเท่าตัว สีผิวดำมะเมื่อมเมื่อสะท้อนกับแสงไฟ ปากอ้าใหญ่หนาจนเห็นเขี้ยวขาวๆเล็กๆด้านใน แต่ที่แน่ๆไม่มีลูกนัยน์ตา เพราะตากลวงโบ๋ดำลึกเข้าไปด้านใน

    ...........หากเป็นบุคคลทั่วไปมาเห็นสิ่งที่ไม่น่าเห็นแบบนี้เข้า ไม่วิ่งป่าราบก็มีหวังช็อคตายอยู่ตรงหน้านี้ เพราะเกิดมาท้องพ่อท้องแม่ ไม่เคยพบเห็นอะไรที่น่าหวาดหวั่นเท่านี้มาก่อน


    ..........ผู้เขียนยืนเพ่งดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พร้อมๆกับตั้งสมาธิ ยืนเพ่งมองในสิ่งอัปมงคลนี้ รำพึงเบาๆว่า

    ........“เราไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร เป็นตัวอะไร หากเราไม่เคยสร้างเวรร่วมกันมา ขออย่าได้มาหลอกหลอนหรือรบกวนเราเลย หากเราเคยสร้างเวรกันมา ก็ให้มาพูดจาหรือสื่อสารกันดีๆหรือจะเอาชีวิตก็ย่อมได้ เราไม่กลัวตาย แต่หากเราไม่เคยข้องแวะกันมาก่อนทั้งชาติก่อนและชาตินี้ ก็ขอให้ต่างคนต่างอยู่และถอยกลับออกไป และอย่ามารบกวน เพื่อจะได้ไม่มีเวรต่อกันและกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า”

    ..........กล่าวจบผู้เขียนก็ยืนมองอากัปกริยาฝ่ายตรงข้ามเขม็ง ว่าจะเอาไงแน่ ตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะรับหรือจะสู้

    ..........สิ่งตรงหน้าแยกเขี้ยวขาว เหมือนทำท่าจะกระโจนใส่ผู้เขียน ถอยตัวเข้าประชิดจอมปลวกใหญ่ ท่อนหางที่ยาวเหมือนงูพันรอบจอมปลวกเลยขึ้นไปตามลำต้นมะขามใหญ่ สูงสัก4-5เมตรเป็นอย่างต่ำ ปลายหางใหญ่เท่าแขนสีดำมะเมื่อมกระดิกระริกเหมือนงูหางกระดิ่งเมื่อเจอศัตรู

    ..........ผู้เขียนถอดประคำหลวงพ่ออุตตมะออกจากคอ อาราธนาขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บารมีหลวงพ่อ ช่วยปกปักคุ้มครองภยันต์อันตรายจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ด้วยเถิด ด้วยจิตที่ยึดมั่นในศรัทธาแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าและลูกประคำนี้ ขอให้เกิดเดชะบารมีคุ้มครองลูกด้วยเถิด

    ..........อธิฐานเสร็จ ผู้เขียนทำท่าจะเดินเข้าใส่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่กลัวเกรง หากสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากระโจนเข้าใส่ ผู้เขียนตั้งท่าจะฟาดด้วยลูกประคำนี้ให้แหลกคามือกันไปข้าง

    ..........จากท่าบ้าดีเดือดไม่ได้เกรงกลัวศัตรูที่อยู่ตรงหน้า และทำท่าจะเดินเข้าใส่ สิ่งประหลาดที่อยู่ตรงหน้ารีบหดตัวถอยออกไปโคนจอมปลวกอีก โดยที่ท่อนหางพันยืดขึ้นไปบนต้นมะขามแห้งตายซาก จากนั้นค่อยๆเอาหัวมุดเข้าไปในโคนจอมปลวกใหญ่ ที่ขึ้นห่อหุ้มต้นมะขามยักษ์ ค่อยๆแทรกตัวและคลายท่อนหางที่รัดต้นมะขามตามลงไปเรื่อยๆ จนหายเข้าไปในจอมปลวกใหญ่นั้น

    ...........เมื่อทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ ผู้เขียนจึงเอาลูกประคำหลวงพ่อคล้องคอดังเดิม ถอยออกจากที่ตรงนั้น แล้วเดินหันหลังกลับไปบ้านพักทันที แต่ใจยังสั่นระริก อดประหวั่นพรั่นพรึงกับเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อสักครู่นี้ไม่ได้


    ..........พรางคิดในใจว่า หากสิ่งนั้นเกิดมันบ้าดีเดือดไม่กลัวประคำ แล้วกระโจนสวนออกมา อะไรจะเกิดขึ้น นึกแล้วอดเสียวสันหลังไม่ได้ คงเกิดศึกระหว่างคนกับครึ่งคนครึ่งงู ดุเดือดเลือดพล่านแน่ๆ

    ..........ผู้เขียนก้าวเท้าขึ้นบ้านพัก ทั้งๆที่ไฟยังเปิดสว่างพรึบทุกดวงเท่าที่มี

    ..........“ตัวอะไรวะ เห็นหายไปตั้งนาน”

    ...........เสียงพี่สาวผู้เขียนถามออกมาจากในห้องนอน

    ..........“อ๋อ....ไม่มีอะไร หมามันวิ่งชนเสาบ้านน่ะ นอนเหอะ”

    ...........ผู้เขียนตอบตัดบท ทั้งๆที่ใจยังสั่นไม่หาย เพื่อจะได้ไม่ต้องถามและตอบอะไรอีก เพราะเวลาดึกมากแล้ว เพราะขืนเล่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ รับรองว่า คงไม่เป็นอันหลับอันนอนกันแน่ยันเช้า

    ...........เช้านี้ผู้เขียนตื่นแต่เช้ามืด ไม่ใช่ว่าหลับสบายแล้วตื่นเช้ามืดหรอกนะ รู้สึกว่าจะงีบไปไม่เท่าไหร่ก็ตื่น แล้วนอนคิดเรื่องที่เกิดเมื่อคืนกลับไปกลับมา ผู้เขียนพรางนึกขึ้นว่านี่กระมังที่เขาเรียกว่า อสุรกายหรือเปรตงู ที่เป็นตำนานเขาเล่ากัน


    ..........นอนคิดจนตาค้าง จึงตัดสินใจเอาหูฟังโทรศัพท์ใส่หูเปิดเพลงฟัง รอจังหวะที่จะลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา แล้วลงไปเดินผ่อนคลายด้านล่าง ทำสมองให้โปร่งโล่ง แล้วถือโอกาศเดินจงกลมไปในตัว เช้านี้อากาศเย็นสบายพอสมควร มีหมอกบางๆปกคลุมทั่วทั้งรีสอร์ท

    ...........“หมาอะไรมันมาวิ่งชนวะ หมาบ้าหรือเปล่า ชนอย่างแรง บ้านสะเทือนทั้งหลัง”

    ............พี่สาวหันมาถามผู้เขียน หลังจากนั่งกินอาหารเช้า พวกกาแฟ โอวัลติน ขนม อยู่ด้วยกัน อย่างอดสงสัยไม่ได้
    ผู้เขียนเลยตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมด ทั้งจากเมื่อตอนกลางวันเมื่อวาน และเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฟัง

    ...........“ไปเหอะ....รีบเก็บของ ไม่หย่งไม่อยู่มันแล้ว รีสอร์ทอะไรวะ มีผีด้วย ไปหาอยู่ที่อื่นดีกว่า ขืนอยู่คืนนี้เผื่อมันมาอีก คงได้ช็อคตายกันหมด”

    ............นั่นคือคำตอบเดียวและเป็นคำตอบสุดท้าย ที่จะอยู่ที่นี่

    ****ภควัณตัง****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 ธันวาคม 2016
  8. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ........ก่อนที่จะขึ้นเรื่องใหม่ ขอเช็คเสียงหน่อยครับ บางทีการส่งให้อ่าน ผู้เขียนก็ไม่รู้ว่ามีคนติดตามอ่านมากน้อยเท่าไหร่ หากลงไปแล้ว ไม่มีคนอ่าน ก็เหมือนโยนฝุ่นผงไปในอากาศผู้เขียนก็จะไม่ลงต่อ จะบันทึกเก็บไว้ในฮาร์ดดิสส่วนตัวก็พอครับ

    ....... แต่ที่แน่ๆก็มี1รายที่ติดตามอ่านแบบแฟนพันธุ์แท้ คือภรรยาของผู้เขียนเอง แถมเร่งต้นฉบับให้รีบส่งให้อ่านซะงั้น จึงอยากขอเช็คเสียงในบอร์ดดูบ้างว่า ชอบไม่ชอบยังไง ชอบแบบไหน หากสิ่งที่ชอบมีในพงสาวดาร(ประสพการณ์)ของผู้เขียนเอง ก็จะทะยอยเขียนลงให้อ่าน

    ....... แต่หากไม่มีก็จะไม่เขียน เพราะที่ลงๆไป ไม่ใช่แต่งนิยายให้อ่านสนุกๆครับ แต่แทรกเรื่องของบาป-บุญ-คุณ-โทษ-สิ่งเร้นลับที่เคยประสพมา อะไรประมาณนี้ ลองคอมเม้นต์มาให้อ่านบ้างครับ

    ***ภควัณตัง***
     
  9. chaiwat88

    chaiwat88 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +275
    อยากถามว่า พระศิวะ พระนาราย์ พระพิฆเนตร มีตัวตนจริงหรือไม่ครับและเป็นตำแหน่งของเทพชั้นสูงหรือเปล่า
     
  10. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    .......กราบเรียนญาติธรรม

    .......จากคำถามที่ถามมาว่า

    .......“พระศิวะ พระนารายณ์ พระพิฆเณศ มีตัวตนจริงหรือไม่ครับและเป็นตำแหน่งของเทพชั้นสูงหรือเปล่า”

    .........ท่านเล่นถามมาอย่างนี้ เล่นเอาผู้เขียนไปแทบไม่เป็นเลย อย่าลืมครับว่า อันตัวผู้เขียนนี้ ใช่สำเร็จระดับโสดาบันหรืออรหันต์ผล การตอบว่ามีหรือไม่มีเปรียบประดุจเป็นดาบสองคม หากตอบว่ามีตัวตนจริง อยู่สวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ ก็จะมีคนแย้งว่า แล้วไหนล่ะ อยู่ตรงไหน พาไปให้เห็นหน่อยสิ ไหนอธิบายรูปร่างลักษณะแบบละเอียดให้ฟังซิว่าเป็นแบบไหน ภรรยาผู้เขียนเคยถามว่า

    ........“หากบอกว่ามีจริง อย่างพระอินทร์มีกายสีเขียว แล้วจะมีลิ้นสีอะไร ไหนเธอบอกหน่อยซิ”

    .........ผู้เขียนก็ตอบว่า

    .........“เออ....สงสัยสีเขียวมั้ง เพราะร่างกายสีเขียว”

    ..........“จะบ้าหรือไง เป็นถึงเทพ จะมีลิ้นสีเขียวได้ยังไง เวลากินอะไร มันจะมีรสชาติหรือ ไม่รู้อย่ามามั่วตอบ”

    ...........เวลาเจอตัวท่าน ผู้เขียนลืมให้ท่านแลบลิ้นให้ดูว่าสีอะไร จึงตอบไม่ได้ หากตอบสีอื่นอีก ก็จะโดนว่าอีก งั้นตอบว่า

    ..........“งั้นคงไม่มีตัวตนมั้ง เป็นนิยายเฉยๆ”

    “จะบ้าหรือไงว่าไม่มี คนเขาเชื่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลทั่วบ้านทั่วเมืองว่ามี ถ้าไม่อย่างนั้นจะมีในพระไตรปิฎกหรือมีคนกราบไหว้กันหรือ”

    .........จึงเป็นคำตอบที่ตอบยากที่สุด และโดนต่อว่าทั้งขึ้นทั้งร่อง

    .........อันสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราไม่อาจพิสูจน์หรือไม่สามารถมองด้วยตาเนื้อให้เห็นและไม่อาจพิสูจน์ได้ จากคำตอบของเหล่าอาริยสงฆ์ ก็มีการกล่าวอ้างอิงจากตำราและความเชื่อโบราณว่ามีอยู่จริง แต่ความเชื่อนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม เหล่าพระอริยสงฆ์ต่างก็บอกไปในทำนองเดียวกันว่า เราไม่ควรไปใส่ใจเรื่องนี้มากนัก คือรู้ว่ามีอยู่แต่เราก็ควรกระทำที่ตัวเราเอง สนใจในคุณงามความดีของตนเองมากกว่าที่จะไปใส่ใจว่าตกลงมีหรือไม่มีจริง

    .........เรื่องของเทพเทวาต่างๆไม่ควรจะไปค้นหาเอาคำตอบเอาให้ได้ เพราะเป็นเรื่อง อจินไตย ที่คนธรรมดาสามัญไม่ควรคิดสงสัย เพราะคิดเท่าไหร่ก็ไม่มีวันที่จะเข้าใจหรือรับรู้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องรับรู้เอง ในกาลอันสมควร ก็คือตายแล้วเท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือการทำปัจจุบันให้ดีที่สุดก็พอ

    ..........เทพ เทวดา พรหม เป็นเรื่องของความเชื่อที่มีมานาน ซึ่งความเชื่อดังกล่าว มีทั้งเชื่อแบบมีเหตุผล เชื่อแบบงมงาย เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้เลย ซึ่งแต่ละแบบเป็นเรื่องสิทธิ์ส่วนบุคคล ไม่มีใครบังคับว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ

    .........พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า ถ้าไม่มองเห็นได้ด้วยตัวเองแล้วอย่าไปเชื่อตามว่าจะมีจริงหรือไม่ เทพ เทวดา พรหม ที่อยู่ในพระไตรปิฎก ก็เพราะว่าเป็นความเชื่อเก่าแก่ของประเทศอินเดียมาก่อน ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น เมื่อพระพุทธเจ้ามีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้มันมีมาก่อน จะเสียเวลาไปพิสูจน์หักล้างความเชื่อก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนที่ไม่บรรลุเห็นก็ไม่ได้

    ........ ท่านจึงพลอยเออออไปกับความเชื่อนั้นที่พูดคุยกันอยู่ แล้วก็ทรงแสดงสิ่งที่ดีกว่าให้เลิกละความสนใจหรือติดแน่นในสิ่งนั้นว่ามีจริงหรือไม่มีจริง ให้เลิกละความติดแน่นในนรก สวรรค์ ยมโลก พรหมโลก เทวดา อินทร์ พรหม ให้มาเอาสิ่งที่ดีกว่า คือเรื่อง โลกุตตระหรือนิพพาน โดยที่ไม่ต้องเสียเวลามาพิสูจน์เรื่อง เทวดา อินทร์ พรหม สวรรค์ นรก ซึ่งมีอยู่ในพระไตรปิฎก

    .........พระพุทธเจ้าตรัสว่าเรื่องเทพ เทวดา อินทร์ พรหมนี้ เขาพูดกันอย่างเอิกเกริกทั่วไปอยู่แล้ว เสียเวลาที่จะไปฝืน ความรู้สึกของเขาแล้วเราเองก็ต้องการอีกอย่างหนึ่งต่างหาก สิ่งที่ต้องการไม่ได้เป็นอันเดียวกับที่เราต้องการให้เขา หลงใหลในสวรรค์ เทพ เทวดา อินทร์ พรหม ไม่จำเป็นที่จะต้อง อธิบายเรื่อง นรก สวรรค์ เทพ เทวดา อินทร์ พรหมซึ่งเป็นสิ่งที่จะพิสูจน์กัน เดี๋ยวนั้นไม่ได้

    .........จนกว่าจะมีปาฏิหาริย์มากถึงกับบังคับจิตผู้คนหรือ กลุ่มประชาชน ให้เห็นนรกเห็นสวรรค์ เทพ เทวดา และพรหมด้วยอำนาจจิตได้อย่างแท้จริง ซึ่งสวรรค์และนรก เทพ อินทร์ พรหม จะจริงไม่จริงไม่ทราบ แต่ว่าสามารถบังคับด้วยปาฏิหาริย์ ให้พากันเห็นชัดเจนแท้จริงจนมีความเชื่ออย่างนี้ก็ทำได้

    ..........อุบายวิธีทางธรรม เช่นนี้ เราจะเรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านฉลาดในการสวมรอย หรืออะไรก็ตามเถิด แต่ว่า ความจำเป็นมันบังคับ ให้ทำได้เพียงเท่านั้นจะไปพิสูจน์ เรื่องนรก สวรรค์ เทพ อินทร์ พรหมกันมากกว่านั้น ก็ไม่มีเวลา ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอีกทั้งไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะเรื่องที่สำคัญนั้น ต้องการจะสอน ให้เห็น ความทุกข์ เดี๋ยวนี้ ให้เห็น เหตุให้เกิดทุกข์ เดี๋ยวนี้ กล่าวคือเรื่องอริยสัจสี่ นั่นเอง

    ..........เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงมีอุบายลัดๆ สั้นๆ ชำระจิตใจของประชาชน เรื่องนรก สวรรค์ เทพ พรหม เสียพอสมควรก่อน ได้แก่ ทรงแสดงเรื่อง ทาน เรื่องศีล แล้วเรื่องสวรรค์ แล้วย้ำเรื่อง โทษของสวรรค์แล้วจึงถึง เรื่องการออกไปเสียจากสวรรค์ ที่เรียกว่า “เนกขัมมะ”
    ........ การออกไปเสียจากกามคุณว่าจะมีผลดีอย่างนั้นๆ พอมาถึงขั้นนี้แล้ว คนที่เรียกได้ว่า มีหัวใจเคยเต็มไปด้วยตะกอนต่างๆ มาแต่กาลก่อนถูกชำระล้างหมดสิ้นดีแล้ว ก็พร้อมที่จะรู้อริยสัจสี่ คือ ทุกข์ มูลเหตุให้เกิดทุกข์สภาพที่ไม่มีความทุกข์เลยและวิธีปฏิบัติ ที่จะให้ลุถึงสภาพชนิดนั้น พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเรื่องของท่านโดยตรงเอาตอนนี้เอง

    .........ส่วนเรื่อง นรก สวรรค์ เทพ เทวดา อินทร์ พรหมอะไรนั้น เป็นตอนที่ไม่ใช่ใจความของพุทธศาสนา เขาเชื่อกันอยู่อย่างนั้นแล้ว เขาทำกันอยู่อย่างนั้นแล้วก่อนพระองค์เกิด ถ้าไปคิดว่าเรื่องนี้เป็นพุทธศาสนาก็เรียกว่า ไม่ยุติธรรม พระพุทธเจ้า ท่านไม่ต้องการสื่ออย่างนั้น เรื่องของท่านจึงมีแต่เรื่องโลกุตตระ คืออริยสัจเป็นพื้น เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า เรื่องสวรรค์หรือนรก เทพ อินทร์ พรหมนี้ไม่ใช่ประเด็นของพุทธศาสนาแต่มันพลัดมาอยู่ในคำของพระพุทธเจ้าได้ เพราะความจำเป็นอย่างนี้นั่นเอง

    ..........สรุปใจความสั้นๆว่า อย่าไปสนใจว่าจะมีจริงหรือไม่มีจริง คนที่จะรู้ได้คือผู้สำเร็จ มรรค ผล นิพพาน หรือผู้สำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่ง เท่านั้น ถึงจะตอบได้ว่ามันมีจริงหรือไม่ แต่เชื่อไหมว่าอริยบุคคลพวกนี้ ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ตอบตรงๆ เพราะมันไม่ใช่หนทางแห่งการดับทุกข์
    ..........เป็นการชักจูงให้ยึดมั่นถือมั่นชักจูงให้เชื่อถือในเทพ พรหม ซึ่งผิดจากหลักคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และทำให้มนุษย์เกิดกิเลศทั้ง ลาภ ยศ สรรเสริญ อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากอยู่ และพาลจะเป็นการอวดอุตริ บอกเล่าในสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้อีกต่างหาก ผู้เขียนเองไม่สามารถตอบได้เต็มปากครับว่า สิ่งที่ถามมานั้น มีอยู่จริงหรือไม่ เป็นเทพอยู่ในชั้นไหน

    ..........ผู้เขียนก็จะถามกลับเล่นๆว่า ท่านเคยเห็นลมและอากาศไหม ลมและอากาศมีรูปร่างลักษณะอย่างไร ทั้งๆที่เรารู้ว่ามีลมและอากาศอยู่รอบๆตัวเรา แต่เราก็ไม่สามารถตอบได้เต็มปากถึงลักษณะของลมและอากาศ ฉันใดก็ฉันนั้นครับ

    ..........เจริญในธรรม

    ****ภควัณตัง****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 ธันวาคม 2016
  11. inkpan

    inkpan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    284
    ค่าพลัง:
    +543

    ผมครับคอยติดตามอยู่
    ชอบแนว บาป-บุญ และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันครับ
     
  12. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ***ไสยเวทย์มนต์ดำ***

    .......ใครได้ดูละครเรื่องนาคี ช่วงกลางๆเรื่องกล่าวถึงชื่อบุคคลหนึ่งที่น่าสนใจและมีบทบาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตัวเอกที่ปราบพญานาคีได้ คือพ่อหมอเมืองอินทร์ ที่เป็นหมอไสยเวทย์ฤทธิ์เดชร้ายกาจ ปราบบรรดาเหล่างูบริวารของเจ้าแม่ได้สยบราบคาบ อีกทั้งสามารถทำเสน่ห์ให้คนลุ่มหลงได้

    .......คนรุ่นใหม่ดูแล้วสนุกตามไปด้วย แต่ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นั่นมันนิยายหรือละคร หากเป็นเรื่องจริงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีความสามารถขนาดนั้น หรือเป็นเรื่องเล่าให้สนุกแค่นั้น ไสยศาสตร์และไสยเวทย์ไม่มีจริง คนโง่และงมงายเท่านั้นที่จะเชื่อว่ามีจริง

    .......เรื่องที่ผู้เขียนจะเขียนต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผู้เขียนเคยคิดแบบดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คือมันไม่มีจริง ไสยเวทย์เสกเป่ารวมถึงบทสวดคาถาต่างๆ เป็นเพียงเรื่องของจิตวิทยา มันไม่ได้เป็นตัวทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามต้องการได้ เป็นจิตวิทยาที่แค่ทำให้คนรู้สึกสบายใจขึ้นได้เท่านั้น

    ........โดยต้องขอออกตัวก่อนว่า เนื้อเรื่องที่เป็นบทสวดหรือคาถาต่างๆที่อ้างอิง ของดเว้นตัวอักษรในคาถาดังกล่าว เพื่อป้องกันการเอาไปใช้ในสิ่งที่ไม่เกิดผลดี และสร้างความเดือดร้อนแก่คนอื่น และขอยืนยันว่า เรื่องที่จะเล่าดังต่อไปนี้ เป็นความจริงจากประสพการณ์โดยตรงของผู้เขียน100%บทคาถาบางบทยังใช้ได้อยู่เต็ม100%

    .........เมื่อประมาณปี2526-2527 ผู้เขียนได้มีโอกาสได้ไปทำงานกับพี่ชาย(ปัจจุบันเสียชีวิตแล้วจากอุบัตเหตุทางรถยนต์) พี่ชายของผู้เขียนมีอาชีพเป็นช่างรับเหมาก่อสร้าง พวกโบถส์ วิหาร ศาลาการเปรียญ เมรุเผาศพ ทั้งสร้างใหม่ หรือบิวส์ของเก่า(ซ่อมแซม)เรียกว่ามีหน้าที่รับเหมาสร้างงานให้กับวัดต่างๆทั่วประเทศ

    ..........ครั้งนั้น(ที่ผู้เขียนไปอยู่ด้วย)เหมางานทางวัดไว้4-5ที่ กระจายกันไปตามวัดต่างๆบริเวณไม่ห่างกันมากนักภายในจังหวัดเดียวกันคือจังหวัดพิจิตรผู้เขียนจึงถูกวางตัวให้ควบคุมดูแลการก่อสร้าง ณ.วัดหนึ่งไม่ไกลจากตัวเมืองพิจิตรมากนัก
    ......... วัดนี้เป็นการสร้างเมรุเผาศพ ซึ่งทางวัดยังไม่มี การดำเนินการก่อสร้างจึงเริ่มขึ้น ตั้งแต่การทำฐานราก เทคาน ไล่เรื่อยไป ซึ่งผู้เขียนก็มีหน้าที่ ดูแลทั้งคน(กรรมกรพื้นบ้าน)และตามแปลนที่พี่ชายบอกหมายไว้ให้ตามโครงสร้าง

    ...........ผู้เขียนจึงมีหน้าที่จดๆๆๆๆๆแล้วก็ดำเนินตามแผนงานก่อสร้างไปเรื่อยๆ โดยที่พี่ชายไปคุมงานอยู่อีกที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ต่างวัดต่างพื้นที่กันออกไป นานๆเป็นอาทิตย์หรือครึ่งเดือนก็จะกลับมาดูความคืบหน้าการก่อสร้างเสียครั้งหนึ่ง

    ...........ผู้เขียนจึงเหมือนตัวเมนหลักคอยดูแลอยู่ที่นี่ ทั้งประสานงานกับทางวัดเรื่องขาดเหลืออะไรต่างๆ การคุมงานที่นี่จึงค่อนข้างหนักกว่าที่อื่นตรงที่ พี่ชายผู้เขียนเหมางานสร้างไว้2อย่างคือ สร้างเมรุและสร้างโบสถ์ใหม่ไปพร้อมๆกัน คนงานจึงมีเกือบๆ30คน ทั้งช่างประจำและกรรมกรพื้นบ้าน

    ...........วัดนี้ผิดแผกกับวัดอื่นๆตรงที่ ภายในบริเวณวัด มีต้นตะเคียนเยอะมาก มีเป็น20-30ต้น แต่ละต้นขนาด4-5คนโอบ อย่างเล็กสุดคือ2-3คนโอบ บรรยากาศจึงดูร่มคลึ้มไปหมด หากไม่คิดอะไรก็รู้สึกถึงความเย็นสบายดี แต่หากคิดมากจะดูเหมือนน่ากลัวในเวลากลางคืนซักหน่อย เพราะมองไปทางไหน ก็จะเจอแต่ต้นตะเคียนดำทะมึนไปทั้งหมด
    ...........ส่วนบริเวณด้านหน้าวัดอยู่ใกล้กับแม่น้ำ ซึ่งห่างกันประมาณ100 เมตร วัดนี้มีพระเพียง2รูป รูปหนึ่งคือท่านเจ้าอาวาส อีกรูปหนึ่งเป็นพระที่พึ่งบวชใหม่ตามประเพณี

    ............“โยมว่างไม๊ มาช่วยจัดที่ทางบนศาลาให้หน่อยสิ พรุ่งนี้จะมีงานบุญ ดูแล้วมันรกเหลือเกิน”

    ............ท่านเจ้าอาวาสเอ่ยถามขึ้น ขณะที่ผู้เขียนกำลังช่วยคนงานผูกเหล็กเสาอยู่

    ............“อ๋อ.....ได้ครับ จัดที่ไหนครับหลวงพ่อ”

    .............ผู้เขียนรับอาสาท่านเจ้าอาวาส ที่อุดส่าห์เดินมาตาม ท่านเจ้าอาวาสองค์นี้อายุประมาณ60-70ปี เป็นคนจิตใจดี เวลาบินฑบาตรมา เมื่อฉันท์เสร็จก็จะให้ลูกศิษย์วัดมาตามผู้เขียนทุกวัน เพื่อจะเอาพวกกับข้าวที่ฉันท์เสร็จแล้วแบ่งให้ผู้เขียน เพื่อจะได้เอาไปแจกพวกบรรดาช่างให้ได้กินกันอีกทอดหนึ่ง แต่เสียตรงที่ขาของท่านไม่ค่อยดี คือลีบข้างหนึ่ง เวลาเดินจึงเดินกระเผลกๆ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะผู้เขียนเคยถามว่าเกิดจากอะไร ท่านบอกว่าเป็นมาตั้งแต่เกิด

    .............ศาลาหลังดังกล่าวเป็นศาลาไม้ยกพื้น สามารถจุคนได้ไม่ต่ำกว่า100คน นับว่ากว้างพอประมาณมีบันไดทางขึ้น2ข้าง แล้วบรรจบเข้าสู่ตัวศาลา ด้านบนเป็นพื้นไม้กระดานวางเรียบเสมอกันเป็นมันเงา บางครั้งหากมีเวลาว่างจากงานเช่นวันอาทิตย์ที่คนงานหยุดพักผ่อน ผู้เขียนก็จะใช้คนงานหญิงที่อยู่ประจำขึ้นไปช่วยปัดกวาดเช็ดถูบ้างเป็นบางครั้งบางคราว

    .............บริเวณที่ท่านเจ้าอาวาสพาผู้เขียนไปชี้บอกตำแหน่ง เป็นบริเวณตู้พระไตรปิฎก ซึ่งมีสภาพค่อนข้างรกจริงๆ ฝุ่นจับเกรอะกรัง มีหนังสือสวดมนต์พิธีต่างๆ หนังสือเกี่ยวกับศาสนา ถูกทิ้งไว้กระจัดกระจาย รวมถึงคัมภีร์ใบลานที่ตกหล่นกระจายเต็มพื้นด้านล่าง บางเล่มถูกหนูแทะจนขาดแหว่งใช้การไม่ได้ อาจจะเป็นด้วยแมวปีนขึ้นไปจับหนู ทำให้หนังสือต่างๆตกหล่นกระจัดกระจายก็เป็นได้

    .............ก่อนอื่นผู้เขียนมีข้อสังเกตุและอยากบอกกล่าวอย่างหนึ่งคือ บางคนชอบถวายหนังสือทั้งบทสวดหรือเกี่ยวกับศาสนาให้ตามวัดต่างๆ ผู้เขียนเห็นว่าดีและมีประโยชน์เป็นอย่างมากและได้บุญกุศลมาก

    .............แต่ท่านทั้งหลายที่ถวายแล้ว เคยเข้าไปดูหรือเข้าไปตรวจเช็คบ้างหรือเปล่าว่า หนังสือที่ท่านถวายไปนั้น ได้ใช้ประโยชน์บ้างหรือเปล่า มันเกินจากประโยชน์ไปหรือเปล่า มีคนมาหยิบอ่านบ้างไม๊ มันถูกจัดเก็บหรือถูกจัดวางไว้ที่ใด อยู่ในสภาพแบบไหน

    .............ส่วนมากผู้เขียนคิดว่าคงไม่มีใครสนใจ คือถวายแล้วก็เหมือนทิ้งเลย เหมือนกับเอาเศษขยะไปทิ้งไว้ตามวัด เพราะมันไม่ได้ใช้ประโยชน์อันใด พระเมื่อรับประเคนแล้ว ก็หอบเอาไปกองสุมๆเหมือนเศษขยะหรือเป็นที่อยู่ของหนูและแมลงสาบ คือก่อนถวายของพวกนี้ น่าจะตรวจดูความจำเป็นขาด-เหลือของวัดก่อนดีไหม สอบถามก่อนว่าขาดเหลือจริงๆค่อยนำไปถวาย หลายวัดที่ผมเคยผ่านตา ถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพที่รก สกปรก ฝุ่นจับกรัง จนไม่น่าหยิบเอามาอ่าน

    ............วันนั้นผู้เขียนจัดการกับหนังสือต่างๆทั้งวันจนเย็น ซึ่งมีเยอะมาก ส่วนหนึ่งก็แยกประเภท ทียังใช้ได้ก็เอาไปเรียงไว้โซนมุมห้องที่ไม่เกะกะ อีกส่วนหนึ่งที่ใช้การไม่ได้ก็ขนลงไปด้านล่างเพื่อเผาทำลาย

    .............ผู้เขียนมาสดุดตากับคัมภีร์ใบลานนั่นเอง ที่หล่นกระจายอยู่เต็มพื้น ตัวตู้คัมภีร์เป็นกล่องสีเหลี่ยมผืนผ้ากว้างยาวประมาณ 50*70 เซนต์ติเมตร ถูกวางอยู่ด้านบนตู้พระไตรปิฎก ลักษณะเอียงคว่ำตะแคง จึงทำให้ใบคัมภีร์ด้านในซึ่งเป็นใบลานเก่าๆ ตกหล่นลงมาด้านล่าง ส่วนที่ไม่หล่นคือมีเชือกร้อยเป็นเล่มไว้ แต่เชือกก็ค่อนข้างจะเปื่อยยุ่ย จึงขาดหลุดลงมากองเป็นชุดๆ

    .............ใบลานแผ่นหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าผู้เขียน เป็นการเขียนโดยใช้หมึกสีดำเขียนลงบนตัวใบลาน ลายมือเหมือนกับคนโบราณเขียน คือตัวหนังสือโย้ไป-มาตวัดเล่นหาง เหมือนสมุดข่อยโบราณ ผู้เขียนลองหยิบขึ้นมาพิจารณาอ่านดู บางคำอ่านได้เหมือนปกติ
    แต่บางคำอ่านไม่เข้าใจ เพราะเป็นภาษาที่พูดตรงๆตัว ในบทคาถายกตัวอย่างเช่น....

    ............"โอม มะ หา ละ ลวย ถา แล โทด ถงิ ตาย ลัง เปน ไส เทยีน"

    ............ประมาณนี้ บางประโยคต้องอาศัยเดาเอาว่าคงจะอ่านว่าอย่างนี้ๆ

    .............ความรู้สึกสนใจจึงแล่นเข้าสู่ผู้เขียนอย่างแปลกประหลาด เหมือนมีสิ่งดลใจอะไรซักอย่างให้ลองอ่านดู ทั้งๆที่อ่านไม่ค่อยออก แต่ก็มีบางคำอ่านพอได้เข้าใจ ตัวบทคาถานั้นคงไม่มีปัญหาเพราะผู้เขียนอ่านได้ แต่คำสาธยายความสำคัญของบทคาถานี่สิ ต้องพยายามอ่านให้ออกว่า ใช้บทคาถานี้เพื่อทำอะไร คือเห็นว่ามันแปลกและท้าทายดี ว่าในตัวคัมภีร์ทั้งเล่มนั้น พูดถึงหรือเขียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง

    .............“เอ้อ.... หลวงพ่อครับ ผมขอยืมเอาคัมภีร์นี้ไปลองอ่านดูนะครับ ไม่รู้ว่าคัมภีร์อะไร”

    ............ผู้เขียนเอ่ยกับท่านเจ้าอาวาส หลังจากจัดกองหนังสือเสร็จ แล้วท่านเดินมาดูความเรียบร้อย

    ............“เอาไปดูซิโยม มันตกมาเกลื่อนไปหมด รกด้วย อาตมาก็ไม่รู้คัมภีร์อะไร อ่านก็ไม่ออก ว่าจะเอาไปไว้ที่อื่นหรือเผาทิ้งตั้งหลายครั้งแล้ว เก็บไว้ก็รก เห็นมันตั้งอยู่ตั้งแต่อาตมาบวชใหม่ๆโน่น ไม่รู้ใครเอามาตั้งทิ้งไว้”

    ............“โยมเอาไปก็ดีแล้ว จะเอาไปไหนก็ตามสบายนะ เมื่ออ่านเสร็จจะเก็บเอาไว้หรือเอาไปไว้วัดอื่นหรือจะเผาทิ้งก็ได้ ตามสะดวกเลยโยม เก็บเอาไว้ก็รกเปล่าๆ”

    ............ท่านเจ้าอาวาสกล่าวทิ้งท้ายกับผู้เขียนแล้วเดินหันหลังกลับไปอย่างไม่สนใจกับกล่องคัมภีร์ที่ผู้เขียนหอบไว้ในมือ

    ****ภควัณตัง****

    มีต่อ*****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 ธันวาคม 2016
  13. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ..........ตู้คัมภีร์ที่ผู้เขียนหอบมา ผู้เขียนหอบเอาไปวางไว้ด้านหัวนอน ที่เป็นพื้นกระดานยกพื้นสูงประมาณเอว ใช้สำหรับเป็นที่นอนของผู้เขียน ปกติศาลาเล็กที่ใช้นอน จะมีบรรดาช่างประจำที่ทำงานอยู่ด้วยกันมานอนด้วย แต่คนพวกนี้ เวลาช่วงงานเลิกตอนเย็น ชอบนั่งคุยและกินเหล้ากัน

    ......... ผู้เขียนจึงไปขอหลวงพ่อเจ้าอาวาสว่า ขอให้ช่างพวกนี้ขึ้นไปนอนบนกุฏิว่างๆที่มีอยู่ประมาณ3-4หลังได้ไม๊ เพราะจะได้ไม่ต้องมานอนเบียดแออัดกัน ซึ่งบางคนก็มีภรรยามาอยู่ด้วย จึงไม่เหมาะที่จะมากางมุ้งนอนรวมๆกันใกล้กัน ด้วยเห็นว่ากุฏิก็ยังว่างไม่มีพระอยู่ ท่านเจ้าอาวาสจึงอนุญาตให้ไปนอนได้

    ..........ศาลาหลังเล็กที่เคยนอนกันหลายๆคน จึงเหลือแต่ผู้เขียนนอนกางมุ้งอยู่คนเดียว ปกติศาลานี้จะใช้สำหรับทำอาหารเวลามีงานบุญต่างๆ ด้านหลังศาลาเล็ก มีห้องน้ำห้องส้วมประมาณ7-8ห้อง

    ..........ทราบมาว่าเมื่อก่อนนานมาแล้ว ตั้งแต่ตั้งวัดใหม่ๆ เป็นที่สำหรับเอาไว้สำหรับตั้งศพชั่วคราว ก่อนที่จะเอาไปเผายังวัดอื่นที่มีเมรุ เพราะวัดนี้ยังไม่มีเมรุ

    ..........ค่ำนั้นหลังจากผู้เขียนปฏิบัติภารกิจเสร็จแล้ว จึงกางมุ้งเตรียมนอน ก่อนนอนจึงไม่ลืมที่จะเอาใบลานที่บันทึกเป็นคัมภีร์ภายในตู้ออกมาลองอ่านดู

    ..........ผู้เขียนค่อยๆพลิกอ่านทีละใบ ทีละใบ ไปเรื่อยๆ ด้วยความอยากรู้ว่า ด้านในมีคาถาอะไร และมีคุณประโยชน์อะไรบ้าง กะคร่าวๆจากใบคัมภีร์ที่มีอยู่ มีไม่น้อยกว่า100ใบ ถูกสลักเป็นตัวหนังสือ และเลขยันต์ด้วยหมึกดำแบบโบราณ ลายมือโย้ไปโย้มา เล่นหางตวัดไปมา อักษรต่างๆถูกเขียนทั้งด้านหน้าและด้านหลังของใบลาน

    ..........เพื่อเป็นการประหยัดพื้นที่ เวลาอ่านจึงต้องพลิกกลับไปกลับมา ดูให้ดีว่ามันต่อเนื่องกัน บางแผ่นบางข้อความก็หลุดหายไป ก็ต้องหาแผ่นที่หายเอามาเรียงต่อกันเหมือนการต่อจิ๊กซอร์ บางแผ่นที่เป็นเลขยันต์จะใช้เชือกหรือด้ายเส้นใหญ่เย็บร้อยใบลานติดกับแผ่นกระดาษเก่าๆคล้ายๆกระดาษสาสีน้ำตาลอมแดง

    ............เท่าที่ผู้เขียนลองอ่านๆดูเท่าที่สามารถอ่านได้ ด้านในคัมภีร์จะเขียนเกี่ยวกับบทคาถาและคุณประโยชน์ของคาถานั้นๆว่าใช้ทำอะไรบ้าง ยกตัวอย่าง เช่น

    .............คาถาเสกว่าน108 ช่วยให้อยู่ยงคงกระพันชาตรี ยิงแทงไม่เข้า ใช้เสกด้วยคาถาแล้วใช้หัวว่านเคี้ยวในปากอมไว้ ต่อให้มีดลงอาคมก็ไม่สามารถระคายผิวได้

    .............คาถามนต์มหาเสน่ห์ ใช้เสกเป่าเวลาพูดคุย ทำให้ฝ่ายตรงข้ามพูดจาอ่อนหวานกับเราทันที จากที่โกรธหรือไม่ถูกกัน ก็กลับกลายเป็นพูดดีด้วย

    .............คาถากำบังกาย ใช้สวดท่องเวลาเกิดเหตุคับขัน ทำให้ศัตรูมองไม่เห็น โดยการหยิบดินหรือหญ้าข้างตัว เอามาเสกด้วยคาถา แล้วโปรยโรยรอบๆตัว ป้องกันมิให้ศัตรูมองเห็น แม้จะพยายามควานหาเท่าไหร่ ก็มิอาจเจอตัว(พระคาถานี้เท่าที่ผู้เขียนพอรู้มาว่า เหล่าโจรสำคัญๆในอดีตชอบใช้กันมาก)

    ..............เสกหุ่นขี้ผึ้ง โดยการปั้นขี้ผึ้งมัดด้วยด้ายสายสิญจน์ ให้เป็นรูปคนหรือรูปสัตว์ต่างๆ เสกด้วยคาถา108จบ ใช้เสกคาถาเรียกวิญญาณต่างๆเอามาตรึงไว้ในหุ่น เอาไว้เป็นบริวาร หรือคอยรับใช้ มีรายละเอียดรวมถึงวิธีการทำหลายหน้า ทั้งปั้นด้วยขี้ผึ้งหรือมัดด้วยด้ายสายสิญจน์ มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆกันหรือใช้ทำเสน่ห์ โดยการปั้นหุ่นสมมุติชาย-หญิง มัดประกบกันด้วยด้ายปลุกเสก เสกคาถากำกับลงไป ทำให้ลุ่มหลง ไม่มีใจเป็นอื่น

    ................เสกหุ่นพยนต์ คือการมัดด้ายหรือฟางหรือเชือกเป็นรูปคน พันด้วยด้ายสายสิญจน์ของศพปลุกเสก ใช้คาถาเรียกวิญญาณมากำกับไว้ในตัวหุ่น สามารถใช้ไปทำร้ายศัตรู ใช้เป็นบริวาร ใช้แสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆตามแต่เจ้าของจะสั่งให้ทำ วิญญาณที่เรียกมากำกับไว้มีทั้ง ยักษ์ เทพชั้นต่ำ ผีตายโหง สัมภเวสีต่างๆ หรือที่ร้ายๆ มีฤทธิ์เดชมากกว่าหุ่นขี้ผึ้งหลายเท่า เพราะผู้ปลุกเสก สามารถเลือกวิญญานที่จะมากำกับไว้ใช้งานได้

    ...............ใช้เวลาในการทำพิธีกำกับ3วัน3คืนเป็นอย่างต่ำหรือมากกว่านั้นหากต้องการบรรจุวิญญานหลายดวงเอาไว้ในตัวหุ่น เพื่อเพิ่มฤทธิ์เดชให้มาก เสกเป่าด้วยคาถา198จบ ทั้งเสกลงบนตัวหุ่น และด้ายสายสิญจน์มัดศพ สวดท่องแบบไม่หยุด มีจดรายละเอียดวิธีการทำ วิธีมัดตัวหุ่นไว้หลายหน้าหลายแบบ

    ................มนต์เสกหมากพลู ให้ฝ่ายตรงข้ามกิน เมื่อกินแล้วจะจังงัง เหมือนเป็นใบ้ตัวแข็ง ถึงพูดได้ก็พูดจาเลอะเลือน จับใจความไม่ได้ หากผู้ปลุกเสกมีวิชาแก่กล้า สามารถทำให้เป็นใบ้ บ้าบอได้ เราจะทำอย่างไรก็ได้

    ...............มนต์เสกคาถาทำน้ำมนต์ แก้โดนคุณไสย ไล่ผี ไล่สิ่งอัปมงคล

    ..............มนต์หลงกู มหาเสน่ห์ เสกเป่าลงบนกระหม่อมผู้ที่เราชอบ จะทำให้ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น จากเกลียด กลายเป็นชอบ จากชอบกลายเป็นรัก แต่ต้องเสกเป่าเป็นเวลา3ครั้งและ7วันครั้ง แล้วจะค่อยๆเสื่อมไปเองหากหยุดกระทำหรือเสกมนต์กำกับเรื่อยๆ

    ..............มนต์เรียกผัวเรียกเมีย ใช้สิ่งของผัว3อย่างหรือคนที่เราชอบ มาเสกกำกับลงในตัวหุ่นขี้ผึ้ง ใช้เวลาไม่เกิน3วันเห็นผลหรือเขียนยันต์ลงบนผ้า เสกเป่าด้วยคาถา ผูกติดไว้ชายคาบ้านด้านทิศทางลมที่จะพัดไปในทางที่เราต้องการ หรือมัดด้วยด้ายสายสิญจน์เก็บไว้ใต้หมอน เสกด้วยคาถาทุกวันก่อนนอน เป็นอีกหนึงมนต์ที่ได้รับความนิยมระดับต้นๆ จากบรรดาหมอเสน่ห์

    ..............มนต์เรียกคู่ ใช้เขียนชื่อลงบนผ้ายันต์ ลงอักขระยันต์กำกับ พับเก็บไว้ใต้หมอน ยิ่งรู้รายละเอียดคนที่เราชอบหรือต้องการมาเป็นคู่มากเท่าไหร่ ยิ่งเกิดผลดีและใช้ระยะเวลาสั้นที่จะเรียกให้มาหาเรา หรือใช้เรียกชื่อคนที่เราต้องการมาเป็นคู่ลงในตัวพระคาถา ใช้จิตส่งนึกไปถึงใบหน้าคนที่เราชอบที่เราต้องการ เสกด้วยคาถากำกับใช้คาถาสวด58จบในแต่ละวัน ไม่เกิน3วัน7วันเห็นผล จะทนอยู่ไม่ได้ต้องรีบมาหาเราภายใน3วัน7วันเป็นอย่างช้า

    ..............มนต์ล้างอาถรรพ์ ใช้เสกน้ำมนต์พรมไปบนสิ่งที่เราต้องการหรือใช้ล้างหน้าล้างตัว แก้หรือล้างสิ่งไม่ดี สิ่งอัปมงคลต่างๆ แก้อาการลมเพลมพัดจากฝ่ายตรงข้าม

    .............คาถาผูกมัดวิญญาณให้มารับใช้เรา พร้อมทั้งสอนขั้นตอนและวิธีการทำมัดด้วยด้ายสายสิญจน์ เพื่อเรียกวิญญาณเอามาเก็บไว้ใช้ยามที่จำเป็น ใช้วิธีเดียวกันกับการเรียกวิญญาณลงหม้อ ตรึงไว้ด้วยอาคมและด้ายสายสิญจน์ วิญญาณจะไม่ได้ไปผุดไปเกิด วิญญาณจะถูกตรึงอยู่ที่ด้ายหรือในหม้อจนกว่าจะเสกคาถาคลายมนต์สะกดหรือปลดปล่อยดวงวิญญาน

    .............คาถาเรียกวิญญาณทั้งหลาย ใช้สวดเรียกวิญญาณทั้งหลาย ทั้งใกล้และไกล ให้มาหา ใช้สวดไม่เกิน98จบ ในแต่ละครั้ง วิญญาณทั้งใกล้และไกลจะทนไม่ไหว ต้องออกมาหาให้ได้ แล้วเลือกจับเอาเป็นทาสรับใช้ โดยการสะกดวิญญาณให้มาอยู่ในสิ่งที่ต้องการ
    คาถาเสกอาวุธและวิธีการทำดาบอาคม ลงอักขระต่างๆบนดาบ ฟันแทงศัตรูเข้าแม้จะลงอาคมหรือสักยันต์ต่างๆมาก่อน ก็ไม่อาจอยู่ยงคงกระพันได้

    ..............คาถาเรียกจิตภูติทั้ง4 อันนี้ผู้เขียนไม่แน่ใจ เพราะอ่านคำสาธยายไม่เข้าใจ คิดว่าน่าจะเป็นการเรียกวิญญานออกจากตัวคนในขณะหลับ โดยไม่ต้องตื่นเลย(ตาย) เอามาไว้เป็นบริวารหรือข้าทาสหรือต้องการฆ่าศัตรูให้ตายอย่างหาสาเหตุไม่ได้

    ............คาถาสักน้ำมันยันต์ผี โดยใช้น้ำมันพรายสักลงบนตัว ทำให้อยู่ยงคงกระพันธ์ อาวุธไม่ระคายผิวเหมือนมีสิ่งเร้นลับ รับเอาไว้แทน สามารถตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรงโดยที่ไม่ต้องออกแรงมาก เหมือนมีพละกำลังคูณ2 อธิบายถึงวิธีการทำ วิธีการสัก และการปลุกเสกใช้น้ำมันพรายผีตายโหง

    ............และที่อ่านไม่ออกแปลไม่ได้อีก10กว่าคาถาหรือตัวมนต์ต่างๆ ผู้เขียนพิจารณาดูแล้วว่า ตัวบทคาถาหรือวิธีการต่างๆในการทำ เป็นไปในทางไสยเวทย์มนต์ดำแทบจะทั้งหมด หากตกไปอยู่ในคนพาล ย่อมเกิดสิ่งที่ไม่ค่อยดีแน่นอน ไม่ว่าสิ่งนี้จะดีหรือไม่ดี ไม่ว่าจะสำเร็จตามคำอวดอ้างสรรพคุณหรือไม่ หากใช้ไปในทางที่ผิด ย่อมเกิดคุณประโยชน์ที่ไม่สู้ดีตามมาแน่ๆ

    ............สรุปมีใบลานทั้งหมด180แผ่น โดยไม่รวมแผ่นแทรกที่เป็นกระดาษสาเก่าๆ ซึ่งผู้เขียนไม่ได้นับว่ามีกี่แผ่น ผู้เขียนพยายามต่อเรียงให้สมบูรณ์ให้ได้มากที่สุด แต่ก็มีที่ไม่สามารถเรียงเนื้อหาให้เข้ากันได้อยู่บ้าง เพราะไม่เข้าใจในตัวบทคาถาและอ่านไม่ออกแปลไม่ได้

    ............คืนนั้นแทบทั้งคืนผู้เขียนจึงแทบจะไม่ได้นอนเลย


    ******ภควัณตัง*****

    ******มีต่อ*******
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 ธันวาคม 2016
  14. Mr. Thanitanint

    Mr. Thanitanint Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +75
    ติดตาม อยู่ครับ
     
  15. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ............คืนที่สอง ผู้เขียนเปิดอ่านทบทวนแผ่นคัมภีร์ใบลานอีกรอบ พร้อมๆกับคิดตามว่า จะเอายังไงดีกับคัมภีร์พวกนี้ จะเอาไปเผาทิ้งก็รู้สึกเสียดายในบทคาถาหรือเนื้อหาบางอย่างในตัวคัมภีร์ เพราะบางเนื้อหาในตำรา มีพวกบทสวดคาถาที่น่าจะเป็นประโยชน์แทรกอยู่บ้าง แม้ไม่มาก แต่ก็น่าจะอนุรักษ์ไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานดูในทางที่จะเป็นประโยชน์

    ........... เช่นลักษณะการบันทึก ตัวอักษร หรือภาษาเขียนผู้เขียนเลยตัดสินใจคัดลอกตัวบทคาถาบางบท ที่รู้สึกสนใจและน่าจะใช้ประโยชน์ได้บ้างลงในสมุดปกแข็งที่ใช้ในการบันทึกงานก่อสร้าง เพียงแต่บันทึกกลับด้านไว้ด้านหลัง

    ............การคัดลอกจึงเป็นการคัดลอกบางส่วนเก็บไว้ และเป็นบทที่ไม่สลับซับซ้อนมากนักในการท่องสวดหรือปฏิบัติ และก็ไม่ได้คิดไปในทางที่ไม่ดี ที่จะเอาไปใช้ประโยชน์อย่างจริงจังในตอนนั้น ส่วนบางอย่างที่ดูจะพิสดารมากไป ผู้เขียนก็ไม่ได้จดบันทึก เช่นการเสกหุ่นพยนต์หรือปั้นหุ่นขี้ผึ้ง

    ............ เพราะผู้เขียนเคยได้ยินประสบการณ์จากคนบอกเล่าต่อกันมาว่า การปฏิบัติที่เหนือมนุษย์มากเกินไป หากเรามีพื้นฐานที่แข็งแรงย่อมประกอบการหรือเรียนศาสตร์ชนิดไสยเวทย์เหล่านี้ได้ แต่หากพื้นฐานไม่แข็งแรงแล้ว ย่อมมีโทษตามมาเข้าตัวเอง โดยไม่มีใครสามารถช่วยได้ เพราะปฏิบัติกับสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านั่นเอง

    ............และที่สำคัญคือ การที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาของคัมภีร์เล่มนี้ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ใครเป็นคนเอามาทิ้งไว้ที่วัดแห่งนี้ เจ้าของคัมภีร์คือใคร ทำไมถึงมีความรอบรู้ในศาสตร์นี้มากนัก เพราะมีความสามารถในการจดบันทึกได้ดีพอประมาณ หากย้อนไปในความเก่าแก่ของตัวคัมภีร์แล้ว

    ...........ผู้เขียนเชื่อว่า มันไม่ง่ายนักกับการที่จะหาอุปกรณ์มาจดบันทึกในครั้งนั้น เจ้าของคัมภีร์น่าจะมีความเก่งและแก่กล้าในไสยเวทย์อย่างที่จะหาตัวจับยากคนหนึ่งทีเดียว

    ............เมื่อผู้เขียนจดบันทึกจนรู้สึกว่าพอใจในระดับหนึ่งแล้ว จึงพับตัวคัมภีร์เก็บไว้ให้เป็นระเบียบ พร้อมทั้งปิดฝาให้เรียบร้อย นำตะปูตัวเล็กๆขนาดครึ่งนิ้ว ตอกปิดฝากันคนอื่นมาเปิดอีกต่อไป

    ............การคัดลอกตัวอักษรทั้งตัวบทคาถาต่างๆของผู้เขียน จึงเหมือนการขโมยวิชาโดยที่เจ้าของผู้บันทึกไม่ได้อนุญาติให้ทำการคัดลอกหรือเรียนต่อ ผู้เขียนจึงรู้สึกผิดบ้าง แต่ก็ได้จุดธูปเทียนขอขมาในตัวเจ้าของคัมภีร์ว่า

    ..........“อันตัวข้าพเจ้ามิได้มีเจตนาที่ไม่ดีในการขโมยคัดลอกตัวบทคาถาในครั้งนี้ มิได้ตั้งใจที่จะเอาวิชานี้ไปหากินเพื่อประโยชน์ทรัพย์สินเงินทองแต่อย่างไร ต้องการเพียงแค่อยากพิสูจน์ถึงความมหัศจรรย์และความเข้มขลังของตัวบทคาถาบางบทเท่านั้น มิได้มีเจตนาลบหลู่แต่อย่างไร ขอเจ้าของคัมภีร์นี้โปรดอย่าถือโทษโกรธเคืองในตัวข้าพเจ้าเลย เมื่อได้พิสูจน์ถึงความเข้มขลังของตัวบทคัมภีร์แล้ว ข้าพเจ้าของดเว้นการใช้ในการต่างๆตลอดไป และขออุทิศบุญกุศลที่ข้าพเจ้าพึงมีให้แก่เจ้าของคัมภีร์นี้ด้วยเทอญ”

    ............จากนั้นผู้เขียนก็ปิดสมุดบันทึก และไม่ได้ใส่ใจเปิดขึ้นมาดูอีกเลย

    ****ภควัณตัง****

    มีต่อ******
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ธันวาคม 2016
  16. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ...........ก่อนเข้าพรรษา 2 อาทิตย์

    ..........“โยมน้องช่างใหญ่ อาตมามีเรื่องขอความช่วยเหลือหน่อยสิ”

    ..........หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสเดินมาข้างหลังผู้เขียน ที่กำลังยืนสั่งงานคนงานให้ทำงานตามแปลนงานที่จดคำสั่งงานจากพี่ชายที่บันทึกไว้

    .........“มีอะไรครับ หลวงพ่อ”

    .........ผู้เขียนหันไปถามท่านหลวงพ่อเจ้าอาวาส

    .........“คือโยมท่านนี้ มาจากกรุงเทพ อยากจะมาขอบวชอยู่ที่นี่ ช่วงนี้อาตมามีกิจธุระนิมนต์บ่อยมาก จึงไม่มีเวลาดูแลหรือจัดการติดต่อทางวัดให้ได้ เพราะที่นี่ยังไม่มีโบถส์สำหรับทำพิธีบวช ต้องเดินทางไปบวชที่วัดบางคลาน พิจิตร ถึงจะกลับมาจำพรรษาอยู่ที่นี่ได้ อาตมาวานน้องช่างช่วยเป็นธุระจัดการให้ที นึกว่าเอาบุญก็แล้วกัน สิ่งของขาดเหลืออะไรก็บอกอาตมาจะจัดการให้พร้อม ช่วยเป็นธุระให้ทีนะ”

    ..........ผู้เขียนยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสก็โยนภารกิจมาให้เต็มๆทั้งๆที่การมาอยู่ที่นี่ของผู้เขียน เรียกว่ามันไม่พร้อมซักอย่าง ทั้งเรื่องการเดินทาง ที่ไม่มีรถประจำตัวและสิ่งของที่สำคัญคือปัจจัยที่เป็นเงิน

    ...........เมื่อจำใจพยักหน้าตอบรับ ผู้เขียนจึงหันไปสอบถามกับชายที่เดินเซื่องซึมมากับหลวงพ่อในตอนนี้

    ...........“เอ้อ....ชื่ออะไรล่ะ เป็นมายังไง ถึงดั้นด้นจะมาบวชที่นี่ล่ะ”

    ...........“ผมชื่อศักดิ์ครับ”

    ...........ชายคนตรงหน้าผู้เขียนตอบ พร้อมทั้งยกมือไหว้ผู้เขียน ล้วงกระเป๋าเป้ยื่นบัตรประชาชนให้ผู้เขียนดูเป็นการยืนยันตัวตน ชายคนนี้รูปร่างผอม สูงประมาณ160-165cm.มีผิวขาวเหมือนคนจีน ใบหน้าเหมือนอมทุกข์มาแต่ชาติปางก่อน

    ...........“ผมตกงานเลยทะเลาะกับแฟน เค้าหนีทิ้งผมไปมีคนใหม่ บ้านผมอยู่กรุงเทพครับ ผมพยายามตามหา แต่ก็หาไม่เจอหลายเดือนแล้วครับ ผมผิดหวังมากไม่รู้จะไปไหน จึงขึ้นรถเดินทางมาเรื่อยๆไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรต่อครับ คิดจะหาวัดที่เงียบๆสักที่ บวชเพื่อให้ลืมเรื่องต่างๆหากว่าดีก็จะขอบวชต่อไปเรื่อยๆครับ จนกระทั่งมาที่ท่ารถที่พิจิตรแล้วมีคนแนะนำให้มาที่วัดนี้ครับ”

    ............ผู้เขียนมองสารรูปชายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วส่ายหน้าถอนหายใจ บางทีเรื่องรักๆใคร่ๆก็อาจทำให้คนมองอะไรมันมืดมัวไปหมดชั่วคราวได้เช่นกัน องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเลยสอนให้ตัดจากกิเลศ โลภ โกรธ หลง จนเป็นที่มาของการออกจากกองสมบัติทั้งหลายทั้งปวง สละออกบวชเป็นบรรพชิตนั่นเอง

    ............วันรุ่งขึ้น ตกลงผู้เขียนเลยพาชายหรือน้องคนนั้น ซึ่งมีอายุประมาณ 20กลางๆเดินทางไปวัดบางคลาน ซึ่งอยู่ห่างจากวัดที่ผู้เขียนทำงานอยู่ประมาณ30-40กิโล ผู้เขียนต้องเช่ารถคนในหมู่บ้าน ทั้งค่ากินค่าอยู่เบ็ดเสร็จ ทั้งๆที่ผู้เขียนมีเงินติดตัวอยู่ไม่มาก ถามไปที่น้องคนนั้นเผื่อจะมีเงินติดตัวบ้าง บอกกับผู้เขียนว่า

    ...........“ผมก็ไม่มีติดตัวเลยครับ จ่ายค่ารถหมดตัว ไปตั้งแต่เมื่อวานที่เช่ารถมาที่วัดครับ”

    ...........เออ........กรรมเวรของกู ผู้เขียนนึกในใจ ถ้าตังส์ไม่หมด มึงคงไม่แวะอยู่วัดนี้กระมัง พยายามทำใจให้เป็นบุญนึกเสียว่า ช่วยสร้างบุญเอาคนมาบวชสืบทอดพระศาสนา มันก็คงได้บุญบ้างไม่มากก็น้อยแหละงานนี้พยายามคิดในทางที่ดี


    ............“พอดีที่วัดอาทิตย์หน้า จะมีการอุปสมบทหมู่พอดีเลยโยม งั้นโยมคนที่จะบวชก็พักท่องบทสวดขานนาคอยู่ที่นี่แหละนะ จะได้ไม่ต้องเดินทางกลับไปกลับมาให้เสียเงินเสียทองให้ยุ่งยาก”

    ............ผู้เขียนได้รับการต้อนรับอย่างดี เมื่อพาน้องคนที่มาด้วยมาถึง และแจ้งความจำนงค์ที่มาแก่พระที่ผู็เขียนทราบมาว่าเป็นรองเจ้าอาวาสของวัดที่ผู้เขียนไปถึง

    .............จากนั้นพระท่านจึงสอบถามเรื่องราวต่างๆของผู้ที่จะมาขอบวชพอสมควร ทั้งนี้ผู้เขียนจึงบอกกล่าวเสริมเข้าไปอีกว่า ตัวผู้เขียนเป็นใครและเป็นน้องชายของนายช่างชื่ออะไร ที่รับเหมาทำโบถส์ วิหาร รวมถึงเคยเข้ามาทำโบถส์ของวัดแห่งนี้ด้วย

    ............ซึ่งท่านรองเจ้าอาวาสเมื่อรับรู้อย่างนั้นแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเป็นกันเอง ไว้เนื้อเชื่อใจกันเพิ่มขึ้นจากเดิมกว่าตอนเข้ามาในตอนแรก รวมถึงถามสารทุกข์สุกดิบไปถึงนายช่างพี่ชายผู้เขียนด้วย จึงเป็นเรื่องที่สะดวกสบายและเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น

    .............“เอ้อ....ผมมีเรื่องรบกวนอยากสอบถามหลวงพี่หน่อยได้ไม๊ครับ”

    ..............ผู้เขียนเอ่ยขึ้น หลังจากที่ฝากฝังเรื่องงานบวชเสร็จสิ้น และใกล้เวลาที่ผู้เขียนเตรียมลากลับวัดที่ทำงานอยู่

    .............“มีอะไรเหรอโยม”

    ..............“คือผมมีกล่องคัมภีร์อยู่กล่องหนึ่ง ที่ทางวัดที่ผมทำงานอยู่เค้าไม่เอาแล้ว อยากให้เอาไปเผาทิ้งเพราะไม่มีที่เก็บ และเก็บไว้ก็เห็นว่าไม่มีประโยชน์สำหรับที่นั่น แต่ผมเสียดายตำราต่างๆในนั้น อยากจะเก็บไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้ไว้ศึกษา จึงอยากจะขอเอามาไว้ที่วัดนี้แทนได้ไหมครับ”

    ...............ผู้เขียนนึกถึงคัมภีร์กล่องนั้นได้ เหมือนมีอะไรมาดลใจให้นึกถึง ทั้งๆที่ผ่านมา ผู้เขียนไม่ได้สนใจอีกเลยนับตั้งแต่จดบันทึกบางตำราในคัมภีร์เสร็จสิ้น

    ..............“กล่องคัมภีร์อะไรล่ะโยม เอามาซิจะเป็นไรไป ที่นี่กว้างขวาง มีที่เก็บเยอะแยะ ตู้พระไตรก็มีตั้ง3-4ตู้ ที่วัดโน้นไม่มีที่เก็บ ก็เอามาฝากเก็บที่นี่ได้โยม ไม่เป็นไร กันเอง เดี๋ยวหาที่เก็บให้”

    ..............ผู้เขียนจึงหมดปัญหาเรื่องต้นฉบับคัมภีร์และเรื่องการฝากฝังการขอบวชของชายแปลกหน้าไปโดยปริยายอย่างโล่งใจ

    ***ภควัณตัง***

    มีต่อ*****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ธันวาคม 2016
  17. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ...........ช่วงเช้าก่อนวันเข้าพรรษา 1 วัน ทางวัดบางคลานมีการจัดพิธีอุปสมบทหมู่ ชายที่ผู้เขียนได้เคยเอาไปฝากไว้ จึงร่วมเข้าพิธีบวชหมู่ในครั้งนั้นด้วย

    ...........ผู้เขียนตื่นแต่เช้า จัดการเช่ารถกะบะตอนเดียวภายในหมู่บ้านที่ใกล้วัดที่ผู้เขียนทำงานอยู่ เพื่อจะได้ไปร่วมในการอุปสมบทหมู่ และพานาคที่ผู้เขียนเคยนำพาไปฝากฝัง เข้าพิธีบวชในครั้งนี้ด้วย โดยเดินทางไปกัน2-3คน กับลูกน้องคนงาน

    .......... และไม่ลืมที่จะนำเอากล่องคัมภีร์ติดตัวไปด้วย โดยในช่วงเย็นก่อนวันบวช 1 วัน ทางวัดจะมีการฉลองนาคบวชใหม่ โดยจัดให้มีมโหสพสมโภชน์ เช่น ลิเก รำวง ประมาณนั้น ผู้เขียนเลยจำเป็นต้องค้างคืนที่วัดนั้น โดยจะเริ่มมีพิธีบวชนาคในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ส่วนรถที่เช่ามาส่งพร้อมทั้งลูกน้องคนงานที่มาด้วย ผู้เขียนบอกให้กลับก่อน แล้วค่อยมารับผู้เขียนกลับในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้นแทน

    ...........ช่วงเช้าเมื่อถึงเวลาบวช ผู้เขียนเลยเป็นผู้ปกครองของนาคที่จะบวชโดยปริยาย ทั้งอุ้มบาตร ถือตาลปัตร พวกผ้าไตรจีวร อัตถบริขารต่างๆสำหรับนาคที่บวชใหม่ พะรุงพะรังอยู่คนเดียว แต่ก็รู้สึกอิ่มเอิบใจในบุญกุศลที่พยายามทำให้ดีที่สุด สำหรับการนำใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุสืบทอดในศาสนาในครั้งนี้ จนภารกิจในครั้งนี้ เสร็จสิ้นกระบวนความ ผู้เขียนจึงรู้สึกโล่งใจ


    ...........ระยะเวลาผ่านไป3-4เดือน

    ..........วันหนึ่งในขณะที่ผู้เขียนกำลังขึ้นไปบนนั่งร้านนำสมุดสั่งงานเสียบด้านหลังปีนขึ้นไปด้วย เพื่อจะขึ้นไปสั่งงานด้านบน บังเอิญที่สมุดเล่มนั้นหลุดจากเอวหล่นลงไปพื้นด้านล่างที่เพิ่งปีนขึ้นมา ผู้เขียนจึงต้องปีนกลับลงมา เพื่อจะลงมาเก็บ จะเป็นด้วยความบังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบ สมุดที่ตกลงมาวางอยู่กลับด้าน(ด้านหลัง) ปกสมุดเปิดอ้าออก

    ..........เห็นข้อความที่ผู้เขียนเคยจดบันทึกรายละเอียดหรือคาถาต่างๆจากคัมภีร์ไว้ผู้เขียนจึงหยิบขึ้นมาเปิดอ่านดู จึงหวนนึกขึ้นได้ว่า เออ.....เราเคยบันทึกสิ่งต่างๆจากคัมภีร์ไว้นี่ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ผู้เขียนเหมือนจะลืมไปแล้วว่าได้จดบันทึกอะไรไว้ด้านหลังสมุด เพราะตั้งแต่ครั้งนั้นที่จดไว้ ก็ไม่ได้สนใจที่จะเปิดขึ้นมาดูอีกเลย เย็นนี้คงต้องลองเปิดอ่านทบทวนดูซักหน่อยแล้วกัน

    ...........เย็นวันนั้น หลังจากที่ผู้เขียนปฏิบัติภารกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ก็กางมุ้งเข้านอน โรงครัวของวัดที่ผู้เขียนไว้สำหรับนอนนั้น ปกติศาลานี้จะใช้สำหรับทำอาหารเวลามีงานบุญต่างๆ ด้านหลังศาลาเล็ก มีห้องน้ำห้องส้วมประมาณ7-8ห้อง

    ...........ทราบมาว่าเมื่อก่อนนานมาแล้ว ตั้งแต่ตั้งวัดใหม่ๆ เป็นที่สำหรับเอาไว้สำหรับตั้งศพชั่วคราว ก่อนที่จะเอาไปเผายังวัดอื่นที่มีเมรุ เพราะวัดนี้ยังไม่มีเมรุ ดังที่เคยบันทึกบอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกๆ

    ...........ด้านข้างผนังที่ผู้เขียนนอนนั้น ถูกตีด้วยไม้ระแนงเป็นช่องๆ ทำให้ลมจากภายนอกพัดเข้ามาได้อย่างสะดวก และที่ผู้เขียนจะบอกอีกอย่างคือที่วัดนี้เพื่อเป็นการประหยัดค่าไฟฟ้า ตั้งแต่เวลา 21.00น.หรือ3ทุ่มเป็นต้นไป ทางวัดจะตัดกระแสไฟทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดูมืดมิดไปหมด การเข้าห้องน้ำห้องส้วมหลังจากเวลาที่กำหนด จึงต้องใช้แสงจากไฟฉายหรือจุดเทียนในการทำภารกิจต่างๆ จากวัดที่ดูร่มครึ้มน่ากลัว ก็ยิ่งจะทวีความน่ากลัวเพิ่มเข้าไปอีก

    ............การจดบันทึกหรือการอ่านหนังสือ หลังจากเวลาที่กำหนดของผู้เขียน จึงทำได้แค่เพียงจุดเทียนหรือใช้แสงจากไฟฉายเท่านั้น
    ช่วงหัวค่ำผู้เขียนพยายามอ่านทบทวนบทคาถาต่างๆจากที่ได้จดบันทึกไว้ก่อนหน้านั้น นึกกังขาระแวงสงสัยในใจว่า สิ่งที่บันทึกหรือบทคาถาต่างๆมันจะมีความขลังหรือมีความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหนหรือว่ามันเสื่อมถอยไปตามกาลเวลาแล้ว

    ...........เพราะเปรียบเทียบระยะเวลาสมัยก่อนกับสมัยปัจจุบัน มันต่างกันค่อนข้างมาก วิทยาศาสตร์เข้ามามีบทบาทมากกว่าทางไสยศาสตร์เพราะพิสูจน์ได้ แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป บทคาถาต่างๆนั้น อาจจะเสื่อมไปตามกาลเวลาก็เป็นได้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น มันอาจจะใช้ได้ผลอยู่ก็จริง แต่เมื่อเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัย มันอาจจะไม่เข้ายุคเข้าสมัยแล้วก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ดูแคลนเสียทีเดียว บางบทบางคาถาก็อาจจะใช้ได้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

    ............วิธีที่จะพิสูจน์ว่าใช้แล้วเกิดผลหรือไม่ ก็คงต้องทดสอบหรือลองดูให้รู้ให้เห็นกับตาเท่านั้น ถึงจะเชื่อได้ว่ายังใช้ได้อยู่ในปัจจุบัน ทั้งๆที่ผู้เขียนพอจะรู้มาบ้างว่า การทดสอบหรือทดลองวิชาทางไสยเวทย์สุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก จากเคยได้ยินได้ฟังเล่าต่อๆกันมาว่า บางรายอาจถึงขั้นวิกลจริตหรือที่หนักหน่อยก็อาจถึงตายได้ หากไม่มีการครอบครู หรือมีครูบาอาจารย์ที่เก่งกว่าคอยชี้แนะแนวทางหรือคอยดูแลลูกศิษย์ให้

    .............ใจหนึ่งก็อยากจะพิสูจน์แต่อีกใจหนึ่งก็เริ่มหวั่นๆอยู่เหมือนกัน เพราะหากเป็นอะไรไป ใครจะมาช่วยได้ เหตุเพราะไม่เคยบอกใครในเรื่องนี้ แต่หากไม่ลองพิสูจน์ก็คงไม่รู้ว่า อันบันทึกตัวบทคาถาต่างๆนั้น มันยังใช้ได้หรือยังมีอิทธิฤทธิ์ตามที่กล่าวอ้างจากตัวคัมภีร์ต้นฉบับหรือเปล่า หรือมันเสื่อมใช้ไม่ได้ผลแล้ว

    .............21.00น. ทางวัดดับไฟมืดหมดทั้งวัด เห็นเพียงเงาแสงจันทร์เต็มดวงสาดส่องทะลุระแนงไม้มาถึงยังที่นอนผู้เขียน รอบวัดมีเพียงเงาของต้นตะเคียนดำทะมึนไปหมด มีแต่เสียงจิ้งหรีดร้องระงมเซ็งแซ่คอยเป็นเพื่อนเท่านั้น คาดว่าวันนี้ไม่ขึ้น15ค่ำก็คงใกล้เคียงเพราะพระจันทร์เต็มดวงสว่างไสว สาดส่องเข้ามาถึงยังตัวที่นอนผู้เขียน นับว่าน่าจะเป็นโอกาสเหมาะที่น่าจะลองดู

    ..............บทแรกที่ผู้เขียนจะลองดูในความเข้มขลังคือคาถาเรียกวิญญาณทั้งหลาย ใช้สวดเรียกวิญญาณทั้งหลาย ทั้งที่อยู่ใกล้และไกล ให้มาหา ใช้สวดวน98จบ วิญญาณทั้งหลายทั้งใกล้และไกลเมื่อได้ยินบทสวดจะทนไม่ไหวจำต้องออกมาหา จำต้องเดินทางออกมาหาให้ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จนกว่าผู้สวดจะพอใจ ปกติคาถาบทนี้ใช้เรียกดวงวิญญาณมาเพื่อสะกดเอาไว้เป็นทาสรับใช้ แต่ผู้เขียนคงไม่ทำถึงขนาดนั้น เรียกมาเพื่อพิสูจน์เท่านั้นว่า ตัวบทคาถานั้นยังมีประสิทธิ์ภาพอยู่ สามารถเรียกให้มาได้ก็พอใจแล้ว

    .............ผู้เขียนจึงเริ่มพิธีโดยจุดธูปเทียน ขอขมากรรมต่อเจ้าของผู้ถ่ายทอดคัมภีร์นี้ นำขวดกระทิงแดงเปล่ามาตั้งระหว่างเทียน จุดธูปแล้วนำธูปปักเสียบลงไป กางหนังสือออก ตั้งสมาธิให้แน่แน่วเพิ่มความศรัทธาในบทสวดที่จะสวดต่อไปนี้ แล้วจึงเริ่มสวดในตัวคาถาซึ่งมีอยู่ประมาณ7-8บรรทัด เรียกเหล่าบรรดาภูตผีทั้งใกล้และไกลต่างๆให้มาให้จงได้ ตั้งแต่จบแรกสวดเวียนไปเรื่อยๆ

    *****ภควัณตัง*****

    *****มีต่อ*****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 ธันวาคม 2016
  18. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ...........จะว่าบังเอิญหรืออะไรก็ตามแต่ที่เหลือจะเดา เมื่อผู้เขียนสวดไปจบรอบที่30กว่าๆ บรรยากาศรอบตัวเริ่มเปลี่ยนทีละนิดๆ จากเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ดังระงมในตอนแรก เริ่มค่อยๆเงียบเสียงลง

    ...........ลมที่เงียบสงบในตอนแรกเริ่มพัดมาอ่อนๆและเริ่มแรงขึ้นเป็นลำดับ สังเกตจากเงาใบไม้ของต้นตะเคียนเริ่มพัดแกว่งกระทบกันไปมา ผู้เขียนไม่ใส่ใจในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อาจจะเป็นการบังเอิญก็ได้ จึงพยายามเน้นสวดต่อ และเมื่อเริ่มคล่องในบทสวด จึงเพิ่มความเร็วในการสวดในบทคาถาเพิ่มขึ้น

    ...........สวดจบรอบที่50 บรรยากาศเปลี่ยนจากตอนแรก จากหน้ามือเป็นหลังมือ ลมพัดแรงทะลุกำแพงห้องที่เป็นระแนงไม้เข้ามากระทบยังตัวผู้เขียนอย่างเย็นวาบ เปลวเทียนลู่เอนไปตามแรงลม แสงจันทร์ที่เคยส่องลอดมา เริ่มหดแสงลงจนแทบไม่มีแสงส่องผ่านเข้ามา เสียงกิ่งต้นตะเคียนเมื่อต้องลมพายุพัดกระแทกมาอย่างลมพายุ ส่งเสียงดังกราวสนั่นลั่นวัด

    ...........แต่ทั้งหมดทั้งมวลยังไม่เท่ากับเสียงหมาหอนรับกันมาแต่ไกล จากในตัวหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 1 กม. เสียงหอนรับกันนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผู้เขียนสำนึกในใจว่า เสียงนั้นเดินทางมายังทิศทางวัด ที่ผู้เขียนอาศัยอยู่นั่นเอง

    ...........สวดจบรอบที่70 ทุกอย่างประเดประดังกันเข้ามาบริเวณหน้าประตูทางเข้าวัด ซึ่งอยู่ห่างจากศาลาเล็กที่ผู้เขียนอยู่ไม่เกิน100เมตร ลมพายุพัดกระหน่ำรุนแรง เสียงกิ่งต้นตะเคียนภายในวัดสะบัดแกว่งไกวเสียงดังระงม ปานว่าจะหักโคนลงมา เสียงหมาส่งเสียงหอนรับกันบริเวณหน้าซุ้มประตูทางเข้าเสียงระงม เหมือนหมามันมารวมกลุ่มส่งเสียงหอนกันอยู่ตรงนั้น

    .......... แสงจันทร์ที่เคยมีกลับมืดสนิทลงฉับพลัน มีแต่เสียงลมพายุพัดกระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตา ทุกสิ่งทุกอย่างดูเปลี่ยนแปลงไปจากในครั้งแรกเป็นอย่างมาก ท่ามกลางเสียงลมพายุและเสียงหมาที่ระดมเสียงหอนกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น พลันมีเสียงหนึ่งสอดแทรกเข้ามาด้วย

    ..........“กรี๊ด........กรี๊ด........วี๊ด...........วี๊ด........วี๊ด.........”

    ...........เสียงนั้นแหลมเล็กกว่าเสียงจิ้งหรีดที่เคยได้ยินเหมือนคลื่นความถี่สูง จากเสียงเดียวจนค่อยๆประสานเสียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสอดแทรกเสียงลมพายุที่พัดกระหน่ำอย่างรุนแรงโดยที่ไม่มีเม็ดฝนโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือซาลงแต่อย่างใด

    ............ผู้เขียนจำใจหยุดสวดประมาณรอบที่80 เพราะจิตสำนึกบอกตัวเองว่า น่าจะพิสูจน์พอแค่นี้ เพราะหากก้าวผ่านไปมากกว่านี้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นกับตัวผู้เขียนหรือเปล่า เพราะบรรยากาศผิดปกติต่างๆเริ่มเข้ามาใกล้ตัวผู้เขียนไม่ไกลเกินกว่า50เมตรแล้ว หากดันทุรังต่อไป อาจถลำลึกจนยากจะแก้ไขได้ทัน ผู้เขียนจึงหยุดสวดลงอย่างฉับพลันกะทันหัน

    .............“ฮื่อ.......ฮื่อ.......ฮื่อ.......”

    ............เสียงแทรกส่งท้าย เมื่อผู้เขียนหยุดสวดอย่างฉับพลัน เสียงนั้นครางระงมหลายเสียงคล้ายเสียงคนที่หอบหรือเหนื่อยจากการออกกำลังมา หรือคล้ายจะเป็นการข่มขู่ไปกลายๆ เสียงนั้นไม่ห่างไปจากตัวผู้เขียนมากนัก จนทำให้ผู้เขียนสัมผัสได้จากอาการขนลุกซู่ไปทั้งตัว
    บรรยากาศเริ่มค่อยๆทิ้งช่วงกลับคืนสู่ภาวะปกติทีละนิดๆ

    ........... แสงจันทร์ที่มืดมิดเมื่อครู่กลับเริ่มฉายแสงเข้ามา เสียงลมพายุค่อยๆสงบลง กิ่งตะเคียนที่พัดไกวอย่างรุนแรงเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เสียงจิ้งหรีดหริ่งเรไรเริ่มส่งเสียงคืนสู่อย่างเก่า เสียงหมาหยุดส่งเสียงตั้งแต่ผู้เขียนหยุดสวด

    ........... ใช้เวลานานพอประมาณจนทุกอย่างกลับคืนสู่ดังเดิม

    ............ทุกอย่างที่ประสพในครั้งนี้ จะบอกว่าบังเอิญให้เกิดขึ้นก็ได้ จะบอกว่าเพราะอิทธิฤทธิ์ในตัวมนต์คาถาก็ย่อมได้ ทุกอย่างอยู่ที่เราจะคิดไปในทางไหนแค่นั้นเอง

    *****ภควัฒน์*****

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 ธันวาคม 2016
  19. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ****ทดสอบไสยเวทย์คาถา****

    ..........เมื่อครั้งแรกตามที่ผู้เขียนคาดการณ์หรืสรุปเอาเองว่าตัวบทคาถานั้นสัมฤทธิ์ผล หรืออาจจะด้วยความบังเอิญก็ตามที บททดสอบต่อไปเพื่อความแน่ใจในตัวบทคาถานั้นจึงเกิดขึ้นตามมา​

    .........เมื่อช่วงก่อสร้างตัวโบสถ์ขึ้นไปถึงฝ้าเพดาน พื้นด้านในตัวโบสถ์จึงเป็นหน้าที่ของช่างรับเหมาที่มาเหมาต่อช่วงในการเทพื้น แล้วต่อด้วยการลงและขัดหินเรียบแทนการปูกระเบื้องแบบบ้านทั่วๆไป จึงจำเป็นต้องมีคนงานและช่างมาทำการเทพื้นและขัดหิน ซึ่งมีช่างผู้ชายและผู้หญิงประมาณ7-8คน​

    .........ระยะเวลาการทำพื้นด้านล่างจึงใช้เวลาประมาณ2-3อาทิตย์จึงแล้วเสร็จ เมื่อได้มาอยู่และทำงานจึงต้องนอนค้างอยู่ที่เดียวกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ความสนิทสนมคุ้นเคยจึงพอมีบ้าง ผู้เขียนจึงทราบว่าช่างที่ทำพื้นหินขัดนั้นบ้านอยู่แถวๆอำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร
    มีคนงานหญิงอยู่คนหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกสะดุดตา​
    ..........และดูแล้วหน้าตาดีกว่าคนอื่น ผิวไม่ขาวมากตามลักษณะคนพื้นบ้าน คิ้วเข้มดำรับกับใบหน้าที่หมดจด ดวงตาเป็นประกายกลมโต ผู้เขียนจึงสอบถามจากบรรดาช่างที่มารับเหมาจึงทราบว่าเธอคนนี้มีชื่อเล่นว่า​
    .........“เที่ยง”
    ..........และทราบต่อมาว่า เธอยังไม่มีสามี จึงมาขอเป็นคนงานให้ทีมช่างที่มารับเหมาทำพื้นโบสถ์ในครั้งนี้ และงานนี้เป็นงานแรกที่เธอคนนี้มาขอทำอยู่ด้วย​

    .........“ผมติดต่อให้ไหมน้องช่าง น้องเค้านิสัยดีนา..เก่งและขยันด้วย.”


    ..........ทีมหัวหน้าช่างกระซิบถามผู้เขียนขณะที่ผู้เขียนกำลังเดินดูงานที่ทีมช่างเทพื้นกำลังส่งมอบงานที่ทำเสร็จแล้วในวันสุดท้าย ก่อนที่จะขนของกลับ​

    .........“เอ้อ.....ไม่ละ....ขอบคุณมาก อยู่แบบนี้สบายดีแล้วนายช่าง ขี้เกียจหาเหามาใส่หัวน่ะ”

    ..........ผู้เขียนตอบแบบขำๆ จึงพากันหัวเราะให้เป็นเรื่องคุยสนุกๆ​

    ...........ระยะเวลาผ่านไป7-8วัน วันหนึ่งผู้เขียนเปิดสมุดบันทึกคัมภีร์ลองอ่านทบทวนดู ใจแว่บหนึ่งหวนนึกถึงผู้หญิงที่ชื่อเที่ยง คนที่เคยมาทำงานเทพื้นโบสถ์คนนั้น เมื่ออ่านมาเจอคาถาบางบทที่ผู้เขียนเคยบันทึกไว้ ใจหนึ่งก็บอกกับตัวเองว่า ทำไมไม่ลองใช้คาถาบทนี้ทดสอบถึงความเข้มขลังของตัวคาถาดูล่ะ​
    ........... เพื่อจะได้พิสูจน์ว่า สิ่งที่เคยพิสูจน์มาก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เกิดจากความประจวบเหมาะหรือความบังเอิญ ความคิดนี้จึงพลันทำให้ผู้เขียนเริ่มทดสอบภายในคืนนั้นทันที​

    ............มนต์เรียกคู่ ใช้เขียนชื่อลงบนผ้ายันต์ ลงอักขระยันต์กำกับ พับเก็บไว้ใต้หมอน ยิ่งรู้รายละเอียดคนที่เราชอบหรือต้องการมาเป็นคู่มากเท่าไหร่ ยิ่งเกิดผลดีและใช้ระยะเวลาสั้นที่จะเรียกให้มาหาเรา หรือใช้เรียกชื่อคนที่เราต้องการมาเป็นคู่ลงในตัวพระคาถา ใช้จิตส่งนึกไปถึงใบหน้าคนที่เราชอบที่เราต้องการ​
    .......... เสกด้วยคาถากำกับใช้คาถาสวด58จบในแต่ละวัน ไม่เกิน3วัน7วันเห็นผล จะทนอยู่ไม่ได้ต้องรีบมาหาเราภายใน3วัน7วันเป็นอย่างช้า นี่คือคาถาที่ผู้เขียนจะขอลองพิสูจน์ในลำดับที่2ต่อจากนี้​

    ...........การใช้คาถานี้ต้องตั้งจิตให้แน่วแน่และต้องเชื่อมั่นในตัวคาถา ขอขมากรรมและระลึกถึงเจ้าของคัมภีร์ ผู้เขียนเขียนชื่อลงบนกระดาษแทนผ้ายันต์โดยการฉีกกระดาษสมุดออกมา 1 แผ่น เขียนยันต์กำกับลงไปตามคัมภีร์บอก เขียนชื่อผู้ที่เราต้องการเรียกให้มาหาลงในมุมยันต์ทั้ง8ทิศ เสกด้วยคาถากำกับลงไปลงบนยันต์ที่เขียนขึ้น​
    .......... มองดูทิศทางลมที่เราจะเอาแผ่นยันต์นี้ไปแขวน แล้วกำหนดทิศทางที่ลมจะพัดไปทางทิศในคนที่เราต้องการเรียกให้มาหา หรือใช้วิธีแบบโบราณคือการ หยิบเศษดินขึ้นโรยเพื่อดูทิศทางลม หรือการกำหนดทิศที่คาดว่าผู้ที่เราต้องการเรียกอยู่ในทางทิศใด นำผ้ายันต์นั้นแขวนหรือติดในทิศนั้น​

    ...........คืนแรกผ่านพ้นไปด้วยดีการลงอักขระในกระดาษแทนผ้ายันต์ของผู้เขียนจึงเสร็จสิ้น นำไปติดในทิศที่ต้องการ แล้วกลับมานั่งสวดในตัวคาถา ระลึกถึงใบหน้าที่ต้องการเรียกให้มา เพื่อกำกับยันต์นั้นให้มีประสิทธิภาพอีก 58 จบ ในแต่ละคืน การปฏิบัติในคืนแรกจึงเสร็จสิ้นหลังการสวดคาถาจบ​

    ..........คืนที่2 ผู้เขียนก็ปฏิบัติดังเดิม คือสวดตัวคาถาพร้อมทั้งระลึกนึกถึงใบหน้าของผู้หญิงที่ชื่อ “เที่ยง”ก่อนนอน ก็ผ่านพ้นไปอีกวันโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น​

    ...........คืนที่3 ผู้เขียนก็ทำเหมือนเดิม ก็ไม่มีวี่แววว่าจะสัมฤทธิ์ผล จนเช้าของวันที่4 นั่นเอง​

    ****ภควัณตัง****​
    มีต่อ*****​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 ธันวาคม 2016
  20. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ..........“น้องช่างใหญ่ๆมีคนมาหา”

    ...........คนงานหญิงที่ทำงานอยู่ประจำกับผู้เขียนเดินท่าทางเร่งรีบกระหืดกะหอบ เดินมาบอกกับผู้เขียนด้วยท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

    ...........“ใครมาหาล่ะ”

    ...........ในใจผู้เขียนในตอนนั้นคิดว่าคงจะเป็นชาวบ้านแถวนั้นมาสมัครขอทำงาน เพราะเคยมีมาขอสมัครทำงานด้วยบ่อยๆ

    ..........“ผู้หญิงคนที่เคยมาทำงานเทพื้นโบสถ์น่ะ ตอนนี้นั่งรออยู่ที่ศาลาหลังเล็กที่น้องช่างนอนนั่นแหละ บอกว่าไม่กล้าเข้ามาหาน่ะ เลยวานให้มาบอกให้ที”

    ............คนงานผู้เขียนกล่าวจบ พร้อมทั้งเดินยิ้มๆกลับไปทำงานต่อ ผู้เขียนเลยเดินกลับไปยังศาลาห้องพักที่ผู้เขียนใช้สำหรับพักนอน
    สิ่งที่ผู้เขียนเจอเมื่อมาถึงยังที่พักอันดับแรกคือ ผู้หญิงที่ชื่อ

    ...........“เที่ยง”

    ............ ยกมือไหว้ นั่งรอผู้เขียนอยู่ตรงพื้นที่ใช้สำหรับนอนของผู้เขียน แต่งตัวสวยอย่างดี มัดผมที่ยาวจนถึงกลางหลังอย่างเป็นระเบียบ แต่งหน้าแต่งตาที่คิดว่าสวยที่สุด และสิ่งที่สะดุดตาผู้เขียนตั้งแต่ครั้งแรกที่เคยเจอกันคือ คิ้วเข้มดำและดวงตากลมสวยเป็นประกายคู่นั้นนั่นเอง ที่ข้างๆตัวมีกระเป๋าสะพายเสื้อผ้าใบใหญ่วางอยู่ด้วย

    ..............ผู้เขียนรับไหว้แล้วเอ่ยถามว่า

    .............“อ้าว....เป็นยังไง มายังไงล่ะมาเที่ยวเหรอหรือมาหาใคร”

    ..............ผู้เขียนถามเหมือนกับลืมไปว่า เคยทำอะไรในคืนที่ผ่านๆมา

    .............“จะให้บอกตรงๆหรืออ้อมๆล่ะ”

    ..............เธอตอบพร้อมจ้องมองหน้าผู้เขียนเหมือนกับจะลองใจในสิ่งที่ต้องเดินทางมาหา มีสีหน้าอายๆเขินๆอยู่ในตัวเอง

    .............“เอาแบบตรงๆก็ได้”

    .............ผู้เขียนเลยตอบไปแบบนั้น เธอจึงเล่าว่า

    .............ระยะเวลา2-3คืนมานี้ ในระหว่างกำลังนอน เธอรู้สึกคิดถึงผู้เขียนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ในระหว่างที่เธอเคยมาทำงานอยู่ที่นี่ ก็ไม่เคยที่จะพูดคุยกับผู้เขียนแม้สักครั้งเดียว

    ............แถมยังรู้สึกไม่ค่อยชอบผู้เขียนอีกด้วย เพราะมองเหมือนคนขี้เก๊ก ถือว่าเป็นน้องช่างใหญ่ เลยพาลไม่ค่อยชอบขี้หน้า ทั้งๆที่ตัวผู้เขียนเองก็เฉยๆเพราะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันในเรื่องงาน เพราะไม่ได้เป็นลูกน้องผู้เขียนโดยตรง จึงไม่ได้ใส่ใจถามไถ่ในเรื่องต่างๆ

    .............เธอบอกว่าเธอรู้สึกคิดถึงผู้เขียนมาก พยายามลืมตาหลับตาก็ยังเห็นหน้าผู้เขียนลอยมาอยู่ตรงหน้า มันร้อนรนกระวนกระวายใจไปหมด ความรู้สึกอยากมาหาอย่างเดียว ไม่อยากไปที่อื่นทั้งๆที่ทีมช่างที่ทำงานอยู่ด้วยจะชวนไปทำยังจังหวัดอื่น แต่เธอก็ไม่ไป จึงเก็บเสื้อผ้าส่วนหนึ่งเดินทางมาหาผู้เขียนให้ได้ในวันนี้นั่นเอง เพื่อขออยู่ด้วย จะให้ทำอะไรก็ยอมทุกอย่าง ขอให้ได้อยู่ด้วยก็พอใจ

    .............ปรากฏการณ์ครั้งนี้ ทำให้ผู้เขียนเริ่มรู้สึกแน่ใจในตัวมนต์คาถาเต็ม100%ว่ายังคงมีประสิทธิภาพเต็มคำสาธยายในสรรพคุณของตัวคัมภีร์จริงๆ แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป แต่ก็ยังคงฤทธิ์เดชอานุภาพยังคงมีอยู่จริงๆ สิ่งนี้ หากตกไปอยู่ในมือของผู้ที่คิดไม่ดี ย่อมก่อเกิดอันตรายอย่างแน่นอน

    ..............คืนนั้นผู้เขียนเลยให้เธอคนนั้นไปพักกับคนงานหญิงที่พักแยกอยู่กุฏิหลังหนึ่ง คราวแรกเธอไม่ยอม จะขอนอนอยู่กับผู้เขียนให้ได้ ผู้เขียนเลยต้องใช้วิธีบอกว่า วันนี้เดียวเผื่อพี่ชายผู้เขียนมาตรวจงานมาเห็นเข้า จะเป็นการไม่ดี ให้ไปพักกับเพื่อนคนงานก่อน เดี๋ยววันรุ่งขึ้นค่อยมาว่ากันใหม่ว่าจะเอายังไง เพราะจะให้กลับไปก่อนก็คงไม่ทัน มีรถโดยสารวิ่งระหว่างวันแค่เที่ยวเดียว ยังไงแล้วช่วงเช้าถึงจะมีรถโดยสารวิ่งเข้าเมืองอีกครั้ง

    .............คืนนั้นกว่าผู้เขียนจะได้นอนได้ ก็ต้องทำใจไล่ให้เธอกลับไปนอนที่กุฏิหลายรอบ เพราะเธอมานั่งเฝ้านอนเฝ้าอยู่บนที่นอน อยู่ที่ศาลาหลังเล็กที่ผู้เขียนใช้นอน โดยไม่มีท่าทีว่าจะไปตามที่ผู้เขียนบอก เมื่อผู้เขียนไล่ให้ไปนอนหลายรอบ เธอจึงเดินสะบัดก้นแบบงอนๆไป โดยไม่วายที่จะหันมาพูดว่า

    ............“คนเค้ารักและคิดถึงจะตายรู้ไหม อุตส่าห์เดินทางมาหา ยังมาไล่เค้าไปอีก คืนนี้อย่านอนเผลอนะ จะเข้ามาปล้ำด้วย”

    .............เมื่อเธอเดินหายลับไปแล้ว ผู้เขียนรู้สึกโล่งใจถอนหายใจอย่างโล่งอกพาลนึกในใจว่า เออ....อย่างนี้ก็มีด้วยรึนี่ พาลให้ผู้เขียนนอนอย่างระแวงตามคำขู่นั้นตลอดทั้งคืน กลัวว่าเธอเกิดทำตามที่พูดออกมาจะยุ่งไปกันใหญ่

    .............6โมงเช้าวันรุ่งขึ้น ผู้เขียนตื่นนอน เปิดมุ้งทำท่าจะลุกเดินออกมาเตรียมล้างหน้า รู้สึกตกใจ เมื่อเห็นเธอคนนั้นมานั่งพับเพียบยิ้มแต้อยู่ปลายเท้านอกมุ้ง ในมือถือขันพร้อมสบู่สำหรับล้างหน้าส่งให้ผู้เขียน ข้างๆตัวเธอมีผ้าเช็ดตัวกับชุดทำงานของผู้เขียนพับเตรียมไว้ให้อย่างเป็นระเบียบรวมถึงรองเท้าที่ใช้ใส่ทำงาน จัดวางไว้พร้อมสรรพ

    ............“เอ้า.....เตรียมไว้ให้แล้ว”

    ............เธอพูดพร้อมกับฉีกยิ้มสดใส พร้อมกับยื่นขันสบู่และผ้าเช็ดตัวให้ผู้เขียนตรงหน้า

    ............“อ้าว.....เธอเข้ามาทำอะไรที่นี่แต่เช้าเนี่ย เดี๋ยวใครเห็นเข้ายุ่งตายเลย”

    ............ผู้เขียนถามคำแรกพร้อมกับนึกสงสัยเมื่อเห็นพฤติกรรมของเธออยู่ตรงหน้า เหมือนกับว่าเราเป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว

    ............“ฮึ”

    ............เธอทำปากเบ้ ทำท่าเหมือนกับจะร้องไห้ ผู้เขียนจึงรีบกล่าวสรุปว่า

    ............“เธอกลับไปเตรียมตัวอาบน้ำอาบท่านะ เดี๋ยวจะไปส่งที่ท่ารถหมู่บ้าน กลับไปบ้านก่อน เรื่องอื่นค่อยคุยกันวันหลัง คนจะมาอยู่ด้วยกัน ต้องรักหรือเคยพูดคุยกันมาก่อน อยู่ๆจะมาอยู่ด้วยกันได้ยังไง เดี๋ยวคนอื่นรู้เข้ามันจะไม่ดี ยิ่งถ้าพ่อแม่รู้เข้าว่าทำอะไรไป ก็จะยิ่งเสียกันไปใหญ่ กลับไปบ้านก่อนนะ เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง หากว่ารักชอบจริงๆ ค่อยมาคุยกันอีกที”

    .............ผู้เขียนต้องพยายามพูดจาหว่านล้อม ชักแม่น้ำทั้งห้าอยู่เป็นเวลานาน กว่าเธอจะยอมคลายตัวจากการที่ตั้งท่าจะมาอยู่ด้วยสถานเดียวและทำท่าจะไม่ยอมไปไหน จนยอมทำตามที่ผู้เขียนขอร้อง

    .............“แหม๋....แหม๋.....น้องช่าง เสน่ห์แรงจริง...จิ๊ง มีสาวๆหอบผ้ามาขออยู่ด้วยนะเนี่ย”

    .............ช่วงสายที่ผู้เขียนเสร็จภารกิจส่งเธอคนนั้นขึ้นรถโดยสารประจำทางของหมู่บ้านกลับออกไป เมื่อกลับเข้ามาที่ไซด์งาน จึงโดนลูกน้องคนงานหญิงกระเซ้าเย้าแหย่เอา

    ...........“ไม่มีอะไรหรอกน่า เธอมาเที่ยวหาเฉยๆ แต่ห้ามเล่าโพนทะนาบอกใครไปทั่วนะ เดี๋ยวพูดต่อๆกันไปเค้าเสียหายหมด”

    ............ผู้เขียนปฏิเสธและบอกย้ำกำชับกับคนงาน ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า ผู้เขียนได้ทำอะไรลงไปก็เพื่อเพียงแค่ทดสอบความขลังของไสยเวทย์แค่นั้น ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย จนทำให้อับอายหรือเสียหายแต่อย่างใด

    ............เย็นนั้นผู้เขียนจึงได้ทำการดึงกระดาษแผ่นยันต์ออกมาเผาทำลาย และสวดท่องคาถาถอนคุณไสย ให้คลายจากมนต์สะกดที่ได้ทำขึ้นมา

    *****ภควัณตัง*****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ธันวาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...