บทความให้กำลังใจ(ขุมทรัพย์ใกล้ตัว)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    (ต่อ)

    ทั้งหมดนี้กล่าวอย่างสรุปก็คือ ใจวิบัติเพราะลืมตัว จึงปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความกลัวทำร้ายจิตใจ พอลืมตัวแล้วก็สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้นรวมทั้งทำร้ายตนเอง บางคนเกิดอารมณ์ชั่ววูบจนลืมตัว กระโดดลงจากตึกบ้าง ลงจากสะพานบ้าง วิ่งไปให้รถชนบ้าง บางทีก็ไปซื้อปืนมายิงตัวเองบ้าง ทำร้ายคนอื่นบ้าง


    ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำในตอนนี้ก็คือตั้งสติให้ดี อย่ากลัวหรือตื่นตระหนกกับภัยพิบัติจนลืมตัว หรือมองข้ามอันตรายที่ยิ่งกว่านั้นคือใจวิบัติ อันตรายชนิดนี้ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่ใจเรานี่แหละ ใจที่ควรจะสร้างสุขให้เรา แต่กลับกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของเรา อย่าลืมว่าไม่มีอะไรที่จะทำร้ายเราได้มากกว่าจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ “จิตที่ฝึกฝนผิดทางย่อมทำความเสียหายให้ยิ่งกว่าศัตรูต่อศัตรูหรือคนจองเวรต่อคนจองเวรจะพึงทำให้กันเสียอีก”

    ศัตรูทำร้ายศัตรูด้วยกัน หรือคนจองเวรกัน ก็ยังไม่ก่อความเสียหายเท่ากับใจที่ตั้งไว้ผิด ใจที่คลาดเคลื่อนจากธรรมหรือที่อาตมาเรียกว่าใจวิบัตินี้แหละ สามารถทำร้ายหรือสร้างความฉิบหายได้ยิ่งกว่าที่ศัตรูทำร้ายกัน แม้แต่โจรก็ทำร้ายเราได้ไม่เท่ากับใจของเราเองด้วยซ้ำ อย่างมากที่โจรแย่งชิงไปได้ก็คือทรัพย์สินเงินทองหรือเพชรนิลจินดาไป แต่เขาไม่สามารถแย่งชิงหรือขโมยความสุขไปจากใจเราได้ ในทำนองเดียวกันศัตรูด่าว่าเราไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้หรอก ไม่ว่าเขาจะพูดเสียงดังหรือสรรหาคำรุนแรงมาด่าเราเพียงใดก็ตาม ถ้าหากว่าใจเราไม่เปิดใจรับคำด่านั้น เราก็ไม่ทุกข์ แต่เพราะเราวางใจไม่ถูก คำพูดเพียงเล็กน้อยๆ ก็สามารถจะทำให้เราคลุ้มคลั่งเป็นบ้าหรือกลุ้มอกกลุ้มใจจนทำร้ายตัวเองได้

    มีหลายคนที่ฆ่าตัวตายเป็นเพราะเขาได้ยินคำพูดที่ไม่ถูกใจเพียงไม่กี่ประโยค ซึ่งอาจจะไม่ใช่คำพูดที่รุนแรงเช่น คำพูดว่า “แม่ไม่มีเงินซื้อโทรศัพท์มือถือให้นะ” หรือ “ถ้าแกสอบตก พ่อจะตัดหางปล่อยวัดแล้ว” คำพูดแค่นี้สามารถทำให้คนบางคนทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายได้ ถามว่ามันเป็นคำพูดที่รุนแรงหรือเปล่า มันไม่รุนแรงเลย แต่เป็นเพราะผู้ฟังวางใจไว้ผิด พอฟังแล้วใจก็เลยวิบัติ พอใจวิบัติแล้วก็สามารถทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น รวมทั้งทำร้ายตัวเอง

    แต่ถ้าวางใจไว้ดี ใจไม่วิบัติ แม้เจอภัยพิบัติจมอยู่ในกองอิฐ ก็ยังเป็นปกติได้ ตอนเกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น มีหลานกับยายสองคนถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังนานถึง ๙ วัน ไม่มีใครคิดว่าจะรอด แต่เจ้าหน้าที่กู้ภัยไปพบและช่วยไว้ได้ คนที่ถูกช่วยออกมาจากซากปรักหักพังก่อนคือ หลานอายุ ๑๖ ปี พอหลานรู้ว่ามีคนมาช่วยก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความดีใจ แต่พอออกจากซากตึกได้ก็หมดแรงจนต้องนอนเปลขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ตรงกันข้ามกับยายอายุ ๘๐ ปีเดินออกมาสบายๆ ไม่มีอาการฟูมฟาย ไม่ต้องให้ใครพยุงหรือนอนเปล พูดถึงสภาพร่างกายแล้ว สองคนนี้แตกต่างกันมาก หลานแข็งแรงกว่ายายมาก แต่ทำไมหลานหมดสภาพทันทีที่ออกมาจากซากตึก ตรงข้ามกับยายที่เดินออกมาอย่างปกติ เป็นเพราะอะไร คำตอบอยู่ที่ใจนั่นเอง ใจของยายนั้นสงบตั้งแต่อยู่ในซากตึกแล้ว อาจเป็นเพราะมีความหวังว่าจะมีคนช่วยออกมาได้ หรือไม่ก็เพราะใจพร้อมจะตายตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเวลายายเจอเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็เลยไม่ได้ดีอกดีใจอะไรมาก และเมื่อใจสงบ ไม่วิตกกังวลร่างกายก็เลยเข้มแข็ง ไม่ทรุดหรือหมดสภาพ ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีอาหารกิน นี้ก็เช่นเดียวกับกรณีเหมืองถล่มที่ชิลีเมื่อปีที่แล้ว มีคนงาน ๓๓ คนถูกขังอยู่ใต้ดินลึกถึง ๖๐๐ เมตร นานถึง ๗๐ วัน ไม่มีใครรู้ว่าจะรอดหรือเปล่า ที่จริงโอกาสตายมีสูงมาก เพราะการช่วยเหลือทำได้ยากมาก แต่ว่าทุกคนก็รอดมาได้ ไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่กู้ภัยเก่งอย่างเดียว แต่เป็นเพราะคนที่ถูกขังใต้ดินนั้นเขาดูแลจิตใจของตนเองดี ส่วนหนึ่งเพราะต่างช่วยกันดูแลจิตใจของกันและกัน ทำให้ไม่ตื่นตระหนก เสียขวัญ หรือท้อแท้ เห็นได้ชัดว่าแม้เจอภัยพิบัติแต่ถ้าใจไม่วิบัติ ใจเป็นปกติ สามารถพบกับความสุขหรืออย่างน้อยก็ไม่ทุกข์ทรมานแม้จะอยู่ใกล้ชิดความตายอย่างยิ่งก็ตาม

    การรักษาใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราหันมาให้ความสำคัญกับการรักษาใจ รู้จักประคับประคองใจไม่ให้วิบัติ เราจะไม่กลัวภัยพิบัติ และไม่กังวลด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่นิ่งเฉย ไม่ทำอะไรเลย ในสภาพอย่างนี้เราต้องไม่ประมาท ควรเตรียมการป้องกันเต็มที่ แต่ก็ไม่ควรทำด้วยความตื่นตระหนก ขณะเดียวกันก็รู้ว่าอันตรายเหล่านี้ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะควบคุมได้ แม้แต่พยากรณ์ก็ยังทำได้ยาก โดยเฉพาะ แผ่นดินไหว ไม่มีทางพยากรณ์ได้เลย ดังนั้นจึงพร้อมเผชิญกับมันตลอดเวลา มิใช่แต่ภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น แม้ภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ เช่น ไฟไหม้ ก็ยังสามารถรักษาใจให้ปกติไม่อกสั่นขวัญแขวน หรือถึงจะไม่มีภัยพิบัติใดๆ เกิดขึ้นเลย แต่เป็นปรากฏการณ์ธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคนเช่น ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย แม้กระทั่งความตาย เมื่อเกิดขึ้นเราก็ยังสามารถรักษาใจได้ให้ปกติได้

    เราควรดูแลรักษาใจอย่างไรเพื่อไม่ให้ใจวิบัติ ขอกล่าวอย่างย่อ ๆ ดังนี้

    ๑.มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ความตื่นตระหนก ความกลัว ความโกรธ หรือความโลภ ครอบงำใจ เวลาได้ยินข่าวคราวหรือเสียงร่ำลือเกี่ยวกับภัยพิบัติ รวมทั้งคำพยากรณ์ต่าง ๆให้ตั้งสติให้ดี อย่าเพิ่งตื่นตระหนก หรือทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม สืบสาวหาความจริงก่อนว่า ความจริงเป็นอย่างไร หาไม่เราจะตกเป็นเหยื่อของข่าวลือ หรือทำให้ข่าวลือแพร่กระจาย พร้อมกันนั้นก็หมั่นเจริญสติอยู่เป็นประจำ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเพื่อจะได้มีสติ รักษาใจไม่ให้หวั่นไหวไปตามสิ่งที่มากระทบ

    ๒.อยู่กับปัจจุบัน อย่ามัวห่วงกังวลกับอนาคตหรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การเตรียมตัวป้องกันเหตุร้ายเป็นสิ่งที่ดี แสดงถึงการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แต่หากหมกมุ่นกับภัยพิบัติที่ยังไม่เกิด จนไม่รู้จักปล่อยวางเลย เราจะเป็นทุกข์โดยใช่เหตุ หรือกลายเป็นคนตีตนไปก่อนไข้ เมื่อเตรียมการเต็มที่แล้ว ก็ควรหันมาใส่ใจกับการอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด รวมทั้งมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย อย่ากังวลกับอนาคตภัยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือเคร่งเครียด เพราะการกระทำเช่นนั้น นอกจากเป็นการนำความทุกข์มาทับถมตนหรือซ้ำเติมตนเองแล้ว ยังเป็นการละทิ้งความสุขที่มีอยู่โดยชอบธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่สรรเสริญ

    ๓.พร้อมยอมรับความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้น อะไรก็ตามเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้เป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ ป่วยการที่เราจะตีโพยตีพาย โวยวาย หรือปฏิเสธผลักไส เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังทำให้เราเป็นทุกข์เพิ่มขึ้น สิ่งที่ควรทำคือยอมรับความจริง แล้วใคร่ครวญว่าควรจะทำอะไรต่อไป เช่น จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร เราจะทำใจพร้อมยอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นได้ก็ด้วยการหมั่นฝึกใจให้พร้อมยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกใจในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ เช่น รถติด ฝนตก เงินหาย ถูกตำหนิ ฯลฯ หากทำใจยอมรับสิ่งเหล่านี้ด้วยใจที่เป็นกลางได้ ก็จะช่วยให้เราสามารถเผชิญกับภัยพิบัติได้ด้วยใจสงบไม่ตื่นตระหนกหรือเสียขวัญ

    ๔.เจริญมรณสติอยู่เสมอ นั่นคือตระหนักถึงความจริงว่า ความตายเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน และสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา ความตายจึงอยู่ใกล้ตัวเรายิ่งกว่าภัยพิบัติใด ๆ ทั้งสิ้น และถึงแม้ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นเลย เราก็หนีความตายไม่พ้น แต่ความตายจะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่รู้ อาจเกิดขึ้นกับเราวันนี้คืนนี้ก็ได้ ดังนั้นจึงควรถามตัวเองว่า หากวันนี้ต้องตาย เราพร้อมหรือไม่ที่จะจากโลกนี้ไป เราทำความดีสร้างบุญกุศลมาพอหรือยัง กิจธุระที่สำคัญทำเสร็จสิ้นหรือยัง และพร้อมปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ รวมทั้ง ทรัพย์สมบัติ ลูกหลาน พ่อแม่ คนรัก ตลอดจนร่างกายนี้หรือยัง หากไม่พร้อมก็ควรเร่งทำ อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติกับทุกคนด้วยความใส่ใจโดยตระหนักว่าเขาอาจอยู่กับเราวันนี้เป็นวันสุดท้ายก็ได้ อย่าละเลยโอกาสที่จะทำดีกับทุกคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย

    ๕.มีน้ำใจต่อผู้อื่นเสมอ ยิ่งนึกถึงตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นทุกข์ง่ายมากเท่านั้น ตรงกันข้ามการนึกถึงผู้อื่นที่ทุกข์มากกว่าเรา จะช่วยให้เราทุกข์น้อยลง เห็นความทุกข์ของเราเป็นเรื่องเล็กกว่าเดิม สามารถทนกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้

    ตอนที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเมืองไทยเมื่อเร็ว ๆนี้ ผู้สื่อข่าวผู้หนึ่งซึ่งไปทำข่าวที่ปทุมธานีเล่าว่า ได้พบคุณลุงคนหนึ่ง กำลังลุยน้ำอยู่จึงรับขึ้นรถ คุณลุงเล่าว่าก่อนหน้านี้ได้ต่อเรือและรถหลายทอดมายังตัวเมืองปทุมธานี เพื่อหาซื้ออาหาร เพราะที่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๒๐ กิโลเมตรนั้นน้ำท่วมสูงมากจนหาซื้ออะไรไม่ได้ กว่าจะมาถึงตัวเมืองก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๔ ชั่วโมง ปรากฏว่าฟ้ามืดแล้ว ไม่สามารถหารถหรือเรือกลับบ้านได้ จึงต้องนอนค้างที่ตัวเมือง และกลับวันรุ่งขึ้น โชคดีที่เจอรถผู้สื่อข่าวกลางทาง คุณลุงเล่าว่าที่บ้านนั้นมีคนอาศัยอยู่หลายคน ต่างขาดแคลนอาหารกันทั้งนั้น เมื่อรถของผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงจุดที่รถกระบะไม่สามารถลุยต่อไปได้ ก็ให้คุณลุงลุยต่อหรือหาเรือกลับบ้านเอาเอง ก่อนจากกันผู้สื่อข่าวซึ่งนำถุงยังชีพไป แจกจ่ายระหว่างทำข่าวด้วย ได้มอบถุงยังชีพให้คุณลุงหลายถุงเพราะทราบว่ามีคนอยู่ด้วยกันหลายคน แต่คุณลุงกลับขอรับไปเพียงถุงเดียว ด้วยเหตุผลว่า "ยังมีคนอื่นที่เขาต้องการอีกมาก" คุณลุงรู้ดีว่าถุงยังชีพเพียงถุงเดียวคงพอใช้ได้แค่วันสองวันเท่านั้น แต่คุณลุงเห็นว่าปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัวนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อนึกถึงความทุกข์ของผู้อื่นที่หนักหนากว่า

    ใจของเรานั้นหากปล่อยให้วิบัติ สามารถทำอันตรายแก่เราได้ยิ่งกว่าที่โจรผู้ร้ายจะทำได้ ในทางตรงข้ามหากดูแลรักษาใจให้ดี ใจก็จะกลายเป็นมิตรที่ประเสริฐที่สุดของเราได้ ไม่ว่าจะเจออันตรายร้ายแรงเพียงใด ก็ไม่หวั่นไหว หาสุขพบได้ท่ามกลางเหตุร้ายที่เกิดขึ้น หรือสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้

    ไม่มีใครหรืออะไรสามารถให้สิ่งประเสริฐแก่เราได้มากเท่ากับใจที่วางไว้ถูก ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “มารดาก็ทำให้ไม่ได้ บิดาก็ทำให้ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้ แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้ และทำให้ได้อย่างประเสริฐด้วย” ถ้าเราตั้งจิตไว้ถูก มีธรรมรักษาใจ ก็จะได้พบสิ่งที่ประเสริฐสูงสุดที่แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่สามารถให้ได้

    ดังนั้นหากกลัวภัยพิบัติ ก็ต้องเร่งฝึกฝนจิตใจเพื่อป้องกันไม่ให้ใจวิบัติ หมั่นใส่ใจดูแลเพื่อให้ใจกลายเป็นสมบัติอันประเสริฐสุดของเรา ถ้าหากวางใจได้อย่างนี้ ภัยพิบัติจะกลับกลายเป็นคุณต่อเรา มิใช่เป็นโทษสถานเดียวอย่างที่ใครต่อใครกำลังหวาดกลัวอยู่ในเวลานี้
    :- https://visalo.org/article/NaturePaipibut.htm

     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    คำนิยมปฏิบัติการแห่งความรัก
    ปาฐกถาธรรมแนะนำท่านติช นัท ฮันห์
    โดย พระไพศาล วิสาโล

    ขอกราบคารวะท่านติช นัท ฮันห์ ตลอดจนพระเถรานุเถระ ภิกษุ ภิกษุณี และเจริญพรญาติโยมสาธุชนทุกท่าน

    เมื่อกลางปี พ.ศ.๒๕๑๗ ได้มีบทความชิ้นหนึ่งปรากฏอยู่ในวารสารชื่อ “ปาจารยสาร” บทความนั้นชื่อ “ปฏิบัติการแห่งความรัก” ซึ่งมาจากบทความขนาดยาวชื่อ Love in action บทความนั้นเขียนโดยพระเวียดนามรูปหนึ่งชื่อติช นัท ฮันห์ นั่นคือ บทความชิ้นแรกของท่านติช นัท ฮันห์ ที่ปรากฏสู่บรรณพิภพและสังคมไทย และเป็นครั้งแรกที่คนไทยได้ทราบถึงขบวนการชาวพุทธในเวียดนามที่พยายามสร้างสันติภาพท่ามกลางสงครามเวียดนามที่กำลังลุกลามขยายตัว บทความชิ้นนั้นได้ถางทางไปสู่บทความอื่นๆ ของท่านติช นัท ฮันห์ ในภาคภาษาไทย ซึ่งทำให้เราได้เห็นถึงความเสียสละอย่างยิ่งของท่าน ตลอดจนคณะสงฆ์ และลูกศิษย์ลูกหาของท่าน เพราะเป็นเวลานานที่สงครามเวียดนามได้สร้างบรรยากาศแห่งความเกลียดกลัวทำลายล้าง และการเข่นฆ่าประหัตประหารกัน โดยมีสองฝ่ายที่ต่างจ้องทำลายกัน

    ในครั้งนั้นท่านติช นัท ฮันห์ ได้เป็นผู้นำชาวพุทธที่เรียกร้องให้ชาวเวียดนามและชาวโลกหันมาเห็นภัยสงครามและร่วมกันสร้างสรรค์สันติภาพ สิ่งที่ท่านติช นัท ฮันห์ และขบวนการของท่านกระทำนั้นไม่ใช่เพียงแค่พูดและเทศนาสั่งสอน แต่ยังได้อุทิศตัวทั้งกายและใจ จนหลายท่านต้องเสียสละชีวิตเพราะถูกประหัตประหารด้วยความเข้าใจผิด หลายท่านไม่สามารถที่จะเปล่งเสียงร้องเพื่อสันติภาพมากไปกว่าการทำสิ่งซึ่งคนธรรมดาไม่ทำกันคือ การอุทิศตัวเป็นร่างในกองเพลิง เพื่อให้โลกตื่นตัวในสันติภาพ

    ในช่วงเวลาเกือบ ๒๐ ปีที่สงครามเวียดนามได้ลุกลาม ท่านติช นัท ฮันห์ ได้ทำให้ผู้ใฝ่สันติภาพทั่วโลกได้รับรู้ถึงความโหดร้ายของสงคราม และตระหนักว่ายังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่อุทิศตัวเพื่อสันติภาพโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และถูกทำร้ายถูกประหัตประหาร อย่างไรก็ตามท่านติช นัท ฮันห์ และสานุศิษย์ของท่านหาได้แสดงความเกลียดชังหรืออาฆาตพยาบาทต่อผู้ประหัตประหารไม่ แต่พยายามสร้างความเข้าใจด้วยเมตตาและกรุณา และพยายามทำให้เกิดความรักต่อกันและกัน

    เมื่อท่านติช นัท ฮันห์ ได้ไปเยือนประเทศอเมริกาเพื่อเรียกร้องสันติภาพ นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้โลกได้ประจักษ์ถึงอานุภาพแห่งความรัก ซึ่งท่านได้ทำเป็นแบบอย่าง สิ่งที่ท่านและขบวนการของท่านได้ทำตลอด ๑๐ กว่าปี ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับขบวนการสันติภาพในประเทศตะวันตกมาก เพราะท่านได้ชี้ให้เห็นว่าการทำงานเพื่อสันติภาพต้องควบคู่กับการสร้างสันติภาวะในใจ คือ รักษาใจไม่ให้โกรธเกลียดแม้กระทั่งกับผู้ที่เข่นฆ่าเพื่อนร่วมขบวนการของเรา

    สิ่งที่ท่านทำได้เป็นแรงบันดาลใจและความประทับใจแม้กับเพื่อนศาสนิกชาวคริสต์ในอเมริกา บาทหลวงแดเนียล เบอริแกน ได้กล่าวว่า ท่านติช นัท ฮันห์ เหมือนนักบุญเปาโล ซึ่งเป็นหนึ่งในอัครสาวกของพระเยซูเจ้า เพราะว่าท่านดำเนินชีวิตด้วยความรัก แม้จะต้องประสบกับสิ่งที่ทำให้ทุกข์ทรมานทางใจและกายเพียงใดก็ตาม มาร์ติน ลูเธอร์ คิง เป็นอีกผู้หนึ่งที่ประทับใจในสิ่งที่ท่านทำ จนเสนอชื่อให้ท่านได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ในช่วงทศวรรษ ๑๙๖๐ - ๑๙๗๐

    เมื่อสงครามเวียดนามสงบ ท่านได้เป็นกำลังสำคัญที่นำเอาความสมานฉันท์กลับคืนมา ท่านได้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างชาวเวียดนามและชาวอเมริกัน ทหารผ่านศึกชาวอเมริกันหลายคนซึ่งเกลียดชังชาวเวียดนาม แต่เมื่อได้มาสัมผัสกับความเมตตากรุณาของท่าน ก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์แทบเท้าท่าน ท่านยังได้เยียวยาผู้ที่ผ่านศึกสงคราม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฆ่าหรือผู้ถูกทำร้าย ทำให้ชาวอเมริกันและชาวเวียดนามได้กลับมาเป็นมิตร มิใช่เพียงเป็นมิตรระหว่างกัน แต่เป็นมิตรกับตัวเอง คือเกิดสันติภาวะในตัวเอง

    และเมื่อโลกลุกเป็นไฟจากการก่อการร้ายหลัง ๑๑ กันยายน ท่านเป็นบุคคลแรกๆ ที่ได้เตือนสติชาวอเมริกันและรัฐบาลอเมริกันให้ตระหนักว่า ความรุนแรงไม่ใช่คำตอบ คำตอบอยู่ที่การพินิจตัวเองอย่างลึกซึ้งเพื่อตระหนักว่าความโกรธเกลียดจากฝ่ายตรงข้ามก็เป็นความรับผิดชอบของเราด้วย ในยุคที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง อาฆาตพยาบาท ชีวิตและสันติภาวะของท่านติช นัท ฮันห์ ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับมโนธรรมสำนึกของผู้คน เพื่อระลึกว่า แม้จะต่างศาสนาต่างประสบการณ์ แม้จะต่างเพศต่างผิวพรรณ แต่สุดท้ายแล้วเราทุกคนเป็นพี่น้องกัน

    ท่านได้บอกกับเราว่า ศัตรูของเรามาในชื่อของความเกลียดชัง ศัตรูของเรามาในชื่อของอุดมการณ์ ศัตรูของเรามาในชื่อของความทะยานอยาก ศัตรูของเรามิใช่มนุษย์ เพราะถ้าเราฆ่ามนุษย์แล้วเราจะอยู่กับใคร

    สังคมไทยวันนี้โชคดีที่ท่านติช นัท ฮันห์ ได้มาเยี่ยมเยือนและเตือนสติให้แก่สังคมไทย เพื่อให้เราตระหนักถึงความรักความเมตตาที่มีอยู่แล้วในใจเรา และเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการดึงเอาความรักออกมาจากใจเราเพื่อสร้างโลกที่งดงาม และค้นพบความสุขที่แท้จริงในใจเรา

    เพราะฉะนั้นวันนี้ขอให้ทุกท่านได้สดับรับฟังธรรมะด้วยใจสงบ ให้เสียงธรรมของท่านติช นัท ฮันห์ ซึมซาบลงไปในใจเรา เพื่อดึงเอาความสงบสงัด และนำความรักความเมตตาออกมาสู่วิถีชีวิตที่ดีงาม วิถีชีวิตที่เปี่ยมด้วยความรักความเข้าใจ ปราศจากการแบ่งแยก ไม่ว่าจะแบ่งแยกมนุษย์หรือแบ่งแยกผู้คนออกจากกันก็ตาม

    ในโอกาสนี้ขออาราธนาพระคุณเจ้าติช นัท ฮันห์ ได้กรุณาแสดงปาฐกถาเพื่อประโยชน์แก่สาธุชนและมนุษย์นิกรทั้งหลาย
    :- https://visalo.org/article/person18NhatHanh3.htm
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    อย่าด่วนสรุป
    พระไพศาล วิสาโล
    มีพ่อคนหนึ่งมีความทุกข์มากที่ลูกชายไม่ดีเหมือนลูกคนอื่น แกทุกข์จนถึงขนาดซึมเศร้าไปเลย ต้องไปหาจิตแพทย์ ซึมเศร้าเพราะว่าลูกไม่ใช่คนสมบูรณ์ แกอยากได้ลูกที่สมบูรณ์ หมอก็แนะนำดี หมอบอกว่าลูกที่สมบูรณ์นั้นไม่มีหรอก เช่นเดียวกับพ่อที่สมบูรณ์ก็ไม่มี อย่างคุณก็ไม่ใช่พ่อที่สมบูรณ์ แต่คุณก็ดีพอที่จะเลี้ยงลูกได้ ลูกของคุณก็ไม่ใช่ลูกที่สมบูรณ์ แต่เขาก็ดีพอที่จะเป็นลูกของคุณได้ พอหมอพูดอย่างนี้ พ่อคนนี้ก็ได้คิดเลยว่าเออใช่นะ เป็นเพราะเราชอบเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าลูกเขาดีกว่าลูกเรา เราจึงไม่พอใจลูก เพราะคิดว่าลูกไม่ใช่เด็กที่สมบูรณ์เหมือนคนอื่นเขา ที่จริงเขาลืมมองตัวเองว่าอยากจะได้ลูกที่สมบูรณ์ แต่ตัวเองเป็นพ่อที่สมบูรณ์หรือไม่ ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้เพราะไม่มีใครที่สมบูรณ์พร้อม ถ้ามองแบบนี้ ความพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ ก็จะเกิดขึ้น

    พ่อแม่ไม่ควรเปรียบเทียบลูกของตนกับลูกของคนอื่น ในทำนองเดียวกันลูกก็ไม่ควรเปรียบเทียบพ่อแม่ของตัวเองกับพ่อแม่ของคนอื่น บางทีก็เปรียบเทียบตัวเองกับพี่น้อง ก็ทุกข์ขึ้นมาทันที ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะคิดว่าพ่อแม่รักเราน้อยกว่าพี่น้อง คนที่เป็นลูกทุกข์เพราะเหตุนี้เยอะ พ่อแม่เป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พอคิดเปรียบเทียบแบบนี้แล้วก็จะทุกข์ได้ง่ายมาก คนสวยแต่กลับทุกข์ เพราะเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือนางแบบ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ อย่างนี้ก็เรียกว่าทุกข์เพราะความคิด เพราะมองไม่เป็น

    ถ้าเราเปรียบเทียบกับคนอื่นให้น้อยลง พยายามอยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น เวลาใจเผลอคิดถึงเรื่องอดีต เรื่องอนาคต เกิดความเครียด หรือเกิดความกังวลขึ้นมา ก็รู้ทัน พาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ ความทุกข์ก็จะไม่ครอบงำจิตใจได้ง่าย ๆ อยู่กับปัจจุบันก็คือ ใส่ใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ขณะนี้ รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้ เวลาฟังธรรมะ ใจก็อยู่กับการฟังธรรมะ หรือกำลังทำงานอยู่ ใจก็อยู่กับงาน แต่ถ้าใจนึกถึงงานอื่นที่คาอยู่ ก็จะเกิดความกังวลหนักอกหนักใจขึ้นมาทันที แต่ถ้ารู้ทัน สติก็จะพาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน พอใจอยู่กับปัจจุบัน ความทุกข์ ความกังวล ความเครียดก็จะลดลงไปได้มาก

    พวกเราเป็นอย่างนี้หรือไม่ เวลาทำงานก็นึกถึงลูกที่บ้าน แต่เวลาอยู่กับลูกที่บ้านก็กลับนึกถึงงาน เวลานอนก็นึกถึงงานจนนอนไม่หลับ แต่เวลาทำงานกลับง่วงนอน ถ้าทำงานแต่ใจคิดถึงลูก เกิดอะไรขึ้น เกิดความกังวล ไม่มีสมาธิกับงาน ไม่อยากทำงาน กลายเป็นทุกข์กับงาน ครั้นเวลาอยู่กับลูก แทนที่จะมีความสุขกับลูก เปล่า กลับคิดถึงงาน ก็ทำให้กังวล หนักใจ บางทีระบายความเครียดใส่ลูกโดยไม่รู้ตัวก็มี ลูกพูดผิดหูนิดหน่อย ลูกไม่ฟังนิดหน่อย ก็ตวาดใส่ลูก ที่จริงไม่ได้โกรธลูกหรอก แต่ว่าเครียดเพราะนึกถึงงานที่ยังกองสุมอยู่

    มันจะง่ายขึ้นถ้าเราพาใจมาอยู่กับปัจจุบัน เวลาทำงานใจก็อยู่กับงาน อย่าเพิ่งนึกถึงลูก เพราะนึกไปก็ไม่มีประโยชน์ เราทำอะไรไม่ได้ มีแต่จะทำให้กังวลเปล่า ๆ พออยู่กับลูกใจก็อยู่กับลูกด้วย ไม่ใช่อยู่แต่ตัวเท่านั้น วางงานไว้ก่อน เวลานอนก็นอน ตื่นขึ้นมาจะได้มีเรี่ยวมีแรง มีกำลังวังชา มีความสดชื่น ทำงานได้โดยที่ไม่ต้องง่วงเหงาหาวนอน ชีวิตมันจะง่ายขึ้นและมีความโปร่งเบามากขึ้น เพียงแต่เราเอาใจอยู่กับปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็รู้ทันความคิดที่ปรุงแต่งไปในทางลบด้วย เห็นอะไรอยู่ตรงหน้าก็อย่าเพิ่งด่วนสรุป ถึงแม้ว่าสิ่งที่เราเห็นจะชวนให้คิดคล้อยไปอย่างนั้นก็ตาม

    หมอคนหนึ่งขยันทำงานมาก เขาเล่าว่ามีเด็กอายุประมาณ ๕-๖ ขวบป่วยหนัก พ่อจึงพามารักษาตัวที่โรงพยาบาล เขาก็เอาใจใส่ดูแลอย่างดี หมอบอกกับพ่อของเด็กว่าทุกเช้าเวลาหมอมาตรวจให้อยู่พบหมอด้วย จะได้ซักถามอาการของลูกจากพ่อได้ อีกทั้งจะได้แนะนำพ่อว่าควรดูแลลูกอย่างไร ผ่านไปหลายวันเช้าวันหนึ่งหมอมาตรวจเด็ก แต่ไม่เห็นพ่อเลยก็ไม่พอใจ วันรุ่งขึ้นก็เหมือนเดิม ไม่เห็นพ่อ หมอไม่พอใจมากที่พ่อไม่มีความรับผิดชอบ ทั้ง ๆ ที่ลูกป่วยหนัก ทำไมไม่อยู่ดูแลลูก ตอนเย็นหมอเจอพ่อของเด็ก จึงต่อว่าพ่อว่าทำไมคุณไม่มีความรับผิดชอบ ทำไมไม่อยู่ดูแลลูก หมออุตส่าห์ย้ำแล้วว่าเวลาหมอมาตรวจให้อยู่ด้วย พ่อก็ยกมือไหว้ขอโทษหมอ และบอกว่า “ข้าวที่ผมเอามาจากหมู่บ้านหมดแล้ว ผมไม่มีข้าวกิน ก็เลยต้องไปขอข้าวจากวัดที่อยู่ใกล้ ๆ โรงพยาบาล กว่าจะได้กินก็ต้องรอพระฉันเสร็จก่อน พอกินเสร็จก็ต้องล้างถ้วยล้างชามให้วัดด้วย ก็เลยมาไม่ทันหมอ”

    หมอได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ไปว่าเขา ที่จริงเขาน่าสงสาร เพราะยากจน ไม่มีเงินแม้กระทั่งจะซื้อข้าวกิน สาเหตุที่หมอไปต่อว่าเขาเพราะด่วนสรุป ยังไม่ทันถามเขาก็ต่อว่าเขาไปแล้วว่าไม่มีความรับผิดชอบ ไม่เอาใจใส่ลูก หลายคนก็เป็นแบบนี้ใช่ไหม ต่อว่าเขาทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ความจริง แต่ด่วนสรุปแล้วว่าเขาแย่อย่างนั้น แย่อย่างนี้ ถ้าเราลองคิดเผื่อสักหน่อยว่าเขาอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำเช่นนั้น เราก็คงไม่ด่วนตำหนิใครไปก่อน

    ธรรมชาติของคนเรานั้นพอเห็นอะไรแล้วจะไม่เห็นแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้าอย่างเดียว แต่ยังคิดถึงเบื้องหลังด้วย หรือชอบคาดการณ์ไปล่วงหน้าด้วย มีคนหนึ่งเล่าว่าเขาอยู่บ้านจัดสรร ต่อมามีเพื่อนบ้านย้ายมาอยู่ติดกัน ผ่านมาได้แค่ ๒ วันก็ปรากฏว่าเกิดพายุพัดกระหน่ำ ทำให้ไฟดับทั้งหมู่บ้าน สักพักเพื่อนบ้านก็มากดกริ่งที่หน้าบ้าน ถามเขาว่ามีไฟฉายไหม ได้ยินเช่นนั้นเขาก็นึกในใจว่า คุณเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วันก็มารบกวนฉันแล้ว ทำไมไม่เตรียมไฟฉายติดบ้านเอาไว้บ้าง จึงตอบอย่างห้วน ๆ ว่า “ไม่มี” เพื่อนบ้านคนนั้นก็เลยหยิบไฟฉายจากกระเป๋ายื่นมาให้ แล้วพูดว่า “งั้นเอาอันนี้ไปใช้ก่อนดีไหมครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์” เห็นเช่นนี้เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที เพราะหลงตำหนิเพื่อนบ้าน แท้จริงแล้วเพื่อนบ้านคนนี้มีน้ำใจ ห่วงใยว่าเขาจะไม่มีไฟฉายใช้ จึงอุตส่าห์ฝ่าฝนเอาไฟฉายมาให้ใช้

    เดี๋ยวนี้คนในเมืองคิดแบบนี้กันมาก เวลาใครมาถามแบบนี้ก็คิดว่าเขาจะมาขอ แต่ที่จริงแล้วเขาอาจมีน้ำใจช่วยเหลือก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าด่วนสรุป และถึงแม้ว่าเราจะมีความคิดหรือสรุปล่วงหน้าแล้วก็ให้รู้จักทักท้วงความคิดเหล่านั้นบ้าง อย่าเชื่อความคิดของตัวเองไปเสียหมด ให้ตระหนักว่ามันเป็นแค่ความคิด ไม่ใช่ความจริง ความจริงอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ ถ้าเราเผื่อใจ หรือทักท้วงความคิดของตัวเองบ้าง ก็จะช่วยให้เราไม่เผลอทำอะไรผิดพลาด จนเกิดความเสียหายขึ้นมา นอกจากจะช่วยไม่ให้เราสร้างความทุกข์หรือความขัดแย้งให้กับคนอื่นแล้ว ก็ยังป้องกันไม่ให้เราเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง

    หลวงพ่อคำเขียนเล่าว่าเมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อน ตอนนั้นท่านยังไม่ได้มาประจำที่สุคะโต ท่านเป็นเจ้าอาวาสที่วัดภูเขาทอง วันหนึ่งมีคนพาพระใหม่มาอยู่กับท่าน คนที่พามาบอกว่าพระรูปนี้เป็นน้องชายเขา ท่านก็แนะนำให้ปฏิบัติธรรม เดินจงกรม สร้างจังหวะ พระรูปนั้นทำได้แค่ ๒-๓ วันก็มาขอสึก บอกหลวงพ่อว่า “ผมไม่ได้มาบวชเพื่อเดินจงกรม แต่มาเพราะพี่ชายบังคับให้มา ผมบวชแล้ว ตอนนี้อยากสึก” หลวงพ่อไม่ยอมสึกให้ บอกว่าให้เดินจงกรมต่อ ผ่านไปได้แค่ ๒-๓ ชั่วโมง ก็มาหาหลวงพ่อใหม่ จะมาขอสึกอีก หลวงพ่อไม่ยอมและให้ปฏิบัติต่อ ผ่านไปพักใหญ่พระรูปนั้นก็มาอีก ยืนยันเหมือนเดิมว่าจะขอสึก คราวนี้หลวงพ่อจึงถามว่า “อะไรพาให้คุณมาหาผม” พระรูปนั้นตอบว่า “ความคิดครับ” หลวงพ่อจึงย้อนถามไปว่า “มันคิดแล้วต้องทำตามความคิดทุกอย่างหรือ ถ้าคุณทำตามความคิดทุกอย่าง ไม่แย่หรือ” แล้วท่านก็แนะนำให้พระรูปนั้นดูความคิดและคอยทักท้วงมันบ้าง พอได้ยินเช่นนั้นพระรูปนั้นก็เดินจากไปด้วยความไม่พอใจ

    วันรุ่งขึ้น พระรูปนั้นพอเห็นหลวงพ่อก็รีบเข้ามาหา แต่แทนที่จะมาขอสึกเหมือนเดิม กลับเข้ามากราบหลวงพ่อ อย่างนอบน้อม และบอกว่า ถ้าหลวงพ่อไม่ทัดทานเขาเมื่อวาน เขาต้องฆ่าคนแน่ เพราะตั้งใจว่าถ้าสึกแล้ว จะไปฆ่าคน ๒ คนให้หายแค้น เขาวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะเอาปืนและรถจากไหน แต่เมื่อหลวงพ่อแนะให้เขาดูความคิด เขาก็เลยได้สติ และตัดสินใจไม่สึก ปรากฏว่าพระรูปนั้นบวชต่อนานถึง ๒๐ ปี

    นี่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจว่าคนเราถ้าทำตามความคิดทุกอย่างแล้ว อาจจะลงเหวหรือไปอบายได้ เพราะความคิดนั้นที่ดีก็มี ที่ไม่ดีก็มี หากไม่รู้จักไตร่ตรองด้วยสติ ก็อาจถูกความคิดชั่วครอบงำ พาไปสู่หายนะได้ สิ่งที่หลวงพ่อคำเขียนพูดนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก “ถ้าคุณทำตามความคิดทุกอย่าง ไม่แย่หรือ” เมื่อมีความคิดขึ้นมาก็อย่าเพิ่งหลงเชื่อเสียทุกเรื่อง ให้ใคร่ครวญ ตรวจสอบ ทักท้วง หรือไม่ก็คิดเผื่อไปอีกทางหนึ่งบ้าง ขณะที่คิดไปในทางลบก็ลองคิดทางบวกเผื่อบ้าง เพราะความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่เรานึก เช่น เวลามีเสียงเหมือนคนเดินรอบกุฏิก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อว่าเป็นเสียงคนเดิน อย่าเพิ่งสรุปว่าเป็นพวกมิจฉาชีพกำลังคิดร้ายกับเรา ให้ลองคิดเผื่อบ้างว่า อาจจะเป็นเสียงสัตว์ก็ได้ เวลาทักเพื่อนแล้วเขาไม่ตอบ ก็อย่าเพิ่งสรุปว่าเขาไม่ชอบเรา ลองคิดเผื่อว่าอาจมีเหตุบางอย่างที่ทำให้เขาไม่ได้ยินเรา หรือไม่เห็นเรา ให้คิดเผื่อไปอีกทางหนึ่งบ้างว่าเขาอาจจะมีเรื่องกังวลใจอยู่ ถ้าเราคิดแบบนี้ ความเข้าใจผิดก็จะลดน้อยลง และเราเองก็จะมีเรื่องทุกข์น้อยลงด้วย
    :- https://visalo.org/article/komol5701.htm
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    สุขเพราะให้
    พระไพศาล วิสาโล
    คนเราเมื่อคิดถึงคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงป้า หรือคิดถึงเพื่อน คิดถึงคนที่ทุกข์ยาก หรือคิดถึงคนที่ไม่รู้จักเลย มันทำให้ความทุกข์ของเรากลายเป็นเรื่องเล็ก มีบาทหลวงท่านหนึ่งเป็นเพื่อนกับอาตมาเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งท่านไปเยี่ยมลูกศิษย์ที่เป็นนักศึกษาชั้นปีหนึ่งอายุ แค่ ๑๗ ปี เป็นโรคพุ่มพวงคือมีอาการแพ้ภูมิต้านทานของตัวเอง ภูมิต้านทานทำลายอวัยวะต่างๆ อาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล และปวดมาก ผ่าตัดก็ผ่าไม่ได้เพราะมีปัญหาเรื่องเลือด อวัยวะภายในก็พองโต พอเห็นหน้าคุณพ่อบาทหลวงท่านนี้เธอก็ตัดพ้อขึ้นมาว่า “ทำไมพระเจ้าทำให้หนูเป็นอย่างนี้” บาทหลวงท่านนี้ตอบว่า “พ่อก็ตอบไม่ได้ แต่มีอย่างหนึ่งที่อยากให้คุณทำคือ ให้สวดมนต์ถึงพระเจ้า รวมทั้งสวดมนต์ให้กับคนป่วยที่อยู่ในห้องเดียวกับคุณด้วย” วันต่อมาบาทหลวงก็เอาลูกประคำมาให้เธอ และมาเยี่ยมทุกวันๆ สีหน้าของเธอดีขึ้นเรื่อยๆ หน้าตาแช่มชื่น มีรอยยิ้ม เลิกบ่น เลิกตัดพ้อ ไปเยี่ยมได้ ๔ - ๕ วัน ท่านก็มีธุระที่ต่างจังหวัด ไปเป็นเดือนเลย พอกลับมากรุงเทพ ฯ ก็รีบไปเยี่ยมลูกศิษย์ทันที แต่ปรากฏว่าเธอเสียชีวิตแล้ว

    ที่น่าแปลกใจก็คือว่าคนไข้ที่อยู่ในหอผู้ป่วยเดียวกัน ต่างอยากรู้ประวัติของเธอว่า เธอเป็นใครเพราะพวกเขารู้สึกชื่นชมและประทับใจผู้หญิงคนนี้มาก พวกเขาเล่าว่า แม้ป่วยหนักเธอก็ยังอุตส่าห์เดินมาเยี่ยมผู้ป่วยตามเตียงต่างๆ คอยช่วยเหลือ ให้กำลังใจ หาน้ำให้ บางทีก็ช่วยประคองไปห้องน้ำ เป็นต้น คนไข้หลายคนอาการเบากว่าเธอด้วยซ้ำ แต่เธอก็มีน้ำใจมาคุยให้กำลังใจ พวกเขาประทับใจเธอมาก ตอนที่เธอเสียชีวิตก็จากไปอย่างสงบไม่ได้ทุรนทุรายอะไรเลย ผิดกับวันแรกที่บาทหลวงท่านนี้เห็นเธอ ตอนนั้นเธอทุกข์มาก ตัดพ้อต่อว่าพระเจ้า และตัดพ้อต่อว่าชะตากรรม แต่พอเธอทำตามคำแนะนำของท่าน คือให้สวดมนต์ถึงพระเจ้าและสวดมนต์ให้แก่เพื่อนผู้ป่วย ความทุกข์ของเธอกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย

    คนเราเมื่อเรามีน้ำใจต่อผู้อื่นแล้ว ไม่ใช่เขาเท่านั้นที่มีความสุข เราก็พลอยได้รับความสุขด้วย ความสุขที่เราให้แก่เขา ย้อนกลับมาสู่จิตใจของเรา เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น หากมองอย่างเห็นแก่ตัว มันเป็นการเกื้อกูลตัวเราเองด้วย พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงนิทานเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของนักกายกรรม สองคน คืออาจารย์กับศิษย์ ลูกศิษย์ต้องปีนขึ้นไปอยู่บนปลายไม้แล้วเลี้ยงตัวบนนั้นโดยถือถาดน้ำมันด้วย ส่วนปลายอีกข้างก็ตั้งอยู่บนศีรษะของอาจารย์ คล้ายกายกรรมปักกิ่ง ทั้งสองคนเลี้ยงชีพด้วยวิธีนี้ มีวันหนึ่งอาจารย์บอกลูกศิษย์ว่า “เมื่อเธอขึ้นไปอยู่บนปลายไม้แล้ว ก็ขอให้ดูแลซึ่งกันและกัน เธอดูแลฉัน ฉันดูแลเธอ ถ้าทำอย่างนี้เราก็จะแสดงกายกรรมได้สำเร็จ ได้ลาภด้วย และลงจากปลายไม้ได้อย่างปลอดภัยด้วย” แต่ลูกศิษย์กลับบอกว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้ดอก อาจารย์จงดูแลตัวเอง ผมก็ดูแลตัวผม เมื่อเราต่างดูแลตนอง ก็จะแสดงกายกรรมได้สำเร็จ ได้ลาภด้วย และลงจากปลายไม้ได้อย่างปลอดภัยด้วย” หลังจากเล่าเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าสรุปเรื่องนี้ให้เป็นข้อคิดที่สำคัญว่า “เมื่อดูแลตนก็คือดูแลผู้อื่น เมื่อดูแลผู้อื่นก็คือดูแลตน”

    มีทีมถ่ายทำภาพยนต์เข้าไปสารคดีในหมู่บ้านแห่งหนึ่งประมาณ ๒ - ๓ วันจนคุ้นเคยกับชาวบ้าน วันหนึ่งมีคุณป้าถือปลามาพวงหนึ่งเดินผ่านมาแล้วถามว่า “รู้ไหมว่าทำอย่างไรถึงจะกินปลาพวงนี้ได้นานๆ ” คนในกองถ่ายทำก็ระดมสมองกันใหญ่ว่าทำอย่างไร บ้างก็เสนอว่า เอาไปตากแดด บ้างก็เสนอว่าเอาไปหมัก ทำส้ม หรือใส่ตู้เย็นก็มี คุณป้าบอกว่าผิดหมดเลย คำตอบคือ “ต้องเอาไปแบ่งเพื่อนบ้านให้ทั่วถึง”

    ในความรู้สึกของคนเมือง การแบ่งให้เพื่อนบ้านทำให้เรากินได้น้อยลง แทนที่จะกินได้ ๒ วัน ก็อาจจะกินได้แค่มื้อเดียว แต่สำหรับคุณป้า เมื่อเราแบ่งให้คนอื่น เราก็จะมีกินได้นาน เพราะเมื่อเพื่อนบ้านหาปลามาได้ เขาก็มาแบ่งให้เราด้วย นี่คือวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อยู่กันมานาน เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้าน เขาอาจจนไม่มีเงินมีทอง แต่เขามีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อ น้ำใจและความเอื้อเฟื้อนี่แหละที่ทำให้ชาวบ้านอยู่รอดได้

    หลวงพ่อปัญญานันทะเล่าว่า ตอนท่านเป็นเด็กเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว มีอย่างหนึ่งที่ท่านเบื่อมาก ท่านเบื่อที่ต้องเอาอาหารจากบ้านท่านไปแบ่งให้เพื่อนบ้าน เพราะพ่อแม่เป็นคนมีน้ำใจ เวลาได้อะไรมา เช่น ได้เนื้อชิ้นใหญ่หรือได้ปลามาหลายตัว ก็จะแบ่งเป็นกองเล็กๆ เพื่อแจกชาวบ้าน ถ้าได้ทุเรียนมา ก็จะทำน้ำกะทิหม้อใหญ่แล้วตักแบ่งให้เพื่อนบ้าน ตอนนี้ก็ต้องเป็นหน้าที่ของเด็กชายปั่น คือหลวงพ่อปัญญาตอนเด็กๆ ต้องเอาอาหารหรือขนมเหล่านี้ไปแจกให้เพื่อนบ้านทุกบ้าน ทำไมถึงเบื่อ เบื่อเพราะว่าตอนเด็กอยากจะเล่น อยากจะสนุก แต่พ่อแม่เรียกให้เอาของไปแจกเพื่อนบ้านอยู่เรื่อย ท่านมาระลึกได้เมื่อโตขึ้นว่านี่คือสิ่งที่ทำให้หมู่บ้านอยู่กันได้อย่างมีความสุข ไม่มีเรื่องไม่มีราว ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะว่าเราจะทะเลาะกับคนที่มีน้ำใจแบ่งปันอาหารให้กับเราได้อย่างไร

    หลวงพ่อท่านเจ้าคุณโพธิรังสีที่เชียงใหม่ก็เล่าคล้ายกัน ว่าตอนท่านยังเด็ก ชาวบ้านแต่ละบ้านเขาทำอาหารเพียงอย่างเดียว กินอย่างเดียวจะไม่เบื่อหรือ จะเบื่อได้อย่างไร ในเมื่อบ้านอื่นเขาก็ทำคนละอย่างเสร็จแล้วก็เอามาแบ่งกัน ทำอย่างเดียวแต่มีกินหลายอย่าง ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลจึงทำให้ชาวบ้านอยู่กันได้อย่างมีความสุข ในทำนองเดียวกันความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลคือสิ่งที่จะทำให้พวกเรามีชีวิตได้อย่างเป็นสุข ถึงแม้ว่าจะประสบอุปสรรคมากมายเพียงใด แต่ถ้ามีน้ำใจสักอย่างแล้ว พวกเราจะอยู่ได้สบาย

    เราคงทราบว่าประเทศธิเบตอยู่บนหลังคาโลก คืออยู่บนพื้นที่ที่สูงที่สุดในโลกประมาณสี่พันห้าพันเมตร พวกเราถ้าขึ้นไปอยู่บนนั้น จะปวดหัวในเวลาเพียงแค่ครึ่งวัน หัวใจจะเต้นแรง กินไม่ได้นอนไม่หลับ เดินแค่จากนี้ไปประตูก็เหนื่อยแล้วต้องพัก แค่ลงจากรถไปฉี่ข้างทางก็เหนื่อยแล้วเพราะอากาศเบาบางมาก บนนั้นต้นไม้ขึ้นไม่ได้ มีแต่หญ้าเล็กๆ แต่มีชาวบ้านอยู่กันเป็นแสนเป็นล้าน เขาอยู่กันได้ ทั้งๆ ที่กันดารและอากาศก็หนาวมาก เขาอยู่กันได้อย่างไร มีเหตุผลอยู่ ๒ ประการ ประการแรกคือน้ำจากหิมะ หิมะเมื่อเจอความร้อนมันก็ละลาย พอละลายแล้วหญ้าต้นเล็กๆ ก็ขึ้นได้ พอมีหญ้าก็มีวัวที่เรียกว่าจามรี จามรีกินหญ้าก็กลายเป็นปศุสัตว์ เนื้อเป็นอาหาร นมทำเป็นเนย หนังให้ความอบอุ่น ส่วนขี้ก็เป็นเชื้อเพลิง

    ประการที่สอง นอกจากน้ำคือน้ำใจ น้ำใจและความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ทำให้เขาอยู่กันได้ ไม่ว่าจะอยู่ในถิ่นที่กันดารแค่ไหน อย่างเช่น บนเขาสูงหรือในแดนหิมะอย่างชาวเอสกิโม หรือในทะเลทรายอย่างพวกบุชแมน เขาอยู่กันได้อย่างมีความสุข คือ สุขด้วยน้ำใจ สุขด้วยความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน เพราะฉะนั้นน้ำใจในคณะธรรมยาตราเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่อยากจะเชิญชวนให้พวกเราหล่อเลี้ยงให้คงอยู่ และมันจะดีกับเราด้วย

    คนที่เห็นแก่ตัวคือคนที่ทำร้ายตัวเอง เพราะคนที่เห็นแก่ตัวจะเต็มไปด้วยความโกรธ เต็มไปด้วยความโลภ และจะมีความผิดหวังได้ง่าย เพราะจิตคับแคบ ถูกอะไรกระทบก็จะทุกข์เพราะคิดถึงแต่ตัวเอง แค่เป็นสิว ผิวแห้ง ผมแตกปลายก็จะตายให้ได้เพราะว่าไม่สวย คิดถึงแต่ตัวเอง แต่ถ้าคิดถึงคนอื่น เห็นคนอื่นลำบากกว่านี้เขาก็ยังอยู่ได้ มีชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งพิการ เกิดมามีแต่หัวกับตัว ไม่มีแขนไม่มีขา เขียนหนังสือเรื่อง “ไม่ครบห้า” คือมีแต่หัว ไม่มีแขนสองขาสอง เขาพูดตอนหนึ่งว่า “ผมเกิดมาพิการ แต่ผมมีความสุข และสนุกทุกวัน”

    คนที่ทุกข์เพราะเป็นสิวผิวแห้ง ผมแตกปลาย ให้ลองนึกถึงคนพิการเหล่านี้ เราจะรู้สึกเลยว่าความทุกข์ของเราเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือไม่ก็นึกถึงเด็กยากจน เด็กที่ไม่มีอะไรจะกิน เราจะรู้สึกเลยว่า แม้เราจะไม่มีโทรศัพท์มือถือ หรือโทรศัพท์มือถือเป็นรุ่นเก่า ก็ไม่ได้เสียหายอะไรเลย กลับดีเสียอีก ไม่เปลืองเงิน อยากย้ำว่า การนึกถึงคนอื่นทำให้เราทุกข์น้อยลง แต่ถ้าเราคิดถึงแต่ตัวเอง เราจะทุกข์มาก

    เมื่อร้อยปีที่แล้ว มีผู้หญิงญี่ปุ่นคนหนึ่ง ชื่ออิวาซากิ พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เล็ก อยู่กับลุงด้วยความทุกข์ยากลำบาก อาหารก็ไม่ค่อยจะมีกิน หนังสือเรียนไม่ต้องพูดถึง ลุงก็เลยขายให้สำนักเกอิชา เกอิชาก็เหมือนกับโสเภณี แต่เป็นโสเภณีชั้นสูง คือต้องมีความสามารถทางด้านการร่ายรำ เขียนบทกวีเพื่อบำรุงบำเรอคนรวย แต่ก็อยู่อย่างลำบาก เป็นเกอิชาก็ถูกกดขี่ รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่สมหวัง ต่อมาน้องก็ตาย ไม่นานหลังจากนั้น เธอก็สูญเสียแฟนซึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ เธอมีความทุกข์มาก รู้สึกว่าชีวิตนี้ลำเค็ญเหลือเกิน ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว วันหนึ่งจึงเดินเข้าไปในป่า ขณะที่หิมะตกหนัก หวังจะให้หิมะตกทับถมร่างจะได้ตาย แต่ปรากฏว่ามีชาวบ้านคนหนึ่งช่วยเอาไว้ได้ พอคุณลุงคนได้ฟังเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้ แกก็บอกว่าคนที่คิดถึงแต่ตัวเองย่อมอยากตายทั้งนั้น แล้วคุณลุงก็แนะว่าให้เธอกลับเข้าไปในเมือง แล้วช่วยทำดีกับใครก็ได้วันละคน ถ้าเธอทำแล้วยังอยากตายอยู่ให้มาบอกฉัน ฉันจะช่วยให้เธอตายสมใจ

    อิวาซากิได้คิดขึ้นมาก็เลยทำความดี เริ่มต้นด้วยการซื้อหนังสือให้เด็กยากจนคนหนึ่ง ต่อมาก็เล่านิทานให้เด็กฟังวันละคนสองคน หลังจากนั้นก็เริ่มแต่งนิทานเอง นับแต่นั้นเธอก็เลิกคิดที่จะฆ่าตัวตาย คงเพราะเหตุผลสองประการ ประการแรก เมื่อเห็นเด็กยากจนก็เลยได้คิดว่ามีคนที่ลำบากกว่าเธออีกมาก ประการที่สองพอเธอไปช่วยเขา เธอก็มีความสุข พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ให้ความสุขย่อมได้รับความสุข” เมื่อเราให้ความสุขแก่ผู้อื่น ความสุขนั้นก็จะย้อนกลับมาสู่เรา

    ถ้าพวกเราฉลาด เราต้องมีน้ำใจช่วยเหลือกัน ไม่ใช่ช่วยเฉพาะคนที่รู้จักมานานแล้วเท่านั้น แม้แต่เพื่อนที่เพิ่งรู้จักเราก็ควรมีน้ำใจต่อเขา มาธรรมยาตราครั้งนี้อาตมาอยากให้พวกเราเห็นความจริงข้อนี้ ถ้าเราลองสังเกตใจของเรา เวลาเราช่วยเหลือคนอื่น เรารู้สึกอย่างไร เราเห็นเขายิ้มแย้ม เรารู้สึกอย่างไร นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้เราตระหนักว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการเอาเข้าตัวมากๆ แต่เกิดจากการให้ อันนี้คือสิ่งที่ควรจะได้เรียนรู้เพื่อช่วยให้เราสามารถพบกับความสุขได้อย่างแท้จริง
    :- https://visalo.org/article/komol5503.htm

     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ขุมทรัพย์ใกล้ตัว
    พระไพศาล วิสาโล
    มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่ให้ข้อคิดดีมาก ลุงหมานเป็นชาวบ้านที่พัทลุง แกยากจนแต่เป็นคนมีน้ำใจ ชอบทำบุญทำกุศล ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น แต่ว่าอยู่อย่างยากจน ระยะหลังแกฝันติดต่อกันหลายวันว่าที่อำเภอแก้งคร้อจังหวัดชัยภูมิ มีโรงเจแห่งหนึ่ง ใกล้ ๆ กันมีต้นไทรสูงใหญ่ ถ้าขุดลงไปสักประมาณ ๑-๒ เมตรก็จะเจอขุมทรัพย์ มีสมบัติมากมายที่สามารถจะเลี้ยงชีวิตแกไปได้อย่างสบายจนตาย แกฝันอย่างนี้หลายครั้งหลายคราว ทีแรกก็ไม่ได้นึกอะไร แต่พอฝันอย่างนี้ถี่ ๆ เข้า แกก็เลยคิดว่าเทวดาคงจะดลใจแก ตัวแกเองก็ไม่ได้โลภอะไร แต่ว่าพอฝันอย่างนี้บ่อยเข้าก็เอะใจ วันหนึ่งแกก็เลยเก็บเสื้อผ้าออกเดินทาง

    บ้านแกนั้นอยู่ไกลจากตัวอำเภอในพัทลุง กว่าจะออกมาถึงตัวอำเภอได้ก็ลำบากพอควรเพราะว่าเส้นทางคมนาคมไม่ดี พอถึงตัวอำเภอแล้วก็เข้าตัวจังหวัด จากตัวจังหวัดก็เข้ากรุงเทพฯ จากกรุงเทพฯ ก็มาที่ชัยภูมิ แล้วก็ต่อมาที่อำเภอแก้งคร้อ แกไม่ค่อยมีเงินก็ใช้วิธีโบกรถบ้าง บางทีก็เดิน ก็ใช้เวลาเดินทางหลายวันทีเดียวกว่าจะมาถึงแก้งคร้อ พอมาถึงแก้งคร้อแกสอบถามชาวบ้าน ก็พบว่ามีโรงเจอยู่ไม่ไกล พอไปถึงนั่นก็เห็นต้นไทร ทุกอย่างเหมือนกับที่เห็นในฝันทั้งหมด ยกเว้นคือมีตำรวจยืนอยู่ใกล้ ๆ ต้นไทร

    ตำรวจนั้นยืนอยู่ตรงนั้นนานเป็นวัน ๆ ลุงหมานก็ไม่กล้าเข้าไปขุดหาสมบัติ แกรออยู่ตรงนั้นประมาณสามวัน แต่ตำรวจก็ยังผลัดเวรกันมาเฝ้าเหมือนเดิม ลุงหมานคิดว่าไม่น่าจะได้เรื่องได้ราวจึงไปหาตำรวจแล้วเล่าเรื่องความฝันให้ฟัง เพราะคิดว่าคงไม่มีขุมทรัพย์อย่างที่แกคิด ตำรวจได้ฟังลุงแกเล่าแล้วก็หัวเราะ ก่อนที่จะบอกไปว่า “ลุงอย่าเชื่อเรื่องไร้สาระแบบนี้เลย ผมเองก็ฝันเหมือนกัน ฝันมาหลายวันแล้วด้วย ฝันว่าเห็นผู้ชายคนหนึ่งเป็นตาลุงแก่ ๆ ชื่อลุงหมาน อยู่ที่พัทลุง ในฝันบอกว่าใต้พื้นบ้านของลุงหมานมีขุมทรัพย์อยู่มากมายเลย ลุงลองคิดดูสิว่าถ้าผมเชื่อตามความฝันแล้วก็ต้องเดินทางไปถึงพัทลุง รอนแรมไปถึงบ้านของลุงหมานเลยเหรอ จะเอาอะไรกับความฝัน ไร้สาระ” พอลุงหมานได้ฟังแบบนี้แกก็เอะใจขึ้นมาทันที แกตัดสินใจว่าจะไม่ขุดขุมทรัพย์ใต้ต้นไทรแล้ว กลับบ้านดีกว่า พอถึงบ้านแกก็ขุดดินใต้ถุนบ้านทันทีตามที่ตำรวจคนนั้นเล่าความฝันให้ฟัง ปรากฏว่าพบขุมทรัพย์จำนวนมาก

    จริง ๆ แล้วขุมทรัพย์อยู่ใต้ที่นอนของแกนั่นแหละ แต่แกนึกว่ามันอยู่ใต้ต้นไทรที่แก้งคร้อ แต่การที่แกไปที่นั่นแม้ว่าจะลำบากแค่ไหนก็มีประโยชน์ ถึงแม้จะไม่เจอขุมทรัพย์ก็ตาม มีประโยชน์อย่างไร มีประโยชน์ตรงที่ทำให้แกรู้ว่าแท้จริงแล้วขุมทรัพย์มันอยู่ใต้ถุนบ้านของแกนี้เอง

    พวกเราเองก็เหมือนกัน เราอุตส่าห์เดินทางจากที่ไกล ๆ เพื่อแสวงหาความสุข เพื่อแสวงหาความสงบ เมื่อมาถึงก็จะพบว่าที่จริงแล้วความสุข ความสงบ ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่ใจเรานั่นแหละ อยู่ติดตัวเราตลอดเวลา แต่บางทีคนเรากว่าจะพบความจริงข้อนี้ได้ก็ต้องเดินทางไกล ผ่านความยากลำบาก กว่าจะพบว่าที่แท้แล้วของดีมันอยู่กับเราตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย บางคนเกิดที่เมืองไทยแท้ ๆ แต่กลับไปเรียนเมืองนอก ไปเรียนถึงอเมริกา อังกฤษ ถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วสิ่งประเสริฐนั้นอยู่ที่บ้านเรานั่นเอง นั่นคือพระพุทธศาสนา ไปรู้จักพระพุทธศาสนาที่อเมริกา ที่อังกฤษ พระพุทธศาสนาสอนว่าความสุขที่แท้นั้นอยู่ที่ใจ แต่กว่าจะรู้ความจริงข้อนี้ก็ต้องเดินทางไปถึงอเมริกา ในทำนองเดียวกันชาวอเมริกัน ชาวอังกฤษหลายคน มาค้นพบตัวเองก็หลังจากที่เดินทางข้ามทวีปมาเมืองไทย มาพบท่านอาจารย์พุทธทาส มาพบหลวงพ่อชา มาพบหลวงพ่อเทียน แล้วก็พบว่าที่แท้ความสุขและขุมทรัพย์มันมีอยู่กับเราตลอดเวลา ก็คือที่ใจของเรา ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน

    คนเราบางทีกว่าจะรู้จักของดีในตัวเองก็ต้องใช้เวลา ต้องมีคนมาบอกถึงจะรู้ แต่กว่าจะรู้ก็ต้องเดินทางไกลจนได้มาพบกับกัลยาณมิตร พวกเรานั้นโชคดีตรงที่ไม่ต้องเดินทางข้ามประเทศ ข้ามทวีป เราแค่เดินทางข้ามจังหวัด หลายคนอาจจะรู้สึกว่ามาที่นี่เสียเวลา ใช้เวลานานเหลือเกิน ในสมัยก่อนนั้นกว่าจะมาถึงวัดป่าสุคะโตต้องเดินทางลำบากกว่านี้มาก ใช้เวลาถึงสองชั่วโมงจากแก้งคร้อมาถึงนี่ ถ้าฝนตกก็อาจใช้เวลานานกว่านั้น เพราะทางขาด แต่เมื่อเดินทางมาถึงแล้วก็จะพบว่าท้จริงแล้วความสุขหรือขุมทรัพย์อันประเสริฐอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ต้องเดินทางมาก็ได้ อยู่ที่บ้านก็รู้ได้ แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ความจริงข้อนี้ เพราะมักมีสิ่งต่าง ๆ ดึงดูดใจเราออกนอกตัว ที่บ้านเราอาจจะมีทั้งพ่อ แม่ ลูกที่คอยดึงความสนใจออกไปนอกตัว และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือโทรทัศน์ เครื่องเล่นดีวีดี โทรศัพท์มือถือ คาราโอเกะ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ดึงความสนใจของเราไปนอกตัว ทำให้เกิดความหลงว่านี่แหละคือความสุข
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    (ต่อ)
    เวลาอยู่บ้านจะมีใครบ้างที่มีเวลาให้กับตัวเอง หันมาดูใจของตัวเอง มาดูลมหายใจ หรือดูอิริยาบถ รับรู้การเคลื่อนไหวของกาย เราไม่ค่อยมีเวลาให้กับตัวเอง บางคนเวลานอนยังไม่ค่อยพอ เพราะว่าถูกสิ่งภายนอกดึงความสนใจออกไป เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ และสิ่งบันเทิงเริงรมย์ สิ่งเหล่านี้เฝ้าบอกเราว่าอยากมีความสุขก็ต้องมีนั่นมีนี่ ลองเปิดโทรทัศน์ดูจะเห็นแต่โฆษณาที่บอกว่าถ้าเรามีอย่างนั้นอย่างนี้เราถึงจะมีความสุขได้ แต่ละแห่งแต่ละก็ให้คำมั่นสัญญากับเราว่าถ้าเรามีสิ่งนี้ ถ้าเราเสพสิ่งนี้เราจะมีความสุข อย่างเช่นบริษัทประกันภัยก็บอกว่าถ้าเรามีประกันภัยแล้วชีวิตเราจะมั่นคงทั้งตนเองและครอบครัว แต่นั้นเป็นความจริงแค่เสี้ยวเดียว หรืออาจจะเป็นความลวงด้วยซ้ำ ทำให้เกิดความหลง เพราะว่าพอมีเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้มีความสุขอะไร บางทีเราต้องเดินทางไกลมาถึงที่นี่จึงจะพบว่าแท้จริงแล้วความสุขอยู่ที่ใจของเรานั่นเอง ต้องเดินทางมาถึงที่นี่จึงจะค้นพบตัวเอง แต่ถึงแม้จะเสียเวลาอย่างไรก็ถือว่าคุ้ม เพราะอย่างที่บอกไว้แล้วว่าบางคนต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะค้นพบตัวเอง

    การค้นพบตัวเองนั้นไม่ใช่การค้นพบรูปร่างหน้าตา แต่เป็นการค้นพบจิตใจ บางคนส่องกระจกวันละไม่รู้กี่ครั้ง มีผลวิจัยออกมาว่าคนเรานั้นส่องกระจกดูหน้าดูตาตัวเองวันละ ๓๐ กว่าครั้ง หรือทุกครึ่งชั่วโมงในขณะที่ตื่นอยู่ก็ว่าได้ แต่แม้ว่าจะส่องกระจกถี่ขนาดนั้นก็ยังไม่รู้จักตัวเอง เวลาทุกข์ก็มักคิดว่าคนอื่นทำให้เราทุกข์ แต่ไม่ได้เห็นเลยว่าที่แท้มันเป็นเพราะความคิดของเรา เป็นเพราะใจที่วางไว้ไม่ถูก คนเราทุกข์เพราะความคิดแท้ ๆ ทุกข์เพราะใจแท้ ๆ แต่กลับไม่รู้ อย่าว่าแต่ไม่รู้สาเหตุแห่งทุกข์เลย บางทีกำลังทุกข์อยู่ก็ยังไม่รู้จักตัวความทุกข์เลย ไม่ต้องพูดถึงสาเหตุแห่งทุกข์ อันนี้เรียกว่านกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ หนอนไม่เห็นอาจม

    อยู่กับความทุกข์แท้ ๆ ยังไม่รู้จักความทุกข์เลย ก็เพราะว่าพอมีความทุกข์เข้ามาแล้วใจก็จะมัวส่งออกนอก เวลาเราโกรธเราก็ไม่ได้รู้เท่าทันความโกรธ เพราะใจมันพุ่งออกไปข้างนอกเสียแล้ว คือคิดแต่จะเล่นงานหรือทำร้ายคนที่ทำให้เราโกรธหรือโมโห เวลาเกิดความอยาก ความอยากมันเผาลนจิตใจ เราเห็นความอยากหรือเปล่า ก็ไม่เห็น เพราะใจมัวเพ่งอยู่กับโทรศัพท์ รถยนต์ บ้าน หรือแก้วแหวนเงินทองที่เราอยากจะได้ อยากจะครอง ใจมันพุ่งออกนอกหมด ไม่กลับมาเห็นตัวเอง ก็เลยคิดว่าที่เราไม่มีความสุขนั้นเป็นเพราะเรายังไม่ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มา เราจึงวิ่งไล่ล่าตามหา แต่ได้มาเท่าไรก็ไม่มีความสุขเสียที

    บางคนนั้นอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข กระสับกระส่าย ต้องย้ายไปที่โน่นที่นี่ บางคนเปลี่ยนงานอยู่บ่อย ๆ คิดว่าได้งานที่นี่แล้วจะมีความสุข ก็ไม่มี แต่จะมีข้อตำหนิรอบตัว เช่น เจ้านายไม่ดี ที่ทำงานคับแคบ งานก็ไม่ถูกใจ พอย้ายไปทำงานที่อื่น แผนกอื่น ตำแหน่งอื่น ก็ไม่ถูกใจอีก ไม่มีความสุข แล้วก็โทษสารพัดว่างานไม่ดี เพื่อนร่วมงานไม่ได้เรื่อง เจ้านายมีปัญหา ไม่เป็นธรรม ก็ย้ายต่อ เปลี่ยนที่เปลี่ยนงานไม่หยุด แต่ไม่เคยพบกับความพอใจสักที อันนี้เพราะเขาลืมมองว่าที่แท้แล้วใจของตนเองต่างหากที่เป็นปัญหา พระพุทธเจ้าอุปมาเหมือนสุนัขขี้เรื้อน เวลาอยู่ใต้ต้นไม้ก็คัน อยู่กลางแจ้งก็คัน ยืน เดิน นั่ง นอน ที่ไหน ก็ไม่สบาย อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข มันก็โทษว่าใต้ต้นไม้ไม่ดี กลางแจ้งไม่ดี อยู่ที่ไหนก็โทษที่นั่นว่าไม่ดี แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะตัวมันเองต่างหากที่ขี้เรื้อนผิวเป็นแผล เพราะฉะนั้นเวลาเรามีความทุกข์ ต้องกลับมาดูตัวเอง ไม่ใช่ไปโทษสถานที่

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เมื่อมือไม่มีแผล บุคคลจะจับต้องยาพิษก็ได้ ยาพิษนั้นไม่สามารถทำอันตรายได้” แต่ถ้ามือมีแผลเมื่อใดพอไปถูกยาพิษก็เป็นอันตราย มือก็หมายถึงใจเรา ถ้าใจเราไม่มีแผล เจออะไรก็ไม่มีทุกข์ ใครเขาจะว่าเรา เราก็ไม่ทุกข์ ได้เงินเดือนน้อย เจองานหนักก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าใจเราเป็นแผลเหมือนกับมือ อย่าว่าแต่ยาพิษเลย แม้แต่ใบหญ้าซึ่งนิ่มมาก ถ้ามาทิ่มถูกแผลเราก็เจ็บ หลายคนเป็นอย่างนั้นเพราะในใจมีแผล คำพูดซึ่งเป็นแค่ลมปาก พอมันมากระทบหูเข้าใจก็เป็นทุกข์เป็นบ้าเป็นหลัง แล้วก็โทษคนโน้นคนนี้ ซึ่งก็มีส่วนอยู่แต่เป็นปัจจัยภายนอก ส่วนปัจจัยภายในก็คือใจของเรา ใจนั้นเป็นที่มาแห่งความทุกข์ที่รุมเร้าผู้คนจำนวนมาก ที่มันเป็นเช่นนั้นได้เพราะว่าเขาไม่รักษาแผลที่ใจ ไปทำอะไรต่ออะไรข้างนอกจนวุ่นวายไปหมด แต่เมื่อใดก็ตามที่เรากลับมารักษาแผลที่ใจ เอาธรรมะมาเป็นเครื่องรักษาใจ เช่นเวลาโกรธก็ใช้เมตตาระงับและบรรเทาความโกรธ เวลาอิจฉาใครก็มีมุทิตาจิตให้กับเขา มุทิตาจิตนั้นช่วยระงับดับความอิจฉาริษยาได้ เช่นเดียวกับเมตตาที่สามารถระงับดับความพยาบาทได้ แต่จะมีธรรมะเหล่านี้ได้ก็ต้องมีสติเป็นตัวตั้งต้นก่อน สติเป็นตัวตั้งต้นที่ดีมาก ถ้ามีสติแล้วเจออะไรมาก็รับมือได้
    :- https://visalo.org/article/komol5601.htm

     

แชร์หน้านี้

Loading...