จะเห็นว่าจริง ๆ แล้ว เรื่องของการรู้เห็นเป็นแค่ของแถมของการปฏิบัติเท่านั้น

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 ธันวาคม 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    CF9924D1-E4F3-44FC-ADAA-AE805E759A2A.jpeg

    พระอาจารย์กล่าวว่า "พูดถึงปรอทสำเร็จก็นึกถึงท่านอาจารย์โมเช่ หายไป ๒ ปีแล้ว ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านไปเรื่อย ท่านบอกว่าเทวดาสั่งให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น

    สมัยที่ยังเป็นฤๅษียังเป็นตาปะขาวอยู่ ก็เลี้ยงพระอยู่ ๑๒-๑๓ รูป ส่วนใหญ่พระธุดงค์ไปอยู่ในเขตรอยต่อ ๓ จังหวัด อุทัยธานี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ท่านโมเช่ตอนนั้นมีหน้าที่เดินแบกข้าวไปส่ง ถ้าเป็นอาตมาก็คงไม่ไหว เดินวันหนึ่งเป็นร้อยกิโลเมตรก็มี

    ครั้งแรกที่เจอกัน อาตมาธุดงค์ไปพักที่ถ้ำ ท่านโมเช่เป็นตาปะขาวอยู่ แบกเอาหัวเผือก หัวมัน กล้วย อ้อย มาถวาย บอกว่าเทวดาให้มา บอกว่ามีพระรูปหนึ่งอยู่ที่ถ้ำ ต้องการคนนำทางธุดงค์แถวนี้ เลยมาดูว่ามีจริงหรือเปล่า ? แล้วท่านก็ตบท้ายว่า ถ้าเทวดามาบอกแสดงว่าต้องมีความดีพอสมควร"

    "จะเห็นว่าจริง ๆ แล้ว เรื่องของการรู้เห็นเป็นแค่ของแถมของการปฏิบัติเท่านั้น ถ้าสภาพจิตของเราสงบก็เหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำนิ่งสามารถสะท้อนเงาสิ่งของรอบข้างได้ชัดเจนเหมือนของจริง

    คราวนี้สภาพจิตของเราถ้านิ่งก็สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ ต้องถือว่าเป็นของแถมในการปฏิบัติ แต่เท่าที่อาตมาพบมาก็คือ ทุกคนอยากได้ของแถม จนไม่เอาสินค้าหลัก ต้องการของแถมแต่ไม่เอาสินค้าหลักแปลว่าอะไร ? ของแถมอย่างไรเสียก็สู้สินค้าหลักไม่ได้ สินค้าหลักของเราคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่จะพาเราพ้นทุกข์ ของแถมบรรดาทิพจักขุญาณหรือญาณอื่น ๆ ที่ได้มานั้น ส่วนใหญ่แล้วพาให้เสียมากกว่าดี

    อาตมาเองติดอยู่สามปีเต็ม ๆ คนโน้นถามเรื่องโน้นก็บอก คนนี้ถามเรื่องนี้ก็บอก พอเขาชม "อุ๊ย..เก่งจังเลย ทำไมรู้เห็นได้ชัดเจนขนาดนี้ ? บอกได้เหมือนกับตาเห็นเลย" ก็ตัวลอย อยากจะให้เขาชมอีก ก็วิ่งไปเป็นทาสให้เขาใช้ต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่งน่าจะถึงวาระว่า จะพ้นจากความโง่ตรงจุดนั้นเสียที

    หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเทศน์วันนั้นเหมือนกับท่านตั้งใจให้ฟังอยู่คนเดียว ท่านบอกว่า "วิชชา ๒ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ใครทำได้ห่างจากนรกแค่นี้ แค่นิ้วขวาง ๆ อาตมาได้ยินแล้วเหงื่อแตกพลั่กเลย ระดับนั้นแล้วยังห่างนรกแค่นี้ แล้วของเราจะรอดไหม ?"

    "แล้วท่านก็เทศน์ต่อไปว่า ยกเว้นว่าเราจะปฏิบัติตรงเข้าหาอารมณ์พระโสดาบัน ถ้าหากว่าทรงอารมณ์พระโสดาบันได้ ปิดอบายภูมิได้ถือว่าปลอดภัย แต่ก็ยังต้องเกิดมาทุกข์อีก อย่างน้อยก็ ๑ ชาติ อย่างกลางก็ ๓ ชาติ อย่างมากก็ ๗ ชาติ แต่ขึ้นชื่อว่าความทุกข์นี้วันเดียวก็ไม่เอาแล้ว อย่าให้เป็นชาติเลย อาตมาได้ยินเหมือนนักโทษประหารมีคนเปิดประตูให้หนี ก็เผ่นสุดชีวิตเลย บรรดาอภิญญาสมาบัติอะไรที่อุตส่าห์ฝึกได้ก็กองทิ้งเอาไว้ตรงนั้นแหละ เลิกกันเสียที

    ฉะนั้น...ในส่วนนี้ที่อยากจะบอกกับญาติโยมก็คือ การรู้เห็นต่าง ๆ ในการปฏิบัติเป็นของแถม และมักจะพาให้เสียมากกว่าดี อาตมาเองได้รับฉายาจากหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งให้ ท่านบอกว่า "พระท่านตั้งให้เฉพาะ ฉายาที่ตั้งให้ในรุ่นนี้ตรงตัวทุกคน" ท่านตั้งฉายาให้อาตมาว่า สุธมฺมปญฺโญ ท่านแปลเองว่า เป็นผู้มีปัญญาในการปฏิบัติธรรมดีมาก อาตมายังสงสัยว่าตัวเองมีปัญญาตรงไหน ? เพราะว่าไม่ว่าจะปฏิบัติแง่ไหน มุมไหน ถึงเวลาแวะไปหาหลวงพ่อเป็นโดนหวดน่วมกลับมาทุกที ดีตรงไหนวะ ?"

    "ถึงเวลาก็วิ่งไปรายงานท่านด้วยความภาคภูมิใจ "หลวงพ่อครับ...ตอนนี้อนุสติ ๑๐ ผมสามารถไล่อารมณ์เต็มได้ภายใน ๓๐ นาทีเท่านั้น" หลวงพ่อบอกว่า "ช้าไปลูก ไม่ทันกิน สมัยหลวงพ่อทำกรรมฐาน ๔๐ กอง ถ้าต้องใช้เวลาถึง ๒ นาที ถือว่าทื่อมากแล้ว" อาตมากลืนน้ำลายเอื๊อก เป็นไปได้หรือวะ ? ตูว่าคล่อง ๆ แล้ว แค่ ๑๐ กอง ไล่อยู่ ๓๐ นาทีโดยประมาณ หลวงพ่อท่านบอกว่า ๔๐ กอง ๒ นาที..!

    ตอนนั้นยังโง่มาก ไม่รู้วิธีเปลี่ยนกองกรรมฐาน คือต้องประเภทลงมาถึงตีนบันไดแล้วไต่ขึ้นไปใหม่ หารู้ไม่ว่าถ้าถึงข้างบนแล้วแค่ก้าวข้ามบันไดไป ถ้าลักษณะอย่างนั้นกรรมฐาน ๔๐ กอง ใช้เวลาถึง ๒ นาทีถือว่านานมาก อาตมาตอนแรกเข้าใจผิด คิดว่าต้องลงมานับ ๑...๒...๓ จนถึง ๑๐ แต่ไม่หรอก พอ ๑๐ แล้ว ก็ ๑๐...๑๐...๑๐...๑๐ ไปคว้าตอนจบเลย

    ทำให้ถึงแล้วจะรู้ว่าเปลี่ยนอย่างไร ถ้ายังทำไม่ถูกก็ว่าไปเรื่อย ๆ ก่อน อาตมาก็สงสัยว่าทำขนาดนี้แล้วยังไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของหลวงพ่อ แล้วท่านบอกว่าเป็นผู้มีปัญญาในการปฏิบัติธรรม เป็นได้อย่างไร ? พอหลังจากที่ปล้ำเป็นปล้ำตายมารวม เวลาทั้งหมด ๑๘ ปี ปีสุดท้ายก่อนหลวงพ่อมรณภาพพอดี ก็ถึงได้เข้าใจว่า สิ่งต่าง ๆ ที่คนอื่นไม่คิด คนอื่นไม่มอง คนอื่นไม่เก็บมาใช้งาน อาตมาคิด มองดูด้วยความพินิจพิจารณา และเก็บมาใช้งานทุกเม็ด ต่างกันแค่นี้เอง ถ้าใครทำแบบนี้ก็ทำแบบอาตมาได้ทุกคน"

    "เพราะว่าเรื่องของหลักธรรมเราจะรอให้กิเลสวิ่งมาชนเราไม่ได้...ตาย มีอยู่อย่างเดียวคือต้องสมมติคู่ต่อสู้ขึ้นมาก่อน ต้องพินิจพิจารณาอยู่ในใจของเราก่อน ซักซ้อมจนกระทั่งคล่องตัว ถึงเวลาไปชนแล้วเราจะต้านได้นานเท่าไร

    คราวนี้มาแค่นี้เราสู้ได้ไม่ถึงนาที ต่อไปหลบไปมุมโน้นยืนหยัดได้อีกนาที ๒ นาที ต้องหาวิธี ถ้าจะแพ้ก็แพ้ให้ช้าที่สุด ถ้าชนะได้จะเป็นสิ่งที่ปลื้มใจมาก ท้ายสุดก็ปฏิบัติตามแนวกรรมฐาน ๔๐ ที่หลวงพ่อท่านบอก ระยะเวลาที่ทุ่มเทให้นั้น ทั้งชีวิตพระและฆราวาส ๑๘ ปีเต็ม ๆ ทุ่มให้กับการภาวนา พวกเราคงไม่มีอารมณ์ทำกันนานขนาดนั้น

    เมื่อถึงเวลาทำแล้วต้องใช้งานจริงได้ ต้องรับแรงกระทบได้ ตอนแรก ๆ หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านไม่นิยมการธุดงค์ เพราะว่าการธุดงค์สำหรับคนทั่วไปแล้ว เป็นการหนีกิเลสชั่วคราว พอออกมาชนกิเลสเมื่อไรก็พังเมื่อนั้น อาตมาเองก็นั่งชนกิเลสอยู่ในวัด ถึงเวลาเฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อ เปิดฟุตบอลดู เปิดมวยดู เปิดเพลงฟัง คนอื่นเปิดเมื่อไรไม่โดนด่าหูตูบก็ไม้เท้าลงกบาล แต่อาตมาเปิดดูไม่เคยโดนด่า

    จนกระทั่งพระพี่พระน้องบอกว่าอาตมาเป็นเด็กเส้น ทำอะไรไม่เคยผิด ถ้าทำอย่างอาตมาทำนะ...ไม่ผิด แต่ถ้าทำอย่างที่พี่ ๆ น้อง ๆ ทำนะ...ผิด เพราะว่าเปิดฟุตบอลดู อาตมาเขียนผลฟุตบอลคู่นั้นไว้แล้ว เปิดมวยดูเขียนผลไว้แล้วว่าคู่นั้นใครแพ้ใครชนะ ชนะน็อก ชนะคะแนน ชนะยกไหน แค่เปิดดูให้รู้ว่าตรงไหม

    เปิดเพลงฟังเลือกเฉพาะคนที่เราชอบ แล้วพยายามภาวนาให้ใจของเราไม่ไหลไปตามเนื้อเพลง ซ้อมอยู่ทุกวัน ซักซ้อมอยู่เป็นปี ๆ ท่านที่รู้ดีที่สุดในวัดมี ๒ ท่าน ก็คือหลวงพี่โอ (ท่านพระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) นั่นระดับอาจารย์ของอาตมา อีกท่านหนึ่งก็คือ คุณศุภาพร ปุษยะนาวิน อดีตภรรยาของหลวงตาวัชรชัย สองท่านนี้ช่างสังเกตมาก ถึงเวลาจับได้ทุกทีว่าอาตมาแอบทำกรรมฐาน ก็คือทำอย่าให้คนอื่นเขารู้ ฝึกก็อย่าให้คนอื่นเขารู้ แต่ก็ทำไปเรื่อย เพราะว่าการทำกรรมฐานโดยอยากให้คนอื่นรู้ ถ้าหากว่าอยากอวดเขา จัดเป็นอุปกิเลสอย่างหนึ่ง ฉะนั้น...ทำอย่างไรที่เราจะฝึกซ้อมการปฏิบัติจนใช้งานได้จริง โดยที่ไม่ให้คนอื่นเขารู้ว่าเราทำ ก็แปลว่าต้องออกไปผจญกับของจริง"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑
    ที่มา : www.watthakhanun.com

    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...