จากกระแสสังคมต่อพระพุทธศาสนาในเชิงลบ

ข้อคิดที่ได้จากบทสนทนาของหลวงปู่กับลูกศิษย์ท่านหนึ่งครับ

โยม : หลวงปู่ครับผมจะขอนับถือแค่พระพุทธกับพระธรรมครับเพราะพระสงฆ์ทุกวันนี้มีแต่เรื่องเสื่อมเสีย ผมว่าพระแท้ๆหมดแล้วจากพระศาสนา

หลวงปู่ : ฮ้วย แสดงว่าบ่นับถืออาตมานำตั้วนี่

โยม : เปล่าๆ ครับหลวงปู่ ผมยังเคารพศรัทธาหลวงปู่เหมือนเดิม

หลวงปู่ : เอ้าไสว่าไม่นับถือพระสงฆ์เด้

โยม : เว้นหลวงปู่สิครับผม

หลวงปู่ : บ่ะ เว้นหลวงปู่ก็แสดงว่าหลวงปู่ก็ไม่ใช่พระสงฆ์สิ

โยม : (ทำหน้าเหมือนคิดหนัก).........

หลวงปู่ : บักหล่าเอ้ย เวลาเขาเอาทองคำนั้นเขาไปหามาจากที่ไหน

โยม : ไปขุดดินแล้วร่อนเอาทองมาครับ

หลวงปู่ : ดินมากหรือทองมาก

โยม : ดินมากครับผม ร่อนทองจากดินมากแล้วจะได้ทองนิดเดียว

หลวงปู่ : มันก็เหมือนพระสงฆ์นั้นหล่ะ พระสงฆ์ก็ร่อนมาจากลูกชาวบ้าน ลูกสมมติสงฆ์ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์แล้วมาบวชเมื่อไหร่ มันก็ดีบ้างเสียบ้าง

จะให้ดีหมดมันก็ทำไม่ได้ จะให้มันเสียหมดก็ทำไม่ได้ ส่วนที่มันเป็นดินก็อย่าเอา ให้เอาส่วนที่มันเป็นทองสิ ถ้าเชื่อหลวงปู่ถ้าเคารพหลวงปู่

ก็จงเชื่อว่าพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีมากมาย อย่าเหมาว่าไม่ดีทั้งหมด ขนาดคุณยังมีข้อเสีย จะให้ดีทั้งหมดทั้งโลกก็ไม่ได้

พระรัตนตรัยเหมือนไม้สามลำค้ำกันไว้ เอาออกอันหนึ่งมันก็ล้ม จำไว้พระก็คือนักเรียน ผู้เป็นอริยะคือผู้สอบผ่าน ผู้เป็นข่าวคือผู้สอบตก

ให้สงสารคนสอบตก อย่าไปเกลียดคนสอบตก เพราะไม่มีใครอยากจะสอบตก เข้าใจนะ

credit : fanpage หลวงปู่ไดโนเสาร์

 

สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี

พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า

พระธรรมเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า

พระสงฆ์(ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ)เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า

 

ความมั่นคงในพระศาสนาใช่จะเกิดจากภายนอกเท่านั้น ให้ดูจากภายในคือจิตนั่นเอง เสื่อมหรือไม่ก็ดูจากจิตเราน่ะแหละ ถ้าจิตเราไม่มั่นคงแล้ว เมื่อเจอสภาวะที่ไม่ดีเข้ามากระทบ จิตไปเกี่ยวเอาตัวกระทบมาปรุงแต่งย่อมหวั่นไหวได้ ควรที่จะเอาศรัทธา และการปฎิบัติเข้ามาหลอมและยึดให้แน่นขึ้นเพื่อเป็นตัวช่วยให้การเดินทางของจิตได้มั่นคงขึ้น และเมื่อมีปัญญาในธรรมมากขึ้น ก็จะช่วยพิจารณาในความคิดที่เข้ามาว่ามีประโยชน์มั้ย ควรตัดสิ่งใดออกไปและควรทำสิ่งใดเพิ่ม เราก็จะไม่กระทบกับสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นในสังคม และเราก็จะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่ไม่ดีมันมีมานานแล้ว และพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มิได้มีอะไรมากระทบเลย ยังคงมีและอยู่ต่อไป แต่ตัวที่ถูกกระทบก็คือจิตของเรานั่นแหละ ฉะนั้นควรหันมาดูจิตเรานี่แหละ

 

เวลาเจริญวิปัสสนา พิจารณาธรรม ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเห็นทุกข์
เดิมทีทุกข์นั้นมีอยู่ทุกข์เมื่อเชื่อวัน แต่ว่าอวิชชาบังไว้ สัตว์โลกจึงไม่เห็นทุกข์
เมื่อทุกข์เปิดให้เห็นก็เรียกว่า ดวงตาเห็นธรรม

ในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน ก่อนหน้าที่จะมีข่าวฉาว ชาวพุทธเราไม่ทุกข์ร้อน
เพราะอวิชชามันบัง เราไม่รู้เราก็ยินดีปรีดากับพระปลอม ศรัทธาในพระปลอม
วันนี้ความจริงปรากฎ ต้องคิดว่า นี้คือ ปัญญาปรากฏแล้ว
เพราะความจริงได้เปิดเผย เป็นนิมิตหมายดีที่เราจะได้มีภูมิต้านทานไปอีกระดับหนึ่ง
อย่าไปคิดเสียอกเสียใจเพราะศรัทธาคนผิด ในชีวิตของเราจมอยู่กับกองกิเลสมาหลายชาติ
ก็เชื่อกิเลสมาเหมือนกัน. วันนี้ความจริงเปิดออกสมควรดีใจ

 

ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย โมทนา สาธุ ครับ ช่วงนี่มีแต่ข่าวพระทั้งนั้น แถมเป็นพระที่เคยเป็นเสาหลักอีกต่างหาก เลยทำให้ผมสั่นคลอนไปบ้าง ขอบคุณนะครับ...

 

พระก็อยู่ในใจเรานี้ ใครใจดีก็เป็นพระ พระไม่เกี่ยวที่เชื้อชาติ วรรณะ
พระคือผู้ประเสริฐ ใครใจประเสริฐก็เป็นพระ
พระดีมีมาก มาก
พิสูจน์ได้ มองเห็นจากเรานี้แหละ

 

ศรัทธามาเต็ม ไม่หวั่นไหว พญามาร(สงฆ์ทุศีล) ไม่สามารถทำลายได้

มาเถอะ กองทัพธรรมเราต้องใช้ธรรมปราบมาร ภายใน

และภายนอก(เหมือนปลุกระดม ฮี่ๆ ยืนยันว่าไม่เคยไปร่วมขบวนประท้วงใดๆ)

ถ้าศรัทธาแล้วช้าอยู่ใย เดินตามพระพุทธองค์กัน

ท่านปูทางให้เราแล้ว ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘(ว่าโดยย่อ ศีล สมาธิ ปัญญา)

จะเดินบนมรรค จะเดินข้างมรรค หรือเดินตามมรรค

รับประกันความปลอดภัยจาก กิเลส ได้ในเส้นทางนี้

ต้องถึงซักวัน ถึงความหลุดพ้น จากกองทุกข์(ธาตุ ๔ ,ขันธ์ ๕)นี้