พวกชอบให้ทานหวังผลมาดูทางนี้

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 16 สิงหาคม 2013.

  1. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ทานสูตร
    [๔๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งสระโบกขรณีชื่อคัคคราใกล้จัมปานคร
    ครั้งนั้นแล อุบาสกชาวเมืองจัมปามากด้วยกัน เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้ว
    นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรมีกถา
    เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค พวกกระผมได้ฟังมานานแล้ว ขอได้โปรดเถิด พวกกระผม
    พึงได้ฟังธรรมีกถาของพระผู้มีพระภาค ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
    ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายพึงมาในวันอุโบสถ ท่านทั้งหลายพึงได้ฟังธรรมีกถาในสำนักพระผู้มี
    พระภาคแน่นอน อุบาสกชาวเมืองจัมปารับคำท่านพระสารีบุตรแล้วลุกจากที่นั่ง อภิวาทกระทำ
    ประทักษิณแล้วหลีกไป ต่อมา ถึงวันอุโบสถ อุบาสกชาวเมืองจัมปาพากันเข้าไปหาพระสารีบุตร
    ถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรพร้อมด้วยอุบาสก
    ชาวเมืองจัมปา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง
    ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคน
    ในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือหนอแลและทานเช่นนั้นแล ที่บุคคล
    บางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มากพึงมีหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    ดูกรสารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก
    พึงมี และทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
    พึงมี ฯ
    สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแล
    ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มากอะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย
    เครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
    พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผล
    ให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน
    คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคล
    บางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ
    สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน
    มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว
    เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
    หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคล
    บางคนในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า
    ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี เขาให้ทาน
    คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและ
    เครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคล
    บางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ
    สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผล
    ให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้
    แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความ
    เป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว
    ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี แต่ให้ทาน
    ด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน
    คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
    หมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา มารดา ปู่ ย่า
    ตา ยายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน
    สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต
    เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่ แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็น
    อย่างนี้ ฯ

    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าเราหุงหากินได้
    สมณะและพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์
    ผู้หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน
    คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี
    วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ
    ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความ
    เป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนก
    แจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี ฯลฯและภคุฤาษี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า
    เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ
    ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
    หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้
    จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน คือ
    ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์
    แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้
    พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ
    สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพัน
    ในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้
    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดีไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย
    เคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทาน
    ด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี
    วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี
    และภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใส
    จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อ
    ตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความ
    เป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัย
    เป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็น
    เครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2013
  2. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..เอ้อ..คนอื่นเขาทิ้ง ทาน กันหมดแล้ว เข้าขั้นภาวนาแล้ว..ทำไมอริยะนิวยังติดในทานอยู่อีกนีา ..อิอิ:'(
     
  3. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    สับสนท่านว่าคนอื่นทิ้งทานเหรอ ท่านช่างน่าสงสารยิ่งกระไร บนเส้นทางแห่งอริยมรรคนี้ขาดซึ่งทานไม่ได้เลย ถ้าท่านขาดทานท่านอาจจะเป็นอริยที่ดูต่ำต้อยชอบกลนะ ผู้ที่มีความตระหนี่จะเข้าถึงมรรคได้ยากนี่เป็นพุทธวจน จริงอยู่ผู้ที่ไม่ให้ทานก็สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ผู้บรรลุธรรมแล้วนั้นมือต้องชุ่มไปด้วยการให้นี่ก็เป็นพุทธวจน ตกลงสับสนจะเป็นแบบไหนดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2013
  4. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    เจออีกแล้ว 2 อริยะ แห่งพลังจิต
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456

    พ. ดูกรสารีบุตร

    ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน

    ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน

    ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน

    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้

    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี

    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้เคยทำมา
    เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี

    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้
    หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร

    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษี
    แต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี
    ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี
    และภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น

    และไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใสจะเกิดความ
    ปลื้มใจและโสมนัส

    แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต


    เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้น
    พรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา
    คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้

    ดูกรสารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัยเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้
    แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนใน
    โลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2013
  6. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    แล้วไงเหรอนิวรณ์
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ดูไม่ออกเหรอว่า แกล้งโง่

    การให้ทาน ของคุณ ชุ่มไปด้วย อุปทาน ต่างๆ นานา

    สำคัญว่าเป็น การดี

    สำคัญว่ามันมี นัยยะ บางอย่าง ที่ใช้พิสูจน์ ฮา อะไรได้

    สำคัญว่า เป็น เงื่อนไข ภาระผูกพันของ ฐานะ ฮา อะไรสักอย่างหนึ่ง

    แปรง ซบ !!
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คำว่า เครื่องตบแต่งจิต หรือ เครื่องปรุงแต่งจิต

    อันนี้ หากโง่ แปรง ซบ !! มันจะอ่านแล้ว อ๋อ ให้ ปรุงแต่งการปฏิบัติได้
    หากเป็นเรื่อง ทาน ทำไปเถอะ

    มันคนละเรื่องนะเว้ยเฮ้ย !!

    คำว่า เครื่องปรุงแต่ง อันนี้ มันมาจากคำบาลีว่า "อลังกาล " บาง
    สำนวนเขาแปลไทยว่า " เครื่องประดับ " แต่จะให้ตรงๆ คือ ของมันเป๊ะเวอร์
    คือ มันมีของมันอยู่จำเพาะฐานะ ไม่ต้องไป เสกสรรปั๊นแต่ง ฮา อะไรขึ้นมา

    คำว่า อลังกาล หมายถึง จิตที่อบรมดีแล้ว ก็มี สิ่งที่เป็นประกาย
    ผลักดันออกมาเป็น กริยา อาการ ไม่ใช่ จะไป เจตนาทำเพื่อ
    เอา ฮา อะไรสักอย่าง พิสูจน์ ฮา อะไรสักอย่าง

    ถึงกริยา อาการ ไม่มี การเคลื่อนไหวที่เป็น กิจกรรมของการให้ทาน
    " อลังกาล " ก็จะแผ่ออกจากจิต อยู่แล้ว ไม่ต้อง ปั้น !! คนนั่งใกล้
    จะได้รับอัตโนมัติโดยไม่ต้องแบบมือขอ .....

    [ ตรงนี้ได้จาก ข้อความว่า ไม่ใช่ให้เพราะเห็นว่า เขาอด เขาไม่มีกิน
    เขามี หรือไม่มี กริยาจิตที่เป็น ทาน ส่งออกไปให้รับกันอยู่แล้ว โดย
    ไม่มีการ จำแนกทาน คือ ไม่แบ่งประเภทสิ่งที่ให้ และ ไม่ต้องพิจารณา
    ผู้รับ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2013
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ธรรมะ ไม่ใช่ สาวนั่งดริ้งของ ปิ๊ดตู่ นะ

    จะมานั่ง ส่งเช้า ส่งเย็น คอยเอาทรัพย์มา ตะล่อม เพื่อให้ได้ 7!! ธรรม เนี่ยะ

    ละเมอแล้ว
     
  10. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    นิวรณ์ตรงนี้นะท่านถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวจะไปกันใหญ่ ผู้ที่มีปัญญาเท่านั้นจะมองออก เขาเห็นความตระหนี่ในตนเองว่าเป็นมลทิล เขาเลยแก้ด้วยการบริจาคทานตรงนี้คุยกันในเรื่องทรัพย์ที่จะสละเพราะต้องการพัฒนาจิตให้คลายการตระหนี่ เข้าใจยังเขาไม่ได้ทำเพื่อผลใหญ่อะไร นี่คือการให้ทานที่จะพาพ้นทุกข์ไม่กลับมาเป็นอย่างนี้อีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2013
  11. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    แปลกเนาะ เมื่อเช้าเห็นตั้งกระทู้เพื่อขอทาน ขอชัดๆเลยซะด้วย

    พอตกเย็น เข้าขั้นภาวนา กลับไม่รับทาน ให้พากันทิ้งทานซะแล้ว

    สลิปดูเลยดีกว่ามั้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 สิงหาคม 2013
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เอาเข้าไป ลูบคลำ ศีลพรต เป็นว่าเล่น ไม่ได้รู้เรื่อง การภาวนาอะไรเลย

    คุณออกตัวเองว่า ยังไม่ได้เป็น " อนาคามี " แต่ทะลึ่ง กระสันจะเป็น
    อนาคามี ก็เลยไปติต่างว่าเป็น สกิทาคามีมั้ง

    พวก อนาคามี แบบคิดเอาแบบ เด็กเล่นขายของเนี่ยะ มุขที่ชอบๆกัน
    ก็คือ ไม่มีกาม นกเขาไม่ขัน อู๋หด น้ำไม่ไหล เหือดแห้งเกรอะกรัง

    พอหมดมุขนั้น ก็แบบ ปิ๊ดตู่นี่แหละ หยิบ ความตระหนี่ มาเล่น ทั้งที่
    การละความตระหนี่เนี่ยะ มันเป็น " อรหัตถมรรค " คือ อนาคามีเนี่ยะ
    เขาจะมี ความตระหนี่ กุมจิต ตระหนี่ธรรม ตระหนี่รูป ตระหนี่อรูป หวง
    แหนสิ่งที่เรียกว่าจิต เลยเอาแต่ " ทำสมถะ " เพื่อ ตบแต่งจิตโดย
    ไม่รู้ว่ามันเป็น สังโยชน์ !! ดูไม่ออก มองยังไง ก็เห็นเป็น " สิ่งที่ดี "
    ก็เลย หมุนวนอยู่ในวัฏฏะ

    ดังนั้น การวางจิตไม่เห็นผลจากทาน ไม่ไปติดว่าทานคือสิ่งที่ดี ฯ
    ตามที่พระพุทธองค์บรรยายใน ท่อนท้ายของ ทานสูตร อันนั้น มัน
    คือ อรหัตถมรรค !! คือ จะไม่กลับมาเกิดบนโลกมะนุด เพื่อมา
    ปุเลงๆ ทำทานอีก จะไปเกิดเป็น พรหมแล้วก็ไปภาวนาต่อ งาน
    ไม่จบ !!


    เข้าใจหรือเปล่า งานไม่จบ กับคำว่า ไม่กลับมาโลกนี้อีก ไม่เป็น
    อย่างนี้อีก เนี่ยะ ภาษาพระ เขาหมายว่า มันยังมีงานต่อ แต่งาน
    นั้นไม่ต้องมาทำ หรือ ภาวนา บนโลกกลมๆ นี้แล้ว !!

    ถ้าไม่เข้าใจ ก็ หัดอ่าน พระสูตร ให้มัน จบๆ ครบๆ บ้าง

    อรรถกถา ท้ายพระสูตรเขาก็มีอธิบายไว้


    เน้นอีกทีนะว่า ไม่จบ ภาวนาแล้วไม่จบ ขนาด ทำทานโดยวางจิต
    ไม่สนใจในผล ในอะไรๆ ไม่อะไรๆ แต่ ยังทำเพื่อ ตบแต่งจิต เนี่ยะ
    เขาเรียกภาษา บ้านๆ ที่แยงรูหูนักสมถะว่า " ติดสมถะ " หรือ " เฉยโง่ "

    ปัญญาไม่เกิด !!
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ่าน อรรถกถา เข้าใจหรือเปล่า

    มองเห็นหรือเปล่าวว่า อุปทาน ไปคว้า การภาวนาของ อนาคามีบุคคล มาทำ !!

    ก็ตัวเอง เป็น สะเก็ดทาคามี๋ แล้ว จะไปทำลึ่งเป็น อนาคาแบร์ แล้วไป ภาวนา
    เพื่อ อรหัตถมรรค .....โอย เละเทะ !!
     
  14. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    นิวรณ์เข้าใจอะไรหรือเปล่านะใครเข้าใจผิดเหรอ ท่านแสดงให้เห็นความต่างของการวางจิตเรื่องการให้ทาน ท่านแสดงเพื่อให้ผูฟังได้รู้ได้นำไปปฎิบัติเพื่อพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นเพื่อไม่กลับมาเปนอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นท่านจะมาแสดงทำไมในเมื่อถ้าคนบรรลุธรรมตามชั้นเขาก็ทำได้อยู่แล้วเขาต้องมารูทำไม ท่านแสดงให้คนทำทานจะได้มีความเหนถูกในเรื่องทำทาน ส่วนใครจะทำได้ไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เข้าใจบ่ นิวรณ์เอ๋ยหรือท่านไม่คิดอยากจะทำเพื่อสิ่งนี้เลยไม่คิดที่จะพัฒนาตนเองให้มันดักส่าที่เป็นอยู่หมกหมุ่นอยู่แต่สิ่งเดิมๆ สละทรัพย์สินเงินทองภายนอกน่ะทำได้บ้างป่าว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2013
  15. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ทิ้งทาน..หมายถึง ทำทานแบบไม่ห่วง ไม่เอาบุญ..คุณนี่คิดไม่ดีอยู่เรื่อยบาปนะ อิอิ({)
     
  16. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    อืม...ทำบุญทิ้งเหว แล้วอย่าเพิ่งไปทิ้งภาวนาล่ะ [​IMG]

    ----
    ทานที่เป็นเครื่องปรุงแต่งจิต ขัดเกลาจิตให้อ่อน ให้ควรแก่การเจริญสมถะและ
    วิปัสสนาจนบรรลุมรรคผลไม่ต้องกลับมาเกิดอีก จึงเป็นทานที่มีผลมาก และมีอานิสงส์มากแม้สังฆทานที่
    กล่าวว่ามีผลมาก มีอานิสงส์มาก ก็เพราะผู้ถวายมีโอกาสได้ฟังธรรมจากสงฆ์แล้วบรรลุอริยสัจธรรม ก้าว
    ล่วงทุกข์ทั้งปวงไม่ต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก

    พระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่แก่สัตว์โลกแม้เมื่อทรงแสดงเรื่องทาน ก็ทรงแสดงให้
    พุทธบริษัทได้รับประโยชน์ครบทั้ง ๓ ประการ
    คือ ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า และประ
    โยชน์อย่างยิ่ง คือ มรรค ผล นิพพาน ด้วยเหตุนี้ จึงควรทำใจให้เลื่อมใส บำเพ็ญทานให้เกิดประโยชน์
    ทั้ง ๓ ประการ จึงจะได้ชื่อว่า ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์อย่างแท้จริง

    ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
    โดย อ.ประณีต ก้องสมุทร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 สิงหาคม 2013
  17. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ทำทานแบบไม่ห่วง ไม่เอาบุญ เพราะหากทื่อๆ ก็ต้องสำรวจดูว่าให้โดยเคารพ ให้โดยศรัทธา หรือไม่

    ทำแบบไม่ห่วง ไม่เอาบุญ จะทำแบบนี้ล่ะใครจะทำไม ศรัทธากร่อยๆ
    เกิดทิฏฐิวิบัติ มีความเห็นว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ผลวิบากแห่งการทำทานไม่มี

    พอไม่เอาบุญ สงสัยจะได้บาป ให้ไปงั้นๆ ปัญญากับศรัทธาไม่สัมปยุตกัน [​IMG]
     
  18. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    มันก็เฉียดๆกันอยู่ครับพี่แอค
    ต้องลองดูขณะให้ ตรงนั้นมันรวมลงหมดทีเดียว ไม่มีคิดว่าอย่างนั้นอย่างนี้ หากแต่ผลปรากฏขณะนั้น น่าจะเป็นที่ไม่ได้คิดล่วงหน้า หรือตามหลัง
    หากสำเร็จขณะนั้นๆไปเลยทั้งการให้และผล
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กลับมาในประเด็น ของพระสูตร กันหน่อย

    พระสูตรนี้ เริ่มจาก โจทย์ ที่ พระสารีบุตร ถามเป็นคำถาม

    ใครอ่านแล้วแปลออกได้อย่างไรบ้าง

    กราบขออนุญาติ อธิบายว่า

    พระสารีบุตร ถาม

    คำถามวรรคแรก เพื่อ ถามหาว่า " ทานที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากโลก มีหรือ !? "

    คำถามที่สอง ถามว่า " คนที่ทำสำเร็จ หลุดพ้นได้เพราะการทำทาน อย่างวรรคแรก"
    อันเป็น บุคคลควรแก่ การให้ทานเพื่อ อานิสงค์มาก ( หลุดพ้นตามอย่าง ท่าน ) มีหรือ !?

    ดังนั้น

    วรรคนี้ จึงเป็น การสอน การทำทาน ที่เป็นไปเพื่อ การหลุดพ้น เพื่อ
    เป็นอริยะ ว่าด้วยเรื่อง โลกุตระ !!

    ******************************************

    ส่วน วรรคอื่นๆ ที่เป็นเรื่องการทำทาน ที่รู้จักกัน ( เห็นปานนี้ )
    ไม่ว่าจะทานชนิดไหนๆ พระพุทธองค์ จะยก แล้วตรัสต่อท้าย

    " หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ "

    ตรงนี้คืออะไร ต้องพิจารณาว่า ท่านตรัสเพื่ออะไร การชี้การเวียน
    ว่ายกลับมา ท่านชี้ทำไม ท่านเหนือยที่จะตรัสทำไม

    พระองค์ท่านต้องการให้ เห็นอะไร กำหนดเห็นอะไร !!!

    ถ้าเข้าใจ คนฟังธรรมะเป็น ก็จะไม่ ทะลึ่ง ทำในสิ่งที่ สวน
    ทางธรรมกับ พระองค์ท่าน !!

    ทำเหมือน เอาเท้ายกขึ้นมา ขีดเขียนธรรมะทับ สัทธรรม
     
  20. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    การสั่งสมบุญนำสุขมาให้

    สัมมาทิฏฐิจงเกิดในใจของ jittinon
     

แชร์หน้านี้

Loading...