ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โลกวิวัฒนาการไปไกลจนทำให้ยาเสพติดคลาสสิกประเภท "เฮโรอีน" ถูกลืมเลือนไปจากสารบบอย่างยาวนาน แต่จู่ๆ มันก็กลับมาระบาดอีกครั้ง จนทำให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ต้องออกมาเตือนภัยดังๆ ให้ประชาชนได้ทราบ

    นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) บอกถึงการเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดในช่วงนี้ พบว่า "เฮโรอีน" มีแนวโน้มกลับมาแพร่ระบาดมากขึ้น แม้จำนวนของผู้กระทำความผิดและผู้เข้ารับการบำบัดจะน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับยาบ้า แต่จะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากจำนวนเริ่มเพิ่มมากขึ้น
    โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน!!!

    จะเห็นได้ว่าในช่วง 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา หลายคดีที่ "ตำรวจ" จับกุมผู้ต้องหาค้ายาเสพติด นอกจากมี "ยาบ้า" หรือ "ไอซ์" เป็นของกลางหลักแล้ว ก็จะมี "เฮโรอีน" พวงอยู่ด้วยเกือบทุกคดี

    อาทิ เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา กองกำลังผาเมืองจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ของกลางที่พบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) บรรจุภายในเป้ 8 เป้ จำนวนประมาณ 800,000 เม็ด รวมทั้งมี "เฮโรอีน" น้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม

    เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจนครบาล 7 จับกุม นายสุวพันธ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี และนายนัฐกร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี พร้อมของกลาง ไอซ์ 20 กก. เฮโรอีน 3.8 กก. รถกระบะ 1 คัน รวมมูลค่า 15 ล้านบาท ได้บริเวณถนนกาญจนาภิเษก ฝั่งขาเข้า แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ก็มี "เฮโรอีน" อีกเช่นกัน

    ข้อมูลของสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) รายงานว่า สามเหลี่ยมทองคำยังเป็นแหล่งผลิตเฮโรอีนใหญ่ของโลก แม้ว่าปัจจุบันพื้นที่ปลูกฝิ่นจะลดลงไปอย่างมาก แต่เนื่องจากยังมีแหล่งผลิตในเมียนมา ทำให้เฮโรอีนถูกลักลอบลำเลียงข้ามชายแดนเข้ามายังไทยได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนที่กระจายสู่แหล่งแพร่ระบาดในประเทศ และส่วนที่ถูกส่งต่อไปยังประเทศที่สาม

    ส่วนข้อมูลการเฝ้าระวังของ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงาน ป.ป.ส. (ศปก.ป.ป.ส.) พบการจับยึดของกลางเฮโรอีนในประเทศเพิ่มขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2560 จับยึดได้ 376 กก. แต่ในปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 941 กก. และ 8 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2562-พฤษภาคม 2563) จับยึดได้ 352 กก. และล่าสุดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2563 กองกำลังป้องกันชายแดนภาคเหนือ จับยึดเฮโรอีน 10 กก. ที่ถูกลำเลียงมาพร้อมกับยาบ้า 8 แสนเม็ด

    หากพิจารณาจากจำนวนผู้เข้ารับการบำบัดรักษาเฮโรอีนก็พบว่าเพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2560 มี 3,744 คน แต่ในปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 3,980 คน ส่วนในปี 2563 (8 เดือนแรก) มี 2,934 คน อีกทั้งส่วนใหญ่ของผู้เข้ารับการบำบัดรักษาเป็นรายใหม่ และที่น่าวิตกคือ 1 ใน 3 เป็นเยาวชน ขณะที่จำนวนผู้กระทำผิดใน 3 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยประมาณปีละ 1,250 คน สำหรับพื้นที่ที่พบว่ามีการแพร่ระบาดของเฮโรอีนมากคือ จังหวัดเชียงราย นราธิวาส กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และกาญจนบุรี

    เลขาธิการ ป.ป.ส. ระบุเฮโรอีนถูกจัดอยู่ในยาเสพติดที่ออกฤทธิ์รุนแรง (Hard drug) ทำลายสุขภาพให้ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว อยู่ในกลุ่มที่เสพติดง่ายและบำบัดรักษาให้เลิกได้ยาก ดังนั้น หากเฮโรอีนกลับมาแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น และโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน การแก้ไขปัญหาจะทำได้ยาก และส่งผลเสียต่อทรัพยากรมนุษย์ของชาติต่อไปในระยะยาว ดังนั้นจึงขอให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันสอดส่องดูแลเด็ก เยาวชน ที่เป็นบุตรหลานหรืออยู่ในความดูแลไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทุกชนิด

    "สำหรับในพื้นที่ที่พบว่ามีการแพร่ระบาดของเฮโรอีนมาก ได้สั่งการให้สำนักงาน ป.ป.ส.ที่รับผิดชอบพื้นที่ เร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจถึงปัญหาเฮโรอีนให้กับประชาชน และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด เฝ้าระวังปัญหานี้อย่างใกล้ชิด และดำเนินการแก้ไขให้ปัญหาลดลงโดยเร็ว"

    เลขาธิการ ป.ป.ส.เน้นย้ำช่วงท้าย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ถือว่าปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน และทำให้สังคมมีความปกติสุข โดยให้ทุกหน่วยบูรณาการการทำงานร่วมกัน ซึ่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ได้มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ส.เป็นหน่วยงานกลางในการดำเนินงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ขอให้พี่น้องประชาชนได้เชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล

    https://www.thaipost.net/main/detail/69517

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ภายในสหรัฐฯ ยังคงน่าเป็นห่วงอย่างมาก หลายรัฐมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นรวดเร็ว หลังจากที่มีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ "ที่ไม่เป็นขั้นตอน" ล่าสุดคณะแพทย์อาวุโสของสหรัฐ ในฐานะตัวแทน "ทัพหน้า" ต่อสู้กับวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ถูกเรียกมาชี้แจงสถานการณ์ต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยนายแพทย์ชื่อดังต่างส่ายหน้ากับวิกฤตที่กำลังเผชิญ

    สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ว่า นพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและภูมิแพ้แห่งชาติของสหรัฐฯ ( เอ็นไอเอช ) นพ.โรเบิร์ต เรดฟิลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ( ซีดีซี ) นายสตีเฟน ฮาห์น ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ( เอฟดีเอ ) และ พล.ร.อ. นพ. เบรตต์ จิรัวร์ ที่ปรึกษาอาวุโสประจำกระทรวงสาธารณสุข สหรัฐฯ เข้ารับการซักฟอกจากคณะกรรมาธิการพลังงานและการพาณิชย์ของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันอังคาร เกี่ยวกับนโยบายของทำเนียบขาว ในการตอบสนองต่อวิกฤติโรคโควิด-19

    นพ.เฟาซี กล่าวว่าเขามีความเข้าใจและเห็นใจความปรารถนาของทุกฝ่าย ที่ต้องการให้ภาครัฐผ่อนคลายหรือถึงขั้นยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ที่บังคับใช้มานานหลายเดือน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าต่อไป แต่เท่าที่เขาเฝ้าสังเกตมาตลอดพบว่า ยังไม่มีรัฐใดในประเทศที่ลดระดับมาตรการล็อกดาวน์ "ได้อย่างมีประสิทธิภาพ" จึงส่งผลให้หลายรัฐกลับมามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการแพร่ระบาดของโรคภายในชุมชน และบางรัฐเป็นการเพิ่มแบบอัตราเร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มรัฐทางใต้และตะวันตก ซึ่ง นพ.เฟาซีกล่าวอย่างเจาะจงไปที่รัฐเทกซัส รัฐฟลอริดา และรัฐแอริโซนา

    นพ.เฟาซี กล่าวด้วยว่า สัปดาห์นี้เป็น "ช่วงเวลาสำคัญ" ที่จะสามารถคาดการณ์ได้ว่า บรรดารัฐที่ปลดล็อกแล้วจะควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้มากน้อยเพียงใด เมื่อมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติของประชาชน นพ.เฟาซีกล่าวว่า "เหมือนเดิม" คือสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า หลีกเลี่ยงสถานที่มีผู้คนเป็นจำนวนมาก หรือหากจำเป็นต้องใช้เวลาให้น้อยที่สุด และการล้างมือให้สะอาด

    ขณะเดียวกัน ที่ประชุมตั้งคำถามเกี่ยวกับกระบวนการตรวจคัดกรอง นพ.เฟาซีซึ่งเป็นผู้ตอบคำถามส่วนใหญ่ ยืนยันว่าหน่วยงานสาธารณสุขไม่เคยได้รับคำสั่งจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ชะลอการตรวจประชาชน ด้าน นพ.เรดฟิลด์กล่าวเสริมว่า มาตรการตรวจคัดกรองคือหนึ่งในหัวใจของการทำงานในเรื่องนี้ และเน้นย้ำให้ประชาชนรักษาระยะห่างทางสังคมต่อไปด้วย เพราะตอนนี้เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กำลังทำให้อเมริกา "พ่ายแพ้"

    ในวันเดียวกัน ทางการรัฐเท็กซัสรายงานการมีผู้ป่วยยืนยันจากโรคโควิด-19 เกิน 5,000 คนเป็นครั้งแรก โดยอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากปลายเดือนพ.ค. เป็นเกือบ 9% นอกจากนี้ รัฐลุยเซียนา รัฐมิสซิสซิปปี รัฐเนวาดา และรัฐแอริโซนา รายงานสถิติผู้ป่วยรายวันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อวันวานนี้

    https://edition.cnn.com/2020/06/23/..._source=twCNN&utm_content=2020-06-23T23:45:23
    https://www.reuters.com/article/us-...s-coronavirus-surges-in-houston-idUSKBN23U2QT

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    25 มิถุนายน (เที่ยงคืนคืนนี้) ไต้หวันเปิดให้มีการพักเปลี่ยนเครื่อง(ทรานสิส)ที่สนามบินเถาหยวนได้ และอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาได้เฉพาะผู้มีเอกสิทธิ์เท่านั้น ไม่ใช่นักท่องเที่ยว‼️

    ประกาศจากกรมควบคุมโรควันนี้ ภายหลังการประชุมได้มีการอนุมัติให้มีการพักเปลี่ยนถ่ายเครื่องที่สนามบินนานาชาติเถาหยวน โดยเริ่มเที่ยงคืนคืนนี้ 25 มิถุนายน 2020( เวลา 00:00) ตามเวลาท้องถิ่นไทเป

    การเปลี่ยนถ่ายเครื่องนั้นมีกฎหลักใหญ่อยู่ 2 ข้อคือ
    1) ห้ามมีการรอเปลี่ยนถ่ายเครื่องเกินระยะเวลา8ชั่วโมง (ต้องเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดภายใน8ชั่วโมง)
    2) การเปลี่ยนถ่ายเครื่องนั้นต้องเป็นสายการบินร่วมในเครือเดียวกัน หรือเป็นสายการบินเดียวกัน (ตอนนี้มีแค่ China Airlines EVA AIR และ Cathey Pacific เท่านั้น ส่วนรายละเอียดเรื่องการเปลี่ยนเครื่องภายใน8ชั่วโมงนั้นต้องหารือต่อไป)
    รายละเอียดโปรดติดต่อสายการบินค่ะ

    หากผู้โดยสารอยู่ในสนามบินเกิน8ชั่วโมง หลัง8ชั่วโมงจะต้องอยู่ในเกตรอขึ้นเครื่องเท่านั้นห้ามออกนอกบริเวณ

    ตลอดเวลาจะต้องอยู่ในอาณาเขตที่กำหนดห้ามเกี่ยวข้องกับส่วนกลางอื่นๆ ส่วนด้านอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าปลอดภาษีนั้น ทางสายการบินต้องรับผิดชอบให้บริการในที่ที่กำหนด
    ***ทั้งนี้ไต้หวันยังคงไม่อนุญาติให้ผู้โดยสารจากจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาเนื่องจากยังคงเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง

    **การเปิดให้ชาวต่างชาติเข้า 29มิถุนายนนี้
    1) ชาวต่างชาติต้องไม่ใช่นักท่องเที่ยว : ผู้มีเอกสิทธิ์ มีจดหมายเชิญ นักธุรกิจ ผู้ลงทุนที่ได้รับอนุญาต เอกสารทางการฑูต การเข้ามาเพื่อทำธุรกิจไม่ใช่เพื่อมาท่องเที่ยว* เป็นต้น และต้องมีการยื่นจดหมายร้องขอมาเพื่ออนุมัติ

    2) ชาวฮ่องกงและคู่สมรส ที่เป็นนักธุรกิจ ผู้ลงทุน หากต้องการเข้ามายังไต้หวันให้ยื่นจดหมายสมัครร้องขอ

    **ไต้หวันยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามานะคะ รวมถึงยังไม่เปิดให้วีซ่าท่องเที่ยว และวีซ่านักเรียนด้วย รายละเอียดโปรดติดต่อสถานฑูตค่ะ

    กฎข้อบังคับเกี่ยวกับการเปลี่ยนถ่ายเครื่องทรานสิสอ่านได้ที่นี่


     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวด่วน‼️ นักศึกษาชาวญี่ปุ่นเรียนที่ไต้หวัน(ทางใต้) เมื่อสัปดาห์ก่อนกลับถึงญี่ปุ่นกลับพบติดเชื้อโควิด ตอนนี้ไต้หวันกักตัวผู้เกี่ยวข้องกว่า140ราย

    ข่าวด่วนเมื่อครู่ทางกรมควบคุมโรคแถลง นักศึกษาชาวญี่ปุ่นวัย 20ปีได้เดินทางมาเรียน ที่ไต้หวันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 ซึ่งได้เข้าเรียนที่สถานศึกษาแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของไต้หวัน ตลอดเวลาได้มีการออกเที่ยวและทำกิจกรรมต่างๆในเขตทางตอนใต้ซึ่งตนอาศัยอยู่ แต่ตลอดเวลาที่เรียนไม่ได้มีการทำงานพาร์ททาม หรือบินออกต่างประเทศ

    เมื่อสัปดาห์ก่อนได้เดินทางขึ้นเครื่องกลับประเทศญี่ปุ่น เมื่อถึงญี่ปุ่นได้ผ่านขั้นตอนคัดกรอง ไม่มีอาการใดๆแสดงออกมา แต่หลังจากตรวจแล้วกลับพบว่าติดเชื้อโควิด

    ตอนนี้ได้มีการหาผู้เกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อรายนี้ซึ่งประมาณ 140ราย ส่วนใหญ่เป็นครูและเพื่อนร่วมชั้น เพื่อนในโรงเรียน และ4 รายคือพนักงานในสนามบิน ตอนนี้125 กักตัวดูอาการ 15 รายให้ดูอาการเอง 14 วัน

    เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เพราะถือว่าเป็นการติดต่อในชุมชนหรือไม่ และติดจากใคร??

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โรงละครโอเปร่าในสเปน จัดคอนเสิร์ต เชิญ ‘ต้นไม้ 2,300 ต้น’ แทนคนดู สะท้อน COVID-19 กีดกันมนุษย์จากสังคม

    .
    เมื่อสเปนประกาศปลด Lockdown กิจการต่างๆในประเทศก็เริ่มเปิดทำการอีกครั้ง อย่าง โรงละครโอเปร่า ‘Liceu’ ในเมืองบาเซโลนา กลับมาเปิดการแสดงเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือน หลังปิดตัวลงชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 แต่ผู้ชมทั้งหมดในการแสดง ไม่ใช่ ‘คนดูทั่วไป’ แต่เป็น ต้นไม้ เกือบ 2,300ต้น เรียกว่า เป็นแขกพิเศษ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

    .
    ด้านผู้จัด เผยว่า เหตุที่เปิดการแสดงต้นไม้เป็นผู้ชมแทนคนทั่วไป เพื่อต้องการสะท้อนให้เห็นถึง สถานการณ์ของมนุษย์ที่ถูกกีดกันจากโอกาสมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ทางสังคม-การใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ เช่น การชมโอเปร่าในครั้งนี้ ต้องมาชมผ่าน Liveสด เพราะการมาของ COVID-19 และ พื้นที่ทุกตารางนิ้วของมนุษย์ ถูกธรรมชาติเข้าไปครอบครองแทนที่

    .
    Eugenio Ampudio ศิลปินผู้รับหน้าที่ Executive Producer ยังกล่าวอีกว่า ‘เราสามารถแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจแก่กันและกันได้ โดยเริ่มจากการเชิญธรรมชาติเข้ามาสู่โรงละครที่ยิ่งใหญ่ของเรา’

    .
    หลังจบการแสดง ต้นไม้ทั้งหมด 2,292 ต้น จะถูกส่งมอบแก่บุคลากรทางการแพทย์ที่อุทิศตนในแนวหน้าการต่อสู้แพร่ระบาดในประเทศสเปน เป็นการส่งต่อความเห็นอกเห็นใจแก่กัน ดังที่ผู้จัดได้ตั้งเป้าไว้

    .
    ทั้งนี้ สเปนเป็นหนึ่งในประเทศได้รับผลกระทบหนักจาก COVID-19 ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 246,752 ราย เสียชีวิต 28,325 ราย ข้อมูลล่าสุดจาก Google News

    .
    อ้างอิงจาก:

    https://www.reuters.com/article/us-...ra-reopens-with-unusual-concert-idUSKBN23T22V

    https://news.google.com/covid19/map?hl=th&mid=/m/06mkj&gl=TH&ceid=TH:th

    #onUFO #Spain #Barcelona #Liceu #OperaHouse #COVID19

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คนอเมริกัน 'จนน้อยลง' เพราะ 'เงินเยียวยา' ในช่วง COVID-19

    .
    งานวิจัยจากนักวิจัยประเทศอเมริกาชี้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐช่วงวิกฤต COVID-19 ทำให้คนจนในประเทศลดน้อยลง ระหว่างเดือนเมษายน และ พฤษภาคม ที่ผ่านมา

    .
    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอเตอร์เดม และ มหาวิทยาลัยชิคาโก ทำวิจัยร่วมกันในประเด็น ‘ความยากจนในอเมริกา’ พบว่า คนจนลดลง 2.3% จาก 10.9% ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ เหลือเพียง 8.6% ช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม หลังจากรัฐบาลแจกเงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและได้รับผลกระทบโรคระบาด

    โดยสอดคล้องกับงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่ระบุ ‘คลื่นเงินช่วยเหลือของภาครัฐ ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ช่วยชาวสหรัฐกว่า 12 ล้านคน พ้นจากความยากจน ท่ามกลางภาวะการระบาดใหญ่’

    .
    เงินช่วยเหลือจากทางรัฐบาลอเมริกา แบ่งเป็น สองส่วน ได้แก่ เงินช่วยเหลือแบบให้ครั้งเดียว 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 36,996 บาท) และ เงินช่วยเหลือว่างงาน 600 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อสัปดาห์ สำหรับผู้ว่างงาน

    .
    แคมเปญเงินช่วยเหลือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ภายในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมอยู่ในกฎหมายที่ร่างขึ้นมาเพื่อแก้วิกฤติ COVID-19 โดยเฉพาะ เรียกกฎหมายนี้ว่า CARES : Coronavirus Aid, Relief and Economics Security Act

    .
    จากรายงานรายรับและรายจ่ายของชาวอเมริกัน เดือนเมษายน เผยแพร่โดยกระทรวงพาณิชย์อเมริกา ยังชี้ให้เห็นถึง ขาวอเมริกันมีรายรับเพิ่มขึ้น 10% สวนทางกลับรายจ่าย ลดลง 13% เนื่องจากการ Lockdown ซึ่งส่วนสำคัญของรายรับเพิ่มขึ้น มาจากการช่วยเหลือของรัฐบาลโดยตรง ตามการวิเคราะห์ของ Joseph Brusuelas หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ RSM บริษัทที่ปรึกษารายใหญ่

    .
    พรรคเดโมแครตกำลังผลักดันให้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มุ่งเน้นช่วยเหลือชาวอเมริกันว่างงานไปจนถึงเดือนมกราคม แต่พรรครีพับลิกัน ฝ่ายรัฐบาล ไม่เห็นด้วย เพราะ การจะใช้จ่ายใดๆควรมีเป้าหมายชัดเจน และมันอาจไม่จำเป็น หากเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

    .
    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางท่าน จุดประเด็นชวนคิด ‘แม้อัตราการยากจนดูดีขึ้น แต่ความเป็นจริง คือ ชาวอเมริกันจำนวนมากที่อยู่เหนือเส้นยากจน ยังคงมีชีวิตแบบเดือนชนเดือน’ เพราะแคมเปญช่วยเหลือทุกแคมเปญก็ต้องมีกำหนดวันสิ้นสุด

    .
    ทั้งนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกาคำนวณอัตราการยากจนจากรายได้รวมของแต่ละครอบครัว หากมีรายได้น้อยกว่า 28,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ( ราว 863,394 บาท) ถือว่ายากจน

    .
    อ้างอิงจาก:

    https://www.businessinsider.com/us-...eral-relief-programs-coronavirus-study-2020-6

    https://www.businessinsider.com/fed...nancially-struggling-households-impact-2020-6

    https://www.bea.gov/news/2020/personal-income-and-outlays-april-2020

    #onUFO #USA #Poverty #FederalReliefProgram #COVID19 #CARES

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อวานนี้ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึง การรื้ออาคารประวัติศาสตร์ "บอมเบย์เบอร์มา" อายุ 127 ปี ที่จังหวัดแพร่ว่า วันนี้ได้ลงโทษคนที่สั่งการรื้ออาคารไปแล้ว
    .
    แม้คำสั่งการจะช้าไปบ้าง แต่กลไกลในการทำงานมีหลายระดับ บางอย่างเป็นเรื่องในระดับพื้นที่ ซึ่งเรื่องนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้ไปชี้แจงต่อสภาฯ แล้ว ทุกอย่างจะต้องสร้างให้กลับคืนมาเหมือนเดิม ทั้งนี้การจะรื้อสร้างใหม่ จะต้องมีแบบแปลนว่าเมื่อรื้อไปแล้ว จะไปทำอะไรต่อ หรือรื้ออาคาร โดยที่ไม่ได้รับการอนุมัติ จะไปทำก่อนไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็จะต้องไปสอบสวนกัน
    .
    “อาคารโบราณสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมในประเทศจะต้องรักษา เพื่อเอาไว้ศึกษารากเหง้าของวัฒนธรรม แต่ต้องปรับตัวให้อยู่ในสภาพที่ดีขึ้น จะไปรื้อทิ้งทั้งหมดก็คงไม่ใช่ หรือถ้าจะซ่อมแซมบางส่วนจะยังแข็งแรงอยู่ หรือไม่ ไม่ใช่เข้าไปแล้วไปสั่งรื้อโดยไม่ศึกษา และรายงาน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    https://www.mcot.net/viewtna/5ef1bac6e3f8e40af8457585
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หลังจากเมื่อวานนี้มีข่าวว่า ประธานาธิบดีของสิงคโปร์ประกาศยุบสภา และกำหนดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในวันที่ 10 ก.ค. ที่จะถึงนี้ ล่าสุดสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า
    .
    นายลี เซียน หยาง น้องชายของนายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง ผู้นำสิงคโปร์ เปิดเผยกับสื่อหลายแห่ง ว่าเขาได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคสิงคโปร์ก้าวหน้า (พีเอพี) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาแห่งชาติ ในนามตัวแทนผู้สมัครของพรรคพีเอพีด้วยหรือไม่
    .
    สำหรับพรรคพีเอพีก่อตั้งเมื่อเดือนม.ค. ปีที่แล้ว โดยนายตัน เฉิง บ็อก อดีตสมาชิกพรรคกิจประชาชน ( พีเอพี ) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลชุดปัจจุบันของสิงคโปร์ และนายลี เซียน หยาง ร่วมงานเปิดตัวพรรคด้วย แต่ในตอนนั้นยังสงวนท่าทีว่าจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่
    .
    สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ของสิงคโปร์จะเกิดขึ้นในวันที่ 10 ก.ค.นี้ หลังประธานาธิบดีฮาลิมาห์ ยาค็อบ ยุบสภาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ตามข้อเสนอของนายลี เซียน ลุง โดยจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดใหม่ทั้ง 93 ที่นั่ง และมีความเป็นไปได้น้อยมาก ที่พรรคพีเอพีซึ่งนายลี กวน ยู ร่วมก่อตั้ง จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เนื่องจากนับตั้งแต่เป็นรัฐเอกราชและจัดการเลือกตั้ง พรรคพีเอพีไม่เคยได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนน้อยกว่า 60%
    ..
    ทั้งนี้ พี่น้องตระกูลลีมีปัญหาขัดแย้งภายในครอบครัวอยู่ก่อนแล้ว โดยนายลี เซียน หยาง และนางลี เหวย หลิง วัย 65 ปี ทะเลาะกับนายลี เซียน ลุง วัย 68 ปีอย่างเปิดเผย โดยอ้างว่า พี่ชายคนโตไม่ยอมรื้อบ้านพักของนายลี กวน ยู บิดาผู้ก่อตั้งประเทศตามพินัยกรรม เพื่อหวังใช้ประโยชน์ส่วนตัว

    -------------------------------
    แหล่งข่าว

    https://www.straitstimes.com/politi...oins-tan-cheng-bocks-progress-singapore-party

    https://www.scmp.com/week-asia/poli...brother-lee-hsien-yang-joins-opposition-party

    https://www.naewna.com/inter/501213
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เผยว่า ความคืบหน้าในการพัฒนาโครงข่ายทางรถไฟร่วมกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) เพื่อบูรณาการเดินเชื่อมต่อการเดินทางไปยังประเทศเพื่อนบ้าน บูรณาการการลงทุน การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และลดปัญหาเส้นทางผ่านเข้าเมืองที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตชุมชน
    .
    ทั้งนี้ สนข. ได้หารือร่วมกับกรมทางหลวง (ทล.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำการบูรณาการแนวเส้นทางรถไฟ และแนวเส้นทางมอเตอร์เวย์เข้าด้วยกัน
    .
    ขณะเดียวกันได้นำเสนอแผนแม่บท (มาสเตอร์แพลน) แนวเส้นทางร่วมรถไฟทางคู่ และมอเตอร์เวย์ ที่เป็นไปได้เบื้องต้นจำนวน 8 สาย รวมระยะทางก่อสร้าง 4,930 กิโลเมตร โดยจะแบ่งการดำเนินการออกเป็น 2 แนว คือ
    ...

    1.แนวเหนือ-ใต้ จำนวน 3 สายทาง ระยะทาง 2,620 กิโลเมตร ได้แก่ เชียงราย-สงขลา ระยะทาง 1,660 กิโลเมตร , หนองคาย-แหลมฉบัง ระยะทาง 490 กิโลเมตร และบึงกาฬ-สุรินทร์ ระยะทาง 470 กิโลเมตร
    .
    2.แนวตะวันออก-ตะวันตก จำนวน 5 สายทาง ระยะทางรวม 2,310 กิโลเมตร ได้แก่ ตาก-นครพนม ระยะทาง 710 กิโลเมตร , ตาก-อุบลราชธานี ระยะทาง 880 กิโลเมตร , กาญจนบุรี-สระแก้ว ระยะทาง 310 กิโลเมตร ,กาญจนบุรี-ตราด ระยะทาง 220 กิโลเมตร และภูเก็ต-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 190 กิโลเมตร
    ...

    นายศักดิ์สยาม ได้กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ สนข. จะต้องทำการศึกษารายละเอียดแอคชั่นแพลน และทำการออกแบบ 8 สายทาง ตามมาสเตอร์แพลนซึ่งจะใช้เวลาศึกษาราว 1 ปี เบื้องต้นก่อสร้างนำร่อง 3 เส้นทางย่อยที่มีความสำคัญก่อน คือ

    1.โคราช-ขอนแก่น-หนองคาย

    2.โคราช-บุรีรัมย์

    3.ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร คาดว่าจะเริ่มเวนคืน และก่อสร้างได้ในปี 65-66
    ...

    ทั้งนี้ จะต้องศึกษารูปแบบการลงทุน ที่เหมาะสม ว่าจะใช้รูปแบบใดเบื้องต้นอาจจะให้เปิดให้เอกชนทั้งไทย และต่างชาติเข้าร่วมลงทุน หรืออาจจะใช้เงินจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เพื่ออนาคตประเทศไทย ไทยแลนด์ ฟิวเจอร์ ฟันด์ (TFFIF) เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนมาก รวมถึงต้องศึกษารูปแบบการเวนคืนที่ดินที่ ต้องมีการบูรณาการพื้นที่ร่วมกันระหว่างรฟท. และทล.
    .
    ซึ่งตนมองว่าควรเป็นการเวนคืนพร้อมกันในคราวเดียว และจะต้องเวนคืนเผื่อพื้นที่ เพื่อก่อสร้างสาธารณูปโภคโดยรอบด้วย เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และที่อยู่อาศัยไปพร้อมกันเลย เพื่อให้เกิดการพัฒนาสร้างเมืองใหม่ด้วย
    .
    อย่างไรก็ตาม ด้านการออกแบบก่อสร้างนั้น ได้ให้นโยบายว่าควรเป็นแนวเส้นทางที่ ตัดตรงให้มากที่สุด ไม่ต้องลากผ่ากลางเข้าไปยังชุมชน จนส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตชาวบ้านจนมีกรณีร้องเรียน รวมทั้งจะต้องมีการก่อสร้างถนนคู่ขนาน และก่อสร้างทางแยกต่างระดับทุก ๆ 10 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางเข้าไปยังชุมชนด้วย

    -------------------------------
    แหล่งข่าว

    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/886495?utm_source=category&utm_medium=internal_referral
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ถามทันที คืนนี้ !!! ทำไม กนง. ลดคาดการณ์ GDP รวดเดียว -8.1%? เศรษฐกิจไทยยังไหวไหม?
    .
    ถามอีก กับดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
    .
    และดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย
    .
    ที่ ถามอีก กับอิก Tam-Eig เวลา 20.30 น. พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงคร้าบ
    ----------------------
    .
    อิสรภาพชีวิต !! อยู่ไหนก็ไม่พลาด อย่าลืมกดติดตามนะครับ หรือเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้เลย
    .
    Line official: https://lin.ee/hFHEWGA

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อนักลงทุนระดับตำนาน Howard Marks เตือนสตินักลงทุน
    .
    #ลงทุนนอกโลก โดยเพจ #ถามอีกกับอิก
    .
    ตลาดหุ้นทั้งโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งๆที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นจาก โควิดและไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดจะถึงช่วงไหน
    .
    คุณ Howard Marks ผู้จัดการกองทุน Oaktree Capital Management อภิมหาเศรษฐีที่มีความมั่งคั่ง 6.6 หมื่นล้านบาท และบริหารสินทรัพย์ของลูกค้ามูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท ก็เลยเริ่มมาเตือนสตินักลงทุนกันหน่อยครับ
    ===========
    .
    1.”การที่ธนาคารกลางสหรัฐมีหน้าที่ในการฟื้นตลาดการเงิน อาจจะทำให้ราคาหุ้นในตลาดไม่มีเสถียรภาพ”
    .
    2.แต่จริงๆแล้ว ท่านก็ไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายนะครับ เพียงแต่ว่าเตือนว่า ถ้าหากความคาดหวังว่า ธนาคารกลางแต่ละแห่งเริ่มหยุดให้ยากระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว อาจจะทำให้ตลาดหุ้นร่วงลงได้
    .
    คำที่สำคัญ คือ คำว่า “ความคาดหวัง” ครับ
    .
    3.ท่านบอกว่า ท่านเข้าใจนะว่าทำไมถึงตลาดวิ่งขึ้นแรง แต่สิ่งที่สำคัญมากๆคือ ธนาคารกลางเหล่านี้สามารถอัดฉีดเงินได้ตลอดไปเหรอ?
    .
    เพราะตอนนี้ท่านมองว่าพวกเรา พึ่งพาการซื้อของธนาคารกลางสหรัฐ และคาดหวังว่าเค้าจะอัดเงิน และซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า และซื้อตลอดไป
    .
    4.“คำถามคือ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าอยู่ๆเค้าไม่ซื้อสินทรัพย์ ไม่อัดฉีดเงินแล้วละ” คุณ Howard Marks เตือนสตินักลงทุนว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐให้คำมั่นสัญญาว่าจะซื้อหุ้นกู้เอกชน เป็นเพราะต้องการที่จะสร้างเสถียรภาพในตลาดเงิน
    .
    5.คำถามถัดมาคือ พวกเราคิดว่าเฟด ธนาคารกลางสหรัฐจะสามารถอัดเงินปีละ หลายล้านล้านเหรียญ ในทุกๆปี ไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อพยุงตลาดเหรอ? อย่าลืมว่า ถึงจุดหนึ่งก็ต้องถอยเหมือนกัน และคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด
    .
    6.แต่ท่านก็บอกว่า ณ เวลานี้ยังไม่ใช่ภาวะฟองสบู่หรอกครับ เพียงแต่ถ้ามองแนวโน้มศักยภาพของพื้นฐานของหุ้น และเศรษฐกิจก็เลยถูกมองว่า ราคาสูงนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ฟองสบู่จะแตก แต่ก็ต้องเริ่มระมัดระวังในการลงทุนบ้างแล้วครับ
    .
    ========
    .
    ถ้าไม่อยากพลาดแนวคิดการลงทุนและไอเดียการลงทุนดีๆ อย่าลืมกด subscribe และ กดกระดิ่งนะครับ
    .
    https://www.youtube.com/channel/UCnj8uUh6SHdZi3FvWJj9Dyw?view_as=subscriber

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ถามทันที มาแล้ว !!! ทำไม กนง. ลดคาดการณ์ GDP รวดเดียว -8.1%? เศรษฐกิจไทยยังไหวไหม?
    .
    ถามอีก กับดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
    .
    และดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย
    .
    ที่ ถามอีก กับอิก Tam-Eig เวลา 20.30 น. พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงคร้าบ
    ----------------------
    .
    อิสรภาพชีวิต !! อยู่ไหนก็ไม่พลาด อย่าลืมกดติดตามนะครับ หรือเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้เลย
    .
    Line official: https://lin.ee/hFHEWGA

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อวันก่อนทางสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย เขาจัดเสวนาสาธารณะเรื่อง CPTPP: เกษตรไทยเสียเปรียบจริงหรือ? โดยมีการดึงเอาภาคเอกชน ภาครัฐ และนักวิทยาศาสตร์ นักปรับปรุงพันธุ์พืชเข้ามาร่วมถกเถียงกันบนเวทีเสวนา เพื่อหาคำตอบว่าตกลง CPTPP นี้มันดีหรือเสียต่อเกษตรกรไทยกันแน่

    วันนี้ผมว่างพอดี เลยช่วยเอามาขยายความ และสรุป เรียบเรียงให้แก่ผู้ที่สนใจได้นำไปเป็นข้อมูลสำหรับการต่อยอดครับ เดี๋ยวผมจะเริ่มจากมุมของฝั่งกระทรวงพาณิชย์ก่อนเลย คือทางกระทรวงพาณิชย์เนี่ยเขาก็มีความพยายามในการจะสร้างความเข้าใจเหมือนเช่นเดิมน่ะครับ

    ด้วยการโน้มน้าวว่าตอนนี้กระบวนการเข้าสู่ข้อตกลง CPTPP นั้นมันยังอยู่ในเฝสที่แรกเริ่มเอามากๆ คือ เฝส 3.5 เท่านั้น จากทั้งหมด 12 เฝส ซึ่งอันนี้ผมได้อธิบายไปแล้วในโพสต์ของเมื่อ 3 วันก่อน และก็ตามหลักสากลของการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกรอบใหญ่ๆนี้เขาใช้เวลาคุยกันไม่ต่ำกว่า 5 ปี

    ดังนั้นยังไงทางกระทรวงพาณิชย์ก็ยังยืนยันสนับสนุนให้ไทยเข้าร่วมเจรจาก่อน เพราะยิ่งเราเข้าช้า เราจะเสียโอกาสในช่วงที่เรายังพอจะมีทางเลือก มีอำนาจต่อรอง อันนี้ผมเสริมให้นะครับว่า เข้าตอนนี้เรายังพอมีอำนาจและแต้มต่อในการเจรจามากอยู่ แต่ถ้าหลังจากเดือนพฤศจิกายนปี 2020 นี้ไป

    สหรัฐอเมริกาเขาเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เกิด Donald Trump แพ้เลือกตั้งขึ้นมา เกมของ CPTPP พลิกเลยนะครับ เพราะพรรค Democrat เขาชูประเด็นกันว่าจะดึงอเมริกากลับเข้า CPTPP เหมือนเดิม ตามยุทธศาสตร์ของสมัยรัฐบาล Barack Obama อันนี้แหละผลกระทบถึงไทยโดยตรง เราจะเสียเปรียบจริงๆจังๆ

    (เรื่อง FTA เนี่ย ยิ่งเข้าช้าก็ยิ่งเสียโอกาส เข้าช้าในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเข้าร่วม แต่หมายถึงเข้าไปเจรจา เข้าไปเปิดโต๊ะเจรจา ดีล ล็อบบี้กับทีมของฝั่งเจ้าบ้าน 6 ประเทศ 11 ประเทศ อะไรก็ว่าไป คือ ยิ่งเราเข้าไปยื่นข้อเสนอของเรา แล้วประชุมร่วมกับเขาเร็ว โอกาสที่เราจะได้ดีลที่น่าพอใจมันก็มีมากขึ้น มันเป็นเรื่องค่าเสียโอกาสด้วย)

    ส่วนทางด้านกรมวิชาการเกษตร จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น เขาก็พูดเรื่อง UPOV1991 และปัญหาสิทธิบัตรของนักปรับปรุงพันธุ์พืช (Breeder’s rights) อะไรทำนองนี้ซึ่งเป็นประเด็นกังขาของสังคมมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา อันนี้เขาก็ยืนยันว่าเกษตรกรไทยไม่เสียเปรียบแน่นอน

    เรื่อง UPOV1991 มันไม่ใช่การจับมือใครซื้อ มันก็แค่กติกาที่ถูกนำมาใช้คุ้มครองประเด็นลิขสิทธิ์ ใครทำอะไร ใครมีผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมา ก็ต้องสามารถมีสิทธิเหนือสิ่งที่ตนเองประดิษฐ์ หรือสร้างขึ้นมาก็ถูกแล้ว เหมือนทำเพลง เจ้าของก็ต้องจดลิขสิทธิ์เพลงตัวเองได้

    แล้วไม่ต้องกังวลว่าเกษตรกรไทยจะต้องซื้อของ ซื้อเมล็ดพันธุ์แพงขึ้น เพราะเขาไม่ได้บังคับให้ซื้อ และในตลาดเมล็ดพันธุ์มันมีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือกซื้อมาก ไม่ได้มีอยู่ร้านเดียว หรือบริษัทเดียว จะไปขอฟรีจากกระทรวงเกษตรฯก็ได้ หรือจะไปซื้อบริษัทที่ขายราคาถูกก็ได้

    ส่วนเรื่องเอาพืชพันธุ์พื้นเมือง หรือพันธุ์ท้องถิ่น พันธุ์ดั้งเดิมของไทยนี้ไปลักจดทะเบียน จดลิขสิทธิ์นี้เป็นเรื่องลวงโลกและปลุกปั่นทั้งนั้นครับ ไม่มีประเทศไหนเขายอมรับการทำแบบนี้อยู่แล้ว แม้ในประเทศกลุ่ม CPTPP ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ของพวกนี้มันได้รับการคุ้มครองอยู่แล้วโดยรัฐ และกฎหมาย

    ต้องทำความเข้าใจคำว่า “ปรับปรุงพันธุ์พืช” กันใหม่ ปรับปรุง ก็คือการเอาไปวิจัยและพัฒนา เข้าห้องแล็บ สมมติเอา X ไปเข้าห้องแล็บ ถ้าอยากจะเอา X ไปจดทะเบียนเป็นลิขสิทธิ์ของตัวเองได้ คนๆนั้นต้องทำให้ X ธรรมดา กลายเป็น X1 หรือ X2 X3 ก่อน คือทำให้มันมีความใหม่ ถ้าหลังออกจากห้องแล็บแล้วมันยังเป็น X อยู่เหมือนเดิม

    ก็ไม่มีสิทธิ์เอาไปจดทะเบียน เอาไปแสดงความเป็นเจ้าของ และมันต้องมีขั้นตอนกระบวนการพิสูจน์อีกยาว ว่าพืชที่ถูกปรับปรุงขึ้นมาใหม่นั้นดีจริง หรือแตกต่างจากของเก่าจริง คือมันไม่ใช่ทำกันง่ายๆครับ อันนี้ถ้าไม่เชื่อมั่นในรัฐบาล ก็ให้เชื่อมั่นในข้อมูลที่มีอยู่จริงเอา

    และอีกอย่าง กรณีที่คนกลัวคือ สมมติว่านายทุนต่างชาติเอาพืชที่มีอยู่แล้วไปพัฒนา ไปปรับปรุงแล้วสายพันธุ์มันดีขึ้น ให้ผลผลิตมากขึ้น แล้วเมล็ดมันจะมีราคาแพงขึ้น มันก็สมเหตุสมผลอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ คือคุณภาพมันดีขึ้น มันมีโอกาสจะทำให้เราได้กำไรมากขึ้นน่ะ

    ส่วนเรื่องเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อมาไว้ปลูกต่อเอง แล้วจะเอาไปขายได้ไหมนั้น ตรงนี้ให้คำนึงว่าตามปกติแล้วเวลาเราจะทำสัญญา หรือสนธิสัญญา ข้อตกลงอะไรต่างๆนั้นเรามีสิทธิเจรจา เรามีสิทธิยื่นข้อเสนอ ภาครัฐมีสิทธิทุกอย่างที่จะออกแบบการเจรจาและข้อเสนอว่าเราจะให้หรือไม่ให้

    (คือสมมติถ้าให้ชาวบ้านเก็บเมล็ดไว้ทำอะไรต่อมิอะไรได้ ก็ต้องมีการเจรจากันต่อว่าเราจะเยียวยา หรือชดเชยสิทธิของนักปรับปรุงพันธุ์กันอย่างไร เพื่อให้มันเข้ากับ Concept ของพวก UPOV ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องหลังจากเราเริ่มเจรจาไปแล้ว ผมบอกไว้เมื่อวันก่อนว่าเรื่อง FTA เรื่องกรอบการค้าไรแบบนี้ เรายื่นขอข้อยกเว้นกันได้)

    สำหรับทางด้านสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทยซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มนายทุนค้าเมล็ดพันธุ์นั้นเขาก็พยายามพูดสนับสนุนเรื่องการปรับปรุงพันธุ์พืชและความสำคัญของภาคเอกชนไปจนถึงการคุ้มครองสิทธิของนักปรับปรุงพันธุ์พืชว่า ถ้ามองในมุมของผู้ผลิต นักพัฒนา มันก็ควรจะมีสิทธิ มีการคุ้มครองให้แก่พวกเขา

    เพราะการพัฒนาสายพันธุ์พืช การปรับปรุงให้พืชมันมีผลผลิต มีการวิวัฒนาการที่ดีขึ้นอะไรพวกนี้มันมีค่าใช้จ่าย มีต้นทุน มีราคาของมันทั้งสิ้น และการปรับปรุงพันธุ์เป้าหมายก็เพื่อที่จะทำให้พืชเหล่านั้นมันได้รับการพัฒนาไปในทิศทางที่ดี เป็นประโยชน์ต่อคนทำเกษตรมากขึ้น

    เช่น ผลผลิตมากขึ้น แมลงไม่กัด ปลวกเพลี้ยอะไรไม่มากินใบ ไม่ป่วยเป็นโรคพื้นบางชนิด อะไรอย่างนี้ (สมมตินะ) การที่เราจะเขียนกติกามาเพื่อคุ้มครองสิทธิของพวกเขาในฐานะทรัพย์สินทางปัญญาชนิดหนึ่งก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือ ไม่งั้น เราก็จะต้องใช้พืชพันธุ์ที่มันอยู่กับที่ต่อไป

    พืชพันธุ์เนี่ย กว่ามันจะพัฒนา กว่ามันจะมีวิวัฒนาการได้เองตามธรรมชาตินั้นก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 500 ปี แล้วนะ (อันนี้ทางสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์เขาอ้างไว้นะ ผมไม่ใช่คนพูด) ดังนั้นต้องเห็นหัวนักปรับปรุงสายพันธุ์ พูดง่ายๆคือมันต้องมี Incentive มีแรงจูงใจน่ะ ไม่งั้นคนเขาก็จะเลิกปรับปรุงพันธุ์กัน เลิกทำวิจัย เลิกพัฒนา

    ส่วนทางฝ่ายของตัวแทนนักปรับปรุงพันธุ์พืชมืออาชีพนั้น เขาก็เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่าการปรับปรุงสายพันธุ์พืชนั้นมันยาก และใช้เวลา กว่าจะเอาออกมาขายได้นั้นต้องลงทุนปลูกเอง ศึกษาทำการทดลองด้วยตัวเอง พอทำการทดลองเสร็จจะเอาไปขายในตลาด ถ้าที่ตลาดเขาไม่รับ ทั้งหมดที่ทำมาคือจบเลยนะ

    ทุกอย่างกลายเป็น 0 พังทลายไปหมด หรือในกรณีที่ปรับปรุงพันธุ์ได้สำเร็จ ถ้าไม่มี UPOV หรือข้อตกลงที่ให้ความคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาต่อนักปรับปรุงพันธุ์พืชนั้น ชาวบ้านก็ขโมยพันธุ์กันแหลกลาญเหมือนเดิม สังคมไทย สังคมชาวบ้านนี้ มันสังคมของการเอื้ออาทร สังคมของน้ำใจ

    เดินๆดุ่มๆเข้ามาในสวน ละมาขโมยของที่นักปรับปรุงพันธุ์เขาทำการศึกษาไว้ พร้อมที่จะนำไปขายในตลาด มี Demand อะไรแล้ว ถ้าคนขโมยเอาไปจ้างแล็บทำต่ออีกทอดหนึ่ง ขายได้เหมือนกันด้วย ฟันกำไรสนุกเลย ไม่ต้องลงทุนทำการศึกษา ตรงนี้ต้องคำนึงด้วยว่าการมีความคุ้มครองอะไรพวกนี้มันไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อนายทุน

    เพราะในวงการเกษตรกรรมนั้นมันไม่ได้มีแต่นายทุนอย่างเดียวที่ทำวิจัยเป็น แต่ภาครัฐ ภาควิชาการ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษาที่ศึกษาเกี่ยวกับพืช ต้นไม้อะไรพวกนี้ เขาก็ทำวิจัยเหมือนกัน ถ้าไม่มีอะไรมาเป็นเกราะคุ้มครองสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา มันจะทำให้ไม่มีใครคิดจะทำวิจัย

    การไม่ทำวิจัย คือความเลวร้ายข้อหนึ่งเลย ผลก็เหมือนเดิม เราก็ต้องรอซื้อของฝรั่ง ของนายทุนต่างชาติเหมือนเดิม อย่างน้อย ถ้าเรามีข้อตกลง มีการคุ้มครองอะไรพวกนี้อยู่ มันก็เปิดโอกาสให้มีคนทำวิจัย พัฒนาพันธุ์พืชมากขึ้น ไม่ได้มีแต่นายทุน อันนี้ต้องเปิดใจฟังกัน นายทุนจะขายแพงช่างเขา เขาอาจจะลงทุนแพง

    แต่ก็อย่าลืมว่ามหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยเขาก็ทำวิจัยเพื่อประโยชน์สาธารณะกันอย่างเต็มที่เหมือนกัน เขาก็ควรได้รับการคุ้มครองด้วย อีกอย่างคือ การจดคุ้มครองพันธุ์พืชนี้มันยังช่วยป้องกันไม่ให้พืชหรือต้นไม้ พันธุ์ไม้ที่ไทยเราพัฒนาขึ้น ถูกนำไปใช้ ไปปลูกขายแข่งกับเกษตรกรภายในประเทศด้วย

    อย่างตอนนี้ประเทศเพื่อนบ้าน ข้างๆไทยเรานี้เขาเอาข้าวไรซ์เบอร์รี่ของไทยไปปลูกขายแข่งกับเราแล้วนะ ก็ลองพิจารณา และชั่งตวงวัดข้อดีข้อเสียกันดูครับว่าควรไหม ควรเจรจาไหม ควรเข้าไหม ผมไม่ว่าอะไรนะ ถ้าจะ No CPTPP กัน ขอแค่ลองเปิดใจรับข้อมูลจากทุกฝั่งก็พอ จะได้นำข้อมูลไปเปรียบเทียบเอา

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มีคนเคยตั้งคำถามกับประเด็นเรื่อง CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership) ที่กำลังเป็นประเด็นกันอยู่ในตอนนี้ว่า ในเมื่อประเทศไทยเรานั้นมีข้อตกลงการเปิดเขตการค้าเสรี (FTA) อยู่แล้วตั้งหลายฉบับทั้งกับเวียดนาม สิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย์ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์

    และล่าสุดก็กำลังจะมีร่วมกับชิลี และเปรูอยู่อีกด้วย ทำไมจึงยังต้องสนใจที่จะเข้าร่วมข้อตกลง CPTPP ที่รายละเอียดก็ยังไม่ค่อยชัดเจนกันอีกด้วย ทำไมเราไม่ไปเจรจาระดับทวิภาคีแล้วทำ FTA กับประเทศแคนาดา และเม็กซิโกเพิ่มเอาแค่ 2 ประเทศแทนล่ะ แค่นี้ก็จะครบประเทศกลุ่ม CPTPP แล้ว

    อันนี้เท่าที่ผมไปดูข้อมูลมาให้ คือ มันเป็นเรื่องของการกีดกันทางการค้าผ่านทั้งรูปแบบภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีครับ คือเวลาที่เราได้ยินเรื่องการส่งออก ส่งของไปขายยังประเทศคู่เจรจาของเขตการค้าเสรีนี้ มันจะมีกติกาอยู่ชุดหนึ่ง คือ กฎ Rules of Origin (ROO)

    ที่จะคอยเข้ามากำหนด ควบคุมว่าก่อนเราจะส่งของไปขายให้ประเทศคู่ค้าโดยใช้สิทธิกำแพงภาษีศุลกากร 0% นี้ เราได้ใช้วัตถุดิบ ชิ้นส่วน หรือส่วนประกอบที่มีต้นกำเนิด มีแหล่งผลิตมาจากประเทศคู่ค้าของเรามากเพียงพอที่จะเอาไปขายแล้วใช้สิทธิภาษี 0% แล้วหรือยัง

    ซึ่งกฎ ROO นี้จะเป็นตัวแปรหลักที่จะชี้ชัดว่าเราสามารถส่งของไปขายให้ประเทศใดบ้างแล้วจะไม่เสียภาษี หรือได้รับสิทธิพิเศษลดกำแพงภาษีให้เหลือ 0% โดยมีเกณฑ์กำหนด หรือระดับเพดานตั้งเอาไว้ว่า สินค้าชนิดไหน จะสามารถถูกส่งไปขายได้ในประเทศคู่ค้าของ FTA ที่เราทำเอาไว้

    พูดง่ายๆก็คือ เวลาเรามี FTA หรือทำ FTA ไว้กับประเทศใดประเทศหนึ่งนั้น มันไม่ใช่ว่าเราจะสามารถส่งของทุกอย่างที่เรามีไปขายในประเทศเขาได้ง่ายๆ แล้วเขาจะลดกำแพงภาษีให้เราเหลือ 0% นะครับ แต่เขาจะใช้กฎ ROO นี้เป็นตัวแปรควบคุมแทน ทำให้มีแค่สินค้าบางประเภทเท่านั้นที่เราจะสามารถส่งไปขายในบ้านของคู่สัญญา FTA เราได้

    สาเหตุที่เอาไปขายไม่ได้นั้น เพราะกฎ ROO นั้นตั้งกติกาของเกมการค้าเสรี เอาไว้ว่า การที่เราจะส่งของไปขายให้ประเทศคู่ค้าใน FTA ที่เราทำไว้ได้ ของสิ่งนั้น หรือสินค้าชิ้นนั้นๆจะต้องมีถิ่นกำเนิดในประเทศเรา หรือประเทศคู่ค้า FTA ของเราเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น

    สมมติ ถ้าเราทำ FTA ไทย-ญี่ปุ่นเอาไว้ แล้วเราอยากจะขายโทรศัพท์ Iphone ให้ญี่ปุ่น 1 เครื่อง กฎ ROO จะคอยกำหนดไว้ว่า Iphone เครื่องนั้น ต้องผลิตขึ้นในไทย หรือมีชิ้นส่วน ส่วนประกอบ วัตถุดิบที่ซื้อมาจากในไทยหรือไม่ก็ในญี่ปุ่นเป็นหลัก ในฐานะที่เรามี FTA กับญี่ปุ่น (JTEPA)

    ฉะนั้น เวลาจะขาย เราก็ต้องพิสูจน์ให้เขาได้ว่า Iphone เครื่องนั้นถูกผลิตขึ้นในไทย หรือผลิตโดยส่วนประกอบที่มาจากญี่ปุ่น อย่างน้อย 30% หรือ 40% ของตัวสินค้า (ตามแต่จะกำหนดไว้ในสนธิสัญญา อันนี้แล้วแต่สถานการณ์ว่าจะเป็นเท่าไร) ถ้าพิสูจน์ได้เราก็สามารถส่งไปขายในประเทศเขาได้โดยไม่ต้องติดกำแพงภาษี

    อันนี้งงไหมครับ ตามทันไหม อธิบายง่ายๆคือเวลาจะพิสูจน์ จะต้องจับแยกออกมาว่าโทรศัพท์เครื่องนั้น ชิ้นส่วนจำนวน 1,000 กว่าชิ้นที่ประกอบกันขึ้นมา เป็นชิ้นส่วนที่มาจากประเทศใดบ้าง ในจำนวนนั้นเกินกว่า 30% หรือ 40% มาจากในไทย หรือในญี่ปุ่นก็ถือว่าโอเค เอาไปขายได้

    ซึ่งพอมันมีไอ้กฎ ROO นี้ขึ้นมา การทำ FTA แบบเป็นคู่ๆ ประเทศใครประเทศมัน แยกเป็นทวิภาคเรื่อยๆ ไทย-เปรู ไทย-ญี่ปุ่น ไทย-แคนาดา ไทย-เม็กซิโก ก็จะกลายมาเป็นปัญหาผูกคอประเทศไทยทีหลังในอนาคตระยะยาว เพราะสมัยนี้ สินค้าชนิดหนึ่ง หรือสินค้าหลายๆประเภทที่ผลิตกันในอุตสาหกรรมนั้น

    มันถูกผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานระดับโลก หรือ Global supply chain ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ที่ถ้าเราอยากขายของให้ได้ปริมาณเยอะๆ เราจะทำ FTA แบบทวิภาคีอย่างเดียวไปเรื่อยๆ เลือกทำเฉพาะบางประเทศอย่างเดียว โดยไม่ได้ทำ FTA ในกรอบใหญ่อย่าง CPTPP หรือ EU ไม่ได้

    ผมยกตัวอย่างง่ายๆไทยเป็นประเทศอุตสาหกรรมการผลิต โรงงานในไทยมีเยอะใช่ไหมครับ เวลาเราจะผลิตชิ้นส่วนอะไรบางอย่าง หรือผลิตสินค้าชิ้นใหญ่ๆบางชิ้น แล้วเราจะส่งไปขายต่างประเทศ คุณคิดดูว่าชิ้นส่วนภายใน Iphone เครื่องหนึ่งมันมาจากกี่ประเทศ?

    ชิพมาจากประเทศไหน ทัชสกรีนหรือจอมาจากประเทศไหน แบตเตอรี่มาจากไหน แผงวงจรที่ถูกผลิตขึ้นและนำมาประกอบเป็น Iphone ในไทยนั้น มาจากประเทศไหน ถ้ายึดตามกฎ ROO นั้น เราแทบจะไม่สามารถส่งของไปขายประเทศคู่ค้าในกรอบ FTA ที่เราทำได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอะไรเลย ถ้าเราทำ FTA แยกประเทศ

    เราจะขายของยังไง ถ้าสมมติเราไม่เข้า CPTPP แต่เรามี FTA กับญี่ปุ่น คือ JTEPA และเราตัดสินใจเลือกไปทำ FTA กับแคนาดาเดี่ยวๆแยกเอา สถานการณ์มันจะออกมาในรูปแบบที่ว่าถ้าคุณสามารถขายของบางชิ้นให้ญี่ปุ่นได้โดยไม่โดนกำแพงภาษีของญี่ปุ่น ของชิ้นนั้นที่คุณขายให้ญี่ปุ่นก็อาจจะไปโดนกำแพงภาษีที่อื่น เช่นแคนาดาได้

    เช่นเดียวกัน ถ้าเราสามารถขายของให้แคนาดาโดยไม่โดนกำแพงภาษีที่แคนดา ตามกฎ ROO ได้ สินค้าชิ้นนั้นก็อาจจะไปโดนภาษีที่อื่น เช่นญี่ปุ่นได้ เพราะตามกฎ ROO นั้นเขาอาจกำหนดไว้ว่าประเทศคู่ค้าจะขายของให้แก่กันโดยไม่มีกำแพงภาษีได้ ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าชิ้นส่วนนั้นมันถูกผลิตขึ้น หรือมาจากในประเทศคู่ค้าของ FTA คู่นั้นๆ อย่างน้อย 30% หรือ 40%

    ** เพราะเขต FTA มันแยกฉบับกัน ไทย-ญี่ปุ่น ไทย-แคนาดา

    แต่ถ้าเราเข้าเขตการค้าเสรีในกรอบใหญ่ สถานการณ์มันจะกลายเป็นคนละม้วนเลย กฎ ROO นั้นสามารถนับรวมวัตถุดิบ หรือชิ้นส่วน ส่วนประกอบของสินค้าที่เราผลิตขึ้นได้ สมมติใน CPTPP กำหนดไว้ว่าสินค้าที่จะส่งไปขายให้ประเทศเหล่านี้นั้น ต้องมีถิ่นกำเนิด ต้องผลิตขึ้นในกลุ่มประเทศ CPTPP อย่างน้อย 30% อะไรอย่างนี้

    สินค้าจากไทยชิ้นไหนที่มีชิ้นส่วน มีส่วนประกอบ มีวัตถุดิบที่ถูกนำเข้ามาจากมาเลเซีย บรูไน เวียดนาม ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ แคนาดา หรือเม็กซิโก หรือในจำนวน 11 ประเทศที่เป็นภาคีสมาชิกของ CPTPP ก็จะสามารถส่งไปขายได้ นี่คือข้อได้เปรียบของการทำ FTA ในกรอบใหญ่ครับ เรียกว่ากรอบพหุภาคี (multilateralism)

    ถ้าเรามี CPTPP กับ 11 ประเทศนั้น โอกาสที่เราจะใช้ประโยชน์จากกฎ ROO มันจะมีสูงขึ้น และง่ายขึ้นครับ เพราะเราจะไม่ต้องกังวลเรื่องการคำนวน 30% หรือ 40% อะไรมากเท่ากับตอนทำ FTA แบบทวิภาคี คู่ใครคู่มัน เพราะกรอบ FTA มันใหญ่ขึ้น ถ้าเราอยากส่ง Iphone ไปขายที่มาเลเซียซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิก CPTPP

    แต่เราไม่มีชิ้นส่วนที่ผลิตในมาเลเซียถึง 30% หรือ 40% เราก็ยังสามารถส่ง Iphone ไปขายได้ เพราะเราอยู่ในกรอบ FTA เดียวกับที่มาเลเซียอยู่ คือ CPTPP เราสามารถผลิต Iphone ที่มีชิ้นส่วนมาจากเวียดนาม 10% มาจากญี่ปุ่น 10% มาจากแคนาดา 20% มาจากมาเลเซีย 5% ก็ยังได้ ขอแค่ให้รวม % เหล่านั้นให้ครบ 30% หรือ 40% ตามกฎ ROO ก็พอ

    ข้อเสียของ CPTPP สามารถอ่านประกอบได้จากเพจ BIOTHAI และ FTA WATCH เป็นหลักนะครับ เพราะทางฝ่ายนั้นเขาเขียนอธิบายไว้ดีอยู่แล้ว ผมคงไม่มีเวลาเอามาเขียนให้ ผมมีหน้าที่แค่ช่วยเสนอข้อมูลอีกชุด อีกด้านให้ทางผู้อ่านได้นำมาศึกษาเปรียบเทียบระหว่างข้อดี ข้อเสียกันเฉยๆ จะ Yes หรือจะ No อย่างไรแล้วแต่วิจารณญาณครับ

    ผมนำข้อดี หรือข้อสนับสนุนมาให้อ่านนี้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่ประเด็นใดประเด็นหนึ่งจะมีแต่ข้อเสียอย่างเดียว และอีกอย่างข้อมูลมันเยอะ ก็เข้าใจว่าหลายๆคนอาจจะไม่มีเวลาอ่านกัน พอดีผมมีข้อมูลจึงนำมาย่อยเป็นสารง่ายๆ แล้วช่วยเผยแพร่ให้ ไม่มีเจตนาจะบังคับให้ใครเชื่อแต่อย่างใด เพราะผมไม่สามารถบังคับให้ใครเชื่อได้อยู่แล้ว

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ช่วงที่รัฐบาลประกาศล็อคดาวน์เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนนั้น ผมมีเวลาว่างมากขึ้น เพราะออกไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องเก็บตัวอยู่แต่จังหวัดจังหวัดเดียว เลยมีเวลาว่างเพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะ บวกกับช่วงนั้นโลกออนไลน์อย่าง Facebook บรรยากาศมันไม่ค่อยคึกคัก มีแต่เรื่องไวรัส COVID-19

    ผมเลยลองเข้าไปเล่นใน Blockdit ดู เพราะเริ่มเห็นโฆษณาเกี่ยวกับ Blockdit เยอะมากขึ้นตามหน้านิวฟีด (จากเดิมที่เปิดตัวไปเมื่อประมาณช่วงปี 2018) เทียบกับช่วงนั้น จนถึงช่วงต้นๆปี 2019 ตอนนั้น Blockdit ถือเป็นแอพที่ค่อนข้างร้างนะ ผมเคยลองโหลดมาเล่นครั้งหนึ่ง น่าจะช่วงประมาณช่วงมีนาคมไม่ก็เมษายน 2019 แต่ก็ไม่ได้โพสต์อะไรอ่านอย่างเดียว

    แต่ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ เพราะปีที่แล้วผมก็ทำอย่างเดียวกัน คือ โพสต์ Content ลงบนเพจใน Facebook แล้วก็ก็อปข้อความและรูปภาพใน Content นั้นๆจาก Facebook ไปลงที่ตัว Blockdit อีกทอดหนึ่ง พอทำได้สักพัก มันไม่ค่อยมีคนเข้ามาคอมเมนต์ ผมก็เลยโพสต์น้อยลง จนลืมไปเลย ก็เลิกเล่นไปสักพัก

    จุดเปลี่ยนของกระแสความนิยมใน Blockdit นี้ผมไม่แน่ใจว่าเริ่มขึ้นตอนไหน อันนี้ไม่มีข้อมูลดิบ แต่คิดว่าน่าจะเริ่มในช่วงต้นๆปี 2019 ที่แอพ Blockdit มีจำนวนผู้ใช้เยอะขึ้น มีการประกาศเรื่องดาว 5 แฉก (โพสต์แล้วได้เงินจริงๆ) ตอนนั้นจึงน่าจะเป็นจุดเปลี่ยน จุดหักเหรอบแรกๆที่คนเริ่มค่อยๆหันเข้าไปหา Blockdit มากขึ้น

    จำได้ว่าตอนนั้นถึงขั้นมีคนโพสต์แชร์ทริควิธีการ ทำอย่างไรให้ได้ดาว หรือทำนองว่า “โพสต์ใน Blockdit อย่างไรให้ได้เงิน” อะไรทำนองนี้ แล้วหลังจากนั้นก็ทยอยเห็นโพสต์รีวิวการใช้ Blockdit อยู่เรื่อยมาจนมาล่าสุดปี 2020 เริ่มเห็นป้ายโฆษณาของ Blockdit ตามแผงของกรุงเทพมากขึ้น

    มี Ads ถูกยิงให้ขึ้นมาบนหน้านิวฟีดมากขึ้น ประจวบเหมาะกับช่วงไวรัส COVID-19 ระบาดกันพอดี คนออกไปไหนไม่ได้ ยอดจำนวนคนดาวน์โหลดตัวแอพ Blockdit ก็เพิ่มขึ้น เมื่อเดือนพฤษภาคมเห็นทางเพจ Official เขาลงไว้ว่าคนสมัครสมาชิกตั้ง 600,000 กว่าคนแล้ว (เพิ่มมาจากเดือนเมษายนกว่า 100,000 คน) มีผู้ใช้งาน Active ในตัวแอพอีก 350,000 คน

    ผมเลยลองกลับเข้าไปเล่นดู ก็เออ มันเปลี่ยนไปเยอะมาก คือมีเพจหลายเพจหน้าใหม่ๆ ที่ไม่ได้มาจากบน Facebook ค่อนข้างเยอะ บางเพจเปิดเพจของตัวเองใน Blockdit ก่อนที่จะเปิดใน Facebook อีก ที่สังเกตเห็นได้ชัดเลยจริงๆ คือ พฤติกรรมผู้อ่าน และผู้เล่นเปลี่ยนไปจากปีที่แล้วเยอะมาก

    มีการคอมเมนต์มากขึ้น มีการมีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้งที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น (และเข้ามาด่า หรือฝากเพจ ฝากร้าน ฝากติดตามอะไรทำนองนั้น) พูดง่ายๆคือ เริ่มมีความคึกคักมากขึ้น ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะตัวแอพได้รับความนิยมในวงกว้างมากขึ้นด้วย ฐานผู้ใช้งานเลยขยายตัวมากขึ้น

    ในฐานะที่ได้ใช้ ได้มีเวลาอยู่กับตัวแอพมาได้ร่วมๆ 3 เดือนตั้งแต่มีนาคม-เมษายน ผมว่าประเภทของ Content มันมีมากขึ้นนะ เมื่อก่อนตอนปี 2019 จะมีแต่เรื่องเงินๆทองๆ แนวคิดธุรกิจ การลงทุน การค้าขาย กับความรู้รอบตัว และประวัติศาสตร์ให้อ่านอย่างเดียว

    เดี๋ยวนี้มีทั้งนิยาย ฟิค สุขภาพ วิทยาศาสตร์ สงคราม ไลฟ์สไตล์ แนวคิดชีวิต สังคม ครอบครัว การท่องเที่ยว อาหารการกิน ไปจนถึงข่าวสารทั่วๆไป (เพราะสำนักข่าวหรือเพจข่าวหัวต่างๆในไทยก็เริ่มโดดเข้ามาร่วมเล่นใน Blockdit กันแล้วไม่ว่าจะ T-News, ไทยรัฐ, The Standard, สุทธิชัย หยุ่น และกรุงเทพธุรกิจ)

    คือมันมีความหลากหลาย และมีช้อยส์ให้เลือกเยอะขึ้นมาก และแต่ละเพจก็เขียนกันค่อนข้างยาวมาก แบบไม่กั๊กความรู้กันเลย (ซึ่งส่วนหนึ่งก็น่าจะเพราะทางแอพเขาตั้งกฎไว้ว่าถ้าโพสต์สั้นเกินไป หรือ ต่ำกว่า 200 คำลงไปจะไม่ได้ตังค์) ทีนี้พอเวลาโพสต์กัน หลายเพจก็เลยอัดทุกอย่างเข้าไปเต็มๆ

    บางโพสต์ก็ยาวมากกว่า 1,000 คำ บางโพสต์ก็ยาวทะลุ 2,000 คำ ซึ่งหาได้ค่อนข้างยากจากใน Facebook ส่วนใหญ่เท่าที่อยู่ในแวดวง Content มา คือมาตรฐานจะไม่ค่อยเกิน 1,000 หรือ 1,200 คำ (หรือไม่ก็ไม่เกิน 800 คำ) ไม่ค่อยหลุดจากคอนเซ็ปต์ของคอลัมน์สั้นๆคอลัมน์หนึ่งบนหนังสือพิมพ์เท่าไร อันนี้คือใน Facebook นะ

    ////////////////////////////////////////
    ** นอกเรื่อง: อันนี้เป็นเกร็ดความรู้นะ ส่วนใหญ่เวลาจะเขียนคอลัมน์ หรือทำบทความในหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่เขาจะมีเกณฑ์ว่าให้มีความยาวประมาณ 800-1,200 คำ เกินได้บวกลบได้นิดหน่อย แต่อย่าให้เกินมาก เพราะคนจะไม่ค่อยอ่านกัน

    หนังสือพิมพ์ต่างประเทศก็เหมือนกัน เวลาจะเขียนบทวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็จะขอไว้ว่าไมควรเกิน 800-1,000 คำ เพราะคนจะไม่ค่อยอ่านกันถ้ามันยาวเกิน โดยเฉพาะประเด็นที่ไม่ได้เป็นกระแสสังคมอยู่ขณะนั้น คนก็มีแนวโน้มที่จะอ่านกันไม่จบสูง
    ////////////////////////////////////////

    บางที 1,000 คำเนี่ยยังถือว่ายาวเกินไปเลยนะ ผมเคยเข้าไปส่องดูตลาดของกลุ่มขาย Content กัน เดี๋ยวนี้คนที่ทำเพจสาระ ทำ Content อะไรพวกนี้ หลายๆเพจเขานิยมทำกันไม่ค่อยเกิน 500-600 คำเอง ไม่ค่อยถึง 1,000 คำกัน เทียบกับใน Blockdit นี้ Content เกิน 1,000 คำผมว่ามีเยอะมาก บางคนเอานิยายมาลงเป็นตอนๆก็ 1,200-1,500 คำกันแล้ว

    แล้วจุดเด่นที่ผมเจออีกเรื่องหนึ่ง คือประเด็นเรื่องฐานผู้อ่าน และสภาพตลาดมันเป็นตลาดที่ Organic น่ะ Organic ยังไงรู้ไหม มันเป็นแอพของคนไทย ก็เลยมีแต่คนไทยที่เข้ามาใช้ คือในมุมของคนทำเพจ ทำ Content เนี่ยแน่นอนเราต้องอยากให้มีคนอ่านของเรา เขียนอะไรก็อยากให้มีคนอ่านจริงไหม

    แต่ถ้าคุณทำ Content บน Facebook ตลาดมันเป็น International เป็นตลาดสากล ใครเป็นรายย่อย ไม่มีทุนยิง Ads เป็นตัวเล็กๆเพิ่งโดดเข้ามาทำ Content ก็เหนื่อยกันเลือดตาแทบกระเด็น เพราะผู้ใช้ของ Facebook ส่วนใหญ่เขาไม่ได้ติดตามแค่ Content ของคนไทย เพจของคนไทยอย่างเดียว

    คนคนหนึ่งสมัคร Facebook เข้ามาแล้ว เขากด Like กด Follow เพจต่างประเทศไว้ไม่ต่ำกว่า 40-50 เพจ บางคนกดไว้เป็น 100 เป็น 1,000 เพจ ลองนึกสภาพว่าคุณเพิ่งเปิดเพจใหม่ เป็นมือใหม่ กว่าจะได้สัก 1,000 ไลค์ 1,000 ผู้ติดตามมันยากขนาดไหน เพราะต้องแข่งกับเพจฝรั่ง เพจต่างประเทศอีก

    ** แข่งในที่นี้หมายถึงแข่งกันสร้าง Content ให้ไปขึ้นหน้านิวส์ฟีดของคนเล่น Facebook อย่างบน Facebook นี้นะ ถ้าคุณจะทำเพจท่องเที่ยว เพจรวมรูปท่องเที่ยว ซึ่งตลาดมันวายจนไม่รู้จะวายยังไงแล้ว คุณไม่ได้แข่งแค่กับคนไทยด้วยกันอย่างเดียวนะ

    ถ้าคุณทำเพจท่องเที่ยวต่างประเทศคุณจะต้องแข่งกับ Blogger หรือ Influencer ชาวต่างชาติอีกไม่ต่ำกว่า 1,000,000 คนที่กระจายตัวกันอยู่รอบๆ Facebook แต่สำหรับ Blockdit มันเป็นแอพที่มีแต่คนไทยเล่น มันอุดปัญหานี้ให้แก่คนทำ Content ได้ คือ คุณจะสบายไปเยอะเลย

    อย่างน้อยคู่แข่งก็มีไม่มากเท่าบน Facebook ใครถนัดอะไร มีของดีอะไรก็กระโดดลงไปเล่นได้เต็มที่ ตอนนี้ตลาดมันยังไม่วาย และคู่แข่งมันไม่ค่อยเยอะ อย่างเรื่องสงคราม เรื่องการทหารอะไรพวกนี้ เพจ Bear Forum เขาก็ลงไปเล่น ก็มีกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดี แปบเดียวมีคนติดตามจะ 2,000 คนแล้ว

    ที่ผมจะบอกคือ เพจหลายๆเพจบน Facebook มันเป็นเพจที่ทำ Content เป็นภาษาไทย เนื้อหาเป็นภาษาไทย แต่คนบน Facebook เขาไม่ได้อ่านแต่ภาษาไทยน่ะครับ ถ้าคุณไปโพสต์บน Blockdit อย่างดี ถึงจำนวนคนใช้จะไม่มากเท่า Facebook แต่อย่างน้อย Content จะถูกเห็น และถูกอ่านโดยกลุ่มเป้าหมายในสัดส่วนที่มากกว่า

    เพราะมันมีระบบ Tag ให้เหมือนพวก Storylog พวก Fictionlog อะไรพวกนี้ ที่เวลาจะโพสต์มันจะมี Tag มีหมวดหมู่ให้เลือกว่าโพสต์เราเกี่ยวกับอะไร แล้วตัว Algorithm ของแอพก็จะจัดโพสต์เราให้เชื่อมไปหากับคนที่มีความสนใจตรงกับโพสต์และเนื้อหาของเราให้

    ดังนั้นมันช่วยทุ่นแรงคนที่ทำ Content หรือคนทำเพจไปได้เยอะมาก เพราะโพสต์แล้วถึงไม่ยิงโฆษณา ไม่ยิง Ads อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่ามันยังมีคนเห็นโพสต์เรา มันไม่เหนื่อยแบบทำเพจบน Facebook อะครับ ในมุมผม ท่อนนี้และย่อหน้าหลังๆนี้ผมไม่ได้อวยนะ แค่เล่าประสบการณ์ตรงของตัวเองเฉยๆ (แต่ใครจะว่าอวยก็ได้ ไม่ว่ากัน)

    คือ คนทำเพจสบายเลย ไม่ต้องไปกดยิง Ads อะไร ไม่ต้องขอร้องแฟนเพจให้กดแชร์ลงกลุ่ม 3 กลุ่มอะไรแบบนี้ โพสต์นี้ก็แนะนำในฐานะคนทำเพจ คนทำ Content นะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจ หรือใครก็ตามที่ชอบขีดชอบเขียน ก็สามารถลองไปดาวน์โหลดมาใช้กันดูได้

    ** ตอนนี้คนทำเพจทั้งหมดใน Blockdit มีประมาณ 40,000-50,000 กว่าคน/เพจ แต่คนที่ทำจริงๆจังๆ Active โพสต์บ่อยๆ มีคนอ่านเยอะๆจริงๆ มีไม่ถึง 1,000 คน/เพจเลย เท่าที่ผมสังเกตมานะ ก็ถือว่าแนะนำบอกต่อจากปากคนทำเพจด้วยกัน ปากต่อปาก เดี๋ยวผมแนบลิงค์ดาวน์โหลดไว้ข้างล่างเผื่อใครสนใจ

    www.blockdit.com/download

    (ถ้ามีเวลา เดี๋ยววันหลังผมมารีวิววิธีโพสต์อย่างไรให้ได้ดาวให้อ่านกันครับ)

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    26a0.png ด่วนนนน 26a0.png #สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกกำลังโดนเทขายอย่างแรง ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่ง -3% ในคืนนี้ ราคาน้ำมันดิบติดลบ -7% หลังทางสหรัฐอาจขึ้นภาษีการค้ากับทางยุโรป ประกอบกับโดนกดดันจากรายงาน GDP ของ IMF และตัวเลขของไวรัสระบาดใน Florida !

    1f1f9_1f1ed.png #SET #ตลาดหุ้นไทยพรุ่งนี้น่าจะเจอศึกหนักเช่นกัน

    ณ เวลา 22.50 น. ดัชนีหุ้น Dow Jones ติดลบ -800 จุดหรือ -3% ส่วนดัชนี S&P500 และ Nasdaq ก็ยังติดลบลงไปเกือบ -3% เช่นเดียวกัน ทางด้านราคาน้ำมันดิบ Brent ก็โดนเทขายลงไปกว่า -7% จนราคากำลังทดสอบแนวรับที่ 40 เหรียญแล้ว

    โดย #เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงโดยเทขายในคืนนี้นั้นมีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน

    31_20e3.png สหรัฐอาจขึ้นภาษีการค้ารอบใหม่กับทางยุโรป

    รัฐบาลสหรัฐกำลังชั่งน้ำหนักว่าควรจะขึ้นภาษีศุลกากรใหม่สำหรับการส่งออกสินค้าจากฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน และ สหราชอาณาจักร มูลค่ารวมกว่า 3.1 พันล้านเหรียญ โดยจะเป็นสินค้าในประเภท รถบรรทุก เครื่องบิน มะกอก เบียร์ จิน ชีส และ โยเกิร์ต

    ทังหมดนี้เพราะทางรัฐบาลทรัมป์ต้องการตอบโต้การที่ทางยุโรปอาจมีการช่วยบริษัท Airbus อย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นคู่แข่งของทางบริษัทประกอบเครื่องบิน Boing ของสหรัฐ

    32_20e3.png IMF ปรับลดคาดการณ์ GDP โลกของทั้งปีนี้และปีหน้าลง

    กองทุนการเงินระหว่างประเทศมองว่าผลกระทบของไวรัสโควิดต่อโลกเรานั้นจะยืดเยื้อนานกว่าที่คาดไว้เมื่อ 2 เดือนก่อน เพราะว่าจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจจากประเทศต่างๆที่ได้รับเข้ามาตลอดเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนนั้นแย่กว่าที่คาดการไว้

    โดยทาง IMF ได้ออกมายอมรับว่าตลาดหุ้นในปัจจุบันนั้นไม่ได้สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงเลยและปรับลดคาดการณ์ GDP โลกปีนี้คาดว่าจะติดลบ -4.9% จากที่เคยมองไว้ที่ -3.0% และปีหน้าจากที่มองว่าจะดีดตัวปรับขึ้นมาโตที่ +5.8% กลับหั่นลงมาเหลือ +5.4%

    33_20e3.png ความเสี่ยงของการระบาดไวรัสที่กระจายมากขึ้น

    ตัวเลขผู้ติดเชื้อในสหรัฐยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดยังสูงกว่า 30,000 รายต่อวันและทำให้เลขรวมขึ้นมาอยู่ที่ 2.34 ล้านราย โดยเฉพาะในรัฐ Florida, Texas, Californis, Arizona ที่กำลังเจอการระบาดแบบก้าวกระโดด โดยคืนนี้ตัวเลข Florica รายงานออกมาว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 5,508 รายในวันเดียว ! ทำให้ผู้ติดเชื้อในรัฐนี้ดีดสูงขึ้นเกินแสนรายแล้ว

    ความกังวลของเรื่องไวรัสระบาดในสหรัฐยังสูงขึ้นหลัง Dr.Fauci นั้นกล่าวว่าเขาเริ่มไม่สบายใจกับตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้นและคงต้องเรียกประชุมกับทางทรัมป์หลังจากไม่ได้คุยกันมาเป็นเวลา 2 อาทิตย์แล้ว

    #ต้องติดตามว่าทางแพทย์สหรัฐจะแนะนำให้ทรัมป์กลับมาปิดเมืองอีกครั้งหรือไม่

    26d4.png #ติดตามข่าวสารในตลาดอย่างรวดเร็วไปกับเพจเราได้ แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ ขอบคุณครับ 1f64f.png 1f60a.png

    #ทันโลกกับTraderKP
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    26a0.png Breaking 26a0.png IMF มองว่าผลกระทบของไวรัสจะยืดเยื้อนานกว่าที่คาดไว้ ! ปรับลดคาดการณ์ GDP โลกของทั้งปีนี้และปีหน้าลง ! ปีนี้คาดว่าจะติดลบ -4.9% จากที่เคยมองไว้ที่ -3.0% และปีหน้าจากที่มองว่าจะดีดตัวปรับขึ้นมาโตที่ +5.8% กลับหั่นลงมาเหลือ +5.4% !
    QO9rhw8EcNnnkICpVzitISC6HjsjPns8eSYsfXbf9gqEX&_nc_ohc=4DAdOwI6SN4AX_id5od&_nc_ht=scontent-sin6-2.png

    #ตลาดหุ้นสหรัฐเปิดตลาดมายังคงโดนกดดันอย่างต่อเนื่อง ดัชนีหลักๆยังคงเทรด -1.5% ในคืนนี้ แม้แต่ดัชนี Nasdaq ดัชนีหุ้น Technology ของสหรัฐที่เพิ่งทำ New High ไปใหม่เมื่อคืนนี้ก็ยังติดลบ -1% (เวลา 20.55น.)

    วันเดียวกันกับที่ทางแบงก์ชาติไทย 1f1f9_1f1ed.png เพิ่งปรับลดคาดการณ์ GDP ของประเทศเราลงเป็นติดลบ -8.1% จนถือเป็นเลขที่ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ไทยและส่งผลให้ตลาดหุ้น SET โดนเทขายลงมาเกือบ -30 จุด ในวันนี้ทาง IMF ก็ได้ออกมาปรับลดคาดการณ์ GDP โลก 1f30e.png เช่นเดียวกัน

    International Monetary Fund หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศมองว่าผลกระทบของไวรัสโควิดต่อโลกเรานั้นจะยืดเยื้อนานกว่าที่คาดไว้เมื่อ 2 เดือนก่อน เพราะว่าจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจจากประเทศต่างๆที่ได้รับเข้ามาตลอดเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนนั้นแย่กว่าที่คาดการไว้ แน่นอนว่ามาจากมาตรการ Lock Down ทั่วโลกที่ทำให้ภาคธุรกิจและการผลิตต้องปิดตัวลงไป (กราฟในคอมเม้นท์)

    ทาง IMF ได้ออกมายอมรับว่า #ตลาดหุ้นในปัจจุบันนั้นไม่ได้สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงเลย "“Financial markets seen as disconnected from economic outlook" Gita Gopinath หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF กล่าว เพราะผลกระทบจากตัวเลขจริงที่ได้รับนั้นแย่กว่าที่คาดไว้ในเดือนเมษายน

    อย่างไรก็ตามตัวเลขของทาง IMF ที่ปรับลด GDP โลกปีนี้ลงมาติดลบ -4.9% นั้นยังดีกว่าตัวเลขที่ทาง OECD หรือองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจออกมาคาดการณ์ไว้เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนว่า GDP โลกจะหดตัวลง -6% หากไม่เกิดการระบาดในรอบ 2 แต่ถ้าหากจะเกิดระบาด Wave 2 นั้นจะทำให้ GDP โลกหดตัวลงที่ -7.6% เลยทีเดียว !

    โดยหากเกิดการระบาด Wave 2 ที่ตลาดกำลังกังวลและเป็นตามที่ OECD คาดจริงๆ GDP โลกในปีนี้จะติดลบหนักกว่าช่วง The Great Depression (ปี 1930s) หรือสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี 1940s) ที่ GDP ต่างหดตัวลงเฉลี่ยที่ -7% ในช่วงนั้น และ #จะเป็นการติดลบที่ลึกที่สุดเท่าที่โลกเราเคยเจอมา

    1f4cc.png รายละเอียดของการปรับลดคาดการณ์ GDP ของแต่ละประเทศ

    1f1fa_1f1f8.png สหรัฐ ปรับลงเหลือ -8% จากเดิม -5.9%
    1f1ea_1f1fa.png ยุโรป ปรับลงเหลือ -10.2% จากเดิม -7.5%
    1f1e8_1f1f3.png จีน ปรับลงเหลือ +1.0% จากเดิม +1.2%

    26d4.png ติดตามทุกความเคลื่อนไหวการลงทุนและเศรษฐกิจโลกไปกับเพจเราได้

    ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “#เห็นโพสต์ก่อน” หรือ #SeeFirst ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ ขอบคุณครับ 1f64f.png 1f60a.png

    #ทันโลกกับTraderKP


     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    MisterBan

    June 25, 2020 ตลาดหุ้นสหรัฐตกต่ำหนัก ทุบดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดิ่งเหวกว่า 700 จุด ราคาน้ำมันดิบปิดทรุดกว่า 5% ฉุดราคาไนเม็กซ์ปิดต่ำกว่า 39 ดอลลาร์ ราคาทองคำตลาดโลกปิดร่วงกว่า 7 ดอลลาร์
    เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน (ตามเวลาในสหรัฐ) ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดที่ระดับ 25,445 จุด -710 จุด หรือ -2.72% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,050 จุด -80 จุด หรือ -2.59% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 9,909 จุด -222 จุด หรือ -2.19% สาเหตุจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในทวีปอเมริกาและเอเชียใต้
    ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 38.01 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.36 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -5.85% ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 40.29 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.29 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -5.5% สาเหตุจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ในสหรัฐพุ่งขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล ทำสถิติเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ความกังวลในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ติดเชื้อพุ่งต่อเนื่อง
    ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,775.10 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -7.20
    ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ สาเหตุจากการขายทำกำไรระยะสั้น หลังจากทำสถิติราคาทองคำสูงสุดรอบกว่า 7 ปี หรือตั้งแต่ธันวาคมปี 2012 เป็นต้นมาเมื่อคืนงานก่อน ท่ามกลางการประเมินสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในทวีปอเมริกาและเอเชียใต้
    #ลงทุน #สตาร์ทอัพ #การเงิน #หุ้น #ทองคำ #น้ำมัน #ตลาดหุ้น #เล่นทอง #ราคาทอง #ดิจิทัล #markets #business #stock #gold #oil #investment #misterban #เศรษฐกิจ #เล่นหุ้น #btimes

    v7uUYjE8QVlvQ5pFDzZ1QY4rZ12GawpVh7MVDzioZQfjl&_nc_ohc=6MsPSzETE58AX-s1AR2&_nc_ht=scontent-sin6-1.jpg

    aBDCyhff7TV6oxYRqeC1ol1GWwddEa9BqP-5aAA6T_jg3&_nc_ohc=4tbhmx9lqT4AX87SS-m&_nc_ht=scontent-sin6-1.jpg

    WSmpQyRAc1GBl6cp9Afq_7p7KVRR2FsFIIMt1J2YY8yuH&_nc_ohc=1aOHZMsc4JgAX_7Eihl&_nc_ht=scontent-sin6-1.jpg

    lTytJbcF7EUbg9pBED84ReCtZjSJHfeGIeh9W_2rycKdp&_nc_ohc=kv9d4HNMN44AX_dI2gQ&_nc_ht=scontent-sin6-1.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...