บทความให้กำลังใจ(รื่นรมย์บนผาสูง)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,603
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,079
    ดูแลใจให้ดี
    พระไพศาล วิสาโล
    มีพุทธภาษิตบทหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสเป็นอุปมาอุปมัยว่า “เมื่อมือไม่มีแผล บุคคลจะจับต้องยาพิษก็ได้ ยาพิษนั้นไม่สามารถทำอันตรายได้” ความหมายของพุทธภาษิตนี้ใกล้เคียงกับสำนวนไทยสำนวนหนึ่งคือ “ตบมือข้างเดียวไม่ดัง” ตบมือข้างเดียวไม่ดังหมายความว่า ทำฝ่ายเดียวย่อมไม่เกิดผล เช่นเมื่อมีการทะเลาะวิวาทกัน ถ้ามีแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต่อว่าด่าทอ อีกฝ่ายหนึ่งเงียบ การทะเลาะวิวาทก็เกิดขึ้นไม่ได้ การทะเลาะวิวาทจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างตอบโต้กัน เหมือนกับยาพิษจะก่อให้เกิดผลเสียถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ก็ต่อเมื่อจับต้องด้วยมือที่มีแผล

    พุทธภาษิตนี้มีความหมายว่า อะไรก็ตามจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัยสองประการ เรียกว่าปัจจัยไกลกับปัจจัยใกล้ หรือปัจจัยภายนอก กับปัจจัยภายใน ปัจจัยไกลคือยาพิษ ปัจจัยใกล้คือมือที่มีแผล ถ้าปัจจัยใกล้ไม่เกื้อกูล ปัจจัยไกลหรือปัจจัยภายนอก คือยาพิษก็ทำอะไรไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้จะงอกขึ้นมาได้ นอกจากอาศัยน้ำ อากาศ ความชื้น และอุณหภูมิที่พอเหมาะสมแล้ว ยังต้องอาศัยเมล็ดพันธุ์ที่มีเชื้อหรือมียางด้วย ถ้าอากาศ อุณหภูมิ และความชื้นพอเหมาะ แต่เมล็ดนั้นแห้งตายไปแล้วหรือไม่มีเชื้อไม่มียาง ก็ไม่สามารถเติบโตเป็นต้นกล้าหรือต้นไม้ใหญ่ได้

    ความสุขและความทุกข์ก็เช่นเดียวกัน ต้องอาศัยทั้งปัจจัยไกลและปัจจัยใกล้ อาศัยทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน เช่น อาหารที่อร่อย เพลงที่ไพเราะ หรือเสื้อผ้าที่สวยงาม มันจะให้ความสุขแก่เราได้ ก็ต่อเมื่อเรามีความอยาก คือไม่เพียงแค่ได้เสพหรือได้เป็นเจ้าของเท่านั้น อาหารอร่อยแต่ไม่ได้กินก็เท่านั้น ครั้นได้กิน ได้เสพ หรือได้สวมใส่ก็ใช่ว่าจะมีความสุขโดยอัตโนนัติ จะมีความสุขได้ต้องมีปัจจัยภายในด้วย นั่น คือความอยาก

    อาหารอร่อยถ้าไม่มีความอยาก กินไปก็ไม่มีความสุข ที่ไม่มีความอยากอาจเป็นเพราะอิ่มแล้ว หรือไม่ก็กำลังครุ่นคิดเรื่องการงาน หรือเศร้าโศกถึงคนรักที่เพิ่งตายจาก ต่อเมื่อมีความอยาก จึงจะมีความสุขเมื่อได้กิน ด้วยเหตุนี้ภัตตาคารใหญ่ ๆ หรู ๆ จึงมีการกระตุ้นความอยาก หรือเรียกน้ำย่อย ด้วยอาหารเบา ๆ ก่อน เพลงที่ไพเราะก็เช่นกัน แม้บรรเลงด้วยนักดนตรีฝีมือดี แต่คนฟังไม่อยากฟัง เพราะกำลังครุ่นคิดกับงาน ฟังอย่างไรก็ไม่มีความสุข

    แม้กระทั่งความสัมพันธ์ทางเพศที่ใครๆ คิดว่าเป็นยอดของความสุข ยิ่งกว่าได้ฟังเพลงไพเราะ กินอาหารอร่อย แต่ถ้าไม่มีความอยาก ไม่มีอารมณ์เสียแล้ว เสพไปก็ไม่มีความสุข อาจรู้สึกเบื่อด้วยซ้ำ คู่สมรสบางคนมีเพศสัมพันธ์เพียงเพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่ บางคนชอบเพศเดียวกัน แต่ต้องหลับนอนกับคู่ครองที่เป็นเพศตรงข้าม เขาย่อมไม่รู้สึกมีความสุขเพราะไม่มีความอยาก

    ความทุกข์ใจก็เช่นเดียวกัน ต้องอาศัยทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน นั่นหมายความว่า คำต่อว่าด่าทอ เสียงดัง แดดร้อน ทำให้ทุกข์ใจไม่ได้ ถ้าใจเราไม่ไปร่วมมือด้วย หากว่ามีคนตะโกนด่า แต่เราไม่สนใจ ไม่นำพา เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จะเกิดความโกรธได้ไหม ความโกรธเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าใจเราไม่เอาคำเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์ หรือหวนระลึกนึกถึงคำเหล่านั้น การกระทำก็เช่นเดียวกัน แม้จะมีคนมากลั่นแกล้ง เอาเปรียบ รบกวน รังควาน แต่ถ้าเราไม่เก็บเอามาคิด ไม่นำพาไม่สนใจ ความทุกข์ใจก็เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่เรามีความทุกข์ใจ จะโทษรูปที่เห็น โทษเสียงที่ได้ยิน โทษใครต่อใครที่รู้จักอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องโทษที่ใจเราด้วย เป็นเพราะใจเรามีส่วนร่วม ไปสมยอมเปิดทางอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามาสร้างความทุกข์ใจให้กับเรา
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,603
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,079
    (ต่อ)
    ก้อนหินใหญ่แค่ไหนก็ตาม ถ้าเราไม่แบกจะเป็นทุกข์ไหม จะเหนื่อยไหม จะรู้สึกหนักไหม หนามแหลมเพียงใด ถ้าเราไม่เผลอเดินเตะ เราจะปวดไหม หินก้อนหนักๆ ทำให้เราทุกข์ไม่ได้ ถ้าเราไม่ไปแบกมัน หนามแหลมๆ ทำให้เราปวดไม่ได้ถ้าเราไม่เดินเตะมัน เมื่อรู้สึกหนักหรือรู้สึกปวด เราจะโทษก้อนหินหรือหนามแหลมอย่างเดียวไม่ได้ ต้องกลับมาดูว่าเป็นเพราะเรามีส่วนด้วย พูดอีกอย่างก็คือไม่มีใครยัดเยียดความทุกข์ให้เราได้ ถ้าเราไม่ยินยอม ไม่มีใครขโมยความสุขไปจากเราได้ ถ้าหากเราไม่เออออห่อหมกด้วย

    เคยมีนายตำรวจใหญ่คนหนึ่งไปปรึกษาปัญหาชีวิตกับหลวงพ่อชา สุภัทโท สมัยนั้นราว ๔๐ ปีก่อนท่านยังไม่อาพาธ นายตำรวจคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์มาก แต่ถูกกลั่นแกล้ง เจ้านายไม่ส่งเสริม เพื่อนร่วมงานขัดแข้งขัดขา นอกจากเลื่อยขาเก้าอี้ ยังเล่นงานข้างหลังเพราะไม่กินตามน้ำเหมือนคนอื่นเขา เขากลุ้มใจมากก็มาระบายกับหลวงพ่อชา หลวงพ่อก็ฟังโดยไม่ได้ว่าอะไร ท่านปล่อยให้เขาพูดจนจบ เสร็จแล้วท่านก็ชี้ไปที่หินก้อนใหญ่ที่อยู่ในลานหน้ากุฏิท่าน แล้วถามว่า “เห็นหินก้อนนั้นไหม” “เห็นครับ” “หินก้อนนั้นหนักไหม” “หนักครับ” “คุณแบกไหวไหม” “แบกไม่ไหวครับ” แล้วท่านก็บอกว่า “ถ้าไม่ไหวก็อย่าแบกมัน”

    ได้ยินเพียงเท่านี้นายตำรวจคนนั้นก็ได้คิดเลยว่า ที่ตัวเองทุกข์ก็เพราะแบกเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้นั่นเอง เรื่องราวเหล่านี้ไม่สามารถทำให้ตนเองเป็นทุกข์ได้หากไม่ไปแบกเอาไว้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็รู้สึกโปร่งโล่งขึ้นมาก ทำให้มีแรงทำงานต่อไป ปัญหาในที่ทำงานยังคงมีอยู่ แต่ใจไม่ทุกข์แล้ว เพราะไม่ไปแบกมัน นายตำรวจคนนี้จึงรับราชการต่อจนเกษียณ

    เห็นไหมว่าเมื่อมีความทุกข์ใจเกิดขึ้น มันไม่ใช่เป็นเพราะคนนั้นคนนี้ทำอะไรไม่ถูกใจหรือกลั่นแกล้งเราอย่างเดียว แต่เป็นเพราะใจเราให้ความร่วมมือด้วยการแบกมันเอาไว้ เลยกลายเป็นการซ้ำเติมตนเอง

    เสียงดัง ถ้าเราไม่จดจ่อใส่ใจ ความรำคาญก็เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อหลายสิบปีก่อนหลวงปู่บุดดา ถาวโรได้รับนิมนต์ให้ไปฉันเพลที่กรุงเทพฯ เมื่อฉันเสร็จญาติโยมก็นิมนต์ให้หลวงพ่อจำวัดพักผ่อนก่อน เพราะสมัยนั้นการเดินทางไปสิงห์บุรีใช้เวลาหลายชั่วโมง หลวงปู่ก็ชรามากแล้ว เจ้าภาพจึงจัดห้องให้ท่านพัก มีลูกศิษย์หลายคนนั่งอยู่เงียบ ๆ เป็นเพื่อนท่าน

    บังเอิญห้องที่ติดกันเป็นร้านขายของชำ เจ้าของร้านเป็นอาซิ้ม คนจีนสมัยก่อนจะสวมเกี๊ยะไม้ ไม่ได้สวมรองเท้าแตะเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นเวลาเดินเสียงก็ดังเข้ามาถึงห้องที่หลวงปู่จำวัดอยู่ ลูกศิษย์ได้ยินก็รำคาญ จึงพูดขึ้นมาว่า “เดินเสียงดังจัง ไม่เกรงใจกันเลย” หลวงปู่แม้จะเอนกายแต่ท่านไม่หลับ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “เขาเดินของเขาอยู่ดีๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง”

    หลวงปู่บุดดาบอกเป็นนัยว่า เสียงเกี๊ยะจะดังอย่างไร ถ้าไม่เอาหูไปรองเกี๊ยะ ก็ไม่รู้สึกรำคาญ ดังนั้นเวลารู้สึกรำคาญขึ้นมา อย่าไปโทษเสียงอย่างเดียว ต้องโทษตัวเองด้วยว่าเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาทำไม

    ทีนี้ก็น่าคิดว่าทำไมถึงเอาหูไปรองเกี๊ยะ คำตอบก็คือไม่มีสติ เมื่อไม่มีสติ หูก็จะหาเรื่อง ตาก็จะหาเรื่อง เพราะว่าเมื่อไม่มีสติ ก็จะลืมตัว เมื่อลืมตัว หูและตา รวมทั้งใจด้วย ก็จะไปหาความทุกข์มาใส่ตัวทันที ได้ยินเสียงอะไร ไม่ว่าเสียงเกี๊ยะ เสียงรถยนต์ เสียงต่อว่าด่าทอ ใจก็จะไปเอาคว้าเสียงเหล่านั้นมาเล่นงานตัวเอง หรือเปิดทางให้สิ่งเหล่านั้นมาทำร้ายจิตใจได้

    ทีนี้พอทุกข์แล้วก็ยังไม่รู้ตัวอีก ยังทำร้ายตัวเองต่อไป เหมือนคนที่แบกหิน ตอนแรกแบกเพราะลืมตัว พอแบกแล้วรู้สึกหนัก แต่ทั้ง ๆ ที่รู้สึกหนักก็ยังไม่ยอมปล่อย ยังแบกต่อเพราะอะไร เพราะลืมตัว เหมือนเวลาได้ยินใครพูดตำหนิติเตียน ทั้งๆ ที่คำพูดของเขาหายไปกับสายลมแล้ว ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ใจเราก็ยังเก็บเอามาคิด พอคิดแล้วก็ทุกข์ โกรธใจร้อนผ่าว แต่ก็ยังไม่ยอมเลิกคิด ยังคิดอยู่นั่นแหละ คิดซ้ำไปซ้ำมา

    เวลามีคนเขียนด่าเราทางเฟสบุ๊คหรือทางไลน์ ทั้ง ๆ ที่ไม่พอใจ แต่ก็ยังกลับมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่นแหละ เมื่อวานอ่านแล้ว วันนี้ก็ยังอ่านอีก อ่านเช้าอ่านบ่าย อ่านแต่ละครั้งก็ขุ่นเคืองแต่ก็ยังไม่เลิกอ่าน นั่นเป็นเพราะลืมตัว เวลามีคนเขียนชมเรา เราอาจอ่านแค่ไม่กี่ครั้ง แต่พอมีคนเขียนด่า เรากลับอ่านแล้วอ่านอีกอยู่นั่นแหละ นี่เรียกว่า ยิ่งเกลียด ยิ่งผลักไส ก็ยิ่งยึดติด ตอนที่เผลออ่านครั้งแรกแล้วขุ่นเคืองใจขึ้นมาอันนี้เข้าใจได้เพราะไม่รู้ แต่ถ้ารู้แล้วยังอ่านแล้วอ่านอีก อย่างนี้เรียกว่าลืมตัวไม่มีสติ

    ความทุกข์ใจเกิดขึ้นเพราะเราเปิดทางให้ความทุกข์มาเล่นงานใจเรา แล้วก็ยังทำอย่างนั้นซ้ำซากเพราะความไม่รู้ตัวไม่มีสติ ยิ่งลืมตัวก็ยิ่งทำร้ายตัวเอง หรือยิ่งลืมตัวก็ยิ่งเปิดทางให้สิ่งต่างๆ เข้ามาทำร้ายตัวเราเอง อาจารย์ชยสาโรเคยพูดไว้ว่า “โลกนี้ไม่มีสิ่งใด ไม่มีคนใด จะบังคับให้เราทุกข์ได้ มีแต่สิ่งที่ชวนให้เราทุกข์ ชวนให้เราพอใจ ชวนให้เราไม่พอใจเมื่อเขามาชวนให้เราทุกข์ ชวนให้เราไม่พอใจ อยู่ที่เราจะรับคำชวนหรือเปล่า เราเลือกได้ที่จะไม่รับคำเชิญชวนจากเขา ในเมื่อเราเลือกได้แต่เราไม่เลือก เราเลือกที่จะปฏิเสธได้แต่เราไม่ปฏิเสธ เรารับคำเชิญชวนของเขาเอง ทีนี้จะโทษใครดี ต้องโทษตัวเองด้วย เพราะไปรับคำเชิญชวนของเขาทำไม

    ดังนั้นทุกครั้งที่เราทุกข์ใจอย่าเพิ่งโทษสิ่งภายนอกตะพึดตะพือ ให้กลับมาดูใจเราด้วยว่าใจเราไปเปิดทางยินยอมหรือผสมโรงให้ความทุกข์ต่างๆ จากภายนอกเข้ามาเล่นงานใจเราหรือเปล่า ถ้าจะตอบอย่างฟันธงก็คือ ใช่ ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากทุกข์ใจ ก็อย่ามัวเรียกร้องคนโน้นคนนี้ให้พูดดีๆ กับเรา อย่าทำสิ่งที่ไม่ดีกับเรา อันนั้นมันเป็นไปได้ยาก เราควบคุมบังคับบัญชาคนอื่นไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือดูแลใจเราให้ดี อย่าเปิดช่องให้ความทุกข์หรือสิ่งเลวร้ายเข้ามาเล่นงานจิตใจเราได้ คนอื่นเขาทำได้อย่างมากก็แค่ต่อว่าด่าทอเรา ขโมยเงินเรา โกงเงินเรา เอาทรัพย์สินของเราไป หรือแม้กระทั่งทำร้ายร่างกายเรา แต่ว่าเขาไม่สามารถทำให้เราทุกข์ใจได้ แต่ที่เราทุกข์ใจก็เพราะเราทำตัวเอง หรือใจเรานั่นแหละเข้าไปปรุงแต่งผสมโรง

    เงินหายก็หายแต่ของ ใจไม่เสีย เราทำได้ หรือว่าถูกทำร้ายร่างกายแต่ใจไม่ทุกข์ เราก็ทำได้เช่นกัน ขอเพียงแต่ดูแลรักษาใจให้ดีเท่านั้น
    :- https://visalo.org/article/suksala29.html
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,603
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,079
    คู่แข่งที่แท้จริง
    By : รินใจ
    ทุกปีในสหรัฐอเมริกาจะมีการประกวดแข่งขันสะกดคำโดยจำกัดเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า ๑๖ ปี งานนี้เป็นงานระดับชาติ มีเด็กมาร่วมแข่งขันถึง ๑๐ ล้านคน และมีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศในรอบสุดท้าย

    ปีนี้ผู้ที่ฝ่ามาถึงรอบสุดท้ายมีเพียง ๑๓ คน ซามีร์ ปาเตล วัย ๑๒ ขวบ ซึ่งปีที่แล้วได้อันดับ ๒ เป็นตัวเต็งอันดับ ๑ ส่วนอันดับ ๒ คือราชีพ ทาริโกพูลา ซึ่งได้ที่ ๔ เมื่อปีที่แล้ว


    ชัยชนะน่าจะเป็นของซามีร์ แต่แล้วเขาก็พลาดเมื่อเจอคำว่า eramacausis (แปลว่าอะไร โปรดหาจากพจนานุกรมเล่มใหญ่ ๆ เอาเอง) การตกรอบของซามีร์ ทำให้ราชีพเป็นตัวเต็งอันดับ ๑ ทันที

    มีนักข่าวคนหนึ่งถามราชีพว่า ดีใจไหมที่คู่ปรับตกรอบไป คำตอบของราชีพก็คือ “ไม่ครับ นี่เป็นการแข่งขันกับ คำ ไม่ใช่กับ คน ครับ”

    ไม่ทันขาดคำ เสียงตบมือก็ดังก้องห้องประชุม

    คำตอบของราชีพคงทำให้ผู้ใหญ่หลายคนได้คิด ใช่หรือไม่ว่าเวลาเราแข่งขันในเรื่องอะไรก็ตาม เรามักจะมองเห็นผู้ร่วมแข่งขันเป็นปรปักษ์หรือฝ่ายตรงข้าม ในใจจึงอยากให้เขามีอันเป็นไป เพื่อเราจะได้เป็นผู้ชนะแต่ผู้เดียว หารู้ไม่ว่าลึก ๆ ความอิจฉาและพยาบาทกำลังก่อตัวขึ้น ดังนั้นแข่งไปจึงทุกข์ไป แข่งเสร็จแล้วก็ยังทุกข์อีกที่เห็นคนอื่นเก่งกว่าตน

    แต่สำหรับราชีพ แม้การแข่งขันจะดุเดือดอย่างไร เขาไม่ได้มองไปที่คน แต่มองไปที่คำ สำหรับเขาความท้าทายอยู่ที่การต่อสู้กับคำยาก ๆ คำยากทุกคำคือปริศนาที่เขาต้องถอดออกมาเป็นตัว ๆ ให้ได้ เมื่อใจไปจดจ่ออยู่ที่คำเหล่านี้ เขาจึงไม่ยินดียินร้ายที่ผู้ร่วมแข่งขันจะไปหรืออยู่

    แม้ว่าในที่สุดราชีพจะได้เป็นที่ ๔ (เพราะแพ้คำว่า Heiligenschein) แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทุกข์เพราะเกลียดหรืออิจฉาคนที่เก่งกว่าเขา คงมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะศึกษาค้นคว้าให้หนักขึ้นเพื่อพิชิตคำยาก ๆ ในปีหน้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปีหน้าเขาต้องฉลาดกว่าปีนี้แน่ มองในแง่นี้ แม้เขาจะ “แพ้” แต่เขาไม่ขาดทุนเลย กลับมีกำไรด้วยซ้ำ

    มุมมองของราชีพนั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะในยามแข่งขันเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าสำหรับการดำเนินชีวิตและสัมพันธ์กับผู้คนด้วย ใช่หรือไม่ว่า ในชีวิตประจำวัน เมื่อเราถูกวิพากษ์วิจารณ์ ใจเรามักจะพุ่งตรงไปยังคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่ค่อยสนใจคำวิพากษ์วิจารณ์เท่าใดนัก ดังนั้นแม้ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์จะถูกต้อง ให้แง่คิดที่ดี เพียงใดก็ตาม แต่เราไม่สนใจที่จะไตร่ตรองเสียแล้ว เพราะใจนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดและโกรธคนที่วิพากษ์วิจารณ์เรา

    ถ้าเราหันมาใส่ใจกับคำวิพากษ์วิจารณ์กันให้มากขึ้น และสนใจให้น้อยลงกับการตอบโต้เพื่อเอาชนะคะคานคนที่วิพากษ์วิจารณ์ นอกจากเราจะทุกข์หรือโกรธเกลียดน้อยลงแล้ว เรายังมีโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากคำวิพากษ์วิจารณ์นั้นด้วย โดยเฉพาะหากเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ถูกต้อง ด้วยท่าทีเช่นนี้ เราจะได้กำไรสถานเดียว คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณ ถึงกับบอกว่า วันไหนไม่ได้รับคำตำหนิ วันนั้นถือเป็นอัปมงคลเลยทีเดียว

    เวลาทำงานก็เช่นกัน ถ้าเรามองว่านี้เป็นการต่อสู้ปลุกปล้ำกับงาน เราจะไม่เดือดร้อนที่คนอื่นทำได้ดีกว่าเรา ใครจะดีจะเก่งก็เป็นเรื่องของเขา เพราะในใจนั้นนึกอยู่เสมอว่า “ฉันกำลังแข่งขันกับงาน ไม่ใช่แข่งขันกับคนอื่น” นอกจากจะไม่อิจฉาเขาแล้ว ยังพยายามเรียนรู้จากเขาว่ามีวิธีการอย่างไร เพื่อเอาไปใช้ในการพิชิตงานที่กำลังทำอยู่ หรือทำให้งานนั้นดีขึ้น

    มองให้ลึกลงไปแล้ว คนไม่ใช่คู่แข่งของเรา กิเลสตัณหา ความเห็นแก่ตัว หรือความหลงตนต่างหากที่เป็นคู่แข่งของเรา แทนที่จะสู้กับใครต่อใคร เราควรหันมาสู้กับอกุศลธรรมในตัวเราดีกว่า ที่แล้วมาเราต่อสู้กับใครต่อใครมากแล้ว แต่ไม่ได้ต่อสู้กับอกุศลธรรมเหล่านี้ เราจึงทุกข์ไม่เว้นแต่ละวัน

    ถึงที่สุดแล้ว แม้แต่คนที่คิดร้ายต่อเรา เขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูของเรา ความโกรธเกลียดหรือความเห็นแก่ตัวในใจเขาต่างหาก ที่เป็นศัตรูของเรา สิ่งที่เราควรจัดการคือความชั่วร้ายในใจของเขา มิใช่จัดการตัวเขา ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะปลอดภัยและมีชีวิตที่สงบสุขอย่างแท้จริง เพราะการขจัดศัตรูที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนเขามาเป็นมิตร

    แล้วอะไรล่ะที่จะเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรได้ หากมิใช่การใช้ความดีชนะใจเขา
    :- https://visalo.org/article/kidFamily254906.htm

     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,603
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,079
    BuddhaAndOneMan.jpg
    มหัศจรรย์ของชีวิตขาลง
    By : รินใจ
    หลังจากเกษียณจากราชการก่อนกำหนด ประมวล เพ็งจันทร์ ได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน นั่นคือเดินเท้าจากเชียงใหม่กลับไปยังบ้านเกิดที่เกาะสมุย เป็นการจาริกที่ไม่มีเงินติดตัวเลยสักสลึงเดียว หากฝากชีวิตไว้กับน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ตามเส้นทางที่ยาวเหยียดร่วม ๑,๕๐๐ กิโลเมตร

    ตลอด ๖๖ วันของการเดินทาง เขาได้พานพบประสบการณ์มากมายที่ตราตรึงใจ และให้บทเรียนล้ำค่าแก่ชีวิต หนึ่งในนั้นได้แก่ตอนที่เดินขึ้นและลงจากดอยอินทนนท์

    เขาเล่าว่าขณะที่เดินขึ้นดอยอินทนนท์นั้น รู้สึกเหนื่อยมาก ความย่ำแย่ของสภาพร่างกายที่สะสมมากหลายวันทำให้เกือบจะถอดใจเพราะหายใจแทบไม่ออก รู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย จนต้องนอนแผ่แน่นิ่ง ทั้ง ๆ ที่เหลือเพียงกิโลเมตรกว่า ๆ เขาคงจะอยู่ตรงนั้นอีกนาน หากไม่มีรถคันหนึ่งจอดรับเขาขึ้นไปถึงยอด

    ขากลับเขาเดินลงมาช้า ๆ แล้วเขาก็เพิ่งสังเกตว่าสองข้างทางนั้นมีสิ่งสวยงามอยู่มากมาย ไกลออกไปก็เป็นทิวทัศน์ที่ชวนพินิจ แต่ทั้งหมดนั้นเขาไม่ทันได้มองเลยขณะที่เดินขึ้นเขา เพราะใจนึกถึงแต่ยอดดอย อยากจะไปให้ถึงจุดหมายอย่างเดียว

    ระหว่างเดินลงเขาได้หยุดดูทิวทัศน์อันกว้างไกล และชื่นชมกับธรรมชาติอันงดงามสองข้างทาง จิตใจเบิกบานและเป็นสุขอย่างยิ่ง แม้ตอนนั้นร่างกายจะเจ็บปวดก็ตาม “มหัศจรรย์” คือความรู้สึกของเขาเมื่อย้อนระลึกนึกถึงประสบการณ์ยามลงเขา

    “ขาลง”นั้นมีเสน่ห์แต่มักถูกมองข้าม คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับ “ขาขึ้น”มากกว่า เพราะมั่นใจว่ามีสิ่งใหม่ ๆ ที่ดึงดูดใจคอยอยู่ข้างบน ไม่ใช่แค่ทะเลหมอกหรือทิวทัศน์อันงดงามที่เห็นชัดเจนจากยอดดอยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสำเร็จ ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ยามขึ้นถึงจุดสูงสุดของชีวิต

    ใคร ๆ ก็อยากให้ชีวิตของตนอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะหวังจะได้เสพได้ครอบครองอะไรอีกมากมายที่ยังไม่เคยประสบสัมผัส แต่น่าคิดว่ามีสักกี่คนที่เป็นสุขอย่างแท้จริงในช่วงขาขึ้น ใช่หรือไม่ว่า ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความเครียด เพราะใจนั้นกังวลแต่จุดหมายปลายทาง และกลัวว่าจะไปไม่ถึง แถมยังหงุดหงิดหากเห็นใครแซงไปต่อหน้าต่อตา และเป็นทุกข์มากขึ้นเมื่อมีคนถึงจุดหมายปลายทางก่อน โดยเฉพาะคนที่ออกเดินพร้อมกับตัวเอง

    ความเหนื่อยอ่อนบอบช้ำของประมวลยามเดินขึ้นเขา คงไม่ต่างจากหลายคนที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ยิ่งเร่งจะให้ถึงจุดหมายปลายทางมากเท่าไร ก็ยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้น บางคนไปไม่ถึงเพราะหมดแรงเสียก่อน ต้องพักรักษาตัวกว่าสังขารจะอำนวย แต่บางคนก็ต้องยุติการเดินทางแต่เพียงเท่านี้

    อันที่จริงประสบการณ์ยามขาขึ้นไม่จำเป็นต้องเต็มไปด้วยความทุกข์ แม้จะยังไม่ถึงเป้าหมาย แต่อย่าลืมว่าสองข้างทางนั้นก็อุดมไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมายที่ให้ความสุขแก่เราได้ตลอดเวลา ประมวลมาค้นพบความจริงข้อนี้ยามเดินลงเขา แต่ถ้าใจเราไม่จดจ่อกับเป้าหมายข้างหน้ามากเกินไป ในช่วงขาขึ้นเราก็สามารถเป็นสุขได้ หากรู้จักชื่นชมสิ่งดี ๆ ตามรายทางบ้าง

    ความสุขนั้นมีอยู่รอบตัว แต่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น เพราะใจจดจ่อแต่ความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า ผลก็คือขณะที่ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง เรากลับละทิ้งความสุขที่มีอยู่รอบตัว ทั้ง ๆ ที่เป็นสิทธิของเราโดยชอบธรรม กลายเป็นว่าเสียสองต่อ

    จะไม่ดีกว่าหรือ ขณะที่ยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็เปิดใจชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัวหรือตามรายทาง แม้ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง แต่เราก็ได้สัมผัสกับความสุขที่มีอยู่แล้วทุกขณะ

    แต่ถึงจะพลาดโอกาสนั้นไป ก็ยังไม่สาย เพราะขาลงเราก็ยังสามารถชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่ให้ความสุขและความเบิกบานใจแก่เราได้ แต่นั่นหมายความว่าเราต้องไม่ห่วงหาอาลัยความสำเร็จที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว หากยังมัวนึกถึงประสบการณ์อันตราตรึงใจบนยอดเขาที่ผ่านพ้นไปแล้ว ใจเราจะเปิดรับความสุขตามรายทางในยามขาลงได้อย่างไร

    ขาลงไม่ใช่ประสบการณ์อันน่าเศร้า หากเราเดินลงอย่างช้า ๆ และหัดพินิจพิจารณา เราจะมีความสุข เป็นสุขที่อาจจะยิ่งกว่าช่วงขาขึ้นหรือเมื่อถึงจุดสูงสุดของการเดินทางเสียอีก เพราะใจเป็นอิสระจากความคาดหวังทั้งปวง

    ในยามนี้แหละที่เราอาจพบกับ “มหัศจรรย์” ของชีวิต ที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน
    :- https://visalo.org/article/kidFamily254908.htm

     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,603
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,079
    รื่นรมย์บนผาสูง
    รินใจ
    bhutan01.jpg
    ปาโรเป็นประตูสู่ภูฐานที่สามารถสะกดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อย่างชะงัด จากดินแดนแห่งความแน่นขนัดอึกทึกวุ่นวายและเร่งรีบในหลายมุมโลก พอออกจากสนามบินปาโร ทุกคนจะได้สัมผัสกับหุบเขาและทุ่งกว้างที่เงียบสงบ มีธารน้ำไหลเอื่อย พอ ๆ กับชีวิตที่เนิบช้าของผู้คน ฟ้าสวย แดดใส อากาศบริสุทธิ์ คือสิ่งที่ปรากฏแก่เราอย่างแจ่มชัดในเช้าวันแรกที่ภูฐาน

    ปาโรเป็นหุบเขาที่งดงาม มีบ้านเรือนกระจัดกระจายอยู่เป็นหย่อม ๆ ในทุ่งราบเขียวสด บ้านเรือนเหล่านี้มิได้เป็นกระท่อมอย่างที่พบเห็นในชนบทส่วนใหญ่ หากเป็นอาคารสองชั้นที่สร้างอย่างมั่นคงแน่นหนา ทั้งยังมีลวดลายศิลปะงดงามโดยเฉพาะที่ขอบหน้าต่างชั้นบน แม้ว่าศิลปะเช่นนี้มีให้เห็นทั่วภูฐาน แต่ที่ปาโรนั้นมีลักษณะโดดเด่นกว่า กล่าวกันว่าหากต้องการเห็นบ้านเรือนที่สวยงามที่สุดในประเทศต้องมาดูที่หุบเขาปาโร

    ปาโรอยู่ห่างจากทิมพู เมืองหลวงภูฐาน ประมาณ ๕๐ กม. แต่ปาโรเป็นมากกว่าปากทางสู่ราชธานี แม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็มีความสำคัญอย่างมากในทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เชื่อกันว่าปาโรเป็นสถานที่แห่งแรก ๆ ที่รับเอาพุทธศาสนาเข้ามา นอกจากนั้นปาโรยังมีป้อมโบราณที่งดงาม ป้อมที่เรียกว่า “ซ่ง”นี้เป็นเอกลักษณ์ของภูฐาน เพราะนอกจากเป็นศูนย์กลางการบริหารและการปกครองของพื้นที่โดยรอบ (เปรียบได้กับศาลาว่าการจังหวัดของบ้านเรา) ยังเป็นศูนย์กลางการปกครองคณะสงฆ์ในพื้นที่ดังกล่าว (เปรียบได้กับวัดของเจ้าคณะจังหวัด) พูดง่าย ๆ คือเป็นทั้งป้อมและอารามผนวกอยู่ด้วยกัน ภูฐานมีซ่งแบบนี้อยู่ทั่วประเทศ แต่ปาโรซ่งนั้นได้รับการยกย่องว่ามีเครื่องไม้ที่งามที่สุดในภูฐาน โดยเฉพาะที่หอกลาง

    แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่มีอะไรโดดเด่นเท่ากับวัดตักซัง ซึ่งถือกันว่าเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของชาวภูฐาน อีกทั้งยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย ที่แม้แต่ชาวธิเบตก็ยังดั้นด้นข้ามเขาเพื่อมาสักการะอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ทุกวันนี้แม้กระทั่งชาวตะวันตกที่นับถือพุทธศาสนาแบบวัชรยานก็ยังหาโอกาสมาจาริกแสวงบุญที่นี่

    วัดตักซังมีความหมายอย่างมากต่อชาวพุทธนิกายวัชรยานเนื่องจากเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับท่านปัทมสัมภวะ ซึ่งเป็นผู้นำพุทธศาสนาแบบวัชรยานเผยแพร่ในธิเบตและภูฐาน ท่านปัทมสัมภวะ (หรือที่ชาวภูฐานเรียกว่า “คุรุรินโปเช”) ได้รับการสักการะจากชาวพุทธธิเบตและภูฐานประหนึ่งพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง เนื่องจากท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถปราบภูตผีปีศาจร้ายให้หันมายอมรับนับถือพุทธศาสนา ตักซังเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ท่านเคยมาบำเพ็ญสมาธิภาวนานานสามเดือนก่อนที่จะลงมาเทศนาสั่งสอนให้ชาวบ้านในหุบเขาปาโรสมาทานพุทธศาสนา

    เช่นเดียวกับสถานที่จาริกสำคัญในพุทธศาสนา วัดตักซังอยู่บนเขาสูง เหนือผาหินสีดำซึ่งตระหง่านโดดเด่นเห็นแต่ไกล เขานั้นสูงชันมองไม่เห็นทางขึ้น อดพิศวงไม่ได้ว่าขึ้นไปสร้างวัดบนนั้นได้อย่างไร เพียงแค่เดินขึ้นไปก็ยากแล้ว แต่สำหรับท่านคุรุรินโปเช ผาสูงอย่างนี้ไม่เป็นปัญหา ตำนานเล่าว่าท่านคุรุรินโปเชขี่เสือตัวหนึ่งเหาะขึ้นไปยังหน้าผานั้น

    นอนพักเอาแรงที่ปาโรหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเรากว่าสิบชีวิตก็เดินทางไปวัดตักซัง ใช้เวลาไม่นานรถก็มาจอดถึงตีนเขา ซึ่งเป็นป่าสนร่มรื่น มีม้าอยู่หลายตัวรอใช้บริการจากนักท่องเที่ยว แต่พวกเราเลือกที่จะเดินขึ้นเขา มาจาริกแสวงบุญทั้งที ควรพึ่งน้ำพักน้ำแรงของตน แม้จะลำบากเหนื่อยยากเพียงใดก็ตาม จะว่าไปแล้วจุดมุ่งหมายประการแรกของการจาริกแสวงบุญก็เพื่อสร้างความเพียรและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความยากลำบาก มิใช่เพื่อทรมานตน แต่เพื่อเป็นแบบฝึกหัดในการยกจิตให้อยู่เหนือความลำบากทางกาย

    เราต้องเดินลัดเลาะไปตามไหล่เขา ไม่น่าเชื่อว่าเส้นทางแคบ ๆ ที่ตัดผ่านป่าสนและโรโดเดนดรอนนี้ผู้คนนับไม่ถ้วนได้ใช้เดินตลอดเวลาพันกว่าปี มิใช่แต่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น หากรวมถึงพระราชาและนักพรตผู้ทรงคุณอีกมากมาย แต่แม้จะรองรับผู้คนเรือนล้านมาแล้ว บรรยากาศรอบเส้นทางก็ยังเงียบสงบร่มรื่นและคงสภาพป่าไว้ได้ บางช่วงมีน้ำตกน้อยและลำธารไหลผ่าน หมุนกงล้อมนตร์ให้ส่งเสียงดังเป็นระยะ ๆ

    บรรยากาศอย่างนี้เหมาะกับการเดินเจริญสติไปด้วย คือรับรู้ทุกย่างก้าว ขณะเดียวกันก็เปิดใจรับรู้ทุกสิ่งที่มากระทบ แต่ก็ไม่วอกแวกหรือคิดฟุ้งปรุงแต่ง เดินช้า ๆ ไม่ต้องรีบ และไม่ต้องสนใจจุดหมายปลายทาง ใจอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับแต่ละก้าวเท่านั้นก็พอ ยิ่งเดิน ทางยิ่งชัน ก็ยิ่งต้องเดินอย่างมีสติ ไม่เช่นนั้นจะเหนื่อยเร็ว เพราะเผลอเดินจ้ำเอา ๆ ด้วยอยากให้ถึงจุดหมายไว ๆ

     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,603
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,079
    (ต่อ)
    ในการจาริกแสวงบุญบนเขาสูง ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลจากความสบาย เพราะนอกจากการขนส่งสิ่งอำนวยความสะดวกจะทำได้ยากแล้ว แต่ละคนยังขนเสบียงกรังได้ไม่มาก จะเดินให้ถึงจุดหมาย จำต้องพกพาข้าวของให้น้อยที่สุด เส้นทางยิ่งสูงชัน ความสุขทางกายก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ แต่หากเดินเป็น สิ่งที่จะได้เพิ่มขึ้นมาก็คือ ความสุขทางใจและความสุขจากธรรมชาติ เพราะได้สัมผัสกับความสงบ ทั้งความสงบทางใจและความสงบจากธรรมชาติ บ่อยครั้งที่มีแต่เราคนเดียวที่เดินอยู่บนทางแคบ ๆ กลางป่า เดินไปก็ทำน้อมใจสงบไปด้วย แต่ใครที่เอาแต่บ่น จมอยู่กับความเหนื่อยกาย หรือมัวแต่พูดคุยกัน หาไม่ก็ฟังเพลงจากเครื่อง MP3 ก็คงยากที่ใจจะเปิดรับความสุขดังกล่าวได้

    เมื่อคำนึงถึงความโดดเด่นของสถานที่ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญไปแล้ว เส้นทางที่สงบร่มรื่นและวิเวกอย่างนี้นับว่าหาได้ยากอย่างยิ่ง ใครที่เคยขึ้นเขาศรีปาทะ อันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของศรีลังกา จะพบกับบรรยากาศที่ตรงกันข้าม ผู้คนนอกจากจะพลุกพล่าน ส่งเสียงอึกทึกแล้ว สองข้างทางยังเกลื่อนไปด้วยขยะ หาความอภิรมย์ร่มรื่นได้ยาก ส่วนพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของชาวพุทธพม่า ก็กำลังจะเจริญรอยตามศรีปาทะอย่างน่าเป็นห่วง

    เดินไต่เขาไปได้ชั่วโมงกว่าก็จะถึงจุดพักชมวิว ซึ่งประจันหน้ากับผาสูงอันเป็นที่ตั้งของวัดตักซัง เป็นมุมที่เห็นจุดหมายปลายทางได้อย่างงดงามมาก หลายคนเลือกที่จะหยุดเดินเพียงเท่านี้เพราะมีร้านกาแฟให้นั่งพักผ่อน(หรือจะนอนหลับไปเลยก็ได้) ส่วนคนที่เดินต่อนั้นจะต้องไปพบกับทางชันและวิบากยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะช่วงสุดท้าย ซึ่งเป็นขอบหน้าผาสูงชันตรงข้ามวัดตักซัง ทางที่เคยชันขึ้นก็เปลี่ยนเป็นดิ่งลง ทางนอกจากจะแคบแล้วยังหวาดเสียวอย่างยิ่ง เพราะสามารถมองเห็นเหวลึกด้านข้างได้อย่างถนัดถนี่ นี้คือเส้นทางแห่งสติโดยแท้ เพราะต้องจับจ้องที่ขั้นบันไดเบื้องหน้าอย่างเดียวจึงจะเดินได้อย่างไม่หวั่นหวาด
    หลังจากเดินไต่เขาสองชั่วโมงเศษก็ถึงจุดหมาย วัดตักซังนั้นมีอาคาร ๑๓ หลังสร้างกระจัดกระจาย ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนหน้าผา ล้วนมีความเป็นมาเกี่ยวข้องบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของภูฐาน อาคารที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้นสร้างตรงถ้ำที่คุรุรินโปเชเคยบำเพ็ญภาวนา ตลอดพันกว่าปีที่ผ่านมามีลามะและวิปัสสนาจารย์คนสำคัญมานั่งบริกรรมในถ้ำนี้อย่างไม่ขาดสาย อาทิ มิลาเรปะ ซึ่งเป็นที่นับถืออย่างยิ่งในฝ่ายวัชรยาน จวบจนยุคปัจจุบัน ไม่ว่า ดิลโก เคนเซ รินโปเช ธรรมาจารย์ชาวธิเบตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคนี้ หรือ เชอเกียม ตรุงปะ คุรุที่ชาวตะวันตกรู้จักดีที่สุด ก็เคยทำสมาธิในถ้ำนี้มาแล้ว

    แม้ถ้ำจะมีประตูหุ้มแผ่นทองแดงปิดไว้ เปิดแค่ปีละครั้ง แต่การได้มานั่งสมาธิหน้าถ้ำตรงจุดที่ลามะคนสำคัญเคยนั่ง ก็ให้ความรู้สึกที่ดีมาก เหมือนกับว่าเราได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งแห่งกระแสธารทางจิตวิญญาณที่สืบสายอย่างต่อเนื่องจากอดีตอันไกลโพ้นสู่อนาคตอันเป็นนิรันดร์ ไม่ใช่ง่ายที่ใครสักคนจะได้มาทำสิ่งเดียวกันและตรงจุดเดียวกันกับคุรุผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต เช่น มิลาเรปะ ซึ่งเป็นเสมือนบุคคลในตำนาน แต่แท้จริงเคยมีชีวิตมีเลือดเนื้อและเดินเหินอยู่ในถ้ำเดียวกันนี้กับเรา

    เหนือถ้ำเป็นอาคารหลายหลังซ้อนกัน เป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของคุรุรินโปเช ตลอดจนพระพุทธรูปทั้งสามกาล คือ พระทีปังกร พระศากยมุนี และพระศรีอริยเมตไตรย รวมทั้งพระโพธิสัตว์ปางต่าง ๆ พวกเราได้สักการะและนั่งสมาธิอยู่พักใหญ่ แม้จะมีนักท่องเที่ยวผ่านไปผ่านมาเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังรู้สึกถึงความสงบ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่อบอวลด้วยพลังอันเป็นกุศล
    วัดตักซังมิได้เปี่ยมไปด้วยพลังทางจิตวิญญาณเท่านั้น หากยังให้ความรู้สึกถึงพลังทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ เมื่อเราออกมายืนตรงระเบียงบนหน้าผาซึ่งสูงถึง ๘๐๐ เมตร ได้เห็นทัศนียภาพอันกว้างไกลสุดขอบฟ้า จิตใจก็ยิ่งรู้สึกปลอดโปร่งโล่งเบา ไม่ต่างจากท้องฟ้าอันเวิ้งว้างที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อถึงจุดหมายปลายทางของการจาริกแสวงบุญ ไม่เพียงกายเท่านั้นที่ก้าวขึ้นมาอยู่บนที่สูง ใจก็ถูกยกระดับขึ้นมาด้วยเช่นกัน ใช่หรือไม่ว่านี้คือรางวัลแห่งความเพียรที่ต้องฝ่าความยากลำบาก

    การจาริกแสวงบุญกับการปีนเขานั้นมักจะแยกจากกันไม่ออก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ตอบอย่างกำปั้นทุบดินก็ต้องพูดว่า เป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมักอยู่บนยอดเขาหรือชะง่อนผา สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นของสูง จึงต้องประดิษฐานบนที่สูง แต่มองอีกแง่หนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่บนที่สูงก็เพราะเป็นสัญลักษณ์ของอุดมคติสูงสุดของมนุษย์ สำหรับชาวพุทธ อุดมคติสูงสุดก็คือพระนิพพาน อันได้แก่สภาวะที่อยู่เหนือโลก เป็นอิสระจากโลกธรรมทั้งหลายซึ่งเต็มไปด้วยความผันผวนแปรปรวน ไม่น่ายึดถือและยึดถือไม่ได้

    ในการจาริกแสวงบุญ เราต้องใช้ความเพียรอย่างมากเพื่อไปให้ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเขาสูง เมื่อต้องพบกับความยากลำบากระหว่างทาง นั่นคือโอกาสที่เราจะได้ฝึกตนให้มีชีวิตเรียบง่าย ไม่ยึดติดกับความสุขทางวัตถุ ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะฝึกใจให้สงบ ด้วยการเจริญสติ บำเพ็ญสมาธิ หรือสวดมนต์ เมื่อไปถึงจุดหมาย ศรัทธาปสาทะที่เพิ่มพูน ย่อมบันดาลใจให้เกิดปีติ อิ่มเอิบ และโปร่งเบา อันเป็นสุขที่ประเสริฐกว่ากามสุข จะว่านี้เป็น “นิพพานน้อย ๆ” หรือ “นิพพานชิมลอง”ก็ได้

    การจาริกแสวงบุญจึงเป็นเสมือนภาพจำลองของการดำเนินชีวิตเพื่อบรรลุถึงอุดมคติสูงสุดของชีวิต ขณะเดียวกันก็เป็นการฝึกตนเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการก้าวไปให้ถึงจุดหมายสูงสุดดังกล่าว การจาริกแสวงบุญสู่เขาสูงจึงเป็นสิ่งที่ชาวพุทธทุกคนควรบำเพ็ญสักครั้งหนึ่งในชีวิต

    ขากลับเราเดินผ่านชาวภูฐานหลายคนที่ทยอยกันขึ้นไปวัดตักซัง คนเหล่านี้ไม่ใช่นักท่องเที่ยว แต่ตั้งใจไปจาริกแสวงบุญตามธรรมเนียมของชาวธิเบต ดูแล้วคงจะไม่ได้ไปเช้าเย็นกลับเหมือนพวกเรา แต่ค้างแรมด้วย แม้กระนั้นก็ไม่ได้มีสัมภาระมากมาย สะพายแค่ถุงย่ามเล็ก ๆ
    ได้ทราบมาว่าชาวภูฐานบางคนไม่ได้แสวงบุญด้วยการเดินอย่างธรรมดา แต่จาริกด้วยการกราบอัษฏางคประดิษฐ์ตามแบบวัชรยาน คือเดินสามก้าวแล้วก้มลงกราบโดยนอนราบกับพื้น นอกจากใช้เวลานานแล้วยังต้องใช้ความเพียรมากด้วย

    นักบวชภูฐานผู้หนึ่งกล่าวว่า “ทุกคนที่จาริกแสวงบุญมาถึงตักซัง จะกลับไปเป็นคนละคนทีเดียว”

    ใครที่ไปถึงตักซัง มิใช่แต่กายเท่านั้น หากใจก็ถึงด้วย ย่อมเห็นด้วยกับคำพูดนี้อย่างแน่นอน
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255308.htm


     

แชร์หน้านี้

Loading...