ฌานจำเป็นไหมครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Opened, 21 มิถุนายน 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Opened

    Opened Active member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2020
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +5
    อ้างอิงจากกระทู้นี้

    https://palungjit.org/threads/ลักขณูปณิชฌาณ.722010/

    แบ่งไว้เป็น2 อย่าง
    อารมฺมณูปนิชฺฌานํ

    ลักขณูปนิชฌาน



    แสดงว่าฌานไม่ใช่สิ่งจำเป็นใช่หรือไม่ครับ
    ผมอาจอ่านไม่เข้าใจความหมายเท่าไหร่ ช่วยแนะนำด้วยครับ
     
  2. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ฌาน เป็นสิ่งจำเป็นครับ
    ไม่มีฌาน ก็ไม่มี ญาน ไม่มีญาน ก็ไม่มีปัญญา

    เพียงแต่ว่า หมายเอา ลักขณูปนิชฌาน ที่เป็นไปในการละอาสวะกิเลส

    แต่ถ้า ฌาน ของอารัมนูปนิชฌาน อันนี้ จะเหมาะกับคนที่เดิน สมถะกรรมฐาน ตามที่ถนัดมาก่อน

    แล้วมาเจริญ ลักขณูปนิชฌานในภายหลัง


    หากมุ่งที่ละอาสวะกิเลส คือ ต้อง มุ่ง ลักขณูปนิชฌาน

    การเจริญ สติปัฏฐาน เป็นการทำลักขณูปนิชฌานโดยตรง
     
  3. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    หากคน ไม่เข้าใจ ฌาน สองประเภท

    ก็จะไปมอง ว่าผู้เจริญสติปัฏฐาน ไม่ทำสมาธิ ไม่ทำฌาน แล้วจะเอาอะไรไปเป็นฐานวิปัสนา

    คือ อันนี้ คือ เข้าใจผิด

    เพราะไป มองเอาฌาน ของอารัมนูปนิชฌาน เป็นหลัก

    ฉะนั้นแล้ว ผู้เจริญ สติปัฏฐาน อย่าไปกังวน ว่าจะไม่มี สมาธิ ไม่มี ฌาน
    มันมีตรงๆอยู่แล้ว และ เป็น ฌาน เป็น สมาธิ ที่เอื้อ ในการ ตัดกิเลสอาสวะโดยตรง

    ลักษณะ ของ ลักขณูปนิชฌาน มัน ต่างจากอารัมนูปนิชฌาน
    ตรงที่ ไม่สามารถเข้าเป็น วสี
    หรือ ไม่สามารถสั่งด้วยเจตนาจะเข้าได้

    แต่หาก ผู้ทำฌาน อารัมมนูปนิชฌาน มาโดยชำนาญ
    มันจะมีจุดเชื่อมต่อ
    ในการ น้อมเข้ามาเพื่อ ให้ใกล้ลักขณูปนิชฌานเฉยๆ เพื่อใช้ ในการเจริญสติปัฏฐาน

    ฉะนั้น มันขึ้นอยู่กะความถนัด
    ใครทำอารัมนูปนิชฌานได้ ก็ทำไป แล้วเดินต่อ ลักขณูปนิชฌาน
    หากใคร ไม่สามารถทำ อารัมนูปนิชฌานได้ ก็ไม่จำเป็น
    ก็มุ่งตรงที่ลักขณูปนิชฌานได้เลย
     
  4. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    จขกท ต้อง ทำใจร่มๆ ก่อน

    พอใจ ร่มๆ แล้ว ต้องค่อยๆ ฟัง อย่าให้ ปัญญา
    จดจำคำสอนของครูคนนั้น พระองค์นี้ ล้ำหน้า

    พอไม่มี สัญญาล้ำหน้า ใจร่ม สนิท รำงับดี

    ค่อยๆ ฟัง สิ่งต่อไปนี้

    ธรรมะ เป็นเรื่องของ การเห็นทุกข แล้ว ตั้งจิต
    จะออกจาก สังสารวัฏ เป็นใหญ่ เรียกว่า มีธรรมเป็นใหญ่

    เวลามี ธรรมเป็นใหญ่ มุ่งออกจาก สังสารวัฏเป็นใหญ่

    การสดับธรรม จะไม่ ขัดหู ขัดตา เวลาใครแนะนำชี้
    กิเลส ชี้อุปกิเลส ชี้การสำคัญตน มันจะไม่ผลิกไป
    สู่การเห็นว่า เขาปทุษร้าย มีเจตนาทำร้าย ดิสเครดิต
    ทำลายชีวิต ทำลายกรรมฐาน เพราะความไม่ประสา
    ของคนแสดงธรรม

    พอมีธรรมเป็นใหญ่ มุ่งออกจากสังสารวัฏเป็นใหญ่

    การสดับธรรม จะไม่เข้าใจไปว่า เป็นเรื่อง เอาเข้าตัว
    เป็นเรื่องของการ ทำให้มากเพื่อสะสม สั่งสม ศีล
    วัตรปฏิบัติ สมาธิ ปัญญา

    นะ

    พอทนไหวไหม

    ทบทวนอีกที

    การสดับธรรม จะไม่เข้าใจไปว่า เป็นเรื่อง เอาเข้าตัว
    เป็นเรื่องของการ ทำให้มากเพื่อสะสม สั่งสม ศีล
    วัตรปฏิบัติ สมาธิ ปัญญา

    ถ้า ตรงนี้ไม่เข้าใจ ก็จะเข้าใจผิด

    ยิ่งคำถามของ จขกท ในครั้งที่แล้ว "มุ่งปฏิบัติเพื่อละกาม"

    โอกาสที่ จขกท จะทำ สมถะ เพื่อเอา ธรรมเข้าตัว
    เข้าใจว่าเป็นเรื่อง สะสม สมถะ เพื่อเอาไป ต้านกาม
    ก็จะทำให้ ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งผิด แถมกลับมาอ่านธรรมะ
    ยิ่ง อยากประเคน..... เพราะความไม่เข้าใจ ว่า สอน
    อะไรกันแน่

    ทบทวนเป็นครั้งที่สาม นะ

    การสดับธรรม จะไม่เข้าใจไปว่า เป็นเรื่อง เอาเข้าตัว
    เป็นเรื่องของการ ทำให้มากเพื่อสะสม สั่งสม ศีล
    วัตรปฏิบัติ สมาธิ ปัญญา

    แต่เป็นเรื่อง การเห็นทุกข์ "เพื่อนำออก"

    ฌาณ จำเป็นไหม ....เพื่อการนำออก ก็จะตอบ
    ได้ทันทีว่า "ไม่จำเป็น"

    ทำไมไม่จำเป็น เพราะ หากเราใส่จะละ "กามฉันทะ"
    เพื่อนำออก จิตจะโคจรเป็น ปฐมฌาณ ทันที ที่ละ
    กามฉันทะได้ ( ซึ่ง กามในที่นี้ ต้องไม่ใช่เรื่องอย่างว่า
    แต่ หมายเอาการเพลินในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
    การเอาธรรมเข้าตัว ต่างๆ )

    ยิ่งกำหนดรู้ การเอาธรรมเข้าตัว แล้วสามารถ ละได้
    อย่าว่าแต่ ปฐมฌาณจะเกิด ทุติย ตติย จตุถ จนไป
    ถึง สัญญาเวทยิต ฌาณ9 ย่อมปรากฏขึ้นในจิต ห้าม
    ไม่ให้เกิดไม่ได้

    ฌาณ จำเป็นไหม ....ไม่จำเป็นเลย เพราะ มันเป็น
    สามัญผลที่จะต้องมี หากปฏิบัติละ กามวิตก พยาบาทวิตก
    วิมิงสาวิตก ได้

    เมื่อ ฌาณ ปรากฏเองในจิต เนื่องจาก เราภาวนาถูก

    บางคนก็อาศัย การเข้า การอยู่ การออก
    เพื่อเป็น "อุบายนำธรรมออก" หรือ เอามา
    กำหนดรู้ ลงไตรลักษณ์ ก็จะเรียกว่า ปฏิบัติ
    แบบอารัมณปณิชฌาณ เห็นไตรลักษณ์โดย
    อาศัย องค์ฌาณ ( วิตก วิจาก ปิติ สุข เอกัคคตา )
    มากำหนดรู้ ไตรลักษณ์

    บางคนก็อาศัย การปรากฏของ ฌาณ 1-9 ที่
    ปรากฏขึ้นเป็นสามัญผล เอามาเป็น ผัสสะ ใน
    การเห็นไตรลักษณ์ ( ไม่มีการกำหนด เข้า อยู่
    ออก ) เพียงแต่อาศัย เห็น ฌาณ1-9 ปรากฏ
    เหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน

    ดังนั้น การฝึกอารัมนูปฌิชฌณ และ ลักขณู
    ปณิชฌาณ ต่าง สัมผัส หรือ โคจร ฌาณ1-9
    ได้ทั้งคู่

    ไม่จำเป็นเลยที่จะต้อง ไป ทำเพื่อการสะสม

    มีแต่การกำหนดรู้ การสิ้นไปของกิเลส อาสวะ
    เป็นกิจเดียว รสเดียว

    มีนิพพาน เป็นแก่นสาร มีการออกจากสังสารวัฏ
    ตั้งแต่ กระดุมเม็ดแรก จนเม็ดสุดท้าย

    ต้นคด ปลายตรง ไม่มี !!!
     
  5. hbrsjdat

    hbrsjdat สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2020
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +46
    จำเป็นครับ อย่างน้อยจิตต้องปราศจากนิวรณ์ห้า จึงพิจารณาขันธ์ห้าได้ตามที่มันเป็นจริงเรียกว่า ยถาภูตญาณ ไม่อย่างนั้นตรัสรู้อริยสัจสี่ไม่ได้ครับ

    สาวกทุกองค์อย่างน้อยๆก็ปฐมฌานครับ บางองค์เป็นสุขวิปัสโกไม่มีฤทธิ์ แต่ถ้าถึงจตุตถฌานมีฤทธิ์เดชครับ

    ตามพระไตรปิฎกก็มีหลักฐานปรากฎชัดครับ ว่าสัมมาสมาธิเป็นอย่างไร คุณไปลองค้นดูเอาเองเด้อ
     
  6. Moonlight...

    Moonlight... ...

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +147
    อ่านของท่านจอมยุทธทั้งสองแล้วก็เห็นว่า
    ฌานจะว่า จำเป็นก็ได้ ไม่จำเป็นก็ได้
    ขึ้นอยู่กับ มุมมองใหนมากกว่า ว่าจะเอาฌานมาเป็นเหตุ เพื่อชำระกิเลส
    หรือเอาฌานมาเป็นผล ทีี่เกิดจากการชำระกิเลส
    ประลองกันไป สนุกดี น้ำมูกไหลเลยแปลกดี
     
  7. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ลัขณูปนิชฌาน ไม่ถามหา มันก็มาเองจากการเจริญสติปัฏฐาน

    เป็นผลงานของจากเจริญสติ เห็นอนิจจังขณะจิตเดียว ก็เห็นรอบโลกแล้ว

    ความเป็น สมาธิเล็ก น้อย หรือ ขนิกสมาธิ ในสมาธิชนิดนี้
    จะเหมือนฟ้ากะเหว ในสมาธิอีกแบบ
     
  8. Moonlight...

    Moonlight... ...

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +147
    แบบไหนเป็นฟ้า แบบไหนเป็นเหวละครับ
    รู้สึกไกล้มีเรื่องแล้ว :D
     
  9. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ลัขณู เหมือนกับฟ้า อารัมนูเหมือน กะ เหว

    หากไปต่อ แบบ สีทะนนชัย ก็จะ ยาวไป

    ก้ดี วันนี้วันหยุด :rolleyes:
     
  10. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ปั่น ปฏิโลม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2020
  11. Pngtree

    Pngtree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +1,335
    การเข้า ฌาน คือ การมีสติรู้เห็นความรู้สึกทางกายในอิริยาบทต่าง ๆ รู้เห็นความรู้สึกนึกคิดของจิตใจ เช่น รัก โลภ โกรธ หลง ยืนเดิน นั่ง นอน นี่นั่น เราก็เข้าฌาน ได้ทุกขณะ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่

    เมื่อมีสติอยู่แบบนี้ ความหลงผิดก็ไม่เกิดขึ้นในใจ จิตที่ปราศจากความหลงผิดนี้จะมีปัญญามองเห็นทุกอย่างตามจริง เรียกว่า ญาณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2020
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    จำเป็นที่จะต้องมีครับ....ใช้หลักๆสำหรับ ๒ สภาวะ
    ๑.ไม่ให้เกิดการล่วงละเมิด
    ๒.และยับยั้งไม่ให้เกิด

    บางครั้ง ตำราเขียนซะจนเราเข้าใจไปเองว่า
    ปฏิบัติจนบรรลุธรรมนั้น แล้วเอาไปปนๆกับพระอริยะ หรือ อริยะบุคคล
    จนรวมประหนึ่งว่า อริยะบุคคลเหล่านั้นบรรลุคุณธรรมกันเลยทีเดียว....

    คำว่า บรรลุธรรม นั้นจะมาพร้อมกับความสามารถต่างๆเลย
    ดูตัวอย่างพระสารีบุตรได้ครับ

    ส่วนอริยะ อริแปลว่า ศัตรู ยะ ห่างไกล
    ห่างไกลในที่นี้ คือ ห่างไกลจากกิเลส
    กิเลส เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วภายนอก เช่น ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    แต่ โทสะ โมหะ โลภะ ที่มีอยู่แล้วในจิตตั้งแต่เกิดนั้น
    มันส่งตัววิญญานไปดึง เอา ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ อย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามา
    จนกลายเป็นตัวตน จึงเป็นกิเลสครับ
    ซึ่งมันก็ต้องคล่อยมาคลายให้น้อยลง
    จนภายนอกเหล่านั้นไม่ส่งผลนั้นหละครับ



    ดังจึงต้องมีกำลังไป ป้องกันไม่ให้เกิดการไปล่วงละเมิดและ
    กำลังไปยับยั้งสภาวะเหล่านี้ก่อนนั่นเอง

    สรุปว่า ความจำเป็นมันยังต้องมีอยู่ เพราะจริงๆแล้ว
    ไม่ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ในทางสภาวะถ้าพิจารณาดีๆมันมีความต่อเนื่องกันอยู่ครับ
    ถ้ามองในมุมสภาวะที่เป็นนามธรรมนะครับ ไม่ใช่มองตามความหมาย
    หรือคำแปล ตามตำราครับ
     
  13. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ถ้าหากบรรุลุธรรม หลายท่าน คงเคยได้อภิญญา มาแล้วแต่หลายท่านที่บรรลุธรรมก็ไม่ได้มีฤทธินะคะ มีเพียงที่หมดกิเลสเฉยๆ ของแบบนี้แล้วแต่การสั่งสมมั้งคะคุณนบ
     
  14. ละอองไฟ

    ละอองไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    2,469
    ค่าพลัง:
    +1,398
    ผมคิดว่า คำว่าฌาณน่าจะมาจาก
    คำว่าชำนาญคับ
    คำว่าชำนาญคือคำที่ใช้ภายนอก
    คำว่าฌาณคือคำที่ใช้ภายใน
    คำว่าฌาณคือคำย่อของคำว่าชำนาญ

    ฌาณความชำนาญ ผู้ปราถนาพุทธภูมิ
    ปราถนาปัจเจก ปราถนาอัครสาวก
    ปราถนาเป็นผู้เลิศในด้านใด
    จะต้องมีความชำนาญในด้านนั้นๆคับ
    ส่วนผู้ปราถนาบรรลุธรรม
    ไม่ต้องการเป็นเลิศในด้านใด
    ฌาณจำเป็นหรือไม่ ก็พิจารณาเองคับ
    มุมมองความคิดเห็นส่วนตัวคับ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    กิเลสในมุมส่วนตัว คือ ตัวจิตส่งกระแสไปกระทบและดึงเข้ามา
    จนกลายเป็นตัวตน ถึงเรียกว่า กิเลส
    ส่วนท่านที่ ไม่มีการส่งออกไปดึงภายนอกเข้ามา
    หรือ แม้แต่ภายนอกจะส่งเข้ามา
    ก็ไม่มีผลนั้น เชื่อว่า ปัจจุบันมีเยอะหลายท่านอยู่
    แต่ไม่ได้ หมายความว่า ท่านเหล่านี้จะบรรลุธรรมนะครับ
    และก็ไม่ได้หมายความว่า ท่านเหล่านั้นจะพ้นแล้วนะครับ
    เพราะตราบใดที่ตัวจิตเอง มันยังไม่วางตัวมันเอง
    หรือยังไม่เห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ มันก็ยังต้องวนเวียนมาเกิดอยู่ดี


    ส่วนคำว่า สั่งสม ทั่วไปรู้จักกัน ของเก่า
    บ้างเรียกที่เคยทำมา
    บ้างเรียกบารมีเก่า
    เพียงแต่ว่า่ ของเรานี้ เมื่อบรรลุแล้ว
    จะสามารถขึ้นมาให้ใช้งานได้ปกติ
    ในชีวิตประจำวันเลย ใช้งานได้เลย
    คือไม่ต้องมาฝึกเอา คือเกิดขึ้นเลย
    ประมาณนี้นะครับ

    ไม่ใช่กิริยาทางสมาธิต่างๆ
    ที่เป็นตัวบอกว่า เราเคยฝึกกรรมฐาน
    อะไรมา หรือ เราเคยมีความสามารถ
    ทางด้านไหนมา พวกนี้ เรียกว่า ของเก่า
    ด้านกรรมฐานได้ เพราะกิริยาพวกนี้
    มาได้ เกิดขึ้นได้ แม้จิตจะยังไม่มีความสามารถ
    ใช้งานได้จริง จึง
    ไม่เรียกว่า ในลักษณะ
    ของเก่าที่ขึ้นมาใช้งานได้เลย แบบการ
    บรรลุธรรมนะครับ พอเข้าใจนะครับ



    เพราะอะไร ทำไมความสามารถถึงมีขึ้นมาใช้ได้เลย
    เพราะเมื่อก่อนที่จิตจะคลายตัวเองกลับคืนสู่
    ธรรมชาติเดิมแท้ของมัน ก่อนที่มันจะมีการเกิดขึ้นมานั้น
    มันย่อมเป็นการเก็บ สะสมสิ่งต่างๆที่มันเคยมาแล้วเอาไว้ปกติ
    และพอจิตมันคลายตัวเองกลับคืนสู่ธรรมชาติ
    มันก็เลยเหมือนกลับเปิดให้สิ่งเหล่าน้น ให้มันขึ้นมาโดยธรรมชาติ
    มันเองอยู่แล้วครับ เลยเกิดเป็นความสามารถใช้งานได้เลย
    ในชีวิตปกติประจำวัน...
    ..

    ส่วนคนที่ปฏิบัติ จนจิตคล่อยๆคลายตัว
    ไม่ว่าจะมาจากผลของสมาธิ แล้วมาหนุนด้านปัญญา
    ก็ตามนั้น มันจะค่อยๆขึ้นมาอีกแบบครับ
    ไม่ว่า สัมผัสทางนามธรรมต่างๆที่ดีขึ้นกว่าปกติ
    ไม่ว่าความเข้าใจกิริยาทางนามธรรมต่างๆที่ดีกว่าปกติ

    โลกเราเลย คุ้นเคยกิริยา
    ที่เกี่ยวกับควาสามารถทางจิตภายใน(ญานวิถีแบบภายใน)
    แบบนี้ ว่า
    เด่วมันจะค่อยๆพัฒนาเอง ค่อยๆขึ้นมาเองได้
    ของมันเองตามลำดับยังไงหละครับ


    ส่วนที่คุณพูด ก็เป็นไปได้ทั้งหมดนะครับ
    ส่วนท่านที่บรรลุธรรม แล้วมาพร้อมกับ
    ความสามารถต่างๆ ในระดับใช้งานทางจิตได้
    แบบปกติเลยในชีวิตประจำวัน ความสามารถ
    ชนิดเหนือโลกเลยนะครับ(
    ไม่ใช่ พอมีสำผัส กิริยาทางสมาธิ
    พอได้สัมผัสผลที่เกิดจากสมาธิเล็กๆน้อยๆ และรับรู้ได้เอง
    แต่ใช้งานจริงๆไม่ได้แล้วบอกว่าหรือเข้าใจว่า ตนมีฤิทธินะครับ
    นี่คือ กลุ่มดวงจิตที่ยึดติดนิมิตและนามธรรม
    แต่เข้าใจว่าตนมีความสามารถครับ)

    ในปัจจุบันนะ
    พอมีให้เห็น
    แต่ที่เห็นส่วนตัวเคยพบ
    จะเป็นท่านที่ห่มเหลืองครับ...


    แต่ท่านที่กิเลสน้อยลง กิเลสเบาบางลงเนี่ย
    มีเห็นได้ทั่วๆไปอยู่ครับ ทั้งพระฯทั้งฆารวาส
    ในหมู่ผู้ปฏิบัติ หรือ ผู้ไม่ได้ปฏิบัติก็ตาม
    เรียกว่า มีเยอะแยะ ส่วนจะมากน้อยก็คงชี้วัดได้ยาก
    หลักๆ เราก็ดูแค่นิสัยนั่นหละครับ


    และอาจจะมีบางมุมที่เข้าใจคล้ายๆกัน
    แต่การอธิบายในมุมที่เห็นอาจจะแตกต่าง


    ในมุมส่วนตัวนะครับ ย้ำว่าส่วนตัว
    ถ้าหมดกิเลส คือ ไม่ส่งออกไปดึงเข้ามาแล้ว
    หรือ แม้มีภายนอกส่งเข้ามาและก็ไม่มีผลแล้ว
    ก็คงมีเยอะอยู่ จากผลการปฏิบัติของตน
    บางที บางดวงจิต ก็เลยไปเข้าใจ
    ว่าตนเองบรรลุธรรมแล้ว
    บางดวงจิต ก็หลงไปเข้าใจว่าตนเองพ้นแล้ว
    ตนเองเป็น พระอรหันต์แล้วก็ได้
    แต่โทสะ โมหะ โลภะในจิตมันยังมีอยู่
    แต่มันไม่เกิดไงครับ...
    มันจะบรรลุธรรมได้อย่างไรหละครับ...
    ในเมื่อมันยังมีอยู่
    ยกเว้นจะให้คำจำกัดความและเข้าใจว่า

    (***) ไม่ส่งออกไปดึงเข้ามาได้จนจิตไม่เกิด
    และไม่รับภายนอกต่างเข้ามาจนจิตเกิด
    คือ การบรรลุธรรม แบบนี้ก็ไม่ว่ากัน
    อย่างน้อย ก็ถือว่าได้ผลดีมากแล้ว ในทางปฏิบัติครับ






    แต่ถ้าจะไม่มี โทสะ โลภะ โมหะ ในจิตเลยนั้น
    เป็นความสามารถเฉพาะท่านที่มาทางปฏิสัมภิทาญานเท่านั้น
    เพราะต้องอาศัยกำลังสมาธิในระดับที่เลยคำว่าใช้งานได้ทางจิต
    มาก่อนแบบอัตโนมัติไปแล้วมาก่อนทั้งสิ้น ถึงจะเข้าไป
    สภาวะดับที่คล่อยๆไปคลาย ตัวโทสะ โลภะ โมหะ ในจิต
    ให้จางลงไปได้
    จนไม่มีเหลือได้ในอนาคตครับ
    ดังนั้น สภาวะแบบนี้ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย
    สำหรับ ดวงจิตที่ไม่มีความชำนาญทางด้านสมาธิ
    หรือมีความสามารถใช้งานทางจิตมาก่อนครับ


    แต่อย่างน้อยแม้ไม่มีฤิทธิ์แบบที่ทั่วๆไปเข้าใจนะครับ
    จิตอาจจะอยู่ใน คำจัดกัดความภายใต้เงื่อนไข (***)
    ส่วนใหญ่ในตำราก็พูดไว้แบบนั้นหละครับ
    หรือบางกลุ่มที่เน้นทางด้านปัญญา
    แต่ว่าอาจจะ ไม่เคยฝึกกรรมฐานอะไรสำเร็จมาก่อน
    ในระดับใช้งานได้ หรือ จิตไม่มีความสามารถพิเศษ
    ใช้งานทางจิตอะไรได้มาก่อน ก็มักจะพูดทำนองนี้
    แม้จะไม่จะเคยลองฝึก หรือ แบบไม่สนใจฝึกก็ตามนะครับ
    เพราะไปเน้นทางด้านปัญญาเป็นหลัก


    แต่แม้ว่า ไม่มีฤิทธิ์ก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่า
    ก็ต้องมีในเรื่องของฌานวิถีแบบภายในแน่นอนครับ
    หมายถึง ท่านที่บรรลุธรรม แบบที่เค้าเคยว่า ไม่มีฤิทธิตามตำรานะ

    (คือ อย่างน้อยการ สัมผัสการรับรู้ ต่างๆแบบที่รู้ได้ สัมผัสได้ด้วยตนเอง
    ในเรื่องนามธรรมต่างๆ
    แต่ไม่สามารถทำให้คนอื่นๆรับรู้ได้เหมือนตน นั่นก็ย่อมทะลุทะลวง
    มากกว่า นักปฏิบัติที่มีความสามารถพิเศษแต่ยังไม่บรรลุธรรม
    อยู่แล้วหละครับ อย่าลืมว่า ในการปฏิบัติแม้มาทางด้านปัญญา
    มันก็จะเจอแต่สภาวะต่างๆที่เป็นนามธรรมทั้งนั้นนะครับ
    ลองค่อยๆนึกดูนะครับ คือ
    แม้เราบอกเราไม่สนใจฤิทธิ์
    แต่ความเข้าใจทางนามธรรมมันก็ยังมีอยู่นะครับ นึกออกไหม )

    ดังนั้น ส่วนตัวเชื่อว่า ถ้าหาก ดวงจิตนั้น บรรลุธรรมจริงๆ
    ด้วยเนื้อหาเดิมแท้ของจิต ที่จิตมันคลายตัวเองได้นั้น
    เป็นไปไม่ได้เลยนะครับ ที่จะไม่เกิดความสามารถในทางด้าน
    ฌานวิถีอะไรขึ้นมาบางเลย พอนึกออกไหมครับ

    คิดง่ายๆ สมมุตินะ ยกตัวอย่างให้คิด
    เวลาคุณ รักษาใคร ตอนรักษา ช่วงนั้น จิตเรามันว่าง สงบ
    มันคลายตัวไม่กี่วินาทีเอง บวกกับสัมผัสภายในบ้าง
    ในช่วงรักษาคนอยู่
    มันยังมีความสามารถพิเศษ ส่งผลให้เกิดขึ้นได้เลยครับ


    แล้วทำไม ในระดับที่บรรลุคุณธรรมจริงๆนั้น
    ไม่ใช่แบบภายใต้คำจำกัดความ
    *** นะครับ
    จิตเข้าใจ จิตยอมรับได้ทุกเรื่อง จนคืนสู่ธรรมชาติ
    เดิมแท้ได้ เรียกว่า จิตแทบไม่มีการเกิดเลย
    ไม่เกิดไม่พอ ยังขยายออกไปได้แบบไร้ทิศทาง
    ถ้า
    ในวันหนึ่ง เอาแปดชั่วโมงก็พอ จิตคลายตัวได้
    ไม่รู้ว่า ตั้งกี่ชั่วโมง ...ดังนั้น ในทางปฏิบัติ
    จึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไม่มีเรื่องญานวิถีมาเกี่ยวข้อง
    พอนึกออกไหมครับ เห็นอะไรจากมุมที่เล่าให้ฟังไหมครับ

    ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้สรุปนะครับ
    เพราะถ้า คุณมองในมุม ภายใต้ข้อจำกัด (***)


    มุมในการเห็นทางกิริยา คำว่า บรรลุธรรม กับ เรื่อง กิเลส
    และฤิทธิ์ ก็จะยังเห็นคนละมุมกันอยู่ครับ

    ฝากใว้ให้พิจารณาแล้วกันครับ
    ตามเหตุและผลที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้วก่อนหน้าครับ


    โอเครเนาะ......
     
  16. โซโล

    โซโล ...

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2019
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +46
    ผมว่าเมือหมดอวิชชา ก้คงไม่จำเป็นแล้วละคับ
     
  17. Moonlight...

    Moonlight... ...

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +147
    จำเปนสิ เป็นประโยชน์ต่อพระศาสนา และผู้อื่นนะครับ
     
  18. Pngtree

    Pngtree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +1,335
    เทอ หมดอวิชชา ก็นิพพานอ่ะเทอ จิตเป็นวิมุตติ เหนือไตรลักษณ์แล้ว

    ฌาน ญาณ สติ ก็ไม่เกี่ยวกับจิตแล้ว พวกนี้อยู่ใต้ไตรลักษณ์
     
  19. Moonlight...

    Moonlight... ...

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +147
    ตบมือ ผู้หญิงเก่งธรรมะอีกหน่อยคงต้องไปเป็นแม่ชี
    นิ่งไปเลย นอยป่าวเนี่ย
    เห็นลุงแมว แวบๆ เชิญญ..ลุงแมวมาช่วยออกความเห็นหน่อยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2020
  20. Pngtree

    Pngtree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +1,335
    บวชเงียบๆ ไปแล้ว ต้องขออภัยที่ไม่ได้บอกใคร อนุโมทนากะเราด้วยนะ อิอิ

    FB_IMG_1592745368371.jpg

    ภาพปลากรอบการติ้ว อินเตอร์เน็ต
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...