ชมภาพพระมหาเจดีย์ชัยมงคล อ่านประวัติหลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุง

ในห้อง 'วัดและศาสนสถาน' ตั้งกระทู้โดย อุดมสมพร, 9 มิถุนายน 2011.

  1. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    [​IMG] [​IMG]

    ชั้นที่ 6 และ 7 เป็นองค์เจดีย์รูประฆังและยอดฉัตร เป็นห้องโถงรูประฆัง 8 เหลี่ยมบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 25.jpg
      25.jpg
      ขนาดไฟล์:
      190.7 KB
      เปิดดู:
      4,926
    • 26.jpg
      26.jpg
      ขนาดไฟล์:
      198.5 KB
      เปิดดู:
      2,628
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  2. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    [​IMG]

    [​IMG]

    ชั้นที่ 6 และ 7 เป็นองค์เจดีย์รูประฆังและยอดฉัตร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  3. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 44.jpg
      44.jpg
      ขนาดไฟล์:
      142 KB
      เปิดดู:
      1,572
    • 82.jpg
      82.jpg
      ขนาดไฟล์:
      108.8 KB
      เปิดดู:
      1,658
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  4. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    [​IMG]
    [​IMG]

    การเดินทาง
    วัดเจดีย์ชัยมงคล (พระมหาเจดีย์ชัยมงคล) ห่างจากตัวจังหวัดร้อยเอ็ด 62 ก.ม.ไปทางอำเภอโพนทองและอำเภอหนองพอก ต่อไปยังบ้านท่าสะอาด ตำบลผาน้ำย้อย และขึ้นเขาเขียวไปอีก 5 กม. ก็จะถึงวัดเจดีย์ชัยมงคลสถานที่ตั้งของ พระมหาเจดีย์ชัยมงคล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63 KB
      เปิดดู:
      7,203
    • 47.jpg
      47.jpg
      ขนาดไฟล์:
      267.3 KB
      เปิดดู:
      2,735
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  5. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    [​IMG]

    [​IMG]
    ประวัติย่อ

    พระเทพวิสุทธิมงคล (หลวงปู่ศรี มหาวีโร)
    วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด
    เมื่อมีเหตุ ผลก็ต้องมี เหตุน้อย ผลน้อย

    เหตุพอประมาณ ผลพอประมาณ เหตุมาก ผลมาก เหตุพิเศษ ผลก็พิเศษ
    • ชีวิตฆราวาส
    พระเทพวิสุทธิมงคล หรือ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านเกิดในตระกูล ปักกะสีนังเกิดเมื่อ วันศุกร์ที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย ณ บ้านขามป้อม ตำบลขามป้อม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม เป็นบุตรคนที่ ๖ ของ นายอ่อนสี และ นางทุมจ้อย ปักกะสีนัง มีพี่น้องรวมกัน ๑๑ คน อาชีพทำนา ทำสวน ทำไร่
    การศึกษา จบมัธยมศึกษาปีที่ ๓ จากโรงเรียนสารคามพิทยาคม ปี พ.ศ. ๒๔๘๐
    อาชีพ รับราชการครู สอบบรรจุครูได้ และเริ่มรับราชการครูในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ จากนั้นได้ลาออกจากการรับราชการครูในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ และในปีเดียวกันนั้น ก็ได้สอบบรรจุครูอีกครั้งที่จังหวัดร้อยเอ็ด อยู่รับราชการครูจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๘ จึงได้ขอลาออกจากราชการอีกครั้งเพื่อบรรพชาอุปสมบท
    ชีวิตครอบครัว แต่งงานในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ กับนางสาวสอน แสนยะมูล อายุ ๒๒ ปี เป็นบุตรสาวของนายสุธรรมา และนางหล้า แสนยะมูล มีบุตรธิดาสืบสกุล ๔ คน เป็นชาย ๑ คน หญิง ๓คน
    คำสั่งของมารดาก่อนตาย หลวงปู่เล่าว่าก่อนที่แม่จะตาย ได้สั่งเสียเป็นเชิงอ้อนวอนรำพึงรำพันว่า ศรีเอ้ย!แม่อยากให้ลูกบวชให้ จัก ๑๐มื้อ(วัน) ๑๕ มื้อก็ได้ พอให้แม่ได้เพิ่ง(พึ่ง)บุญเพิ่งคุณ จะได้ไปดี ไปสวรรค์ นำเพิ่น(ผู้อื่น)เมื่อจบคำสั่งเสียของแม่แล้ว น้ำตาร่วง หัวใจเหมือนจะหลุดหล่นหาย ซึ้งในน้ำใจของท่านที่รักเรายิ่งนัก จึงรับปากแม่ว่าจะบำบวชให้แม่อย่างแน่นอนว่า แม่ไม่ต้องเป็นห่วงดอกเด้อ ข้อยสิบวชให้แน่นอน ขอให้แม่เฮ็ด(ทำ) ใจให้ซำบาย(สบาย) อีกไม่กี่วันต่อมาแม่ก็สิ้นใจตาย ...
    บรรพชาอุปสมบท
    อุปสมบทที่ วัดราษฎร์รังสรรค์ บ้านป่ายาง ตำบลขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เวลา ๐๙.๐๐ น. ได้ฉายาว่า มหาวีโร แปลความหมายว่า ผู้มีความหาญกล้ามาก หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้สามารถบุกเข้าไปทำลายกิเลสได้ โดยมีพระโพธิญาณมุณี (คำ โพธิญาโณ) เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธรรมยุต) เป็นพระอุปัชฌาย์ , พระครูศิริธรรมธาดา เจ้าคณะอำเภอเมืองร้อยเอ็ด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ , พระครูสมุห์พันธ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สิริอายุ ๒๙ ปี
    พรรษาที่ ๑ ปีพุทธศักราช ๒๔๘๘
    จำพรรษาที่ สำนักสงฆ์ป่าพูนไพบูลย์ (ปัจจุบันคือ วัดประชาบำรุง) อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม
    เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็เดินทางไปหาท่านพระอาจารย์คูณธมฺมุตฺตโม ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่ได้ธุดงค์จาริกมาพักอยู่ที่วัดป่าพูนไพบูลย์ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ตามคำสั่งของท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เพื่อเผยแพร่หลักธรรมและหลักปฏิบัติของพระคณะกรรมฐาน ได้ปฏิบัติธรรมอยู่จำพรรษาร่วมกับท่านพระอาจารย์คูณ ธมฺมุตฺตโม และได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านพระอาจารย์คูณอบรมสั่งสอน เอาธุระในพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด คือ คันถธุระ การศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์ ให้มีความรู้พระธรรมวินัย ดำรงรักษาตำราไว้มิให้เสื่อมสูญวิปัสสนาธุระ ได้แก่การศึกษาอบรมจิตใจตามหลักสมถะและวิปัสสนา เพื่อรู้แจ้งธรรมและกำจัดกิเลสออกจากจิตใจ
    ในพรรษาแรกนี้ หลวงปู่ศรีท่านก็สามารถจดจำ พระวินัยบัญญัติและสวดปาฏิโมกข์ได้ เร่งทำความเพียรและภาวนา อดนอนผ่อนอาหาร เวลานั่งสมาธิก็นั่งอยู่ตลอดจนรุ่งเช้า โดยหลวงปู่ท่านใช้อุบายสอนใจตัวเอง เพื่อสู้กับทุกขเวทนาว่า เรานั่งอยู่ในท้องแม่ แม่อุ้มท้องอยู่เป็นเวลา ๙เดือน ๑๐ เดือนไม่เห็นหนีไปไหนได้ ทำไมจึงอดทนอยู่ได้ผลสุดท้ายจิตเกิดแสงสว่าง ทุกขเวทนาที่ว่าเผ็ดร้อนได้หายไปหมด ทำให้ท่านเกิดศรัทธาอย่างมาก การบวชที่แต่เดิมคิดว่าจะบวชเพียงชั่วคราวได้หายไปสิ้น
    พอบวชครบพรรษา ด้วยเหตุว่ายังอยู่ใกล้บ้านเกิด ญาติๆมาเยี่ยมเยือนได้ง่าย ถูกรบเร้าให้สึกไปครองชีวิตฆราวาสอยู่บ่อยๆ จึงกราบลาพระอาจารย์คูณ ธมฺมุตฺตโม เที่ยวธุดงค์ผ่านป่าผ่านเขาต่างๆ ไปหาท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม ศิษย์รุ่นใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าแสนสำราญ จังหวัดอุบลราชธานี
    พรรษาที่ ๒ ปีพุทธศักราช ๒๔๘๙
    จำพรรษาที่ วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
    ท่านพระอาจารย์สิงห์ขนฺตฺยาคโม ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก เป็นเสมือนองค์แทนของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ข้อกติกาสัมมาปฏิบัติ อันเป็นข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สำหรับพระคณะ กรรมฐาน ท่านพระอาจารย์ท่านก็ปฏิบัติให้เป็นแบบอย่าง ของพระภิกษุสามเณรผู้มุ่งมาบำเพ็ญในสำนักพระคณะกรรมฐาน คือ
    ต้องเป็นผู้หวังพ้นจากทุกข์จริงๆ และหวังบำเพ็ญกิจในพระพุทธ ศาสนา จึงต้องสละความห่วงอาลัยในชีวิตฆราวาส เหย้าเรือน ตลอดจนสละชีวิตเลือดเนื้อ เพื่อทรมานตนให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสาร
    ต้องเป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้าน มีขันติธรรม อดทนต่อ ความทุกข์ความยากความลำบากตรากตรำ ไม่หวั่นต่อเหตุการณ์ต่างๆทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเป็นผู้เห็นแก่พระศาสนาจริงๆ
    ต้องเป็นผู้มีน้ำใจอันซื่อสัตย์ ต่อพระศาสนาและครูบาอาจารย์ตลอดถึงหมู่คณะ อ่อนน้อมถ่อมตน ให้หมู่คณะว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนได้ในธรรมวินัย เมื่อมาอยู่ในหมู่คณะนี้แล้ว จะหลีกหนีไปก็ไม่ลอบลักดักหนี ให้ร่ำลาครูบาอาจารย์ของตนก่อน เมื่อท่านอนุญาตแล้วจึงไป
    ต้องเป็นผู้สนใจใคร่ธรรม ใคร่วินัย แสวงหาวิโมกขธรรม สันติสุขในพระพุทธศาสนา และหวังเชิดชูพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
    ได้อยู่กับท่านพระอาจารย์เพียงสามเดือน เพราะท่านพระอาจารย์กลับไปอยู่วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา ต่อจากนั้นหลวงปู่ศรีท่านเลยไปวิเวกอยู่บ้านค้อหวาง ซึ่งเป็นวัดของท่านเจ้าคุณอุบาลี
    พรรษาที่ ๓ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๐
    จำพรรษาที่ วัดป่านาแกน้อย ตำบลบ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม
    พอรู้จักแนวทางในการประพฤติปฏิบัติกรรมฐานแล้ว องค์หลวงปู่จึงออกวิเวกเข้าป่าเข้าดงข้ามป่าข้ามเขา เพื่อบำเพ็ญกรรมฐานมุ่งหวังทดสอบขันติธรรมไม่เหยียบย่ำอยู่กับที่ ออกปฏิบัติเพียงลำพัง เหมือนพระอริยสาวกทั้งหลายที่พ้นทุกข์ รอนแรมซอกซอนผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขาภูพาน วนเวียนอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร จากนั้นออกเดินทางต่อไปยัง ถ้ำพระเวส อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ด้วยเห็นว่า ถ้าเราจะไปเฝ้ากราบนมัสการและไปประพฤติปฏิบัติกับ ท่านพระอาจารย์มั่น เราต้องทดสอบตัวเราเองก่อนว่าจะได้อะไรหรือไม่ได้อะไรไปอยู่ได้เพียงเดือนเศษ เกิดล้มป่วยและอาการก็หนักปางตายด้วยไข้มาเลเรีย เมื่อมันขึ้นแต่ละที ฉันยาอะไรก็ไม่หาย จึงใช้สมาธิรักษาจึงได้ผล ไข้มันสู้สมาธิไม่ได้ แต่มันก็ไม่ถอย สู้กันอยู่กับไข้อย่างนั้นเป็นเวลา ๑ ปี ๑๑ เดือน
    เมื่อฤดูกาลเข้าพรรษาใกล้เข้ามา จึงลงจากถ้ำไปจำพรรษาอยู่ที่ วัดบ้านนาแกน้อย อำเภอนาแก จัดหวัดนครพนม โดยมีพระอาจารย์จันทร์(วัดหนองห่าง)เป็นหัวหน้าคณะ จนกระทั่งออกพรรษา จึงได้จาริกไปในเขตจังหวัดต่างๆ เช่น สกลนคร อุดรธานี เพื่อเดินตามรอยทางแห่งธรรมของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
    พรรษาที่ ๔ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๑
    จำพรรษาที่ เสนาสนะป่าช้า(วัดโนนนิเวศน์) อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
    ( สถานที่แห่งนี้ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้มาพักจำพรรษาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๓-๒๔๘๔ ) เมื่อออกพรรษาแล้วจึงได้ออกเที่ยวธุดงค์ จนปลายปีพุทธศักราช ๒๔๙๑ ก็ได้ธุดงค์มายัง ผาน้ำย้อยหลวงปู่ศรี ท่านบอกว่า ถิ่นนี้เป็นดงเสือ ใต้ถ้ำผาน้ำย้อยมีแต่ขี้เสือเต็มไปหมด บ้านโคกกลางมีเพียง ๑๕-๑๖ หลังคาเรือนไม่มีถนนต้องเดินเท้า ป่าภูเขาอยู่ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ดก็มีแค่นี้หละ อยู่ที่อื่นก็ใช้ไม่ได้ ไม่ค่อยมีน้ำที่ผาน้ำย้อยแห่งนี้หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้เกิดมีอุบายธรรมมากมาย
    พรรษาที่ ๕ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๒
    จำพรรษาที่ วัดหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
    หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้เล่าประวัติของท่านว่า เราได้ท่องเที่ยวไปวิเวกตามผา ตามป่า ตามเขาหลายลูกหลายหน่วย คงพอตัวแล้ว ต้นปีพุทธศักราช ๒๔๙๒ จึงตัดสินใจเดินทางจากภูเขาเขียว ดงมะอี่ จังหวัดร้อยเอ็ด ไปยังอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อเข้าไปกราบนมัสการฝากตัวเป็นศิษย์ใต้ร่มธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
    เมื่อแรกเข้าไปถึงวัดหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม
    ท่านพระอาจารย์มั่นได้ถามว่า เคยได้ไปอยู่ตามภูเขา ตามถ้ำ ตามป่าคนเดียวหรือยัง?” กราบเรียนตอบท่านว่า เคยไปบ้างอยู่ครับ
    เคยไปเที่ยวกรรมฐานที่ไหนบ้างหล่ะท่านถาม เคยไปอยู่ภูนี้บ้างถ้ำนี้บ้าง ก็เคยไปอยู่บ้างแล้วครับ กราบเรียนตอบท่าน
    เอ้อ! ก็พอมีสติอยู่บ้างเน๊าะ!” ท่านพระอาจารย์มั่นพูดเสียงเน้นๆ กังวาน นัยน์ตาน่าเกรงขามเป็นที่ยิ่ง
    ส่วนทางเรา(หลวงปู่ศรี)นั้นแอบคิดในใจว่า นี่ขนาดเราได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่างกล้าหาญ นั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรมตลอดคืนยันรุ่ง ไปอยู่คนเดียวเสือร้อง เฮ้ยๆ โฮกๆ อยู่ข้างๆ ก็ทำอยู่อย่างนั้นมาแล้ว จนสุดแรงเกิด แทบล้ม แทบตาย แต่ท่านก็ยังว่า พอมีสติอยู่บ้างเน๊าะ ถ้าอยู่คนเดียวได้จะต้องเป็นผู้มีสติดีนะ
    แล้วท่านก็ให้โอวาทซ้ำท้ายว่า ผู้ที่จะมาศึกษาธรรมกับเรา จะเป็นพระหรือโยมก็ตาม ขอให้เก็บหอกเก็บดาบเอาไว้ที่บ้าน ไม่ต้องนำติดตัวมาด้วยตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ศรี จึงตั้งความเพียรให้หนักหน่วงกว่าเดิมเป็นเท่าทวีคูณ และได้ตั้งสัจจะอธิฐานไว้ว่า จะเร่งความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน
    วัตรปฏิบัติต่อพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ในปีที่หลวงปู่ศรี มหาวีโรได้ไปอยู่ คือการจับเส้นถวายทุกวัน ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเวลา ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม หรือตี ๑ ตี ๒ ถ้าท่านไม่บอกเลิกก็ไม่ต้องเลิก อยู่กับหมู่คณะมีหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต พระอาจารย์วัน อุตฺตโม ฯ และมีหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เป็นพระผู้ดูแลหมู่คณะในครั้งนั้น
    พระอาจารย์มั่นท่านให้ไปอยู่คนเดียวที่ ถ้ำคำไฮ เร่งความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน มีบ้านเพียง ๔ หลังพอได้บิณฑบาต ฉันแล้วล้างบาตรเสร็จแล้วก็เดินจงกรมจนหมดแสงตะวันถึงเลิก เป็นช่วงเดือน ๕ อากาศและแดดจะร้อนมาก กลางคืนก็มานั่งภาวนาทั้งคืนจนถึงเช้า หลวงปู่ศรีท่านเล่าให้ฟังว่า เราไปอยู่คนเดียว ไปถ้ำคำไฮเดือนหนึ่ง แต่ว่าเป็นไข้นะ ฉันจังหันไม่ได้ ไปบิณฑบาตก็มองไม่เห็นทาง มันวิงเวียน แต่ว่าก็นอนบ้าง เวลานอนมันก็ไม่ยอมนอนนะ นอนอยู่ผู้เดียว นอนกลางวันก็ตาม กลางคืนก็ตาม ผีมันก็เอาหัวแม่มือมาจับหัวแม่ตีนนี่ล่ะ กำแน่นๆแล้วก็กระตุกเลย ต้องบอกผีว่า เอ้า! ให้นอนสักหน่อยก่อนนะ ให้นอนสักหน่อยก่อน มันกำลังเมื่อย พอนอนเท่านั้น มันก็มากระตุกอยู่อีกอย่างนั้น หนักเข้าก็ไปเดินจงกรมอีก แต่ไม่กลัวนะ ไม่มีอะไรนะ มีแต่ฟากไม้ไผ่กว้างๆขนาดห้องนี้หละ กลางวันมันก็มาดึง คิดในใจว่า เอ๋! พวกเจ้าให้ข้าภาวนาดีแท้น้อ
    เดือน ๕ ท่านพระอาจารย์มั่นก็เริ่มป่วย จนกระทั่งเดือนอ้าย อาการของท่านพระอาจารย์มั่นก็หนักขึ้นเรื่อยๆ และวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ เวลา ๐๒.๒๓ น. ท่านพระอาจารย์มั่นก็ดับขันธวิบากเข้าสูอนุปาทิเสสนิพพาน ณ วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร
    พรรษาที่ ๖ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๓
    จำพรรษาที่ วัดป่าหนองผักตบ ตำบลปลาไหล อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร (ปัจจุบันวัดป่าโนนตูม)
    หลวงปู่ศรีท่านธุดงค์ผ่านจากเทือกเขาภูพาน ออกเที่ยวปลีกวิเวกภาวนาไปทางอำเภอกุดบาก มุ่งหน้าไปทางอำเภอวาริชภูมิ บ้านหนองผักตบ ทราบข่าวว่าสถานที่แห่งนี้มีครูบาอาจารย์ศิษย์สายท่านพระอาจารย์มั่นมาเที่ยวจำพรรษา และผ่านมาพักจำพรรษาอยู่เสมอ จึงเข้าจำพรรษาที่หนองผักตบ มีพระจำพรรษา ๕ รูป ในพรรษานั้นหลวงปู่ศรีท่านป่วยด้วยโรคเหน็บชาอย่างรุนแรง เท้าทั้งสองข้างแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวด ใช้มือหยิกเนื้อขา เนื้อขาก็ไม่รู้สึกอะไรเลย หาหยูกยาอะไรก็ไม่มี หลวงปู่ศรีจึงคิดได้ว่า เอายาที่ไหนมารักษามันก็คงไม่หาย เอายาที่เราหาอยู่ทุกวัน นั้นก็คือธรรมโอสถจากนั้นจึงตั้งสัจจะนั่งสมาธิ จะนั่งสมาธิรักษา จะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็ตาม ถ้าโรคไม่หายจะไม่ออกจากสมาธิ ถึงแม้ตายก็ตาม ก็ขอตายในท่านั่งสมาธิ น้ำไม่ดื่ม ข้าวไม่ฉัน ตั้งใจพิจารณาสังขารเพียงอย่างเดียว ทำสมาธิอย่างเดียวเท่านั้น ปฏิบัติแบบสละตายไม่อาลัยชีวิต เวลาผ่านไป ๓ วัน ในคืนที่ ๓ โรคร้ายได้หายขาด จึงได้ออกจากสมาธิ
    พรรษาที่ ๗ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๔
    จำพรรษาที่ เสนาสนะป่าห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม
    ปลายปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ - ๒๔๙๔ ได้ติดตามหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ธุดงค์ท่องเที่ยวกรรมฐานไปทางบ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และได้จำพรรษาอยู่ ๑ พรรษา ท่านพระอาจารย์มหาบัวเป็นที่พึ่งอันมั่นคงของพระเณร เหมือนอย่างที่ท่านพระอาจารย์มั่น สั่งไว้ก่อนปีที่ท่านจะนิพพานว่า เมื่อเราตายให้หมู่เพื่อนพึ่งมหาบัว
    ข้อปฏิบัติที่ท่านถือเคร่งในยุคนั้น คือ ปฏิบัติอย่างหยาบๆ ห้ามนอนก่อน ๔ ทุ่ม ถ้าใครนอนก่อน ๔ ทุ่ม ต้องตื่นขึ้นมาทำความเพียรก่อนตี ๔ ถ้าผิดจากนี้ ได้ตักเตือนถึง ๓ ครั้ง ถ้าทำไม่ได้ท่านพระอาจารย์มหาบัวจะไล่หนีจากวัดทันที ท่านตีและเข่นพระเณรให้พากเพียรเป็นอย่างมาก วันคืนที่ผ่านไปล้วนแต่ประกอบจิตภาวนาในอิริยาบถทั้ง ๔ ยืน เดิน นั่ง นอน ประกอบความเพียรด้วยสติปัญญาตลอด
    บางปี พระเณรป่วยเป็นไข้มาเลเรียเกือบทั้งวัด คงเหลือแต่ท่านอาจารย์มหาบัวกับพระอีกไม่กี่รูป ท่านอาจารย์มหาบัวก็เป็นผู้ปัดกวาดลานวัดเอง ตักน้ำ ขัดถูศาลาเอง หลวงปู่ศรีท่านอยู่ที่ห้วยทรายก็ป่วยเป็นไข้มาเลเรียอย่างหนัก และแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ถึงกับผมร่วง เป็นเวลา ๒๒ เดือน หลวงปู่ศรีท่านจึงคิดว่า ทำยังไงถึงจะหายไข้ จึงถามสามเณรว่า เณรน้อย อะไรหนอ มันผิดไข้มาเลเรีย(เป็นของแสลงกัน) สามเณรจึงตอบว่ามะพร้าวครับเหมือนดั่งผีหรือเทวดาฟ้าดินกลั่นแกล้ง วันหนึ่งชาวบ้านได้นำมะพร้าวมาถวายพระที่วัด แบ่งกันได้องค์ละ ๒ ลูก หลวงปู่ศรีท่านคิดว่า วันนี้ละจะได้รู้กัน เราเป็นไข้ป่ามันทรมานมานานวัน ถ้าฉันมะพร้าวแล้วจะผิดสำแดงเราจะฉันเพื่อให้ผิดสำแดงมะพร้าวทั้ง ๒ ลูกนั้นหลวงปู่ศรีท่านฉันจนหมดเกลี้ยง พอฉันเข้าไปเท่านั้นแหละ ท่านก็หน้ามืดอย่างแรง ตัวสั่นเทิ้ม ชักกระตุกล้มลงทันที สลบไสลไปเป็นเวลา ๓ วันสามคืน หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร (ท่านเป็นหมอยาสมุนไพรเก่า) เห็นอาการหลวงปู่ศรีท่านน่าเป็นห่วง หลวงปู่มหาบุญมีท่านจึงเอาช้อนงัดปากให้อ้าขึ้น แล้วกรอกยาลงไป ไข้มาเลเรียไม่นานก็หายขาดอย่างเหลือเชื่อ
    ต่อจากนั้นหลวงปู่ศรีท่านก็ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมทั้งวันทั้งคืน ท่านได้ตั้งสัจจะไว้ว่า ถ้านกแซงแซวยังไม่ร้องก็จะไม่ลุกจากอาสนะ และไม่ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ห้ามมิให้เปลี่ยนโดยเด็ดขาด นั่งอยู่ท่าใดก็ให้นั่งท่านั้น หลวงปู่ศรีท่านปฏิบัติอย่างเข้มงวดอยู่ตลอด ๒๒ คืน คือจากตะวันตกดินจนรุ่งอรุณเป็นวันใหม่ ในด้านอุบายธรรมต่างๆ พระอาจารย์มาหาบัวท่านเป็นผู้แนะนำพร่ำสอน หลังจากออกพรรษา ออกเดินธุดงค์บุกป่าฝ่าดงใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกว่าดงมะอี่ พร้อมพระอีก ๒ - ๓ รูป ผ่านเทือกเขาเตี้ยๆสลับซับซ้อนเป็นเขตแดนรอยต่อ ๓ จังหวัด ระหว่างจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า เขาผาน้ำย้อย อยู่เป็นเวลานานพอสมควรจึงแยกทางกัน ส่วนหลวงปู่ได้เดินทางไปกราบคารวะหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ที่วัดป่าศรีไพรวัลย์ จังหวัดร้อยเอ็ด และได้อุปัฏฐากท่าน
    พรรษาที่ ๘ ปีพุทธศักราช ๒๕๙๕
    จำพรรษาที่ วัดป่าหนองแซง ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
    ขณะที่หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ กับหลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้พำนักอยู่ที่วัดป่าศรีไพรวัลย์ จังหวัดร้อยเอ็ดได้ระยะหนึ่ง ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ( จูม พนฺธุโล ) วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ปรารถนาจะสร้าง วัดกรรมฐาน ที่บ้านหนองแซง จังหวัดอุดรธานี จึงได้มานิมนต์หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ กับหลวงปู่ศรี มหาวีโร เมื่อท่านทั้งสองรับนิมนต์แล้ว จึงพาคณะธุดงค์จาริกจากวัดป่าศรีไพวัลย์ ผ่านดงมูล ผ่านมาทางท่าคันโฑ มุ่งสู่เมืองกุมภวาปี เข้าสู่ตัวจังหวัดอุดรธานี เข้ากราบนมัสการท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ก่อนแล้วจึง เดินทางไปยังป่าบ้านหนองแซง เพื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดป่า หนองแซง สมัยนั้นจะเป็นกุฏิเล็กๆห้องเดียว มีพระเณรอยู่ประมาณ ๔-๕ รูป มีหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ เป็นหัวหน้า หลวงปู่ศรี มหาวีโร หลวงปู่พุทธา หลวงปู่แสง และสามเณรสมร ที่นี่เองหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณได้กล่าวทำนายไว้ว่า ท่านศรีหนีจากร้อยเอ็ดบ่ได้ดอก ต้องอยู่ที่ร้อยเอ็ดจนตาย
    พรรษาที่ ๙ - ๑๑ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๖ - ๒๔๙๘
    จำพรรษาที่วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุงเก่า) บ้านศรีสมเด็จ ตำบลโพธิ์ทอง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด
    ปฐมเหตุแห่งวัดป่ากุง... ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ หลวงปู่ศรีท่านได้เดินธุดงค์ผ่านจังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร ผ่านจังหวัดร้อยเอ็ดไปอำเภอวาปีปทุมซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดมหาสารคาม เจตนาอย่างหนึ่งของหลวงปู่ศรีที่เดินธุดงค์มายังแผ่นดินเกิดก็เพื่อ เยี่ยมเยียนสนทนาธรรมกับพระหลวงพ่ออ่อนศรี กิจฺจญาโณ ซึ่งเป็นบิดา เพื่อสนองคุณบิดาด้วยอรรถและธรรม ณ วัดป่าบ้านขามป้อม หลวงปู่ศรีท่านจึงปักกลดพักอยู่ที่วัดป่าขามป้อม กับพระหลวงพ่ออ่อนศรี กิจฺจญาโณ หลังจากนั้นจึงดำริเดินธุดงค์กลับร้อยเอ็ด มุกดาหาร นครพนม เพื่อกราบคารวะพระธาตุพนม
    ในขณะที่ท่านเที่ยววิเวกผ่านมาทางบ้านหนองแดง จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ปักกลดพักในบริเวณป่า เมื่อชาวบ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงทราบข่าว จึงได้นิมนต์หลวงปู่ให้พักที่ป่ากุงร้าง อันเป็นที่วัดร้างเก่าแก่ มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๑๓ หลวงปู่รับนิมนต์และได้อยู่จำพรรษา จึงทำให้ไม่ได้ธุดงค์ต่อตามที่ได้ดำริไว้ พ่อใหญ่ชาลี มงคลสีลา คนบ้านป่ากุง ได้ถวายที่ดินเพิ่มให้แก่วัดจำนวน ๑๐๐ ไร่ จากเดิมมีเนื้อที่เพียง๔-๕ ไร่
    ปลายปี ๒๔๙๘ ท่านได้ออกเที่ยวธุดงค์ไปที่ ภูมะค่า เขารางตะเข้ เขาจอมทอง อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เมื่อท่านเดินทางไปถึงเขาจอมทอง ชาวบ้านต่างเตือนว่าไม่อยากให้ท่านขึ้นไปอยู่ถ้ำบนเขา เพราะว่ามีพระขึ้นไปตายมาหลายรูปแล้ว ถึงไม่ตายก็ไม่วายเป็นบ้าลงมา หลวงปู่ศรีท่านเล่าว่า ที่เขาจอมทองนี้เคยมีพระอรหันต์มามรณะภาพอยู่ถึง ๔ องค์ สถานที่แห่งนี้ใครได้มาอยู่มาปฏิบัติ ถ้าตั้งใจดีมีโอกาสที่จะเห็นธรรม ในถ้ำนั้นมีเจ้าที่เป็นงูใหญ่ ทุกๆ ๓ ปีงูตัวนี้จะออกจากถ้ำทีหนึ่งเพื่อมาเล่นน้ำ เวลาเล่นน้ำมันจะเอาหางพันต้นไม้แล้วเอาหัวหย่อนลงในน้ำ หลังจากท่านพักอยู่ที่เขาจอมทองเป็นเวลาพอสมควร ท่านจึงเดินธุดงค์กลับวัดป่ากุง
    พรรษาที่ ๑๒ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๙
    จำพรรษาที่ วัดป่ามหาวีระอุทการาม(วัดหนองใต้) ตำบลขามป้อม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
    เมื่อต้องเดินทางไปยังอำเภอวาปีปทุม จัดหวัดมหาสารคาม เพื่อสนองคุณบิดาด้วยอรรถและธรรม ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการเดินทางอยู่บ้าง อีกทั้งท่านเองก็ต้องการหลีกจากผู้คนที่ศรัทธา ที่มาจากจังหวัดร้อยเอ็ด ที่นานวันยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกที ไม่เป็นการสะดวกในการปฏิบัติภาวนา ท่านทราบว่าที่บ้านหนองใต้มีป่าพอเป็นที่อาศัยปฏิบัติสมณะธรรม จึงได้ไปยังป่าที่บ้านหนองใต้ อาศัยปฏิบัติสมณะธรรมและได้จำพรรษาอยู่ที่ป่าหนองใต้ ๑ พรรษา คณะศรัทธาและหลวงปู่ได้ตั้งวัดขึ้นครั้งแรกในที่ แห่งนี้ มีเนื้อที่ประมาณ ๑๕ ไร่
    พรรษาที่ ๑๓ - ๑๗ ปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ - ๒๕๐๔
    จำพรรษาที่ วัดสามัคคีธรรม บ้านขามเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
    ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ออกเที่ยวธุดงค์กรรมฐานจากจังหวัดมหาสารคาม ร้อยเอ็ด มุกดาหาร นครพนม เข้ากราบพระธาตุพนม แล้วออกเที่ยววิเวกผ่านมาพักอยู่ที่บ้านนาโดน กำนันพรหมา รังษี ชาวบ้านขามเฒ่าได้ทราบข่าวของหลวงปู่ศรี มหาวีโร จึงได้รีบมานิมนต์หลวงปู่ศรีมาโปรดชาวบ้านขามเฒ่า พร้อมทั้งกำนันพรหมา รังษี ได้มอบเสนาสนะป่าอยู่ติดกับป่าช้า เนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่ ซึ่งกำนันพรหมาได้จับจองไว้สร้างเป็นวัด และปวารณาเป็นอุบาสกอุปัฏฐากหลวงปู่ศรี มหาวีโร ตลอดชีวิต แม้ตายสมบัติทั้งหมดก็ยกถวายให้หลวงปู่ศรีทั้งหมด ในที่นี้หลวงปู่ศรีได้สร้างศาลาใหญ่ให้เป็นศาลาปฏิบัติธรรม และบอกชาวบ้านช่วยกันปลูกขยายป่าเพิ่มเติม
    ในฤดูแล้งปี พ.ศ. ๒๕๐๔ จากเสนาสนะป่าช้าบ้านขามเฒ่า จังหวัดนครพนม มายังวัดป่ากุง จังหวัดร้อยเอ็ด มีหลวงปู่ศรี มหาวีโร เป็นหัวหน้า พระอาจารย์อินทร์ พระอาจารย์เสาร์ สามเณรอุดร ประจักโกศรี และผ้าขาวกอง เป็นคณะติดตาม ออกเดินทางมาบ้านคำพอก ผ่านไปทางอำเภอนาแก จังหวัดสกลนคร เดินผ่านทางบ้านด่านสาวดอย เข้าวัดบ้านน้ำกล่ำธาตุพนม ผ่านไปยังภูเขาหลังภูพาน มาจังหวัดกาฬสินธุ์ ข้ามป่าข้ามเขามาถึงเขื่อนลำปาว เข้าพักบ้านผักกาดหย่า จังหวัดกาฬสินธุ์ จากนั้นก็ไปบ้านนาขาม ดงแม่เผด เข้าเขตอำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ธุดงค์ผ่านบ้านคำผอุง ออกไปอำเภอกมลาไสย มาข้ามแม่น้ำชีที่กมลาไสย ไปเมยวดี แล้วถึงมาวัดป่ากุง
    พรรษาที่ ๑๘ - ๑๙ ปีพุทธศักราช ๒๕๐๕ - ๒๕๐๖
    จำพรรษาที่ วัดป่าศรีสมพร(หัวดง) บ้านน้อยหนองเค็ม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
    เมื่อออกพรรษาปี ๒๕๐๖ ที่วัดป่าศรีสมพร(หัวดง)แล้ว หลวงปู่ศรีท่านได้ดำริว่า เราปรารถนาจะปลีกวิเวกตามสมณวิสัย เพื่อห่างไกลผู้คนและญาติโยม เนื่องจากได้สร้างวัดวาอารามหลายที่หลายแห่ง เป็นภาระหนักอยู่ไม่สร่าง จนกระทั่งจิตเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง เสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ใจที่เคยมีความสุขอันเลิศเลอ เคยกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยธรรมอันเบ่งบานข้างใน มาบัดนี้ได้เกิดความเสื่อมถอย คุณภาพจิตได้รับความทุกข์อยู่เต็มหัวใจเหมือนคนมีสมบัติเป็นร้อยล้านพันล้าน แล้วสมบัตินั้นก็พลันมาฉิบหายมลายไปต่อหน้าต่อตา กลายเป็นยากจกทุคตะเข็ญใจในทันใด บุคคลนั้นจะตั้งตัวรับและยืนหยัดได้อย่างไร ยิ่งธรรมสมบัติคือ สมาธิที่เคยได้ลิ้มรสอันเลิศค่าด้วยแล้ว มาบัดนี้เสื่อมถอยไปต่อหน้าต่อตา เสื่อมเพราะความไม่ถนอมรักษา ตายใจว่านี้เป็นธรรมสมบัติอันจีรังมั่นคง จะสร้างความสุขให้เราได้ตลอดอนันตกาล แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะจิตในขั้นนี้ ยังมิใช่วิมุตติจิต ถึงแม้ว่าจะเร่งปฏิบัติสมาธิภาวนาสักเท่าใดเพื่อให้สมาธิธรรมนั้นกลับคืนมา ก็หาได้อย่างเดิมไม่ จิตเคยคล่องแคล่วปราดเปรียวเหมือนพญาเสือโคร่งตัวฉลาด ที่ล่าเหยื่อคือกิเลสได้ทันท่วงที มาบัดนี้เหมือนแมวเชื่องตัวน้อยๆ จึงออกเดินธุดงค์ออกจากนครพนมมุ่งหน้าไปยังอำเภอนาแก จังหวัดสกลนคร พักที่ถ้ำตางด ถ้ำพระ ถ้ำพระเวส เดินทางต่อจากอำเภอนาแก จังหวัดสกลนคร จนถึงวัดป่าหนองแซง หนองวัวซอ อุดรธานี สถานที่อยู่ของหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ เพื่อให้หลวงปู่บัวท่านแก้จิตเสื่อมให้ หลวงปู่บัวเป็นพระที่หลวงปู่ศรีท่านให้ความเคารพยิ่ง
    หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณท่านให้อุบายธรรมต่างๆ หลวงปู่ศรีท่านจึงนำไปปฏิบัติแบบไม่ไยดีในชีวิต ทุ่มเทกำลังสติปัญญาที่มีทั้งหมด ใช้ความเพียรกล้าที่สุด ตอนท้ายหลวงปู่บัวได้ให้อุบายธรรมแก่หลวงปู่ศรี ให้ท่าน นั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใด ถ้าจะเดินจงกรม ก็เดินเพื่อพักผ่อนอิริยาบถก็เพียงพอ เมื่อรับฟังโอวาทจากหลวงปู่บัวแล้ว หลวงปู่ศรีท่านจึงตั้งสัจจะว่า ถ้าจิตยังไม่บรรลุธรรมที่พึงประสงค์จะไม่ยอมลุกไปจากที่ เราจะยอมตายถวายชีวิตด้วยสัจจะบารมี
    หลวงปู่ศรีท่านปฏิบัติคล้ายที่เคยทำมา แต่หนักหน่วงกว่าเดิม โดยนั่งสมาธิอยู่ ๕ วัน ๖ คืน ครบ ๑๒ ชั่วโมงจึงเปลี่ยนอิริยาบถครั้งหนึ่ง คือขยับยกขาขึ้นแล้วเอาลงเท่านั้น มีกาเล็กๆใส่น้ำเอาไว้จิบพอชุ่มคอ เรื่องกลางวันกลางคืน เรื่องหลับนอนไม่ได้สนใจ อาศัยขันติคือความอดทน นั่งพิจารณาคลี่คลายสังขารส่วนต่างๆ จะตายก็ยอมตาย ไม่เสียดายอาลัยในชีวิตซึ่งเป็นสิ่งสมมุติ ในที่สุดมายุติตรงที่ว่าอวิชชาดับ เกิดญาณหยั่งทราบแน่ชัด จิตหมดการก่อกำเนิดในภพต่างๆอย่างประจักษ์ใจ โลกธาตุหวั่นไหว ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ต่างอันต่างเป็นอิสระ อินทรีย์ ๕ อายตนะ ๖ ทำงานตามหน้าที่ของตน ไม่กระทบกระเทือนให้เป็นทุกข์เหมือนดังแต่ก่อน ดับทุกข์ที่เผาลนจิตใจมาช้านานโดยประการทั้งปวง เหลือแต่ดวงจิตบริสุทธิ์ล้วนๆ สนามเต้นรำทำเพลงและเวทีของกิเลสไม่มีอีกแล้ว การทะเลาะบาดหมาง ลังเลสงสัย สับสนวุ่นวายในดีและชั่วจบลงแล้ว จิตว่างเปล่าจากกิเลสและการยึดติด เหลือแต่ธรรมธาตุรู้ล้วนๆ เพราะคำว่าทุกข์ ได้พ้นไปจากใจโดยสิ้นเชิง อัศจรรย์พระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงสามารถรู้เห็นได้ก่อน อัศจรรย์พระอริยสาวกผู้สามารถตามเสด็จพระพุทธเจ้าได้ อัศจรรย์ธรรมที่ตนเองรู้เห็นถึงความเป็นอัตตมโนภิกขุ คือ ภิกษุผู้มีใจเป็นของตน ไม่ต้องแสวงหาที่พึ่งอาศัยอะไรอีกต่อไป
    เมื่อหลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านได้ประพฤติปฏิบัติสำเร็จถึงอุดมธรรมตามความประสงค์ของท่านแล้ว หลวงปู่ศรีท่านก็ได้ออกธุดงค์อีกครั้งพร้อมศิษย์ติดตามอีก ๒ รูป คือพระอาจารย์ทองอินทร์ กตปุญฺโญ และ หลวงพ่อพุทธา มุ่งสู่ภูเก้า-ภูพานคำ ในระหว่างธุดงค์ผ่านบ้านดงบาก หลวงพ่อพุทธา ขอลากลับ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านจึงไปกับพระติดตามเพียงรูปเดียว คือพระอาจารย์ทองอินทร์ กตปุญฺโญ ผ่านบ้านดงบาก แล้วเดินต่อไปยังบ้านวังมนต์ ตำบลโคกม่วง อำเภอโนนสังข์ จังหวัดหนองบัวลำภู ท่านและศิษย์ได้หยุดพักปฏิบัติที่ถ้ำจันใด และต่อไปยังถ้ำหามต่าง พักอยู่ที่ ภูเก้านี้เป็นเวลา ๒ เดือนกว่า
    ย่างเข้าฤดูฝน ปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้ลงจากภูเก้า มาอำเภอโนนสังข์ ผ่านอำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู ใช้เวลา ไม่กี่วันก็ทะลุถึงเทือกเขาภูเวียง เดินต่อไปยังวัดป่าภูเวียง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เข้ากราบคารวะและพักอยู่กับ ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมปตฺโต ศิษย์รุ่นใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมปตฺโต แนะนำว่า ให้พวกท่านขึ้นไปถ้ำกวาง ถ้ำพระ ซึ่งเป็นสถานที่สงบสงัด สัปปายะ เพราะผมเคยไปอยู่วิเวกภาวนาจำพรรษามาแล้วในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ทุกอย่างดีหมด เสียอย่างเดียวที่ ผี ดุมาก
    ได้ฟังดังนั้น หลวงปู่ศรีท่านจึงเดินทางต่อไปยัง บ้านโนนสวรรค์ บ้านหินล่อง ขึ้นไปพักถ้ำพระ ถ้ำกวาง เชิงเขาภูเวียง หลวงปู่ศรีได้นำพาสานุศิษย์ปฏิบัติธรรมอยู่ที่แห่งนี้เป็นเวลากว่าแรมเดือน ได้เกิดนิมิตเห็นว่าแม่ยาย (แม่ใหญ่หล้า แสนยะมูล โยมอุปัฏฐากวัดป่ากุง เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ รวมอายุ ๙๒ ปี) ของท่านป่วย ท่านจึงได้ออกเดินทางกลับวัดป่ากุงเมื่อเดินทางกลับมาถึงก็ได้ทราบว่าแม่ยายท่านป่วยหนัก จึงรีบไปเยี่ยมและเทศน์โปรด อีกต่อมาไม่นานนักแม่ยายของท่านก็หายจากอาการป่วยนั้น
    พรรษาที่ ๒๐ - ๔๒ ปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ - ๒๕๓๐
    จำพรรษาที่ วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง) บ้านศรีสมเด็จ ตำบลโพธิ์ทอง อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด
    นับเป็นเวลาถึง ๘ ปี ที่หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านได้ออกธุดงค์เที่ยววิเวกภาวนาและจำพรรษาในถิ่นอื่น การย้อนกลับมาสู่ถิ่นเดิมของท่าน ช่างเป็นความจริงอย่างกับที่หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ได้บอกไว้ว่า ท่านศรี ท่านจะหนีจากเมืองร้อยเอ็ดไปไหนไม่ได้ดอก ก็เป็นความจริงจนถึงทุกวันนี้เมื่อท่านกลับมาอยู่ได้ไม่นานนัก ทายกทายิกาประชาชนเห็นพ้องต้องกันจะบูรณะปรับปรุงวัดป่ากุงแห่งนี้ ให้เป็นวัดวาอารามสมบูรณ์ถาวรมั่นคงสืบไป จึงได้ดำเนินการขออนุญาตทางราชการจัดตั้งเป็นวัดขึ้น โดยให้ชื่อตามความหมายที่ประชาชนร่วมกันสร้างว่า วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) ในสังกัดคณะธรรมยุตติกนิกาย ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๘ โดยมีหลวงปู่ศรี มหาวีโร เป็นเจ้าอาวาสปกครองและบูรณปฏิสังขรณ์ให้เจริญรุ่งเรือง เขตวัดได้เพิ่มเป็น ๓๓๘ ไร่ ๘๒.๗ ตารางวา (พ.ศ. ๒๕๕๑)
    ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๗ ทรัพยากรป่าไม้บนเทือกเขาเขียวกำลังถูกทำลายเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ น.อ.ประสิทธิ์ ทองใบใหญ่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดในสมัยนั้น จึงได้ไปกราบนิมนต์หลวงปู่ศรี มหาวีโร เพื่อขอให้ท่านพิจารณาตั้งวัดเป็นถาวรขึ้นบริเวณเขาผาน้ำย้อยเพื่อจะได้ใช้สถานที่ปฏิบัติธรรม และอบรมสั่งสอนศีลธรรมให้กับประชาชน เมื่อท่านหลวงปู่ศรี มหาวีโรพิจารณาเหตุผลแล้ว จึงได้จัดตั้งเป็นวัดโดยถาวรใช้ชื่อว่า วัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วนาราม(ผาน้ำย้อย) ตั้งอยู่ที่ หมู่บ้านโคกกลาง ต.โคกสว่าง อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด ติดถนนสายหนองพอก-เลิงนกทา เริ่มแรกเนื้อที่ดูแลของวัดมีเนื้อที่ประมาณ ๕๐,๐๐๐ ไร่(ภายหลังเพิ่มเป็น ๑๓๐,๐๐๐ ไร่) และได้บูรณะป่าให้สมบูรณ์ยิ่งๆขึ้น
    เมื่อวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๘ หลวงปู่ศรี มหาวีโรท่านได้ปรารภกับที่ประชุมคณะศิษยานุศิษย์ว่า ได้รับพระบรมสารีริกธาตุ จากประเทศศรีลังกาเป็นกรณีพิเศษ และมาพิจารณาเห็นว่าครูบาอาจารย์สายอีสานมีผู้มีความรู้ระดับนักปราชญ์ และปฏิบัติชอบระดับสัมมาปฏิบัติ ได้ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและพระศาสนาเป็นจำนวนมาก สมควรสร้างถาวรวัตถุสำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อัฏฐิธาตุ รูปเหมือนของครูบาอาจารย์เหล่านั้น เพื่อเป็นศูนย์กลางให้แก่ผู้ที่ต้องการมาศึกษา สักการะบูชา และเห็นว่าสมควรสร้างที่วัดผาน้ำย้อย ในวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๐ หลวงปู่ศรีท่านได้ประชุมคณะกรรมการก่อสร้างพระมหาเจดีย์ชัยมงคล โดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จประญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธานฝ่ายบรรพชิต และพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบกและรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานกรรมการก่อสร้างเจดีย์
    ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๘
    วันที่ ๑๗ พฤษจิกายน พ.ศ.๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานพระกฐินต้น ณ.วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ต่อชาวอำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด ยิ่งนัก..ประชาชนต่างปิติยินดี ที่มีโอกาสได้เฝ้ารับเสด็จ..
    [​IMG]

    พรรษาที่ ๔๓ พุทธศักราช ๒๕๓๑
    จำพรรษาที่ เสนาสนะป่าบนหลังเขาเมืองปุณจะ ประเทศอินโดนีเซีย
    ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ ท่านปรารภว่า อยากจะหาที่เหมาะสมไปพักผ่อน เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยทรมานกายตั้งแต่ออกสงเคราะห์โลก อยากจะชำระธาตุขันธ์ที่หมักหมมด้วยการงานมาหลายปี ประกอบกับในขณะนั้นมีคณะศิษย์ที่อยู่ในต่างประเทศ นิมนต์ท่านไว้หลายแห่ง คณะศิษย์จึงกราบนิมนต์ท่านไปจำพรรษาที่ไร่ชา เมืองปุณจะ ประเทศอินโดนีเซีย ภายในเนื้อที่ ๑,๐๐๐ ไร่ เจ้าของไร่ชาคือคุณยูริ ยันติ ได้จัดที่พักบนหลังเขา และสร้างกุฏิบนต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบ อากาศสัปปายะ ป่าอุดมสมบูรณ์ ท่านได้ปฏิบัติสมณธรรมตามสมณวิสัย เดินจงกรม นั่งสมาธิไม่ได้ขาด เมื่อท่านได้ไปเยี่ยมพระเจดีย์บูโรพุทโธศาสนสถาน ที่สร้างด้วยหินขนาดใหญ่ ใช้ระเบิดทำลายก็ ไม่พังไปได้หมด และมีความศักดิ์สิทธิ์มาก หลวงปู่ศรีท่านจึงได้ปรารภว่า ถ้ามีโอกาสจะสร้างพระเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้บ้าง เพราะเป็นเครื่อง หมายแสดงถึง ความถาวรมั่นคงของพระพุทธศาสนา ใครพังทำลาย ไม่ได้ง่ายๆ สร้างเล็กๆน้อยๆเดี๋ยวคนเขาก็ทำลายได้ง่ายๆ ดูอย่างพระเจดีย์บูโรพุทโธยังคงงามสง่า ประกาศศักดาของความศรัทธา ในพระพุทธ ศาสนาของชาวอินโด เป็นประวัติศาสตร์ของโลก ออกพรรษาแล้ว ธาตุขันธ์ที่เคยหมักหมมเมื่อยล้ามานานขององค์หลวงปู่ กลับกระปรี้กระเปร่าผ่องใสงดงาม ท่านปรารภว่า เอาล่ะ สบายแล้วคราวนี้ จะไปไหนก็ไป หลังจากนั้นท่านและคณะศิษย์ที่ติดตามจึงเดินทางกลับประเทศไทย
    พรรษาที่ ๔๔ - ๖๑ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๒ - ๒๕๕๑
    จำพรรษาที่วัดประชาคมวนาราม(วัดป่ากุง) บ้านศรีสมเด็จ ตำบลศรีสมเด็จ อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด
    ¨ องค์หลวงปู่ใหญ่หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พัดยศ ดังนี้คือ
    วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๒๘ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ “พระอุดมสังวรวิสุทธิเถระ”
    วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๕ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสังวรอุดม
    วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพวิสุทธิมงคล
    นอกจากนี้ในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๖ ได้รับ ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขา พุทธศาสตร์ จากมหามกุฎราชวิทยาลัย โดยสมเด็จพระญาณวโรดม วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร เป็นผู้นำมาประทานมอบให้
    ¨ วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๔๐ คณะศิษยานุศิษย์ได้เริ่มการก่อสร้างกำแพงหินรอบองค์พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ตัวกำแพงมีความสูง ๕ เมตร กว้าง ๔ เมตร สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ก่อด้วยอิฐหินลูกรังผสมซีเมนต์ ยาว ๓,๕๐๐ เมตร และมอบถวายบูชาคุณองค์หลวงปู่ ในวันที่ ๓พฤษภาคม ๒๕๔๖ ฉลองสิริอายุ ๘๖ ปี เป็นกำแพงแห่งศรัทธาที่ศิษยานุศิษย์มีต่อองค์ท่าน ภายในกำแพงเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เดินจงกรม
    เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๗ ได้เริ่มดำเนินการการก่อสร้างเจดีย์หิน ณ วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง) ถวายเป็นการบูชาคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ศรี มหาวีโร จำลองแบบมาจาก เจดีย์บูโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซีย มีความสูง ๑๙ เมตร กว้างยาว ๔๐ เมตร มีทั้งหมด ๕ ชั้น โดยมีพระอาจารย์ทองอินทร์ กตปุญฺโญ พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดสาขาตลอดจนคณะ ศิษยานุศิษย์ ดำเนินการแล้วเสร็จถวายแด่องค์หลวงปู่ศรี มหาวีโร เนื่องในวาระฉลองอายุ ๙๐ ปี พรรษาที่ ๖๐ วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
    บรรณานุกรม
    คณะศิษยานุศิษย์. หนังสือสวดมนต์ ระเบียบและข้อวัตรปฏิบัติ วัดประชาคมวนาราม
    (ป่ากุง) และวัดสาขา. กรุงเทพฯ : นำทองการพิมพ์, ๒๕๕๑.
    ขออนุญาตินำประวัติมาเผยแพร่..กราบขอขมาพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์หลวงปู่ศรี..หากลูกหลานล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ กราบขอขมาองค์หลวงปู่ศรี ขอท่านได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วย...จากใจจริง หนุ่ม อุดมสมพร<!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 8-1.JPG
      8-1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      101.4 KB
      เปิดดู:
      56,422
    • 1-1-9.jpg
      1-1-9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.8 KB
      เปิดดู:
      7,601
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  6. นพมาศ01

    นพมาศ01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +88
    :cool:...อนุโมทนาสาธุ.....ตระการตาสวยงามมาก.....จำลองมาจากแดนสวรรค์หรืออย่างไรจึงได้งามอย่างนี้......(kiss)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,276
    ค่าพลัง:
    +82,733
    ติงชื่นชมกระทู้นี้จริงๆค่ะ มาดูคราวใดก็อิ่มเอมใจ มีความปิติทุกที สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
     
  8. รักษ์สยาม

    รักษ์สยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,129
    งดงามจริงๆครับยังไม่เคยเห็นอลังการแบบนี้มาก่อน:cool::cool::cool:
     
  9. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    [​IMG]

    [​IMG]

    พระมหาเจดีย์ชัยมงคล อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด งบประมาณการก่อสร้างกว่าสามพันล้านบาท..ปัจจุบันแล้วเสร็จไปแล้วประมาณ80% ด้วยแรงศรัทธาของศิษยานุศิษย์ที่มีต่อครูบาอาจารย์ โดยท่านไม่เคยให้สร้างวัตถุมงคลใดๆ เพื่อนำปัจจัยมาสร้างพระมหาเจดีย์ฯ แม้แต่รุ่นเดียว แต่ท่านให้สร้างวัตถุมงคลเพื่อแจกให้ศิษยานุศิษย์ได้มีไว้เป็นสังฆานุสติ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนของท่าน มุ่งปฎิบัติ ภาวนา นั่งสมาธิ มุ่งมั่นสร้างกรรมดี ละเว้นจากกรรมชั่วทั้งปวง ปัจจุบันองค์หลวงปู่ใหญ่ "พระผู้มากล้นด้วยบุญบารมี หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านมีอายุ 95 ปี จำพรรษาอยู่ที่ วัดประชาคมวนาราม ต.ศรีสมเด็จ อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด..
    ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมชม...ขอบารมีหลวงปู่ศรี คุ้มครองทุกท่าน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • logo_nameshop.jpg
      logo_nameshop.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148.6 KB
      เปิดดู:
      2,350
    • 99999.jpg
      99999.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.5 KB
      เปิดดู:
      987
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  10. sky88

    sky88 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +57
    งดงามอย่างเมืองสวรรค์
     
  11. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,865
    งดงามเหมือนอยู่ในความฝันเลยค่ะ มองเผินๆเหมือนวังในตะวันออกกลางเลย
    ไม่รู้ชาตินี้จะมีบุญได้ไปไหมหนอ..
     
  12. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,428
    ค่าพลัง:
    +33,493
    งดงามจริงๆค่ะ
    ยังไม่เคยพระมหาเจดีย์ที่ใดอลังการแบบนี้มาก่อน
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  13. อะนีมา

    อะนีมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +817
    พระมหาเจดีย์ชัยมงคล อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด งบประมาณการก่อสร้างกว่าสามพันล้านบาท..ปัจจุบันแล้วเสร็จไปแล้วประมาณ80% ตอนนี้ยังสามารถส่งเงินไปร่วมสร้างเจดีย์ชัยมงคลได้ที่ไหนครับ เอาทางธนาคารนะครับ ขอบคุณครับ
     
  14. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    ทางธนาคารไม่ทราบจริงๆครับ...ส่วนตัวผมไปหยอดใส่ตู้รับบริจาคที่พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ขอบคุณครับ
     
  15. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    ปลุกเสกจิตให้มีพลัง


    [​IMG]


    การที่เราออกเที่ยวจาริกไปวิเวก ย่อมอาจพบจิตวิญญาณมากมายมีทั่วโลก ถ้าเรามี
    จิตวิญญาณอ่อนกว่าเขา เขาก็อาจมารบกวนให้เดือดร้อนวุ่นวายได้ เดี๋ยวก็ว่า "ผีตรงนั้นดุ
    ผีตรงนั้นร้าย เดี๋ยวก็ผีปอบอย่างนั้นอย่างนี้ ผีไร่ ผีนา ทำลายอย่างนั้นอย่างนี้"

    เราจะเอาพลังจิตใจอะไรไปสู้กับเขา จะใช้เวทมนต์คาถาไม่ได้ทั้งนั้น บางทีเกิดขวาง

    บ้างขวางเมือง เกิดเหตุอันนั้นอันนี้ร้อยอันพันประการ ถ้าเราบำรุงจิตใจให้มีพลังอย่างว่าแล้ว
    ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ ปลุกเสกจิตใจเรานี้แหละให้ศักสิทธิ์ขึ้นมาเลย ปลุกเสกจิตให้เป็นผู้
    รู้ขึ้นมาเลย ไม่ต้องอาศัยเครื่องลางของขลังภายนอก ไม่ต้องอาศัยพระเครื่อง ไม่ต้องอาศัย
    เวทมนต์คาถาผ้ายันต์
    เอาจิตใจพลังจิตเรานี้แหละให้ศักสิทธิ์ขึ้นได้ แล้วใช้ประโยชน์
    ได้หมด แม้แต่ฤๅษีชีไพรเขายังทำได้ ว่าแต่ทำจิตเราให้มีพลังเสียก่อน

    โลกเราทุกวันนี้ไม่ใคร่เชื่อพุทธศาสนาเท่าไร สังเกตคนที่นับถือศาสนาทั่วๆไป พอได้

    ยินข่าวว่าผู้มีบุญเกิดขึ้นที่นั่นที่นี่ เฮโลกันไปหาน้ำมนต์วิเศษ เสียเงินเท่าไรไม่ว่า เฮโลกันไป
    ที่นั่นที่นี่บ่อยๆ ว่าแต่ได้ยินข่าวว่าอะไรศักสิทธิ์ที่ไหน เฮโลกันไป

    บางคนไม่มีค่ารถค่าเรือขายไก่ขายกาไปวุ่นวาย ว่าจะไปเอาของดีให้ได้ แสดงว่าจิตใจ

    ยังไม่แน่วแน่ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยังวิ่งหาสิ่งอื่นอยู่ ได้ยินมงคลตื่นข่าวที่ไหน
    เฮโลไปเลย เรียกว่าไม่แน่นอน(ไม่มั่นใจ) ความไม่แน่นอน(โลเล) มักจะผิดพลาด การ
    นับถือพุทธศาสนาก็ทำนองเดียวกัน

    จะเล่าให้ฟังเคยมีพระองค์หนึ่ง นึกว่าตัวได้เรียนธรรมได้เคยนั่งภาวนา คงเคยทำได้บ้าง

    ไม่ได้บ้างตามเรื่อง ญาติโยมจึงนิมนต์มาพักที่ ทุ่งนาหนองใต้ พักอยู่ใกล้ๆ ต้นไม้แห่งหนึ่ง

    ตกพลบค่ำ พบมองเห็นอะไรลางๆ จึงขึงด้วยสายสิญจน์ แล้วทำพิธีสวดมนต์ไล่ผี (โยม

    ก็นั่งอยู่บริเวณนั้น) พอสวดไปหน่อย ปรากฏมีดุ้นฟืนติดไฟขว้างหวือมาเฉียดหูพระ พระ
    เริ่มใจคอไม่สู้จะดีซะแล้ว อีกสักครู่หนึ่งดุ้นไฟก็ปลิวหวือมาอีก ไม่รู้ใครขว้างมาจากทางไหน
    หนักๆเข้าเกิดความกลัว อยู่ไม่ไหวเลยลุกวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน นี่แหละถ้าไม่ได้ฝึกจิตจนมี
    พลังเหนือผี ก็ไปไม่รอดเหมือนกัน

    ของพรรค์นี้ไม่ได้ง่ายๆ ต้องมีพลังในด้านภายใน พลังจิตของเราต้องสูงกว่าเขา (ผี)

    ถ้าหากมีพลังมากกว่าเขา แม้แต่อยู่บ้านเรือนมันก็ร่มเย็นไปเลย มันไม่มีอำนาจมาทำอะไร
    เราได้ ถึงจะมาก็มาไม่ถึง หรือแม้คนจะเอาเวทมนต์กลคาถามาใส่มาลองเราเหมือนอย่าง
    พวกเขมร ว่ามีวัวธนูอะไรต่ออะไร มาไม่ถึงทั้งนั้น หากเรามีพลังจิตดี อาศัยพลังจิตอย่าง
    เดียว ปอบผีอะไร มาไม่ถึงตัวเราทั้งนั้น


    นี่แหละอำนาจของสมาธินี่มากจริงๆ แต่มันเป็นของลึกลับ ต้องทำให้มันเกิดขึ้น ให้รู้

    ชัดในเรื่องของเรา เราต้องพึ่งตนเอง มาเกิดก็มาคนเดียว ตายก็ตายคนเดียว อัตตาหิ
    อัตตาโน นาโถ
    ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน จะไปพึ่งอะไร พึ่งอย่างอื่น พึ่งไม่ได้หรอก ต้องพึ่ง
    จิตใจที่มันมีพุทธะ คือมีความรู้จริงนี้แหละ ความรู้จริงมันเป็นธรรมะ การประพฤติปฏิบัติมา
    มาจนเกิดความรู้จริงนั่นแหละ เป็นพระสงฆ์ คือผู้ประพฤติปฏิบัติตาม ผู้เดินตาม รวมแล้ว
    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมอยู่ในจิตใจของเราหมด

    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แทรกอยู่ในจิตใจของเราตลอดเวลา เป็นวิหารธรรม

    เป็นเครื่องอยู่ของจิต ต้องเอาแบบนั้นจึงใช้ได้ ไม่ใช่ไปเจอเหตุการณ์แล้วจึงนั่งสมาธิ ต้องเป็น
    สมาธิอยู่ตลอดเวลาเป็นปกติจึงใช้ได้ นี่แหละหลักการมันเป็นอย่างนี้ เราต้องทดสอบได้
    ทุกระยะ แม้กระทั่งเดินไปเฉยๆก็รู้ว่า ตรงไหนมันอ่อนมันแข็ง มีผีมีสางที่ไหนมันหึงมัน
    หวงก็รู้จัก มันหวงมากหวงน้อย รู้จักทันที"

    เมื่อจิตเรามีกำลังจะกำหนดเพ่ง ภูตผี ปีศาจ เพ่งให้ตายก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่าน

    ห้ามทำลายพวกภูติผี ปีศาจ หรือเปรต ท่านปรับอาบัติ เป็นถุลลัจจัย ท่านไม่ให้ไปทำลาย
    เขา อำนาจของจิตนี้มันแข็ง ถ้าเราฝึกหัดจริงๆ อย่างท่านพระอาจารย์มหาบัวท่านเคยพูดให้
    ฟัง เวลาไปที่ใด ผีมันเข็ดมันขวาง เดินผ่านไปใจก็สัมผัสรู้ได้

    (เรียบเรียงจาก หนังสือประวัติหลวงปู่ศรี มหาวีโร พระผู้มากล้นด้วยบุญบารมี)<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  16. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    ได้รับฉายา "หลวงปู่ศรีผีย้าน" (ผีกลัว)



    [​IMG]


    ( กุฏิเดิมของหลวงปู่ศรีที่วัดหนองใต้ (ปรับปรุงใหม่ ) )


    หลวงปู่ศรีท่านเล่าว่า...
    "ที่อำเภอวาปีปทุม ที่แห่งนั้นมีผีดุ ผีเข็ดขวาง (ใครลบหลู่จะต้องได้รับความ
    หายนะ) ประเภทความดุของผีถ้าเทียบกันแล้ว ผีที่อยู่แถบภูขาไม่ร้ายแรงเท่ากับผี
    ที่อยู่ตามทุ่งนา เพราะเราเคยสัมผัสมาแล้ว และที่เจอหนักที่สุดที่ ทุ่งนาบ้านหนองใต้ ต้อง
    สู้กันอยู่ถึงสิบห้านาทีผีมันถึงยอม คำว่า ยอม คือ ยอมธรรมะของเราที่มีเมตตาธรรม
    อันอ่อนนิ่มภายในจิตใจของเราแผ่ไปให้เขา เป็นต้น

    ยามเมื่อมีคนโดนผีเข้า ก็กำหนดไปที่คนนั้นว่า เจ็บอยู่ที่ไหน(เจ็บอยู่ที่ท้อง) ถาม
    ว่าเจ็บอยู่ที่ไหน (เจ็บอยู่ที่ขา) ก็จะกำหนดเพ่งเข้าๆตรงที่เจ็บ จนกระทั่งล้มลงนอน
    ไม่รู้สึกตัว พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็ให้น้ำมนต์

    ตอนที่เราไปปราบผีที่ทุ่งนา ทุกสายตาจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ป่าบอนหนาๆ
    หมุนติ้วเลย เป็นมหัศจรรย์ที่เหมือนกับพลัง เป็นที่ร่ำลือกันนักหนา

    แต่ที่หนองใต้นี้แรงมาก เขาสร้างหอผีผัวเมียให้คนไปกราบไหว้บูชา ในบริเวณนั้น
    มีจอมปลวกใกล้ต้นมะขามใหญ่

    บางทีผีมันเอาคนไปซ่อนไว้ ชาวบ้านก็ช่วยกันหาทั่วบ้านทั่วเมืองก็ไม่เจอ แล้วเราก็
    ชี้ให้ ชาวบ้านดูว่านั่นไง อยู่จอมปลวกใต้ต้นมะขามนั้นไง ชาวบ้านก็ไปเห็นขาชี้อยู่ ชาวบ้านก็ไป ช่วยดึงออกมา

    ในบริเวณนั้น ใครเข้าไปเอาไม้แห้งมาทำฟืนหุงต้มก็ไม่ได้ มะขามสุกที่หล่นจะเก็บ
    มากินก็ไม่ได้ ต้องโดนผีเข้าทันที


    [​IMG]

    (ต้นมะขามบริเวณวัด เดิมมีผีภูมิเจ้าที่)


    เราก็ไปเดินดูทั่วบริเวณ ๑๒ ไร่ บริเวณศาลอันเป็นหอผีผัวเมียนั้น มันมีสิ่วด้าม
    หนึ่งตกอยู่ เราเห็นว่าสิ่วนี้น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะขณะนี้กำลังสร้างศาลาพักหลังเล็กๆ
    (วัดหนองใต้) เราจึงหยิบแล้วเดินมา จึงพิจารณาค้นหาว่า "เอ!...ผีตัวนี้มันอยู่ไหน มัน
    หนีไปอยู่ไหน"

    ขณะที่เดินไปใกล้คลองน้ำ มันก็กระโดดเกาะพึบเลย จึงกำหนดจิตเดินจงกรม เดิน
    จงกรมก็ไม่ออก เราก็เริ่มหายใจไม่ออก เข้าไปในกลดไปนั่งสมาธิเป็นชั่วโมง แล้วเขาก็
    กระเด็นออกไปเอง


    พอตกกลางคืนผีที่เป็นนายอำเภอ (ยศตำแหน่งทางผี) เขาไปสั่งผู้ใหญ่บ้านที่เป็น
    เสี่ยว(เพื่อน) ของตนว่า เสี่ยว...เฮาจะไปแล้วนะ อยู่ไม่ได้แล้ว เข้าของเรามาแล้ว ให้
    ดูแลวัดด้วยเด้อ
    แล้วเขาก็แห่ช้างแห่ควายพร้อมด้วยบริวารย้ายถิ่นฐานหนีไปเลย

    ตั้งแต่บันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีผีสางนางไม้ไปรบกวนคนอีกเลย ชนทั้งหลายจึงขนาน
    นามหลวงปู่ศรีว่า "หลวงปู่ศรี ผีย้าน" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    (เรียบเรียงจาก หนังสือประวัติหลวงปู่ศรี มหาวีโร พระผู้มากล้นด้วยบุญบารมี)<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  17. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    ภูมิเจ้าที่วัดป่ากุง


    [​IMG]

    (กุฏิกลางน้ำวัดป่ากุง ที่หลวงปู่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน)



    หลวงปู่เล่าถึงภูมิเจ้าที่วัดป่ากุง ตนหนึ่งหลวงปู่เรียกว่า "อีสิ้นเหี่ยน" แปลงร่างได้ ๒ รูปแบบ ๑.เป็นงูใหญ่หาง
    ด้วน ตัวเท่าลำต้นตาล ๒.เป็นผู้หญิงแต่งชุดเปลือกไม้ปกปิดกาย อีกตนหนึ่ง เรียกว่า "บักดำใหญ่หรือบักคอ
    ลาย" ท่านทรมานสมัยอยู่ที่ วัดป่าหนองใต้ จนยอมตัวขออยู่รับใช้ติดตามมาอยู่วัดป่ากุงกับหลวงปู่ มาเฝ้าวัด
    เฝ้าสระใหญ่ ใครไปจับต้อง ลักเล็กขโมยน้อยในวัด เอาของโดยไม่บอกกล่าวก่อน ต้องมีอันเจ็บไข้ได้ป่วยมีอัน
    เป็นไปต่างๆ ถ้าอยากจะหายก็ต้องแต่งขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ มาขอขมาหลวงปู่ จึงหายจากอาการที่เป็น
    หลวงปู่บอกว่า
    ด้วยอานิสงฆ์แห่งการรับใช้พระ ภูมิเจ้าที่ทั้งสองได้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงแล้ว

    ต่อมาท่านก็เป็นผู็นำชาวบ้าน ปลูกป่าไม้ว่าจะเป็นส้ม มะนาว กล้วย กอไผ่ ฯลฯ

    ปลูกในบริเวณวัด ท่านปลุกกล้วยล้อมโบสถ์ ไม่ให้ใครแตะต้อง พอพวกโจรขโมยผ่านมา
    เห็นกล้วยสุกคาเครือน่ากิน ก็ชวนกันเข้าไปขโมย ไปกัน ๔ คน เอากระสอบข้าวสารไปใส่
    ตัดใส่ถุงละเครือ หามกระสอบกล้วยเดินวกวนไปมาอยู่ในบริเวณวัด หาทางออกไม่ได้จน
    กระทั่งสว่าง นั่งเหนื่อยล้าอ่อนเพลียทอดอาลัยอยู๋ที่ใต้ร่มไม้


    พอตอนเช้าท่านออกไปบิณฑบาต จึงบอกพระเณรว่า "ไปเรียกพวกขโมยบ้าหาม

    กระสอบกล้วยเดินรอบวัดทั้งคืนมานี่ซิ"
    เมื่อตามพวกขโมยนั้นมาท่านก็ถามว่า "เป็นไงบ้าง
    เหนื่อยไหม? ถ้าอยากกินทำไมไม่ขอ คราวหลังก็ขอสิ เอ้า เอาไปกินซะ"


    เมื่อท่านอนุญาตให้ เขาก็กราบท่าน แล้วกราบเรียนท่านด้วยความตื่นเต้นตื่นกลัวว่า

    "เข็ดแล้วครับท่านอาจารย์ เข็ดไปจนวันตาย วัดนี้ผีเยอะเหลือเกิน พวกผมจะเดินหนีไป
    ทางไหนก็มีผีขัดขวาง ไม่เจอผีก็เจอป่าทึบ หาทางมุดออกไม่ได้ เด็๋ยวก็เจอเสือ เดี๋ยวก็เจอ
    งูใหญ่ สิ่งหนีตายกันแทบทั้งคืน แทบจะเอาชีวิตไม่รอด เสื้อผ้าขาดวิ่นหมด"


    "ทีหลังอย่าพากันไปหาลักขโมย มันเป็นบาป อยากได้อะไรก็ขอเอาตรงๆ" หลวงปู่ศรี

    ท่านกล่าวสอน

    อีกอันหนึ่ง ก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดเช่นกัน คือมีคนหนึ่งมารับจ้างขุดสระน้ำที่

    บ้านโสร่งแดง ห่างจากวัดป่ากุงนี้ไปก็ประมาณ ๔-๕ กม. เลยบ้านก่อไป แกเอาแทรกเตอร์
    ขุดตรงนั้น แทรกเตอร์ดับไม่ติดเลย ทำยังไงก็ไม่ติด มีคนแนะนำแกว่า ให้แต่งเครื่อง
    เซ่นสังเวยผีปู่ตาสิ เดี๋ยวรถก็จะสตาร์ทติด แกทำพิธีอย่างที่แนะนำ ก็ไม่สำเร็จประโยชน์
    มีอีกคนบอกว่าลองไปขอน้ำมนต์จากหลวงปู่ศรี วัดป่ากุงสิ แกจึงมากราบหลวงปู่เล่าความ
    เป็นไปให้ท่านฟัง ท่านจึงทำน้ำมนต์ให้ แกก็เอาไปรดพรมรถแทรกเจอร์ พรมน้ำมนต์เสร็จ
    รถสตาร์ทติดทันทีเลย แกก็ก้มลงกราบหลวงปู่ตรงนั้นเลย
    พอเสร็จงานก็เลยมาหาหลวงปู่
    บอกหลวงปู่ว่า ผมอัศจรรย์ในบุญบารมีครูอาจารย์จริงๆ ตั้งแต่นั้นมาทางวัดป่ากุงมี
    กิจการงานอะไรเกี่ยวกับกับเรื่องขุดสระ แกมาทำถวายหมด


    นี่เป็นเพียงเกร็ดเล็กน้อยในอีกหลายเรื่องที่ยกมาเป็นตัวอย่าง
    ให้รู้ถึงอำนาจจิตและบุญญาภินิหารของ
    หลวงปู่ศรี มหาวีโร



    (เรียบเรียงจาก หนังสือประวัติหลวงปู่ศรี มหาวีโร พระผู้มากล้นด้วยบุญบารมี)
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  18. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    อำนาจจิตของหลวงปู่ศรี


    [​IMG]


    เมื่อกล่าวถึงอำนาจจิตของท่าน มีพระอดีตผู้ใหญ่บ้านที่สละเรือนออกบวชติดตาม
    หลวงปู่ศรีได้เล่าด้วยความศรัทธาเลื่อมใสในอำนาจจิตของท่านไว้ว่า.....

    ...ตอนที่ผมยังไม่ได้บวชและยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ผมเข้าวัดป่ากุงใหม่ๆ ท่าน
    เทศนาว่า "เรามาประพฤติปฏิบัติ ให้ตั้งอกตั้งใจ"

    ผมก็พูดสวนท่านว่า "หมามันเห่าทางบ้าน ผมห่วงว่า จะมีโจรขโมยควาย"
    ท่านจึงบอกว่า "จะเอาของดีให้ทำไมมาพูดแย้ง ไม่ใช่วิธีนะ"

    ผมก็ยังพูดแย้งขึ้นอีกว่า "ผู้ใหญ่บ้านเขาเปิดบ่อนการพนัน คนเล่นคนกินคนเที่ยวมัน
    เยอะ ไม่รู้ว่าควายที่บ้านเป็นยังไง หมาตัวอยู่บ้านมันเห่า"

    ท่านเลยด่าเอาว่า "มาประพฤติปฏิบัติในศีลธรรมจะไปกลัวทำไมกับของแบบนั้น ถ้าหาก
    เราประพฤติดีแล้ว ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้หรอก
    ปืนก็ยิงไม่ออก ไฟไม่ไหม้ ตกน้ำไม่ตาย

    ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่ตรัสไว้หรอก สวากขาตธรรม คนไหนประพฤติธรรมคนนั้นไม่มี
    อันตราย"


    ผมฟังท่านแล้วผมไม่เชื่อ ผมไม่เคยเห็นว่าธรรมจะรักษาวัวควายที่บ้านผมได้ ผมก็เลย
    ขอลาท่านกลับไปบ้าน แยกไปคนเดียว สัญญากับเพื่อนไว้หากมีเรื่องจะฉายไฟเรียก กลับไป
    ถึงบ้านเห็นคอกควายโดยขโมยเปิดไว้หมด แต่ควายไม่ออกจากคอก ปรากฏว่า พวกขโมย
    มันเอาสนตะพายความตัวผู้ ดึงควายตัวผู้ออกหนีจากหมู่พวก แต่มันไม่ยอมไป ควาย ๗ ตัว
    ไม่ออกจากคอกซํกตัว พ่อก็แก่ แม่ก็เฒ่า นัยตาก็ฝ้าฟาง มีเพียงหลานกำพร้าลูกของน้องสาว
    ผมจึงถามพ่อว่า "พ่อนอนต่างไหม?" (หมายถึงนอนแล้วรู้สึกมีอะไรแปลกๆ หรือผิดปกติหรือเปล่า)

    พ่อบอกว่า "ลูกเอ้ย! ควายมันหลุดวิ่งไล่ขวิดกันอยู่ ไปผูกหน่อย" ผมก็โมโห บอกพ่อว่า "เขาจะขโมย
    ควายเรา แต่ควายเราไม่ไป" ผมเลยฉายไฟเรียกเพื่อน เพื่อน ๑๒ คนจึงมาดูด้วยกัน ต่างคนก็ต่างพูด
    เป็นเสียงเดียวกัน อัศจรรย์จริงอย่างท่านหลวงปู่ศรีฯ ว่า "ผู้ใดประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม"

    ผมหัวเข่าทรุดลงกับพื้นดินตรงปากคอกควายหันหน้าไปทางพ่อแม่ครูอาจารย์(ศรี) กราบขอเป็นลูกศิษย์
    ท่านนี้ เป็นสิ่งศักสิทธิ์ที่เกิดขึ้นกับผมจริงๆ หลังจากนั้นมาผมได้มากราบฟังธรรมท่านเสมอและมีเรื่อง
    อัศจรรย์ในคุณธรรมของท่านเสมอ จึงเกิดศรัทธาแก่กล้าสละบ้านเรือนออกมาบวชประพฤติศีลธรรม


    (เรียบเรียงจาก หนังสือประวัติหลวงปู่ศรี มหาวีโร พระผู้มากล้นด้วยบุญบารมี)<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  19. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    หลวงปู่ศรีเทศน์สอนผีปู่หลุบเจ้าแห่งผี

    [​IMG]

    (ใต้หินเป็นที่ฉันจังหันของหลวงปู่ และทรมานยายเลิง)


    หลวงปู่ศรีท่านเมตตาเล่าเรื่องนี้ไว้ว่า..
    ...แถบภูเก้า อำเภอโนนสังข์ จังหวัดหนองบัวลำภู ผีปู่หลุบซึ่งเป็นเจ้าแห่งผี (ผีปู่หลุบ
    คือ ผีตาโบ๋ ดวงตาเท่ากับดวงไฟรถยนต์และตานั้นก็โบ๋เข้าข้างใน) เขามีอาณาเขตปกครองผี
    ทั้งหมดตั้งแต่ภูเก้าถึงภูพานคำ เมื่อมีพระกรรมฐานเที่ยวไปในแถบเมืองเขานี้ ผีปู่หลุบก็มัก

    จะทดลองภูมิจิตภูมิธรรมทันที

    ณ ถ้ำหามต่าง บ้านวังมนต์ พอพระเข้ามาอยู่ เขาก็มาทดลองทันที ถ้าจิตเราไม่ถึง
    เขาจะไล่หนีไม่ให้อยู่
    มีหญิงคนหนึ่งชื่อว่า "ยายเลิง" เป็นนางเทียม(ร่างทรง) ของผีปู่หลุบ
    ผีปู่หลุบเมื่อเข้าสิงแล้วทางเทียมพูดว่า "เฮ้ย! พระมาอยู่นั่นไม่ใช่พระหรอก ผ้าเหลืองห่อตอ
    เฉยๆ ไล่หนีซะอย่าไปใส่บาตรให้มันกินนะ"
    นางเทียมใช้วาจาเบียดเบียนพระอย่างนี้บ่อยๆ
    พระบางองค์ไม่ได้ฉันข้าว พระบางองค์ถูกไล่หนี เพราะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ บางองค์ถูก
    ยายเลิงที่ผีปู่หลุบเข้าสิง ออกปากจะเตะจะต่อย เพราะพระเหล่านั้นมีความไม่ดี ผีเขารู้
    จะไปคุยโม้ว่า ตัวดีไม่ได้ ผีเขารู้จิตใจหมดแล้ว นี่ต้องเอาพลังจิตสู้

    ถ้าเรามีพลังจิตจะมาแบบไหนไม่กลัว พอพระจะเทศน์เมื่อไหร่ เขา(ผีปู่หลุบ) จะเทศน์
    ก่อนทันที พระเทศน์บาลี เขาก็แปลไปได้เลย พระเทศน์สู่เขาไม่ได้สักที เลยมาอ้อนวอน
    เราว่า "ครูบาอาจารย์ครับ... ช่วยหน่อยเถอะ จะเทศน์ทีไรเขาเทศน์ก่อนทุกที"ตลอดพรรษา
    ไม่ได้เทศน์สักที อีกองค์หนึ่งสิบเอ็ดพรรษาก็เทศน์ไม่ได้ เขาเทศน์ก่อนทุกที

    เราก็เลยว่า "เออ!... แบบนี้อยากเจอเหมือนกัน" พอถึงวันพระมีคนมามาก พอฉันจังหัน
    แล้วเราก็เทศน์ทรมานหนักๆเลย เมื่อเทศน์เสร็จเราจึงถามยายเลิง(ร่างทรงผีปู่หลุบ)ว่า
    "องค์
    ที่นั่งอยู่ตรงนี้จิตใจเป็นยังไง?"
    (หมายถึง องค์หลวงปู่เอง) แกก็บอกว่า "องค์ที่นั่งอยู่นี่ดีมาก
    สมบูรณ์พูดผลไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ได้ อยากได้เงินได้ทอง ไหเงิน ไหทอง
    ทุกอย่างได้หมด ถ้าอยากได้ ฉันจะบอกวิธีให้"


    เราก็บอกว่า "ทรัพย์ในดินสินในน้ำซึ่งเป็นสมบัตินอกกายเหล่านั้น เราไม่ปรารถนาหรอก
    เพราะเรามีทรัพย์ภายใน คืออริยทรัพย์ที่พระพุทธเจ้าทรงอบรมสั่งสอน ซึ่งเป็นของที่ดีกว่า
    เลิศกว่า ประเสริฐกว่า โจรมารที่ไหน ก็ขโมยฉกลักเอาไปไม่ได้ ไม่ต้องเอามาขุดฝังซุก
    ซ่อนหรือฝากธนาคาร เป็นเปรตผีบ้าเฝ้าขุมทรัพย์นั้นเลย คนที่มีหลักใจเป็นหลักทรัพย์รวย
    สมบัติ คือความดีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่จนตรอกไม่มีจน ส่วนคนที่ถือมั่นยึดมั่นบ้าสมบัติว่า
    นั่นก็ของๆเรา นั่นก็สมบัติข้าวของ เงินทอง ลูกเมีย วัวควาย ที่ดิน ไร่นา กาไก่ อะไรๆ
    ในโลกนี้ทั้งหมดทั้งที่เป็นของตนและทั้งที่มิใช่ของตน ก็ตู่เอาว่าเป็นของๆเรา ใจมันร้อนอยู่
    อย่างนั้นตลอด

    โยมเอ๋ย... อย่าว่าแต่สิ่งเหล่านั้นมิใช่ของๆเราเลย ร่างกายเราแท้ๆ มันยังไม่ใช่ของๆ
    เรา สุดท้ายก็จำต้องทิ้งเป็นเถ้าถ่านไปด้วยกันทั้งนั้น กุศลธรรมคือความดีต่างหาก ที่เป็นที่
    พึ่งที่ถาวรแก่เราได้ อย่างอื่นหลอกลวงต้มตุ๋นเราให้เปลืองตัวเสียเวลา นอนเพ้อฝันบ้าบออยู่
    ในหม้อนรกทั้งนั้นแหละ สำหรับพระแล้วจะเคลื่อนที่สมบัติเงินทองข้าวของที่เป็นสมบัติของ
    แผ่นดินไม่ได้ มันผิดพระธรรมวินัย ท่านปรับอาบัติ"


    เมื่อยายเลิงได้ฟังธรรมเทศนาตั้งแต่สามโมงเช้าจนกระทั่งบ่ายนี้แล้ว ใจยอมสยบใน
    ธรรม แกลุกขึ้นนั่งท่าเทพพนมกราบแล้วกราบเล่า กราบไปมือข้างหนึ่งก็ปาดน้ำตาที่นอง
    หน้าไปร้องไห้ซิกๆ แล้วก็เป็นผู้สงบเสงี่ยมนั่งนิ่ง เหมือนสัตว์ร้ายถูกทรมานให้หายพยศ
    แถมยังถูกฝึกให้ใช้งานได้ตามปรารถนา มันจะดูและน่าสงสารสักปานใด

    คนทั้งหลายเห็นแกนั่งนิ่งนานสองนานไม่กระดุกกระดิก เหมือนตอไม้ที่ตายแล้ว ต่าง
    พากันหามแกลงจากภูเขากลับบ้าน เพราะกลัวแกจะตาย

    ตั้งแต่นั้นมายายเลิงมาศึกษากับเราทุกๆวันพระ มาศึกษาเรื่องจิตเรื่องใจ แกจะคุยกับ
    ผีเจ้าที่ได้ และรู้เรื่องจิตใจของคนอื่นหมด พระองค์ไหนจิตใจเป็นอย่างไรแกรู้หมด

    หลังจากนั้นคนละแวกนั้นจึงเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง เปลี่ยนจากหน้า
    มือเป็นหลังมือ รู้จักทำบุญตักบาตร ไหว้พระสวดมนต์
    ซึ่งแต่ก่อนพระไปบิณฑบาตได้แต่
    ข้าวเปล่าๆ มาบัดนี้ บางวันก็ได้กล้วยลูกหนึ่งบ้าง ได้ปราร้าห่อหมกบ้าง ได้ห่อหมกเขียด
    ตะปาดบ้าง บางวันโชคดีหน่อย ก็ได้น้ำพริกแจ่วเข่อ ที่เรียกว่า "แจ่วเข่อ" คือเขาทำจากข่า
    แห้งหั่นโขกคลุกใส่พริก บางวันก็ได้ถั่วลิสง ได้น้ำอ้อยหนึ่งก้อน ได้กล้วยดิบ เรานั่ง
    พิจารณาฉันบนก้อนหิน ส่วนพระ(อาจารย์ทองอินทร์)นั่งข้างล่าง มีอะไรก็ฉันแค่นั้น อาหาร
    การฉันเพียงแค่นี้ก็ถือว่าบริบูรณ์มากแล้วในสายตาของธรรม

    แถบนี้ในสมัยนั้นยังเห็นช้างอยู่มาก ช้างมันจะมาเล่าน้ำ เวลาจะใช้น้ำก็ต้องรอจนน้ำใส
    บางทีฉันข้าวต้องปีนขึ้นไปฉันบนก้อนหิน เพราะช้างมันมาก่อกวน เราได้พักอยู่ที่ภูเก้านี้เป็น
    เวลา ๒ เดือนกว่า

    (เรียบเรียงจากหนังสือ พระศรี มหาวีโร พระผู้มากด้วยบุญบารมี)
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  20. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    เทพขอฟังธรรม



    [​IMG]

    (สระน้ำขนาดใหญ่ที่ผาน้ำย้อย)



    ท่านเล่าว่าทุกครั้งที่มาเจริญวิปัสสนาที่เขาผาน้ำย้อยยังมีพวกกายทิพย์ เทพ พรหม
    อันเป็นภพภูมิเบื้องบนมาปรากฏให้เห็นเสมอ บางท่านมาขอฟังธรรม บางท่านมาแสดงฤทธิ์
    ให้เห็นประจักษ์ถึงบุญญาภิสมภาร และบางท่านแสดงการจุติคือการอุบัติเกิดและวิบัติ
    แห่งเทพยดา
    เป็นจุตินิมิต ให้ทราบล่วงหน้า เทพนั้นถึงคราวจะวิบัติ ย่อมมีเหตุอาเพศ
    วิปริตเป็นนิมิตเตือนล่วงหน้า คือ ย่อมเห็นดอกไม้ทิพย์เครื่องประดับสำหรับองค์อันอยู่ใน
    วิมานของตนเหี่ยวแห้งและไม่หอม ผ้าทิพย์ก็เศร้าหมอง ไม้รุ่งเรืองสดใส เมื่อถึงกาลวิบัติ
    เทพที่เคยสุขรื่นเริงบันเทิงใจด้วยการเสวยทิพยสมบัติ แต่เมื่อถึงคราวจะพลัดพราก ก็หา
    ความสุขทิพยสมบัติมิได้ อาสนะที่แท่นบรรทมอันแสนสุขก็ร้อนลุกเป็นไฟภายใน กอยของ
    เทพนั้น ย่อมเหี่ยวแห้งเศร้าหมองลง หารัศมีดังก่อนมิได้ ให้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยเนื้อตัวตีนมือ
    มีความกระวนกระวายใจ

    เมื่อนิมิตปรากฏเตือนเทพที่หมดบุญที่จะเสวยดังนี้แล้ว เทพยดาทั้งหลายที่รักใคร่กัน
    เทพนารีที่เป็นบาทบริจาริกาสุดที่รักดังดวงใจทั้งใกล้ทั้งไกล ย่อมไปมาหาสู่ตลอดทั้ง ๗ วัน
    ให้เกิดความโศกศัลย์ทุกข์โทมนัสนักหนา ต่างร้องไห้ต่อหน้าแล้วสะอึกสะอื้นด้วยคำว่า
    "เมื่อท่านขุติไปแล้ว ขอจงได้กลับมาเกิดในวิมานอันแสนสำราญนี้เถิด" เมื่อเทพนั้นตายจากเทวโลก
    ไป แม้แต่เกศาสักเส้นหนึ่งก็ไม่เหลือปรากฏ หายวับไปหมดสิ้น และจักไปอุบัติบังเกิด
    ในถิ่นใดนั้น ก็สุดแต่บุญบาปกรรมของเทพยดานั้นจักชักนำไป นี้ แสดงให้เห็นถึงความ
    ไม่แน่นอนว่าแม้ในสรวงสวรรค์วิมานชั้นฟ้าที่ผู้คนปรารถนากันนักหนานั้น ก็ตกอยู่ในกฏ
    ไตรลักษณ์ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตน


    บางครั้งภพภูมิเบื้องต่ำมีภูตผี สัตว์นรก ชั้นนิรยภูมิ เปรต อสุรกาย เป็นต้น ก็มาปรากฏให้เห็น
    ด้วยการแสดงผลแห่งกรรมชั่วอันเผ็ดร้อนให้ปรากฏเสวยทุกขเวทนาอันร้ายกาจ ผ่านปีเดือนอัน
    ยาวนานเห็นแล้วก็ทำให้เข็ดหลาบในการทำความชั่ว อยากขยันหมั่นสร้างความดี เพราะมนุษย์
    มัวเมาบันเทิงสุขในโลกมนุษย์เพียงเล็กน้อย เผลอใจไปทำความชั่วนิดหน่อย เมื่อกายแตกดับ
    กลับไปตกนรกหมดไหม้นานแสนนาน

    (เรียบเรียงจากหนังสือ พระศรี มหาวีโร พระผู้มากด้วยบุญบารมี)<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...