เรื่องเด่น นิสัยของพระโพธิสัตว์ ( โอวาทธรรมหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน )

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 27 กุมภาพันธ์ 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    sPw2eiYrZQ_qOEX67XFGplNqakKdEny_8lbI322W11OD&_nc_ohc=-4diWPBjQcAAX-26JBV&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg



    #นิสัยของพระโพธิสัตว์
    #โอวาทธรรมหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


    พวกเราทั้งหลายให้เห็นใจพระพุทธเจ้าที่ทรงขวนขวายแทบเป็นแทบตาย สร้างพระบารมีมาเฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี่ ๔ อสงไขยแสนมหากัป คำว่า ๔ อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ ๔ หน ถ้าหากเราเทียบก็อย่างเรานับ ๑, ๒, ๓ , ไปถึง ๑ ล้าน พอล้านแล้วก็หยุดที่ตรงนั้นแล้วมานับใหม่ จนถึงล้านเป็นสองล้าน สามล้าน เป็นสี่ล้าน นี่อสงไขยคือนับไม่ได้ ตั้งแต่ครั้งนั้นเขาจะถือเลขไหนเป็นสำคัญไม่รู้ แต่สำหรับเมืองไทยเรานี้ถือเลขล้าน พอถึงล้านแล้วก็หยุดมานับใหม่ ไปถึงล้านแล้วหยุด เพราะฉะนั้นจึงว่าหนึ่งล้าน สองล้าน หรือสิบล้าน ยี่สิบล้าน พันล้าน หมื่นล้าน อยู่ในจุดล้าน เป็นจุดขีดขั้นตายตัวเอาไว้ย้อนมานับใหม่ อันนี้อสงไขยนั่นก็คงหมายเลขล้านนั่นแหละ เป็นแต่ว่าเขาไม่เรียกล้าน นับไปถึงไหนไม่ทราบแล้วก็นับไม่ได้หนหนึ่ง อสงไขยแปลว่านับไม่ได้หนึ่งหนสองหน ถ้าหากว่าเราเทียบในสมัยปัจจุบันเราก็เรียกว่า ๔ ล้าน กำไรแสนมหากัป หมายความว่าพิเศษออกไปเรียกว่ากำไรๆ นี่ เหมือนอย่างเราไปซื้อของมานี่เราซื้อสิบเราขายมากกว่านั้น นั้นเรียกว่าเป็นกำไร อันนี้ต้น ๔ อสงไขย เศษออกไปอีกแสนมหากัป นี่พระพุทธเจ้าสร้างพระบารมี
    การสร้างพระบารมีของพระพุทธเจ้ามีมากน้อยต่างกัน บางองค์ ๑๖ อสงไขย ๘ อสงไขย ๔ อสงไขย อย่างน้อย ๔ อสงไขย นับไม่ได้ ๔ หน นับไม่ได้ ๑๖ หน นับไม่ได้ ๘ หน เรียกว่าอสงไขยๆ แล้วก็แสนมหากัปๆ เศษด้วยกันทั้งนั้น นี่กว่าจะเต็มสมบูรณ์ความเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าน้ำกว่าจะเต็มตุ่มเต็มถังนี้ก็ ๑๖ อสงไขย กว่าจะเต็มตุ่ม ตุ่มใหญ่ ตุ่มแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า บรรจุอรรถธรรมไว้อยู่นั้นหมด พุทธวิสัยความสามารถของพระพุทธเจ้าอยู่นั้นหมด ไม่มีใครมีความสามารถเหมือนพระพุทธเจ้า เพราะเวลาสร้างก็สร้างเอาหนักเอาหนา ฟังซิว่า ๔ อสงไขยนับไม่ได้ถึง ๔ หน ถ้าเราเทียบอย่างทุกวันนี้ก็เรียกว่า ๔ ล้านแล้วอีกแสนมหากัป คำว่ากัปหนึ่งนี้นานแสนนานนะ จึงเรียกว่าหนึ่งกัปอีกด้วยนะ แสนมหากัปอีกด้วย นั่นมากไหม ๔ อสงไขยแล้วยังแสนมหากัปอีก มากขนาดไหน กัปหนึ่งนี้นานแสนนานกว่าจะนับเป็นกัปหนึ่งได้ กัปหนึ่งกัลป์หนึ่ง
    นี่ละพระพุทธจ้าแต่ละพระองค์ๆ ทรงพยายามอุตส่าห์ทุกสิ่งทุกอย่าง คอก็ตัดขาดไปได้เลยเพื่อสร้างพระบารมี ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความเสียดาย คิดดูอย่างพระพุทธเจ้าของเราชาติสุดท้ายที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้านี้ก็ทานกัณหา - ชาลี ใครล่ะทานได้ ทานแล้วพราหมณ์เอาไปเฆี่ยนตีต่อหน้าต่อตาอยู่นั่น ถ้าธรรมดาแล้วพราหมณ์นั้นคอขาดเลย ตีลูกให้เห็นต่อหน้าต่อตาของเจ้าของทานจะทนได้ยังไงคนเรามีกิเลส ฉวยได้ดาบก็ตัดคอพราหมณ์ ไม่ได้กัณหา - ชาลีไปเลยละ กัณหา - ชาลีก็ต้องกลับคืนมา เพราะพราหมณ์นั้นคอขาดแล้ว เนื่องจากมาเฆี่ยนต่อหน้าตีต่อหน้าต่อตาของเจ้าของทาน อับดับที่สองอีกก็ทานพระนางมัทรี พระนางมัทรีคือพระชายาคู่พึ่งเป็นพึ่งตายเหมือนเงาเทียมตัว
    ชายาๆ แปลว่าผู้เกิดพร้อมกัน พระนางมัทรีนี้เกิดพร้อมกันกับพระพุทธเจ้า นี่ละคู่พึ่งเป็นพึ่งตาย พระองค์ก็สละให้ทานได้ ทีนี้ในชาติพระเวสสันดรการให้ทานก็ไม่มีใครเป็นคู่แข่งทาน จนกระทั่งชาวบ้านชาวเมืองเขาไม่พออกพอใจ ขับไล่ไสส่งพระองค์หนีจากเมือง ขับออกจากความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เข้าอยู่ในป่าเขาวงกต พระองค์ก็ยอมไปเขาให้ไปก็ไป เรื่องของชาวบ้านชาวเมืองเขาไม่พอใจเพราะการให้ทาน เอาช้างมงคลนั่นแหละทานแล้วเขาไม่พอใจ จึงขับไล่พระองค์ไปอยู่เขาคิรีวงกตโน่น พระองค์ก็ยอมไป แต่เรื่องนิสัยของพระโพธิสัตว์จะสร้างบารมีนั้นไม่ยอมถอย ไปในป่าไม่มีอะไรทานก็ยกกัณหา – ชาลีทาน ยกพระนางมัทรีทาน นั่นฟังซิ
    นี่ละวิสัยของพระโพธิสัตว์ไม่มีคำว่าถอย โลกเขาไม่ยินดีเขาขับไปไหนก็ไป แต่เรื่องพระอัธยาศัยหรือนิสัยของพระโพธิสัตว์นั้นไม่ยอมปล่อยวางเลย เพราะนักทาน คำว่าโพธิสัตว์คือผู้ที่จะตรัสรู้ข้างหน้า แปลออกแล้วเป็นอย่างนั้น เป็นผู้ที่มีความเมตตาสงสารมากมาโดยลำดับลำดา ไปอยู่ในฝูงสัตว์ก็ให้อภัยแก่สัตว์ เจ้าของยอมตายแทนสัตว์ได้ เป็นหัวหน้าสัตว์ เจ้าของยอมตายทีเดียวๆ อยู่กับสัตว์ เอ้า สัตว์อดให้พระองค์อดเสียก่อนให้สัตว์อิ่ม พวกบริษัทบริวารอิ่มท้อง พระโพธิสัตว์ถึงจะอิ่มทีหลัง
    ทีนี้เวลามาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ความเมตตาสงสารนี้เราอย่ามาพูดเลยเม็ดหินเม็ดทราย ที่อื่นที่ไม่มีเม็ดหินเม็ดทรายยังมีอีก พระเมตตาของพระพุทธเจ้าไปได้หมด ถ้าว่ามีแต่เม็ดหินเม็ดทรายมันก็จะมีอยู่ในแผ่นดินนี้เท่านั้นเม็ดหินเม็ดทราย พระเมตตาของพระพุทธเจ้าก็จะมีอยู่เพียงแผ่นดินนี้ เพราะมีเม็ดหินเม็ดทรายอยู่ที่นี่ ถ้าหากว่าพระเมตตาแทรกอยู่ทุกเม็ดหินเม็ดทราย เลยจากเม็ดหินเม็ดทรายไปอีก เทียบกับท้องฟ้ามหาสมุทรสุดสาคร ในสามภพนี้พระเมตตาของพระพุทธเจ้าหยั่งถึงหมด มากยิ่งกว่าเม็ดหินเม็ดทรายนี้อีก นี่ละเวลาพระองค์สร้างพระบารมี สร้างมาเต็มที่แล้ว
    เวลาขวนขวายที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในชาติปัจจุบันเราก็เห็นแล้ว สลบไสล เป็นยังไงถอยไหมพระพุทธเจ้า สลบก็ยังไม่ถอย เอ้า ฟื้นขึ้นมาเอาอีก สลบลงไป ฟื้นขึ้นมาสู้อีกไม่ถอย จนได้ตรัสรู้ เก่งไหมฟังซิ เราหาใครมาเทียบมาเป็นคู่แข่ง นอกจากสลบลงไปบนหมอนดังครอกๆ อู๊ย อันนี้ทุเรศนะ พวกนี้พวกสลบบนหมอน เสื่อขาด ขาดนี่เพราะนอนทั้งวันไม่ตื่น นี่พวกเรามันพวกอย่างนี้ พระพุทธเจ้านั่นสลบเอาจริงๆ ต่อสู้จนถึงขั้นสลบ
    นี่เวลามาตรัสรู้ธรรมแล้วทรงเล็งญาณในเดี๋ยวนั้นเลย ว่าใครจะสามารถรู้ธรรมเห็นธรรมของเราตถาคตที่รู้อยู่เวลานี้ได้และทรงธรรมนี้ได้ จะมีใคร ก็เล็งไปถึงดาบสทั้งสองที่พระองค์เคยไปอาศัยอยู่ ก็ทรงทราบในพระญาณนั้นเอง พระญาณคือความหยั่งทราบ ไม่ใช่หลักฐานพยานนะ พระญาณปรีชาสามารถ ละเอียดแหลมคมยิ่งกว่าปัญญาเข้าไปอีก ท่านจึงเรียกว่าญาณ คือความซึมซาบไปหมดเลย นี่พระองค์ก็ทราบว่า โห เสียดายได้สิ้นเสียตั้งแต่เมื่อวานนี้ คือดาบสทั้งสองนั้นตายเสียเมื่อเย็นวานนี้ ถ้าหากว่ายังอยู่แล้วพระองค์จะเสด็จไปโปรดสองดาบสนี้ก่อน
    จากนั้นมาก็เล็งญาณอีก ก็เห็นเบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ จึงได้เสด็จไปโปรดพระเบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ จากนั้นก็มีเมตตาสงสารสัตว์ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าจะทรงทำได้แล้ว ยังไงก็ไม่ถอย จนกระทั่งวันปรินิพพาน ไม่มีคำว่าหยุดว่าถอยในการสงเคราะห์สัตว์โลกทั้งหลาย นี่ละให้เราเห็นใจพระพุทธเจ้าที่ทรงอุตส่าห์พยายามเพื่อสัตว์ทั้งหลาย ท่านไม่ได้หวังเอาอะไรจากสัตว์เลย เห็นสัตว์ตกอยู่ในความทุกข์ความลำบากทรมานแล้วก็เมตตาสงสาร ถ้าเป็นบันไดก็ยื่นบันไดลงไปให้ ยื่นมือลงไปให้จับ ฉุดลากขึ้นมา ๆ เหนื่อยยากขนาดไหนไม่ได้คำนึงถึงพระองค์ คำนึงตั้งแต่สัตว์ทั้งหลายที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์นั้นเท่านั้น นั่นละความเมตตาของพระพุทธเจ้านี่เป็นอันดับหนึ่ง มาแนะนำสั่งสอนสัตว์โลก
    ธรรมที่พระพุทธเจ้านำมาสั่งสอนนี้ไม่มีใครจะมาสั่งสอนได้นะ ความรู้อย่างพระพุทธเจ้าไม่มีความรู้ใดเสมอได้ อันดับที่สองก็ความรู้ของพระอรหันต์ ความบริสุทธิ์นั้นเสมอกันกับพระพุทธเจ้า จิตใจนี้เปิดโล่งเหมือนกันหมด เป็นความบริสุทธิ์พุทโธ นี่เรียกว่าเต็มดวงเหมือนกัน ถ้าเป็นพระอาทิตย์ก็เต็มดวง นี่คือความสว่างกระจ่างแจ้งของจิตใจที่หลุดพ้นจากทุกข์ อันนี้เสมอกันกับพระพุทธเจ้า แต่พุทธวิสัยคือวิสัยของพระพุทธเจ้า กับสาวกวิสัยคือวิสัยของสาวก นั้นต่างกัน ถ้าเป็นภาชนะหรือถ้าเป็นถังก็ถังพระพุทธเจ้านี้ถังใหญ่ ถังของสาวกแต่ละถังๆ แต่ละองค์ ๆ นั้นลดกันลงมา แต่น้ำเต็มถังท่านเหมือนกัน ความเมตตาสงสารเต็มหัวใจท่าน จากใจที่บริสุทธิ์เต็มหัวใจเช่นเดียวกัน นี่ละให้เราเห็นใจพระพุทธเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง เห็นใจของพระสาวกทั้งหลายที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ตะเกียกตะกายจนได้ตรัสรู้ หรือบรรลุธรรมได้เป็นพระอรหันต์ แล้วสั่งสอนโลกแทนพระพุทธเจ้าเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้


    #เทศน์อบรมคณะนักเรียนโรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร อุดรธานี
    เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๓๒
    www.Luangta.or.th หรือ www.luangta.com


    ขอบคุณ https://www.facebook.com/Bodhisattva5665
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...