ปริญญาธรรมชาติ กฏแห่งกรรม ของ ท.เลียงพิบูลย์ (Very touching story not to be missed)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Jt Odyssey3, 8 มกราคม 2021.

  1. Jt Odyssey3

    Jt Odyssey3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +68
    กฏแห่งกรรม ของ ท.เลียงพิบูลย์

    เรื่องที่ 82

    ปริญญาธรรมชาติ

    loyalty.jpg


    เช้าวันหนึ่งปลายเดือนเมษายน หลังอาหารแล้วก็เข้าห้องเตรียมตัวจะออกจากบ้านไปทำงานตามปรกติ ยังไม่ทันแต่งตัวเสร็จเด็กเข้ามาบอกว่า มีแขกมาหาและคอยอยู่แล้ว จึงรีบแต่งตัวออกจากห้องทันที


    ข้าพเจ้าได้พบกับสุภาพบุรุษ 3 ท่าน ที่นั่งรออยู่ก่อน รู้สึกว่าเรายังไม่เคยพบกันมาก่อน แล้วท่านทั้งสามก็แนะนำตัวเอง ข้าพเจ้าได้รับเกียรติต้อนรับและรู้จักท่านสุภาพบุรุษทั้งสาม คือ


    ท่านหนึ่งเคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน และอีกท่านหนึ่งเคยเป็นนายตำรวจ ปัจจุบันนี้ทั้งสองท่านเป็นข้าราชการบำนาญ อีกท่านหนึ่งเป็นผู้ที่อยู่วงการค้าและอุตสาหกรรม ที่มีชื่อเสียงทางสังคม


    ท่านทั้งสามนี้ในสายตาข้าพเจ้าเห็นว่า นักธุรกิจจะอ่อนวัยกว่าอีกสองท่าน แต่ท่านทั้งสามก็สนิทสนมกันดี วัยอ่อนแก่คงไม่เป็นอุปสรรคในการคบหาสมาคม หากนิสัยและความรู้สึกต้องกัน


    แล้วเราก็ได้สนทนาเป็นกันเอง ท่านทั้งสามก็ช่วยกันเล่าถึงจุดประสงค์ที่ได้มาหาข้าพเจ้า คือว่าต่างก็ได้อ่านเรื่อง "กรรมลิขิต" ซึ่งทางคณะธรรมวาที วัดสร้อยทอง ได้พิมพ์ในวันขึ้นปีใหม่ เกิดความสนใจอยากจะพบผู้เขียนจึงได้พยายามสืบหาตำบลที่อยู่ ข้าพเจ้าได้กล่าวขอบคุณที่ท่านทั้งสามให้เกียรติอันสูง อุตส่าห์ตามหาจนพบบ้าน


    การสนทนากันในเช้าวันนั้น ข้าพเจ้าได้เรื่องราวที่จะเกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมมาเล่าสู่กันฟัง เรื่องนี้เริ่มต้นด้วยเวลาไม่นานที่ผ่านมา แต่ก็โยงไปถึงอดีตชีวิตของท่านผู้หนึ่ง


    ข้าพเจ้าได้รวบรวมขึ้น เพื่อจะชี้ให้เห็นกรรมดี กรรมชั่ว เหมือนสายป่านที่ชักใยถึงกัน ซึ่งจะมองด้วยสายตามนุษย์ยากที่จะเห็นได้ กรรมดีหรือกรรมชั่วย่อมคอยติดตามสนอง เพียงอยู่ที่เวลาช้าหรือเร็วเท่านั้น ดังท่านจะได้ฟังเรื่องราวจากอดีตท่านผู้พิพากษา และท่านนักการค้าเป็นผู้ผลัดกันบรรยายเรื่องต่อไปนี้.........


    วันหนึ่ง เวลาเช้าจวนจะสิ้นเดือนมีนาคม เราสามคนมีผมและอดีตนายตำรวจและท่านนักการค้า รวมทั้งคนขับรถเป็นจำนวน 4 คน กำลังจะออกเดินทางหลีกความร้อนและความแออัดในพระนคร ไปหาที่สงบและลมเย็น จึงตั้งใจไปพักผ่อนต่างจังหวัด


    เช้าวันนั้นเราไม่นึกว่าจะเกิดอุปสรรคขึ้นแก่รถของเรา เห็นจะเป็นความประมาทไม่ได้ตรวจดูรถให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง รถวิ่งไปยังไม่ทันพ้นเขตอำเภอภายในพระนคร เข็มหน้าปัดวัดความร้อนในรถก็สูงขึ้นผิดธรรมดา แสดงว่าเครื่องยนต์ร้อนผิดปรกติ


    เราต่างก็ไม่สบายใจเพราะหมายถึงมีสิ่งบกพร่องของเครื่องยนต์ บางทีเราไม่อาจใช้รถคันนี้เดินทางต่อไปได้ จึงสั่งให้คนขับรถนำเอารถแอบเข้าข้างทางลงไปเปิดฝาดูเครื่องยนต์ น้ำพุ่งออกมาจนน้ำจะแห้งหม้อ จึงเกิดความร้อนจัด พวกเราจึงค่อยสบายใจขึ้นบ้าง เพราะเป็นเรื่องภายนอก เพียงแต่เปลี่ยนท่อยางที่รั่วซึ่งไม่ยากนัก ใช้เวลาไม่นานก็คงเรียบร้อยเดินทางต่อไปได้


    เราจึงสั่งให้คนขับรถนำรถไปหาอู่ซ่อมรถยนต์ที่ใกล้ที่สุดในบริเวณนั้นโดยด่วน เพื่อเปลี่ยนท่อยางท่อบนและท่อล่าง เพื่อป้องกันไม่ให้ท่อยางทำเหตุขึ้นอีก พวกเราลงจากรถ มองหาร้านขายเครื่องดื่มและอาหารใกล้ๆ เพื่อเข้าไปนั่งคอยเวลากว่ารถจะทำเสร็จเรียบร้อย เมื่อเราพากันเข้าไปในร้านเครื่องดื่ม ซึ่งไม่ได้ตั้งใจมาก่อน เมื่อหาที่นั่งได้โต๊ะว่างแล้ว เราก็สั่งเครื่องดื่ม ตามแต่ใครจะชอบอะไร


    เรามองดูภายในร้าน รอบตัวก็เห็นมีทั้งคนจีนและคนไทย มีทั้งข้าราชการและนักธุรกิจ พวกนายตรวจรถเมล์ มีอาชีพต่างๆกัน นั่งสนทนากันอยู่ในหมู่ของตน ไม่ค่อยจะสนใจว่าผู้ใดจะรำคาญ


    บางคนชอบพูดคำด่าคำสลับกันไป บางคนก็อ่านหนังสือพิมพ์รายวัน ไม่สนใจใครจะคุยจะด่าใครอย่างไร บางคนทั้งอ่านหนังสือพิมพ์ หูก็คอยฟังคนอื่นพูด นานๆก็เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์พูดขัดเสียทีแล้วอ่านต่อไป


    รู้สึกว่าคนส่วนมากในสถานที่นั้นชินต่อเสียงเอะอะโวยวายของผู้อื่น จึงนั่งสงบเป็นปรกติอย่างไม่สนใจใคร ส่วนโต๊ะใกล้ๆ ที่เรานั่ง ล้วนแล้วแต่เป็นพวกรุ่นหนุ่มคะนอง นั่งดื่มกาแฟคุยโขมง บางครั้งก็ถกเถียงการเมืองเรื่องสงครามกันไปตามเรื่อง


    พวกเราใหม่ต่อสถานที่ ใหม่ต่อเสียงที่ก่อรบกวนประสาท และเป็นครั้งแรกจึงไม่ค่อยสบายใจนัก แต่ต้องปรับความรู้สึกให้ชิน พอมีความอดทนนั่งสนทนากันได้ในหมู่พวกเรากันเอง


    แต่ไม่ช้า เหตุการณ์ในร้านขายเครื่องดื่มก็ค่อยเปลี่ยนแปลงไป ผู้ที่เข้ามานั่งดื่มกินอาหารเช้า เมื่อเสร็จต่างค่อยๆทยอยแยกย้ายพากันออกจากร้าน ทีละพวก ทีละคนสองคน เหตุการณ์วุ่นวายจอแจภายในร้านก็ค่อยสงบลงบ้าง


    ไม่ช้าคงเหลือพวกชายหนุ่มโต๊ะข้างๆ ประมาณ 5 คน ยังคุยกันเสียงดัง ถกเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นสาระ และยังเหลือพวกเราอีกโต๊ะหนึ่ง ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเด็กหนุ่มโต๊ะข้างๆ พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น พลางกางหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านอยู่ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดังว่า


    "เฮ้ย ดูนี่สิโว้ย อ้ายหมอนี่โง่ระยำทีเดียว เงินเกือบสองหมื่นยังดันเอาไปให้ตำรวจนำไปคืนให้เจ้าของ เป็นกูพบละก็หวานไปนานทีเดียว เงินเป็นหมื่นไม่ใช่ขี้ไก่โว้ย คนโง่บัดซบอย่างนี้ก็มีด้วย"


    พวกเราก็หันไปมองดูโต๊ะที่พูดเป็นจุดเดียวกัน เสียงพวกเพื่อนๆ ต่างก็รุมๆถามว่า เรื่องอะไรเกี่ยวกับเงินเยอะแยะอย่างนั้น คนอ่านหนังสือพิมพ์รายวันพูดขึ้นว่า


    " เรื่องคนขับแท็กซี่โว้ย คนโดยสารลืมถุงเงิน ในถุงมีเงินเกือบสองหมื่นอยู่หลังรถ ดันเอาไปให้ตำรวจคืนให้เจ้าของจนได้"


    ชายหนุ่มหลายคนมีความเห็นว่า คนขับรถแท็กซี่เป็นคนเซ่อเป็นคนโง่ แต่ชายหนุ่มในหมู่คนนั้นคนหนึ่ง ท่าทางเรียบร้อยกว่าเพื่อน พูดออกความเห็นอย่างตริตรองว่า


    " ข้าว่าเขาทำถูก เราควรจะสนับสนุนยกย่อง เพราะการทำความดีมันทำยากลำบาก ต้องอดทน มีใจสูงพอยิ่งเรื่องเงินเรื่องทองคนเราน้อยคนนักจะทำได้ เพราะจะตัดความโลภ ความอยากได้นั้นยากนัก ที่เขานำไปแจ้งความตำรวจเพื่อนำคืนให้เจ้าของ นับว่าเขาชนะใจตนเอง ควรที่เราจะยกย่องสรรเสริญ"


    เราได้ฟังแล้วก็ต่างมองดูตากัน นึกในใจว่าในหมู่คนใจต่ำก็ยังมีคนจิตใจสูงแทรกแซงอยู่บ้าง แต่สังเกตดูพวกชายหนุ่มเหล่านั้นไม่ค่อยจะพอใจเห็นด้วย เห็นจะเป็นผู้ยังมีกิเลสโลภ เห็นแก่ได้อยู่มาก แต่ก็ไม่กล้าขัดแย้ง เห็นจะเป็นเพราะเกรงใจในความดีก็ได้


    ในไม่ช้า ชายหนุ่มกลุ่มนั้นชำระเงินค่าเครื่องดื่มแล้ว ก็พากันออกจากร้านไป บนโต๊ะคงเหลือแต่ถ้วยจานและหนังสือพิมพ์รายวันอีกฉบับหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นหนังสือพิมพ์ของร้านเพื่อมีให้พวกลูกค้าอ่าน เราจึงเอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์รายวันฉบับนั้นจากโต๊ะ มาพลิกค้นหาเรื่องที่ชายหนุ่มถกเถียงกัน อยากทราบรายละเอียดก็เห็นหัวข้อข่าวว่า "แท็กซี่ผู้ซื่อสัตย์"


    ในเนื้อเรื่องมีใจความว่า นายฮ่งเพียว แซ่เฮ้ง อายุ 26 ปี ได้ขับรถแท็กซี่หมายเลข ก.ท.ท. 18474 ได้รับคนโดยสารจากประตูน้ำนำไปส่งถนนสุขุมวิท ซอย 4 เมื่อกลับจากส่งผู้โดยสารแล้ว รถแล่นมาถึงราชประสงค์ ก็เห็นถุงกระดาษของผู้โดยสารลืมไว้ที่ที่นั่งข้างหลัง เมื่อหยิบดูก็พบธนบัตรอยู่ในถุงนั้นหมื่นกว่าบาท พร้อมทั้งเอกสารและเช็คธนาคารอีกมากมาย


    เห็นเช่นนี้แทนที่นายฮ่งเพียวจะดีใจ นึกว่าเป็นลาภเพื่อจะยึดไว้เป็นสมบัติของตน กลับรีบร้อนนำของเหล่านั้นไปแจ้งความ มอบให้นายร้อยเวรตำรวจสถานีพลับพลาชัย เขต 1 เพื่อจะได้มอบคืนให้แก่เจ้าของต่อไป


    เมื่อมอบให้ตำรวจแล้ว นายฮ่งเพียวก็ได้เร่งรีบออกรถติดตามเจ้าของเงินในสถานที่นำไปส่ง เมื่อพบตัวแล้วก็รีบนำตัวมาสถานีตำรวจเพื่อรับเงินคืนต่อไป เหตุเกิดเมื่อเวลา 21.00 น. คืนวันที่ 27 มีนาคม 2511 นายฮ่งเพียวผู้นี้อยู่บ้านเลขที่ 77 ถนนพลับพลาชัย


    เมื่อเราได้อ่านข่าวละเอียดแล้ว เราก็อดดีใจไม่ได้ พากันยกย่องสรรเสริญ เรายังมีคนดีๆ อีกมากที่ยังไม่รู้ไม่เห็น การคอยรถที่เอาไปเปลี่ยนท่อน้ำนั้นก็ยังไม่มา เราก็คอยชะเง้อดูตามถนนด้วยใจเป็นห่วง นอกจากเครื่องดื่มแล้วเราก็ยังสั่งไข่ลวกมากินคนละฟอง แล้วรถก็ยังไม่มา


    เราต่างก็ได้พูดกันถึงชายผู้ขับแท็กซี่คนนั้น เพื่อถ่วงเวลาคอยรถกว่าจะมาถึง เราพากันยกย่องสรรเสริญว่าชายขับรถแท็กซี่ผู้นั้นเป็นคนดีหายาก ที่ใดแห่งใดสถานที่นั้นได้มีบุคคลพวกนี้เข้าร่วมทำกิจการ ย่อมเป็นที่ไว้วางใจได้ว่า การกินการโกงประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้น


    ในยุคปัจจุบันนี้หาคนไว้วางใจได้ยาก ส่วนมากมีแต่คนเห็นแก่ทรัพย์สินไม่รักษาศีลธรรมและขื่อเสียงที่จะเสียหาย เป็นพวกใจดำคิดแต่ให้ได้มาเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอย่างเดียว พวกนี้หากอยู่ในที่ใดก็ขาดความซื่อสัตย์ คิดแต่ทุจริต นำแต่ความเสื่อมเสียเดือดร้อนไปสู่ที่นั้น


    ส่วนผู้มีจิตใจสูง แม้จะยากจนแต่ซื่อสัตย์ หากอยู่ที่ใดย่อมเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ในความสุจริต แม้แต่ของมีค่าได้ง่ายๆ แต่ผิดศีลธรรมเขาก็ยังไม่ต้องการ เขาจะต้องการอะไรที่ลำบาก ต้องเสี่ยงภัยในทางทุจริตยากยิ่งกว่านั้น นับว่าเป็นผู้มีสันโดษที่ควรยกย่องสรรเสริญ


    เมื่อเราได้สนทนากันพักใหญ่ แล้วก็นั่งอยู่ครู่หนึ่ง ท่านผู้เป็นนักธุรกิจจึงเอ่ยขึ้นอย่างบุคคลที่คิดก่อนตัดสินใจ แล้วจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งให้เราฟังว่า


    เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิดขึ้นในทวีปเอเซีย ในครั้งนั้นมีครอบครัวหนึ่งสองแม่ลูก มารดาเป็นคนอยู่ในศีลธรรมมีอาชีพสุจริต แม้ความเป็นอยู่จะไม่สมบูรณ์แต่เป็นคนขยันขันแข็ง


    อาชีพของมารดาทำไส้กรอกปลาแนมและสาคูไส้หมู หาบขายตามหมู่บ้านพอเลี้ยงลูกชายซึ่งกำพร้าพ่อมาแต่เด็ก จนได้ให้การศึกษาเท่าที่กำลังความสามารถของมารดาจะทำได้ จนเติบโต


    ความเป็นอยู่ในครอบครัวแม้จะไม่ฟุ่มเฟือย แต่ก็ไม่อัตคัตนัก ยังพอจะเจียดรายได้ทำอาหารใส่บาตรพระสงฆ์ทุกเช้า วันละหนึ่งองค์เป็นประจำ


    เมื่อลูกชายเข้าสู่วัยหนุ่ม สำเร็จการศึกษา ม.6 ด้วยแรงงานของผู้เป็นมารดา บุตรชายมีความกตัญญูกตเวทีต่อมารดาบังเกิดเกล้า ก็อยากจะแบ่งเบาภาระของมารดาผู้มีพระคุณ จึงออกหางานทำช่วยกันหาเลี้ยงดูมารดา


    ต่อมาได้มีโอกาสเข้าไปเป็นคนรับใช้อยู่ในบาร์ขายเหล้าแห่งหนึ่ง บาร์ย่อมเป็นที่หาความสำราญผ่อนคลายอารมณ์ของบุคคลทั่วไปที่มีเงินจ่าย


    คืนหนึ่งหลังจากบาร์ได้ปิดแล้ว ชายหนุ่มก็เดินกลับบ้านเป็นประจำทุกคืน แต่คืนนั้นเมื่อเดินออกจากบาร์ ก็มองเห็นกระเป๋าซองหนังใบหนึ่งตกอยู่ที่ข้างถนน ไม่ห่างไกลจากหน้าประตูบาร์มากนัก เข้าใจว่าเพิ่งจะทำตก


    ชายหนุ่มจึงก้มลงเก็บหยิบขึ้นมาตรวจดู ก็เห็นมีธนบัตรใบละพันอยู่ 5 ใบ และมีธนบัตรปลีกย่อยและเศษเงินรวมอยู่ด้วย นอกจากนั้นยังมีเช็คธนาคาร เอกสารต่างๆ อยู่ในนั้น


    ชายหนุ่มตื่นเต้น รีบเก็บกระเป๋าใบนั้นยัดใส่ลงกระเป๋ากางเกง รีบเดินกลับบ้านด้วยหัวใจเต้นแรงผิดปรกติ เพราะไม่เคยพบเงินมากมายเช่นนี้มาก่อน และไม่เคยคิดว่าจะได้พบ


    ครั้นมาถึงบ้าน ก่อนจะเข้าไปหามารดา ซึ่งกำลังรอคอยลูกชายอยู่ในบ้านยังไม่นอน ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะปิดประตูเรียบร้อย แล้วก็หยิบเอากระเป๋าเงินออกมาตรวจดูให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงรีบเข้าไปหามารดา พูดด้วยความร้อนรนและเสียงสั่นๆ ว่า


    "แม่จ๋า ฉันเก็บกระเป๋าเงินของใครก็ไม่รู้ ทำตกไว้ข้างถนน ในกระเป๋ามีเงินสดห้าพันกว่าบาท แล้วก็มีเช็คธนาคารญี่ปุ่นสั่งจ่ายเงินสดตั้งสองแสนบาทจ้ะแม่"


    มารดาของเด็กวัยหนุ่มได้ฟังก็พลอยตื่นเต้น บอกพลางพูดว่า


    "ตายล่ะลูก ใครเผลอประมาททำเงินตกไว้มากมาย น่าสงสารจริงๆ ถ้ารู้ว่าเงินหายหมด เขาคงตกใจ เสียดายแย่นะลูก แม่คิดว่าลูกควรจะรีบเอาไปสืบหาเจ้าของ คืนไปให้เขาเสีย


    ถ้าหากไม่พบเจ้าของก็นำเอาไปให้ตำรวจ ให้เขาประกาศสืบหาเจ้าของ อย่าเอาของคนอื่นเขาไว้ให้หนักใจเราทำไม เพราะไม่ใช่ทรัพย์สินสมบัติของเรา แม้เราจะยากจน แต่เราก็อยู่ในศีลในสัตย์ มีใจเที่ยงธรรม เราไม่ต้องการของคนอื่นมาเป็นของตัวเรา ต้องนึกถึงอกของคนที่เขาทำตกบ้าง เป็นเราจะรู้สึกอย่างไร


    ลูกลองนึกดูให้ดีว่ามีใครเมาเหล้าจนขาดสติบ้างในคืนนี้ และในกระเป๋ามีหลักฐานอะไร พอที่จะนำทางไปหาเจ้าของเงินบ้างลูก"


    ลูกชายได้ฟังก็นั่งนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง ก็บอกกับมารดาว่า


    " หลักฐานในกระเป๋าเงินก็มีจ้ะแม่ เป็นนามบัตร ฉันยังไม่แน่ใจแต่ฉันเพิ่งนึกออกแล้วว่า คืนนี้ก่อนที่บาร์จะปิด มีชายคนหนึ่งแกมากับเพื่อน แกดื่มมาจากไหนไม่รู้แล้วมาดื่มต่อที่บาร์อีกจนเมามาย


    เมื่อบาร์จะเลิก เพื่อนที่มาด้วยต้องเรียกคนขับรถของแกเข้ามาช่วยพยุงแกออกไปจากบาร์ ชายคนนี้ตามปรกติแกเป็นคนใจดี ฉันเข้าไปรับใช้แกครั้งใด แกก็ให้เงินฉันเป็นพิเศษเสมอ คืนนี้แกเมามากจ้ะแม่


    ฉันคิดว่ากระเป๋าเงินนี้เป็นของแกแน่ แต่ฉันไม่เคยรู้จักชื่อ และบ้านช่องอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปหาบ้านและชื่อตามนามบัตร คงจะรู้แน่ว่าจะใช่หรือไม่"


    มารดาได้ฟังลูกชายพูดเช่นนั้นก็บอกว่า


    " ดีแล้วล่ะลูก พรุ่งนี้ก่อนจะไปทำงานก็ไปหาเจ้าของกระเป๋าเงิน เมื่อพบแล้วก็ถามเขาให้แน่ใจเสียก่อน มีหลักฐานพอใจแล้ว จึงมอบให้เจ้าของเขาไปจะได้หมดห่วง"


    เด็กหนุ่มรับปากว่าจะจัดการตามความเห็นของมารดา คืนนั้นชายหนุ่มตื่นเต้นกลัวกระเป๋าจะหาย จึงเอามือจับกุมไว้เมื่อเวลานอนหลับ


    วันรุ่งขึ้นออกจากบ้านแต่เช้าพร้อมด้วยกระเป๋าเงิน เที่ยวติดตามหาเจ้าของบ้านตามตำบลและชื่อที่อยู่ในนามบัตร เมื่อได้พบบ้านและเลขบ้าน ถนนตำบลตรงกัน ปรากฏว่าเป็นบ้านใหญ่โตภูมิฐาน สมเป็นผู้มั่งคั่งในตำบลนั้น จึงกดกริ่งหน้าบ้าน


    เสียงสุนัขในบ้านเห่ากันเกรียวกราว คอยอยู่ครู่หนึ่งก็มีผู้หญิงกลางคนออกมาเปิดประตู เด็กหนุ่มถามหาชายผู้มีนามในบัตร หญิงผู้นั้นก็รีบนำตัวไปนั่งรออยู่ในบ้าน ครู่หนึ่งชายเจ้าของบ้านก็ลงมาจากชั้นบนของตึก


    พอเห็นหน้าเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มก็จำได้ดีว่าไม่ผิดตัว คงเป็นเจ้าของกระเป๋าเงินแน่ แต่หน้าตาของเจ้าของบ้านร่วงโรยไปมากเหมือนอดนอน ชายเจ้าของบ้านเห็นชายหนุ่มก็จำได้เช่นกัน ชายหนุ่มรีบยืนขึ้นยกมือไหว้ ชายเจ้าของบ้านยกมือขึ้นรับไหว้แล้วบอกให้นั่ง พลางถามออกไปด้วยใจเอ็นดูว่า


    "ขอบใจที่เธอมาหาฉันแต่เช้า คงมีธุระเกี่ยวกับฉันหรือ"


    ชายหนุ่มรีบพูดขึ้นว่า


    "เมื่อคืนท่านได้ทำอะไรตกหายบ้างหรือเปล่าครับ?"


    พอได้ยินคำถามเช่นนั้น เจ้าของบ้านก็แสดงกิริยาตื่นเต้น ดวงตาแจ่มใสขึ้นทันที พลางรีบพูดว่า


    "หายซิ กระเป๋าเงินตกหายเมื่อคืนนี้ ไม่รู้ว่าตกหายที่ไหนเพราะเมามาก กำลังมีความวิตกทุกข์ร้อนอยู่ทีเดียว เมื่อคืนนี้กลับมาถึงบ้าน พอรู้ว่ากระเป๋าเงินหาย ฉันก็ตกใจมากเกือบหายเมา


    เพราะในนั้นมีเช็คจำนวนสองแสนบาทอยู่ด้วย ทั้งผู้จ่ายเช็คฉบับนี้ ก็เดินทางไปญี่ปุ่นแล้ว ถ้าหายคงยุ่งกันใหญ่ ไม่รู้ว่าจะติดต่อกับผู้สั่งจ่ายได้ที่ไหน กว่าจะได้คงเสียเวลาอีกนาน แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเรียบร้อย"


    ท่านเจ้าของบ้านพูดทิ้งระยะครู่หนึ่ง พอเด็กหนุ่มจะพูดขึ้น ท่านก็ยกมือห้าม พูดต่อไปว่า


    " ประเดี๋ยวก่อน ฉันรู้ว่าเธอได้เก็บกระเป๋าเงินได้ ทำให้ฉันดีใจจนพูดอะไรไม่ถูก ของที่คิดว่าสูญมากกว่า แต่กลับได้คืนในระยะไม่นานเพียงข้ามคืน จึงมีความรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา


    เมื่อคืนนี้นอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน เหมือนฝันร้าย ตั้งใจเช้านี้จะไปแจ้งความตำรวจ และจะไปอายัดเช็คฉบับนั้นที่ธนาคาร ถ้าหากอายัดเช็คคนสั่งจ่ายคนเดียวกัน แต่จ่ายให้ผู้อื่นที่จำนวนเงินเท่ากัน เราก็เห็นจะเคราะห์ร้าย เพราะจำหมายเลขเช็คไม่ได้ ดูซิความยุ่งยากมากมายเพียงไร ที่สุดเรื่องลงเอยอย่างไม่เคยฝัน


    ฉันจึงอยากจะพิสูจน์แสดงหลักฐานให้ตรงกับความจริงว่า กระเป๋าเงินที่เธอเก็บได้นั้นตรงต่อความเป็นจริงหรือไม่ หลักใหญ่ที่จะพิสูจน์ก็คือ มีธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทห้าใบ และมีเช็คธนาคารญี่ปุ่นจ่ายเงินสดสองแสนบาทถ้วน


    นอกนั้นเป็นธนบัตรปลีกย่อยที่จำไม่ได้ และมีหนังสือเอกสารและนามบัตรของฉันอยู่ด้วย นี่เห็นจะพอเป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าฉันเป็นเจ้าของอันแท้จริง"


    เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกง พลางประคองสองมือส่งให้ด้วยความเคารพ แล้วพูดว่า


    " ผมไม่มีความสงสัยว่าไม่ใช่ของท่านแต่แรกแล้วครับ แต่เมื่อท่านยังไม่ให้ผมทำอะไร ก่อนที่ท่านจะแสดงหลักเสียก่อน ผมก็ยิ่งเคารพในความเป็นธรรมของท่าน"


    ท่านผู้นั้นยื่นมือมารับกระเป๋าไปแล้ว ขอจับมือชายหนุ่มเขย่าแน่นพูดว่า


    "เธอเป็นคนดีมาก ฉันต้องขอยกย่องด้วยความจริงใจ เธอทำให้ฉันตื้นตันใจมาก ฉันไม่คิดว่าจะได้ของคืนเร็วอย่างนี้ นึกเสียใจว่าต้องสูญแน่ ฉันรู้ตัวว่ามีส่วนเสียมากเหมือนกัน และเป็นอันตรายด้วย


    คือฉันชอบเมาเหล้า เช่นเมื่อคืนนี้ฉันเมามาก เป็นคนอื่นเก็บได้ไม่ใช่เธอ ฉันก็คงต้องสูญเสียเงินจำนวนนี้ และยังมีเอกสารสำคัญอยู่ในนั้นด้วย เมาเหล้าแล้วมันก็ให้โทษอย่างนี้แหล่ะ ฉันคิดจะเลิกดื่มเสียที"


    พูดแล้วก็ถอนหายใจยาว พลางก็เปิดกระเป๋าออกดู เมื่อเห็นทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ก็หันมาถามเด็กหนุ่มว่า


    " เวลานี้เธออยู่ที่ไหน หมายถึงบ้านที่พักอาศัย"


    เมื่อเด็กหนุ่มบอกตำบลที่อยู่ให้ทราบแล้ว ท่านเจ้าของบ้านก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางพูดว่า


    " แถวนั้นมันที่สลัม มีคนอยู่กันยัดเยียดมากนี่"


    เด็กหนุ่มตอบว่า


    "ใช่แล้วครับ ที่นั่นส่วนมากเป็นพวกหาเช้ากินค่ำอยู่ครับ"


    ท่านเจ้าของบ้านถามต่อไปว่า


    " ที่บ้านเธอมีใครอยู่บ้าง เช่น พ่อแม่ พี่น้อง เป็นต้น แล้วมีการงานทำทุกคนหรือเปล่า"


    เด็กวัยรุ่นตอบว่า


    'ผมอยู่กับแม่สองคนครับ พ่อผมเสียตั้งแต่ผมยังเล็กๆ แม่ผมเลี้ยงผมมาด้วยการทำไส้กรอกปลาแนมและสาคูไส้หมูขาย ทุกวันนี้แกก็ขายอยู่ แต่กระเดียดกระจาดขาย แทนจะหาบขายเหมือนแต่ก่อน


    ผมพอโตออกทำงานได้แล้ว ก็ไม่อยากให้แม่ลำบาก อยากให้แม่อยู่บ้านเฉยๆ แต่แม่ก็ไม่ยอมอยู่เฉยๆ เพียงแต่ขายน้อยลง เรื่องกระเป๋าเงินของท่าน แม่ก็เป็นคนสนับสนุนให้ผมรีบเอามาคืนท่าน


    แม่บอกว่า อย่าเอาไว้นานจะเป็นห่วงเปล่าๆ เพราะไม่ใช่ของเรา จะทำให้เป็นทุกข์ทั้งสองฝ่าย เมื่อคืนนี้ผมก็นอนไม่ค่อยหลับเหมือนกันครับ ผมกลัวว่ามันจะหาย เมื่อส่งคืนให้ท่านแล้ว ผมก็สบายใจ เพราะไม่ต้องเป็นห่วงว่ามันจะหายอีก"


    เจ้าของบ้านตื้นตันใจเมื่อได้ยินเด็กวัยรุ่นพูด ท่านได้ลุกขึ้นมากอดเด็กหนุ่มไว้ แล้วพูดขึ้นว่า


    " เด็กวัยรุ่นอย่างเธอนี้หายาก แม่เธอก็เป็นคนดีมาก ถึงจะยากจนก็มีจิตใจสูง มีศีลธรรม ฉันขอจดจำและยกย่องคุณความดีอันนี้อย่างจริงใจ"


    พูดแล้วท่านผู้นั้นก็หยิบกระเป๋าใบนั้นเปิดออกอีกครั้งหนึ่ง หยิบธนบัตรใบละพันให้สองใบ พลางพูดขึ้นว่า


    "นี่ ฉันอยากจะตอบแทนที่เธอนำกระเป๋าเงินมาคืนให้ฉัน นี่เงินเพียงเล็กน้อย เมื่อจะพูดถึงค่าของความดีแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีค่าอะไรเลย "


    พูดพลางก็ยื่นธนบัตรใบละพันให้สองใบ แล้วพูดต่อไปว่า


    "หนึ่งพันนี้สำหรับเธอผู้มีใจงาม ที่ไม่ยอมรับเอาทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นของตัว และอีกหนึ่งพันบาทสำหรับมารดาของเธอ ที่ได้อบรมลูกให้มีคุณธรรมสูง และฉันขอฝากขอบใจไปยังมารดาของเธอด้วย หากฉันมีเวลาจะไปเยี่ยมและขอบใจมารดาเธอที่บ้าน"


    ชายหนุ่มวัยรุ่นก้มลงกราบรับรางวัลด้วยความตื้นตันใจ แล้วกล่าวขอบพระคุณ


    หลังจากนั้นต่อมาเหตุการณ์ชีวิตของมนุษย์ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่วย่อมประสบเหตุการณ์ปัญหาชีวิตด้วยกันทุกคน ตามแต่กรรมที่สร้างสมมาแต่ครั้งอดีตจะตามสนอง ไม่สามารถรู้ได้ว่า จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับชีวิตในอนาคตต่อไป


    เช่นเดียวกับเด็กวัยรุ่นได้ประสบ แม้การเจ็บป่วยก็เป็นของธรรมดา ทุกรูปทุกนามจะหนีไม่พ้น การป่วยย่อมจะนำความทุกข์ยากลำบากมาสู้ผู้ที่หาเช้ากินค่ำ ไม่มากก็น้อย เด็กวัยรุ่นผู้นี้ก็เช่นเดียวกัน เห็นจะเป็นเพราะร่างกายไม่เหมาะสมที่จะตรากตรำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ อบอยู่ในกลิ่นเหล้าควันบุหรี่ อาจเรียกว่าแพ้ ไม่เหมาะสมกับสุขภาพร่างกายของแต่ละบุคคล


    ที่สุดเด็กวัยรุ่นก็ล้มป่วยลง ต้องรักษาพยาบาลกันนานวันกว่าจะหายปรกติ การงานที่เคยทำก็หลุดลอยไป เพราะทางบาร์ไม่สามารถจะให้ขาดงานนานวันได้ ทั้งทางบาร์ได้เปลี่ยนเจ้าของและผู้จัดการใหม่ จึงไม่สนใจกับคนรับใช้ตำแหน่งไม่สำคัญอะไรนักห หาคนแทนง่าย ทั้งต้องการสตรีมากกว่าบุรุษ การป่วยลงตกงานก็เป็นเรื่องหนักอยู่แล้ว สำหรับชีวิตของคนหาเช้ากินค่ำ


    ต่อมากลับซ้ำร้าย หรือชาวบ้านเรียกว่าผีซ้ำด้ำพลอย หรือเรื่องความวัวไม่ทันหาย เรื่องความควายเข้ามาแทรก เพราะต่อมาก็ถูกขับไล่รื้อถอนออกจากที่เคยอยู่อาศัย แม้จะเป็นบ้านที่เรียกว่ารังนอน เพียงแต่พออยู่พออาศัยพักผ่อนหลับนอน กันแดดกันฝนก็ดี แต่มันก็ยังเรียกว่าบ้านที่เคยอยู่อาศัยแต่อ้อนแต่ออก จะต้องดิ้นรนไปหาที่อยู่ใหม่ตามวิถีชีวิตจะนำไป


    นี่เป็นชีวิตของมนุษย์ ที่ต้องผจญอยู่ตลอดเวลาที่ยังมีลมหายใจอยู่ในโลก เราจะพบได้ทั่วๆไป แต่ละคน แต่ละครอบครัว จะหาความสุขความสบายใจนั้นยากนัก เกิดเป็นคนย่อมจะมีทุกข์ด้วยกันทุกคน ผิดแต่ทุกข์คนละอย่าง คนละทาง ย่อมแตกต่างกันแล้วแต่ชนชั้น


    ผู้มีอำนาจราชศักดิ์ หรือผู้มั่งคั่งทรัพย์สินเงินทอง และยาจกเข็ญใจ ย่อมจะมีปัญหาคนละอย่าง สิ่งที่รวมจุดเดียวก็คือ เมื่อเกิดแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ บั้นปลายคือความตาย ไม่มีใครหนีพ้นไปได้


    เด็กวัยรุ่นคนนี้ก็ได้ประสบปัญหา คือ แรกการเจ็บป่วยไม่สามารถจะทำงานได้ก็ต้องออกจากงาน ซ้ำยังต้องถูกรื้อถอนบ้านที่เคยอยู่อู่ที่เคยนอนโยกย้ายหาที่อยู่ใหม่ ล้วนแต่ปัญหาหนักๆ เกินกว่าเด็กวัยรุ่นธรรมดายากจะอดทนได้


    แต่เด็กผู้นี้มีมารดาดี แม้จะเป็นเพียงแม่ค้าขายไส้กรอกปลาแนม สาคูไส้หมู แต่ก็คอยอบรมให้กำลังใจลูกชายอยู่ตลอดเวลา ปลอบจิตใจให้ลูกชายอดทน มีจิตใจเข้มแข็ง เมื่อเห็นลูกคิดมากเศร้าหมองก็จะปลุกปลอบว่า


    "เกิดมาเป็นคน เราต้องต่อสู้เพื่อมุ่งทำความดีเราอยู่ในพระพุทธศาสนานะลูกจำไว้ อย่าให้ความชั่วทำลายความดีที่ลูกได้อุตส่าห์สร้างสมไว้มากแล้ว หากลูกสร้างกรรมทำชั่วครั้งเดียว ความดีที่อุตส่าห์ทำไว้ก็จะถูกทำลายลงหมด ผลดีที่จะให้ผลสนองในโอกาสอันควรก็จะสิ้นสุดลงด้วย"


    เด็กหนุ่มเป็นผู้มีความกตัญญู เคารพมารดาบังเกิดเกล้าก็ปฏิบัติอยู่ในโอวาท ไม่ยอมปฏิบัตินทางที่ผิด จึงมีความอดทนต่อไป อยู่มาวันหนึ่ง ชายหนุ่มรู้สึกสงสารมารดา ที่ได้อุตส่าห์ทำขนมไส้กรอกปลาแนม สาคูไส้หมู ใส่กระจาดกระเดียดเที่ยวไปขายเพื่อนำเงินมาเลี้ยงตัว


    ความสงสารมารดาทำให้กลุ้มใจ เพราะตัวเองก็หายจากการป่วยไข้ มีร่างกายแข็งแรงเป็นปรกติแล้ว ทั้งตั้งใจอยากจะให้มารดามีความสุข ไม่ต้องไปขายของให้ลำบาก แต่ตัวเองก็ยังหางานทำไม่ได้ เงินทองก็ไม่มี


    แม้มารดาจะเก็บเงินไว้ก็ต้องมาใช้เมื่อตัวป่วย ซ้ำยังต้องใช้ในการขนย้ายหาที่อยู่ใหม่ เงินที่เคยเก็บไว้ก็ไม่มีเหลือ ได้อาศัยมารดาเที่ยวขายของพอเลี้ยงท้องไปวันหนึ่งๆ


    เด็กหนุ่มเคยออกจากบ้านแต่เช้า เที่ยวเดินทางหางานทำมาแล้วเป็นเวลาแรมเดือน ก็พบแต่ความผิดหวัง เพราะตัวเองก็มีความรู้เพียง ม.6 ซึ่งถ้าจะใช้วิชาหนังสือก็ยังต่ำไป เพราะยังมีนักศึกษามีความรู้สูงอยู่มากมาย บางคนก็ยัวหางานทำไม่ได้


    ครั้นจะเอาแรงเข้าแบกหามเพื่อแลกเปลี่ยนเงิน ตัวเองก็เป็นคนบอบบางไม่แข็งแรงพอ ครั้นจะหางานที่ไม่ต้องออกแรง และไม่ต้องใช้วิชาความรู้ก็หายาก เพราะงานแบบนี้ที่ไหนก็เต็มหมด ตั้งใจว่าจะไม่เลือกงาน ขอให้เป็นงานสุจริต แต่ก็หาไม่ได้


    เช้าวันนั้น ชายหนุ่มเข้าไปหามารดาแล้วกราบลง บอกว่าจะออกไปพยายามเที่ยวหางานทำตามเคย มารดาก็บอกว่า


    "จงไปเถิดลูก อย่าท้อใจ คนเราที่เกิดมาทุกคนอยู่ได้ด้วยความหวังว่า วันนี้ไม่ได้ก็คอยพรุ่งนี้ ถ้าไม่ได้ก็คอยต่อๆไป ความอดทนจะเกิดพลังขึ้นทางจิตใจ เข้มแข็งไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ที่จะเกิดขึ้น เอาความดีชนะความชั่ว ทุกสิ่งไม่พ้นความพยายามในทางดีหรอกลูก เชื่อแม่เถิด ความดีของลูกคงสนองวันหนึ่งข้างหน้า"


    ลูกชายพูดว่า


    " ฉันก็คิดอย่างแม่พูด ถ้าฉันได้งานทำเป็นหลักฐาน ฉันจะไม่ยอมให้แม่ไปเที่ยวขายของอีกต่อไป ฉันสงสารแม่เพราะเป็นผู้บังเกิดเกล้า มีพระคุณต่อลูกมาก ที่ต้องลำบากเพราะเรายากจน ต้องหาเลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจนใหญ่"


    ผู้เป็นมารดาหัวเราะ พลางเอามือลูบหลังลูกชายด้วยความรักและเอ็นดู แล้วพูดว่า


    " ความจริงเราก็ไม่ได้ลำบากยากแค้นอะไรมากนัก แม่ขายของทำให้แม่สบายใจ เพราะได้ออกกำลังเดินไปบ้านโน้นบ้าง บ้านนี้บ้าง วันหนึ่งๆ ได้มีโอกาสเดิน กลับถึงบ้านกินข้าวกินปลาแล้วนอนหลับสบาย แต่ลูกมีความคิดกตัญญูเช่นนี้ ความดีย่อมจะคุ้มครองลูก ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ถึงจะยากจนก็ไม่นาน เชื่อแม่เถิดลูก ทำใจดีๆไว้"


    ลูกชายพูดขึ้นว่า


    " แต่ฉันละอายใจจ้ะแม่ โตแล้วพอจะหาเลี้ยงแม่ได้ แต่ฉันยังให้แม่หาเลี้ยง ฉันอายชาวบ้านเขาจ้ะแม่"


    มารดาปลอบบุตรชายด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง


    " โถ อย่าคิดมากไปเลยลูก ที่ลูกทำอย่างนั้นก็แสดงความดีของลูกออกมาให้แม่เห็นแล้ว แม่ก็ภูมิใจในตัวของแม่เองที่มีลูก แม้จะมีเพียงคนเดียว แม่ก็พอใจและดีใจ


    ขอลูกอย่าคิดมากไปเลยนะ เชื่อแม่เถิด งานหาได้ก็ได้ หาไม่ได้ก็ช่าง อย่าไปวิตกทุกข์ร้อนอะไร ทำใจให้สบาย แม่คิดจะบอกลูกหลายครั้งแล้วว่า ก่อนลูกจะออกจากบ้านไปทำอะไร ก็ควรกราบพระเสียก่อน ทำจิตใจให้สงบ ระลึกถึงท่าน


    ลูกอย่าคิดว่าเป็นการงมงาย แต่เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง การเชื่อหลักธรรมคำสอนไม่มีทางเสีย จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตของลูก นะลูก"


    ลูกชายเป็นคนว่าง่าย เมื่อมารดาแนะนำทางดีก็จัดหาธูปมาจุดแล้วนั่งพนมมือระลึกถึงคุณความดีของพระ แล้วก้มลงกราบสามครั้ง ตามที่มารดาเคยสั่งสอนแต่เล็กจนโต แล้วก็ออกมาจากบ้าน


    วันนั้น ได้พยายามเที่ยวหางานทำตามห้างร้าน แต่ก็ผิดหวังเช่นเคย เด็กหนุ่มแทบจะหมดอาลัยในชีวิต ที่ไม่สามารถจะหางานได้ ก็เดินเข้าไปในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง


    นั่งใต้ร่มไม้รำพึงถึงชะตาชีวิตของตน รู้สึกเกิดมาดูอับโชค ผิดกับผู้อื่นเขาหางานทำกันได้ง่ายๆ หลายเดือนแล้วที่ได้เที่ยวเดินหางานทำ แต่ก็ผิดหวังทุกครั้งไป นึกว่าคราวนี้เมื่อกลับไปถึงบ้านก็ควรเริ่มต้นช่วยมารดาขายขนม โดยตั้งใจว่าจะให้มารดาอยู่บ้าน ตัวเองจะเป็นคนหาบของไปขายแทน จะไม่ยอมออกไปหางานอีกต่อไป กำลังนั่งเอามือกุมขมับก้มหน้าคิดอะไรเกี่ยวกับโชคชะตาของตัวเองอยู่


    ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ารถยนต์ได้แล่นมาหยุดไม่ไกลจากที่ตนนั่งเท่าใดนัก ชายหนุ่มมิได้เงยหน้าขึ้นมาดู เสียงพูดของคนในรถได้ยินว่า


    "เห็นจะใช่แน่ พ่อจะลงไปดูก่อน"


    ชายหนุ่มก็ไม่สนใจ จะเป็นผู้ใดมาเที่ยวในสวนสาธารณะ จะพูดอะไรก็ไม่ใช่ธุระของเรา คิดว่าเป็นคนยากจน คงไม่มีใครรู้จักและสนใจ จึงใจลอยมัวแต่นั่งก้มหน้ากุมขมับเหม่อมองดูดิน ความรู้สึกว่าได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินใกล้เข้ามายืนอยู่ตรงหน้าตน เสียไม่ได้ก็เงยหน้าขึ้นมองดู


    ทันใดนั้นก็ต้องสะดุ้ง เพราะผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่ผู้อื่น เป็นผู้เคยทำกระเป๋าเงินตกที่หน้าบาร์ครั้งก่อนนั่นเอง


    เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนยกมือไหว้เป็นการเคารพ ท่านผู้นั้นแสดงความดีใจจนเห็นได้ชัดจากคำพูดที่ว่า


    "แหม ฉันเที่ยวตามหาเธอเสียแทบแย่ ครั้งแรกไปตามหาที่บาร์ ถามใครๆ ดู เขาบอกว่าเธอออกไปแล้ว ซ้ำในบาร์ก็เปลี่ยนเจ้าของและผู้จัดการใหม่ พนักงานต้อนรับส่วนมากเปลี่ยนเป็นหญิง ฉันเองตั้งแต่ทำกระเป๋าตกครั้งนั้นแล้ว ก็ไม่ได้เที่ยวบาร์อีก


    ครั้นไปตามที่บ้านเธอ ตามที่เธอบอกไว้นั้น เมื่อไปเห็นสภาพที่นั้นเคยมีบ้านเรือนอยู่กันหนาแน่น แต่บัดนี้ไม่มีเหลือ ฉันก็ใจหายหมดนึกกลัวจะถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดทำลาย ไม่รู้ว่าเธอจะหลบไปอยู่ที่ไหน คราวนี้คงจะหาตัวเธอยากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร พระนครอันกว้างใหญ่จะหาที่ไหนจึงจะพบ


    ฉันได้พยายามเที่ยวค้นหาตามบาร์ ตามร้านอาหาร คิดว่าเธอคงจะไม่ทิ้งอาชีพเดิมแต่ก็ผิดหวัง นี่ฉันค้นหาเธอเกือบจะคิดว่าหมดหวังเสียแล้ว มันเป็นบุญจริงๆ ที่วันนี้โชคดี มาพบเธอที่นี่ ครั้งแรกยังไม่แน่ใจ เพราะเธอนั่งก้มหน้าใช้มือกุมหัวอย่างคนกลุ้มอกกลุ้มใจ แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาก็จำได้ว่าใช่แน่


    ฉันดีใจจนบอกไม่ถูกที่ได้พบเธอ มีเรื่องอะไร เธอและแม่สบายดีหรือ ทำไมมานั่งเศร้าอยู่ที่นี่? "


    ชายหนุ่มรู้สึกดีใจที่ได้พบท่านผู้นี้ และมีความกระตือรือร้นอยากจะพบตน คงเป็นมงคลแก่ตัวแน่ ซึ่งไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะมีผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงเที่ยวตามหาอยากจะพบตน จึงได้เรียนกับท่านว่า


    " ขอบคุณครับ เวลานี้ผมกับแม่สบายดี หลังจากที่พบกับท่านไม่นาน ผมก็ป่วยหนัก ต้องออกจากงาน บ้านก็ถูกขับไล่ที่ เราต้องหาที่อยู่ใหม่ครับ ท่านมีอะไร ผมยินดีรับใข้ท่าน"


    ท่านผู้นั้นยิ้มอย่างดีใจ แล้วพูดว่า


    "ชะตาชีวิตของมนุษย์เราก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่าคิดให้มันเศร้าเลยไม่เกิดอะไรให้ดีขึ้นมา ว่าแต่เวลานี้เธอทำงานอยู่ที่ไหน และทำงานอะไร"


    ชายหนุ่มตื่นเต้นยินดี เมื่อท่านผู้นั้นถามถึงเรื่องงาน จึงเรียนกับท่านโดยตรงว่า


    "เวลานี้ยังไม่ได้ทำงานอะไร และกำลังเที่ยวหางานทำ"


    ท่านผู้นั้นพูดด้วยความยินดีว่า


    " ถ้าเช่นนั้นฉันอยากจะขอเสนอให้เธอไปทำงานอยู่กับฉัน เธอจะตกลงไหม"


    ชายหนุ่มดีใจที่ได้งานง่ายอย่างไม่เคยนึกมาก่อน แต่ก็ยังนึกสงสัยเพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นงานอะไร จึงย้อนถามว่า


    " ท่านจะกรุณาให้ผมได้ทำงานอะไรครับ ถ้างานเกี่ยวกับหนังสือ ผมมีความรู้น้อย คงไม่สามารถจะรับใช้ท่านได้ เพราะผมไม่ได้เรียนชั้นสูง ไม่มีความรู้พอ"


    ท่านผู้นั้นหัวเราะชอบใจ แล้วพูดว่า


    "เธอมีสิ เธอได้ปริญญาชั้นสูง ยังมีผู้ต้องการคนมีปริญญาอย่างเธออีกมาก"


    พูดแล้วท่านผู้นั้นก็หัวเราะอย่างคนใจดี ทำให้ชายหนุ่มงง เพราะไม่นึกว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ ถึงถามท่านออกไปด้วยความสงสัยว่า


    " ผมไม่เคยเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ไหนมาก่อน ทำไมท่านจึงบอกว่า ผมได้ปริญญาชั้นสูง ผมยังไม่เข้าใจ"


    ท่านผู้นั้นหัวเราะ เพราะเห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนซื่อ จึงบอกว่า


    "จริง เธอไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัย แต่เธอได้ปริญญาธรรมชาติ ซึ่งได้แสดงความรู้สึกออกมาให้ฉันเห็นแน่นอนแล้วว่า เธอเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่เห็นแก่ได้ เท่านี้ก็เพียงพอสมกับตำแหน่งปริญญาธรรมชาติแล้ว


    ส่วนวิชาความรู้อื่นพอจะเรียนได้ ถ้าเธอขยันเรียน ฉันจะสนับสนุนให้เธอเริ่มศึกษา โดยให้อาจารย์ผู้มีความรู้ความสามารถสูงมาสอน มีเวลาเรียนเวลาทำงาน ทำไปเรียนไป ไม่ช้าเธอก็จะคล่องงานมีวิชาความรู้มากขึ้น ค่าเล่าเรียนศึกษาเธอไม่ต้องเดือดร้อน เป็นหน้าที่ของฉัน แล้วก็จะบรรจุให้เธอรับหน้าที่เกี่ยวกับการเงิน


    ฉันคิดว่าเธอคงจะทำได้ดีและเป็นที่ไว้วางใจของฉันต่อไป และเข้าใจว่าเธอคงจะไม่ปฏิเสธความหวังดีของฉันแน่


    ฉันขอบอกความจริงว่า คนเก่าที่ฉันวางใจเกิดไม่ซื่อ เมื่อมีโอกาสก็คิดทุจริต ทำให้ฉันคิดถึงเธอขึ้นมา จึงเที่ยวตามหาแทบพลิกแผ่นดิน คิดว่าเธอคงจะเห็นใจฉัน"


    หลังจากการตกลงได้ทำงานอย่างไม่นึกฝัน และหน้าที่มีเกียรติที่ได้รับความไว้วางใจ ชายหนุ่มก็มีความตื่นเต้นยินดี พาเอาความรู้สึกมาหามารดา เล่าเรื่องแต่เริ่มต้นที่ได้พบกับท่านผู้นั้น จนตลอดถึงคำพูดโต้ตอบกัน ให้มารดาฟังจนหมดแล้ว ย้ำพูดกับมารดาว่า


    " วันนี้ฉันตื่นเต้นดีใจเหลือเกิน ไม่หิวข้าวทั้งวันเพราะอิ่มอกอิ่มใจเหมือนปาฏิหาริย์ บังเอิญให้ฉันเข้าไปนั่งในสวนสาธารณะจึงได้งานอย่างไม่นึกฝัน เวลาเที่ยวหางานแทบเลือดตากระเด็นก็หาไม่ดื้ เมื่อถึงเวลาจะได้งาน ก็ได้อย่างไม่รู้ตัว


    ท่านนายจ้างและบุตรสาวไม่ถือตัว ยังใจดีพาฉันขึ้นรถมาส่งถึงหน้าบ้าน บอกว่า วันหลังจะแวะมาเยี่ยมแม่ แล้วยังมอบเงินให้ฉันอีกพันบาทจ้ะแม่ ฉันดีใจเหลือเกินที่ตกลงได้ทำงาน ต่อไปนี้ฉันจะได้มีเงินมาเลี้ยงแม่ให้มีความสุข"


    พูดแล้วชายหนุ่มก็มอบเงินทั้งหมดให้มารดาอย่างดีใจ


    มารดาของเธอก็พลอยดีใจไปด้วยแล้วพูดว่า


    " วันนี้แม่เห็นหน้าตาลูกยิ้มแย้มสดชื่นเมื่อตอนเข้าบ้าน ไม่เหมือนทุกวันที่แม่เห็นแต่เดินหน้าเศร้าๆ อย่างหมดอาลัยในชีวิตกลับเข้ามาในบ้าน แม่ก็รู้แล้วว่าบุญที่ลูกได้ทำความดีไว้เกิดผลตอบสนองแล้ว


    นี่แหละลูก คนเราทำดีเอาไว้มันเป็นสิริมงคลแก่ตัวเราเอง วันหนึ่งข้างหน้าความดีก็จะเกิดสนองอย่างไม่รู้ตัว แม่ว่าพระท่านได้ช่วยเรา เมื่อได้ทำดี จงทำความดีให้ยิ่งขึ้นเถิดลูก เจ้าจะได้สบายตลอดไป


    โบราณว่า จงทำความดีก่อนเถิด ผลจะเกิดขึ้นเมื่อภายหลัง ถ้าไม่ทำความดี จะให้ความดีที่ไหนมาสนองเรา"



    ต่อจากนั้น ชายหนุ่มก็ได้รับความอุปการะจากท่านผู้เป็นนายจ้างนั้น โดยให้ศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้ต่างๆ เท่าที่ชายหนุ่มต้องการจะเรียน และทำงานในตำแหน่งที่ไว้วางใจไปด้วย


    บัดนี้ชายหนุ่มผู้นั้นได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต ต่อมาชายหนุ่มก็ได้แต่งงานกับบุตรสาวคนสวยของนายจ้าง ผู้มีใจเมตตากรุณายกธิดาสาวสวยคนเดียวผู้เป็นทายาทในกองมรดก และแต่งงานให้เป็นงานใหญ่ เพราะเจ้าภาพเป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคม


    บั้นปลายชีวิตของบุตรชายกับมารดาที่ยากจนแต่ทรัพย์ แต่ไม่จนความดี ซึ่งได้เคยหาบและกระเดียดกระจาด ขายสาคูไส้หมูกับไส้กรอกปลาแนม ก็ถึงซึ่งความสุขสบาย มีผู้คนนับหน้าถือตาเพราะความดีมีศีลธรรม มารดาผู้ให้การอบรมบุตรจนได้เป็นผู้มีชื่อเสียงมั่งคั่งรุ่งเรืองในชีวิต เพราะความซื่อสัตย์สุจริตในหน้าที่


    เมื่อท่านนักธุรกิจเล่าเรื่องให้เพื่อนทั้งสองฟังถึงชีวิตของชายหนุ่มแล้ว ทั้งสองท่านก็รู้สึกสนใจในเรื่องปริญญาธรรมชาติมาก แต่ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ ต่างก็ถามท่านนักธุรกิจผู้นั้นว่า


    "ทำไมคุณถึงได้รู้เรื่องได้ละเอียดลออทุกแง่ทุกมุมในชีวิตท่านผู้นี้ ผมคิดว่าอย่างน้อย ท่านผู้นั้นก็คงจะเป็นเพื่อนคุณที่สนิทสนมกันมาแต่ครั้งเด็กๆ จึงได้รู้เรื่องชีวประวัติได้ดี และปัจจุบันนี้ท่านผู้นั้นอยู่ที่ไหน"


    ท่านนักธุรกิจการค้านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดขึ้นช้าๆ ว่า


    " เวลานี้เขานั่งอยู่ที่นี่ เด็กหนุ่มผู้ยากจนในครั้งก่อนนั้นก็คือตัวผมในปัจจุบันนี้ นี่เป็นชีวประวัติในอดีต ที่น้อยคนจะรู้เรื่องนี้ของผม"


    ทันใดนั้น ทั้งสองท่านที่ได้ทราบชีวประวัติของเพื่อนที่รักก็งงเพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลย ต่างก็แสดงความยินดีและเพิ่มความนับถือในความดียิ่งขึ้นด้วยความจริงใจ


    นับถือในประวัติความดีของนักการค้าแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะเป็นผู้มีความซื่อสัตย์ช่วยส่งเสริม เป็นผู้ที่ไต่เต้ามาจากความยากจน จนบรรลุถึงความเจริญรุ่งเรือง เป็นผลของกรรมดี


    ทันใดนั้นก็มองออกไปเห็นรถที่จะเดินทางไปต่างจังหวัดมารออยู่ก่อนแล้ว แต่เรามัวสนใจสนทนากันอย่างเพลิดเพลินในชีวประวัติที่น่าสนใจของเพื่อน เมื่อเราชำระเงินค่าอาหารและเครื่องดื่มแล้ว ก็พากันรีบออกมาขึ้นรถเพื่อเดินทางออกจากพระนครต่อไป


    บุญกุศลใดจะพึงเกิดขึ้นจากการเผยแพร่เรื่องนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้แก่ดวงวิญญาณท่านเจ้าของเรื่อง และคุณ ท.เลียงพิบูลย์


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2021
  2. บันลือธรรม

    บันลือธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    789
    ค่าพลัง:
    +2,362
    สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...