ชมภาพพระมหาเจดีย์ชัยมงคล อ่านประวัติหลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุง

ในห้อง 'วัดและศาสนสถาน' ตั้งกระทู้โดย อุดมสมพร, 9 มิถุนายน 2011.

  1. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    ถูกวางระเบิด/วาจาศักสิทธิ์

    [​IMG]

    ((องค์ซ้ายกำลังพนมมือ) พระสมเด็จมหามุนีวงศ์ ขณะร่วมงานที่พระเจดีย์มหาชัยมงคล)


    การสอนประชาชนญาติโยมท่านเน้นหนักเรื่อง ศีล ๕ เป็นสำคัญ โดยเฉพาะประเพณี
    ทางภาคอีสานเมื่อมีงานเทศกาลสำคัญมักดื่มของมึนเมาเข้ามาในวัดโดยไม่เกรงกลัวต่อบาป
    ในกรณีนี้ท่านจะห้ามเป็นพิเศษ ท่านบอกว่าวัดนี้เป็นสถานที่ศักสิทธิ์ ไม่ควรดื่มเหล้าเมายา
    เข้ามาในวัด เล่ากันว่า ...มีชายคนหนึ่งไม่เชื่อฟัง ดื่มเหล้าเข้ามา แล้วก็พูดจาท้าทายท่าน
    และสิ่งศักสิทธิ์ ปรากฏว่าวันนั้นอากาศแห้งแล้งแดดร้อนเปรี้ยงๆ ไม่มีเค้าเมฆฝน
    ฟ้าได้ผ่าเปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง! ลงมากลางกระหม่อมของเขา เขาล้มพับดิ้นตายลงไปต่อหน้า

    คนทั้งหลาย ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครกล้าดื่มเหล้าเข้าไปในผาน้ำย้อยอันศักสิทธิ์นั้นอีกเลย

    ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ - ๒๕๒๘ ท่านได้เป็นประธานอำนวยการจัดสถานที่รับรองการประชุม
    พระสังฆาธิการ ภาค ๘-๙-๑๐ (ธรรมยุต) และท่านได้เริ่มโครงการ เทอดพระเกียรติของ
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ โดยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหการณ์ โดยจะ
    ปลูกต้นไม้ที่เกี่ยวกับพุทธประวัติ ไม้เกี่ยวกับวรรณคดีไทยและไม้สมุนไพร ปลูกบนหลังเขา
    เขียว (ผาน้ำย้อย) รวมเป็น ๙๐๐ ไร่ เป็นที่ทราบกันดีว่า เมื่อมีคนดีก็ต้องมีคนร้าย เมื่อ
    เป็นพระก็ต้องมีมารผจญ วันนั้นอากาศร้อนอบอ้าว ใบไม้ไร้สายลมโบกสะบัด ต่อมาอีกไม่
    นานนัก สายฝนก็ค่อยโปรยลงมา และโปรยลงมาอย่างหนักแทบลืมหูลืมตาไม่ขึ้น พวกพระ
    เณรแม่ชี ตลอดจนชาวบ้านเป็นจำนวนมากที่มาร่วมกันปลูกป่าต่างวิ่งเข้าหาที่พักกำบังกันพัลวัน
    ในเย็นวันนั้นหลวงปู่ศรี ท่านสั่งกำชับทุกคนว่า "ให้ภาวนา อย่าพากันนอน"

    พระรูปหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ เห็นท่านสั่งกำชับเชิงเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าวันก่อนๆ เกิด
    ลางสังหรณ์ว่า "จะเกิดอันตราย" กราบเรียนท่านว่า "เกรงว่าจะเกิดอันตราย ขอให้ท่าน
    เรียกตำรวจมาอารักขาด้วย เพราะว่าเรามาปลูกป่าขัดผลประโยชน์กับพวกทำลายป่า และ
    คนพวกนี้เดิมก็เป็นคอมมิวนิสต์ มีจิตใจโหดร้ายและมีอาวุธสงคราม"

    ท่านก็ตอบว่า "ฮื้อ..มันไม่เป็นอะไรหรอก" แล้วท่านก็เดินทางกลับวัดป่ากุง
    คืนนั้นเวลาสามทุ่ม ก็เกิดระเบิดขึ้น เสียงดังตูม! ตูม! เสียงดังลั่นสนั่นป่า ทุกคนต่าง
    ตกใจ จอบเสียม เครื่องใช้ไม้สอย ต้นไม้ทะลุไปหมด หลังคาที่พักปรุพรุนไปทั่ว แต่ไม่มี
    ใครเป็นอะไรเลย
    เหมือนที่ท่านบอกไว้ไม่มีผิด "ไม่เป็นอะไรหรอก"



    [​IMG]


    (สถานที่ที่ถูกขว้างระเบิด)


    พวกเจ้าหน้าที่ไปถามท่านว่า "หลวงปู่ จะให้จับไหม"
    ท่านบอกว่า "ไม่ต้องไปจับเขาหรอก กรรมใครกรรมมัน"
    เขาเรียนถามท่านว่า "จะทำยังไงดี เขาจะมาวางระเบิดเรา"
    ท่านบอกว่า"เอ้า! เขาอยากระเบิดก็ปล่อยให้เขาระเบิดไปซี ถึงมันจะระเบิดมันก็
    ระเบิดเอง แต่ถ้ามันจะไม่ระเบิดมันก็ไม่ระเบิดเอง เป็นเรื่องของมัน ตอนที่มันระเบิดก็มี
    ตอนที่มันด้านก็มี จะไปกลัวตายทำไม ไม่ถึงคราวตายมันไม่ตายหรอกคนเรา ไม่ถึงคราวแตก
    มันก็ไม่แตกเหมือนกันระเบิด"
    พวกเจ้าหน้าที่ฟังแล้วก็หัวเราะกันใหญ่

    เรื่องราวตอนที่มีคนไปขว้างระเบิดที่ผาน้ำย้อย ท่านเมตตาเล่าให้พระใกล้ชิดฟังตอน
    หลังว่า "จริงๆ แล้วจะทำไม่ให้มันระเบิดก็ได้ แต่ถ้าทำไม่ให้มันระเบิด เขาจะหาว่าระเบิด
    ด้าน เดี๋ยวเขาจะเอามาเขวี้ยงใหม่ ก็เลยปล่อยให้มันระเบิด"
    นี้เป็นความอัศจรรย์อย่างยิ่ง
    สำหรับญาติโยมหรือพระเณรที่อยู่ในเหตุการณ์ ทุกคนต่างชื่นชมยกมือสาธุในบุญบารมีของ
    ท่านที่คุ้มครอง

    ในเรื่องวาจาสิทธิ์นี้ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จมหามุนีวงศ์ วัดนรนาถสุนทริการาม กรุงเทพฯ
    ท่านมักกล่าวยกย่องหลวงปู่ศรีว่า "ศรีปากเข็ด" คือมีวาจาสิทธิ์ พูดอะไร ทำอะไร สำเร็จทุกอย่าง


    (เรียบเรียงจากหนังสือ พระศรี มหาวีโร พระผู้มากล้นด้วยบุญบารมี)
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  2. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    ถ้ำกวางและถ้ำพระ


    [​IMG]



    [​IMG]

    (กุฏิสงฆ์ที่ถ้ำกวาง)


    [​IMG]
    (เพิงหินที่ถ้ำพระ ภูเวียง)


    [​IMG]
    (เพิงหินที่ถ้ำพระ ภูเวียง)



    ขอเล่าเรื่องความเป็นมาของถ้ำกวางและถ้ำพระ สถานที่แห่งนี้ห่างจากภูเวียง ๑๕ กิโลเมตร
    ห่างจากขอนแก่น ๘๓ กิโลเมตร

    ถ้ำกวาง ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของภูเวียง มีสายน้ำจากเทือกเขาภูเวียงไหลผ่าน มีถ้ำ ชะง่อน
    ผา ลานหินลาด โขดหิน มีป่าไม้และสัตว์นานาชนิด เช่น เก้ง กวาง หมี หมูป่า และเสือ

    ถ้ำพระ มีลำธารไหลผ่าน ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปโบราณ เหตุที่ชื่อว่า "ถ้ำพระ" เพราะ
    ในสมัยก่อนมีพระพุทธรูปสัมฤทธิ์หลายองค์ และพระพุทธรูปแกะสลักด้วยไม้และหิน เป็น
    วัตถุโบราณที่ล้ำค่า นอกจากนี้ยังมีหนังสือใบลานเก่าแก่หลายฉบับ ถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่
    ศักสิทธิ์เก่าแก่ของชาวภูเวียง ในฤดูกาลต่างๆ ชาวอำเภอภูเวียงนิยมมาทำบุญและสักการะ
    มิได้ขาด

    ในพุทธศักราช ๒๔๘๑-๒๔๘๖ สถานที่แห่งนี้ หลวงปู่ดำดี ปภาโส สมัยท่านเป็น
    พระหนุ่มเคยจาริกธุดงค์มาจำพรรษา ท่านได้อบรมฐาติโยมแถบนั้นให้เกิดความเชื่อความ
    เลื่อมใสในพระศาสนาและมีความเข้าใจในวัตรปฏิบัติ ของพระป่าเปนอย่างดี อุปนิสัยของท่าน
    ท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีพรรษาไล่เลี่ยกับหลวงปู่หลุย จันทะสาโร และ
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านทั้งสามเคยไปฝึกวิปัสสนาธุระกับพระอาจารย์สิงห์ ขันตะยาคะโม
    ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล ที่จังหวัดของแก่น นิสัยหลวงปู่คำดี ชอบเจริญสมณธรรม
    ในถ้ำ ภูเขา ชอบปกครองพุทธบริษัท ฉะนั้น ท่านจึงมีลูกศิษย์ลูกหามาก นิสัยสุขุม พุทธบริษัท
    ชอบท่านนัก แม้ท่านจะเคลื่อนไปสู่จังหวัดใด อำเภอไหน ตำบลไหน ท่านทำอัตถประโยชน์และ
    ปรมัตถประโยชน์มาก บรรดาข้าราชการพ่อค้าพาณิชย์ตลอดชาวไร่ชาวนานิยมท่านมาก
    เพราะฉะนั้นการก่อสร้างของท่าน แม้มีจำนวนมากๆ สำเร็จได้เป็นอย่างดี

    (เรียบเรียงจากหนังสือ พระศรีมหาวีโร พระผู้มากล้นด้วยบุญบารมี)<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  3. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    โปรดผีเปรต

    [​IMG]

    (บริเวรลานหินที่หลวงปู่โปรตผีเปรตพรหมตีนเป)


    เมื่อหลวงปู่ศรีท่านมาพักอยู่ที่ถ้ำพระนี้ ชาวบ้านทั้งหลายต่างก็ดีใจและวิงวอนว่า "ท่านอาจารย์...
    โปรดช่วยเมตตาหน่อย โปรดกรุณาปราบเปตรตัวดุร้าน ที่มักไปหลอกหลอนและก่อกวนชาวบ้าน
    อยู่เสมอ ห้อยโหนบนต้นไม้ให้ชาวบ้านเห็นบ้าง เดินลากเท้าไปตามถนนบ้าง ทำให้ชาวบ้านกลัว
    กันจนขี้หดตดหาย"


    ในตอนเย็นวันนั้นเอง ท่านนั่งสมาธิพิจารณาธรรมบริเวณลานหินลาดใต้ต้นจำปา ไม่ห่างจากถ้ำพระ
    มากนัก พิจารณาดูผีเปรตตัวนั้นว่า พอจะแผ่เมตตาโปรดได้บ้างไหม อีกไม่นานก็มีเสียงค่อยๆใกล้
    เข้ามาๆ กลายเป็นสายลมพัดวูบๆผ่าน ต้นไม้แถบนั้นเสียงดังครืนๆๆ ในที่สุดเปรตนั้นก็แสดงตนปรากฏ
    ในสมาธิธรรมของท่านอย่างประจักษ์ ประหนึ่งว่า "นั่งสนทนากันอย่างคนเราธรรมดา"

    ท่านได้ถามว่า "เจ้าชื่อว่าอะไร? ที่ต้องมาเกิดเป็นเปรต เสวยทุกขเวทนาอันร้ายกาจเห็นปานนี้ เพราะ
    กรรมใด"
    เปรตนั้นตอบว่า "ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ข้าพเจ้าชื่อว่า "บัก(นาย)พรหม" เป็นนามตั้งแต่ยังเป็น
    มนุษย์ ด้วยเหตุที่เท้าข้างหนึ่งของข้าพเจ้าถูกไม้ทับจึงเป (แบน) คนทั้งหลาย จึงเรียกชื่อข้าพเจ้าตามกิริยา
    ที่เดินขาเกและเท้าที่เป ว่า บักพรหม ตีนเป"

    ส่วนเหตุที่ข้าพเจ้าต้องมาเกิดเป็นเปรตนั้นเพราะว่า ในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ ข้าพเจ้าและพวกประมาณ ๑๐ คน
    มาขโมยพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์อันเป็นพระประธานในถ้ำพระ พวกข้าพเจ้าพยายามยกพระพุทธรูปจาก
    ที่ประดิษฐาน แม้จะพยายามช่วยกันยกช่วยกันหามพระพุทธรูปสักเท่าใด พระพุทธรูปก็หาขยับเขยื้อนไม่
    จะช่วยกันใช้ไม้งักก็หาเคลื่อนที่ไม่ ประหนึ่งว่าเป็นเสาศิลาแท่งทึบ พวกเราหมดปัญญาที่จะขโมยเอาไปได้
    จึงได้แต่นั่งถอดถอนใจ

    พวกเราปรึกษากันว่า ควรที่เราจะนำธูปเทียนมาสักการะขอขมาท่านเสียก่อน และอาราธนานิมนต์ท่านไปยัง
    สถานที่อื่น เมื่อพวกเราได้ทำอย่างนั้นแล้ว พระพุทธรูปเคลื่อนที่ไปอย่างง่ายดาย

    ถึงพระพุทธรูปจะศักสิทธิ์เพียงใด แต่ด้วยโลภเจตนาบังตาและกิเลสบังใจอย่างมืดมิด พวกเราก็หาศรัทธา
    เลื่อมใสและเกรงกลัวต่อบาปกรรมนั้นไม่

    เมื่อพวกเราหามพระพุทธรูปออกไปยอกเขตเทือกเขาภูเวียง จังได้หยุดอยู่ที่บริเวณป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบัน
    นี้ชนทั้งหลายเรียกว่า "โคกฆ่าพระ" พวกเราก็แสดงสันดานบาปหยาบช้าออกมา ด้วยการพากันทำลายองค์
    พระพุทธรูปด้วยมีดขวานและเลื่อย ด้วยหวังว่าจะนำทองจากองค์พระไปขายเพื่อนำเงินไปเลี้ยงชีพ ถึงแม้พวก
    เราจะฟันทุบและเลื่อยสักเท่าไหร่ พระพุทธรูปนั้นก็หาบุบสลายไปไม่

    เมื่อพวกเราหมดปัญญาจะเอาทองจากองค์พระได้ จึงอธิฐานจิตว่า
    "ขอให้ข้าพเจ้าตัดเศียรและตัดองค์อวัยวะส่วนต่างๆของพระได้สำเร็จเถิด พวกข้าพเจ้าจะขอเกิดเป็นมนุษย์ชาติ
    นี้เพียงชาติเดียวทเท่านั้น"

    เมื่อสำเร็จคำอธิฐาน ในที่สุดก็สามารถทำลายพระพุทธรูปได้ตามใจหวัง ต่างคนก็ต่างตัดต่างเลื่อนด้วยความสะดวก
    จึงได้นำทองไปขายแบ่งกันเลี้ยงชีพ ต่อมาพวกเราทั้งหมดได้ถูกเจ้าหน้าที่จับได้ ภายหลังเมื่อสิ้นชีพแล้ว ไปเกิดใน
    อบายภูมิเป็นเปรตเสวยผลกรรมมาเฝ้าถ้ำแห่งนี้ และเที่ยวหลอกหลอนขอส่วนบุญชาวบ้านเป็นเนืองนิตย์

    "ข้าแต่ท่านผู้ทรงพรต ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านอีกเรื่องหนึ่งว่า เมื่อครั้นเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าเป็นคนใจร้าย มักริษยาคน
    อื่น เห็นคนอื่นมั่งมีเหนือตนก็ไม่พอใจ ครั้นเห็นคนยากไร้ก็กลับดูแคลน อยากได้ทรัพย์สินของผู้อื่น ทำเล่ห์กลหลอก
    ลองเอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตน ทั้งเป็นคนตระหนี่ไม่ยินดีในการให้ทาน เห็นคนอื่นเขาให้ทานก็พลอยห้าม
    ปราม ฉ้อโกงทรัพย์สินที่เป็นของสาธารณะหรือของสงฆ์เอามาเป็นของตน ด้วยโลภเจตนาอยู่เสมอด้วยกรรมเหล่านี้
    เป็นต้น ข้าพเจ้าจึงเกิดมาเป็น 'วิวิธเปรต' "

    "ตอนนี้เจ้าเสวยกรรมคือทุกขเวทนาอันแสนหาหัสอย่างไรบ้าง? เล่าให้อาตมาฟังด้วย"

    หลวงปู่ศรีกล่าวถาม ด้วยความเมตตาอันหาที่สุดมิได้

    เปรตนายพรหมตีนเปได้ตอบด้วยสรีระร่างอันน่าสงสารว่า "ข้าพเจ้ามีรูปร่างชั่ว ศีรษะร่างกายผอมโซนักหนา เนื้อและ
    เลือดมิได้มีเลย ทั้งร่างมีแต่กระดูกและหนังที่พอหุ้มกระดูกอยู่เท่านั้น เพราะไม่มีอาหารจะรับประทาน หน้าท้องเหี่ยวติด
    กระดูกสันหลัง ดวงตานั้นก็ลึกกลวง ดุจถูกเขาแกล้งควักออก ผุ้าสักชิ้นหนึ่งที่จะปิดร่างกายก็มิได้มีเลย ผมก็แสนยาวรุ่ม
    ร่ามลงมาปกปากและหน้า เนื้อตัวเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียดน่าขยะแขยง ต้องร้องไห้ครวญครางอย่างน่าเวทนา เพราะ
    ความหิวโหยอาหาร หมดเรี่ยวแรง จะไปไหนๆ ก็ไม่ได้ ก็ได้แต่นอนหงายอิดโรยอยู่อย่างระเกะระกะ อย่างที่ท่านพระคุณ
    เจ้าเห็น" เมื่อเขากล่าวมาถึงตรงนี้ต้องหยุดเพราะความอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง และด้วยพลังกระแสเมตตาของหลวงปู่ศรีที่แผ่
    ให้ เขาจึงมีเรี่ยวแรงกล่าวต่อไปอีกว่า

    "หูของข้าพเจ้าย่อมได้ยินเสียงประดุจคนมาร้องเรียกแผ่วๆดังแว่วมาแต่ไกลว่า "สูเจ้าทั้งหลายเอ๋ย! จงพากันมากินข้าวกินน้ำ"
    ฝูงเปรตทั้งหลายก็ได้ยินเสียงกรรมบันดาลเช่นนี้เหมือนกับข้าพเจ้า ก็เข้าใจว่ามีข้าวมีน้ำ ต่างก็ดีใจคิดจะลุกขึ้นแต่ก็ลุกขึ้น
    ไม่ได้ เพราะหมดเรี่ยวแรง แล้วก็พยายามลุกขึ้นอย่างแสนลำบาก บางตนก็ล้มลงนอนหงายแผ่ แต่เสียงเรียกให้ไปกินข้าว
    กินน้ำก็ยังคงดังแผ่วมากระทบหูอยู่เรื่อยๆ พวกเราจึงอุส่าห์พยายามเกาะกันล้มลุกล้มหงาย ในที่สุดก็ลุกขึ้นได้ ครั้นลุกขึ้นได้
    ก็เอามืออันเหี่ยวแห้งพาดขึ้นเหนือหัวชื่นชมยินดี ค่อยพยุงร่างกายไปสู่ทิศที่ได้ยินเสียงเรียก เร่งไปเร่งหาอยู่ช้านาน แต่จักได้
    พานพบข้าวและน้ำก็หามิได้เลย จึงเสียใจร้องไห้ครวญครางพลางก้มลงเกลือกด้วยความหิวอยู่ ณ ที่นั้นเอง"

    ในไม่ช้าก็ได้ยินเสียงเรียกมาเร้าใจให้พยายามอีก แต่จะได้เจออาหารสักนิดก็หามิได้ ได้แต่ยินเสียงร้องเรียกแต่อย่างเดียว ข้า
    แต่พระคุณเจ้าผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าต้องเป็นอย่างนี้หลายร้อยหลายพันปี จนกว่าจะสิ้นเวรกรรม"
    เปรตนายพรหมตีนเปกล่าวทั้ง
    น้ำตาที่หลั่งไหลดั่งสายน้ำ

    หลวงปู่ศรีได้กล่าวสอนด้วยเมตตาต่อไปอีกว่า "ข้อให้เจ้าตั้งใจรับส่วนบุญที่เราอุทิศให้ ลดทิฎฐิมานะและความดุร้ายลงเสีย อย่าไป
    เที่ยวก่อกวนชาวบ้านเขา มันจะเป็นบาปซ้ำกรรม ซัดเข้าไปอีก เพียงแค่นี้ก็จะพอช่วยบรรเทาเวรกรรมหลายพันปีลงได้บ้าง"


    พลังจากหลวงปู่ศรีท่านโปรตเปรตตนนี้แล้ว ชาวบ้านก็อยู่กันอย่างสงบสุขหายหวาดกลัวไปบ้าง บางคนอัศจรรย์ในคุณธรรม
    ของท่านที่ปราบผีเปรตให้หายพยศ สมกับสมญานามของท่านที่ว่า "หลวงปู่ศรีผีย้าน"

    (เรียบเรียงจากหนังสือ พระศรีมหาวีโร พระผู้มากล้นด้วยบุญบารมี)<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  4. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    เทศน์สอนพระอินโดนีเซีย

    (กล่าวชมพระอินโดนีเซียภาวนาดี)


    [​IMG]
    (หลวงปู่ศรีที่ประเทศอินโดนีเซีย)​


    [​IMG]
    (ฉันที่บ้านคุณยูริ ประเทศอินโดนีเซีย)​


    [​IMG]
    (ภาพถ่ายเมื่อคราวหลวงปู่ไปรับกฐินหลวง (วัดไทยที่อินโด) เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๑ ที่ประเทศอินโดนีเซีย ที่เมืองบันตุง)​


    [​IMG]

    [​IMG]

    (หลวงปู่ศรีไปชมพระมหาเจดีย์บูโรพุทโธ มีคุณอิบูยันติ (ยูริ) ชาวอินโดนีเซียเจ้าของไร่ชาสถานที่
    ที่หลวงปู่เคยเมตตาไปจำพรรษาที่อินโดนีเซีย ปี ๒๕๓๑ รวมอยู่ในภาพด้วย)​




    ท่านได้เล่าเรื่องมีพระภิกษุที่ประเทศอินโดนิเซีย ภาวนาดีให้ฟังว่า ...
    ...พระอินโดรูปหนึ่งเดี๋ยวนี้แกไปอยู่เมืองเลาะซีส อินโดนิเซีย เทศน์เก่งนะ คนใจใหญ่
    นะ ใจใหญ่ใจกว่าง นี่เคยพูดให้ฟังหลายครั้งแล้ว คือ แต่ก่อนท่านเป็นนักค้นคว้าศาสนา
    คริสต์ อิสลาม เอาจริง เอาจัง แต่แล้วก็ไม่หายสงสัย มาค้นคว้าตำราพุทธ ก็เลยยินดีพุทธ
    แต่ยังไม่ไปหาครูบาอาจารย์ ฝึกหัดนั่งสมาธิไปตามตำรา ประเทศอินโดนีเซีย มีป่าดงใหญ่
    แกไปอยู่กับคนป่าโน่น เตรียมเสบียงอาหารไปอยู่ผู้เดียวในป่า ๒-๓ เดือน ไม่รู้จักว่าจะทำ
    อย่างไร จะบริกรรมภาวนาอะไรอย่างไรก็ไม่รู้จัก จึงพยายามทำจิตใจให้อยู่ในจุดใจจุดหนึ่ง
    เท่านั้นเอง เอาความรู้อยู่กับใจ ดูอยู่อย่างนั้นแหละ อยากกินก็ไม่กินไม่อยากกินก็ทำอยู่
    อย่างนั้นแหละ บทเวลามันจะเป็นคือ จิตใจ ไม่ได้ส่งไปตามอารมณ์ไม่ได้คลุกคลีอยู่กับ
    อารมณ์ทางนอก ไม่ส่งหน้าส่งหลัง มันก็เลยเป็นการตั้งสติไปในตัว อยู่กับความรู้ หนักเข้า
    ความรู้นั้นก็ค่อยๆแก่กล้าขึ้นๆ จิตใจมันก็ลงสมาธิได้ สว่างโร่ทันที ใหม่ๆ สว่างหมดทั้งป่า
    ทั้งดง นั่งอยู่คนเดียวหลับตาเหลียวมองเห็นหมด ต้นไม้น้อยใหญ่อยู่มุมไหน จอม
    ปลวดอยู่มุมไหนในดงนั้น อุทาน เอ้... เกิดอัศจรรย์ใจ มันเป็นอย่างไรมันถึงรู้จัก
    หลับตาอยู่เท่าไรก็มองเห็นหมด

    วันหนึ่งว่างๆ ตอนกลางวันก็อยากเดินไปดูตามความรู้ที่เห็น ไปดูถูกต้องหมด
    อย่างที่เห็นในนิมิต "เอ้... มันเป็นความจริงนี่" แกอุทานในใจ กำหนดดิ่งลงไปที่เก่านั่น
    แหละ อีกหลายวันนะนี่ไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ลงพึ๊บอย่างใหญ่เลย
    สว่างโร่เลยปรากฏเป็นเหมือนท้าวมหาพรหมนั่งอยู่บนธรรมมาสนั่งเทศน์ให้ฟังเลย
    หรือเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ แกว่าไม่รู้จัก บอกว่า เอ้อ เรื่องของพระพทูะศาสนามันดี
    อย่างนี้แหละ หากต้องการอยากที่จะประพฤติปฏิบัติ ก็เร่งเข้ามันจะเห็นมากยิ่งกว่านี้
    แกก็เอาอย่างหนัก ลาออกจากศาสนาอื่นมาถือพุทธเลย มาถือพุทธก็เลยเดินทางมา
    เมืองไทย มาบวชอยู่วัดบวรนิเวศน์

    ความรู้ภายในแกมาก จิตออกรู้ข้างนอกมาก พอนั่งสมาธิพุ๊บลงไป
    บางครั้งขึ้นไปบนฟ้าไปไม่รู้กี่ชั้น บางครั้งก็ลงไปข้างล่างไปไม่รู้สักกี่ชั้น
    จิตไม่ยอมอยู่ในร่างกาย

    แกถามปัญหาพวกพระสมเด็จฯ บางองค์แก้ปัญหาไม่ถูกจุด จึงคลายศรัทธาไปบ้าง
    เกิดการถือทิฏฐิมานะว่าตัวเองเก่ง สมเด็จพระญาณสังวรฯก็เลยส่งมาหาเรา ก็มาอบรม
    ในนามพระสังฆาธิการ

    เราจึงแนะนำให้ว่า "ความรู้ ความเห็น ทางนั้นมันดีอยู่หรอก
    แต่ว่ามีความรู้เหล่านี้มันไม่ได้ส่งเสริมจิตใจของเราให้สูงขึ้น
    หนักเข้าถ้าหากใครไม่ระวังก็เลยจะสำคัญตัวเองว่ามีอะไรต่อมิอะไร
    ต้องพิจารณาร่างกายเป็นหลัก ต้องอบรมกระทำให้มากใน
    กายคตาสติ"

    สตินั้นต้องสังวรอยู่เสมอในตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กาย
    สัมผัสสิ่งที่ถูกต้อง ใจรู้ธรรมารมณ์ อย่าปล่อยให้จิตสยบในอารมณ์ที่ชอบ ไม่เคียดแค้น
    ในอารมณ์ที่ไม่ชอบ ตั้งสติและจิตไว้ในวงกาย พิจารณาค้นหาความจริงด้วยสติและปัญญา
    ดับบาปอกุศลที่จะเกิดทางทวารทั้ง ๖ ดังที่กล่าวแล้ว

    เปรียบเหมือนเราจับสัตว์ ๖ ชนิดอันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน มีที่เที่ยวหากินต่างกัน
    คือ จับงู จังจระเข้ จับนก จับสุนัขบ้าน จับสุนัขจิ้งจอก และจับลิง มาผูกด้วยเชือก
    เหนียวเส้นหนึ่งๆ แล้วจึงนำไปผูกไว้กับเสาเขื่อน สัตว์เหล่านั้นมีที่อาศัยและที่เที่ยวหากิน
    ต่างกัน ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกัน เพื่อจะไปตามที่ตนปรารถนา งูจะเข้าจอมปลวก จระเข้จะ
    ลงน้ำ นกจะบินไปในอากาศ สุนัขจะเข้าบ้าน สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า และลิงก็จะไปป่า

    เมื่อสัตว์เหล่านั้นยื้อแย่งกันสุดฤทธิ์สุดเดช มีแต่ความเมื่อยล้าแล้ว พวกมันทั้งหลาย
    หมดเรี่ยวแรงต่อสู้ ก็จะพึงยืนเจ่า นั่งเจ่า นอนเจ่า อยู่ข้างเสาเขื่อน นั้นเอง

    ท่านเอย...เสาเขื่อนที่มั่นคงนั้นแหละคือกายคตาสติ ส่วนจิตที่ส่งไปตาม รูป เสียง
    กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ก็เปรียบเหมือนสัตว์ทั้งหลาย ถ้าเราพิจารณากาย
    อบรมจิต กระทำให้มากๆ เพียรพินิจพิจารณาโดยรอบคอบ ทำโดยสม่ำเสมอ ความรู้แจ้ง
    แทงตลอดกายนี้ก็จะปรากฏ ส่วนความรู้ความเห็นอื่นๆ อันเป็นเรื่องของนิมิต ก็จะไม่มีความ
    หมายอีกต่อไป เพราะเราค้นพบความจริงแล้ว"

    เมื่อพระอินโดฟังธรรมที่เราแนะแนวให้ เธอก็เร่งกำหนดเข้ามาตามที่เราสอน เดี๋ยวนี้
    ก็ไปตั้งวัดอยู่ภูเขาเมืองลาซัมอยู่ในอินโดนิเซีย สร้างอยู่บนหลังเขาทำเสียใหญ่โต อยู่คน
    เดียวในกลุ่มนั้นมีแต่อิสลามหมด

    ตอนนั้นเราไปหา เห็นเราร้องไห้โอขึ้นเลย ไม่รู้เป็นอย่างไรมันอยู่ไม่ได้ สั่นไปหมดแก
    ดีใจเกิดปีติขึ้นมา แต่ว่าไม่ค่อยถูกกันกับหมู่เพื่อนความเห็นมันดิ่งหมอนี่ หมู่พระอยู่
    แถวนั้นไม่ค่อบถูกกัน แกพูดถามความจริงไปเลย ตกลงต้องอยู่คนเดียว ความรู้ความเห็น
    จำพวกนี้ มันรู้เห็นได้อยู่นะ ไม่ต้องหาครูบาอาจารย์ ถ้ามีการกระทำเต็มที่จะต้องมีส่วนได้
    พิเศษ จากนั้นเลยเทศน์ไม่มีอั้น เทศน์หมดวันหมดคือก็ได้ พวกที่เรียนนักธรรม ตรี โท
    เอก นี่พูดไม่ทันแกหรอก นี่ความเป็นเองมันต่างกัน ถ้าจะเอาคุณธรรมให้เกิดกับจิตใจจริงๆ
    อันนั้นมันเป็นที่พึ่งแก่เข้าของที่แท้จริง ธรรมะเข้าถึงใจ ใจเข้าถึงธรรมะ นั่นแหละเป็น
    ธรรมของเราที่แท้จริง แต่ธรรมะที่ได้ยินจากคนนั้นคนนี้ในตำรับตำรามันเป็นธรรมะของคน
    อื่นท่านหรอก เรายืมมาใช้เฉยๆ ยืมมาพูดเฉยๆธรรมะของเราจักเกิดขึ้นแค่ไหนขนาดไหน
    เท่านั้นแหละ ถ้าหากเป็นธรรมะที่เกิดขึ้นกับจิตโดยเฉพาะแล้ว โอ้ย มันกว้างขวางใหญ่โต
    มันลืมไม่ลงหรอก เพราะใจเป็นผู้รู้เอง เห็นเอง แต่ว่าจะผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ในตำราก็ไม่ใช่ บางอย่างมันไม่เหมือนกัน


    (เรียบเรียงจาก หนังสือ พระศรี มหาวีโร พระผู้มากล้นด้วยบุญบารมี)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  5. phak

    phak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +458
    Ju.Ti..Ju..Tung..Arahung..Ju..Ti. Jou..ka.
     
  6. bangsaennitting

    bangsaennitting สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +24
  7. linkinpark.ball

    linkinpark.ball เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +253
    โอ้ว ร้อยเอ็ดบ้านข่อย
     
  8. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร งานบำเพ็ญกุศลสรีระสังขาร และงานพระราชทานเพลิงฯ พระเทพวิสุทธิมงคล (หลวงปู่ศรี มหาวีโร) พร้อมชมภาพเก่าเล่าอดีตที่หาชมได้ยาก..ได้ที่เว็บไซต์ วัดป่ากุง ตามลิ้งค์ด้านล่าง..ครับ
    http://www.watpakung.org/<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  9. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    อนุโมทนาค่ะคุณหนุ่ม
    ...
    หากท่านใดได้มีโอกาสไปกราบพระมหาเจีย์ชัยมงคล
    อยากชวนให้ลองซื้อข้าวหลามของที่นี่นะคะ อร่อยและราคาแสนถูกค่ะ
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,588
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    สวยงามที่สุด ขอบพระคุณมากค่ะเป็นบุญตาอย่างยิ่ง สาธุๆๆ(-/\-)
     
  11. ttt2010

    ttt2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,754
    ค่าพลัง:
    +904
    ยิ่งใหญ่อลังการและงดงามมากๆเลยครับ
     
  12. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=NwGuuU9lkSI"]?????????? ???????.wmv - YouTube[/ame]

    ชมชีวประวัติหลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง) อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด
     

แชร์หน้านี้

Loading...