ทวนกระแสกรรม โดยสมเด็จโต พรหมรังสี

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย miracledharma, 21 พฤศจิกายน 2016.

  1. miracledharma

    miracledharma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +44


    ...ตกลงนิพพานไปถึงไหนแล้ว ...นิพพานมองว่าไกลมาก แต่ถ้าใครทำตัวให้นิ่ง จิตให้นิ่งบ่อยๆ พิจารณาอยู่บ่อยๆ มีหลักแล้ว นั่งลง ไม่นั่ง ก็นอนก็ดี ยืนก็ดี เดินก็ดี นั่นแหละจ้ะผู้ที่จะเห็นนิพพาน แต่ผู้ยังเดินหาหลักอยู่ ไม่มีทางเห็น เพราะว่านิพพานไม่ได้อยู่ไหน นิพพานก็อยู่ในจิตในใจ พระไตรปิฎกทั้ง 84000 พระธรรมขันธ์ก็ไม่ได้อยู่ไหน อยู่ในกายนี้ ตอนนี้โยมยังไม่เห็นพระไตรปิฎก โยมยังไม่เห็นทางเดิน โยมยังไม่เห็นมรรค โยมยังไม่เห็นนิโรธ โยมยังไม่เห็นพระไตรปิฎกหรือธรรม แต่ว่าฉันเอามาให้ ขนมาให้ เพียงโยมก็ถาม โยมก็เปิดอ่าน โยมยังเปิดไม่เป็น ฉันก็เปิดให้ เมื่อโยมเปิดเป็นแล้ว เข้าใจแล้ว โยมก็เปิดของตัวเองบ้าง พระไตรปิฎกนั้นไม่ได้อยู่ในวัดนะจ๊ะ เพราะไม่มีใครไปเปิดอ่านหรอกจ้ะ แต่มันเป็นอานิสงส์ให้มนุษย์นั้นได้สร้างบุญกุศล แต่ถ้าใครไปติดในตำรา ก็ไปไม่ได้

    เพราะว่าพระไตรปิฎกสรุปย่นย่อออกมาแล้วนั้น มันมีแต่ทุกข์ ว่าด้วยมนุษย์ ด้วยความอยากของมนุษย์ ว่าด้วยทุกข์ สุดท้ายว่าด้วยมันไม่เที่ยง สุดท้ายไม่มีตัวตน แม้ธรรมทั้งหลายก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แสดงว่าทุกอย่างเป็นเพียงสมมติบัญญัติขึ้นมา ถ้าใครเห็นอริยสัจ 4 ผู้นั้นจะเดินข้ามสมมติบัญญัติได้ นั่นแหละจ้ะ เมื่อโยมเดินข้ามมันได้บ่อยๆ คือไม่สนใจอารมณ์นั้นบ่อยๆ ที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ แต่ก่อนจะเดินข้ามมัน ต้องพิจารณาซะก่อน ถ้าโยมไม่พิจารณาแล้ว โยมจะไม่รู้ว่าสิ่งที่โยมเห็นนั้นน่ะมันคืออะไร ถ้าโยมไม่ไปรู้จักตัวโง่ก่อน ปัญญาโยมจะเกิดไม่ได้ ถ้าโยมไม่เห็นความมืดก่อน โยมก็ไม่รู้ว่าความสว่างมันเป็นแบบใด มันมายังไง

    ดังนั้นโยมต้องเห็นตนก่อน เมื่อเห็นตน โยมก็จะเห็นผู้อื่น เช่นว่า เห็นว่าตนนี้มีอารมณ์แบบนี้ มีความอยากแบบนี้ ผู้อื่นเขาก็มีแบบเรา เมื่อเราเห็นแบบนี้ ผู้อื่นเขาก็เป็นแบบนี้ ถ้าเราให้อภัยตนได้ เราย่อมเมตตาให้อภัยผู้อื่นเขาได้เช่นกัน แต่ถ้ายังหลงตนอยู่ ยังพอใจตนอยู่ เราเห็นใครก็ยังพอใจคนอื่นเขาร่ำไป ดังนั้นจะดับทั้งหลาย ดับเหตุ ดับอะไร ตัดกรรมต้องตัดที่ใจ ต้องดับที่กายตัวนี้ โยมถึงจะไป มีทางเดินไปสู่สวรรค์นิพพานได้ นิพพานไม่ได้ไปยากเลย แต่อุบายล่อหลอกให้มนุษย์ที่ลุ่มหลงนั้นจะไปทางนี้ มันจึงต้องมีอุบายแห่งธรรม

    นายพรานเขายังมีกับดัก มีหลุมพราง เอาหญ้าปกคลุมไม่ให้เห็น นั่นคืออวิชชา คือตัวล่อหลอก หลุมพรางทางเดินแห่งธรรมก็ต้องมีเช่นกัน ดังนั้น ผู้ใดฝึกจิต ไม่สนใจในเวลา แม้กลางคืนและกลางวัน ผู้นั้นสามารถข้ามพ้นสมมติบัญญัติได้เร็ว ถ้าบอกว่าตอนนี้มันราตรี ไม่เหมาะแก่การบำเพ็ญ ไม่จริง ใครจะมาปฏิบัตินั้น หรือจะพิจารณาธรรมนั้น ไม่จำกัดกาล ถ้าโยมมีความพอใจ จิตมันรู้ตื่นเบิกบานแล้วไซร้ นั่นแหละจ้ะ จิตมันพร้อมแล้วที่โยมจะเข้าสู่สวรรค์ และสวรรค์นั้น ที่ตั้งแห่งสวรรค์นั้น ไม่ได้ตั้งอยู่ที่ไหน หรือยอดเขาลูกใด แต่ตั้งอยู่ในจิตในใจของโยม ถ้าจิตของโยมนั้นเกิดบุญกุศล แสดงว่าโยมได้เสวยวิมานแล้ว

    เมื่อจิตมันสว่างจ้าเมื่อใด วิมานข้างบนที่โยมมีอยู่นั้นก็สว่างเช่นเดียวกัน ดังนั้นจิตนี่แหละจ้ะที่สำคัญ ใจที่เป็นประธานแห่งกรรม ที่จะส่งผลให้จิตหรืออารมณ์นั้นที่เกิดขึ้นมาในขณะจิตสุดท้ายที่โยมจะไป ดังนั้น การเจริญภาวนาจิตนี้เพื่อให้จิตนั้น ใจนั้น มันรู้ตื่นอยู่ตลอดเวลา ให้ระลึกรู้เท่าทัน ก่อนจะดับกายสังขาร ดังนั้นการฝึกสติ ฝึกความเพียรก็ดี ความอดทนอดกลั้นก็ดี เพื่อให้เรานั้นมีสติที่มั่นคง ไม่ลุ่มหลง ดังนั้น โยมต้องมีสติที่ตั้งมั่น ไม่ต้องดูอะไรมาก ดูในขณะนี้ว่าจิตโยมนั้นเบิกบานแค่ไหน บางคนก็ใกล้จะไป ใช่มั้ยจ๊ะ

    บางคนก็บอกว่าหลับๆ ตื่นๆ นี่คือสภาวะอารมณ์ บางคนก็บอกว่าไม่รู้ตื่น ไม่รู้หลับ แต่มันไม่มีสติ นี่เขาเรียกความเคลิบเคลิ้ม นิวรณ์มันกำลังเข้ามา เพราะว่าอะไร มันเป็นเวลาของมนุษย์ที่เสวยกามสุข กามคุณ คือความติดอยู่ในสุข และถามดูสิว่ากายนี้ ในขณะนี้มันใช้พลังงานมากหรือไม่ ที่โยมมานั่งฟังธรรมอยู่ในขณะนี้ เปล่าเลย ใช่มั้ยจ๊ะ มันไม่ได้ไปแบกหามอะไร แต่ทำไมมันหนักเล่าจ๊ะ ทำไมกายมันถึงหนัก นี่เป็นคำถามที่โยมต้องตอบ ใช้ปัญญา โยมไม่ได้แบกหาม แต่ทำไมกายตอนนี้มันถึงหนักได้ ทำไมทำให้จิตใจมันว้าวุ่นรำคาญใจ เช่นว่าโยมแบกของหนักมา โยมก็อยากจะถึงที่หมาย อยากจะวาง อยากจะทุ่มทิ้งแล้ว เพราะรู้สึกมันหนักเหลือเกิน

    สภาวการณ์ที่ว่าจิตที่มีนิวรณ์เข้ามาปนเปื้อนสิงสู่ สภาวะมันเกิดแบบเดียวกัน มันรู้สึกว่ามันหนัก มันหน่วง ตาจะห้อยแล้ว ไปแล้ว มันเกิดจากอะไร ทำไมมันถึงหนัก อะไรมันไปถ่วงไว้ มันหนักมั้ยจ๊ะ เพราะว่ามันสะสมมาเป็นภพเป็นชาติ เป็นร้อยเป็นพันชาติ เมื่อมันมาพร้อมกันน่ะ มันมาเป็นกองทัพ มันมาเป็นโขยง เมื่อมันมาสำทับอารมณ์โยม มันก็เข้าร่างทรงอยู่อย่างนั้น บางคนทรงนิ่งเลย เพราะอะไรจ๊ะ เพราะมันขาดสติ ไอ้พวกเข้าทรงนี่มันขาดสติหมดล่ะจ้ะ นิ่งเลย ถ้าทรงญาณสิจ๊ะ ทรงสมาธิสิจ๊ะ ยังมีสติอยู่ ดังนั้นของจริง ของปลอม จึงแยกกันไม่ออก ฉันไม่ได้มาเข้าร่างเข้าทรงให้โยมดู แต่ฉันนั้นกำลังมาทรงสมาธิ ทรงญาณ

    โยมต้องพิจารณาด้วยปัญญา ดังนั้นในขณะที่โยมนั้นเกิดนิวรณ์ จงให้มีสติกำหนดรู้ หากว่ามันไม่ไหวด้วยกายสังขาร ก็ให้กำหนดรู้และประคองจิตไว้ เมื่อโยมไปกำหนดรู้แล้ว ประคองไว้นั่นแล้ว มันจะตั้งมั่นอยู่ ถึงแม้มันจะคงสติไม่ได้มากมายนัก แต่สติส่วนหนึ่งมันยังคงอยู่ เมื่อโยมรู้บ่อยๆ รู้ตื่นบ่อยๆ กำลังแห่งจิต แห่งสมาธิ เมื่อมันเพิ่มพูนขึ้นมา ต้นไม้ที่มันเฉา อุปมาเหมือนได้รดน้ำค้าง มันจะค่อยฟื้นตัวขึ้นมาๆ แต่ถ้าโยมไม่หมั่นไปดูแลมัน มันเฉาแล้ว สงสัยมันจะตาย ก็ให้มันตายไป นั่นแหละจ้ะ มันเป็นกิเลสตัณหาที่เกาะกิน แต่ถ้าโยมค่อยๆ เคาะมัน รู้ว่ามันเฉาแล้ว ต้องไปหาเหตุ มันเฉาเพราะอะไร ทำไมไม่โดนแดดมันถึงเฉา ก็ไฟไงล่ะจ๊ะ

    โยมน่ะมีไฟกัน 3 กอง ไฟสามกองนี้มันเผาทุกวัน กลางวันกลางคืนมันก็ไม่หยุดเว้น วันพระ วันราชการก็ไม่มี มันทำงานทุกวัน ไฟสามกอง มันเฉาทุกวัน แต่ถ้าโยมกำหนดรู้ได้ ระงับไฟนี้ได้ จิตก็จะมีการเติบโตได้ องค์ฌานไงล่ะจ๊ะเติบโต องค์ฌานคืออะไร ไปเพ่งรู้ไงล่ะจ๊ะ ตัวสติมันจะตื่น ถ้าโยมมันเฉา ให้มันเผาตลอด โอกาสมันจะตื่นมีมั้ยจ๊ะ พอตื่นมาอีกแล้ว ใบเหี่ยว กว่าจะงอกใหม่อีก แล้วอีกกี่ภพล่ะจ๊ะกว่าจะพ้น ถ้าเปรียบอุปมาเหมือนดอกบัว 4 เหล่า เต่าปูปลามันกินหมดอะ ใช่มั้ยจ๊ะ มันมีช่วงเวลาของมัน กรรมก็เหมือนกัน

    ในเวลาราตรีนี้เหมาะแก่การบำเพ็ญจิตเพราะเหตุใด เพราะว่าไฟนี้มันดับ ไม่เห็นภาพใช่มั้ยจ๊ะ บ้านโยมน่ะตอนกลางคืนโยมเปิดไฟมั้ยจ๊ะ (เปิดเจ้าค่ะ) เปิดมากมั้ยจ๊ะ (ไม่มาก) บางคนปิดทั้งบ้านเลยเพราะว่าไม่ได้จ่ายไฟ ดังนั้น ยามราตรีนี้เหมาะแก่การประพฤติจิต ภาวนาจิต แต่คนต้องมีความเพียรความศรัทธา เพราะเหตุใดเล่า เพราะว่าเมื่อจิตนั้น มันรู้แล้วว่าเราควรทำอะไร เพราะในขณะนั้นมนุษย์มันต้องพักผ่อน เพราะอะไรจ๊ะ เพราะว่ากามคุณมันมา เพราะเป็นธรรมชาติแห่งมนุษย์

    ในพุทธกาล องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตื่นรู้ขึ้นมาเห็นนางสนมทั้งหลายนั้น นอนเกียกกาย เสื้อผ้าหลุดลุ่ยรุ่งริ่ง น้ำลายไหล ไอ้ตอนที่เห็นว่างามนั้นยังครองสติอยู่ แต่พอสติไม่อยู่แล้ว กลับวัดไปแล้ว ไม่รู้มันเอาอะไรมาให้เห็น เกิดปลงสังเวช มันลอกคราบตอนกลางคืน เพราะอะไรจ๊ะ เพราะมันไม่มีสติ เพราะว่าไอ้ตัวสติไอ้ตัวกิเลสมันก็มีตัวหลงในตัวมันเอง มันมีจุดบอดทั้งนั้น แม้พระอาทิตย์ก็ยังมีจุดดับ มนุษย์ยังมีจุดดับของมัน จุดบอดจุดอ่อนมันมีกันทั้งนั้น

    ถ้าใครทวนกระแสกรรมนี้ได้ จิตโยมจะแข็งแรง และนี่คือการย่นระยะทาง ทำงานกลางคืน ไม่เหนื่อย แต่ต้องทนกับนิวรณ์ ทำงานตอนกลางวัน ไม่ง่วง แต่ต้องทนกับความร้อน ใช่มั้ยจ๊ะ ดังนั้น ถ้าโยมฝึกจิตให้ทั้งวันกลางคืนเป็นเหมือนเวลาเดียวกันได้ อินทรีย์ ขันติบารมีมันจะมีความมั่นคงแข็งแรง ดังนั้น ในยามราตรีนี้มันเป็นเวลาที่พญามารหรือนางมารมันพักผ่อน เราเอาเวลาช่วงนั้นมาหาความจริงกับมัน มาถอนคำสาปกับมัน ดังเช่นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเดินออกในยามราตรี ไปกับเมฆหมอกที่มันปกคลุม เรียกว่าเมฆหมอกมนตรา เพราะท่านสงสัยว่า ทุกข์นั้นมันมีอยู่ได้ ทางพ้นทุกข์ต้องมี นี่คือความเชื่อ เมื่อท่านมีความเชื่อ ก็ต้องแสวงหาในสิ่งนั้นที่สงสัย ว่ามนตรา คำสาป ที่มนุษย์มันเกิดและตายอยู่อย่างนี้ มันมีหนทางหรือไม่ที่ไม่ต้องเกิดและไม่ต้องตาย

    ดังนั้นเวลานี้ที่โยมมาประพฤติกัน ถ้าจิตโยมตื่นอยู่ตลอดเวลาได้ โยมก็เข้าใกล้สวรรค์ แตะนิพพานแล้ว ฉันจึงจำเป็น เป็นปฐมเหตุที่ต้องการสร้างเมืองพรหมรังสีขึ้นมา เมื่อโยมไปอยู่ชั้นพรหมได้ อีกไม่นาน มันก็ต้องไปถึงสภาวะความไม่มีตัวตนได้ คือทิ้งตนได้ รู้ตนได้ ตัดสังโยชน์ ดับขันธมาร ในกองทุกข์ได้ เมืองพรหมรังสีนี้จะมีผู้ที่มีบุญ มีบารมีที่สะสมมาแล้ว ถึงจะไปอยู่ได้ คือต้องมีเชื้อพรหมเท่านั้น

    มนุษย์บอกว่า อ้าว แล้วถ้าฉันยังมีกิเลสมากมายอยู่ กิเลสนั้นเป็นธรรมดาของมนุษย์ในกายหยาบ แต่ในกายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ในกายหยาบนี้ กายพรหมนี้ มันอยู่จิตใต้สำนึกจริงๆ ที่มันยังไม่ถูกเปิดออก เพราะว่าอะไรเล่าจ๊ะ เพราะมันยังไม่เคยถูกฝึกนั่นเอง มันยังดิบอยู่ แต่ถ้าถูกฝึกแล้ว เขารู้วาสนาบารมีของตัวเองแล้ว เขาจะรู้ทันทีว่าเขานั้นไปได้หรือไม่ได้ ขออย่างเดียว อย่าดูถูกตัวเอง เพราะมันจะทำให้ตัวของตัวเราเองนั้นหมดกำลังใจ มันไม่ต่างอะไรกับพวกขอทาน ขอทานนี่เขามีแต่วันขออย่างเดียว เขาคิดว่าขอแล้วมันสบาย นี่เรียกวรรณะจัณฑาล ผู้ที่ดูถูกตัวเอง ดูแคลนตัวเอง ไม่เคยให้กำลังใจตัวเอง ไม่คิดจะทำตัวเองให้มันดีกว่านี้ มันก็อยู่แต่สภาวะเดิมๆ แบบนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผู้ใดจะเปลี่ยนแปลงได้ ต้องกำหนดรู้ก่อนว่ามันต้องมีหนทางดีกว่านี้หรือไปได้ มันถึงจะเห็นชอบได้ แล้วมันจะมีการดำริขึ้นมาได้

    ถ้ายังไม่เห็นชอบแล้ว ปัญญายังไม่บังเกิด มันจะอยู่แบบเดิมๆ ทำอยู่อย่างนั้น มันไม่เกิดปัญญา อย่างนี้เรียกว่าพวกที่โง่ เขลา ต้องเป็นเหยื่อของพวกที่เขารู้ก่อน เอาง่ายๆ ตอนนี้เป็นยังไงกันบ้างล่ะจ๊ะ เป็นธรรมดาที่จิตบางคนยังไม่เคยถูกฝึก เมื่อไม่เคยถูกฝึกแล้ว มันไม่เกิดความชำนิชำนาญหรือเกิดความชิน บางคนถูกด่าอยู่บ่อยๆ ก็ชิน ก็โดนด่าได้ บางคนอดหลับอดนอนอยู่บ่อยๆ ก็ชิน แต่การอดหลับอดนอนนั้น ไม่ใช่แปลว่าผู้นั้นเป็นผู้ที่มีปัญญาหรือมีสมาธิที่ดี เพราะว่ามันมีความอยาก โยมอาจจะทำงานด้วยกาย ด้วยแรงกายของโยมนั้น เพื่อต้องการเงินตราหรืออัฐเบี้ย เพื่อมาหล่อเลี้ยง นั่นคือตัวล่อของโยมที่ทำให้โยมนั้นอยู่ได้ แต่การที่โยมจะมาเจริญจิต หรือพัฒนาจิตเจริญปัญญานี้ โยมต้องมีตัวล่อเช่นเดียวกัน คือโยมต้องมีความเชื่อเสียก่อน ปลูกฝังเข้าไปในจิตวิญญาณ โยมต้องศรัทธาตัวเองซะก่อน

    ดังนั้น ความเชื่อและศรัทธามันจึงมาคู่กัน เช่นว่าครั้งหนึ่งที่ฉันเป็นบรรพชิต ฉันก็เชื่อว่าทางเดินขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไปได้จริง ฉันเชื่อว่าพระพุทธองค์นั้นท่านมีจริง ท่านตรัสรู้จริง เมื่อเราเชื่ออย่างนั้น ฝังไปในจิตวิญญาณ เราก็จะมีกำลังใจ เดินตามต้นแบบ แบบอย่างนั้นไป ดังนั้นถึงบอกว่าพระสงฆ์นั้นเป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นที่พี่งอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้จะไปพึ่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็พึ่งได้ยากแล้ว เพราะโยมห่างไกลกันเหลือเกิน จะไปพึ่งธรรม ก็ไม่รู้ว่าธรรมนั้นพึ่งได้หรือไม่ จะพึ่งสงฆ์ก็ไม่รู้ว่าสงฆ์นั้นดีหรือไม่ ตกลงไม่มีอะไรดีเลย แสดงว่าไอ้ผู้นั้นก็ยังไม่ดี โยมต้องมองตัวเองให้ได้ซะก่อน ถ้าโยมมองตัวเองว่าดีแล้ว โยมถึงจะมองคนอื่นเขาดีได้

    โยมต้องมีดีซะก่อนในตัว ก็คืออะไรจ๊ะที่บอกว่าดี คือต้องมีศีลซะก่อน ศีลนั้นวัดคนว่าดีหรือไม่ดี ธรรมบ่งบอกถึงบารมี เรียกว่าคุณธรรม บ่งบอกถึงบารมี ดังนั้นโยมต้องรู้ซะก่อนว่าศีลโยมน่ะเป็นแบบใด มันด่างพร้อย มันทะลุขาดวิ่นหรือไม่ ก็ต้องไปปะไปชุนมัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...