ถูกด่าดูถุกต่างๆทำอย่างไรครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย monkeyswilf, 14 ธันวาคม 2013.

  1. monkeyswilf

    monkeyswilf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +122
    ถูกด่าดูถูกต่างๆนาๆจริงบ้างไม่จริงบ้างจากญาติพี่น้องบ้างคนอื่นๆบ้างเราไม่โต้กลับพยามยามอดกลั้นแต่ในใจกลับคิดโกรธเกลียดทำอย่างไรดีครับไห้ประครองสติไว้ไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาท บางทีอยากร้องไห้ที่พวกคนเหล่านั้นดูถูกเราทั้งๆที่เราไม่เคยทำอะไรเขา
     
  2. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    เคยเป็นเหมือนกัน ถ้าเจอ เรื่องแบบนี้ เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะต้องรู้สึกโกรธเกลียดบ้าง ดูความโกรธไปเลยมันมาให้เห็นแล้ว ความโกรธทำให้พื้นจิตดูกร่าง แข็งกระด้าง ตรงกันข้ามกับเมตตาที่ ทำให้จิตดูอ่อนน้อม อ่อนโยน
    แผ่เมตตาให้คนพวกนั้นไปเลย กรวดน้ำให้ด้วย
     
  3. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ignore คะ เรารู้ตัวเราเองดีที่สุดคะว่าเราเป็นอย่างไร คนอื่นจะรู้หรือไม่นั้นไม่มีความสำคัญคะ ถ้าเราฟังคนด่าทั้งโลกเราก็บ้าตายแน่คะ

    ครั้งหนึ่ง ณ แคว้นปัญจาละที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นโกศล มีกรุงโกสัมพีเป็นเมืองหลวง เมื่อพระพุทธองค์เข้าไปในเมือง ทรงถูกเหล่าชนมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งได้รับสินจ้างจากพระนางมาคันทิยาผู้ผูกอาฆาตในพระพุทธองค์ ติดตามด่าประจานเฉพาะพระพักตร์(ต่อหน้า) ด้วยถ้อยคำชั้นต่ำ หยาบช้า ไม่ใช่ผู้ดีในทุกที่ทุกแห่งที่เสด็จไป จนท่านพระอานนท์ทนฟังไม่ไหว ได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่าควรจะเสด็จหนีไปเมืองอื่นเสีย

    มูลเหตุที่นางมาคันทิยาผูกอาฆาตพระพุทธเจ้า เกิดจากเมื่อตอนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปโปรดแสดงธรรมแก่บิดาและมารดาของนางมาคันทิยา(ตอนนั้นยังเป็นเด็กรุ่น) เมื่อบิดามารดาของนางคันทิยาเห็นพระสิริโฉมอันหล่อเหลางดงามที่สุดของพระพุทธเจ้า ก็ถูกอกถูกใจนักหนา จึงประสงค์จะยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของพระพุทธองค์ แต่พระพุทธเจ้ากลับตรัสตอบว่า

    พราหมณ์....เมื่อได้เห็นนางตัณหา นางราคา และนางอรดี ซึ่งทรงความงามเหนือสามโลก เราก็หาพอใจแต่น้อยไม่ ก็ทำไมเล่าเราจะพอใจในสรีระแห่งธิดาของท่านซึ่งเต็มไปด้วยมูตรและคูถ พราหมณ์เอย อย่าว่าแต่จะให้แตะต้องด้วยมือเลย เราไม่ปรารถนาจะแตะต้องธิดาของท่านแม้ด้วยเท้าหรอกนะ

    พระดำรัสตอนสุดท้ายของพระผู้มีพระภาคนี้ เป็นเสมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงบนใบหน้าของบุตรีพราหมณ์ นางรู้สึกร้อนผ่านไปหมดทั้งร่าง

    สำหรับสตรีสาว อะไรจะเป็นเรื่องเจ็บปวดยิ่งไปกว่าการเสนอตัวให้ชาย แล้วถูกเขาเขี่ยทิ้งอย่างไม่ไยดี ดังนั้นนัยน์ตาซึ่งเคยหวานเยิ้มของนาง จึงถูกเคี่ยวให้เหือดแห้งไปด้วยไฟโทสะใบหน้าซึ่งเคยถูกชมว่างามเหมือนจันทร์เพ็ญนั้น บัดนี้ได้ถูกเมฆคือความโกรธเคลื่อนเข้ามาบดบังเสียแล้ว

    นางผูกใจเจ็บในพระศาสดาสุดประมาณพระตถาคตเจ้าสังเกตเห็นกิริยาอาการของนางโดยตลอดแต่หาสนพระทัยอันใดไม่ ทรงแสดงอนุปุพพิกถา พรรณนาถึงเรื่องทาน ศีล ผลแห่งทาน ศีล โทษของกาม และอานิสงส์แห่งการหลีกเร้นออกจากกาม ที่เรียกว่า เนกขัมมะ ฟอกอัธยาศัยแห่งพราหมณ์และพราหมณี จนทรงเห็นว่ามีจิตอ่อน ควรแก่พระธรรม เทศนา ชั้นสูง แล้วพระผู้มีพระภาคก็ทรงประกาศ สามุกกังสิกาธรรมเทศนา คือ อริยสัจ ๔ ประหนึ่งช่างย้อมผู้ฉลาด ฟอกผ้าให้สะอาดแล้วนำมาย้อมสีที่ตนต้องการพระธรรมเทศนา จบลงด้วยการสำเร็จมรรคผลของพราหมณ์และพราหมณี พระพุทธองค์เสด็จลุกจากอาสนะ ทิ้งมาคันทิยคามไว้เบื้องหลัง มุ่งสู่ชนบทอื่นเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ต่อไปด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด ในการที่จะแก้แค้นพระศาสดา เครื่องมือในการใช้ความพยายามของนางมีอย่างเดียวคือความงาม เมื่อมีความพยายาม ความสำเร็จยอมตามมาเสมอและในความพยายามนั้น ถ้าจังหวะดีก็จะทำให้สำเร็จเร็วขึ้นดังนั้นต่อมาไม่ช้านัก นางได้เป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทนแห่งโกสัมพี โดยวิธีใดไม่แจ้ง นับว่าได้เป็นใหญ่เป็นโตพอที่จะหาทางแก้แค้นพระศาสดาได้โดยสะดวก ดังนั้นเมื่อนางทราบว่า พระตถาคตเจ้าเสด็จมาโกสัมพี นางจึงยินดียิ่งนัก จึงจ้างบริวารของนางบ้าง ทาสและกรรมกรบ้าง ให้เที่ยวติตตามต่าพระศาสดาทุกมุมเมือง ทุกหนทุกแห่งที่พระองค์ทรงเหยียบย่างไป ด้วยวัตถุเป็นเครื่องบริภาษ 10 ประการ ซึ่งถือว่า หยาบคาย บาดหูอย่างรุนแรงที่สุดในยุคสมัยนั้น คือ ?เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นบ้า เจ้าเป็นอูฐ เจ้าเป็นวัว เจ้าเป็นลา เจ้าเป็นสัตว์นรก เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน สุคติของเจ้าไม่มี และเจ้าหวังได้ทุคติอย่างเดียว..ฯลฯ

    แม้พระพุทธองค์ซึ่งเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบแล้วจะไม่ทรงรู้สึกหวั่นไหวไปตามคำด่าคำว่าของคนทั้งหลาย แต่พระอานนท์กลับทนมิได้ จึงกราบทูลแนะนำไปว่า

    พระองค์ผู้เจริญ อย่าอยู่เลยที่นี่ คนเขาด่ามากเหลือเกิน
    จะไปไหน อานนท์ พระศาสดาตรัส
    ไปเมืองอื่นเถิดพระเจ้าข้า สาวัตถี ราชคฤห์ สาเกต หรือเมืองไหนๆ ก็ได้ ที่ไม่ใช่โกสัมพี
    ถ้าเขาด่าเราที่นั่นอีก
    ก็ไปเมืองอื่นอีก พระเจ้าข้า
    ถ้าที่เมืองนั้นเขาด่าเราอีก
    ไปต่อไป พระเจ้าข้า

    อย่าเลย อานนท์ เธออย่าพอใจให้ตถาคตทำอย่างนั้นถ้าจะต้องทำอย่างเธอว่า เราจะไม่มีแผ่นดินอยู่

    มนุษย์เราอยู่ที่ไหนจะไม่ให้มีคนรักคนชังนั้น เห็นจะไม่ได้เรื่องเกิดขึ้นที่ใดควรให้ระงับลง ณ ที่นั่นเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป อานนท์ เรื่องที่เกิดขึ้นแก่ตถาคตนั้นจะไม่ยืดยาวเกิน ๗ วัน คือจะต้องระงับลงภายใน ๗ วันเท่านั้น..."
    แล้วพระพุทธองค์ก็ตรัสต่อไปว่า

    "อานนท์...เราจะอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่น เหมือนช้างศึกก้าวลงสู่สงคราม ต้องทนต่อลูกศรซึ่งมาจากทิศทั้ง ๔ เพราะคนในโลกนี้ส่วนมากเป็นคนชั่ว คอยแส่หาแต่โทษของผู้อื่น เธอจงดูเถิด...พระราชาทั้งหลายย่อมทรงราชพาหนะตัวที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ชุมนุมชน เป็นสัตว์ที่ออกชุมนุมชนได้ อานนท์เอยในหมู่มนุษย์นี้ ผู้ใดฝึกตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้ จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด ม้าอัสดร ม้าสินธพ พญาช้างตระกูลมหานาคที่ได้รับฝึกแล้ว จัดเป็นสัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ แต่คนที่ฝึกตนดีแล้วยังประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้น"

    ดูก่อน อานนท์ ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกัน เพราะเห็นว่าพอสู้กันได้(ยังถือว่าธรรมดาๆ) แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตน เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด
    ผู้มีความอดทน มีเมตตา ยอมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เปิดประตูแห่งความสุขความสงบได้โดยง่าย สามารถขุดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้ คุณธรรมทั้งมวล มีศีล สมาธิ เป็นต้น ยอมเจริญงอกงามแก่ผู้มีความอดทนทั้งสิ้น

    ในที่สุด ทาสและกรรมกรที่พระนางมาคันทิยาว่าจ้างมาด่าพระมหาสมณะก็เลิกราไปเอง เพราะเขาทั้งหลายรู้สึกว่าเขากำลังด่าเสาศิลาแท่งทึบ ซึ่งไม่หวั่นไหวเลย

    ความพยายามของพระนางมาคันทิยาเป็นอันล้มเหลวอาวุโส..พระศาสดาเคยตรัสไว้ว่า

    ภูเขาศิลาล้วนยอมไม่หวั่นไหวด้วยลมจากทิศทั้ง ๔ ฉันใด บัณฑิตยอมไม่หวั่นไหว เพราะด่านินทาและคำสรรเสริญฉันนั้น

    และที่สุด ผลกรรมก็ตามทันพระนางมาคันทิยาอย่างสาสมที่สุด ภายหลังจากที่พระนางมาคันทิยากลั่นแกล้งพระศาสดาไม่สมประสงค์ก็หันมาริษยาหาโทษให้พระนางสามาวดี พระนางถูกกล่าวหาหลายเรื่องจนพระเจ้าอุเทนทรงเชื่อ และจะประหารชีวิตพระนางสามาวดี แต่พระองค์ทรงทราบข้อเท็จจริงภายหลัง จึงสั่งประหารชีวิตพระนางมาคันทิยาพร้อมทั้งบริวารและญาติ ด้วยวิธีที่ทารุณอย่างยิ่ง นั่นก็คือการขุดหลุมฝังพระนางมาคันทิยาพร้อมด้วยบริวารผู้สมคบคิดแล้วเผาทั้งเป็นก่อนที่จะใช้ไถคราดจนอวัยวะทั้งปวงขาดกระจุยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างน่าสยดสยองที่สุด พระนางมาคันทิยาจึงจบชีวิตลงด้วยกรรมที่พระนางก่อขึ้นเองด้วยอาการดังนี้
     
  4. porozaza

    porozaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +104
    อดทน...และ ช่างมัน ครับ
     
  5. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ถ้าว่า เขาด่าหรือดูถูกในเรื่องที่เป็นจริง ก็นึกขอบคุณเขาว่า ช่างวิเศษจริงหนอ ที่เขาช่วยชี้ขุมทรัพย์ให้..แล้วพิจารณาปรับปรุงแก้ไขตนให้ดีขึ้นตามความถูกควรแห่งธรรม...ย่อมช่วยบรรเทาโทสะของเขาเหล่านั้นได้บ้าง...เขาก็จะยุติการด่าทอดูถูกลงได้ในภายหน้า...

    ถ้าเขาด่าและดูถูกในเรื่องไม่จริง ก็ให้เข้าใจว่าเขาด่าใครก็ไม่รู้ ไม่ใช่เรา ไม่เอาตัวไปเป็นเป้ารับคำด่าหรือดูถูกนั้น ไม่ใส่ใจกับเสียงเหล่านั้นอีก เพราะเสียงด่าย่อมจบหมดลงทันทีที่เจ้าของคำด่าพูดจบไปแล้ว..ให้เจริญกรุณาแก่ชนเหล่านั้นต่อไปว่า ..นี่เองคือผลของบาปกรรมที่"เรา"ก็เคยล่วงมาแล้ว เคยด่าดูถูกใครๆด้วยโทสะไม่มียั้ง จึงต้องมาได้ยินเสียงที่ไม่น่าปรารถนาน่าอึดอัดขมขื่นเป็นผลในเวลานี้ ..ขอเขาทั้งหลาย อย่าได้ต้องถูกทุกข์แผดเผาเพราะมิจฉาวาจาเหมือนเราในเวลานี้เลย...

    ทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า อารมณ์ต่างๆที่ตนต้องปนะสบพบเจอนั้น ล้วนมีมาจากสาเหตุทั้งนั้น ไม่ได้เกิดเพราะฟลุคหรือเฮงซวยเองโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ปัญญาที่เข้าใจในเหตุผลที่ถูกตรงจะช่วยให้ตนเข้าใจปัญหาและที่มาได้ ทั้งจะสามารถคิดแก้ไขได้ด้วยความเหมาะสม..ไม่หลงก่อบาปเวรภัยเพิ่มเติมให้มากขึ้น โดยอาศัยเหตุเก่าที่ตนทำไว้ไม่ดีมาเป็นฐานอีก..

    อีกประการหนึ่ง ไม่มีใครด่าดูถูกใครได้ตลอดเวลาตลอดไป เพราะไม่เวลาใดเวลาหนึ่งเขาก็คงมีเวลาที่มีใจดี คิดเกื้อหนุนช่วยเหลือปรองดองกับท่านจขกท บ้างกระมัง....ลองคิดถึงเวลาที่ร่าเริงบรรเทิงพร้อมกันดูบ้างเถิด บางทีจะเลิกน้อยใจที่พวกเขาดุเอ็ดเอา(ด้วยความหวังดี)บ้าง นะครับ...

    คนเราอายุสั้นนัก ไม่เขาก็เราต้องตายจากกันในวันหนึ่งแน่นอน รักกันไว้ดีกว่าสร้างศัตรูเพิ่มโดยไม่จำเป็น..

    เป็นกำลังใจให้พ้นโทมนัสได้ด้วยดีครับ
     
  6. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    สาธุ ไม่ไม่ใครที่มีแต่คนรักคนชม

    ทำดี แต่ไม่ได้หวังให้ทุกคนมารักมาชม ทำดี ใครจะด่าก็เรื่องของเขา คนทำดีก็ยังโดนด่า คนทำชั่วก็ยังโดนชม

    นินทาสรรเสริญโลกธรรม 8 อยู่ที่กายดีกว่า อยู่กับปัจจุบัน
     
  7. thitiwats

    thitiwats เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    744
    ค่าพลัง:
    +4,414
    คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก
    .......
    อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ
    ไม่ชอกซ้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน
    แม้พระปฏิมายังราคิน
    ก็ไม่สิ้นคนนินทา
    ......
    หากเขาด่าเราไม่ผิดถือว่าเขาถมน้าลายรดฟ้า
    .......
    หากแต่เป็นการดูถูกควรขอบคุณเพราะคำพูดนั้นเป็นกำลังใจให้เราได้ต่อสู้
    .......
    และคิดเสียว่าอย่างไงก็ไม่มีใครที่ทำให้เราสูงและต่ำนอกจากตัวเรา
     
  8. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    “......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    ความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญเมตตาในบุคคลนั้น ๑
    ความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญกรุณาในบุคคลนั้น ๑
    ความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญอุเบกขาในบุคคลนั้น ๑
    ความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงถึงการไม่นึกไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น ๑
    ความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงนึกถึงความเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน ให้มั่นในบุคคลนั้นว่าท่านผู้นี้เป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใดไว้ดีก็ตามชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นดังนี้ ๑.... พึงระงับความอาฆาตในบุคคลนั้นด้วยประการฉะนี้


    อาฆาตวินัยสูตร ที่ ๑ ป. อํ. (๑๖๑)
    ตบ. ๒๒ : ๒๐๗ ตท. ๒๒ : ๑๘๙
    ตอ. G.S. III : ๑๓๗"

    84000.org
     
  9. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    เวลาเขาด่าเราก็พิจารณาตาม

    ถ้าเขาด่าถูกต้องเป็นความจริง เราก็นึกเตือนตัวเองว่า เออจริง เราไม่ควรทำ เราจะปรับปรุง ไม่ทำอีก ขอบตุณที่เตือน

    ถ้าไม่เป็นจริง เราก็นึกเตือนสติเราว่า ไม่จริง ไม่ใช่ ด่าใครไม่รู้ ไม่ใช่เราจะโกรธทำไม ไม่เหนื่อยก็ด่าไปสิ ไม่ใช่ฉัน ฉันไม่เดือดร้อน

    นึกเตือนตัวเองไปพร้อมปลงไปด้วย นั่นเห็นไหมพอโกรธก็เป็นยักษ์เป็นมารหน้าตาขมึงทึงน่ากลัว เสียงก็ดัง กิริยาก็หยาบคายไม่น่าดู พอโกรธมาก ๆ เข้าความดันขึ้น โรคก็ำเริบดีไม่ดีเส้นเลือดแตกตายไปตอนนี้ไปนรกแน่ ๆ

    พระอาจารย์ฝั้น ท่านสอนลูกศิษย์ไว้สรุปความโดยรวม ๆ ว่า เวลาเขาด่าให้เอาผ้าเช็ดหน้าห่อไว้ กางผ้าเช็ดหน้าออกเขาด่าคำหนึ่งเราก็พับเข้ามุมหนึ่ง พับห่อไว้จนพับไม่ได้ให้แก้ออกดูมันมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง มันก็ไม่มีอะไร แล้วจะไปเต้นไปเจ็บตามทำไม เหนื่อยเปล่า ๆ คนด่าเขาก็เหนื่อย เราไปเต้นตามเขาเราก็เหนื่อย
     
  10. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    โดนด่าโดนนินทาบ่อย ทำอย่างไร?

    ถ้าโดนด่าโดนว่าโดนนินทาบ่อยๆ
    ก็ควรจะเริ่มชินชาได้แล้ว
    และหยิบจับเอาธรรมเหล่านั้นมาพิจารณา
    (การถูกด่า ก็เป็นธรรม,ธรรมชาติ)
    วางเฉยต่อคำทั้งปวง
    เพราะมันมาตามเวลา มันมาเป็นปรกติ
    ห้ามไม่ได้แน่นอน จะไปแคร์ทำไม

    ดูคำด่า ดูคำนินทา มันเกิดขึ้นไม่ได้ง่ายๆ
    ผู้ที่ใช้คำด่า หรือคำนินทา สภาพจิตต้องเป็นอกุศลจริงๆ
    ผู้พูดออกมาทุกข์กว่าเรา เขาถึงต้องระบายออก
    เราอย่ารับเอาของเสียที่เขาระบายมาไว้ในตนก็พอ

    ลองไปด่าหมา หมามันยังไม่โกรธ
    เพราะคำด่าไม่ได้ทำให้เจ็บ
    แต่ที่เจ็บกันเพราะเราไม่พอใจที่เขาด่าเรา
    เพราะคิดอยู่เสมอ ว่าเขาไม่มีสิทธิมาด่าเรา
    ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง จึงไม่พอใจ มันเลยทุกข์


    ถ้าเขาด่า แล้วเราไม่ได้ยิน เราก็ไม่ทุกข์
    นั่นก็ชัดเจนว่า การถูกด่า ก็ไม่ทำให้เจ็บปวด
    แม้เขาด่าเราไปนานมากๆแล้ว
    และเขาก็เลิกด่าเลิกคิดไม่ดีกับเราไปแล้ว
    แต่เรามารู้ทีหลัง เราก็ดันไม่พอใจ ทุกข์ขึ้นมาได้
    ไม่ใช่ว่าคำด่านั้น ออกผลไม่จำกัดกาล
    แต่ควายึดมั่นของเรา มันมีผลอยู่เสมอ

    ทุกข์อยู่ที่ตัวทำเอง
    คนทำเราเขาทุกข์อยู่
    เราจะไปทุกข์ตามเขาทำไม

    หากความทุกข์เกิดในจิตแล้วอายุสั้นไปหนึ่งวัน
    ก็เท่ากับ กำลังบั่นถอนชีวิตตนเองกัน
    พวกเขาจะตายไวแน่แท้
    แต่เราจะไปตายไวตามเขาทำไม
    รักตัวเองก็อย่าเก็บมาใส่ใจ
    อย่ายึดมั่น ว่าเขาไม่ควรด่าเรา
    อย่ายึดมั่น ว่าเขาด่าเราไม่ได้
    ปากเขา เราห้ามไม่ได้
    อยากด่าก็ให้ด่าไป
    ส่วนเราหากเผลอไปยึดไปจับความยึดมั่นนั้นไว้
    ก็ให้รีบปล่อย ก่อนมันจะทำให้เจ็บ
    ไฟที่โดนมือแว้บเดียว มือไม่ทันพังหรอก
    แต่คนที่ไม่ชักมือออกจากไฟสิ โง่แน่
    การปล่อยวาง การไม่ยึดมั่นนั้น
    ไม่ใช่เพื่อใคร เพื่อตัวเองล้วนๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2013
  11. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    แต่ก่อนก็โดนเหมือนคุณเลยค่ะ โดนเป็นสิบๆปี จนอาฆาตพยาบาทมาก
    แต่เพราะอะไรไม่รู้ อาฆาตแล้วคิด มันเป็นตามที่คิดทันที
    ตอนนั้นก็เสียใจ แต่พอถูกกระทำอีก ก็เป็นอีก

    ตอนหลังคือตอนนี้กลับมาคิดได้ว่าไม่น่าอาฆาต ฉุดตัวเองลงต่ำ
    และทำให้กรรมติดตัวเลย ถ้าคุณไม่โกรธ ไม่สนใจได้
    คนที่ทำสิ่งไม่ดีไว้กับคุณเขาย่อมจะได้รับสิ่งนั้นไปเอง

    ถึงเวลามันจะเฉยได้เอง เมื่อถึงเวลากรรมดีส่งผล มันจะไม่ไปรู้สึกไม่ดีเองค่ะ
    ทำกุศลไว้ตลอด อกุศลจะเข้าไม่ได้ สวดจักรพรรดิ์ตลอดเวลาก็ได้

    เห็นกับตาในตอนนั้นขณะสวดจักรพรรดิ์ ว่าเขาหยุดและเดินออกห่างไปเอง
    ทั้งๆที่ตั้งใจเดินมาว่า มาทำร้ายกัน
    อีกคนก็พูดจากระทบกระแทกแดกดันโวยวาย แต่เราไม่ได้ยิน
    เกิดหลายอย่างมาก อย่าเสียเวลาอาฆาตเลย
    ถึงไม่ให้อภัยก็รักษากำลังใจให้เฉยไว้
    อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ ชนะใจตนเองดีกว่าค่ะ
     
  12. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    ของคุณยังน้อยนะ...
    เราโดนขนาดแกล้งส่งเจ้ากรรมนายเวรมาตามทวงหนี้ก่อนกำหนดเลยทีเดียว 555+

    พอดีเจอพวกมีวิชาอาคมแกร่งกล้าอ่ะนะ โดนทั้งผีพรายที่เลี้ยงไว้ ทั้งกุมาร ฯลฯ
    แต่ถ้าวิบากกรรมดีมาส่งผล คนพวกนี้เขาก็ทำยาก เขาจะทำช่วงเราดวงตกเท่านั้น
    อยากแกล้งก็ยากขึ้น (ถ้าคุณไม่โกรธตัวนี้ตัวเดียว ใครก็ทำอะไรคุณยาก)
     
  13. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    ไม่ต้องส่งมาลองหรอกค่ะ ไม่ได้เก่ง แต่มันปวดหัวนะ
    และที่สำคัญ ไม่คิดทำคืนหรอกค่ะ เชิญตามสบาย
     
  14. monkeyswilf

    monkeyswilf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +122
    ผมจะนำทำตามที่คุณทุกท่านแนะนำคับขอขอบคุณที่ช่วยเหลือ
     
  15. chaiwat88

    chaiwat88 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +275
    ถูกเขาด่า ยังดีกว่าถูกทำร้าย
    ถูกเขาทำร้าย ยังดีกว่าถูกหมายเอาชีวิต
    ถูกเขาหมายเอาชีวิต ยังดีกว่าพาเราไปทำความชั่ว
     
  16. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    ดิฉันก็เคยโดน ถ้าเราไม่ใช่ก็อย่าไปรับค่ะ ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ก้มหน้ารับกรรม(ถ้ามี) ให้เหลือน้อยที่สุด

    และ หัวเราะทีหลัง มักดังกว่าเสมอ อิอิอิอิอิอิ
     
  17. makigochan

    makigochan ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    6,247
    ค่าพลัง:
    +68,059
    คำแนะนำ ของแต่ละท่านนั้น ชอบแล้วค่ะ

    มากิขอยกบทกลอนนี้มาให้ก็แล้วกันนะคะ



    ใครรักใครชัง ช่างเถิด

    ใครเชิด ใครชู ช่างเขา

    ใครด่า ใครบ่น ทนเอา

    ตัวเรา ร่มเย็น เป็นพอ

    อนุโมทนา สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2013
  18. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    ข้าพเจ้าเองเพิ่งสวดคาถาจักรพรรดิ์ได้ไม่กี่วัน
    เนื่องจากโดนมนต์ดำเหมือนกัน
    ก่อนสวดเหมือนโดนสถานการณ์บีบคั้นเราให้ตกไปสู่สถานการณ์ที่ต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นอกจากทำให้เราป่วย
    ระบบหายใจเรามีปัญหาแล้วก็เหมือนมีพลังอะไรบางอย่างที่ทำให้ง่ายต่อการมีปากเสียงกับคนด้วย
    แต่ข้าพเจ้าสวดชินบัญชรเก้าจบและคาถาจักรพรรดิแค่วันเดียวก็เห็นผล
    สถานการณ์เปลี่ยนไปทันที แม้โดนแกล้ง โดยพยายามชงให้คนมาทะเลาะกับเรา
    ก็สามารถพลิกสถานการณ์เป็นฝ่ายได้เปรียบ คนแกล้งแพ้ภัยตัวเอง คิดอย่างไรก็ได้กลับไปหาตัวเองอย่างนั้น
    สภาพแวดล้อมรอบตัวก็เปลี่ยนไป อะไรๆ มันดูง่ายและราบรื่นไปหมด
    แต่ข้าพเจ้าไม่ได้อาศัยการสวดมนต์อย่างเดียว นะ
    รักษาศีลประจำ อาจมีละเมิดบ้าง เช่นเผลอตบยุง (ด้วยความสะใจ)
    แต่ไม่ละเมิดเลยก็คือข้อสาม (แม้แต่ความคิด)
    พยายามรักษาสัจจะ พูดอย่างไรต้องทำอย่างนั้น ให้ได้
    การรักษาศีล นอกจากทำให้จิตใจสะอาด ปราศจากเรื่องวิตกกังวล จิตเป็นสมาธิแล้ว
    จะทำให้จิตใจมั่นคง เข้มแข็ง มีพลัง และทำให้คุณมีสติ ซึ่งมันจะแปรออกมาเป็นบุคลิกภายนอก
    อีกอย่างคืออย่าบ่มเพาะนิสัยชอบตัดสินคนอื่น จับผิด การทำอย่างนั้นบ่อยๆ เหมือนขังตัวเองไว้ในกรอบความคิดที่ไม่ดี
    และจะยิ่งดึงเอาคนทีีมีพฤติกรรมในแบบที่คุณไม่ชอบ หรือสถานการณ์ที่คุณเกลียดเข้ามาหาตัวคุณได้ง่าย
    (เรื่องของการเปลี่ยนความคิดลบ และผลที่เกิดขึ้นนี้ อยากให้คุณอ่าน "กฏแห่งแรงดึงดูด" ดู จากประสบการณ์ของตัวเอง ข้าพเจ้าว่ากฏนี้เป็นจริง)
    และเรื่องความกตัญญู เป็นแก่นของชึวิตเลย
    แม้จะทำความดีมากมาย แต่ไม่มีความกตัญญู ก็เหมือนเป็นความดีที่สูญเปล่า
    ความดีอื่นๆ มากมายที่ทำ มันดูไม่มีความหมายไปหมด
    สิ่งเหล่านี้ล้วนสัมผัสได้จากจิตใจของเราเอง
    คือจะบอกว่า แม้จะสวดมนต์ แต่ถ้าความดีอื่นๆ ไม่มีพลังมากพอ ก็อาจทำให้ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2013
  19. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,611
    ค่าพลัง:
    +2,882
    ใช่ๆๆ ถ้าเค้าพูดถูก เราก็ต้องเอามาปรับปรุง แต่ถ้ามันไม่ใช่ก็ปล่อยให้ผ่านไป

    ใครทำอะไรไว้ก็รับผลเอง เรานี่ก็มีคนอิจฉามาเรื่อยๆ แต่แปลกยิ่งทนได้เรายิ่งเจริญ
     
  20. i คนพิการ

    i คนพิการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +172
    โกรธเค้าจิตเราก็ร้อน แม้ยามนอนก็เป็นทุกข์ ถือว่ามันเป็นวิบาก คือผลของกรรมไม่ดี ที่เราเคยได้กระทำไว้ ซึ่งต้องเป็นเราเป็นคนอื่นที่จะรับผลกรรมนี้แทนเราไม่ได้เลย แก้กรรมด้วยการอดกลั้น ไม่ทำกรรมที่ไม่ดีอย่างเดิมอีก ด้วยการอโหสิให้แก่ผู้ที่ทำให้เรารู้สึกโกรธหรือไม่สบายใจ คนเราอยู่ด้วยกันอีกไม่กี่ปีก็จากกันแล้ว เกิดมาเพื่อรับผลกรรม และขัดเกลากิเลส..สู้ๆค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...